องค์การบริหารส่วนหัวใจ # เฟื่องนคร
ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน นำมาซึ่งความสุข
Tags: โรแมนติก คอมาดี้

ตอน: 7."ฉันแค่ป้องกันตัวเอง"

7.






เช้าวันนั้น รักษ์ไทยไม่เห็นคนเป็นหลานประคองถาดอาหารมาช่วยย่าใส่บาตรเหมือนเคย ก็อดแปลกใจไม่ได้..

“พาลรีพาลขวาง ไม่ยอมออกมาจากห้องเสียงั้น ด่าก็แล้ว เย็นก็แล้วร้อนก็แล้ว มันก็ยังประชดประชัน..กลุ้มใจกับมันจริงๆ พ่อรักษ์ไทย..อย่างไรก็ปราบพยศมันให้ย่าหน่อยเถอะ..เหนื่อยเหลือเกิน”

คนได้ฟังได้แต่ยิ้มแหยๆ คิดว่า ปราบอย่างไร ปราบไปเพื่ออะไรหว่า..

กลับมาจากใส่บาตร ชายหนุ่มก็เอาข้าวสวยที่เหลือติดขันไปเทตรงที่สำหรับให้อาหารกับนกที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ แล้วก็เดินไปดูแปลงปลูกผักสวนครัวทางหลังบ้าน ดึงสายยางมาเปิดเครื่องสูบน้ำ ยืนรดน้ำ ระหว่างนั้นก็ทอดอารมณ์คิดถึงงานที่ยังคั่งค้าง เมื่อยังไม่มีความคิดที่ดีที่สุดเข้ามาในสมอง เขาก็จะไม่ทำงาน เจริญสุขจึงบ่นว่าเขาทำงานช้ามาก แต่งานทุกชิ้นที่ทำออกมา มักจะได้รับการตอบรับอย่างดีเสมอ..

เมื่อเสร็จกิจตรงนั้น เขาก็จะเดินไปตรงโน้น ในเนื้อที่ห้าไร่ที่ซื้อมาพร้อมกับบ้านจากคนที่เล่นการพนันจนได้ขายสมบัติที่คิดหวังไว้สร้างสุขยามบั้นปลาย แต่สุดท้ายก็ต้องขายเพื่อรักษาหน้า เขาเดินไปรอบๆ รู้สึกว่ามันกว้างใหญ่เหลือเกิน ด้วยทุกอนูของพื้นดิน เขาจะคิดตลอดเวลาว่าจะใส่อะไรลงไปตรงไหนถึงจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในเบื้องหน้าได้ เขายังจำที่คุณย่าเล่าได้เสมอ สมัยที่แต่งงานกับอากงใหม่ๆ ต้องทำนาปลูกผักปลูกข้าวกินเอง ด้วยความอดทนและความขยันของอากง บวกกับความเชื่อเรื่องบุญกุศลของย่า ทำให้ที่สุดฐานะทางบ้านดีขึ้นเรื่อยๆ

จนมาถึงยุคของพ่อซึ่งมีความมุมานะไม่ต่างจากอากง ทำให้ครอบครัวมีกิจการเป็นของตนเอง มีเงินมีกงสีให้ลูกๆ ได้ทำมาหากินแล้วแต่ใจชอบ แต่เขาเลือกเส้นทางที่ชอบ จึงต้องออกจากบ้านมาอยู่ตามลำพังอย่างนี้..ขอบพระคุณพ่อกับแม่และญาติพี่น้องที่เข้าใจ..ขอบคุณความรักที่ไม่สมหวัง ขอบคุณเจริญสุขที่ทำให้เขาก้าวออกมาจากสำนักพิมพ์ มาใช้ชีวิตสบายๆ อยู่ตรงนี้ได้..เมื่อขอบคุณทุกสรรพสิ่งที่ยังประโยชน์ให้เขามีชีวิตอยู่ดีมีสุขแล้ว ชายหนุ่มก็เดินไปที่สะพานเชื่อมฝัน ตั้งใจว่าจะไปยืนรับอากาศบริสุทธิ์ให้สดชื่นปอด เมื่อไปถึงก็พบกับคนที่คุณย่าบ่นให้ฟังเมื่อเช้านั่งอยู่บนปลายสะพานแล้วทิ้งเท้าลงน้ำในมือถือหนังสือเล่มที่ยืมเขามาด้วย

“เฮ้ กินข้าวเช้าหรือยังเนี่ย” เขาเป็นฝ่ายทักด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี..หญิงสาวหันมาหา หน้าที่เคยทะเร้นกลับบึ้งตึงไม่ยิ้มแย้มอย่างวันวาน..

