รักสุดท้าย...ที่ปลายดาว
เพราะความเข้าใจผิดในสัมพันธภาพระหว่างสาวสวย ปากจัด กัดเจ็บ อย่าง “ปลายดาว” กับ เพื่อนหนุ่มคาสโนว่า ทำให้เธอต้องตกเป็นจำเลยในสายตาของ “เตชิต” วิศวกรหนุ่มที่(เขาว่ากันว่า) ปากจัด ซ้ำยังกัดเจ็บยิ่งกว่า ผลที่ตามมาก็คือการปะทะคารมกันแบบดุเด็ดเผ็ดร้อนทุกทีที่ประจันหน้า....เรื่องจะยอมเพลี่ยงพล้ำตกเป็นรองอีกฝ่ายน่ะรึ...ไม่มีทางซะหร้อกกกก

แต่เรื่องวุ่นๆชุลมุนหัวใจก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อสนามรบทำท่าจะเปลี่ยนเป็นสนามรัก(ตามสูตรนิยายคลาสสิค^^) ท่ามกลางความอึดอัดขัดใจของเพื่อนหนุ่มคาสโนว่าที่ยุยงส่งเสริมมาแต่ทีแรก แต่ดันเกิดอาการ “หวงของ” ขึ้นมาเสียอย่างนั้น งานนี้ก็เลยมี “ก้าง” ชิ้นใหญ่โผล่ขึ้นมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

วิศวกรหนุ่มจะทำอย่างไร เมื่อหนทาง “สุดท้ายที่ปลายดาว” ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิด มิหนำซ้ำยังมีเรื่องรัก(ลึกลับ)ในอดีตโผล่ขึ้นมาให้ปวดหัวเพิ่มอีก...

งานนี้เห็นทีต้องลุ้นกันเหนื่อยหน่อยล่ะ!

Tags: กุ๊กกิ๊ก โรแมนติค ปลายดาว เตชิต

ตอน: ตอนที่ 3 <<คุณไม่หอม...ผมหอมนะ >>

ตอนที่ 3 : “คุณไม่หอม...ผมหอมนะ”

นอกจากเรื่องของวรนนท์คนเจ้าชู้แล้ว เรื่องของลูกค้ากิตติมศักดิ์ผู้นั้นก็ยังคงเป็นอีกเรื่องที่ตามมารบกวนจิตใจจนศีล สมาธิ ปัญญาของปลายดาวแตกซ่านทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเธอก็ออกจะโกรธง่ายหายเร็ว จึงรู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ใบหน้าหล่อๆของเขายังอุตส่าห์ทำให้เธอพกพาความโกรธและหงุดหงิดเอาไว้ได้จนถึงเย็น

ตาบ้า!

คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ หน้าตาท่าทางก็ดีแต่กวนประสาทชะมัดยาด เจออีกทีเมื่อไหร่แม่จะตบให้คว่ำเลยคอยดู!

หญิงสาวตีอกชกตัวอยู่ในใจพร้อมยกมือขึ้นดูนาฬิกาเมื่อถึงเวลาเลิกงาน เธอรีบลงลิฟท์มาข้างล่างอย่างกะเวลาให้พอดีกับที่วรนนท์จะมาถึง วันนี้เธอมีภาระจะต้องไปรับบทเมียผู้น่าสงสารซึ่งกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ตามที่ได้รับปากเขาไว้ทั้งหมดที่ทำไปก็เพียงเพื่อที่จะให้หญิงสาวนิรนามผู้นั้นยอมปฏิเสธการแต่งงาน ซึ่งถ้าหากการณ์เป็นไปเช่นนั้นจริง วรนนท์ก็จะได้หลุดจากการคลุมถุงชนโดยชอบธรรม

ไม่น่าเชื่อ...ว่าแค่คูปองกินเค้กฟรีหนึ่งปี เธอก็ยอมเออออห่อหมกไปกับเขาไปเสียแล้ว

ปลายดาวยืนรออยู่หน้าบริษัทได้สักครู่ บีเอ็มดับลิว ซีรี่ส์เจ็ดสีดำใหม่เอี่ยมติดฟิล์มดำทึบทั่วคันก็แล่นปราดมาด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด เขาคงขับผ่านเลยไปแล้ว ถ้าเธอไม่ยื่นมือมาโบกขวางไว้เสียก่อน... ตานี่ก็บ้าพอกัน ผู้หญิงสวยๆยืนอยู่ทั้งคน เขามองไม่เห็นได้ยังไงกันนะ

“เธอจะขับเร็วไปถึงไหนฮึ มีนัดดินเนอร์กับยมบาลหรือไง...ไม่ต้องรีบหรอกย่ะ ยังไงเขาก็รอเธอได้”

