กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 5

ตอนที่ ๕

มันเป็นสถานการณ์ที่อึดอัดอิหลักอิเหลื่อใจเมื่อมองไม่เห็นว่าอนาคตตนเองจะเป็นอย่างไรต่อไป เฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพินิจคนตรงหน้า คนที่มาในฐานะตัวแทนคุณอังกาบ ยิ่งเห็น วริณสิตาก็ยิ่งหวั่น

ไม่ใช่ว่าเขาจะมีหน้าตาดุดันหรืออะไร หากแต่ตรงข้าม ดวงตาคมปลาบอยู่ใต้คิ้วเข้มที่สอดรับกันอย่างพอดีกับจมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูปก็ช่างเหมาะกับโครงหน้ารูปไข่ บุคลิกดูนิ่ง สุขุมและเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นทำให้เขาดูทรงอำนาจเหนือกว่าเด็กอย่างเธอมากนัก!

เพราะงั้นวริณสิตาจะทำอะไรได้ นอกจากสะกดความหวั่นไว้ข้างในยามมองชายหนุ่มที่ชื่อพีรพัฒน์กวาดสายตาสำรวจไปรอบๆบ้านของเธอ

“แล้วเธอล่ะ” ในที่สุดเขาก็หันกลับมา เอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เป็นอย่างไรบ้าง ยายเสียไปแล้ว ต้องอยู่คนเดียวงั้นหรือ?”

“ใช่” วริณสิตาพยักหน้าตอบสั้นๆ “นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ต้องระวังตัวมากๆด้วย ถึงหมู่บ้านนี้จะไม่เคยมีเรื่องขโมยขโจร แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสมอไป ยายสอนฉันไว้ตลอด ว่าความประมาทเป็นหนทางสู่ความตาย”

“อืม...” คนฟังพยักหน้าหงึกหงักก่อนคลี่ยิ้มบางๆออกมา แน่นอนว่ามันเป็นยิ้มที่วริณสิตาไม่เข้าใจสักนิด

“แล้วปีนี้เธออายุเท่าไหร่แล้วล่ะ” เขาถามอีก ผิวแก้มสาวน้อยร้อนเห่อขึ้นมานิดๆอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเกิดมา ยังไม่เคยมีชายหนุ่มที่ไหนมาถามคำถามเธอแบบนี้ แต่ว่าอย่างไรเสียวริณสิตาก็คงต้องตอบ นั่นเพราะเขาเป็นคนรับจดหมาย และแน่นอน เขาประกาศว่ามาที่นี่ก็เพราะจดหมาย

“สิบเจ็ดค่ะ”

“อืม! แล้วตอนนี้เรียนจบอะไร คือฉันหมายถึง ยายเธอ ส่งเสียเธอเรียนถึงชั้นไหน”
วริณสิตาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนตอบ

“มอปลายค่ะ”

“มอปลาย? ชั้นไหน”

“มอหก”

ชายหนุ่มตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นมาราวกับพบสิ่งขัดข้องใจ

“มอหกรึ” เขาทวนคำ ยิ้มน้อยๆยังคงอยู่ในใบหน้ายามเมื่อเอ่ยต่อไปว่า “เธอก็ได้เรียนค่อนข้างสูงนี่ ตอนอ่านจดหมายครั้งแรก ฉันยังนึกว่าเธอได้เรียนมาน้อยกว่านั้นเสียอีก”

คำพูดเขา ฟังคล้ายจะเย้ยหยันอยู่ในที ก็คงเป็นความรู้สึกเป็นทัศนคติจริงๆที่คนกรุงเทพฯฐานะร่ำรวยอย่างเขามีต่อเด็กบ้านนอกฐานะต่ำต้อย

มันก็คงจะถูกต้องแล้วนี่! ที่จริง วริณสิตาก็รู้ว่าตัวเองโชคดีด้วยซ้ำที่ยายสามารถส่งเธอให้เรียนสูงขนาดนั้นได้ เพราะในละแวกหมู่บ้านไกลปืนเที่ยง แค่คนจบมัธยมต้นยังหาได้ยากเลย