“จะประชดประชันก็ให้มันรู้จักกาลเทศะหน่อยซิ..คุณย่าแก่แล้ว อย่าทำให้ท่านไม่สบายใจเลย การทำอย่างนี้ยิ่งทำให้ท่านทุกข์ สู้คุณทำให้ท่านสบายใจแล้วก็เห็นดีเห็นงามสนับสนุนไม่ดีกว่าหรือ”

“ใครๆ ก็ว่าฉันเป็นเด็ก ฉันเด็กเสียที่ไหน โตเท่าคุณ เคยทำงานอะไรมาตั้งหลายอย่าง แต่งานที่ฉันทำมามันไม่ใช่ประสบการณ์แบบบ้านนอกนี่สักหน่อย เขาก็หาว่าฉันเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ..ฉันอยากจะบ้าตายจริงๆ นะ”

“ถึงไม่บ้าคุณก็ต้องตายอยู่แล้ว แต่ก่อนตายคุณทำประโยชน์ให้กับโลกก่อนเถอะ”

“เอ๊ะ สำนวนนี้คล้ายๆ ในหนังสือเลยนี่”

รักษ์ไทยอยากจะบอกว่า ก็ผมเป็นคนเขียนมันเองนี่แต่เขาก็เฉไฉไปว่า

“ก็ผมอ่านหนังสือเล่มนั้นแล้วทำไมประโยคดีๆ มีคติทำไมผมจะจดจำไม่ได้ หนังสือคือเพื่อนที่แสนดี โดยเฉพาะหนังสือธรรมะ คุณควรจะหาอ่านสักปีละเล่มเพื่อที่จะทำให้คุณมีกำลังใจสู้ชีวิต..ดูตัวอย่างพี่ชายคุณซิ แสดงว่าคุณไม่ค่อยได้ไปหาท่านจึงไม่รู้ว่า พระพี่ชายคุณมีอะไรดีๆ เยอะแยะเชียวนะ..ท่านบอกผมว่า ท่านไม่มีอะไรดีนอกจาก ‘ใจดี’ อย่างเดียว..ทำได้ป่ะ ทำใจดีๆ น่ะ”

“ได้”..แล้วหญิงสาวก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ เพราะนึกอะไรออก..

“ไปวัดดีกว่า..ไปด้วยกันไหม..คือย่าของฉันพูดมาว่า ถ้าหลวงพี่เห็นดีเห็นงามด้วย ฉันก็สามารถทำอย่างที่ฉันต้องการได้ ไปไหมล่ะ”

“ไม่หรอก..ขี้เกียจเอารถออกจากบ้าน เปลืองน้ำมันด้วย ต้องประหยัดช่วยชาติ..”

“ใครว่า จักรยานฉันก็มี ขี่ให้ฉันซ้อนท้ายซิ นะนะ ไปเป็นเพื่อนหน่อยเผื่อหลวงพี่คิดเหมือนย่ากับแม่ ฉันจะได้มีคนคอยช่วยอธิบาย..นะนะ นะคะคนใจดี..”

ในที่สุดรักษ์ไทยก็ใจอ่อน.. นี่แหละหนาที่เขาว่ามารยาหญิงมันคงจะมากกว่าพันเล่มเกวียนซะละมั้ง..



เมื่อไปถึงวัด สองหนุ่มสาวพบหลวงพี่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะหินใต้ต้นหางนกยูง เมื่อเดินไปถึงสองหนุ่มสาวพนมมือไหว้ หลวงพี่ชี้ให้นั่งในโต๊ะยาวอีกตัวตรงกันข้ามกัน เมื่อนั่งลงจึงเป็นสองคนนั่งเคียงกันคุยกับพระ..ขณะสนทนา รักษ์ไทยก็จะพนมมือตลอด จนหลวงพี่ต้องร้องบอกว่า ตามสบายเถอะมันลำบากเสียเปล่าๆ..แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มยังนั่งในอาการสำรวม ผิดกับคนเป็นน้องสาวที่นั่งทำท่าลุกลี้ลุกลน..

