จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 26

--- แวะคุยกันก่อน ---
บทนี้มีฉากติดเีรตนิดนึงไม่กล้าใส่เยอะ
เดี๋ยวจะหาว่าหื่น = =" ขี้เกียจเติม สิบแปดบวกค่ะ
ช่วงนี้ฝนตกน้ำท่วมรุนแรงมากระวังตัวกันด้วยนะคะ
ขอบคุณที่มาอ่านและคอมเม้นนะคะ

-------------------------
บทที่ 26

ประกายแสงฟาดลงมากลางนภาเกิดความสว่างทาบทาทั่วพื้นพนาพาความดำมืดครอบคลุมให้จางหายตามมาด้วยเสียงกู่คำรามแข่งกับเม็ดฝนที่พร่างพรายลงมาไม่รู้เหน็ดเหนื่อย หากก็อยู่ได้เพียงครู่เพราะสุดท้ายโลกก็คืนสู่ห้วงรัตติกาลทะมึนมนอีกครา

ภาควัฒน์ลืมตาโพล่งอยู่ท่ามกลางความมืดครุ่นคิดถึงหลายสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากการตัดสินใจครั้งนี้ สิ่งที่ห่วงกังวลหาใช่เรื่องของการสูญเสียอำนาจบารมีหรือชีวิตตัวเอง แต่เป็นเรื่องของสวัสดิภาพของภรรยาที่นับจากนี้อาจมีภัยมาเยี่ยมเยือนได้ทุกเวลาและเมื่อคิดถึงตรงนี้กายหนาที่สวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำก็พ่นหายใจอุ่นด้วยความเคร่งเครียดผ่านริมฝีปากโดยพยายามผ่อนลมทีละน้อยเพื่อมิให้หญิงสาวที่นอนซบอยู่บนอุ่นรู้สึกตัวตื่น

ฝ่ายคนที่ร้องไห้หนักเลยเผลอไผลหลับไปพลันสะดุ้งตื่นขึ้นในทันทีที่ได้ยินเสียงฟ้าผ่าสนั่นหวั่นไหว...ฝนฟ้าคะนองลั่นทำให้รู้สึกกลัวว่าเรื่องราวที่เกิดก่อนหน้าจะเป็นเพียงฝันแต่เมื่อมือนุ่มป่ายไปถูกแผงอกแน่นหนั่นเข้าก็คลายความวิตกลง

ศศิวิมลเอื้อมมือเปิดโคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงแล้วผละจากหมอนมนุษย์มานั่งคุกเข่าเฝ้ามองผู้เป็นสามีที่นอนอยู่ด้วยรอยยิ้มกว้าง เมื่อมีโอกาสได้พิศใกล้ชิดเป็นครั้งแรกจึงสังเกตเห็นว่าคนตรงหน้าในยามนิทราดูราวกับภาพวาดที่บรรจงสรรค์สร้างจากปลายพู่กันของจิตรกรเอก

ปลายนิ้วเย็นเผลอลูบไปตามองค์ประกอบทุกส่วนของใบหน้าแล้วมาหยุดนิ่งที่ริมฝีปากบางเข่าเริ่มขยับเข้าไปใกล้ทีละน้อยอยากจะมองให้สมกับที่รอคอยมานานก่อนจะผวาถอยหนีในนาทีที่เห็นดวงตาคมกล้าดุจหมาป่าลืมขึ้นมา หากก็ไปไหนไกลไม่ได้เพราะถูกลำแขนแข็งรัดไว้

“ พี่ภาคไม่ได้หลับเหรอคะ ” ร้องถามด้วยความเก้อเขิน

“ ยังค่ะ...พี่แค่พักสายตาเฉยๆ เล็กเถอะคะ ตื่นขึ้นมาทำไม ยังไม่เช้าเสียหน่อย ”

“ เล็กสะดุ้งตื่นขึ้นมานะคะ พอจะนอนอีกก็ไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่ แล้วพี่ภาคล่ะคะทำไมไม่นอน ”

“ พี่มีเรื่องต้องคิดหลายเรื่องเลยนอนไม่หลับ พอเลิกคิดตั้งใจจะนอนก็เหนียวตัวนอนไม่สบาย พี่ก็เลยแค่พักสายตาเอานะคะ ”

“ ทำไมเหนียวตัวได้ล่ะคะ อากาศก็ออกจะหนาว ” หล่อนย่นหน้าผากเหลือบเห็นเสื้อคลุมเข้าก็นึกได้ “ ที่เหนียวตัวน้ำตาเล็กใช่ไหมคะ เล็กขอโทษนะคะ ”

“ จะขอโทษทำไมค่ะ เรื่องแค่นี้เอง...แต่ไหนๆเล็กก็ตื่นแล้ว งั้นพี่ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ ถ้าเล็กง่วงก็นอนได้เลยนะไม่ต้องรอ แต่ถ้าไม่ง่วงก็หยิบหนังสือบนหัวเตียงมาอ่านก็ได้ เดี๋ยวพอพี่อาบน้ำเสร็จจะกลับมาเป็นหมอนให้ใหม่ ” เขาว่าพลางลูบผมนุ่มไว้แล้วขยับตัวลุกจากเตียง หายเข้าไปในส่วนแต่งตัวหยิบเอาเสื้อคลุมอาบน้ำตัวใหม่ออกมาทำท่าจะไปห้องน้ำแล้วแต่เกิดเปลี่ยนใจเดินกลับมาที่เตียงใหม่

