กลรัก สลับหัวใจ
เมื่อเพื่อนสาวจอมยุ่ง จับผลัดจับพลูให้เธอนัดไปดูตัวกับคาสโนว่าหนุ่มแลกกับค่าจ้างหนึ่งหมื่น ม่านนทีจึงยอมเซย์เยส แปลงร่างเป็นนางซินวางแผนตัดสัมพันธ์แทนเพื่อนสาวเสียดิบดี แต่ที่ไหนได้เขาทั้งหล่อ เท่ แถมยังมีรอยยิ้มบาดใจ ทำเอาเธอชักหวั่นไหวซะแล้วสิ
Tags: รักโรแมนติก,รักหวานๆ,รักใส ๆ
ตอน: ตอนที่ 13 กามเทพแผลงศร
บทที่ 12
กามเทพแผลงศร
“โธ่..ยายน้ำนะยายน้ำ เวลาต้องการคำปรึกษาทีไร เป็นต้องปิดโทรศัพท์หนีทุกทีสิน่า”
ปิ่นแก้วบ่นอุบอยู่ในห้องนอนตามลำพัง หลังจากพยายามโทรศัพท์ติดต่อเพื่อนสาวคนสนิทอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับแต่อย่างใด ร่างบางภายใต้ชุดนอนลายดอกไม้สีชมพูทำหน้ามุ่ย ก่อนโยนโทรศัพท์ลงบนที่นอนอย่างขัดอกขัดใจ
“จะทำยังไงกันดีละทีนี้ ไม่น่าออกปากพูดโกหกเรื่องแฟนหนุ่มกับคุณพ่อเลยเรา” ปิ่นแก้วทำท่าปวดหัวหนัก คิดไม่ออกบอกไม่ถูก
หลังจากถูกบิดาใช้ข้ออ้างเรื่อง ‘แฟนหนุ่ม’ ที่เธอยกขึ้นมาอ้างลอย ๆ เพราะไม่อยากไปร่วมงานเลี้ยงบ้า ๆ นั่น ปิ่นแก้วก็ต้องลำบากหนัก เพราะหากครั้งนี้หาแฟนกำมะลอควงไปงานเลี้ยงไม่ได้ ก็คงถูกจับคู่ดูตัวกับอาเสี่ยหน้าจืดอย่างไม่ต้องสงสัย
“เฮ้อ ไม่น่าหาเหาใส่หัวเลยเรา”
ขณะที่ปิ่นแก้วกำลังคิดหาวิธีจนหัวแทบแตก จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์เรียกเข้า กับเบอร์โทรศัพท์หมายเลขแปลก ๆ ปรากฏบนหน้าจอ
“ใครกันนะ จะโทรฯมาทำไมตอนนี้ก็ไม่รู้” เธอบ่นอย่างหงุดหงิด เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์เจ้าปัญหาขึ้นมากดรับพร้อมกับกรอกเสียงลงไป “สวัสดีค่ะ ปิ่นแก้วกำลังพูดสาย”
หญิงสาวรอให้อีกฝ่ายตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ยินอะไร
“ได้ยินหรือเปล่าคะ ฮัลโหล” เธอถามซ้ำ
‘สวัสดีครับ คนสวย แหม..ป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีกหรือครับ’
ทันทีที่ได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา ปิ่นแก้วก็ต้องลืมตาโตอย่างคิดไม่ถึง
“นาย..” เธอตะกุกตะกัก “ทำไมถึงรู้เบอร์โทรศัพท์ของฉันล่ะ”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาตามสาย ก่อนเฉลยให้เธอหายข้องใจ
‘อย่าทำเสียงดุแบบนั้นสิ ผมก็แค่ขออนุญาตใช้โทรศัพท์ของคุณโทรฯเข้าเครื่องของผมแค่ครั้งเดียวเอง’
ปิ่นแก้วหน้าแดงจัดด้วยความโกรธ
“คนโรคจิต นี่นายแอบดูเบอร์โทรศัพท์ของฉันงั้นเหรอ” เธอแหวเสียงดัง นึกอยากจะขว้างโทรศัพท์ลงพื้นให้พ้น ๆ หลังจากที่เสียรู้อีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ
“ผมเปล่าแอบดู แต่มันโชว์อยู่บนหน้าจอเองต่างหาก”
ราเมศหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดีอยู่บนเก้าอี้โซฟาภายในห้องพักคอนโดมิเนียมหรู ใบหน้าหล่อเหลาเจือด้วยรอยยิ้มนัยน์ตาเป็นประกาย หลังจากแอบใช้ทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ จนได้เบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวมาอย่างที่ต้องการ
หลังจากที่ขับรถไปส่งปิ่นแก้วที่บ้านครั้งสุดท้าย เขาก็แอบนึกถึงหญิงสาวหน้าตาน่ารักมาโดยตลอด ครั้นเมื่อได้ยินน้ำเสียงปนโกรธ ๆ ของเธอ ก็ช่วยให้อารมณ์เครียดผ่อนคลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ
“ว่ายังไงครับคนสวย คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า” เขาถามเย้า ซึ่งคำตอบที่ดังกลับมาก็ไม่ได้ต่างไปจากที่คิดเอาไว้
“บ้า ใครจะไปคิดถึงหน้านายกัน”
ปิ่นแก้วโมโหจนแก้มแดงปลั่ง นึกถึงรอยจูบที่เขาแอบฉวยโอกาสเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว ก็ยิ่งโกรธไม่หาย
“ไร้มารยาทที่สุดเลย คอยดูนะเจอหน้าเมื่อไหร่ฉันจะเอาคืนให้น่าดูเลย”
‘เอาสิครับ ผมยินดีให้คุณหอมคืนจนกว่าจะพอใจเลย’
คำตอบที่ดังกลับมา ทำให้ปิ่นแก้วแทบลุกขึ้นกรี๊ดด้วยความโมโห
“อีตาบ้า ไปให้พ้นนะ คนผีทะเล คนอย่างนายฉันเกลียดที่สุดเลยรู้ไว้ด้วย” เธอตะโกนเสียงดัง