“จริงๆ อาตมาก็ไม่เห็นด้วย แต่ถ้าโยมน้องอยากจะทำจริงๆ..”

“จริงๆ เจ้าคะหลวงพี่ โยมน้องอยากทำมากที่สุด..โยมน้องอยากแก้แค้น..อุ๊”..

“เห็นไหมล่ะ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น หลวงพี่บอกแล้วไงดวงเดือน ว่าอย่าไปคิดโกรธแค้นใครเขา คนเรามันถึงเวลาตาย ไม่ตายด้วยเหตุนี้ มันก็ต้องตายด้วยเหตุอะไรสักอย่างหนึ่ง..พ่อของเรา ตายไปแล้ว พวกเรายังอยู่ ก็อยู่อย่างสงบๆ ไป..ดิ้นรนไปมากๆ เราก็จะทุกข์เสียเปล่าๆ สมบัติพัสถานที่มีอยู่ ก็เห็นจะเป็นของเธอคนเดียวยังไม่พอใจอีกรึ..”

“สมบัติก็อยู่ส่วนสมบัติ แต่แค้นก็อยู่ส่วนแค้น อีกอย่างหนูไม่ใช่พระนี่คะ จึงจะได้ทำใจเย็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว” เถียงเพราะความน้อยใจด้วยรู้สึกว่าหลวงพี่ไม่รักพ่อ

“อยู่บ้านก็ทำใจให้เป็นพระได้..ก็แค่รู้จักให้อภัยทาน รู้จักสละ รู้จักแบ่งปัน แค่นี้โยมน้องก็จะหาความสุขได้..”

“โอเค ตกลงหลวงพี่เห็นด้วยใช่ไหมที่หนูจะลงสมัครผู้ใหญ่บ้าน..หนูจะได้ไปบอกย่ากับแม่” รีบสรุปก็ที่จะยืดยื้อ

“เธอบังคับให้พี่เห็นด้วยนี่..แต่ก็เอาเถอะ ประสบการณ์ชีวิต ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าเสียใจ ก็อย่าลืมนะว่า ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่ เหลือก็แต่ต้นทุนบุญกุศล ทิ้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน ร่างของตนก็ยังเอาไปเผาไฟ..” พอหลวงพี่ว่ากลอนขึ้นมา คนเป็นน้องก็ต่ออีกท่อนหน้าตาเฉย

“สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจไม่ใช่หรือ ถ้าเราถือก็เป็นทุกข์ไม่สุขสันต์ หากปล่อยวางก็ว่างทุกข์สุขนิรันดร์เพราะฉะนั้น จงเลือกทางว่างทุกข์เอย..อนุโมทนาเจ้าค่ะ..”

เมื่อปั่นจักรยานฝ่าแดดกลับมาที่บ้าน รักษ์ไทยจึงตำหนิว่า

“คุณนี่มันจริงๆ เลยนะ รู้หรือเปล่าว่าการเถียงและไม่ฟังในสิ่งที่พระพูดมันจะเป็นอย่างไร”

“ตกนรกนะซิ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวทำบุญเป็นน้ำสักโอ่งเอาไว้ดับไฟนรก..ขอบใจนะที่อุตส่าห์ช่วยพูดให้ ขอบใจมากๆ ที่คุณบอกว่าจะช่วยฉัน ไม่งั้นหลวงพี่ก็คงไม่เห็นด้วย ไม่ให้ฉันเสี่ยงลูกปืนอยู่คนเดียว..”

“แต่จริงๆ แล้วสามเสียงเชียวนะที่ไม่เห็นด้วย ในแง่ประชาธิปไตยในครัวเรือนแล้ว คุณแพ้ราบคาบ..ถึงตอนนี้คุณคิดเองแล้วกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าคุณจะลง ผมก็จะช่วยหาเสียงกับบรรดาคนอยู่วัด แต่ถ้าคุณไม่ลง ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร อย่างน้อยคุณก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคุณกล้าในสิ่งที่ผมคิดว่า ตัวเองจะทำได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย..”