ปลายดาวบ่นอุบเมื่อก้าวเข้าไปในรถแล้วก้มหน้าก้มตาหยิบเข็มขัดนิรภัยมาคาด ยังไม่ทันที่คนขับจะตอบว่าอะไรเธอก็ยกฝ่ามือขึ้นท่าปางห้ามญาติพร้อมหลับตาพริ้มอย่างไม่อยากจะรับรู้คำแก้ตัวแก้ต่างอะไรของเขาอีก

“หยุด! ไม่ต้องพูด! ไม่ต้องเถียงด้วย! ฉันไม่อยากฟัง ขอฉันงีบเอาแรงก่อน ตื่นเมื่อไหร่ค่อยมาซ้อมบทกัน โอเค้”

ว่าแล้วหญิงสาวก็เอนตัวลงกับเบาะ นัยน์ตายังคงหลับพริ้มอย่างคนที่พร้อมจะไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ได้ทุกเมื่อ แม้จะนึกแปลกใจที่วันนี้วรนนท์ว่าง่ายกว่าปกติ แต่เมื่อเขาออกรถพร้อมกับเสียงเพลงบรรเลงอคูสติกที่ดังขึ้นเบาๆก็ทำให้เธอนึกคร้านจะต่อปากต่อคำด้วยอีก ทว่าเมื่อรถคันงามแล่นผ่านช่องการจราจรที่ค่อนข้างวุ่นวายมาได้สักพัก หญิงสาวก็พึมพำออกมาอย่างอดไม่ได้ตามนิสัย

“เธอว่าฉัน “จอแบน” มากมั้ยหนอน” หญิงสาวพึมพำเบาๆทั้งที่ดวงตายังคงปิดสนิท “ฉันเหมือนกะเทยมากเหรอวะ”

สารถีหนุ่มมีให้เธอเพียงความเงียบ...

“วันนี้ฉันเจอลูกค้าคนหนึ่งแหละ กวนประสาทชิบเป๋งเลย เขาคิดว่าฉันเป็นกะเทย แล้วฉันอุตส่าห์ไปช่วยเทคแคร์แท้ๆนะ พอให้นามบัตร ดันมาหาว่าฉันให้ท่าซะงั้น..ประสาท! นึกว่าหล่อตายล่ะ”

คนขับยังคงนิ่งเงียบ...จึงเป็นโอกาสดีที่ปลายดาวจะได้เล่าต่อ

“ฉันงี้โคตรปรี๊ดเลย ถ้าไม่ใช่อยู่ในโชว์รูมนะ จะหลังแหวนให้สักที ปกติฉันไม่ค่อยเกลียดคนหล่อนะ แต่กับตานี่...พูดตรงๆว่าฉันเกลียดขี้หน้าเขาพิลึก ไม่ถูกชะตาด้วยอย่างแรงเลย อ้อ! เขาบอกว่ารู้จักเธอด้วย แต่ฉันไม่ค่อยเชื่อ...ถ้ารู้จักเธอเขาก็น่าจะรู้จักฉัน นี่ไม่รู้จะเป็นพวกเกย์เถื่อนมาแอบหลงรักเธอหรือเปล่า ทีหลังจะหว่านเสน่ห์ก็หัดดูตาม้าตาเรือหน่อย ถ้าฉันโดนน้ำกรดสาดหน้าเข้าสักวัน ฉันจะโทษเธอ”

นอกจากเสียงหัวเราะหึๆ...อีกฝ่ายก็ยังคงมีให้เธอเพียงความเงียบ...

“ถ้าวันหลังเขามาอีกนะ ฉันจะให้เด็กแอบถ่ายรูปเขาไว้ สบโอกาสเมื่อไหร่เธอช่วยพาพวกไปยำเขาให้ที...เอาให้เดี้ยง! ฮิฮิ”

“ยากูซ่ามาเอง”

เสียงหัวเราะไม่คุ้นหูแต่ก็มั่นใจว่าเคยได้ยินมาก่อน ทำให้ปลายดาวกระพริบตาตื่นพร้อมดีดตัวขึ้นนั่งหลังตรงโดยอัตโนมัติราวติดสปริง แม้สติจะกลับมาเกินร้อยแต่ยังน้อยเกินกว่าจะเข้าใจทุกอย่างได้ทันที

ตาเถร!

นี่เธอนั่งมากับใคร...ไม่ใช่วรนนท์หรอกเรอะ!

