จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒๗

-- แวะคุยกันก่อน ---

น้ำท่วมน้องว่าดีกว่าฝนแล้ง พี่ว่าน้ำแห้งให้ฝนแล้งเสียยังดีกว่า

TT_TT สวัสดีค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่าน ตามเม้น คอมเม้นเป็นยาชะโลมใจคนเขียนที่สุดล่ะ
ขอโทษที่หายหน้าไปพักหนึ่งเพราะกังวลกับสถานการณ์น้ำท่วม
เพราะคนเขียนมีบ้านอยู่รังสิตคลองสาม
จิตตกกันไปตามๆกัน
ข่าวอะไรไม่รู้อีรุงตุงนัง
ไม่มีกะใจจะมาทำอะไรต่อเลยเวรกรรม
ยังไงทุกคนก็ระวังน้ำท่วมด้วยนะคะ TT_TT
ปล.ฝากเพลงประจำบทนี้ให้ฟัง โลกที่ไม่เท่ากันนะคะ

--------------------------------
บทที่ 27

มือเรียวใหญ่ชักรอกม่านสีขาวปักลายเถาดอกไม้อย่างประณีตทั้งผืนออกทีละน้อย ปล่อยแสงอรุณที่ลอดแนวทิวกิ่งไม้สูงผ่านทะลุกระจกเข้ามากลบเลือนราตรีอันมืดมิดสู่ความสว่างไสวก่อนที่ภาควัฒน์จะเลื่อนประตูกระจกบานใหญ่ก้าวเท้าไปหยุดยืนนิ่งตรงระเบียงหินอ่อนเฝ้ามองนกกระจิบตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนยอดไม้พลางคิดไตร่ตรองถึงสิ่งที่ต้องทำด้วยสีหน้าเคร่งเครียดโดยไม่สนใจพระพายที่โชยโบกเส้นผมสีนิลไม่เป็นรูปทรง

โทรศัพท์มือถือบางเฉียบใช้เฉพาะเพื่อติดต่อกับคนในครอมเวลถูกบีบแน่นอยู่นานกว่าที่สุดท้ายนิ้วเรียวจะกดหมายเลขหลายหลักโทรหาใครคนหนึ่งรอให้ปลายสายกดรับกรอกคำทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นเกริ่นนำถามไถ่เรื่องสัพเพเหระแล้วจึงเปิดประเด็น

“ ตอนนี้ปู่ยังพักอยู่ที่โรงแรม...หรือเปล่าครับ ” เขากล่าวถึงโรงแรมห้าดาวกลางใจเมืองแห่งหนึ่งซึ่งครอมเวลถือครองหุ้นไว้ไม่ต่ำกว่าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ แปลกที่ปลายสายกลับตอบปฏิเสธสั้น

“ แสดงว่าตอนนี้ปู่ไม่ได้อยู่เมืองไทยแล้วเหรอครับ ”

“ แค่ไม่ได้พักในโรงแรมที่มีหุ้นอยู่ไม่ได้หมายความว่าปู่จะไม่อยู่เมืองไทยหรอกนะ ” ชายชราว่าแกมหัวเราะ “ ลองทายดูไหมว่าตอนนี้ปู่พักอยู่ที่ไหน ”

คำถามนั้นเป็นการจงใจหยั่งเชิงชัดเจน แม้คนฟังจะรับทราบอยู่แต่ไม่เข้าใจจุดประสงค์โดยแท้ทำให้เลือกไล่ทายชื่อโรงแรมที่ครอมเวลถือหุ้นไว้ไปเรื่อยจนสุดท้ายปลายสายก็ตัดบทยอมเฉลย

“ ปู่พักอยู่ห้องสูทของอังคพิมาน โฮเต็ล ”

ชื่อของโรงแรมที่หลุดออกจากปลายของชายผู้มีพระคุณทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ความกังวลเสริมทัพเข้ามาให้หน้าผากยิ่งยับย่น ด้วยคาดคะเนได้ว่าจุดประสงค์ที่เลือกพักที่นั้นเป็นการส่งสัญญาณกลายๆให้รีบซะ เพราะไม่อยากนั้นปู่จะเป็นคนรุกฆาตให้เอง