ทำไมสวรรค์ถึงโหดร้ายกับเธอนักนะ ทั้งที่กำลังปวดหัวคิดอะไรไม่ออกอยู่แท้ ๆ แต่กลับส่งทูตนรกมากวนใจเสียได้
ปิ่นแก้วยังคงสรรหาคำพูดต่าง ๆ ด่าใส่ราเมศ หากแต่ภูมิคุ้มกันของชายหนุ่มก็แข็งแรงมากเสียจนคำพูดเจ็บแสบทำอะไรไม่ได้เลย ตรงกันข้ามเขากลับนึกสนุกที่ได้แกล้งเธอ จนทำให้ปิ่นแก้วพาลหมดแรงเอาดื้อ ๆ
“พอทีเถอะ ฉันขอร้องล่ะนะ เลิกยุ่งกับชีวิตของฉันเสียที ตอนนี้ฉันกำลังปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว อย่ามาซ้ำเติมกันจะได้ไหม” ปิ่นแก้วยกมือขึ้นกุมขมับ
ทันทีราเมศได้ยิน น้ำเสียงของชายหนุ่มก็จริงจังขึ้นมาเสียจนเธอประหลาดใจ
‘เป็นอะไรหรือเปล่า คุณมีเรื่องไม่สบายใจงั้นหรือ’
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
‘...มีอะไรไม่สบายใจก็ระบายให้ผมฟังได้นะ เผื่อว่ามันจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นบ้าง รับรองได้เลยว่าผมจะไม่หัวเราะเยาะคุณเด็ดขาด’
ปิ่นแก้วไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเป็นเพราะน้ำเสียงเอื้ออาทรที่ส่งผ่านมาตามสาย หรือว่าเป็นเพราะความกลุ้มใจของตัวเองกันแน่ ที่ทำให้เธอตัดสินใจระบายปัญหาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ทว่าน่าแปลก...ที่ราเมศตั้งอกตั้งใจฟังปัญหาของเธอมากกว่าที่คิด เห็นได้จากที่เขานิ่งฟังเธอนานร่วมยี่สิบนาที จนท้ายที่สุดก็เอ่ยปากออกมาว่า
“สรุปว่าภายในคืนอาทิตย์ที่กำลังจะถึงนี้ คุณต้องหาคู่ควงไปงานเลี้ยงสักคน เพื่อนำไปอ้างกับคุณพ่อให้ได้อย่างนั้นสินะ”
“ใช่” ปิ่นแก้วถอนหายใจยาว นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจะไปหาไหนเอาตอนนี้ “ไม่อย่างนั้น มีหวังฉันต้องถูกคุณพ่อจับคลุมถุงชนแน่ ๆ”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง จนปิ่นแก้วนึกว่าวางสายไปแล้ว
“ตกลง งั้นผมจะเป็นคนจัดหาคู่ควงมาให้คุณเอง” ราเมศสรุปสั้น ๆ
ปิ่นแก้วกระพริบตาถี่ ๆ อย่างคาดไม่ถึง
“อะไรนะ”
“ตกลงตามนี้นะ คืนวันอาทิตย์ค่อยเจอกันในงานก็แล้วกัน” อีกฝ่ายตัดบทง่ายดาย โดยที่ปิ่นแก้วไม่ทันได้ออกปากคัดค้าน
“เดี๋ยวก่อนสิ ฉันยังไม่ได้…นี่ อย่าวางสายดื้อ ๆ แบบนี้สิ” หญิงสาวกรอกเสียงรัวลงไปในโทรศัพท์ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
หญิงสาวถึงกับเหวอไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะออกปากช่วยเธอง่ายดายขนาดนี้ ซ้ำยังไม่ทันบอกด้วยซ้ำว่าจะเอาใครมารับหน้าที่แฟนกำมะลอของเธอในคืนงานเลี้ยงที่กำลังจะมาถึง
“อะไรของเขานะ...ตกลงเราจะไว้ใจได้ไหมเนี่ย” ปิ่นแก้วบ่นเบา ๆ ในลำคอ
…หลังจากที่เฝ้าภาวนาขออย่าให้เวลานี้มาถึง ในที่สุดก็ถึงคืนวันอาทิตย์จนได้ ปิ่นแก้วสวมชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ปักลูกไม้ชายขอบ เส้นผมเกล้าเหนือศีรษะปล่อยลอนยาวระใบหน้า ดวงหน้างามแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนสีธรรมชาติ เน้นเรียวปากสีกลีบกุหลาบแดงระเรื่อ ผิวขาวเนียนราวกับเปลือกไข่ กับสีครีมของของกระโปรงลูกไม้จับจีบพองด้านหลัง แลดูหวานไปทั้งตัว
ใบหน้าหวานน่ารักราวกับตุ๊กตา แลดูไม่สดใสเหมือนอย่างเคยขณะนั่งรอบิดาอยู่บนเก้าอี้โซฟา หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะเนื่องเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา
“ได้เวลาไปกันแล้วลูกปิ่น” เจ้าบ้านวัฒนะเอกดำรง ที่อยู่ในชุดสูทสง่างามภูมิฐานไม่แพ้กันเอ่ยปาก
ปิ่นแก้วทำหน้าอธิบายไม่ถูก
“ปิ่นขอตัวไม่ไป ไม่ได้เหรอคะคุณพ่อ” เธอพยายามอ้อน
“พูดอะไรเป็นเด็กไม่รู้จักโตไปได้ รีบ ๆ เดินไปขึ้นรถเถอะ อีกเดี๋ยวงานเลี้ยงก็จะเริ่มแล้ว” นายเดชาก้มลงเอ็ดลูกสาว
“...ค่ะ”
ร่างบางจึงจำใจลุกขึ้นเดินตามไปอย่างขัดไม่ได้ จนถึงเวลานี้ราเมศก็ยังไม่ยอมโทรศัพท์ติดต่อกลับมาหาเธอ ส่งผลให้ปิ่นแก้วร้อนใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก ทั้งคู่พากันก้าวเข้าไปในรถยนต์สีดำยี่ห้อหรู ก่อนที่คนขับรถจะเดินอ้อมขึ้นมาประจำที่ พาทั้งสองมุ่งหน้าสู่งานเลี้ยงในยามค่ำคืน