‘ไอ้ท้ายที่สุด เจ้าจิ๊บมันก็ต้องมีผัว รึไม่ก็ต้องกลับมาทำไร่ ทำนา แล้วแม่สายใจจะต้องไปเหนื่อยส่งให้มันร่ำเรียนสูงๆทำไม ฉันละไม่เข้าใจจริงๆ’

วริณสิตามักจะได้ยินประโยคนี้เสมอยามที่ยายต้องไปหยิบยืมเงินจากบ้านผู้ใหญ่ทองดีเพื่อมาเป็นค่าเทอมของเธอในบางคราว แต่แม้จะมีคนบอกอย่างนั้น ยายก็ไม่เคยเอนเอียงสักครั้ง

‘การศึกษาเท่านั้น ที่จะเป็นทั้งอาภรณ์และอาวุธ ช่วยให้เจ้าสามารถเอาตัวรอดได้ในวันข้างหน้า จำเอาไว้นะลูก ไม่ต้องไปสนใจคำพูดของใคร ตั้งใจเรียนให้ดี ตราบใดที่ยายยังมีแรง ยายจะส่งเสียเจ้าให้ได้เรียนสูงที่สุด’

“ค่ะ” วริณสิตาตอบ สาวน้อยต้องพยายามอดทนอดกลั้น บอกตนเองให้ยอมรับความจริงที่ว่า มันไม่ใช่ความผิดเขาเลย หากหลานชายคุณอังกาบจะคิดว่าเธอด้อย

“ถ้าจะนับในเรื่องการศึกษาขั้นต่ำ วุฒิมอปลายที่ได้ตอนนี้ก็คงมากเกินพอ สามารถจะทำมาหากินได้แล้ว แต่ว่า...” วริณสิตาได้แต่ก้มหน้า หลบตาคนอีกฝ่าย เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะพูดในบางสิ่งที่คิดออกไป

“แต่ว่า? แต่ว่าอะไรงั้นหรือ?”

ถึงจะเป็นเรื่องอิหลักอิเหลื่อ แต่ถ้าไม่พูด เธอก็ไม่มีทางรู้ว่าอนาคตตัวเองจะเป็นยังไงต่อไป เอาเถอะวริณสิตา! ปลุกปลอบตัวเองเสร็จสรรพสาวน้อยก็ตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมา แววตาเด็ดเดี่ยว

“แต่ว่าฉันก็ไม่แน่ใจว่าคุณพีจะอนุญาตให้ฉันอาศัยอยู่บนที่ของคุณอังกาบได้ต่ออีกหรือเปล่าล่ะคะ?”

“อะไรนะ?” พีรพัฒน์ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นมานิดๆ ถ้าเขาฟังไม่ผิด เด็กคนนี้ถามว่าเขาจะอนุญาตให้อยู่บนที่ของป้าอังต่อหรือไม่ แล้วทำไมแม่สาวน้อยถึงคิดว่าเขาจะไม่ให้อยู่เล่า นี่เขาแสดงท่าทีเหมือนจะมาไล่ที่อย่างนั้นรึ?

คนคิดเผลอยิ้มนิดๆไม่รู้ตัว

“อืม! งั้นฉันขอถามอะไรเธออย่างเถอะนะ” ชายหนุ่มแกล้งหยั่งเชิง “เธอเคยได้ยินคำว่า...ครอบครองปรปักษ์ บ้างรึเปล่า?” งานนี้ตัวคนถามก็จินตนาการไว้แล้ว ว่าแม่สาวน้อยคงจะมีอาการตกใจหน้าซีดเล่นๆบ้างเมื่อได้ยินคำว่าครอบครองกับปรปักษ์ และก็ดูจะใช่เมื่อแม่สาวน้อยรีบตอบ

“แม้จะอยู่และอาศัยทำกินบนที่ดินผืนนี้มานานเท่ากับอายุของฉัน แต่ถึงยังไง ผืนดินตรงนี้ก็ยังเป็นที่ของคุณอังกาบค่ะ ยายไม่เคยหัวหมอคิดจะยึดครองทรัพย์สินของผู้มีพระคุณหรอกค่ะ!”

