จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒๕

--- แวะคุย ----

บทนี้ยาวมากค่ะ กว่าจะเข้าใจกันล่อจนปวดหลัง
ไปแล้วนะคะ ขอบคุณที่มาเม้นกับอ่านนะคะ
ฝากเพลงนี้ให้ฟังระหว่างอ่าน
http://www.youtube.com/watch?v=mPryE0BHZ00

------------------------

บทที่ 25

ศศิวิมลสะพายกระเป๋าเดินลากเท้ากลับเข้าในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทรด้วยความเหนื่อยอ่อน ดวงหน้าหวานหมองเหมือนคนป่วยหนักแต่พยายามฝืนหยัดยืนอยู่ต่อ ดวงตาคู่สวยเลื่อนลอยดังกับวิญญาณถูกฉุดกระชากออกจากร่างทิ้งไว้เพียงซากที่ยังมีลมหายใจ

ความมืดมิดกัดกินหัวใจให้ตายลงไปทีละน้อยหากจะเปรียบเป็นสีเลือดทุกอณูในร่างกายคงกระจายไปด้วยเลือดเสียและความทุกข์นี้เองที่ทำให้หญิงสาวสร้างกำแพงล่องหนล้อมกรอบตัวเองให้กลายเป็นคนเงียบขรึมแข็งกระด้างเพื่อไม่ให้ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ปรากฏสู่สายตาใครให้สมเพชเวทนา

ยายช้อยเดินออกจากครัวพร้อมกับคนรับใช้เก่าแก่ไม่กี่คนเตรียมจะกลับเข้าห้องพักแต่พอเห็นใครเดินเข้ามาก็โบกมือให้ทุกคนกลับไปก่อนแล้วยืนรอคนตัวเล็กอยู่ตรงบันได

“ คุณเล็กกลับมาแล้วเหรอคะ ทานข้าวมาหรือยังคะ...วันนี้ยายทำแกงพะแนงหมูกับผัดฟักทองที่คุณเล็กชอบไว้ด้วยนะคะ เดี๋ยวยายไปอุ่นร้อนให้จะได้กินเลยดีไหมคะ ” นางถาม แววตาฉายแววกังวลใจกับความเป็นไปของอีกฝ่าย

“ อย่าเลยค่ะ เล็กไม่ค่อยหิว ” หล่อนปฏิเสธเสียงเนือย

“ ยายก็เห็นคุณเล็กไม่หิวตลอด...คุณเล็กเล่นไม่หิวเลยไม่ถามอะไรเลยจนผอมเห็นแต่กระดูกแล้วนะคะรู้ไหม ไม่เอาล่ะวันนี้เป็นตายร้ายดียังไงยายต้องให้คุณเล็กทานข้าวให้ได้เลย ” หญิงชราหันหลังทำท่าจะเข้าครัวไปอุ่นอาหารแต่ถูกฝ่ามือเย็นรั้งไว้ให้อยู่ก่อน

“ เล็กเหนื่อยนะคะ ถึงยายช้อยอุ่นมาเล็กก็ทานไม่ลงอยู่ดี ”

“ ถ้าเหนื่อยหนักทำไมไม่พักล่ะคะ คุณมลเธอก็อยู่กับหมอกับพยาบาลทั้งวัน แถมยัยสมมันก็ไปเฝ้า คุณเล็กจะไม่ไปโรงพยาบาลสักวัน คุณมลเธอก็คงไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ ”

หญิงสาวฟังคำและความห่วงใยของคนตรงหน้าก็ได้แต่ยิ้มอ่อน สูดลมหายใจครุ่นคิดอะไรบางอย่างสักครู่ก็ขอตัวขึ้นไปพักผ่อนเพื่อเลี่ยงการตอบคำถามอื่นที่พร้อมจะทยอยมาหากอยู่นาน ทว่าก่อนจะก้าวเท้าขึ้นบันไดไปหล่อนกลับหันมากอดทำเอาผู้สูงวัยกว่าถึงกับสะดุ้งตกใจ

“ วันไหนที่เล็กไม่อยู่ที่นี่แล้ว ยายช้อยจะคิดถึงเล็กไหมคะ ”

ยายช้อยโอบร่างบางไว้พลางลูบหลังปรอยเหมือนปลอบเด็กเล็ก ขมวดคิ้วให้กับคำถามที่คล้ายเป็นลางนั้น

“ ทำไมคุณเล็กถามยายอย่างนั้นล่ะคะ ทำอย่างกับว่าคุณเล็กจะไปไหนจากที่นี่อย่างนั้นแหละ ”

“ เปล่าหรอกค่ะ เล็กก็แค่ถามไว้เผื่อว่าวันหนึ่งเล็กไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ จะได้รู้ว่ามีใครคิดถึงเล็กบ้างเท่านั้นเอง ”

“ โถ คุณเล็กขา ถ้าคุณเล็กไม่อยู่มีหรือคะที่ยายจะไม่คิดถึง ไม่เฉพาะยายหรอกคะ คนอื่นในบ้านก็คิดถึงคุณเล็กด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณภาคคงเสียใจแย่ ”

คนอ่อนเยาว์กว่าซบหน้าลงบนบ่าของหญิงชรา ริมฝีปากเหยียดยิ้มอย่างเศร้าสร้อย ส่วนหนึ่งก็ดีใจที่แม้ไม่มีโอกาสอาศัยที่นี่ก็ยังมีคนคิดถึง ส่วนอีกใจหนึ่งนั้นก็หดหู่ในความไม่รู้ของคนในบ้านถึงสายสัมพันธ์รักอันจอมปลอมนี้

“ เล็กรักยายช้อยนะคะ รักทุกคนที่นี่เหมือนกับที่รักป้าพิณ ”

“ ยายก็รักคุณเล็กเหมือนกันค่ะ...ยายเห็นคุณเล็กเป็นลูกเป็นหลานแท้ๆของตัวเองเสียด้วยซ้ำนะคะ ” นางบอกพร้อมลูบศีรษะคนในอ้อมแขนไว้อย่างนุ่มนวลก่อนที่ร่างเล็กจะดันตัวออกจากอ้อมแขนมาส่งยิ้มอ่อนให้

“ เล็กไปอาบน้ำก่อนนะคะ...ขอบคุณยายช้อยมากนะคะ ” ว่าเท่านั้นก็เดินขึ้นบันไดหายเข้าห้องไป

เสียงเปิดสวิตซ์ไฟทำให้ห้องนอนกว้างสว่างขึ้นทันใด ศศิวิมลก้าวเท้าไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองแล้ววางกระเป๋าสะพายแขวนไว้ตรงเก้าอี้ หยิบเอาหนังสือหางานเล่มใหญ่กับซองเอกสารสีน้ำตาลวางไว้บนโต๊ะแล้วมุดลงข้างใต้ดึงเอากล่องกระดาษใบใหญ่ใส่ดอกไม้จันจำนวนมากมามัดปิดกล่องไว้ด้วยเชือก ใช้ปากกาเขียนกำกับว่าเป็นสิ่งใดไว้เพื่อง่ายต่อการใช้ง่าย