บรรยากาศภายนอกโรงแรมเป็นไปอย่างหรูหรา ประดับประดาไปด้วยช่อดอกไม้และโคมไฟสีส้มนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส บนพื้นปูลาดด้วยพรมแดง เต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากหน้าหลายตา ซึ่งล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราบ่งบอกถึงฐานะทางสังคมที่ตั้งใจนำมาอวดกันเต็มที่
ปิ่นแก้วก้าวลงจากรถ เดินคล้องแขนเคียงคู่บิดาเข้าไปภายใน ใบหน้าหวานพยายามมองหาร่างของใครคนหนึ่งในงาน ที่รับปากว่าจะมาพบเธอในค่ำคืนนี้แต่ก็ไม่เห็น จนทำให้นายเดชาหันมามองด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรไป มองหาใครอยู่งั้นหรือยายปิ่น”
“ปะ เปล่าค่ะ ปิ่นแค่สงสัยว่าจะมีคนรู้จัก มาร่วมงานบ้างหรือเปล่าเท่านั้นเอง” เธอรีบแก้ตัว
“อืม ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ งานเลี้ยงครั้งนี้ออกจะใหญ่โต บางทีอาจพบหน้าคนรู้จักก็เป็นได้” นายเดชาออกความเห็น พลางหันมามองลูกสาว “ว่าแต่เพื่อนชายของลูกมายังมาไม่ถึงอีกหรือ นี่ก็จวนจะได้เวลาเปิดงานแล้วนะ”
ปิ่นแก้วออกอาการอึกอัก เนื่องจากไม่รู้จะตอบว่ายังไง
“เอ่อ...คิดว่าน่าจะมาถึงแล้วมั้งคะ”
“อืม ถ้าเขามาแล้วก็รีบพามาให้แนะนำให้พ่อรู้จักด้วยล่ะ จะได้ถือโอกาสสืบชาติตระกูลเสียหน่อยว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร”
“คุณพ่อ พูดอะไรก็ไม่รู้” ปิ่นแก้วหน้าร้อนวูบ
“ก็มันจริงนี่นา จู่ ๆ ก็มาบอกว่ากำลังคบหากันเสียอย่างนั้น ไม่ได้ล่ะ ถ้าพ่อเห็นแล้วไม่ชอบใจขึ้นมา จะแนะนำแกให้ลูกชายคุณอภิชาตรู้จักเสียเลย” นายเดชาพูดหน้าตาจริงจัง
ขณะที่ปิ่นแก้วเป็นกังวลกลัวว่าจะถูกประเคนให้กับคนแปลกหน้า จู่ ๆ ดวงตากลมโตก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มรูปงาม เส้นผมตัดสั้นนำสมัย จมูกโด่งเป็นสันสวมชุดสูทสีดำราคาแพงเข้าชุดกับรองเท้าหนังเป็นเงางาม ไหล่กว้างสง่างามแลดูภูมิฐานด้วยมาดนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ดวงตาสีดำขลับราวกับนิลเนื้อดีเดินแหวกผู้คนตรงเข้ามาหาเธอด้วยเปิดรอยยิ้มหล่อเหลาที่สุดเท่าที่ปิ่นแก้วเคยเห็น
“สวัสดีครับ ต้องขอโทษจริง ๆ ที่ผมมาช้าไปนิด” ราเมศกล่าวทักทาย สีหน้าท่าทางสุขุมไม่เหลือมาดผู้ชายมาดกะล่อนให้เห็น
ปิ่นแก้วจ้องหน้าเขาราวกับต้องมนต์ คิดไม่ถึงว่าผู้ชายท่าทางเหลาะแหละคนนั้นจะกลายร่างเป็นสุภาพบุรุษมาดเนี้ยบได้ขนาดนี้
“ราเมศ…”
ทันทีที่หันไปเห็นผู้มาใหม่ นายเดชาก็ถือโอกาสสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“หมอนี่ใครหรือยายปิ่น” เจ้าบ้านตระกูลวัฒนะเอกดำรง ถามเสียงห้วน
“เอ่อ..เขาคือ” หญิงสาวอึกอัก
“สวัสดีครับ ผมชื่อราเมศ เป็นเพื่อนของคุณปิ่น รู้จักเป็นเกียรติและดีใจมากที่ได้มีโอกาสพบกัน” ร่างสูงชิงตอบพลางค้อมศีรษะนอบน้อม ยื่นมือออกไปหาหวังเชื่อมสัมพันธไมตรี
ปิ่นแก้วกลั้นใจด้วยความลืมตัว เหลือบไปเห็นสายตาของบิดาที่จ้องมองไปยังราเมศราวกับตำรวจกำลังสอบสวนผู้ต้องหา แล้วก็ต้องโล่งใจ...เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมยื่นมือไปจับแต่โดยดี
“เช่นกัน ผมชื่อเดชา เป็นพ่อของยายปิ่น ได้ยินลูกสาวพูดถึงคุณมาหลายวันแล้ว วันนี้มีโอกาสเจอตัวเป็น ๆ เสียที”
“พ่อคะ”
ราเมศยิ้มน้อย ๆ รู้ดีว่าความประทับใจแรกเห็นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และโชคดีที่เขาสามารถทำมันออกมาได้ดีตามที่คาดการณ์เอาไว้ ทั้งคู่ยืนคุยกันอีกพักใหญ่ท่ามกลางความหวั่นวิตกของปิ่นแก้ว เนื่องจากเกรงว่าจะถูกจับได้ โชคดีที่เพื่อนนักธุรกิจของนายเดชาเดินเข้ามาทักทายในงาน ชายสูงวัยจึงขอตัวเลี่ยงออกไปสนทนากับผู้มาใหม่ ปล่อยให้คู่หนุ่มสาวทำหน้าที่ดูแลกันเอง