หญิงสาวนั่งเลือกหนังสือหลายเล่มที่วางบนหัวเตียงพอรู้สึกว่าเตียงยุบลงไปก็เหลียวหน้ามาก็เห็นอีกฝ่ายโน้มตัวมาหาเสียใกล้ลมหายใจต่อลมหายใจทำให้หน้านวลฝาดแดง ยิ่งเห็นแววตาคมจ้องมาราวกับหมาป่าที่จ้องกินเหยื่อก็ได้แต่กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่

“ พี่ภาคอาบน้ำเสร็จแล้วเหรอคะ ” ถามพลางหลุบตาต่ำ

“ ยังหรอกค่ะ พอดีพี่นึกขึ้นได้ว่าหลังมีขี้ไคลเยอะ เล็กช่วยไปถูหลังให้พี่หน่อยได้ไหมคะ ” คำร้องขอหน้าตายทำเอาคนฟังเบิกตากว้างเงยหน้ามองพลางร้องอุทานเสียงสูง

“ จะตกใจทำไมล่ะคะ ก็เล็กบอกเองไม่ใช่เหรอคะว่าพี่เหนียวตัวเพราะเล็ก เล็กก็น่าจะรับผิดชอบความผิดตัวเองด้วยการไปถูหลังให้พี่ตอนอาบน้ำด้วยสิคะ ”

“ ก็เล็กขอโทษไปแล้วนี่คะ อีกอย่างเล็กก็เป็นผู้หญิง จะให้ไปถูหลังผู้ชายได้ยังไงล่ะคะ ”

“ เป็นผู้หญิงแล้วยังไงคะ เล็กลืมไปแล้วเหรอว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน หรือว่าเล็กไม่เห็นพี่เป็นสามีของเล็กแล้วก็เลยไม่อยากทำให้...ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ พี่เข้าใจ คนอย่างพี่ก็เป็นแค่ผู้ชายที่กำลังจะถูกเมียขอหย่า แล้วจะไปหวังให้เมียทำอะไรตามใจได้ยังไงเนอะ ” น้ำเสียงเขามีแววน้อยใจ พรวดพราดลุกจากเตียงแต่ก็ไปไม่ถึงไหนเพราะถูกแขนเล็กคว้าไว้เสียก่อน

แก้มอุ่นแนบลงบนแขนเสื้อคลุมพยายามชะเง้อคอเพื่อมองหน้าหากเขาก็หันหนีไปทางอื่นก็นึกว่าน้อยใจจริงจึงจำใจอ้อมแอ้มยอมรับคำขอเพราะไม่อยากให้งอน

คนตัวเล็กซบหน้าลงกับท่อนแขนกำยำพยายามจะมองหน้าเขาก็หันไปทางอื่นก็รู้ว่าคงโกรธก็ไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่อ้อมแอ้มยอมทำตามคำขอเขาจนได้

“ เล็กถูหลังให้ก็ได้คะ ”

เพียงตอบรับชายหนุ่มก็หันกลับมายิ้มอวดฟันเขี้ยวมหาเสน่ห์ นัยน์ตาสีนิลเปล่งประกายพราวระยับส่งสายตาเจ้าเล่ห์เป็นหนักหนา เท่านั้นแหละถึงได้รู้ว่าถูกหลอกคิดอยากประท้วงซะหน่อยก็ถูกอุ้มพาดบ่าพาไปด้วยกันเสียแล้ว

มวลอากาศในห้องน้ำเย็นเยือกชวนให้คนตัวเล็กต้องกอดอกลูบไม้ลูบมือไปตามแขนเพื่อคลายหนาวแล้วเหลือบมองชายหนุ่มคนที่นั่งอยู่บนขอบอ่างจากุซซี่ปล่อยน้ำอุ่นไหลลงมาผสมกับครีมบับเบิ้ลบาธจนเกิดเป็นฟองสีขาวหนานุ่มส่งกลิ่นลาเวนเดอร์ให้อวลหอมไปทั้งห้อง

มือใหญ่ดึงสายที่ผูกเอวแล้วปลดเสื้อคลุมให้ไถลลงไปกองบนพื้นก้าวลงอ่างแล้วดำลงไปใต้น้ำสีชมพูอ่อนก่อนจะโผล่ขึ้นมานั่งเอนหลังพิงอ่างอาบน้ำวางแขนไว้ด้านข้างอย่างสบายอารมณ์ปล่อยให้ฟองนุ่มและสายน้ำที่ตีเป็นวงคอยนวดคลายความเมื่อยล้า

ผู้รับหน้าที่ถูหลังยกมือปิดตากันภาพอนาจารค้างอยู่ตั้งแต่เขาถอดเสื้อกว่าจะยอมลดมือเดินเข้าไปใกล้อย่างเสียมิได้ก็ต้องเรียกหาเป็นนานสองนาน...พอมาถึงตัวก็ขยับห่างจากที่นั่งพิงให้พอมีพื้นที่ขัดถู หญิงสาวจ้องแผ่นหลังกว้างเต็มไปด้วยมัดกล้าม ค่อยๆยื่นมืออันสั่นเทาใกล้เข้าไปทีละน้อยพลางกลั้นลมหายใจขณะลากไล้ฟองน้ำชุ่มครีมอาบน้ำให้อย่างเบามือ

“ ถูแบบนั้นมันจะสะอาดไหมล่ะคะ ”

“ ตกลงพี่ภาคจะให้เล็กถูหลังหรือขัดหลังคะ ถ้าขัดหลังเล็กจะได้ใช้แปรง ”