“คุณ!” คำพูดเธอค้างอยู่แค่ในลำคอ “คุณ...คุณ...มาได้ไง”

“ก็คุณโบกให้ผมหยุด” เขาตอบไม่สะทกสะท้าน ขณะหักพวงมาลัยรถเลี้ยวไปอีกทาง

“แล้วคุณหยุดทำไม”

“อ้าว! ก็คุณบอกให้หยุด” น้ำเสียงเขาเหมือนดุแต่ปลายดาวก็คิดว่าเธอมองเห็นรอยยิ้มซ่อนอยู่ “นี่คุณขึ้นรถคนอื่นง่ายขนาดนี้เชียวหรือ อันตรายมากนะ”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ปลายดาวตอบเสียงอ่อย “ฉันแค่นึกว่าเป็นรถเพื่อนฉัน ใครใช้ให้คุณใช้รถรุ่นเดียวกัน แถมติดฟิล์มดำทั่วคันเหมือนกันแบบนี้ล่ะ”

“เป็นความผิดผมงั้นสิ”

ปลายดาวนิ่งเงียบ...นึกแช่งชักหักกระดูกตัวเองอยู่เงียบๆ ที่ใจเร็วด่วนได้ไม่ดูตาม้าตาเรือให้ดีเสียก่อน แล้วดูสิ...เป็นรถใครไม่เป็น ดันมาเป็นรถของโจทก์เก่าเธอเข้าเสียนี่...แถมยังนั่งชมเชยเขามาตลอดทางอีก หน้าแตกหมอไม่รับเย็บจริงๆ

“งั้นคุณช่วยจอดข้างหน้านี่ล่ะ ฉันจะลง”

“ผมจะบอกอะไรให้นะคุณปลายดาว รัตนดารากร” เขาทำเสียงดุเข้ม “รถผมน่ะ ไม่เคยเปิดรับใครง่ายๆ แต่ถ้าใครขึ้นมาแล้ว ผมก็ไม่ปล่อยให้ลงไปง่ายๆเหมือนกัน”

“พูดงี้หมายความว่าไง” เธอแหวออกมาเสียงดัง “คิดจะปล้ำฉันเรอะ เห็นอย่างนี้ฉันก็สู้คนนะ”

“แต่คุณอยู่ในรถผมนะ คิดเหรอว่าจะรอด” เขาพูดอย่างเป็นต่อ แอบนึกสนุกที่ได้ต่อปากต่อคำกับเธอ

“ฉันจะแจ้งตำรวจ”

“ข้อหา?”

“ก็...ก็...ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว...”

“แต่คุณเป็นคนโบกให้ผมหยุด” เขาหัวเราะร่วน “แถมเดินมาขึ้นรถผมเองเสียด้วย คุณว่าตำรวจเขาจะเชื่อใครมากกว่ากัน”

“คุณปล่อยฉันไปเถอะ ถ้าคุณโกรธเรื่องที่เราทะเลาะกันเมื่อตอนบ่าย ฉันก็ขอให้เราเลิกแล้วต่อกันเถอะนะ”

“ผมว่ามันง่ายเกินไป ไม่ได้...ผมไม่ยอม”

“คุณไม่สงสารผู้หญิงตัวเล็กๆหรือไง ลองคิดว่าถ้าฉันเป็นน้องสาวคุณ พี่สาวคุณสิ...นะ ปล่อยฉันไปเถอะ...” คราวนี้เธอตอบเสียงสั่น เริ่มเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“ปล่อยให้คุณพาพวกมายำผมงั้นหรือ” เขาหัวเราะหึๆ “เห็นทีผมจะต้องตัดไฟแต่ต้นลมซะก่อน”

“อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ผู้ชายหน้าตาท่าทางเป็นผู้ดีอย่างคุณคงไม่ใจร้ายอย่างที่พูดหรอกใช่มั้ย นะ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันขอร้อง”

เมื่อเขาส่ายหน้า ปลายดาวก็ได้แต่นิ่งเงียบ พลางสอดส่ายสายตาหาปุ่ม unlock ด้านข้างเพื่อจะเปิดประตูลงไปให้ได้ ทว่าก็ดูเหมือนมันจะถูกควบคุมโดยคนๆเดียว ยังงี้แล้วเธอจะรอดเงื้อมมือเขาไปได้หรือไม่หนอ...
แล้วเธอก็นึกถึงวรนนท์ขึ้นมาได้...หมอนี่แหละตัวต้นเหตุ ถ้าไม่ใช่เพราะเขามาช้า เธอก็คงจะไม่ต้องมาเผชิญวิกฤติชีวิตแบบนี้ นึกได้ดังนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าขึ้นมา ทว่าก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มเบรกรถกึกลงอย่างกะทันหันเพราะมีมอเตอร์ไซค์ปาดหน้า แรงสั่นสะเทือนที่ประมาณเก้าจุดเจ็ดริกเตอร์จากการเบรกทำให้ใบหน้าของปลายดาวเกือบทิ่มเข้ากับคอนโซลหน้ารถและโทรศัพท์เครื่องจิ๋วร่วงลงไปที่ข้างเบาะและหล่นสู่พื้นด้านล่างอย่างคว้าไว้ไม่ทัน