การพบปะกันครั้งนี้ดูท่าจะผ่านไปด้วยดี ดูจากสีหน้าท่าทางของนายเดชาแล้วดูเหมือนจะถูกใจราเมศอยู่ไม่น้อย ปิ่นแก้วลอบถอนหายใจออกมาช้า ๆ ด้วยความโล่งอก ราเมศหันมามองเธอด้วยรอยยิ้มขัน
“คุณพ่อคุณนี่น่ารักดีนะ นิสัยเหมือนคุณเลย” เขาเอ่ย
ปิ่นแก้วหันไปค้อนคนพูด รู้ดีว่าไม่ใช่คำชมแน่ ๆ
“หมายความว่ายังไง พูดให้ดี ๆ นะ”
“ผมพูดเรื่องจริงต่างหาก โดยเฉพาะเรื่องคำพูดคำจาที่ฟังดูแข็งนอกอ่อนในนั่น เหมือนกับคุณไม่มีผิดเลย” ราเมศส่งยิ้มให้เธอนัยน์ตาเป็นประกาย แต่คนฟังไม่ยักปลื้ม ยกมือขึ้นทำท่าจะผลักเขาออกไป
“คนบ้า แข็งนอกอ่อนในอะไรกัน โชคดีแค่ไหนแล้วที่ท่านไม่เล่นงานนาย แล้วนี่อะไร ไหนรับปากว่าจะหาคู่ควงมาให้ฉัน ทำไมกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ”
ราเมศยกมือขึ้นล้วงกระเป๋า ยักไหล่เบา ๆ
“มันช่วยไม่ได้นี่คุณ ผมลองโทรศัพท์ทาบถามคนรู้จักทั้งหมดแล้ว แต่ไม่มีใครยอมออกปากรับคำเลยแม้แต่คนเดียว ผมก็เลยจำใจต้องมาแทนนี่แหละ” ชายหนุ่มโกหกหน้าตาย
ปิ่นแก้วนึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิด ๆ
“อ๋อเหรอ ถ้างั้นก็ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์มาเป็นธุระให้ ไหน ๆ ก็หมดเรื่องแล้วนี่ เชิญกลับไปได้แล้วล่ะ” หญิงสาวออกปากไล่ดื้อ ๆ
“โอ้โฮ คุณนี่ใจร้ายจริง ๆ ผมอุตส่าห์บากหน้ามาช่วยทั้งที แทนที่จะหันหน้ามาพูดจาหวาน ๆ แต่กลับออกปากไล่กันหน้าตาเฉย”
“เมื่อกี้ฉันก็ขอบคุณไปแล้วนี่”
ปิ่นแก้วลอยหน้าลอยตาตอบ ทำเอาคนฟังนึกอยากดึงตัวเข้ามาทำโทษเสียให้เข็ด ราเมศลอบยิ้มน้อย ๆ ดวงตาคมกริบลอบมองเธอตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า พร้อมทั้งปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าคืนนี้ปิ่นแก้วแต่งตัวสวยน่ารักเหลือเกิน ผิวขาวยามต้องแสงไฟนั่นก็นวลเนียนเสียจนราเมศนึกอยากแตะต้องสัมผัสขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองมานานแล้วว่า หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้งดงามเพียงใด นิสัยปากแข็งไม่ยอมใครง่าย ๆ ที่ตรงกันข้ามกับกิริยาไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกของเธอ กลับกลายเป็นแรงดึงดูดที่ทำให้ราเมศปรารถนาเข้าใกล้ และอยากปกป้องคุ้มครองขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“อะไร” ปิ่นแก้วทำหน้าสงสัย เมื่อราเมศค้อมศีรษะให้พร้อมกับผายมือให้เธอ
“กรุณาให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงนะ” ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้ม
“ทำไมฉันต้องเต้นรำกับนายด้วยล่ะ”
หญิงสาวขมวดคิ้ว สงสัยจริงเชียวว่าเขาจะมาไม้ไหน
“ไหน ๆ คืนนี้พวกเราก็อุตส่าห์เล่นละครเป็นคู่รักกันแล้ว จะไม่แสดงความหวานให้พ่อของคุณมั่นใจบ้างเชียวหรือ สมมุติว่าท่านหันมาเห็นเราสองคนเอาแต่ทะเลาะกันขึ้นมา ดีไม่ดีอาจสงสัยเอาได้นะครับ”
ราเมศหว่านล้อมเธอด้วยวิธีอันชาญฉลาด และเมื่อปิ่นแก้วมองไปทางนายเดชาก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาจริง ๆ หญิงสาวจึงจำใจตอบรับคำชวนอย่างเสียไม่ได้
“ก็ได้ แต่แค่เพลงเดียวเท่านั้นนะ”
************************
นายราเมศ มามาดหนุ่มหล่อเฟี้ยวแถมยังเนียนได้อีก
ปิ่นแก้วจะยอมใจอ่อนบ้างหรือเปล่า ต้องรอดูค่ะ (^_^)
เบลินญา
กามเทพแผลงศร
“โธ่..ยายน้ำนะยายน้ำ เวลาต้องการคำปรึกษาทีไร เป็นต้องปิดโทรศัพท์หนีทุกทีสิน่า”
ปิ่นแก้วบ่นอุบอยู่ในห้องนอนตามลำพัง หลังจากพยายามโทรศัพท์ติดต่อเพื่อนสาวคนสนิทอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับแต่อย่างใด ร่างบางภายใต้ชุดนอนลายดอกไม้สีชมพูทำหน้ามุ่ย ก่อนโยนโทรศัพท์ลงบนที่นอนอย่างขัดอกขัดใจ
“จะทำยังไงกันดีละทีนี้ ไม่น่าออกปากพูดโกหกเรื่องแฟนหนุ่มกับคุณพ่อเลยเรา” ปิ่นแก้วทำท่าปวดหัวหนัก คิดไม่ออกบอกไม่ถูก
หลังจากถูกบิดาใช้ข้ออ้างเรื่อง ‘แฟนหนุ่ม’ ที่เธอยกขึ้นมาอ้างลอย ๆ เพราะไม่อยากไปร่วมงานเลี้ยงบ้า ๆ นั่น ปิ่นแก้วก็ต้องลำบากหนัก เพราะหากครั้งนี้หาแฟนกำมะลอควงไปงานเลี้ยงไม่ได้ ก็คงถูกจับคู่ดูตัวกับอาเสี่ยหน้าจืดอย่างไม่ต้องสงสัย