“ ที่โทรมานี้คงไม่ได้แค่อยากถามสารทุกข์สุกดิบอย่างเดียวใช่ไหม ” อีกฝ่ายถามต่อเหมือนรู้ทันอยู่ว่า การมารูปนี้ของหลานนอกไส้ย่อมมีเหตุผลมากกว่าความคิดถึง

“ ผมมีเรื่องอยากคุยกับปู่ครับ ถ้าผมจะขอเข้าไปพบปู่ช่วงบ่ายโมง ไม่ทราบว่าปู่สะดวกหรือเปล่าครับ ”

“ ได้...เจอกันที่ล็อบบี้แล้วกันนะ ” คนสูงวัยกว่านัดหมายสถานที่ให้เสร็จสรรพโดยไม่แม้แต่จะถามถึงสาเหตุที่ทายาทอันดับหนึ่งของครอมเวลต้องการพบและทันทีที่วางสายจากคนหนึ่งไปได้ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์อีกเครื่องสอดอยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทที่แขวนหน้าตู้เสื้อผ้าจึงรีบวิ่งไปรับเพราะกลัวคนที่นอนหลับอยู่จะตื่น

ปลายสายรายงานเรื่องจดหมายเชิญเข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้นของอังคพิมาน โฮเต็ลที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า...เจ้าของห้องพยักหน้ารับรู้แล้วเก็บโทรศัพท์ทั้งหมดไว้ในลิ้นชักของโต๊ะข้างเตียงก่อนจะเหลือบเห็นคนบนเตียงลืมตามองกันอยู่ด้วยอาการสะลึมสะลือ

“ ตื่นแล้วเหรอคะ ” เขาถามพร้อมกลับขึ้นเตียงไปจูบหน้าผากหญิงสาวที่นอนซุกกายเปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น

“ ค่ะ ” หล่อนอย่างอ่อนเพลียและงัวเงียเต็มที

“ ตอนนี้หกโมงเช้าเอง เล็กจะรีบตื่นทำไมกันคะ เพิ่งได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมงเองไม่ใช่เหรอคะ ”

“ เล็กจะตื่นไปใส่บาตรให้ป้าพิณนะคะ ” คนตัวเล็กใช้มือยันกายทำท่าจะลุกจากเตียงแต่อาการเจ็บรวมทั้งแข้งขาไร้เรี่ยวแงที่เกิดขึ้นกับร่างกายอันเนื่องมาจากการสานสัมพันธ์รักอันแนบแน่นลึกซึ้งระหว่างสามีหนุ่มมากประสบการณ์กับภรรยาสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสาตลอดคืนทำให้เกิดเสียงร้องครางด้วยความเจ็บออกมา

ภาควัฒน์เห็นเข้าก็รีบประคองให้ศศิวิมลล้มลงนอนอย่างเก่าจ้องมองอาการปวดที่ฉายบนดวงหน้านวลด้วยความวิตกกังวล ผ้าห่มหนาร่นจากลำคอลงไปอยู่เหนือเนินอกสล้างเผยให้เห็นรอยช้ำเป็นจ้ำทั่ว ฝ่ายคนทำพอเห็นเข้าก็ใจหายวาบจำได้ดีว่าพยายามเบามืออย่างที่สุดแล้วแต่ก็ยังเผลอรุนแรงไปจนได้

“ เล็กเจ็บมากหรือเปล่าคะ...พี่ขอโทษนะคะที่ทำให้เล็กเจ็บ ” เขากล่าวอย่างสำนึกผิด แนบหน้าผากอุ่นลงบนหน้าผากนวลแล้วจูบซับคราบน้ำตาที่ทิ้งตัวเป็นทางยาวเหลืออยู่

“ ไม่เป็นไรหรอกคะ...ถึงจะเจ็บแต่เล็กก็มีความสุขนะคะ เล็กเพิ่งรู้ว่าเซ็กส์มันให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ ” หล่อนบอกพร้อมกับพวงแก้มแดงก่ำได้แต่เอียงอายเบือนหน้าหลบสายตาคมที่ทอดมองมาด้วยแววตาสำนึกผิดระคนไปกับความเสน่หา