“ เวลาเล็กอาบน้ำเล็กอาบยังไงก็อาบกับพี่แบบนั้นแหละคะ ”

“ ก็บอกเล็กซะตั้งแต่ทีแรกสิคะ จะได้ไม่เสียเวลา ” หล่อนว่าลุกจากขอบไปหยิบแปรงขัดหลังมาถือไว้ในมือแน่น ทั้งโกรธทั้งอายที่หลงกลคนเจ้าเล่ห์เลยแกล้งด้วยการขัดหลังอย่างแรงจนได้ยินเสียงร้องโอดโอยสร้างรอยยิ้มให้คนแกล้งแต่ฉับพลันนั้นเขากลับหันมารวบข้อมือของคนถูทั้งสองข้างไว้แน่น

“ คิดจะแกล้งกันเหรอคะ ”

“ อะไรคะ แกล้งอะไร คนอย่างเล็กไม่กล้าแกล้งอะไรพี่ภาคหรอกคะ ” หล่อนปฏิเสธเป็นพัลวันเลยยิ่งถูกดึงเข้าหาจนดวงหน้าหวานอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงคืบ

“ โกหก ” คำสั้นลงเสียงดุ

“ โกหกอะไรคะ เล็กไม่ได้โกหกซะหน่อย ” ยังคงทำหน้าตาใสซื่อจึงเห็นรอยแสยะตรงมุมปาก แววตานิ่งสงบไม่มีแววล้อเล่นชวนให้คนมองขวัญผวาอย่างบอกไม่ถูก

“ อย่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะกับพี่ เพราะบทสรุปของคนโกหกมันลงท้ายไม่สวยหรอกนะคะ ” เอ่ยเนิบช้าเน้นทีละคำอย่างจงใจ “ ทีนี้บอกพี่สิคะว่าโกหกพี่หรือเปล่า ”

หน้าตาอันขึงขังจริงจังไร้ความปราณีทำให้คนตัวเล็กกลืนน้ำลายลงคอยังลังเลอยู่ว่าควรเชื่อเขาดีหรือไม่แต่ยังไม่ทันตัดสินใจก็ถูกกระชากให้ตามลงมา ร่างบางเลยกระแทกลงน้ำเปียกโชกไปทั้งตัว รีบยกมือปาดน้ำออกจากหน้าแล้วลืมตาจ้องฝ่ายที่แกล้งตัวเองซึ่งกำลังกลั้นหัวเราะจนตัวสั่น

“ พี่ภาคสนุกมากเหรอคะ ”

คำถามนั้นไม่ต้องการคำตอบหากเป็นการแสดงออกให้รู้ว่าเสียใจอยู่ คนตัวใหญ่ชะงักหยุดยิ้มทันควันรีบเข้าไปหาใช้สองมือประคองหน้าไว้ให้เงยมาหาจึงได้เห็นความน้อยใจในแววตาที่ทำให้ริมฝีปากบางอดไม่ได้ที่จะโน้มไปจูบปลายหางตาราวกับดูดกลืนเอาความรู้สึกนั้นไว้ให้หายไป

“ โอ๋...อย่าโกรธพี่เลยนะคะ ” เขาง้อคอยลูบแก้มนวลทั้งสองข้างไว้ หวังจะให้อีกฝ่ายสบตาแต่ก็ไม่เป็นผล

“ เล็กไม่ได้โกรธคะ เล็กโกรธพี่ภาคไม่เป็นหรอก ” เสียงหวานนั้นสั่น การพูดจาเป็นไปเหมือนเมื่อครั้งยังเยาว์ เวลาที่ถูกเขาแกล้งมากเข้าเป็นต้องรู้สึกไม่ดีทุกที

“ ไม่โกรธแต่น้อยใจ...จะบอกพี่อย่างนี้ใช่ไหมล่ะคะ ” เอ่ยขึ้นอย่างคนที่รู้ทัน จดจำทุกถ้อยคำที่แม่ตัวเล็กชอบใช้สะกิดให้คนหยอกมากเกินไปสำนึกผิดได้ดี หากแต่คนถูกถามไม่ตอบเพียงแต่เม้มริมฝีปากยังหลุบตาต่ำยังฟองสีขาวที่ฟ่องฟุ้งสัมผัสได้ถึงสายน้ำที่ไหลวนทั่วร่างกายซึมซาบเข้าสู่ทุกอณุของเนื้อผ้าทุกชิ้นที่สวมใส่

“ แต่แค่ชุดนอนเปียกก็เปลี่ยนใหม่ได้นี่คะ ทำไมต้องทำเหมือนพี่ผิดมากขนาดนั้นด้วยล่ะ ”

“ ก็เล็กไม่มีชุดนอนจะใส่แล้วนี่คะ...เพราะคิดว่าจะไม่อยู่ที่นี่แล้วก็เลยไม่อยากลำบากใครก็เลยไม่ได้ส่งไปซัก แล้วเล็กเปียกแบบนี้จะใส่อะไรนอนล่ะคะ ” สุดท้ายก็เฉลยถึงเหตุที่ทำให้น้อยใจนัก

“ ไม่มีใส่ก็ไม่ต้องใส่ เพราะพี่ก็อยากเห็นเหมือนกันว่าถ้าเล็กไม่ใส่จะสวยแค่ไหน ” เขาพูดออกมาหน้าตาเฉยอารามตกใจทำให้คนที่ก้มหน้าก้มตารีบเงยหา...ดวงหน้าคมคายขึงขังจริงจังปราศจากรอยยิ้ม ทว่าสิ่งที่ประจักษ์แก่ใจถึงความปรารถนาจะครอบครองเป็นเจ้าของ คือ แววตาเว้าวอนอ่อนละมุนซึ่งเคลือบแฝงความเสน่หาที่มากเกินกว่าจะหยุดอยู่ที่ความผูกพันทางใจเพียงอย่างเดียว