“พูดอย่างไรของคุณเนี่ย..ตกลงให้ฉันออกหน้าไปตายก่อนใช่ไหมล่ะ”

“ถ้าวันหนึ่งคุณทำสำเร็จขึ้นมา ก็อย่าลืมนะว่า ผมเป็นผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลัง วันหนึ่งข้างหน้าใครจะไปรู้ได้ ประเทศไทยอาจจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอะไรสักอย่างเป็นคุณก็ได้นี่..ถึงตอนนั้นคุณคงได้ออกโทรทัศน์บ่อยๆ แต่เอ๊ะ..อย่าได้ครองกระทรวงวัฒนธรรมนะ เพราะคุณไม่ใช่..”

“แดดร้อนจนเพ้อแล้ว เอาแค่วันนี้ให้ผ่านไปให้ได้ก่อนเถอะ”

เมื่อรถใช้เท้าถีบถึงบ้าน หญิงสาวก็ค้อมศีรษะ บอกขอบ คุณเขาเสียยกใหญ่..ย่าหนูซึ่งกำลังนั่งจักตอกสานตะกร้าตะแกรง เห็นสองคนกลับมาก็ได้แต่ลดแว่นสายตามองมาแล้วก็ยิ้มนิดๆ..แล้วก็คิดในใจว่า จะเป็นไปได้ไหมที่รั้วบ้านจะได้ถูกรื้อออก


“ต๊ายแม่เดลลี่เกาหลีนี่เธอคิดการใหญ่ขนาดจะลงแข่งกับ ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าเลยรึ วันนั้นฉันแค่พูดเล่นนะ..”

“แล้วเธอรู้ได้อย่างไร ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลย”

“ยะ หน้าต่างมีหูประตูก็มีหู..ให้จับ..” พรรณนานาเม้าท์ซะจนแทบไม่ต้องใช้สเปย์ฉีดน้ำลงผมขณะที่ทำการเป่าผมให้แห้งอยู่ทรง..

“ใครเอามาพูดนะ”

“ก็แม่เธอนะซิ คุยกับคนข้างบ้านว่าเธออยากลง แต่ขัดขวางไปแล้ว คนข้างบ้านมันเอาไปพูดต่อว่า เธอลงแน่นอน..ทีนี้เป็นไง..ฉันเจอะนังนารีวันก่อนมันบอกว่า..น้ำหน้าอย่างเธอลงก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เปิดหีบนับคะแนน..” แล้วคำพูดของพรรณนาก็ส่งผลให้ดวงเดือนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ...

“อีนี่ วอนมือฉันจริงๆ แรกทีเดียวฉันว่าจะไม่ลงนะเนี่ย คิดแล้วคิดอีกถึงผลดีผลเสีย..ผลดีก็คือฉันจะได้ทำอะไรที่มันดูยิ่งใหญ่เกินตัวสักครั้ง แต่ผลเสียคือถ้าแพ้ ฉันก็อาย..อาจแทรกแผ่นดินหนีเลยก็ได้..แต่นังนารีนะนังนารี..อื่ม..”

“ตกลงเธอลงใช่ไหมล่ะ ฉันจะได้ช่วยประโคมข่าว เริ่มหาเสียงให้กับเธอเสียตั้งแต่ตอนนี้ กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง หลังสงกรานต์ เธออาจจะตีคะแนนสูสีก็ได้ หรือไม่ก็ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าอาจจะไม่ลงก็ได้ จะได้ให้เธอแข่งกับคุณศรี สองคน ดีนะผู้หญิงสองคนแข่งกัน”

“มันก็เสียเกียรติผู้ชายเขาอีกซิ ผู้หญิงแข่งกัน แล้วผู้ชายอกสามศอกของหมู่บ้านหายไปไหน ใครรู้ ก็จะว่าเอาได้ ให้ผู้ใหญ่คนเก่าลงนะดีแล้ว”

“เอ๊ะแม่คนนี้คิดอย่างไร เธอกับแม่ศรีสองคน วัดกันไปเลย ”

“แต่ฉันคงแพ้เขาทั้งคู่แหละ โอเค ฉันจะลง แต่..ฉันต้องทำ ใจให้แพ้ไว้จะได้ไม่เสียใจมากใช่ไหม”

“ใครว่าเธอจะแพ้ พี่มานะไง ฐานคะแนนอย่างดี..”

“แต่เขาก็คอเดียวกันกับคุณศรีเหมือนกันนี่..”..

“เหอะน่าฉันจะจัดการให้..”