ริมฝีปากของชายหนุ่มแย้มกว้างทันทีที่เห็นอาการเขินอายของภรรยาใช้สองมือประคองใบหน้าให้หันกลับมาประสานสายตากันดังเดิม

“ เล็กเข้าใจผิดแล้วนะคะ พี่ไม่เรียกสิ่งที่เราทำเมื่อคืนว่าเซ็กส์นะคะ ถ้าจะเรียกต้องเรียกว่าร่วมรักต่างหากล่ะ ”

“ ทำไมถึงเรียกไม่เหมือนกันล่ะคะ ในเมื่อมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ” พูดไปเสียงก็สั่นด้วยความกระดากอาย

“ ไม่เหมือนกันหรอกคะ เซ็กส์นะมันเกิดจากความใคร่ล้วนๆ จะทำกับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ พอถึงเวลาก็จบไป แต่ร่วมรักมันมาจากความรักและความใคร่ผสมกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่พี่ใช้คำนี้กับเล็กก็หมายความว่า พี่รักเล็กรู้ไหมคะ ” คนอธิบายหยอดสายตาและคำหวานหยด ฝังจมูกลงในเรือนผมยาวสลวยที่สยายบนหมอนแล้วเคลื่อนต่ำลงทีละน้อยสูดกลิ่นหอมดอกมะลิจากลำคอเกือบจะดึงทึ้งผ้าเพื่อเริ่มบทรักอีกครั้ง หากเมื่อมีเสียงประท้วงขึ้นจึงจำใจหยุดตัวเองไว้

“ เมื่อวานก็ทำทั้งคืนแล้ว พี่ภาคยังไม่พออีกเหรอคะ ”

“ ไม่พอค่ะ พี่อดทนมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ เล็กน่าจะเห็นใจพี่หน่อยนะคะ ” พ่อเจ้าพระคุณออดอ้อนส่งเสียงกระเส่าทำเอาคนฟังต้องหลบสายตาแกล้งอ้อมแอ้มไปว่าจะไปทำกับข้าวใส่บาตรให้ดีกว่า

“ เดินยังไม่ไหวจะลงไปทำไมล่ะคะ นอนพักไปเถอะค่ะ เดี๋ยววันนี้พี่ลงไปใส่บาตรให้แม่เอง ”

“ จะใส่บาตรก็ต้องทำกับข้าวเตรียมไว้ก่อน พี่ภาคทำอาหารไม่เป็นแล้วจะเอาอะไรไปใส่บาตรพระล่ะคะ ”

“ อวดรู้จริงๆนะเรา ” ชายหนุ่มตำหนิเบาอย่างไม่จริงจังพลางลูบผมคนตัวเล็กไว้ “ พี่อยู่เมืองนอกเป็นสิบปีทำกับข้าวเองไม่เป็นก็แย่แล้ว ”

“ ก็เล็กไม่เคยเห็นพี่ภาคเข้าครัวก็เลยนึกว่าทำไม่เป็นนี่คะ ”

“ แล้วพี่จะเข้าครัวทำไมในเมื่อที่นี่มีคนทำอาหารอร่อยให้กินเพียบ ไม่เหมือนอยู่ที่นู้นพี่อยู่คนเดียว คนใช้ก็ไม่มี อาหารข้างนอกมันก็แพง พี่เลยต้องหัดพลิกแพลงทำอาหารเอง...เห็นพี่อย่างนี้แต่พี่ก็เคยทำงานพิเศษเป็นกุ๊กในร้านอาหารจีนด้วยนะ ”

“ จริงเหรอคะ ”

“ จริงสิคะ ตอนพี่อยู่ที่นู้นนะพี่ทำงานสารพัดอย่างแหละคะ ทำตั้งแต่ล้างห้องน้ำ เสิร์ฟอาหาร พ่อครัว แบกหาม ช่างไม้ ช่างไฟยันงานออฟฟิศแหละคะ ”

“ แล้วทำไมต้องทำงานเยอะขนาดนั้นด้วยล่ะคะ ป้าพิณกับลุงพันธ์ก็ส่งเงินไปให้ใช้ไม่พอเหรอคะ ”