“ พี่อยากให้เล็กเป็นมากกว่าภรรยาทางนิตินัย...เล็กจะให้พี่ได้หรือเปล่าคะ ” สุ้มเสียงทุ้มนุ่มกระซิบแผ่วข้างหู ทุกถ้อยคำดังก้องอยู่ให้ผู้ฟังสะท้านไหว หล่อนไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดจะไม่รู้ว่าเขาประสงค์สิ่งใด แต่ยังขลาดกลัวเกินกว่าจะประสายสายตาหวานละไมหรือยอมให้ทุกอย่างเกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้เลยได้แต่ปิดเปลือกตาไว้

“ ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะรักเล็กที่นี่หรอกคะ...พี่สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเกินเลยแค่อาบน้ำอย่างเดียว ไหนๆเล็กก็ตัวเปียกแล้วจะอาบน้ำด้วยกันคงไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ” คนตัวใหญ่กว่ารุกหนักปล่อยลมหายใจอุ่นรดลงบนใบหู เฝ้ารอให้คำตอบหลุดรอดจากริมฝีปากแม่ตัวเล็กอย่างใจเย็น

ศศิวิมลกลั้นใจชำเลืองมองภาควัฒน์ที่เอียงคอรอคอยกว่าจะพยักหน้ารับ ใบหน้าหวานแดงปานมะเขือสุกรู้สึกอายแทบแทรกแผ่นดินหนีที่ยอมตามใจเขา

“ พี่ภาคหันไปก่อนได้ไหมคะ เล็กจะได้ถอดชุดออก ” บอกไปด้วยท่าทางเขินอาย ชายหนุ่มแย้มยิ้มหันหลังให้แต่โดยดีไม่มีอิดออด มือน้อยเลยได้ฤกษ์กลัดกระดุมออกจากรังดุมทีละเม็ดด้วยอาการสั่นระริก ดึงเสื้อนอนหลุดจากปลายแขนวางไว้บนขอบอ่าง ตามด้วยอาภรณ์อื่นทีละชิ้นเหลือไว้เพียงเรือนร่างเปลือยเปล่าที่มีฟองขาวปิดบังไว้และเหมือนอีกคนจะมีญาณหยั่งรู้ถึงเลือกหันหลังไปพิงอ่างอีกด้านหนึ่งในทันทีที่หล่อนถอดเสื้อผ้าหมดจด

“ มานั่งกับพี่สิคะ ” เขาว่าเอื้อมมือให้จับแล้วดึงให้แผ่นหลังบางเนียนตาให้เอนมาพิงกับแผงอกแข็งกำยำไว้แล้วหยิบฟองน้ำใกล้มือมาลูบไล้ไปในทุกซอกทุกมุมราวกับจะคะเนทุกสัดส่วนของภรรยาสาวเอาไว้ก่อนจะได้เห็นเต็มตา

สัมผัสนุ่มจากฟองน้ำก็ชวนให้ไหล่บางไหวสะท้าน ทว่าเมื่อเขาแสร้งทำหลุดมือไปใต้น้ำแล้วฉวยโอกาสใช้ปลายนิ้วอุ่นทั้งสิบไปตามนวลเนื้ออ่อนละมุน ทดสอบน้ำหนักของทรวงอกอุ่นนุ่มหนั่น คลึงเคล้าปลายยอดสีชมพูดุจกลีบกุหลาบนั้นแผ่วเบาอย่างมีชั้นเชิง คางเรียวเกยบนบ่าขาวสูดกลิ่นหอมอ่อนไว้เต็มปอดฟังเสียงครวญเบาจากในลำคอก่อนจะเป็นฝ่ายยุติทุกอย่างลงตามคำสัญญา

“ ขึ้นเถอะคะเดี๋ยวจะหนาวนะ ” เขาบอกตบเสื้อคลุมอาบน้ำตัวใหม่ที่พับวางไว้ให้คนที่หอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนใช้ส่วนตัวเองพอก้าวขึ้นจากน้ำก็หันหลังหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดไว้มาพันกายท่อนล่างไว้เสร็จแล้วจึงหันกลับมา

แม่ตัวเล็กสวมเสื้อคลุมอาบน้ำด้วยดวงหน้าแดงก่ำรู้สึกเก้อเขินจนทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มเลยทรุดลงไปนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วจุมพิตเบากลางหน้าผาก

“ ไม่ต้องอายหรอกค่ะ...มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ”

“ เล็กไม่ได้ผิดปกติใช่ไหมคะ ”

“ ไม่หรอกคะ ” เขาส่ายหน้าเบาสอดแขนหนาอุ้มหญิงสาวให้ลอยตามมาแล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำวางร่างบางไว้บนเตียงอย่างนุ่มนวล ทั้งสองสบสายตากันด้วยสิเน่หาที่มี ริมฝีปากหยักบางขยับโน้มลงจูบลึกดูดดื่มซึ่งเป็นบทเรียนแรกที่หล่อนต้องเรียนรู้

ท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟและเสียงฟ้าฝนคึกคะนองคำรามก้อง...ตลอดคืนนั้นร่างกายรวมถึงหัวใจของภาควัฒน์และศศิวิมลก็ถูกความหอมหวานอบอุ่นกรุ่นด้วยรักหลอมละลายให้กลายเป็นเหมือนคนเดียวกัน
*************************