หล่อนเริ่มทยอยเก็บของส่วนตัวจากในตู้เสื้อผ้ากลับลงไปในหีบ เรียงไว้เป็นระเบียบเหมือนในตอนแรกที่มาถึง เลือกเอาชุดนอนเสื้อกับกางเกงขาสั้นลายการ์ตูนได้ก็หายเข้าไปอาบน้ำ กลับออกมาอีกครั้งก็เปิดหางานอีกสักพักมือเรียวก็คว้าซองเอกสารมาเปิดดูใบหย่าที่ได้เซ็นต์ไว้เรียบร้อยรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยกับการตัดสินใจนี้แม้จะรู้ดีว่าการปล่อยคนรักไปเป็นทางที่ดีที่สุด

ก่อนจะไปใช้ชีวิตบนลำแข้งของตัวเองก็ควรหย่าขาดกันเสียให้เรียบร้อย คืนสินสอดที่ได้รับทั้งหมดกลับไปเพื่อไม่ให้มีเรื่องติดค้างคาใจกับใคร ยิ่งกับภาควัฒน์แล้วถึงจะจากกันไปแต่อย่างน้อยหากมีวันใดที่เรื่องของหล่อนแว่บเข้ามาในหัวก็อยากให้เขาจดจำภาพที่ดีมากกว่าการเป็นตัวภาระสร้างความเดือดร้อน

...หลังจากพูดคุยกันเรื่องหย่า วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่จะได้อาศัยอยู่ที่นี่...

คนตัวเล็กทอดมองสูทสีดำเนื้อดีที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าจึงเดินเข้าไปใกล้ มือเล็กลูบไปตามแนวตะเข็บราวกับจะซับเอาไอละมุนที่อาจหลงเหลืออยู่ยังคงอาลัยอาวรณ์ถึงผู้เป็นเจ้าของก่อนจะถอนหายใจกลับไปทรุดลงนั่งพับเพียบกับหน้าหีบโบราณหยิบเอาซออู้ออกจากถุงดึงคันชักขึ้นสี

ทำนองเพลงเนิบช้าเต็มไปด้วยความรันทดท้อคล้ายกลั่นจากดวงใจในกายบางที่ยอมรับความจริงแล้วว่า ไม่มีวันได้เข้าไปนั่งกลางใจชายผู้เป็นที่รักได้

คนที่ยืนอยู่ด้านล่างได้ความกลัดกลุ้มแหงนหน้าจากชานบันไดสูงขึ้นไปยังเฉลียงหินอ่อนแว่วเสียงสำเนียงซออันโศกสลดก็นึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาดหวั่นเหลือเกินว่าจะต้องอำลาจากหญิงสาวไปตามคำที่กล่าวไว้ก่อนหน้าแต่พอได้ยินเสียงบางสิ่งกระทบหลังคาก็หันไปมองตรงหน้าประตูคฤหาสน์จึงได้เห็นคุณหนูของตนวิ่งฝ่าเม็ดฝนที่ตกกระหนำอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเปียกโชกไปทั้งตัว

“ เล็กกลับมาหรือยังครับ ” แทนที่จะขอผ้าเช็ดตัวกลับถามถึงผู้เป็นภรรยาด้วยความร้อนใจ

“ เพิ่งกลับมาไม่นานนี้เองค่ะ หมู่นี้คุณเล็กเธอเป็นอะไรไม่รู้พูดจาแปลกๆอยู่เรื่อย เมื่อกี้ก็พูดเป็นลางทำเอายายใจคอไม่ดีอีกแล้ว ” นางว่าพยายามจะช่วยดึงสูทออกจากแขนล้ำให้

“ เล็กเขาพูดว่ายังไงครับ ”

“ คุณเล็กเธอบอกว่า ถ้าเธอไม่อยู่ที่นี่แล้ว ยายจะคิดถึงเธอไหม พอเธอพูดแบบนี้ ยายก็...อ้าว คุณภาคจะรีบไปไหนคะ ให้ยายเอาผ้าเช็ดตัวมาให้ก่อนไม่ดีกว่าหรือคะ ” นางร้องเสียงหลงในนาทีที่เห็นทายาทคนเดียวของวิสุทธิ์สุนทรกระโจนพรวดขึ้นบันไดทิ้งไว้เพียงรอยน้ำหยดเป็นทาง

ศศิวิมลแลสายน้ำฝนพร่างพรมกระทบบานหน้าตาท่ามกลางนภางค์ทะมึนมืดไร้เดือนดาวทั้งที่ยังขมับคันซอชักเป็นบทเพลง เสียงหวานร้องคลอประสานตามไปทำให้บรรยากาศในห้องล้นรื่นด้วยความมัวมน

...จันทร์เอ๋ยเคยสว่าง ไยจางแสง
หรือจันทร์แกล้ง เย้าว่าน้องอกหมองไหม้
ลมเจ้าเอ๋ยเคยโชยรื่น ชื่นหัวใจ
เป็นอะไร จึงสงัดไม่พัดเลย
ดาวเอ๋ยดาวพราวฟ้าไกล เห็นไหวยิบ
ดาวกะพริบตาเยาะเรา หรือดาวเอ๋ย
จักจั่นสนั่นเพรียก เรียกคู่เชย
เหมือนจะเย้ย ว่าเราไม่มีใครปอง…

หญิงสาวยังคงบรรเลงซอไปเรื่อยโดยมิรู้เลยว่าเสียงของมันทำเอาคนฟังหัวใจร้าวลึก...ทุกขณะที่ย่างเท้าเข้าใกล้คนบรรเลงที่นั่งหันหลังหาหน้าต่าง มองเห็นข้าวของที่จัดเก็บเตรียมจากลา...มือเรียวใหญ่พลิกดูหนังสือหางานที่มีรอยแดงวงไว้เป็นจุดจึงได้เห็นใบหย่าสอดอยู่ข้างใต้ชวนให้คำของรสาลอยมาแว่วข้างหู

...ขอเพียงพูดคำเดียวเล็กก็พร้อมจะปล่อยเขาไป...

ชายหนุ่มสูดลมหายใจหนักทำให้คนสีซอชะงักหยุดเล่นแล้วเอี้ยวตัวมาด้านหลังพอเห็นว่าเป็นใครก็เม้มริมฝีปากแน่นเกือบจะลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้แต่เขากลับเปิดตู้หยิบเอาเสื้อคลุมหายเข้าห้องน้ำไปโดยไม่พูดจากันสักคำ

เสียงน้ำไหลจากฝักบัวเป็นจังหวะเดียวกับที่คนตัวเล็กเช็ดรอยน้ำออกจากพื้น...นัยน์ตาหม่นเมื่อคิดถึงการแต่งงานจอมปลอมที่ใกล้สิ้นสุดลงทุกที

ภาควัฒน์ปิดเปลือกตาปล่อยให้สายน้ำราดรดเรือนผมจรดปลายเท้าหวนคำนึงถึงวันคืนอันเปล่าเปลี่ยวในอเมริกา ผจญอยู่กับการถูกเหยียดหยามกระทั่งความโหดร้ายทั้งมวลจนผ่านพ้นเป็นผู้เป็นคนมาได้มิใช่เพราะครอมเวลหยิบยื่นโอกาสให้เท่านั้นหรอก เพราะส่วนลึกในก้นบึ้งของหัวใจก็รู้ดีว่ามีน้ำทิพย์จากใจคนตัวเล็กคอยเป็นกำลังชโลมให้หยัดยืนไหว

ทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดทำให้คิดอยากปิดฉากบทบาททายาทอันดับหนึ่งของครอมเวลกลับมาใช้ชีวิตอย่างที่เคยมีเพื่อจะได้โอบกอดคนรักได้เต็มกำลัง ทว่าการถอนตัวออกมาไม่ใช่เพียงคืนทุกอย่างให้แล้วหมายความว่าทุกอย่างจะจบ ลำพังเพียงชีวิตตัวเองจะเดือดร้อนหรือตายหาได้คณา หากที่หวาดกลัวเสียยิ่งกว่าคือการที่คนรักจะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องในห่วงโซ่นี้ด้วย

หมัดแข็งชกเอาข้างผนังกระเบื้องอย่างแรงจนเลือดซึมอาบลงไปในอ่างสีขาวแล้วไหลลงท่อระบายน้ำ...ทั้งที่สัมผัสได้ถึงความร้าวรานทรมานปานขาดใจแต่ก็ไม่อาจเยียวยารักษาให้หาย...พะวักพะวงไม่กล้าก้าวเท้าลงบนถนนทั้งสองสายด้วยรู้ว่าปลายทางสุดท้ายต้องลงเอยด้วยความเจ็บปวดของใคร

หลังจากรอคอยอยู่นานเกือบชั่วโมงหญิงสาวก็ผุดลุกจากพื้นในทันทีที่เห็นเขาเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า รวบรวมพลังทั้งหมดในกายเพียงเพื่อจะได้เริ่มต้นปิดฉากความสัมพันธ์จอมปลอมที่ดำเนินกันมาหลายเดือนเสียที

“ พี่ภาคค่ะ ” เปล่งเรียกไว้แต่คนตัวใหญ่กลับทำเหมือนไม่ได้ยินเดินเลยไป กระนั้นหล่อนก็รู้ดีว่าเขาฟังอยู่จึงสูดลมหายใจยาวแล้วเอ่ยคำสำคัญออกไป “ เล็กคิดว่าเราหย่ากันเถอะค่ะ ”
หลังจากประโยคนั้นหลุดจากริมฝีปากหล่อนก็กลั้นใจรอฟังคำตอบ ผ่านไปหลายอึดใจก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่ในที่สุดเขาก็หลุดพูดออกมา

“ ยังไม่ถึงเวลา ” เปล่งเสียงห้วนทั้งที่ใบหน้าคมคายที่สะท้อนผ่านกระจกเต็มไปด้วยความเจ็บปวดไม่ต่างกัน

“ แต่ว่า ตอนนี้ป้าพิณก็ไม่อยู่แล้ว เล็กก็ไม่รู้ว่าเราสองคนจะแกล้งทำเป็นรักกันไปทำไม อีกอย่างถึงเล็กอยู่ที่นี่ต่อไปมันก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าเราหย่ากันซะทุกอย่างก็คงจะกลับไปเป็นเหมือนตอนที่พี่ภาคกลับมาใหม่ๆ ” ...เป็นชีวิตที่ไม่เคยมีหล่อนอยู่ในความทรงจำ เป็นคำต่อท้ายที่ไม่กล้าเปล่งออกมาให้ได้ยิน

“ อยากหย่าขนาดนั้นเลยเหรอ ”

“ ก็คนไม่ได้รักกันอยู่ด้วยกันต่อไปก็มีแต่อึดอัดใจกันเปล่าๆ เล็กไม่อยากเป็นภาระของใครหรือทำให้ใครลำบากใจอีกแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราหย่ากันซะ พี่ภาคก็จะได้มีอิสระ อยากจะไปไหน อยากทำอะไรยังไงก็ได้ แต่ถ้าพี่ภาคห่วงว่าถ้าเราหย่ากันแล้วจะยุ่งยากเรื่องงานศพ เล็กสัญญาค่ะว่าถึงเราสองคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เล็กจะรับผิดชอบดูแลงานศพป้าพิณให้จนเสร็จ ” หล่อนแสร้งยิ้มทำเหมือนไม่รู้สึกใดเลยทั้งสิ้น

บานประตูตู้เสื้อผ้าถูกกระแทกปิดเสียงดังทำเอาคนพูดสะดุ้งเฮือก ยิ่งเห็นเขากำหมัดใกล้เข้ามาก็รู้สึกกลัวจนต้องก้มหน้าปล่อยให้เขาจับต้นแขนทั้งสองของตนไว้

“ ก็บอกแล้วไงว่ายังไม่ถึงเวลา ไม่เข้าใจที่พูดหรือยังไง ”

“ แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลาล่ะคะ ยังไงวันหนึ่งการแต่งงานหลอกๆครั้งนี้มันก็ต้องจบลงอยู่แล้ว จะช้าหรือเร็วมันก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ ”

“ รู้ได้ยังไงว่าไม่ต่างกัน ” คิ้วเข้มของคนตรงหน้าเลิกสูงขณะถาม...คนฟังเบือนสายตาไปอีกทางอย่างเลื่อนลอยริมฝีปากแย้มทีละนิด

“ เราสองคนอยู่ด้วยกันเพราะเงื่อนไขของคนอื่นไม่ใช่เพราะความรัก ถึงจะอยู่หรือจะไปสถานะของเล็กสำหรับพี่แล้วก็คงเป็นแค่คนรู้จักเท่านั้นเอง แล้วจะรออะไรล่ะคะ หรือว่าพี่ภาคกลัวว่าถ้าเล็กไปจากที่นี่แล้วจะไม่มีที่ไป ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่ากลัวเลยค่ะ ถึงเล็กจะเป็นนกในกรงทองแต่ถ้ามันหลุดออกมาได้ สัญชาตญาณคงทำให้มันอยู่รอดได้ อาจจะลำบากหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับตายหรอกค่ะ ”

“ ฉันไม่หย่า ” คนตรงหน้าเน้นคำหนักชัดเจนแล้วขบกรามแน่น

“ ทำไมล่ะคะ ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาเล็กไม่เคยทำประโยชน์ให้เลยสักอย่างมีแต่สร้างความเดือดร้อนให้พี่อึดอัดใจ เล็กอาจจะโง่แต่ไม่ใช่ไม่รู้ว่าความเย็นชาของพี่มันหมายความว่ายังไง เพียงแต่ตอนแรกเล็กไม่อยากยอมรับ เล็กเอาแต่หลอกตัวเองว่าจะสามารถอยู่เคียงข้างพี่ภาคตลอดไปได้ ทั้งที่ความจริงมันก็คือการหลอกตัวเอง เล็กไม่อยากหลอกตัวเองแล้วทำให้ใครเดือดร้อนอีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะหลอกตัวเองยังไง สุดท้ายเล็กก็เปลี่ยนความจริงที่ว่า เราไม่ได้รักไม่ได้อยู่ดี ” หล่อนเอ่ยเนิบช้าพลางสูดลมหายใจในทุกคำ
เมื่อเลือกกำหนดเส้นทางของตัวเองโดยปราศจากอิทธิพลความคิดของผู้เป็นป้าแม้นจะต้องทนถูกความทุกข์ตรมบาดดวงใจให้เป็นแผลลึกล้ำก็ไม่ประหวั่นรำพันต่อใคร ยอมแบกรับความร้าวระบมไว้บนบ่าถือเสียว่าชาตินี้เกิดมาใช้หนี้กรรมและความรัก

...ขอเพียงสิเน่หายังกรุ่นหอมในห้วงคำนึงก็เสมือนหนึ่งมีแก้วมณีถือครองไว้ให้อุ้งมือ...