“เฮ้อ ไม่น่าหาเหาใส่หัวเลยเรา”
ขณะที่ปิ่นแก้วกำลังคิดหาวิธีจนหัวแทบแตก จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์เรียกเข้า กับเบอร์โทรศัพท์หมายเลขแปลก ๆ ปรากฏบนหน้าจอ
“ใครกันนะ จะโทรฯมาทำไมตอนนี้ก็ไม่รู้” เธอบ่นอย่างหงุดหงิด เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์เจ้าปัญหาขึ้นมากดรับพร้อมกับกรอกเสียงลงไป “สวัสดีค่ะ ปิ่นแก้วกำลังพูดสาย”
หญิงสาวรอให้อีกฝ่ายตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ยินอะไร
“ได้ยินหรือเปล่าคะ ฮัลโหล” เธอถามซ้ำ
‘สวัสดีครับ คนสวย แหม..ป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีกหรือครับ’
ทันทีที่ได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา ปิ่นแก้วก็ต้องลืมตาโตอย่างคิดไม่ถึง
“นาย..” เธอตะกุกตะกัก “ทำไมถึงรู้เบอร์โทรศัพท์ของฉันล่ะ”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาตามสาย ก่อนเฉลยให้เธอหายข้องใจ
‘อย่าทำเสียงดุแบบนั้นสิ ผมก็แค่ขออนุญาตใช้โทรศัพท์ของคุณโทรฯเข้าเครื่องของผมแค่ครั้งเดียวเอง’
ปิ่นแก้วหน้าแดงจัดด้วยความโกรธ
“คนโรคจิต นี่นายแอบดูเบอร์โทรศัพท์ของฉันงั้นเหรอ” เธอแหวเสียงดัง นึกอยากจะขว้างโทรศัพท์ลงพื้นให้พ้น ๆ หลังจากที่เสียรู้อีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ
“ผมเปล่าแอบดู แต่มันโชว์อยู่บนหน้าจอเองต่างหาก”
ราเมศหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดีอยู่บนเก้าอี้โซฟาภายในห้องพักคอนโดมิเนียมหรู ใบหน้าหล่อเหลาเจือด้วยรอยยิ้มนัยน์ตาเป็นประกาย หลังจากแอบใช้ทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ จนได้เบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวมาอย่างที่ต้องการ
หลังจากที่ขับรถไปส่งปิ่นแก้วที่บ้านครั้งสุดท้าย เขาก็แอบนึกถึงหญิงสาวหน้าตาน่ารักมาโดยตลอด ครั้นเมื่อได้ยินน้ำเสียงปนโกรธ ๆ ของเธอ ก็ช่วยให้อารมณ์เครียดผ่อนคลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ
“ว่ายังไงครับคนสวย คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า” เขาถามเย้า ซึ่งคำตอบที่ดังกลับมาก็ไม่ได้ต่างไปจากที่คิดเอาไว้
“บ้า ใครจะไปคิดถึงหน้านายกัน”
ปิ่นแก้วโมโหจนแก้มแดงปลั่ง นึกถึงรอยจูบที่เขาแอบฉวยโอกาสเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว ก็ยิ่งโกรธไม่หาย
“ไร้มารยาทที่สุดเลย คอยดูนะเจอหน้าเมื่อไหร่ฉันจะเอาคืนให้น่าดูเลย”
‘เอาสิครับ ผมยินดีให้คุณหอมคืนจนกว่าจะพอใจเลย’
คำตอบที่ดังกลับมา ทำให้ปิ่นแก้วแทบลุกขึ้นกรี๊ดด้วยความโมโห
“อีตาบ้า ไปให้พ้นนะ คนผีทะเล คนอย่างนายฉันเกลียดที่สุดเลยรู้ไว้ด้วย” เธอตะโกนเสียงดัง
ทำไมสวรรค์ถึงโหดร้ายกับเธอนักนะ ทั้งที่กำลังปวดหัวคิดอะไรไม่ออกอยู่แท้ ๆ แต่กลับส่งทูตนรกมากวนใจเสียได้
ปิ่นแก้วยังคงสรรหาคำพูดต่าง ๆ ด่าใส่ราเมศ หากแต่ภูมิคุ้มกันของชายหนุ่มก็แข็งแรงมากเสียจนคำพูดเจ็บแสบทำอะไรไม่ได้เลย ตรงกันข้ามเขากลับนึกสนุกที่ได้แกล้งเธอ จนทำให้ปิ่นแก้วพาลหมดแรงเอาดื้อ ๆ
“พอทีเถอะ ฉันขอร้องล่ะนะ เลิกยุ่งกับชีวิตของฉันเสียที ตอนนี้ฉันกำลังปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว อย่ามาซ้ำเติมกันจะได้ไหม” ปิ่นแก้วยกมือขึ้นกุมขมับ
ทันทีราเมศได้ยิน น้ำเสียงของชายหนุ่มก็จริงจังขึ้นมาเสียจนเธอประหลาดใจ
‘เป็นอะไรหรือเปล่า คุณมีเรื่องไม่สบายใจงั้นหรือ’
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
‘...มีอะไรไม่สบายใจก็ระบายให้ผมฟังได้นะ เผื่อว่ามันจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นบ้าง รับรองได้เลยว่าผมจะไม่หัวเราะเยาะคุณเด็ดขาด’