รสายกมือไหว้ขอบคุณแพทย์เจ้าของไข้ผู้ทำการรักษาบิดาของตัวเองแล้วเข้าไปคุยกับลูกน้องของพ่อฝากฝังอะไรอีกเล็กน้อยพร้อมกับยัดเงินจำนวนหนึ่งใส่มือ ทั้งที่ถูกส่งคืนและปฏิเสธไม่รับอย่างแข็งขันเพราะมีเงินเดือนประจำรองรับอยู่แต่ถูกคะยั้นคะยอมากเข้าเลยต้องรับไว้

ทันทีที่เห็นหญิงสาวลาผู้สูงวัยกว่าทำท่าจะหาทางกลับบ้านเอง ศิระลุกจากเก้าอี้กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปคว้าแขนไว้แล้วบอกสั้นว่าจะไปส่งให้ถึงบ้านย่านบางบัวทอง

“ ฝนก็ตก ทางก็ไกล ถึงจะใกล้เช้าแล้วแต่กลับบ้านไปคนเดียวตอนนี้มันก็ยังอันตราย ” อ้างสารพัดสิ่งเพียงเพื่อจะได้เป็นฝ่ายไปส่ง

“ ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่ได้อยู่บ้านหลังนั้นตั้งนานแล้ว ”

“ ก็เมื่อกี้ลุงเขาบอกผมว่า บ้านคุณอยู่ที่บางบัวทอง...ผมก็เลยนึกว่าที่คุณจะกลับบ้านคือบ้านนี้ซะอีก ”

“ ตอนนี้ฉันอยู่อพาร์ทเม้นต์ใกล้สาทรนี้แหละ...พ่อเป็นคนซื้อให้ ” หล่อนพูด นัยน์ตาเลื่อนลอยเหม่อไปยังประตูหน้าห้องไอซียูดูเหมือนเจ็บปวดที่ต้องรำลึกถึงความหลังแต่ถึงกระนั้นริมฝีปากกลับแย้มกว้าง น้ำเสียงที่กล่าวถึงผู้เป็นบิดาเต็มไปด้วยความสุข

ชายหนุ่มจ้องมองผู้หญิงตรงหน้านิ่ง ความขัดแย้งในตัวเองทำให้ยากแก่การทำความเข้าใจ...การกระทำที่มีสุขทุกข์คลุกเคล้ากันไปในคราวเดียวเป็นการรับมือกับปัญหาในแบบฉบับของรสาอย่างนั้นหรือ

“ ถึงอยู่สาทรแต่ถ้าเรียกแท็กซี่ไปตอนนี้ก็อันตรายอยู่ดี ให้ผมไปส่งเถอะนะ ถ้าคุณยังโกรธก็ถือว่านี้เป็นการไถ่โทษที่ผมพูดจาไม่ดีใส่คุณก็ได้นะครับ ”

หล่อนมองผู้อาสาที่แสดงสีหน้าแววตาสำนึกผิดอย่างเต็มกำลัง ตอนนี้เรื่องของตัวเองก็หนักหนาสาหัญพอแล้วเลยไม่รู้จะโกรธขึ้งคนอื่นให้ใจร้อนไปทำไมจึงยอมตกลงให้เขาไปส่งถึงที่พัก

บรรยากาศระหว่างการเดินทางในรถยนต์หรูเต็มไปด้วยความเครียดและอึดอัด ต่างฝ่ายต่างคิดหนักในปัญหาของตัวเองที่ยังแก้กันไม่ตก ก่อนที่รสาจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบด้วยการพูดแทรกเสียงฝนที่ตกกระทบกระจกถามถึงอนาคตของอังคพิมาน

“ ตอนแรกผมตั้งใจจะนำเรื่องแจ้งให้คณะกรรมการผู้ถือหุ้นทราบก่อน แล้วถึงส่งเรื่องนี้ให้กรรมการบริหาร จากนั้นก็จะส่งเรื่องดำเนินคดีฐานปลอมแปลงเอกสารกับฉ้อโกง พอเสร็จเรื่องนี้ผมก็ตั้งใจจะลาออก แล้วจะคืนทุกอย่างให้กับเล็กตามกรรมสิทธิ์เดิม แต่วันนี้ตอนผมเจอเล็ก เล็กกลับบอกให้ผมเป็นคนดูแลอังคพิมาน ส่วนเรื่องอื่นก็ทำไปเท่าที่ตอนนี้จะทำให้ถูกต้องได้ก็พอ ไม่ต้องให้ถึงขั้นฟ้องร้องเพราะกรรมก็สนองเขาอยู่ ”

“ แล้วคุณคิดว่ายังไงคะ ”

“ ไม่รู้สิ...ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรทำยังไง ควรจะทำตามที่ตัวเองต้องการตอนแรก หรือ ควรทำตามที่น้องบอก แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ผมก็ไม่รู้สึกว่าความเจ็บปวดในใจที่ผมมีต่อผู้หญิงคนนั้นมันจะหายไปตรงไหน ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เขาทำ หรือได้เจอหน้ากันก็ยิ่งมีแต่ทรมานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ” สุ้มเสียงที่เอ่ยถึงความรู้สึกเบื้องลึกในใจเต็มไปด้วยความปวดร้าว วันเวลาไม่ได้ช่วยบรรเทาเบาบางความทุกข์ลงเลยแม้แต่น้อย