“ พี่ภาคเป็นคนดี มีโอกาสได้เจอผู้หญิงดีๆอีกมาก การหย่าครั้งนี้เล็กไม่ต้องการอะไร สินสอดหรือสินสมรสทั้งหมดเล็กก็ไม่อยากได้ เพราะสำหรับเล็กแล้วไม่มีอะไรมีค่ามากไปกว่าความทรงจำที่เล็กมีต่อพี่อีกแล้ว มันจะเป็นความฝันที่ดีที่สุดของเล็ก ถึงแม้พี่จะไม่เคยจำเล็กได้เลยก็ตาม ” ทุกคำที่เปล่งออกมาเครือสั่นหันมาสบสายตาเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง

การปล่อยคนรักให้ได้อิสรภาพถือเป็นความสุขเดียวที่คนไร้ค่าอย่างหล่อนจะมอบให้ได้ ต่อให้ภายในอกต้องระกำกลัดหนองแทบประคองตัวยืนไม่ไหวก็ยังดีกว่าเหนี่ยวรั้งไว้ให้เป็นหนี้เวรติดค้างกัน...เพียงคิดถึงตรงนี้หยาดน้ำอุ่นจากดวงตาคู่สวยซึ่งเหือดหายเนิ่นนานกลับท้นเอ่อ แม้นจะเพียรปาดทิ้งนับครั้งไม่ถ้วนความอ่อนแอพ่ายแพ้ก็ยังคงเผยธาตุแท้ของมันออกมาอย่างต่อเนื่อง

ภาควัฒน์แลความขมขื่นบนดวงหน้านวลแล้วเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มทลายแหลกสลายอยู่ตรงหน้า ดวงใจอันแกร่งกล้าดั่งหินผายากสูญสลายพลันแตกกระจายเป็นเสี่ยงจากอานุภาพของความรักมั่นที่ไม่เคยประสงค์สิ่งใดตอบแทน...พลังมหาศาลนั้นรุนแรงเกินกว่าจะเมินเฉย ในเสี้ยววินาทีนั้นความลังเลใจว่าจะก้าวไปยังถนนเส้นใดยุติลงในทันทีที่เขาเลือกก้าวลงบนถนนสายหัวใจ ต่อให้ต้องแลกกับทุกสิ่งที่มีหรือกระทั่งชีวิต หากมันจะปัดเป่าความทุกข์ลงได้ก็พร้อมมอบให้

เจ้าของห้องนอนปล่อยแขนทั้งสองข้างของคนตัวเล็กแล้วหมุนตัวกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเอาตะกร้าหวายใบใหญ่มาเทจดหมายทั้งหมดเป็นร้อยฉบับลงบนพื้น ตามด้วยข้าวของทำด้วยมืออีกจำนวนมากซึ่งถูกหุ้มไว้ในซองพลาสติกกันกระแทกและกันฝุ่นอย่างดีบ่งบอกถึงความสำคัญที่มีต่อผู้เก็บรักษา

ศศิวิมลก้มลงกวาดสายตามองของบนพื้นทุกชิ้นก็จำได้ว่า มันเป็นของที่ตัวเองเพียรส่งไปในต่างแดนโดยไม่กล้าลงชื่อผู้ส่งเพราะกลัวว่าเขาจะไม่รับ แม้นจะไม่ได้รับการตอบกลับใดก็ยังคงส่งไปเพราะเชื่อว่าถึงเขาจะทิ้งลงถังขยะแต่อย่างน้อยก็คงทำให้รู้ว่ามีคนคิดถึงเขาอยู่ และนอกเหนือจากนั้นยังมีจดหมายในซองจดหมายลายดอกไม้เขียนจ่าหน้าถึงหล่อนเป็นภาษาอังกฤษด้วยลายมือหวัดอันคุ้นเคย...เป็นจดหมายตอบกลับจากคนไกลที่เขียนขึ้นจากใจทว่าเก็บไว้ไม่ยอมส่ง

“ นี่อะไรคะ ” คำถามอ่อนเบาราวเสียงกระซิบ ถือจดหมายทั้งฉบับไว้ด้วยมือสั่นเทาเหลือบสูงผ่านม่านน้ำตายังใบหน้าคมคายอันพร่าเลือกของชายหนุ่มตรงหน้าแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยนานับประการ ขยับริมฝีปากจะเอ่ยอีกหากทุกเสียงก็ถูกกลืนหายไปในนาทีที่ถูกลำแขนแข็งแรงดึงร่างเข้าไปกอดไว้แน่น

“ พี่ขอโทษ ” เขาซบหน้าหน้าลงบนกระหม่อมสูดดมกลิ่นหอมของเรือนผมนุ่ม กระซิบคำสั้นเรียบง่ายแต่แฝงแววเศร้ารันทดให้คนฟังได้รู้สึกถึงความทุกข์ที่มีไม่ต่างกัน

“ ขอโทษทำไมคะ พี่ภาคไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย พี่ภาคดีกับเล็กมากขนาดนี้จะเป็นคนผิดได้ยังไง ”

“ มันเป็นความผิดของพี่เอง ถ้าพี่กล้าพอจะแสดงความรู้สึกออกมาให้เล็กรู้ ถ้าพี่ยอมรับเสียงหัวใจตัวเองตั้งแต่แรกที่เราพบกันอีก ถ้าพี่เลิกหลอกตัวเองว่าเล็กไม่ได้มีความหมายกับชีวิตพี่ได้เร็วกว่านี้ เล็กคงไม่ต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดคนเดียวแบบนี้ แล้วจะบอกพี่ไม่ผิดได้ยังไง ” อ้อมแขนกระชับแน่นราวกับจะซึมซับความรู้สึกทั้งหมดของคนในอ้อมแขนมาแบกไว้แต่เพียงผู้เดียว

“ พี่โกหกตัวเองมาตลอดว่าลืมเล็กไปหมดแล้ว ทั้งที่ความจริงตลอดสิบปีมานี้ไม่เคยมีวันไหนเลยที่พี่จะลบเล็กออกจากความทรงจำได้เลย ไม่ว่าจะพยายามลืมขนาดไหน ถึงจะเปลี่ยนตัวเองเป็นใคร พี่ก็ไม่เคยลบเล็กออกไปได้สักที เล็กเป็นคนเดียวที่ทำให้คนโดดเดี่ยวอย่างพี่รู้ว่ามีคนรอคอยพี่อยู่ ทำให้พี่รู้ว่าตัวเองมีลมหายใจต่อได้เพราะใคร ทั้งที่เล็กสำคัญกับพี่ ทั้งที่พี่ไม่อยากให้ใครทำร้ายเล็ก แต่พี่กลับเป็นฝ่ายทำร้ายเล็กซะเอง ”

คนตัวใหญ่ยกมือทั้งสองข้างประคองหน้านวลของคนตัวเล็กให้เผชิญหน้าให้มองเห็นสายตาคมที่วิงวอนร้องขออย่างคนที่พ่ายแพ้หมดท่า

“ ตอนนี้ยังทันไหมถ้าพี่จะยอมรับเสียงหัวใจตัวเอง มันยังทันอยู่ไหมถ้าพี่จะขอกลับมาเป็นพี่ภาคคนเดิมของเล็ก คนที่คอยอยู่เคียงข้างเล็กเสมอ คนที่เล็กเคยเอาทุกเรื่องในใจมาให้พี่ช่วยแบกรับไว้ เล็กเจ็บตรงไหนก็บอกพี่สิคะ ขอโอกาสให้พี่เป็นคนรักษาหัวใจเล็กได้ไหม พี่ยังมีโอกาสอยู่ไหมคะ ”