พีรพัฒน์ถึงกับอมยิ้ม

“นี่...ยายเธอเป็นคนสอนเธอทั้งหมดรึ?”
“เปล่าค่ะ” เด็กสาวส่ายหน้า “ครอบครองปรปักษ์ ฉันเรียนมาจากครูที่โรงเรียน”

คำตอบซื่อๆนั้นทำเอาเขาถึงกับต้องกลั้นหัวเราะ

“อืม! แต่เรื่องอื่นๆ ยายเธอเป็นคนสอน ถูกต้องไหม”

และหนนี้เองที่สาวน้อยพยักหน้าหงึกหงักตอบรับคำถามเขา พีรพัฒน์หรี่ตาลง ครุ่นคิด ไม่เลวเลยสำหรับเด็กคนนี้...

“แล้ว...ถ้าฉันไม่อนุญาตเล่า เธอจะทำยังไง?”

เด็กสาวตรงหน้าดูสลดไปทันตากับคำถามนั้น ท่าทางไม่ต่างจากดอกไม้ที่เฉาเพราะขาดน้ำ

“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
“อ้าว! แล้วกัน จะไม่ทราบได้ยังไง”

แล้วแม่สาวน้อยก็ยิ่งเฉาลงไปอีกเมื่อเขาว่าอย่างนั้น ทว่าเพียงอึดใจ ดวงหน้าน้อยๆก็เงยขึ้นมา แววตาเด็ดเดี่ยวเฉกเช่นที่เขาเห็นตอนเธอพูดเรื่องความตายที่ยายสอนก็กลับมาอีกครั้ง

“แต่ถ้าคุณพีให้ความกรุณาฉันล่ะก็ ฉันจะไม่อาศัยบนที่ผืนนี้ต่อไปฟรีๆอีกแล้ว”

พีรพัฒน์เลิกคิ้ว “ไม่อาศัยต่อไปฟรีๆ?”

“ใช่ค่ะ!” สาวน้อยบอกหนักแน่น “ฉันจะส่งค่าเช่าที่ให้คุณด้วย ทุกๆเดือน”
“ค่าเช่า?” พีรพัฒน์ทวนคำ แม่สาวน้อยทำหน้าเหมือนเขาพูดสิ่งพิลึกพิลั่นออกมา แต่แน่สิ มันพิลึกพิลั่น มิหนำซ้ำยิ่งทำให้เขาสงสัย และอยากรู้ความคิดเด็กคนนี้ต่อไปด้วย

พีรพัฒน์ยิ้มขันๆ แสร้งมองเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า

“แล้วเธอจะไปหาเงินที่ไหนมาจ่ายฉันทุกเดือนเล่า จบมอหกมานี่มีงานทำแล้วรึ?”
“มีค่ะ” สาวน้อยตอบทันควัน “นี่ไงคะ งานของฉัน”

นาทีแรกพีรพัฒน์ก็งง แต่เมื่อมองตามดวงหน้าที่ผินไปยังสวนครัวรกๆชายหนุ่มก็เข้าใจ

“เธอจะปลูกผักขายงั้นรึ?”
สาวน้อยเชิดหน้าขึ้นมานิดๆ

“แม้จะเป็นอาชีพที่หลายคนคิดว่าต้อยต่ำ แต่สำหรับฉันมันเป็นอาชีพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” เด็กสาวว่าเข้าไปนั่น ที่จริงที่พีรพัฒน์หลุดปากถามไปเช่นนั้น มิได้ตั้งใจจะดูแคลนอะไรแม้แต่น้อย เพราะแม่เขาเองก็เป็นคนปลูกผักทำไร่ทำสวนเหมือนกัน แต่จะว่าไป แบบนี้ก็ดี เพราะเขาก็ยิ่งได้เห็นทัศนคติของเด็กสาวคนนี้มากขึ้น