“วุ้ย! จะมาหล่นอะไรกันตอนนี้นะ เลือกเวลาบ้าง อะไรบ้าง”

ปลายดาวบ่นออกมากับตัวเองอย่างหงุดหงิดขณะป่ายมือเปะปะเพื่อควานหา โดยไม่รู้ตัวว่าใครอีกคนในที่นั้นแอบหัวเราะออกมาอย่างเห็นขัน

“คุณทำอะไรน่ะ ก้มๆเงยๆอยู่ได้ มีพิรุธแบบนี้ เดี๋ยวคนเขาก็หาว่าผมซุกยาบ้าไว้ในรถหรอก”

“โทรศัพท์ฉันหล่น คุณช่วยหาหน่อยสิ”

เธอเงยหน้าขึ้นมาบอกเขาหน้าตาเฉย ความจริงเธอก็พูดไปอย่างนั้นเอง แต่ก็แปลกที่เขายอมจอดรถเข้าข้างทางอย่างว่าง่าย ซ้ำยังก้มๆเงยๆช่วยเธอหาอยู่อีกพักใหญ่ๆทว่าก็ไม่เป็นผล

“คุณโทรหามันหน่อยสิ”

“โทรหาใคร” เขาทำหน้าไม่เข้าใจ

“ก็โทรหาโทรศัพท์นั่นไง ก้มๆเงยๆอยู่อย่างนี้เมื่อไหร่จะเจอมันล่ะ คนผ่านไปมาจะได้หาว่าเราทำอนาจารกันอยู่ประไร”

“งั้นเราก็...”

“หยุดนะ! ฉันรู้นะว่าคุณจะพูดอะไร อุบาศว์! โทรหามันเร็วเข้า!”

ชายหนุ่มหัวเราะที่เธอดันรู้ทันแต่ก็ยอมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อไม่พิรี้พิไร ทว่าก่อนจะกดปุ่มนัยน์ตาเขาก็ยิ้มพรายออกมาอย่างอารมณ์ดี แม้รอยยิ้มนั้นจะทำให้หน้าดุๆของเขาดูดีขึ้นมากในสายตาและต่างกับชายหนุ่มจอมกวนประสาทเมื่อตอนบ่ายลิบลับ แต่มันก็หาใช่เวลาที่เธอจะมาชื่นชมกับรอยยิ้มนั้นไม่

“ยิ้มอะไร” ปลายดาวแหวออกมาอย่างอดไม่ได้

“ถ้าอยากได้เบอร์ผม ก็บอกกันตรงๆก็ได้ ไม่เห็นจะต้องยุ่งยาก”

“บ้า!” หญิงสาวเกือบจะเผลอทุบเขาให้เสียแล้ว “คุณดูหนังมากไปหรือ เปล่าฉันจะเอาไปทำไม เบอร์คุณน่ะ ไม่เห็นจะมีประโยชน์ ถ้าใช้โทรสั่งแก๊ส สั่งไก่ สั่งพิซซ่าได้ล่ะก็ ค่อยมาคุยกัน”

“อ้าว! จะไปรู้เหรอ” เขาหัวเราะร่วน

“นี่! ฉันว่าคุณหลงตัวเองมากไปหน่อยหรือเปล่าคะ ฉันไม่ใช่....” หญิงสาวถอนใจ รู้สึกว่ากับเขาพูดไปก็สองไพเบี้ยเปล่าๆ “เอาเถอะ คุณจะคิดยังไงก็เรื่องของคุณ เอาเป็นว่าฉันรบกวนคุณช่วยโทรหามันหน่อยก็แล้วกัน”

เธอตัดบทอย่างไม่อยากต่อความยาวด้วยอีก ชายหนุ่มผู้ซึ่งเธอยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามก็ยอมกดปุ่มตามหมายเลขที่เธอบอก ไม่นานนักเสียงริงโทนแปลกประหลาดจากโทรศัพท์เครื่องจิ๋วก็ดังขึ้น มันนอนแอ้งแม้งอยู่ที่ใต้เบาะนี่เอง

“นี่แน่ะ! นี่แน่ะ! delete! delete! delete!…”

พอคว้าโทรศัพท์ได้ ปลายดาวก็จัดการลบเบอร์เขาออกจากเครื่องทันทีด้วยความสะใจ

“คุณทำอะไรน่ะ”

“ก็ลบเบอร์คุณออกไง จะได้ไม่ต้องมาหาว่าฉันอยากได้เบอร์คุณอีก ฉันไม่ได้อยากได้เบอร์คุณ รู้ไว้ซะด้วย!”