ปิ่นแก้วไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเป็นเพราะน้ำเสียงเอื้ออาทรที่ส่งผ่านมาตามสาย หรือว่าเป็นเพราะความกลุ้มใจของตัวเองกันแน่ ที่ทำให้เธอตัดสินใจระบายปัญหาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ทว่าน่าแปลก...ที่ราเมศตั้งอกตั้งใจฟังปัญหาของเธอมากกว่าที่คิด เห็นได้จากที่เขานิ่งฟังเธอนานร่วมยี่สิบนาที จนท้ายที่สุดก็เอ่ยปากออกมาว่า
“สรุปว่าภายในคืนอาทิตย์ที่กำลังจะถึงนี้ คุณต้องหาคู่ควงไปงานเลี้ยงสักคน เพื่อนำไปอ้างกับคุณพ่อให้ได้อย่างนั้นสินะ”
“ใช่” ปิ่นแก้วถอนหายใจยาว นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจะไปหาไหนเอาตอนนี้ “ไม่อย่างนั้น มีหวังฉันต้องถูกคุณพ่อจับคลุมถุงชนแน่ ๆ”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง จนปิ่นแก้วนึกว่าวางสายไปแล้ว
“ตกลง งั้นผมจะเป็นคนจัดหาคู่ควงมาให้คุณเอง” ราเมศสรุปสั้น ๆ
ปิ่นแก้วกระพริบตาถี่ ๆ อย่างคาดไม่ถึง
“อะไรนะ”
“ตกลงตามนี้นะ คืนวันอาทิตย์ค่อยเจอกันในงานก็แล้วกัน” อีกฝ่ายตัดบทง่ายดาย โดยที่ปิ่นแก้วไม่ทันได้ออกปากคัดค้าน
“เดี๋ยวก่อนสิ ฉันยังไม่ได้…นี่ อย่าวางสายดื้อ ๆ แบบนี้สิ” หญิงสาวกรอกเสียงรัวลงไปในโทรศัพท์ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
หญิงสาวถึงกับเหวอไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะออกปากช่วยเธอง่ายดายขนาดนี้ ซ้ำยังไม่ทันบอกด้วยซ้ำว่าจะเอาใครมารับหน้าที่แฟนกำมะลอของเธอในคืนงานเลี้ยงที่กำลังจะมาถึง
“อะไรของเขานะ...ตกลงเราจะไว้ใจได้ไหมเนี่ย” ปิ่นแก้วบ่นเบา ๆ ในลำคอ
…หลังจากที่เฝ้าภาวนาขออย่าให้เวลานี้มาถึง ในที่สุดก็ถึงคืนวันอาทิตย์จนได้ ปิ่นแก้วสวมชุดราตรีสีครีมเปิดไหล่ปักลูกไม้ชายขอบ เส้นผมเกล้าเหนือศีรษะปล่อยลอนยาวระใบหน้า ดวงหน้างามแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนสีธรรมชาติ เน้นเรียวปากสีกลีบกุหลาบแดงระเรื่อ ผิวขาวเนียนราวกับเปลือกไข่ กับสีครีมของของกระโปรงลูกไม้จับจีบพองด้านหลัง แลดูหวานไปทั้งตัว
ใบหน้าหวานน่ารักราวกับตุ๊กตา แลดูไม่สดใสเหมือนอย่างเคยขณะนั่งรอบิดาอยู่บนเก้าอี้โซฟา หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะเนื่องเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา
“ได้เวลาไปกันแล้วลูกปิ่น” เจ้าบ้านวัฒนะเอกดำรง ที่อยู่ในชุดสูทสง่างามภูมิฐานไม่แพ้กันเอ่ยปาก
ปิ่นแก้วทำหน้าอธิบายไม่ถูก
“ปิ่นขอตัวไม่ไป ไม่ได้เหรอคะคุณพ่อ” เธอพยายามอ้อน
“พูดอะไรเป็นเด็กไม่รู้จักโตไปได้ รีบ ๆ เดินไปขึ้นรถเถอะ อีกเดี๋ยวงานเลี้ยงก็จะเริ่มแล้ว” นายเดชาก้มลงเอ็ดลูกสาว
“...ค่ะ”
ร่างบางจึงจำใจลุกขึ้นเดินตามไปอย่างขัดไม่ได้ จนถึงเวลานี้ราเมศก็ยังไม่ยอมโทรศัพท์ติดต่อกลับมาหาเธอ ส่งผลให้ปิ่นแก้วร้อนใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก ทั้งคู่พากันก้าวเข้าไปในรถยนต์สีดำยี่ห้อหรู ก่อนที่คนขับรถจะเดินอ้อมขึ้นมาประจำที่ พาทั้งสองมุ่งหน้าสู่งานเลี้ยงในยามค่ำคืน
บรรยากาศภายนอกโรงแรมเป็นไปอย่างหรูหรา ประดับประดาไปด้วยช่อดอกไม้และโคมไฟสีส้มนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส บนพื้นปูลาดด้วยพรมแดง เต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากหน้าหลายตา ซึ่งล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราบ่งบอกถึงฐานะทางสังคมที่ตั้งใจนำมาอวดกันเต็มที่
ปิ่นแก้วก้าวลงจากรถ เดินคล้องแขนเคียงคู่บิดาเข้าไปภายใน ใบหน้าหวานพยายามมองหาร่างของใครคนหนึ่งในงาน ที่รับปากว่าจะมาพบเธอในค่ำคืนนี้แต่ก็ไม่เห็น จนทำให้นายเดชาหันมามองด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรไป มองหาใครอยู่งั้นหรือยายปิ่น”
“ปะ เปล่าค่ะ ปิ่นแค่สงสัยว่าจะมีคนรู้จัก มาร่วมงานบ้างหรือเปล่าเท่านั้นเอง” เธอรีบแก้ตัว
“อืม ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ งานเลี้ยงครั้งนี้ออกจะใหญ่โต บางทีอาจพบหน้าคนรู้จักก็เป็นได้” นายเดชาออกความเห็น พลางหันมามองลูกสาว “ว่าแต่เพื่อนชายของลูกมายังมาไม่ถึงอีกหรือ นี่ก็จวนจะได้เวลาเปิดงานแล้วนะ”