“ ใช้เหลือด้วยซ้ำไปค่ะ แต่พี่คิดว่าถ้ามาเรียนแบบคุณหนูมันไม่ได้ประโยชน์สู้ทำงานเป็นลูกจ้างเขาก็ไม่ได้ อีกอย่างตอนพี่เรียนอยู่มันเหงานะ ถ้าอยู่ห้องคนเดียวก็ฟุ้งซ่าน ออกมาทำงานดีกว่า ได้เงิน ได้ประสบการณ์ ไม่เหงาด้วย...เอาล่ะ พี่ว่าพี่ไปทำกับข้าวใส่บาตรดีกว่า เล็กเพลียก็นอนต่อเลยนะคะ เดี๋ยวพี่ขึ้นมาใหม่ ” ว่าพลางหอมแก้มแล้วลุกจากเตียงหยิบเอาเสื้อคลุมบนพื้นห้องมาสวมทับร่างที่มีเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียวใส่อยู่ หันกลับไปเห็นแม่ตัวเล็กพริ้มตาหลับต่อก็ยิ้มเปิดประตูเดินลงบันไดหายเข้าไปในครัว

เสียงของเครื่องครัวที่กระทบกันและเสียงฉ่าร้อนของกระทะดังลอดจากในครัวทำให้ยายช้อยที่ตื่นสายกว่าทุกวันเพราะมัวแต่คิดเรื่องของเจ้านายน้อยทั้งสองจนนอนไม่หลับรีบกระวีกระวาดเข้าครัวแต่พอเห็นคนที่ขมีขมันอยู่หน้าเตาไม่ใช่ศศิวิมลก็ขยี้ตาซ้ำ เปิดตามองอีกครั้งให้แน่ใจว่าตาไม่ฝาดก็ร้องอุทาน

“ ตายแล้ว คุณภาคทำกับข้าว ”

ทายาทวิสุทธิ์สุนทรตักมักกะโรนีใส่ชามใหญ่เหลือบมองแม่นมสูงวัยยกมือทาบอกด้วยความตกใจก็ยิ้มขำ

“ ผมทำอาหารเป็นแค่นี้ถึงกับต้องตกใจเลยเหรอครับ ” คำพูดนั้นมีแววหยอก

“ โอ๊ย ไม่ตกใจได้ยังไงล่ะคะ ร้อยวันพันปียายไม่เคยเห็นคุณภาคเข้าครัว ใครจะรู้ว่าทำกับข้าวเป็นกับเขาด้วย ”

“ อ้าว ผมไม่เข้าครัวแค่นี้เลยกลายเป็นทำอาหารไม่ได้เลยเหรอครับ ผมไปอยู่เมืองนอกมาตั้งสิบปี ทำอาหารไม่เป็นคงอดตายก่อนแล้วล่ะครับ ”

หญิงชราพยักหน้าหายแตกตื่นเดินเข้าไปช่วยตักมักกะโรนีจากชามใส่ถุงพลาสติกพร้อมกวาดสายตามองไปทั่วห้องไม่เห็นนายหญิงของตัวก็นึกกลัวว่าเรื่องเมื่อวานจะกลายเป็นจริงจึงรีบถามถึงอีกคนทันที

“ เล็กเขาไม่ค่อยสบายนะครับ ” เขาตอบกลับขณะดึงเยลลี่สตอเบอร์รี่ถ้วยแพ็กใหญ่ออกมาจากตู้เย็น

“ ตายจริง...แล้วนี้คุณเล็กเธอไม่สบายเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ ” นางร้องถามลั่น

“ ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่เพลียเฉยๆ ”

“ แล้วที่ทะเลาะกันนี้ ดีกันหรือยังคะ ”

“ ทะเลาะกัน...ผมกับเล็กนะหรือครับทะเลาะกัน ” คนพูดตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราว ยายช้อยเห็นสีหน้าแจ่มใสคลายความเย็นชาลงมากก็เข้าใจได้ว่า คงดีกันแล้วเลยไม่อยากฝืนฝอยหาตะเข็บจึงรีบช่วยจัดชุดอาหารแล้วตามออกไปใส่บาตรอยู่ช่วยเก็บล้างข้าวของในครัวจนสะอาด