“อย่างน้อยฉันก็จะไม่มีวันอดตาย เพราะฉันมีผักที่ฉันปลูกขึ้นมาเอง”

“แต่เธอก็จะไม่มีวันรวยนะ” พีรพัฒน์พูด “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่เธอมีเจ้าหนี้ที่ต้องส่งค่าเช่าที่ทุกๆเดือนด้วย”

แล้วแม่สาวน้อยก็ดูเหมือนจะอึ้งไปอีกคำรบ ทว่าไม่เกินอึดใจชายหนุ่มก็เห็นเด็กสาวตรงหน้าสูดหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนเอื้อนเอ่ยวาจาที่ทำให้เขาต้องทึ่งอีกหน

“แต่ความร่ำรวยไม่ใช่สิ่งสำคัญของชีวิตนี่คะ สำหรับฉัน แค่อยู่อย่างพอเพียง แค่นั้นก็พอใจแล้ว อีกอย่าง บางทีงานด้านเกษตรก็ขึ้นอยู่กับการจัดการ ถ้าเราหากใช้ความคิด จัดสรร บริหารเพื่อการใช้พื้นที่ให้เหมาะสมและคุ้มค่า มันก็คงจะรวยได้อยู่แล้ว เพียงแต่ทุกอย่างคงต้องค่อยเป็นค่อยไปสักหน่อย เอ่อ...แล้ว...แล้วอย่างนี้ คุณพีจะกรุณาฉันต่อไปหรือไม่ล่ะคะ?”

“จัดสรรและบริหารพื้นที่?” พีรพัฒน์คลี่ยิ้ม “อือ! ฉันชักจะสนใจแล้วล่ะ ไหน เธอลองพูดให้ฉันฟังหน่อยได้มั้ยว่าเธอจะทำอะไรต่อไปบนที่ของป้าอังบ้าง”

วริณสิตาได้แต่กะพริบตา เธอจะทำอะไรต่อไปบนที่ของคุณอังกาบบ้างงั้นหรือ?

“เอ่อ...นอกจากปลูกผัก ฉันคิดว่าจะแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งสำหรับทำไร่ด้วยค่ะ”

“ไร่?” ชายหนุ่มย้อนถามเสียงสูง “ไร่อะไร ไร่อ้อยอย่างที่ฉันเห็นตลอดทางที่มานั่นน่ะหรือ”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่” สาวน้อยปฏิเสธ “ที่ตรงนี้ขนาดแค่สองไร่นิดๆเท่านั้น ถ้าทำอ้อยก็คงไม่คุ้มกับต้นทุนแน่ๆ เพราะอย่างนั้นฉันเลยคิดว่าจะปลูกพืชไร่อย่างข้าวโพดน่าจะดีกว่า”

“หึๆ” พีรพัฒน์ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ “ความคิดเธอ ไม่เหมือนกับเด็กอายุสิบเจ็ดเลยนะ” เขาว่า แล้วก็เป็นอีกครั้งที่วริณสิตาได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะถ้าจะพูดจริงๆ เรื่องทำไร่ข้าวโพดเสริมนี่ก็ไม่ใช่ความคิดของเธอล้วนๆ ทว่ามาจากคำแนะนำของอาจารย์สมร อาจารย์ประจำชั้นห้อง ม. ๖ ของเธอ

‘จบมอหกแล้วหนูวางแผนอนาคตหนูไว้ยังไงบ้างจ๊ะ’ อาจารย์สมรถามเธอเช่นนั้นในวันหนึ่งที่เรียกเธอเข้ามาพบในคาบเรียนแนะแนว วริณสิตาจำได้ว่านาทีนั้นตนเองไม่ได้ตอบคำถามของอาจารย์ เธอได้แต่นั่งเงียบๆเพราะในใจค่อนข้างลังเล อาจารย์สมรดูเหมือนจะเข้าใจเธอดีไม่น้อย คนเป็นอาจารย์คลี่รอยยิ้มอบอุ่นออกมายามเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า

‘ผลการเรียนของหนูดีมากมาตลอดเลยนะ หนูสนใจจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยหรือเปล่าจ๊ะ?’