ปิ่นแก้วออกอาการอึกอัก เนื่องจากไม่รู้จะตอบว่ายังไง
“เอ่อ...คิดว่าน่าจะมาถึงแล้วมั้งคะ”
“อืม ถ้าเขามาแล้วก็รีบพามาให้แนะนำให้พ่อรู้จักด้วยล่ะ จะได้ถือโอกาสสืบชาติตระกูลเสียหน่อยว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร”
“คุณพ่อ พูดอะไรก็ไม่รู้” ปิ่นแก้วหน้าร้อนวูบ
“ก็มันจริงนี่นา จู่ ๆ ก็มาบอกว่ากำลังคบหากันเสียอย่างนั้น ไม่ได้ล่ะ ถ้าพ่อเห็นแล้วไม่ชอบใจขึ้นมา จะแนะนำแกให้ลูกชายคุณอภิชาตรู้จักเสียเลย” นายเดชาพูดหน้าตาจริงจัง
ขณะที่ปิ่นแก้วเป็นกังวลกลัวว่าจะถูกประเคนให้กับคนแปลกหน้า จู่ ๆ ดวงตากลมโตก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มรูปงาม เส้นผมตัดสั้นนำสมัย จมูกโด่งเป็นสันสวมชุดสูทสีดำราคาแพงเข้าชุดกับรองเท้าหนังเป็นเงางาม ไหล่กว้างสง่างามแลดูภูมิฐานด้วยมาดนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ดวงตาสีดำขลับราวกับนิลเนื้อดีเดินแหวกผู้คนตรงเข้ามาหาเธอด้วยเปิดรอยยิ้มหล่อเหลาที่สุดเท่าที่ปิ่นแก้วเคยเห็น
“สวัสดีครับ ต้องขอโทษจริง ๆ ที่ผมมาช้าไปนิด” ราเมศกล่าวทักทาย สีหน้าท่าทางสุขุมไม่เหลือมาดผู้ชายมาดกะล่อนให้เห็น
ปิ่นแก้วจ้องหน้าเขาราวกับต้องมนต์ คิดไม่ถึงว่าผู้ชายท่าทางเหลาะแหละคนนั้นจะกลายร่างเป็นสุภาพบุรุษมาดเนี้ยบได้ขนาดนี้
“ราเมศ…”
ทันทีที่หันไปเห็นผู้มาใหม่ นายเดชาก็ถือโอกาสสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“หมอนี่ใครหรือยายปิ่น” เจ้าบ้านตระกูลวัฒนะเอกดำรง ถามเสียงห้วน
“เอ่อ..เขาคือ” หญิงสาวอึกอัก
“สวัสดีครับ ผมชื่อราเมศ เป็นเพื่อนของคุณปิ่น รู้จักเป็นเกียรติและดีใจมากที่ได้มีโอกาสพบกัน” ร่างสูงชิงตอบพลางค้อมศีรษะนอบน้อม ยื่นมือออกไปหาหวังเชื่อมสัมพันธไมตรี
ปิ่นแก้วกลั้นใจด้วยความลืมตัว เหลือบไปเห็นสายตาของบิดาที่จ้องมองไปยังราเมศราวกับตำรวจกำลังสอบสวนผู้ต้องหา แล้วก็ต้องโล่งใจ...เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมยื่นมือไปจับแต่โดยดี
“เช่นกัน ผมชื่อเดชา เป็นพ่อของยายปิ่น ได้ยินลูกสาวพูดถึงคุณมาหลายวันแล้ว วันนี้มีโอกาสเจอตัวเป็น ๆ เสียที”
“พ่อคะ”
ราเมศยิ้มน้อย ๆ รู้ดีว่าความประทับใจแรกเห็นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และโชคดีที่เขาสามารถทำมันออกมาได้ดีตามที่คาดการณ์เอาไว้ ทั้งคู่ยืนคุยกันอีกพักใหญ่ท่ามกลางความหวั่นวิตกของปิ่นแก้ว เนื่องจากเกรงว่าจะถูกจับได้ โชคดีที่เพื่อนนักธุรกิจของนายเดชาเดินเข้ามาทักทายในงาน ชายสูงวัยจึงขอตัวเลี่ยงออกไปสนทนากับผู้มาใหม่ ปล่อยให้คู่หนุ่มสาวทำหน้าที่ดูแลกันเอง
การพบปะกันครั้งนี้ดูท่าจะผ่านไปด้วยดี ดูจากสีหน้าท่าทางของนายเดชาแล้วดูเหมือนจะถูกใจราเมศอยู่ไม่น้อย ปิ่นแก้วลอบถอนหายใจออกมาช้า ๆ ด้วยความโล่งอก ราเมศหันมามองเธอด้วยรอยยิ้มขัน
“คุณพ่อคุณนี่น่ารักดีนะ นิสัยเหมือนคุณเลย” เขาเอ่ย
ปิ่นแก้วหันไปค้อนคนพูด รู้ดีว่าไม่ใช่คำชมแน่ ๆ
“หมายความว่ายังไง พูดให้ดี ๆ นะ”
“ผมพูดเรื่องจริงต่างหาก โดยเฉพาะเรื่องคำพูดคำจาที่ฟังดูแข็งนอกอ่อนในนั่น เหมือนกับคุณไม่มีผิดเลย” ราเมศส่งยิ้มให้เธอนัยน์ตาเป็นประกาย แต่คนฟังไม่ยักปลื้ม ยกมือขึ้นทำท่าจะผลักเขาออกไป
“คนบ้า แข็งนอกอ่อนในอะไรกัน โชคดีแค่ไหนแล้วที่ท่านไม่เล่นงานนาย แล้วนี่อะไร ไหนรับปากว่าจะหาคู่ควงมาให้ฉัน ทำไมกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ”
ราเมศยกมือขึ้นล้วงกระเป๋า ยักไหล่เบา ๆ
“มันช่วยไม่ได้นี่คุณ ผมลองโทรศัพท์ทาบถามคนรู้จักทั้งหมดแล้ว แต่ไม่มีใครยอมออกปากรับคำเลยแม้แต่คนเดียว ผมก็เลยจำใจต้องมาแทนนี่แหละ” ชายหนุ่มโกหกหน้าตาย
ปิ่นแก้วนึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิด ๆ