คนฟังสูดลมหายใจให้กับเรื่องราวที่ได้ยินอยู่ระหว่างชั่งใจว่าจะช่วยเขาด้วยการเล่าถึงประสบการณ์อันเลวร้ายที่สุดในชีวิตของตัวเองให้ฟังเป็นอุทาหรณ์แต่การเล่าต้องอาศัยการข่มใจอย่างหนักจึงทำให้ไม่อยากจะพูดถึง ทว่าสุดท้ายก็ยอมเปิดปากไป

“ ตอนที่ฉันรู้ว่าพ่อกลายเป็นเจ้าชายนิทรา สิ่งแรกที่ฉันคิดคือทำยังไงก็ได้ให้ผู้หญิงนั้นได้รับความทุกข์ทรมานเท่ากับฉันหรือพ่อได้รับ ฉันอยากจะฆ่าผู้หญิงคนนั้นให้ตายด้วยมือฉันเอง แต่ญาติทุกคนบอกว่า เราต้องใช้กฎหมายเป็นเครื่องตัดสินความยุติธรรม ซึ่งฉันก็เชื่อนะว่า กฎหมายจะช่วยเยียวยาให้ฉันคลายความแค้น ความทุกข์ในใจได้ ”

“ แล้วมันช่วยคุณได้ไหม ”

“ มันไม่ได้ช่วยอะไรฉันเลย...ทุกครั้งที่ต้องไปศาล ทุกครั้งที่ต้องฟังเรียกสืบพยาน ทุกครั้งที่ฉันไปนั่งฟังคนอื่นเล่าถึงการตายของพ่อ มันเหมือนกับเป็นการตอกย้ำให้ฉันเจ็บมากขึ้นกว่าเดิม ผลสุดท้ายคือผู้หญิงคนนั้นติดคุกได้รับโทษไม่กี่สิบปี แต่ฉันกลับไม่รู้สึกว่าชีวิตมีอะไรดีขึ้นมาเลย เพราะกฎหมายมันให้ได้แค่ความยุติธรรมแต่มันให้หัวใจฉันคืนไม่ได้ และถึงฉันจะฆ่าผู้หญิงคนนั้นให้ตายพ่อฉันก็ไม่มีวันกลับมา ทุกวันนี้ฉันทำได้แค่เดินไปข้างหน้า ถึงจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ต้องวางไว้ข้างหลัง พยายามเก็บเกี่ยวความสุขที่พอจะมี เพราะไม่อย่างนั้นฉันจะมีชีวิตอยู่รอวันที่พ่อลืมตาไม่ได้ ” หล่อนพูดถึงสิ่งเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มที่เศร้าจับใจ

ศิระเหลือบมองผู้โดยสารข้างตัวครู่หนึ่งระหว่างติดสัญญาณไฟ สัมผัสได้ถึงความชอกช้ำระกำใจที่ไม่ว่านานเพียงใดก็ยังตามหลอกหลอนเหมือนดังที่เขากำลังเผชิญอยู่

“ แล้วคุณคิดว่า ผมควรทำยังไง ”

“ ก่อนที่จะคิดว่าควรทำยังไง ฉันต้องถามคุณก่อน ว่าคุณเกลียดแม่ใหญ่ของคุณจริงๆหรือเปล่า ” หล่อนถามทำเอาเจ้าของรถต้องหักรถจอดหลับกะทันหัน

“ ทำไมคุณถามแบบนั้น...สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นทำไม่มีวันที่ผมจะไม่เกลียดเขา ” คำนั้นลอดจากไรฟันที่ขบแน่น

“ แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเขาเป็นคนให้กำเนิดคุณ...ไม่ว่าคุณจะเกลียดเขามากแค่ไหน คุณก็หนีความจริงที่ว่า เขาเป็นแม่คุณไม่ได้ ฉันคิดว่าคุณควรจะทำตามที่เล็กบอก ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นเขาก็เหมือนคนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว เขากำลังใช้กรรมที่เขาทำ เพราะฉะนั้นแค่ปลดเขาออกจากตำแหน่งก็น่าจะพอแล้ว ให้ชาตินี้ทุกอย่างมันจบลงตรงนี้ เหมือนกับที่ฉันอโหสิกรรมให้คนที่ยิงพ่อฉัน เพื่อที่ว่าชาติหน้าถ้าได้เกิดมาจะได้ไม่ต้องผูกพันกันอีก ” หญิงสาวเสนอแนะแนวทางตามที่ตัวเองเคยทำให้

ชายหนุ่มแลดวงหน้าของสาวมัดหางม้า เป็นการยากที่จะทำใจปล่อยผ่านทุกอย่างให้เป็นไปตามกรรมและโชคชะตา ทว่าเมื่อมานั่งคิดวิเคราะห์ดูแล้วก็จริงดังว่า ไฟแห่งความแค้นมีแต่จะผลาญเผาคนที่ถือมันเป็นสรณะ

รถยนต์ยุโรปคันหรูแล่นไปจอดหน้าอพาร์ทเม้นต์ของรสา ฝนหยุดตกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบแต่ฟ้าที่เริ่มสางทำให้เห็นความสว่างที่กำลังก่อตัวทดแทนยามค่ำคืน

“ คุณจะทำอะไรต่อ...นอนเหรอ ” ถามขึ้นขณะที่กดปุ่มปลดล็อกประตูรถ

“ วันนี้คงไม่ได้นอนแล้วล่ะคะ ถึงนอนก็คงไม่หลับ ”

“ ถ้าไม่นอนแล้วคุณจะทำอะไร ”