‘ค่ะ...’ วริณสิตาตอบ พยักหน้าน้อยๆอย่างกล้าๆกลัวๆ อาจารย์สมรคลี่รอยยิ้มกว้างกว่าเก่า

‘ดีมากเลยจ้ะ’ อาจารย์กล่าวขณะเปิดแฟ้มงานตัวเองที่วางอยู่ตรงหน้า แฟ้มนี้ล่ะคือแฟ้มที่อาจารย์ใช้เก็บบันทึกข้อมูลของลูกศิษย์ทุกคนไว้

‘อย่างที่ครูบอกนะคะ ผลการเรียนหนูดีมาก ครูคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรไม่ว่าหนูจะเลือกเรียนคณะสายวิทย์หรือสายศิลป์ เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับหนูละว่าชอบสายไหน หรือคิดว่าอนาคตอยากจะไปทำอาชีพอะไร’

‘อาจารย์คะ!’ วริณสิตารีบขัดขึ้นมา เพราะเห็นชัดแล้วว่าอาจารย์สมรคงร่ายยาวชุดใหญ่ และแน่นอน เธอไม่อยากให้อาจารย์สมรพูดไปโดยไร้ประโยชน์ด้วย ‘คือ...คือหนูสนใจอยากเรียนต่อจริง แต่ว่า...’ วริณสิตาก้มหน้าแล้วบอกเบาๆ

‘แต่ว่าสุดท้ายหนูคิดว่าหนูก็คงไม่ได้เรียนหรอกค่ะ’ เธอไม่รู้หรอกว่าอาจารย์สมรจะมีสีหน้าผิดหวังหรือเสียใจกับคำตอบของเธอหรือไม่ เพียงโสตประสาทเท่านั้นที่จับความคำถามคนสูงวัยกว่า

‘ทำไมหนูถึงคิดอย่างนั้นล่ะคะ?’

‘ก็...เพื่อนๆเขาไม่มีใครเรียนต่อกันนี่คะ’ วริณสิตาพูดอุบอิบ ใช่แล้ว นั่นคือความจริง เพื่อนๆส่วนมากต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าจบมอหกแล้วก็จะหางานทำ บ้างก็ว่าจะช่วยที่บ้านทำไร่ทำนา บ้างก็ว่าจะไปสมัครเป็นสาวโรงงาน และแน่นอน...บ้างก็ว่าจะแต่งงานมีครอบครัว ไม่มีสักนิดสำหรับคนที่คิดอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย

วริณสิตาได้ยินอาจารย์สมรถอนหายใจแผ่วๆ

‘ชีวิตเรา อนาคตเรา ก็ขึ้นอยู่กับเรานะคะ บางครั้งการเอาอย่างเพื่อนก็อาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง อีกอย่าง ครูก็เคยคุยกับคุณยายของหนูแล้ว ท่านว่า ท่านอยากจะให้หนูเรียนต่อให้สูงที่สุดนี่จ๊ะ’

‘ค่ะ...’ วริณสิตารับคำแผ่วๆขณะก้มหน้าหลบตาอาจารย์หนักกว่าเก่า จริงอยู่ที่ยายบอกเสมอว่าต้องการให้เธอเรียนต่อให้สูงที่สุด แต่...

วริณสิตาตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมา

‘แต่หนูคิดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะเลยค่ะ ยายอายุมากแล้ว หนูไม่อยากให้ยายต้องทำงานหนักเพื่อส่งหนูเรียนอีก’

อาจารย์สมรมีสีหน้าลำบากใจ วริณสิตารู้และเข้าใจดีว่าอาจารย์ก็อยากให้เธอมีอนาคตที่ดี สมัยนี้จบแค่ชั้นมัธยมโอกาสที่จะไปสู้ไปแข่งกับใครให้ทัดเทียมเขาหรือไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบก็คงยาก แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ...