“อ๋อเหรอ ถ้างั้นก็ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์มาเป็นธุระให้ ไหน ๆ ก็หมดเรื่องแล้วนี่ เชิญกลับไปได้แล้วล่ะ” หญิงสาวออกปากไล่ดื้อ ๆ
“โอ้โฮ คุณนี่ใจร้ายจริง ๆ ผมอุตส่าห์บากหน้ามาช่วยทั้งที แทนที่จะหันหน้ามาพูดจาหวาน ๆ แต่กลับออกปากไล่กันหน้าตาเฉย”
“เมื่อกี้ฉันก็ขอบคุณไปแล้วนี่”
ปิ่นแก้วลอยหน้าลอยตาตอบ ทำเอาคนฟังนึกอยากดึงตัวเข้ามาทำโทษเสียให้เข็ด ราเมศลอบยิ้มน้อย ๆ ดวงตาคมกริบลอบมองเธอตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า พร้อมทั้งปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าคืนนี้ปิ่นแก้วแต่งตัวสวยน่ารักเหลือเกิน ผิวขาวยามต้องแสงไฟนั่นก็นวลเนียนเสียจนราเมศนึกอยากแตะต้องสัมผัสขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองมานานแล้วว่า หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้งดงามเพียงใด นิสัยปากแข็งไม่ยอมใครง่าย ๆ ที่ตรงกันข้ามกับกิริยาไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกของเธอ กลับกลายเป็นแรงดึงดูดที่ทำให้ราเมศปรารถนาเข้าใกล้ และอยากปกป้องคุ้มครองขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“อะไร” ปิ่นแก้วทำหน้าสงสัย เมื่อราเมศค้อมศีรษะให้พร้อมกับผายมือให้เธอ
“กรุณาให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงนะ” ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้ม
“ทำไมฉันต้องเต้นรำกับนายด้วยล่ะ”
หญิงสาวขมวดคิ้ว สงสัยจริงเชียวว่าเขาจะมาไม้ไหน
“ไหน ๆ คืนนี้พวกเราก็อุตส่าห์เล่นละครเป็นคู่รักกันแล้ว จะไม่แสดงความหวานให้พ่อของคุณมั่นใจบ้างเชียวหรือ สมมุติว่าท่านหันมาเห็นเราสองคนเอาแต่ทะเลาะกันขึ้นมา ดีไม่ดีอาจสงสัยเอาได้นะครับ”
ราเมศหว่านล้อมเธอด้วยวิธีอันชาญฉลาด และเมื่อปิ่นแก้วมองไปทางนายเดชาก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาจริง ๆ หญิงสาวจึงจำใจตอบรับคำชวนอย่างเสียไม่ได้
“ก็ได้ แต่แค่เพลงเดียวเท่านั้นนะ”
************************
นายราเมศ มามาดหนุ่มหล่อเฟี้ยวแถมยังเนียนได้อีก
ปิ่นแก้วจะยอมใจอ่อนบ้างหรือเปล่า ต้องรอดูค่ะ (^_^)
เบลินญา
เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ย. 2554, 21:42:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ย. 2554, 21:42:58 น.
จำนวนการเข้าชม : 2513
<< ตอนที่ 12 พยศรัก | ตอนที่ 14 ผู้หญิงของฉัน >> |
violette 30 ก.ย. 2554, 22:33:20 น.
ปิ่นแก้วอาจจะยังไม่ใจอ่อน แต่คนอ่านใจอ่อนไปแล้วค่า อิอิ
ปิ่นแก้วอาจจะยังไม่ใจอ่อน แต่คนอ่านใจอ่อนไปแล้วค่า อิอิ
Gingfara 30 ก.ย. 2554, 22:46:14 น.
มาแล้วๆๆๆ ติตามอยู่นะค๊าาาา
มาแล้วๆๆๆ ติตามอยู่นะค๊าาาา
Zephyr 30 ก.ย. 2554, 23:47:00 น.
เอ คุณป๋าไม่รู้จักราเมศเหรอคะ ไหนตอนแรกจะให้ดูตัวกันไม่ใช่เหรอ แต่นะสลัดมาดเซอร์มาหล่อเนี้ยบแล้ว ปิ่นหวั่นไหวมั้ยเอ่ย
เอ คุณป๋าไม่รู้จักราเมศเหรอคะ ไหนตอนแรกจะให้ดูตัวกันไม่ใช่เหรอ แต่นะสลัดมาดเซอร์มาหล่อเนี้ยบแล้ว ปิ่นหวั่นไหวมั้ยเอ่ย
เบลินญา 1 ต.ค. 2554, 12:25:53 น.
ราเมศไม่รู้จักคุณป๋าหรอกค่ะ เพราะคุณหญิงป้าเป็นคนจัดการให้ ส่วนเจ้าตัวก็หนีมาตลอด แต่คุณป่๋าจะรู้จักหมอนี่หรือเปล่า...ยังไม่เฉลยค่ะ อิอิ
ราเมศไม่รู้จักคุณป๋าหรอกค่ะ เพราะคุณหญิงป้าเป็นคนจัดการให้ ส่วนเจ้าตัวก็หนีมาตลอด แต่คุณป่๋าจะรู้จักหมอนี่หรือเปล่า...ยังไม่เฉลยค่ะ อิอิ
anOO 1 ต.ค. 2554, 14:56:44 น.
ราเมศสู้ๆๆๆๆ ท่าทางคนอ่านจะใจอ่อนก่อนปิ่นซะแล้ว
ราเมศสู้ๆๆๆๆ ท่าทางคนอ่านจะใจอ่อนก่อนปิ่นซะแล้ว
bloomberg 12 ต.ค. 2554, 15:10:35 น.
ไหงกิริยามารยาทนายราเมศเป็นฝรั่งอย่างนั้นล่ะคะ
เจอหน้าผู้ใหญ่ ค้อมหัวให้พร้อมกับยื่นมือให้จับทักทาย
ถึงจะทำแบบนอบน้อม แต่ก็ไม่มีผู้ใหญ่ที่ไหนชอบหรอกค่ะ
ไหงกิริยามารยาทนายราเมศเป็นฝรั่งอย่างนั้นล่ะคะ
เจอหน้าผู้ใหญ่ ค้อมหัวให้พร้อมกับยื่นมือให้จับทักทาย
ถึงจะทำแบบนอบน้อม แต่ก็ไม่มีผู้ใหญ่ที่ไหนชอบหรอกค่ะ