ตอนเย็นที่บ้านย่าหนูได้ต้อนรับกับมานะ นายก สมาชิก อบต. หญิงสาวเดินนำเขาไปคุยกันที่ท่าน้ำ ด้วยพอรู้ว่าเขาจะมาคุยเรื่องอะไร..

“พี่เป็นห่วงนะเดือน อย่าเลย”

“หนูตัดสินใจไปแล้วค่ะ แล้วคนมันก็เอาไปพูดสามบ้านแปดบ้านแล้วว่าเดือนจะลง..”

“แต่เดือนยังไม่ได้ลงนี่ ก็แค่ข่าวลือ อย่าเลยนะ เปลี่ยนใจได้ เชื่อพี่เถอะ..” สีหน้าและน้ำเสียงของมานะจริงจัง

“ไม่..หนูตัดสินใจแล้ว พ่ออยากให้เดือนทำอาชีพราชการ หนูเห็นว่าการลงรับสมัครครั้งนี้มันก็ได้รับใช้แผ่นดิน อยากทำอะไรเพื่อพ่อบ้าง..”

“เดือนเตรียมใจที่จะผิดหวังไว้บ้างหรือเปล่า พี่เป็นห่วงความรู้สึกของเดือนนะ มันน่าอายแค่ไหน ถ้าเดือนไม่ได้..พี่เคยมาก่อน ไม่ใช่อยู่ๆ พี่ก้าวขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ พี่เคยลงแล้วก็แพ้ ..” มานะพยายามอธิบายแต่หญิงสาวไม่ได้ใส่ใจ

“แต่วันนี้พี่ยังชนะได้ แล้วทำไมหนูจะไม่มีวันชนะบ้าง..”

“เดือน..พี่พอรู้นะว่าเดือนไม่เชื่อฟังพี่เพราะอะไร แต่พี่ยืนยันได้นะ เรื่องพ่อของเดือนพี่ไม่รู้ ไม่เห็น”

“หนูไม่ได้โทษพี่ แต่พี่ก็คือหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ก็ไม่แปลกนี่คะ ตำรวจก็ยังสงสัยพี่ สงสัยใครต่อใครมากมาย ถ้าพี่บริสุทธิ์ใจ เดี๋ยวความจริงก็ต้องปรากฏ..พ่อหนูทั้งคนนะคะ..”

“พี่ยังรักเดือนอยู่นะ” ชายหนุ่มทำท่าจะจับมือ แต่หญิงสาวสะบัดออก..

“ถ้าเดือนอยากลงการเมืองก็ไม่เห็นจะยากอะไร แต่งงานกับพี่ซิ แค่นี้สถานะทางการเมืองมันก็เกิดกับเดือนโดยปริยาย..พี่ไปงานที่ไหนๆ เดือนก็ไปด้วย”

ดวงเดือนหัวเราะนิดนึงแล้วก็พูดว่า..

“วันนี้ถ้าหนูเรียกแปดแสนแหวนเพชรต่างหากเหมือนเมื่อก่อน หนูก็คงได้ เพราะพี่นะรวยแล้วนี่..แต่หนูไม่เรียกหรอกค่ะ ถ้าจะเรียกหนูอยากให้พี่นะช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่า ใครฆ่าพ่อ แล้วเอามันติดคุกให้ได้ แค่นี้แหละค่ะที่หนูต้องการ..”

“ทำไมถึงพูดไม่รู้เรื่องนะ เมื่อก่อนเดือนไม่ใช่คนอย่างนี้นี่”

“เวลาเปลี่ยนคนค่ะพี่ หนูผ่านกาลเวลาไปหลายปีแล้ว อย่าแปลกใจที่หนูจะเปลี่ยนไป..แล้วหนูก็จะเปลี่ยนยิ่งๆ ขึ้นไป อีกถ้าพี่นะยังอยู่เห็น พี่นะ หนูไม่รู้ความสัมพันธ์ของพี่กับนารีมันแค่ไหน แต่พี่แต่งกับมันก็ดีแล้ว จากน้าเป็นแม่เลี้ยงสนิทใจดี”

“แต่พี่ไม่ได้รักนารีนะเดือน พี่รักเดือน เดือนก็รู้นี่ว่าพี่เคยรักเดือน”