‘ถึงจะไม่ได้เรียนต่อปีนี้ หนูก็เรียนตอนปีหน้าหรืออีกสองปีข้างหน้าก็ได้’ วริณสิตาพูด ‘หนูคิดว่าโอกาสในการเรียนต่อของหนูยังมีได้อีกหลายปี แต่สำหรับยาย หนูมียายอยู่แค่คนเดียว หนูไม่อยากให้ยายต้องลำบาก ยิ่งพักนี้ยายไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย หนูอยากดูแลยายก่อนค่ะ อย่างน้อยให้ยายกลับมาแข็งแรงก่อนก็ยังดี แล้วหลังจากนั้นหนูถึงค่อยคิดเรื่องหนทางเรียนต่อ’

อาจารย์สมรถอนหายใจออกมาอีกเฮือกแผ่วๆ ‘ค่ะ ครูพอจะเข้าใจ อือ! ถ้างั้นหนูลองเล่าให้ครูฟังหน่อยได้ไหมคะว่าหนูจะเป็นอะไรหรือว่าหนูอยากจะทำอาชีพอะไรในอนาคต เผื่อครูจะได้ทำหน้าที่ช่วยแนะแนวอะไรให้หนูได้บ้าง ถือว่าเล่าเล่นๆก็ได้ค่ะ’

วริณสิตาได้แต่กะพริบตาก่อนทวนคำถามของอาจารย์สมรซ้ำ

‘อาชีพ...ที่หนู ‘อยาก’ ทำงั้นหรือคะ’
...........................
สวัสดีค่ะ เดี๋ยววันนี้ลงให้อีกสัก 2-3 ตอนนะคะ เพราะเดี่ยวหยุดสงกรานต์แล้ว ที่บ้านนอกไม่มีเน็ต (จริงๆตอนนี้ก็แอบหัวหน้าเข้าเน็ต ๕๕ เสียวหลังวาบๆดีค่ะ)

คุณ pigasus เดี๋ยววันนี้ลงให้เป็นช่วงๆ แล้วแต่หัวหน้าเอื้อยอำนวยนะคะ

คุณ panon รอไม่นานค่ะ จะพยายามอัพให้

คุณปูสีน้ำเงิน ไม่เชิงรีไรต์หรอกค่ะ แค่ลองเกลาคำให้อ่านรื่นขึ้น แล้วก็เก็บจุดบกพร่องที่คนอ่านเคยช่วยวิจารณ์ไว้ให้เท่านั้นล่ะค่ะ เข้าข่ายที่เรียกว่ารีไรต์มั้ยอ่ะ ว่าแต่คุณปูปลอดภัยดีนะคะ จริงๆถ้าเราจะมองหาข้อดีในเรื่องร้ายๆ หนึ่งอย่างที่เห็นได้ชัดคือกำลังใจและความห่วงใยจากเพื่อนในเว็บนี่แหละเนอะ น่ารักจริงๆ

คุณ ree คนนี้ก็น่ารักสุดๆ จะรีบอัพให้ จะไล่ความขี้เกียจ เหน็ดเหนื่อย ทดท้อ หมดแรงไปให้เกลี้ยงแล้วเขียนเรื่องนี้เพื่อคนอ่านที่น่ารักจ้า



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 เม.ย. 2554, 10:00:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 เม.ย. 2554, 10:00:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 3258





<< ตอนที่ 4   ตอนที่ 6 >>
Pat 12 เม.ย. 2554, 12:18:51 น.
อยากอ่านตอนต่อจากเวป1 เร็วๆจัง เมื่อไหร่ดอนใหม่จะมาน้อ


ปาริน 12 เม.ย. 2554, 13:22:38 น.
ไม่นานจ้า ไม่เกินสองอาทิตย์เนาะ


ree 12 เม.ย. 2554, 21:05:06 น.
ถ้าลงเป็นตอนๆ ในอินเตอร์เนท อาจจะลืมไปแล้วว่ายัยหนูจิ๊บคุยกับคุณพีอยู่ ไม่ใช่กับคุณครู


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account