“แน่ใจนะ ว่าคุณไม่ได้แอบจำไว้ก่อนลบน่ะ”

“นี่! จะเกินไปแล้วนะ” เธอเผลอยกมือขึ้นเท้าสะเอว “ฉันยังไม่ทันมองสักกะตัวว่าเบอร์คุณมีเลขอะไรบ้าง แล้วถึงจะมองก็ใช่ว่าฉันจะจำได้ หัวฉันเล็กนิดเดียว สมองหรือก็มีเนื้อที่จำกัด อย่าว่าแต่เบอร์พ่อแม่พี่น้องเลย เบอร์ตัวเองฉันยังจำผิดจำถูก แล้วฉันคงจะจำเบอร์คุณได้หรอกน่ะ เฮ้อ! ขี้เกียจจะเถียงกับคุณแล้ว เอาเป็นว่าถ้าฉันเกิดสติไม่สมประกอบโทรไปหาคุณเมื่อไหร่ คุณก็กดทิ้งทันทีได้ไม่ว่ากัน โอเคนะ...จบข่าว”

ถอนหายใจเสร็จ หญิงสาวก็เอื้อมมือไปกดปุ่ม unlock ด้านข้างประตู ทว่ามันก็ยังคงไม่ทำงานอยู่ดี มิหนำซ้ำสารถีหนุ่มสุดหล่อก็ดูจะไม่สะทกสะท้านกับท่าทีหวั่นวิตกของเธอสักเท่าไหร่ด้วย

“คุณจะลงไปไหน นี่มันซอยเปลี่ยว ไม่กลัวโจรโรคจิตหรือไง”

“แล้วแน่ใจนะ ว่าที่นั่งอยู่ด้วยกันนี่ ไม่ใช่”

ปลายดาวอยากจะตอบเขาไปแบบนี้ แต่สถานการณ์ที่บีบบังคับในพื้นที่ที่ถูกจำกัดให้อยู่กับเขาสองต่อสองก็บอกให้เธอออมปากออมคำไว้ก่อนจะดีกว่าเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและหนี้สิน หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างไม่ไว้ใจ แล้วตัดสินใจกดโทรศัพท์หาเพื่อนรักแทน ยังไงซะวรนนท์ก็ต้องช่วยเธอได้ เขาไม่มีทางทอดทิ้งเธออยู่แล้ว

ทว่าปลายเสียงที่ตอบกลับมาอย่างระริกระรื่นก็ทำให้หญิงสาวแทบฟิวส์ขาด!

“อ้าว! ก็ฉันอุตส่าห์มารอรับเธอ แต่เธอดันหนีกลับไปก่อน ฉันก็เลยมาส่งน้องเจี๊ยบแทน เห็นน้องเขายืนรอรถเมล์อยู่คนเดียว น่าสงสารออก”

“ไอ้....ไอ้....” หญิงสาวฉุนขาด พูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ไอ้...ไอ้นิสัยดี!...ไอ้สุภาพบุรุษ!...”

“แค่นี้นะ ฉันจับมือ เอ๊ย! ฉันขับรถอยู่ อันตรายมาก...ไว้ฉันจะโทรกลับ”

ปลายดาวกดปุ่มวางสายแรงๆอย่างโมโหจนปุ่มตัวเลขแทบจะจมหายไปในตัวเครื่อง ให้มันได้อย่างนี้สิน่า!

บรรยากาศปลายเดือนพฤษภาคมที่เคยอบอ้าวและมึดครึ้มไปด้วยเมฆฝนดูสว่างแปลกตากว่าทุกวัน สายลมยามเย็นพัดโชยมาวูบใหญ่จนกิ่งก้านประดู่ที่สูงลิบอยู่ริมไหล่ทางพากันไหวลู่ ท้องถนนแห่งนั้นแม้ไม่เปลี่ยวมากนักแต่ยวดยานสัญจรก็บางตามากเมื่อเทียบกับถนนสายหลักใหญ่ แนวทางเดินเท้าที่มีร่องรอยของการบูรณะซ่อมแซมใหม่ยังคงสะอาดเอี่ยม มีเพียงเศษใบไม้ร่วงหล่นกระจัดกระจายดูคลาสสิคไปอีกแบบ