ถ้อยคำสารภาพความในใจพรั่งพรูออกมาด้วยแววน้ำเสียงอ่อนละมุน ใบหน้าคมคายคลายความเรียบเฉยกลับมามีอารมณ์ความรู้สึกเช่นบุรุษหนุ่มธรรมดาที่มีเลือดเนื้อและความรักให้คนตรงหน้าเสมอ

ลมหายใจของหญิงสาวขาดเป็นห้วง...ความอุ่นซ่านแผ่ขยายลึกลงกลางใจ สัมผัสได้ถึงความผูกพันที่ไม่เคยเสื่อมสลาย ประกายระยับในดวงตากับรอยยิ้มอวดฟันเขี้ยวเจ้าเสน่ห์หวนให้คำนึงถึงอดีตหนหลังที่ทั้งสองมีร่วมกันมาก็ทำให้น้ำตายิ่งพรากไหล

มือนุ่มวางลงบนข้างแก้มสากระคายจากไรหนวดสั้นขยับตัวเข้าไปหาปรารถนาเพียงจะเห็นเขาให้ใกล้กว่าอีกสักหน่อยเพื่อที่จะสามารถยืนยันกับตัวเองได้ว่า นี่ไม่ใช่ภาพลวงตาก่อนจะซุกซบลงไปบนแผงอกหนา

“ เล็กอยู่กับพี่ภาคได้จริงๆใช่ไหมคะ ” ถามซ้ำอยากย้ำให้แน่ใจ

“ พี่สัญญา ตราบใดที่พี่ยังมีลมหายใจอยู่ ไม่ว่าเล็กอยู่ที่ไหนพี่ก็จะอยู่กับเล็กที่นั่น ”

ภาควัฒน์ตอบรับหนักแน่นโอบกอดพลางลูบประโลมแผ่นหลังบางไว้ปล่อยให้ศศิวิมลสะอื้นไห้อย่างหนักปลดปล่อยทุกความชอกช้ำที่พันธนาการตัวเองไว้ให้คนตรงหน้าช่วยเยียวยา

ต่างฝ่ายต่างยอมให้ความรักเดินเข้ามาปลดเปลื้องความเมื่อยล้า เตือนให้ตระหนักรู้ว่า นับจากนี้ต่อให้ต้องเจอเรื่องเลวร้ายมากเพียงใดขอเพียงมีกันและกันอยู่ก็ไม่มีอะไรที่สำคัญมากไปกว่านี้อีกแล้ว
--------------------------------------

สายฝนเทกระหนำลงมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจนถึงดึกทำให้วันนี้เป็นอีกคืนที่มีลูกค้าในฝั่งร้านอาหารบางตาเพราะนักเที่ยวไหลกันไปกระจุกอยู่ในผับทำให้เจ้าของร้านสาวตัดสินใจปิดให้บริการอาหารเร็วกว่ากำหนดเพื่อไม่ให้เปลืองไฟและอยากกลับบ้านไปพักผ่อนจากเรื่องที่ประสบไม่ว่าจะเรื่องเพื่อนหรือตัวเองจึงฝากให้ลูกน้องคนสนิทรับหน้าที่ดูแลต่อ

หญิงสาวกางร่มเดินไปที่มอเตอร์ไซค์กลางเก่ากลางใหม่ที่จอดเป็นของประดับหน้าร้านใต้ต้นไม้ ไขกุญแจเปิดเบาะเพื่อหยิบเอาเสื้อกันฝนกับผ้าขี้ริ้วมาเช็ดเบาะแต่ไม่พบจึงนึกขึ้นได้ว่าลืมเอามา จะเข้าไปยืมพนักงานในผับก็ดูไม่เข้าท่าเพราะคนอื่นก็ต้องใช้เหมือนกันจึงได้แต่ยืนหลบอยู่ใต้หลังคาหน้าร้านอาหารรอให้ฝนหยุด

เสียงดนตรีจังหวะเร่าร้อนดังกระหึ่มมาให้ได้ยินชัดทำให้ยิ่งถอนหายใจ การทำธุรกิจสถานบันเทิงยามค่ำคืนไม่ใช่เรื่องรื่นรมย์อะไรหนักหนาแต่ที่ต้องทำต่อมาเพราะการเป็นเจ้านายตัวเองมันมีเวลายืดหยุ่นมากกว่าเป็นลูกน้องคนอื่นจึงจำใจต้องทำต่อมา ถึงจะโดนดูแคลนจากญาติเจ้ายศเจ้าอย่างบางคนบ้างก็ช่างหัวมัน

รสารอฝนซาอยู่เกือบชั่วโมงอย่างเบื่อหน่ายเฝ้ามองสายฝนที่ไหลจากหลังคาแล้วยื่นมือออกไปรองเพื่อสัมผัสกับความเย็นชื้น อากาศเย็นโดยรอบทำให้คนสวมเสื้อเชิ้ตเนื้อผ้าไม่หนาหนาวสะท้านหดมือกลับมาลูบต้นแขนเลยทำให้แขนเสื้อเปียกตาม

“ บ้าเอ๊ย...หยุดตกซะทีสิวะรอมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ ” เจ้าหล่อนสบถด้วยความโมโห อยากให้มีราชรถมาเกยตรงหน้าพาไปส่งให้ถึงบ้านแต่คนที่มีมาดเหมือนผู้ชายเลยไม่ใครเคยมาชายตาจะไปหวังอะไรเหมือนเทพนิยายขนาดนั้นได้เลยเริ่มรู้สึกว่ารอต่อไปก็ไม่มีความหมาย ยอมเปียกโชกกลับบ้านไปอาบน้ำเอาทีเดียวแล้วกัน

คิดได้เท่านั้นก็หุบร่มที่กางไว้บนพื้นตั้งท่าจะเดินฝ่าไปแต่แล้วกลับมีแสงไฟสว่างจ้าสองดวงสาดเป็นลำกระทบมาให้ต้องยกมือป้องแสงจ้าหรี่ตาเล็กน้อยแล้วไฟก็พลันดับพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบหายก่อนจะเห็นใครคนหนึ่งเดินกางร่มสีดำคันใหญ่ลงมาจากรถ

ศิระมองไปที่ร้านอาหารพาเพลินที่ปิดไฟมืดพลางถอนหายใจแต่พอเหลือบไปเห็นหญิงสาวมัดผมม้ายืนอยู่หน้าร้านจ้องมองมาก็เดินเข้าไปหา...อีกฝ่ายพอเห็นว่าเป็นใครก็ผงะ วันนี้มันวันอะไรถึงได้เจอผู้ชายที่เกี่ยวพันกับชีวิตเพื่อนสองคนในวันเดียวกัน

“ มาทำอะไรที่นี่คะคุณศิระ ” หล่อนเอ่ยถามทั้งที่ยังจ้องเม็ดฝนที่พร่างพรมลงมา ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเขาเข้ามายืนหลบฝนอยู่ใต้หลังคาเดียวกันห่างออกไปเพียงคืบเดียว

“ ผมนอนไม่หลับเลยคิดว่าจะออกมาหาอะไรกินข้างนอกโรงแรม ไม่คิดว่าคุณจะปิดร้านแล้ว ” เขากล่าวถึงจุดประสงค์ที่ขับรถมาถึงที่นี่