“ ก็คงอาจจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วค่อยออกไปหาอะไรกินตอนเช้า สายหน่อยก็จะแวะไปหาเล็กที่โรงพยาบาล ไปเยี่ยมพ่อ แล้วก็กลับมาอาบน้ำเตรียมเปิดร้าน แค่นี้แหละค่ะชีวิตฉัน ” หญิงสาวตอบพร้อมปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว

“ งั้นถ้าผมชวนคุณไปทางข้าวเช้าที่โรงแรมหลังจากอาบน้ำเสร็จ คุณจะไปหรือเปล่า ” คำชวนของเขาทำให้คนฟังนิ่วหน้าผากคล้ายไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน

“ นึกยังไงถึงชวนฉันนะ ”

“ ก็ไม่มีอะไรหรอก ชีวิตตอนนี้มันแย่จนไม่รู้จะพูดกับใคร ก็เลยอยากให้คุณไปเป็นเพื่อนคุย...ยังไงคุณกับผมก็นอนไม่หลับเหมือนกัน แถมตอนนี้ก็เช้าแล้ว กินข้าวไปคุยไปจะได้ไม่ง่วงแล้วก็ไม่หิว ” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มอ่อนเสมือนมิตรคนหนึ่ง

รสากอดอกจ้องหน้าเขาเขม็งก่อนจะเปิดประตูลงจากรถโดยไม่ให้คำตอบ แต่พอเท้าเหยียบพื้นได้ก็หันกลับมา

“ ไม่เกินสิบนาทีเดี๋ยวลงมา ” ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็วิ่งหายเข้าไปในอพาร์ทเม้นต์ ใช้เวลารอไม่เกินที่ถูกสั่งเสีย...เจ้าหล่อนก็กลับมาสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาสามส่วน สะพายกระเป๋าสีน้ำตาลใบใหญ่ ผมยาวถูกน้ำจนเปียกเลยไม่ได้รัดไว้พอเข้ามานั่งในรถก็หันเครื่องปรับอากาศมาเป่าผมแทนไดร์...เจ้าของรถย่นหน้าผากกับความสมถะเรียบง่ายไปเสียทุกอย่างจนไม่มีมาดของลูกสาวนายทหารใหญ่

“ อ้าวจะชวนไปกินข้าวก็ไปสิ จะชักช้าอยู่ทำไม ”

สิ้นคำศิระก็เหยียบคันเร่งทะยานรถออกไปตามคำสั่ง...การจราจรในตอนเช้ามืดของวันอันเร่งรีบค่อนข้างติดขัดด้วยน้ำฝนที่ท่วมขังและอากาศขมุกขมัวทำให้คนกลัวว่าจะไปทำงานสายจึงพร้อมใจออกมาพร้อมกันทำให้กว่าจะถึงอังคพิมาน โฮเต็ลก็ล่อไปเกือบชั่วโมง

ผู้บริหารหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาในโรงแรมของตัวเองโดยมีหญิงสาวปอนๆคนหนึ่งตามหลังมา ชวนให้พนักงานประจำโรงแรมในบริเวณล็อบบี้มองมาเป็นตาเดียว...รสาเลยยักไหล่ยิ้มหวานประชดให้เสียเลยแล้วถึงเข้าไปในส่วนภัตตาคารอาหารนานาชาติของโรงแรมซึ่งช่วงเช้ามีคนมาใช้บริการบางตา

หญิงสาวชี้นิ้วไปยังโต๊ะที่อยู่ติดกับสวนป่าของโรงแรมแล้วออกเดินนำไปในทันที จังหวะที่ชายหนุ่มจะเดินตามไปนั้นเอง ชายต่างชาติสูงวัยสวมสูทสีกรมท่าเนื้อดีก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำให้ทั้งสองเกิดชนกันเข้า

“ ขอโทษครับ ” เขาเอ่ยคำขอโทษเป็นภาษาอังกฤษพลางก้มศีรษะให้ลูกค้าอย่างนอบน้อม แล้วจึงเงยหน้ายิ้มให้คู่กรณีตามประสาคนทำงานบริการแม้จะเป็นผู้บริหารก็ลืมคำว่า ลูกค้าต้องมาก่อนไม่ได้

คนตรงข้ามโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ถือสา เหยียดยิ้มเล็กน้อยก็เดินไปยังเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม สั่งกาแฟร้อนได้ก็ถือออกไปจากภัตตาคารโดยไม่หันมาให้ความสนใจคนที่ชนตัวเอง แต่น่าแปลกที่ศิระกับรสากลับพุ่งเป้าไปที่ผู้ชายคนนั้นอย่างสนอกสนใจ

สำหรับศิระแล้วมีอะไรบางอย่างสะกิดใจให้รู้สึกถึงพลังอำนาจอันน่าเกรงขามและไม่น่าไว้วางใจในคราวเดียว ขณะที่สำหรับคนที่มาด้วยกันแล้วกลับสะดุดอยู่ตรงใบหน้าที่คล้ายกับว่าเคยเห็นมาก่อน

“ ผู้ชายคนนั้นแก่แล้วแต่ก็ยังดูดีอยู่เลยนะ ” หล่อนชมแล้วใช่นิ้วลูบคางพลางทำหน้าครุ่นคิด “ แต่ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเขามาก เหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก ”

“ ช่างมันเถอะ...ผมหิวแล้วไปกินข้าวดีกว่า ” พูดจบก็ลากคนตัวเล็กกว่าให้ไปนั่งตรงโต๊ะที่เลือกไว้เสียที