ถ้าเป็นเวลาอื่นปลายดาวคงอยากลงไปเดินรับลมเล่นๆเพื่อฆ่าเวลา ไม่ก็ฟังเพลงไปด้วยตามประสาคนมีดนตรีในหัวใจ เป็นความสุขเล็กๆที่เธอมักจะหาและฉกฉวยเอาไว้ได้ ในขณะที่ใครต่อใครพากันรีบเร่งไปกับชีวิตประจำวันและไม่มีใครสนใจใคร แต่เวลานี้...การไปให้ไกลจากที่ตรงนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งเดียวที่ปรารถนา

“คุณหายโกรธฉันหรือยัง ถ้าหายโกรธ...ก็ปล่อยฉันลงเถอะ แล้วฉันจะไม่ติดใจเอาความ”

“ตกลงว่านี่คุณขอร้องผม หรือขู่ผมกันแน่”

เขายังหัวเราะร่วน ท่าทางดูผ่อนคลายกว่าเมื่อตอนบ่ายที่เธอเห็นอยู่มาก ว่าแต่...เขาไม่คิดจะรีบร้อนไปไหนมั่งหรือไงนะ นี่มันเวลาเลิกงานแล้วแท้ๆ หล่อๆแบบเขายังไงก็ต้องมีนัดดินเนอร์มื้อเย็นรออยู่

“แล้ว...แล้วฉันทำอะไรผิดล่ะ” เธอถามเสียงอ่อย

“ก็คุณคิดจะพาพวกมารุมทำร้ายผม...คุณคิดประทุษร้ายร่างกายผม นี่ยังไม่ผิดอีกหรือ”

“แล้วคุณคิดว่าฉันจะทำได้จริงๆมั้ยล่ะ ผู้หญิงตัวเล็กๆแบบฉัน...”

“ไม่รู้ล่ะ...ที่สำคัญคุณว่าผมประสาท ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครว่าผมแบบนี้มาก่อนเลย โกรธนะเนี่ย”

“งั้นฉันขอโทษ”

“แค่นี้น่ะหรือ...ง่ายเกินไปหรือเปล่า”

“ฉันขอโทษค่ะ” ไม่พูดเปล่า แต่ปลายดาวยกมือไหว้เขาอย่างชดช้อยอีกด้วย “ฉันขอโทษที่บังอาจไปละลาบละล้วงล่วงเกินคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม ฉันขอรับผิดแล้วก็สัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินคุณอีกไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า ขอให้คุณได้โปรดอโหสิกรรมให้ฉันด้วย….”

สิ้นประโยคยาวเหยียดของเธอ ชายหนุ่มก็หัวเราะพรืดออกมาเสียงดังจนใบหน้าขาวสะอาดสะอ้านนั้นกลายเป็นสีชมพูเข้มจัด ประกายตาแจ่มจ้า เธอเพิ่งเห็นว่าเขามีลักยิ้มบุ๋มข้างแก้มเสียด้วย...เขาทำให้เธอนึกถึงมาริโอ้ เมาเร่อร์ ขึ้นมาอีกแล้วสิ

“นี่คุณขำอะไร ฉันกำลังขอโทษคุณอยู่นะ”

ปลายดาวถามเสียงห้วน ที่เขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับการขอโทษของเธอเท่านั้น แต่ดันมาหัวเราะเยาะเธอเสียอีกนี่

“นึกว่านั่งอยู่กับแม่ชี โอเค...เอาล่ะ” เขายกมือขึ้นห้าม “นี่มันก็เย็นมากแล้ว เอาเป็นว่าถ้าคุณยอมขอโทษผมดีๆ แล้วผมจะปล่อยคุณไป”

“ฉันก็ขอโทษแล้วไงล่ะ แล้วมันไม่ดีตรงไหนอีก”

“คุณต้องขอโทษด้วยวิธีของผม...ผมถึงจะปล่อยคุณไป”

“วิธีของคุณ...วิธีอะไร” หญิงสาวถามอย่างหวาดหวั่น “อย่ามาทะลึ่งนะ ฉันสู้จริงๆด้วย”

“ผมมีทางเลือกให้คุณสองทางคือ ข้อหนึ่ง...หอมแก้มผม…”

“ข้อสองเหอะ”

ปลายดาวรีบขัดขึ้นกลางคัน รู้สึกบัดสีบัดเถลิงเกินกว่าจะรอให้เขาพูดจบ

“ข้อสอง...ให้ผมหอมแก้มคุณ”

“อี๋!”

ปลายดาวผงะหน้าหนี...จะข้อหนึ่งหรือข้อสองเธอก็รับประทานไม่ลงทั้งสองข้ออยู่ดีนั่นแหละ นี่เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่มายื่นคำขาดอะไรพิลึกพิลั่นแบบนี้ เพิ่งเจอกันวันแรกแท้ๆ

“ว่าไง...จะยอมหอมแก้มผมดีๆหรือคุณจะให้ผมหอมแก้มคุณแทน เลือกเอา...”