“ ปกติร้านปิดเที่ยงคืนค่ะ แต่ฝนตกหนักขนาดนี้ ฉันคิดว่าคงไม่มีลูกค้าแล้วก็เลยปิดร้านก่อนเวลานะคะ ”

“ เหรอ...งั้นคุณก็กำลังจะกลับบ้านแล้วสิ ”

“ ก็ตั้งใจจะกลับตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วแล้ว แต่ว่าฉันเอาเสื้อกันฝนมาก็เลยรอให้ฝนหยุด แต่ฝนมันก็ไม่หยุดซะที ตอนนี้ก็เลยคิดว่าจะขับมอไซด์ตากฝนกลับบ้าน ” พูดพลางหันมามองทางต้นเสียงถึงได้เห็นผู้บริหารหนุ่มซึ่งโทรมจัดจนน่าตกใจ...ความทุกข์ทรมานจากการได้รู้ความจริงว่าคนใกล้ชิดคอยแต่ทำร้ายทำให้สองพี่น้องมีสภาพไม่ต่างกัน

“ คุณได้กินได้นอนบ้างหรือเปล่าเนี้ย ” อุทานถามเสียงดัง ยิ่งเห็นใบหน้าอิดโรยหมองคล้ำที่หันมาหาก็พ่นลมหายใจอุ่นล้วงกระเป๋าหยิบเอากุญแจพวงใหญ่ออกมาไขเพื่อกลับเข้าไปในร้าน กดสวิตซ์เปิดไฟไล่ความมืดออกไปแล้วยืนอยู่ตรงประตูชะโงกหน้าออกมาเรียกให้คนตัวสูงเข้ามาข้างใน

ชายหนุ่มกางร่มไว้ตรงเฉลียงไม้หน้าร้านตามหลังเข้าไป...อากาศภายในร้านอุ่นกว่าข้างนอกมาก เขากวาดสายสังเกตการตกแต่งภายในร้านที่เป็นไปอย่างอบอุ่น แสงไฟส้มอมเหลืองจากโคมแก้วหลากสีที่ห้อยลงมาเหนือโต๊ะหวายกับเก้าอี้ตัวใหญ่ที่มีพนักและที่วางแขนดูสบายก็เชิญชวนให้อยากจะนั่งพัก

“ เมนูอยู่บนโต๊ะ ถ้าคุณอยากกินอะไรก็สั่งมาแต่อย่าสั่งเมนูยุ่งยากเพราะฉันขี้เกียจทำ หรือถ้าทำฉันจะคิดราคาแพงกว่าที่เขียนไว้สองเท่า ” เจ้าของร้านแสดงความหน้าเลือดในฐานะแม่ค้าออกมาขณะสวมผ้ากันเปื้อนลายตารางสีเหลืองสลับขาว

“ คุณไม่ต้องไปเปิดครัวทำอาหารอะไรให้มันยุ่งยากหรอก...ความจริงผมไม่ได้หิวอะไร แค่ออกมาหาอะไรดื่มเพราะไม่อยากอยู่โรงแรมเฉยๆ ”

“ ออกมาหาอะไรดื่ม...นี่อย่าบอกนะว่าคิดจะมากินเหล้าที่นี่ ”

“ ก็ที่นี่ร้านอาหาร ผมจะมากินเหล้ากินเบียร์ไม่ได้หรือยังไง ”

“ ไม่ผิดอะไรหรอกถ้าจะกินสังสรรค์หาความสุข แต่ถ้ากินเพื่อลืมทุกข์นะมันไม่ได้อะไรหรอก ต่อให้ดื่มไปก็ลืมไม่ได้จริงๆหรอก คุณก็พิสูจน์มาแล้วไม่ใช่เหรอ ”

“ ผมมีแต่เหล้าเป็นเพื่อนแก้กลุ้ม ถ้าไม่ดื่มมันก็ไม่รู้จะทำยังไง...คุณไม่เคยเจอเรื่องเลวร้ายแบบผม คุณไม่เข้าใจหรอกว่ามันทรมานแค่ไหนที่ต้องทนอยู่เรื่องพวกนี้ทั้งที่มีสติครบถ้วน ”

“ อ้อเหรอคะ แล้วไอ้การไม่มีสติครบถ้วนนี้มันทำให้คุณทรมานใจน้อยลงหรือเปล่าล่ะคะ ”

พอโดนสวนกลับคนที่เอาแอลกอฮฮล์มาใช้ดับทุกข์ถึงกับสะอึกพูดไม่ออกได้แต่ชำเลืองมองหญิงสาวที่เป็นฝ่ายถามยืนเท้าแขนข้างซ้ายไว้บนโต๊ะส่วนอีกข้างก็เท้าสะเอวท่าทางนักเลงเต็มที่

“ ถ้ารู้ว่ามันช่วยอะไรไม่ได้ คุณก็กรุณาหุบปากเลิกร้องหาเหล้า แล้วฉันจะหาอะไรอุ่นๆมาให้คุณกินจะได้หลับสบายแล้วกัน ” หล่อนว่าสะบัดหน้าหนีหายเข้าครัวไปและกลับมาใหม่พร้อมกับซุปข้าวโพดร้อนส่งกลิ่นหอมกรุ่นมาเสิร์ฟตรงหน้าพร้อมกับน้ำเปล่าในแก้วทรงสูงและขนมปังโฮลวีตที่เหลืออยู่ในถุงสองสามแผ่น

“ พอดีข้าวหมดมีแต่ขนมปังที่ฉันกินเหลือนี้แหละ...คุณเอามาจิ้มกับซุปกินจะได้อิ่มท้อง กินให้หมดนะเพราะพรุ่งนี้มันจะหมดอายุแล้ว ” วางให้ปุ๊บก็ผละไปที่หลังเคาน์เตอร์หยิบนมกับโยเกิร์ตมาสมทบ “ อันนี้อีกสองวันจะหมดอายุเหมือนกัน ยังไงรบกวนคุณกินลงไปด้วยนะ ฉันเสียดายของ ”

“ คุณคิดว่าผมเป็นเครื่องกำจัดของใกล้หมดอายุหรือไง ถึงได้ทั้งหมดนี้มากองไว้ให้กิน ”

“ ก็ฉันเสียดายของ ทิ้งไว้ก็เสียเปล่าๆ คุณก็สภาพเป็นซอมบี้หิวโซมาซะขนาดนี้ก็อย่าคิดมาก กินๆเข้าไปเถอะ หรือว่ากินไม่หมด เออๆ เอานมมาก็ได้เดี๋ยวช่วยกิน ”

หญิงสาวคว้านมกล่องมาเสียบหลอดดูดลงคอมองคนตรงข้ามที่ใช้ช้อนคนซุปในชามไปมากว่าจะตักเข้าปากต่างฝ่ายต่างกินกันไปเงียบๆ กว่าที่จะมีเสียงเจ้าของร้านเอ่ยขึ้นมา

“ คุณไปโรงพยาบาลบ้างหรือเปล่าคะ ”

“ ไป เพิ่งไปเมื่อเช้านี้เอง...วันนี้ผมเจอเล็กด้วย ” เขาตอบเสียงเนือยพลางสูดลมหายใจภายในอกเหมือนถูกหินก้อนยักษ์ทับไว้จนหนักอึ้ง

“ เจอเล็กแล้วรู้สึกยังไงค่ะ ”