“แต่พี่ก็ยังแอบไปมีวีณา ทิ้งหนูให้เศร้าเสียใจ..ทำให้หนูร้องไห้มาหนึ่งครั้งแล้ว..แต่ก็ดี ถ้าพี่ไม่มีเมียซะก่อน หนูก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นโลกกว้าง ..ไม่เป็นดวงเดือนอย่างทุกวันนี้” หญิงสาวตัดพ้อด้วยน้ำตาคลอเบ้า..มานะถอนหายใจออกมา

“งั้นเอาเรื่องผู้ใหญ่บ้านก่อนเถอะ เดือนอย่าลงนะ พี่ลำบากใจ..” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่เล่นด้วยมานะจึงวกกลับมาที่เรื่องเก่า..

“ลำบากใจอย่างไร..”

“ฐานคะแนนของหมู่บ้านเรา เดือนถามแม่เดือนซิ แม่จันทรารู้ดีว่าใครพวกใคร..พี่เองก็มีกลุ่มเครือญาติของพี่ ตอนที่พี่ได้คราวนั้น กลุ่มครูสมชายกับพวกก็ช่วยพี่ไว้..พอมาครั้งนี้ พี่ก็ต้องช่วยเขา ช่วยให้เมียเขาได้ แล้วก็มีบางกลุ่มที่รักผู้ใหญ่คนเก่าเหนียวแน่นเพราะเป็นพวกพ้องกันมาก่อน..ส่วนตัวเองจะได้กลุ่มไหน กลุ่มญาติของเดือน กับกลุ่มคนอยู่วัดที่อยู่ในคอนโทรลของหลวงพี่ แต่ทั้งหมดมันก็อยู่ในคูหาเลือกตั้ง ปากเขาว่าเอากับเรา แต่จริงๆ เขาอาจจะไม่กากบาทให้เราก็ได้ แล้วเดือนก็จะผิดหวังเสียใจ ร้องไห้ อย่าให้คนอื่นเป็นทุกข์เลยนะ”

“พี่มานะหมดเรื่องแล้วใช่ไหมคะ ถ้าหมด หนูจะขึ้นบ้าน ยังไม่ได้หาข้าวให้ย่ากินเลย..แค่นี้นะคะ” พูดแล้วก็เดินตัวปลิวกลับบ้าน และแว๊บนั้น ดวงเดือนก็เห็นรักษ์ไทยนั่งอยู่ที่ระเบียงบนเรือน สายตาเขาจับอยู่ที่ชายน้ำ..หญิงสาวรู้สึกว่าเขาคงจะรู้สึกไม่ดีที่เห็นเธออยู่กับพี่มานะ แต่เธอบริสุทธิ์ใจ..


มานะกลับถึงบ้านพบนารีและวีนัส นั่งเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ อยู่ด้วยกัน..เมื่อเห็นเขา วีนัสเพียงร้องทักว่า “ป๊า” แล้วก็หันกลับไปเล่นต่อ แต่นารีรีบละคอมฯ แล้วเดินมาหาเขาด้วยท่าทางสดชื่น

“พี่นะ ไปไหนมาคะ” มานะมองหญิงสาวในชุดรัดรูปสีดำ แล้วต้องรีบเบือนหน้าไปทางอื่น..

“ยังมีคนไปเต้นด้วยมากไหม..”

“ช่วงนี้ยังไม่ลงทำนาก็มากอยู่พี่ แต่หน้านาคงเบาลง แต่ก็มีเด็กๆ ที่ปิดเทอม ว่างงานผลัดๆ กันมา..หน้าตาไม่ค่อยดี มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า..วีนัสกินข้าวหรือยัง” มานะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นขณะเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้ว

“รู้แล้วใช่ไหม ว่าพี่เดือนจะลงสมัครผู้ใหญ่บ้าน”

“รู้แล้ว ..”

เมื่อได้ยินคำตอบ สีหน้าของนารีมีแววเยาะ..