เขายักคิ้วให้เธอข้างหนึ่งอย่างคนเจ้าเล่ห์ แววตาเจ้าชู้และกรุ้มกริ่มอย่างร้ายกาจ

“ฉันว่ามันไม่เหมาะ...ฉันเป็นผู้หญิงนะ ที่สำคัญเราเพิ่งเจอกัน วันแรกด้วย มันไม่งาม”

“ไม่ต้องกลัวใครเห็นหรอกน่า แล้วผมก็สัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”

“แต่ตัวฉันสกปรกนะ ไม่ค่อยได้อาบน้ำหรอก สามวันอาบที เหม็นจะตาย...เป็นกลากเกลื้อนตรงไหนมั่งก็ไม่รู้ คุณอย่าเสี่ยงเลย”

“คุณไม่หอม ผมหอมนะ”

“อย่านะ!”

“ผมจะนับล่ะ หนึ่ง...สอง...สะ...”

ก่อนที่เขาจะนับถึงสาม ปลายดาวก็กลั้นใจในนาทีสุดท้าย หลับหูหลับตาแล้วเหวี่ยงจมูกไปที่ข้างแก้มของเขาหนึ่งทีอย่างเสียไม่ได้ แม้จะเป็นเวลาแค่ชั่วกระพริบตาเพียงเสี้ยววินาที แต่หญิงสาวก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นกายเขาช่างหอมกรุ่น และมีพลังดึงดูดมหาศาล ชนิดที่ว่าเธอไม่เคยรู้สึกกับบุรุษเพศคนไหนมาก่อน ขนาดนายหนอนที่ว่าสนิทชิดเชื้อกันมานานปีดีดัก ก็ยังไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะหวามไหวไปกับพลังแห่งความเป็นชายชาตรีจากเขา

แต่ก็เอาเหอะ...นานๆจะมีชายหนุ่มหน้าตาดีโผล่มาเป็นเหยื่อ ต้องถือว่าเป็นกำไรชีวิต...เรื่องแค่นี้ อย่าคิดมาก!

“เสร็จแล้ว...ฉันหอมคุณแล้ว ฉันไปได้หรือยัง”

เธอถามโดยไม่มองหน้า มือข้างหนึ่งเตรียมเปิดประตูเต็มที่

“แบบนี้เขาไม่เรียกว่าหอม...เขาเรียกว่าเอาจมูกมาทิ่ม”

“เอ๊ะ! คุณนี่!...ฉันก็หอมแล้วนี่ จะเอายังไงอีก”

“คุณก็หอมให้มันเหมือนชาวบ้านเขาหน่อยสิ...หอม...แบบนี้น่ะ...”

เขาไม่พูดเปล่า แต่ถือโอกาสยึดหัวไหล่เธอไว้ทั้งสองข้างก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาจนชิดแล้วปักจมูกโด่งแหลมไว้ข้างพวงแก้มของเธออยู่ชั่วอึดใจ มันเกือบจะซุกซนเลยเถิดไปที่อื่นต่ออยู่แล้วถ้าเสียงโทรศัพท์ของปลายดาวจะไม่ดังขึ้นราวกับระฆังช่วยชีวิตเสียก่อน

หญิงสาวถอนใจโล่งอกที่ผลักเขาออกห่างได้สำเร็จ กระนั้นก็ยังรู้สึกว่าสติสตังตัวเองกลับมาไม่ครบถ้วนนัก เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงหัวใจเต้นแบบสเตอริโอเซอราวนด์ที่ได้ยินนั้นมันดังมาจากที่ไหนกันแน่

ใครเนี่ย...ไม่เห็นรู้จัก เบอร์ไม่คุ้นอีกต่างหาก...

“คนบ้า! โรคจิต! ประสาท!”

เธอพูดออกมาลอยๆ หมายจะให้มันกระทบชิ่งไปโดนใครอีกคน แต่ครั้นพอเห็นสายตากรุ้มกริ่มเขาอีกครั้ง เธอก็นึกขึ้นได้ว่ามันเคยนำมาซึ่งอะไร ก็เลยเฉไฉตอบเขาไปว่า

“ฉะ...ฉัน...ฉันว่าคนในโทรศัพท์ ไม่ได้ว่าคุณ” เธอพูดอุบอิบอยู่ในลำคอ “ขณะนี้ เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งภายหลัง สวัสดีค่ะ ตู๊ด...”