“ ตอนแรกผมเห็นน้องแล้วนึกว่า ที่น้องโทรมแบบนั้นเพราะสิ่งที่ผมทำ แต่ความจริงมันเป็นเพราะเล็กเขารู้แล้วว่า แม่ใหญ่ทำอะไรกับเขาไว้บ้าง ” ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมาช้าๆ มีความขมขื่นฉายอยู่ในแววตา “ ผมไม่รู้ว่าเล็กเขารู้ได้ยังไง แต่ว่าการเจอเล็กครั้งนี้ทำให้ผมรู้สึกตัวเองน่าสมเพชมาก ”

“ ทำไมล่ะคะ ”

“ ผมเชื่อมาตลอดว่าเล็กเป็นคนอ่อนแอ เป็นคนประเภทที่ต้องมีคนปกป้อง แต่วันนี้เล็กทำให้ผมรู้ว่า ตัวผมเองต่างหากที่อ่อนแอ แค่จะเจอผู้หญิงคนนั้นซึ่งๆหน้ายังไม่กล้า ได้แต่ดูอยู่ห่างๆ...แต่เล็กกลับเดินหน้าชนกับผู้หญิงคนนั้นได้ แล้วผมไม่สมควรสมเพชตัวเองเหรอ ”

“ ไม่เห็นจะน่าสมเพชตรงไหน คุณเคยชินกับการแก้ปัญหาเรื่องงาน แต่ไม่ใช่การรับมือกับปัญหาชีวิต...การถอยหลังมาตั้งหลักเพื่อทำให้ใจเข้มแข็งก่อนจะลุกไปสู้ต่อมันก็เป็นแค่วิธีการรับมือกับปัญหาในแบบฉบับของคุณก็เท่านั้นเอง แค่นี้ชีวิตมันก็หนักหนาพออยู่ล่ะ อย่าพยายามซ้ำเติมตัวเองด้วยการคิดไม่เป็นเรื่องเลย ”

ศิระชำเลืองมองรสาที่เอนหลังหยิบโยเกิร์ตใกล้หมดอายุมาตักกินด้วยท่าทางสบายอารมณ์พาลให้รู้สึกไม่สบอารมณ์...แน่ล่ะไม่ใช่เรื่องของตัวเองใครก็พูดได้ทั้งนั้น

“ เรื่องนี้มันไม่ได้เกิดกับคุณ คุณก็พูดได้อยู่แล้ว ” เสียงที่คล้ายจะหยันกันทำให้มือหยุดชะงัก เงยหน้ามองคนพูดด้วยสายตาไม่สบอารมณ์กระแทกโยเกิร์ตทั้งถ้วยลงบนโต๊ะ

“ โลกแคบเกินไปหรือเปล่า โลกใบนี้ไม่ได้มีคุณคนเดียวที่มีความทุกข์นะ ใครๆมันก็มีความทุกข์กันอย่าว่าแต่คนเลยสัตว์มันก็มีเหมือนกัน ความทุกข์ของคุณมันไม่ได้ยิ่งใหญ่คับโลกขนาดจะมาพาลใส่คนอื่นแบบนี้...คุณรู้ได้ยังไงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณมันไม่เคยเกิดขึ้นกับฉันหรือคนอื่นมาก่อน คุณอย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลมาเที่ยวตัดสินคนอื่นหน่อยเลย ”

“ ผมก็เห็นคุณอยู่สบายออกจะตาย จะไปมีความทุกข์หนักหนาเหมือนใครเขาได้ ” เขาหยัน

คนฟังฉุนกึกนึกว่าจะเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ พอพาลกลับมาหาเรื่องกันได้เท้าเลยถีบเก้าอี้ตัวหนึ่งกระเด็นไปด้วยแรงอารมณ์ ลุกพรวดจากที่นั่งยืนค้ำศีรษะคนอายุมากกว่าไม่กี่ปีไว้

“ ถ้าคุณคิดว่าฉันมีความสุขอยู่ตลอดเวลาล่ะก็ขอบอกให้รู้เลยว่าคุณคิดผิด ฉันเป็นปุถุชนคนธรรมดาไม่ได้คนบ้าที่จะหลงเพ้อมีความสุขอยู่ในโลกจินตนาการ คุณบอกว่าฉันไม่มีวันเข้าใจความปัญหาของคุณ แล้วคุณคิดเหรอว่าจะเข้าใจปัญหาของฉัน โกรธ เกลียด เจ็บ แค้นใครมาก็อย่ามาพาลใส่กัน ไม่พอใจก็เชิญออกไปได้ ค่าอาหารไม่ต้องจ่าย ยังไงฉันก็ไม่อดตายเพราะค่าอาหารที่คุณไม่จ่ายพวกนี้หรอก ” หล่อนกระแทกใส่เสียงดัง มือทั้งสองข้างกำแน่นเกือบจะกระโจนใส่ด้วยแรงอารมณ์อยู่แล้วหากไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาเสียก่อน

ปลายสายแจ้งข่าวสารบางอย่างทำให้เจ้าของเครื่องหน้าหน้าถอดสีฟัง ดวงตาสั่นระริกเหมือนคนอยากร้องไห้เต็มทีแต่ไม่มีน้ำตา พูดจบแล้วก็กดวางสาย ยกมือลูบหน้าลูบตาเส้นเลือดตรงขมับปูดโปนขึ้นมา เหมือนคนที่มีเรื่องหนักหนาในใจ

“ คุณกลับไปได้ล่ะ ฉันมีธุระ ” เปิดปากพร้อมสะบัดมือไล่

“ ผมได้ยินว่าคุณจะไปโรงพยาบาล ฝนมันยังตกอยู่ให้ผมไปส่งแล้วกัน ”

“ ไม่ต้อง...ฉันไปเองได้ ขืนนั่งรถคุณเดี๋ยวจะติดเชื้อโลกแคบ ”

รสาว่าใส่หน้าอย่างไม่กลัว ถอดผ้ากันเปื้อนโยนไปตรงเคาน์เตอร์รีบร้อนจะออกจากร้านแต่พอเหลือบเห็นอีกฝ่ายยังยืนนิ่งงันก็ตะเพิดจนเขายอมออกมา ปิดไฟปิดทุกอย่างได้ก็ใส่กุญแจล็อกร้านวิ่งฝ่าสายฝนไปยังรถจักรยานยนต์ของ
ตัวเอง

ศิระเห็นหล่อนตากฝนเข็นรถก็หยิบร่มที่กางไว้วิ่งออกไป เพียงคว้าข้อมือได้ก็จับลากให้ตามมาตัวเองมาที่รถซึ่งจอดอยู่ริมฟุตบาธ

“ ตากฝนไปแบบนี้มันอันตราย เดี๋ยวผมไปส่งคุณให้เอง ” เขาเสนอ

“ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้อง ฉันไม่อยากนั่งรถผู้ชายที่เห็นแก่ตัวเองจนพาลคนอื่นไปทั่ว ไอ้ผู้ชายพันธุ์อย่างคุณฉันเกลียดที่สุดเลยรู้ไหม ”

ผู้บริหารหนุ่มจ้องหน้าคนที่พยายามแกะมือเขาออกแล้วถอนหายใจ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดจาไม่ดีใส่แต่เพราะอารมณ์เก็บกดในหัวใจมันพาให้พาลใส่คนที่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรไปทั่ว