“คงได้อยู่หรอก..ประวัติดีขนาดนั้น..ห้ามเขาหรือเปล่า”

“เขาไม่ฟังหรอก” นารีชนะในทันที..ผู้ชายหน้าโง่ทั้งนั้นหลอกเข้าหน่อยก็ติดกับ..แสดงว่าไปหามันมา ไปห้ามไม่ให้มันลง เพราะถ้าลงจะได้อย่างไร หัวคะแนนแต่ละเหล่าแต่ละก๊ก เขาล็อกกันไว้หมดแล้ว ไม่เจียมกะลาหัวตัวเองเลย..พี่มานะรักใคร่ชอบพอกับมันมานาน ก็คงจะเห็นใจมัน กลัวว่ามันจะอับอาย..คนอย่างนังเดือนมันอายอะไรเป็น..แต่คราวนี้แหละมันต้องแทรกแผ่นดินหนีแน่ๆ เธอมั่นใจ..

“ถ้าวีนัสโตกว่านี้หน่อย ..นารีก็กลับไปอยู่ที่บ้านได้นะ พี่อยู่กับลูกได้..” หญิงสาวตาลุกวาวในทันที

“หมายความว่าอย่างไรคะ..”

“พี่อาจจะแต่งงานใหม่ ถ้านารียังอยู่อย่างนี้ ผู้หญิงที่ไหนจะกล้าคุยกับพี่..” มานะบอกตรงๆ..ส่งผลให้นารีรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก..เขารู้ว่าเธอรักเขา เขารู้ว่าเธอให้ท่า ยั่วยวน แต่นี่..ทำอย่างนี้กับเธอได้อย่างไร พูดอย่างนี้ออกมา แสดงว่าในหัวใจไม่มีเธอเลยสักนิด...อยากจะกรี๊ดอย่างนางร้ายในละคร ..แต่ต้องกลั้นไว้ เพราะเธอคือนางเอก

“รอให้วีนัสโตก่อนใช่ไหมคะ อีกกี่ปีจะเรียกว่าโต แต่พี่วีณาฝากกับนารีไว้นะคะ...” ทำเป็นเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“พี่เข้าใจ แต่ความจริงก็คือความจริงนะนารี..อีกอย่างพี่ก็ไม่อยากเห็นเธอปิดตัวเองแบบนี้ ถ้าเธอกลับไปอยู่บ้านคงจะมีคนดีๆ กล้าเข้ามาหาเธอ..”

พูดจบมานะก็ลุกขึ้นเดินขึ้นชั้นบน..ส่วนนารีก็รีบกรากไปหาหลานสาวแล้วก็พูดว่า..

“พ่อหนูวีนัสไล่น้าให้กลับบ้าน มันต้องมีเบื้องหลังแน่ๆ เลย เป็นเพราะนังเดือนแน่ๆ ที่บอกกับพ่อหนู ..
วีนัสอย่ายอมนะ อย่าให้คนอื่นมาแทนที่แม่หนูได้นะ..” เมื่อได้ฟังคนเป็นน้า เด็กหญิงสาวละคอมฯแล้วรีบวิ่งขึ้นเรือนไปทันทีเช่นกัน..


และในบริเวณตลาดนัดสินค้าหน้าโรงเรียนในช่วงเย็นวันพุธ ดวงเดือนได้เดินสวนกับครูนารี ครูสอนนักเรียนเตรียมอนุบาล ผู้ซึ่งรับหน้าที่ของสภาตำบลพาคนในชุมชนเต้นแอโรบิก ออกกำลังกายป้องกันการเกิดโรคภัย..เมื่อเดินสวนกัน ยังไม่ทันที่ดวงเดือนจะเอ่ยทัก คนที่ตั้งใจว่าจะต้องเอาเรื่องก็ปรี่เข้ามาหาทันที

“นังเดือน” น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าเกลียด.. ดวงเดือนชายตามองไปรอบๆ รู้ว่า คนอย่างนารีพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้.. หญิงสาวจึงพยักหน้าให้ไปตรงที่ปลอดคน..