ปลายดาวกดปุ่มรับ แต่กลับแกล้งทำเสียงเลียนแบบสัญญาณตอบรับอัตโนมัติหน้าตาเฉย ช่วยไม่ได้...พักนี้มีแต่เบอร์แปลกๆเข้ามาบ่อย เผลอๆจะเป็นพวกโรคจิต ไม่ก็ขายประกัน เธอไม่อยากรับให้เสียเวลาหรอก
ชายหนุ่มทำหน้าสงสัยที่เธอปฏิเสธการรับสายได้อย่างหน้าตายสุดๆ แต่หญิงสาวไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องอธิบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปุ่ม unlock ตรงประตูใช้งานได้แล้วในตอนนี้ เธอก็ไม่รอช้ารีบผลักประตูให้เปิดออกพร้อมก้าวขาข้างหนึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว กระนั้นก็ยังไม่วายมีแก่ใจหันมาอวยพรให้เขาอีกเป็นครั้งสุดท้าย

“ฉันขออนุโมทนาสาธุให้การเจอกันครั้งนี้ เป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย ขออย่าให้เราได้เจอะเจอกันอีกเลยสาธุ ถ้าคุณเป็นเจ้ากรรมนายเวรฉันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนก็ขอให้เราอโหสิกรรมต่อกัน จะได้หมดเวรหมดกรรมต่อกันเสียในชาตินี้ แล้วฉันจะทำกรวดน้ำแผ่เมตตาไปให้นะ แค่นี้นะ สวัสดี พบกันชาติหน้าลาก่อน!”

หญิงสาวร่ายยาวราวกับลอกมาจากหนังสือธรรมะ จนใครอีกคนอดหัวเราะไม่ได้ และก่อนที่เธอจะทันก้าวออกจากรถคันนั้น เขาก็เอื้อมมือมาคว้าข้อมือเธอไว้ได้ทันพอดิบพอดี

“เดี๋ยวก่อน...” เขารั้งเธอไว้ ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแต่กลับฟังดูมีพลังพิลึก “คุณคิดว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกจริงๆหรือ”

“แน่นอน” เธอตอบเสียงดังฟังชัด

“ก็คอยดูแล้วกัน”

“เรื่องอะไรฉันจะต้องคอย ประสาท!”

ว่าแล้วหญิงสาวก็รีบมุดออกมาจากรถเพื่อที่จะผลักบานประตูให้ปิดลงอย่างตั้งใจ ทันทีที่เป็นอิสระปลายดาวก็หันหลังเดินออกมาจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว โชคดีมีแท็กซี่ผ่านมาพอดีเธอจึงไม่รอช้าโบกมือให้รถหยุดแล้วบอกจุดหมายปลายทางเพื่อจะระเห็จออกมาจากบริเวณนั้นได้อย่างทันท่วงที

ปลายดาวไม่มีโอกาสได้รู้ว่า ทันทีที่ร่างของเธอเลือนหายจนเหลือเพียงจุดเล็กๆที่มองเห็นได้จากปลายสายตา ชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดูพร้อมอมยิ้มออกมาอย่างมีความสุข...
เธอคงไม่รู้หรอก ว่าการพบกันโดยบังเอิญในวันนี้ ทำให้บรรยากาศปลายเดือนพฤษภาคมที่เคยร้อนอบอ้าวและมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน กลายเป็นวันสบายๆที่มีเพียงลมพัดใบไม้ไหว แต่กลับทำให้เขาเย็นชื่นไปถึงหัวใจโดยไม่รู้ตัว...

เป็นความบังเอิญที่ไม่เลวเลยทีเดียว...



สิริเสาวภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ต.ค. 2554, 20:46:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ต.ค. 2554, 20:46:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 2148





<< ตอนที่ 2 << เปิดศึก! >>   ตอนที่ 4 <<สวรรค์เบี่ยง(เบน)! >> >>
NokTamakar 2 ต.ค. 2554, 23:11:11 น.
ชอบสำนวนค่ะ


violette 3 ต.ค. 2554, 00:30:35 น.
เริ่มน่ารักแล้วค่ะลุ้นๆๆๆอยากอ่านต่อแล้วสิ


jumpjar 3 ต.ค. 2554, 11:15:41 น.
สนุกดีค่ะ


pseudolife 3 ต.ค. 2554, 14:50:46 น.
ฮ่าๆๆๆ ฮาดีจริงๆ น่ารักมากๆ ค่ะ
รออ่าน รอลุ้นตอนต่อไป


สิริเสาวภา 3 ต.ค. 2554, 17:28:19 น.
จริงๆตั้งใจเขียนนิยายโรแมนติคนะเนี่ย...
กลายเป็นนิยายโหด มัน ฮา ไปได้ไงไม่รู้ 555


wane 18 ต.ค. 2554, 07:08:09 น.
สนุกดีค่ะ ชอบ ชอบ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account