“ ผมขอโทษ...ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลยพูดจาไม่ดีใส่คุณไป...คุณต้องเข้าใจผมหน่อยนะว่าตอนนี้จิตใจผมมันยังไม่แข็งแรงพอ คุณจะให้โอกาสผมไปส่งแทนคำขอโทษหน่อยจะไม่ได้เหรอ ฝนมันก็ตกอยู่แบบนี้ ขืนคุณรีบขับไปโรงพยาบาลไม่ระวังรถล้มขึ้นมาจะลำบากนะ ”

“ ลำบากตัวฉันคนเดียวมันจะทำไม คุณนะกลับไปกอดเหล้าจมทุกข์เป็นหมาต่อไปเถอะ ไม่ต้องมาสอดเรื่องคนอื่น ใครจะเป็นจะตายยังไงอะไรก็ไม่เกี่ยวกับคุณ ” หล่อนตะโกนฝ่าเสียงฟ้าคำรามยกขาจะขึ้นคร่อมรถคู่กายแต่ถูกคนตัวสูงคว้าไว้ก่อนจะถูกอุ้มพาดบ่าจับโยนเข้าไปนั่งในรถข้างคนขับ

“ หยุดโวยวายบ้าบออะไรได้แล้ว ผมบอกจะไปส่งให้ก็ไปส่ง ไปโรงพยาบาลไหนก็บอกมาแค่นั้นพอ ” ขณะที่สตาร์ทรถก็ตะคอกคืนบ้าง

คนที่เปียกมะลอกมะแลกกัดฟันกรอดอยากจะกระโดดออกไปให้รู้แล้วรู้รอดเสียแต่รถเคลื่อนออกจากถนนเสียก่อนจึงได้แต่ฮึดฮัดบอกชื่อโรงพยาบาลไปอย่างเสียไม่ได้

ทั้งคู่มุ่งหน้ามาที่โรงพยาบาล...หญิงสาววิ่งกระหืดกระหอบโดยไม่ใช่ลิฟต์ไปยังห้องไอซียู...ตอนแรกศิระตั้งใจจะไม่เข้าไปดูเพราะไม่อยากเจอหน้าอีกคนที่นอนอยู่แต่พอเห็นคนที่มาด้วยกันพรวดพราดเข้าไปก็รู้สึกเป็นห่วงจึงเดินตามไปแบบหลบๆซ่อนๆ

ห้องกระจกใส่ทำให้สามารถมองทะลุเข้าไปข้างในชัดเจนทำให้เขาได้เห็นเพื่อนของน้องสาวกุมมือของชายสูงวัยตัวลีบผอมนอนหลับอยู่บนเตียงร่างกายเต็มไปด้วยสายระโยงรยางค์ เครื่องช่วยหายใจถูกสอดเข้าไปในปากจนถึงลำคอฟังนายแพทย์เจ้าของไข้พูด โดยมีชายวัยกลางคนยืนเฝ้าหน้าประตูเลยเดินเข้าไปพูดคุยถามไถ่ถึงอาการคนป่วยเหมือนรู้จักสนิทสนมทำให้รู้ว่าคนในห้องเป็นบิดาของรสาซึ่งเป็นถึงนายทหารระดับสูงที่เกษียณอายุราชการแล้ว

“ ทำไมท่านถึงเป็นแบบนี้ครับ ”

“ ท่านถูกภรรยาคนที่สองยิงเพราะไม่พอใจที่รู้ว่าท่านมอบมรดกทั้งหมดให้คุณสา พอดีกระสุนเจาะเข้าเส้นประสาทสำคัญท่านโคม่าอยู่ในห้องผ่าตัดหลายวัน พอออกมาท่านก็กลายเป็นเจ้าชายนิทรานะครับ...เมื่อกี้ทางคุณหมอเห็นเพิ่งเห็นว่าท่านมีจุดอยู่ในปอดกลัวว่าจะมีอาการแทรกซ้อน ผมเลยต้องโทรตามคุณสามานะครับ ”

“ แล้วคนยิงตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ ”

“ ก็ติดคุกหลายสิบปีล่ะครับ แต่มันคงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่คุณสาเธอเสียไปหรอกครับ คุณสาเธอมีท่านเป็นครอบครัวคนเดียว ถ้าแลกกับเงินได้ เธอคงอยากให้พ่ออยู่กับคุณสาเธอมากกว่า ”

คำบอกเล่าจากปากของผู้อยู่เฝ้าไข้ทำให้คนฟังหน้าซีดเซียวเพราะไม่คิดมาก่อนว่าผู้หญิงที่ดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไรในชีวิตกลับมีเรื่องหนักหนาสาหัญเกาะกินอยู่ในใจ

ศิระปิดเปลือกตาลงแล้วเดินโซเซออกจากห้องไอซียูไปทรุดลงนั่งบนม้านั่งหน้าห้องพิงศีรษะของตัวเองไว้กับผนังรู้สึกผิดเหลือเกินที่เผลอพาลใส่ทั้งที่ไม่รู้ความจริง สักพักก็เห็นรสาเดินลากเท้าออกมาทรุดลงนั่งใกล้กัน

ไม่มีบทสนทนารำพันความโศกเศร้าต่อกันเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง มีก็เพียงมือของอุ่นของชายหนุ่มที่เอื้อมมากุมมืออีกฝ่ายเอาไว้เป็นกำลังใจก็แทนทุกคำพูดที่ดังก้องอยู่ภายในได้หมดสิ้น

ความเงียบเชียบตรงทางเดินหน้าห้องฉุกเฉินจึงกลายเป็นความเงียบที่ไม่จริง เพราะในใจของทั้งคู่คล้ายกับจะส่งเสียงถึงกันอยู่เพื่อให้รู้ว่า ทุกคนต่างก็เจ็บปวดแต่เพราะชีวิตยังต้องก้าวต่อไปข้างหน้า การวางความทุกข์ไว้ชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อให้ความสุขได้เข้ามาหาบ้างเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คนทุกข์ก้าวผ่านมันไปได้ในที่สุด



ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ต.ค. 2554, 06:18:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2554, 15:30:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 2317





<< บทที่ ๒๔   บทที่ 26 >>
คิมหันตุ์ 5 ต.ค. 2554, 06:49:35 น.
โอ๊ยย..!! อยากกรีดร้อง นี่สินะโลกของความเป็นจริง ..แต่ก็เริ่มชัดเจน เอาใจช่วยคนทั้งคู่เลยนะคะ


อริสา 5 ต.ค. 2554, 07:03:14 น.
ซึ้งมากเลยค่ะ ดีจัง เข้าใจกันแล้วทั้งสองคู่


anOO 5 ต.ค. 2554, 10:02:52 น.
เฮ้อ...มันเป็นอะไรที่พูดยากจริงๆ
พี่ภาคเคลียร์เรื่องเล็กเรียบร้อย แต่ยังเคลียร์เรื่องตัวเองไม่ได้เลย


violette 5 ต.ค. 2554, 18:13:28 น.
ดีใจที่พี่ภาคเคลียร์เรื่องเล็กไปได้(บ้าง)
แต่ครอมเวลจะทำอะรอีกนี่สิ

ส่วนพี่ใหญ่กับรสาคงเข้าใจกันเห็นใจกันมากขึ้น(และมันคงจะกลายเป็นความรักได้ไม่ยาก...มั้งเนอะ)


Edelweiss 5 ต.ค. 2554, 19:29:25 น.
ซึ้งจัง พี่ภาคกับเล็กสู้ ๆ นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account