“มีอะไรกับฉัน..จริงๆ เมื่อก่อนฉันเคยได้ยินเธอเรียกฉันว่าพี่เดือน ..แต่ไม่เป็นไรหรอก เธอคงมีเรื่องอะไรไม่พอใจฉันเป็นแน่..” คนพูดก็พยายามข่มอารมณ์แต่น้ำเสียงคู่สนทนายิ่งทำให้พลุ่งพล่าน

“รู้ตัวก็ดีแล้ว..ไม่อ้อมค้อมเลยนะ เรื่องพี่นะไง..ฉันพูดได้คำเดียวว่าอย่ายุ่งกับเขา”

“ฉันก็ไม่ได้ยุ่งกับเขา เขาบอกเธอหรือเปล่า ฉันรู้ว่าเขารักฉันมาก แต่ฉันก็รู้ว่าเธอรักเขามาก เช่นกัน..แต่พี่มานะเขาก็ไม่รักเธอ..ฉันบอกให้เขาไปแต่งงานกับเธอซะจะได้ดูแลลูกเต้าเป็นครอบครัวกันไป ..แต่มันสิทธิ์ของเขา ฉันห้ามไม่ได้..เธอก็คงจะรู้ว่าเพราะอะไร”

“เพราะเธอกลับเข้ามาในหมู่บ้านไง ชีวิตที่ฉันคิดไว้มันถึงได้เป็นอย่างนี้..”

“นั่นมันเรื่องของเธอกับเขา ฉันไม่เกี่ยว..”

“เกี่ยวซิ แกออกไปจากหมู่บ้านซะ”

“นี่ ถ้าเธอยังพูดกับฉันไม่เพราะ จะหาว่าฉันไม่เตือน ฉันก็บอกอยู่นี่ไง ว่าฉันไม่ได้อะไรกับเขาแล้ว..ฉันเปิดทางให้เธอเต็มที่ ฉันบอกเขาแล้วด้วยซ้ำ”

“ตอแหล คุยกับฉันอย่าง คุยกับเขาอย่างนะซิ”

“กรรมที่เธอชอบใส่ร้ายคนอื่นมากกว่า เธอก็รู้ว่าฉันเป็นอย่างไร ตัวเธอเองเป็นอย่างไร..”

นารีกำหมัดแน่น..

“เธอก็รู้นี่ว่าฉันอยู่ชมรมเทควันโด อย่าเสี่ยงตบฉันก่อน จะหาว่าฉันไม่เตือน..โปรดระงับอารมณ์ด้วย” ทำท่าใจเย็นอย่างเป็นต่อ..

“คิดว่าฉันจะกลัวแกเหรอ” ว่าแล้วก็กระโดดเข้ามากระชากผมทันที มีรึที่คนอย่างดวงเดือนจะยอมให้ใครมาทำร้ายง่ายๆ..ช่วงชุลมุนกันอยู่นั้น ชาวบ้านที่เดินซื้อของกันอยู่ ก็รีบวิ่งมาเชียร์ ..เฮ้ย..มาห้ามกันยกใหญ่ สุดท้ายเรื่องไปจบลงที่โรงพัก..

เมื่อเห็นคู่วิวาท ร้อยเวรถึงกับปั้นหน้าเมื่อย..ดวงเดือนนั่งไขว่ห้างบอกเล่าในอิริยาบถสบายๆ แต่นารีที่มีขอบตาเขียวช้ำ ร้องห่มร้องไห้ขอความเห็นใจ..

“พระเจ้าเป็นพยานให้ฉันได้ว่าน้องนารีผู้มีรูปเป็นทรัพย์ทำฉันก่อนนะคะ” หญิงสาวทำใจเย็น

“แต่มันทำฉันจนสะบักสะบอม”

“ฉันแค่ป้องกันตัว..”

ทั้งสองยังคงเถียงกันไปมา จนกระทั่ง มานะและแม่ของดวงเดือนมาถึง..

“โอเคครับ เสียค่าปรับทั้งคู่ครับ ฐานทะเลาะวิวาทกันในที่ชุมชน”

ตัดสินคดีได้แล้วจึงถอนหายใจออกมา มานะรีบรั้งนารีลงจากสถานีตำรวจ ส่วนแม่ของดวงเดือนก็ขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้านโดยไม่สนใจว่าลูกสาวจะกลับอย่างไร.
.
“ผมไปส่งให้ได้นะครับ..ถ้าคุณต้องการ..” ร้อยตำรวจหนุ่มทำท่าหวาดๆ อยู่เหมือนกัน..



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ย. 2554, 20:07:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ย. 2554, 20:07:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1614





<< ุ6.“นี่มันสไตล์สาวเกาหลี ญี่ปุ่นโว้ย..”   8. “หนูแพ้ไม่ได้หรอกคะ หนูต้องชนะเท่านั้น” >>
minafiba 26 ก.ย. 2554, 22:20:14 น.
^___________^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account