พนักงานหยิบเมนูมาวางให้อย่างนอบน้อม ผู้บริหารหนุ่มสั่งโจ๊กฮ่องกงกับปาท่องโก๋โดยไม่รีรอ อีกคนเลยขอเบิ้ลเป็นสองชามเพราะไม่อยากเลือกรายการอาหารให้วุ่นวายและในระหว่างที่รออาหารเช้าก็มีน้ำเปล่ามาเสิร์ฟให้ รสาที่เท้าคางสังเกตสังกาไปโดยรอบก็หันกลับมาจ้องหน้าของศิระเขม็ง เอียงซ้ายเอียงขวาพิจารณาบางอย่างอยู่นานก็ตบต้นขาฉาดใหญ่

“ ฉันรู้ล่ะว่า ทำไมฉันคุ้นหน้าเขา ” หล่อนร้องออกมาเสียงดังพอรู้ตัวเลยรีบก้มหน้ากลอกตาไปมาแก้เก้อ

“ นี่ยังไม่เลิกคิดถึงคนที่ผมชนอีกเหรอ สงสัยว่ารสนิยมผู้ชายของคุณจะเป็นประเภทโคแก่ล่ะสิ ”

“ โว้ย เลิกคิดไม่ดีกับฉันสักนาทีมันจะตายไหมเนี้ย...ฟังฉันให้จบก่อนแล้วอยากพูดอะไรก็ค่อยพูด ” พอเอ่ยไม่จบดังความต้องการเลยโวยใส่ พอเขาเงียบเลยบอกต่อ “ ฉันว่าเขาหน้าเหมือนคุณ ”

ศิระแทบจะพ่นน้ำเปล่าพรวดออกมาจากปากในนาทีที่ได้ยินคำของแม่คนช่างสังเกตดีที่กลืนลงคอทันเลยไม่มีใครต้องรับกรรมเปียกน้ำ

“ คุณจะบ้าเหรอ...พูดมาได้ยังไงว่าเขาเหมือนผม ”

“ ก็เหมือนจริงๆนะ โครงหน้าของคุณกับเขาเหมือนกันเกือบทุกอย่างเลย ผิดกันก็แค่คุณตาสีน้ำตาลส่วนลุงคนนั้นแกตาสีเขียว นี่ถ้ามีใครบอกฉันว่าคุณกับเขาเป็นญาติกันฉันก็เชื่อนะเนี้ย ” หญิงสาวเลิกพูดเพื่อยิ้มให้พนักงานที่นำโจ๊กมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมกรุ่นทำให้เจ้าของร้านอาหารหยิบช้อนตักข้าวละเอียดเข้าปาก ความอร่อยทำให้ลืมไปแล้วว่าฝากอะไรให้คนฟังขบคิด

ศิระขมวดคิ้ว กลิ่นอาหารเช้าไม่อาจเบี่ยงเบนความสนใจจากชายสูงวัยผู้นั้นไปได้ นึกสังหรณ์ใจว่า ผู้ชายคนนั้นอาจจะมีอะไรเกี่ยวพันกันมากกว่าแค่เป็นลูกค้าที่เขาเดินชนในภัตตาคารแห่งนี้เท่านั้น




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ต.ค. 2554, 06:06:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ต.ค. 2554, 06:06:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 2380





<< บทที่ ๒๕   บทที่ ๒๗ >>
anOO 8 ต.ค. 2554, 09:08:05 น.
เอ ตาลุงนั้นใช่ตาลุงครอมเวลรึป่าว
อย่าบอกนะว่าเป็นพ่อ แค่นี้พี่ใหญ่ก็รับจะไม่ไหวแล้ว


Auuuu 8 ต.ค. 2554, 11:36:06 น.
เฮ้ยยยยยย แต่ถ้าเป็นพ่อใหญ่ ก็เป็นพ่อเล็กด้วย ถูกไม๊เอ่ย??


คิมหันตุ์ 8 ต.ค. 2554, 15:51:04 น.
มีอะไรเคลือบแคลง....อยู่


violette 9 ต.ค. 2554, 01:28:31 น.
เฮ้ยยยยยยย ถ้าจริงแบบที่คิดนี่แสดงว่าเราแอบเดาในใจมาได้เกือบถูกนะคะเนี่ย
เพราะแอบคิดว่าอีตาแก่ครอมเวลต้องเจ็บแค้นอะไรแม่ใหญ่แน่นอน
อย่าบอกว่าตานี่รักแม่ใหญ่แต่ถูกผลักไส โอย แบบนี้แม่ของเล็กน่าสงสาร(มากกกกกกกกกกกกก)ที่สุดเลย รองมาคือน้องเล็กกับพี่ใหญ่
ชีวิตสี่คนนี้มีแต่ความเจ็บปวดนะเนี่ย
(กลายเป็นอินกับเรื่องพี่ใหญ่จนบทพิศวาสแบบพี่ภาคกับหนูเล็กถูกลืมไปจี๊ดนึงเลยคะ่อิอิ)
จะบอกว่าเขียนบทพิศวาสได้ดีนะคะไม่ต้องชัดเจนจัดแจ้งมากก็ได้ แค่พอให้รับรู้แบนี้ก็พอแล้วค่ะกับนิยายที่เนื้อหาค่อนจะเครียดแบบนี้(แต่สนุกนะคะ เครียดแต่สนุกมาก)


Edelweiss 9 ต.ค. 2554, 11:44:28 น.
เห็นด้วยกับคุณ violette ค่ะ ^ ^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account