พ่อครัวแขวนกระทะเก็บเสร็จก็ถือจานผัดมักกะโรนีที่ผัดแยกไว้แล้วขอตัวกับหญิงชรากลับขึ้นห้องไป

กลิ่นหอมของผัดมักกะโรนีปลุกให้หญิงสาวที่หลับอยู่รู้สึกตัวตื่นพอลืมตาก็เห็นชายผู้เป็นสามียื่นไส้กรอกที่ถูกส้อมจิ้มมาตรงหน้า

“ ชิมสิคะว่าอร่อยไหม ”

“ นี่อะไรเหรอคะ ”

“ ผัดมักกะโรนีค่ะ เมื่อคืนพี่เห็นเล็กใช้พลังงานเยอะคงหิว เลยผัดมาให้กินรองท้องก่อน เล็กกินได้ใช่ไหมคะ ”

ภรรยาสาวพยักหน้ารับถูกพยุงให้ลุกเปลี่ยนอิริยาบถจากนอนมาเป็นนั่งพิงหัวเตียงหยิบส้อมมากินเองแต่พ่อครัวไม่ยอมบอกจะป้อนเลยได้แต่อ้าปากรอ ชิมเพียงคำก็เกิดสำลักไอหน้าดำหน้าแดง คนให้ชิมหน้าถอดสีรีบลูบหน้าลูบหลังถามใหญ่ด้วยความเป็นห่วง

“ มันไม่อร่อยเหรอคะ ไม่อร่อยก็คายค่ะเล็ก คายใส่มือพี่มา ” ร้องบอกพร้อมยื่นมือไปรอง ทว่าคนชิมส่ายหน้าเอามือพัดอาหาร

“ ไม่ใช่คะ แต่มันร้อน ”

“ เวร...พี่ลืมเป่าให้เล็กก่อนป้อนนี่หว่า โอ๋ ขอโทษนะคะ เอาใหม่เอาใหม่ เดี๋ยวพี่ป้อนใหม่นะ ” ชายหนุ่มทำตาปรอยสำนึกผิดพอป้อนคำใหม่ก็ไม่ลืมที่จะเป่าคลายร้อนให้ก่อนค่อยป้อนสลับกับกินเองจนเกลี้ยงก็วางจานไว้บนโต๊ะข้างเตียงหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดปากที่เปรอะโดยรอบให้

“ พี่ภาคไม่ต้องเช็ดให้แล้วค่ะ เดี๋ยวเล็กเช็ดเอง พี่ภาครีบไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานดีกว่านะคะ ”

“ เล็กไม่ต้องกลัวสายหรอกค่ะ พี่โทรไปลางานไว้แล้ว ”

“ พี่ภาคต้องลางานเพราะเล็กอีกแล้วเหรอคะ เดี๋ยวคนในออฟฟิศก็ว่าเอาหรอก ” หล่อนถามเสียงละห้อยเพราะคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้เข้าไปทำงานไม่ได้

“ ในบริษัทไม่มีใครทำงานหนักกว่าพี่แล้วค่ะ เล็กไม่ต้องกลัวใครจะว่าพี่หรอกนะคะ หรือว่าเล็กไม่อยากให้พี่อยู่ด้วยถึงได้ไล่ไปทำงาน ”

“ เปล่านะคะ เล็กอยากอยู่กับพี่ภาค แต่เล็กไม่อยากให้ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้พี่เสียงานนี่คะ ”

เจ้าของห้องได้ฟังวาจาของแม่ตัวเล็กแล้วอมยิ้มอดใจไม่ไหวจึงยื่นมือออกไปจับแก้มไว้เบาๆอย่างเอ็นดู

“ โถ คนสวยของพี่ ทำไมพูดจาน่ารักจังนะ มาให้พี่กอดหน่อยสิคะ ” พูดพลางสอดแขนเข้าไปกอดเอวบางให้มานั่งอยู่ข้างหน้าตนเองพร้อมกับโยกตัวไปมาเบาราวกับจะกล่อมเด็ก

ความอ่อนเพลียทำให้ศศิวิมลหลับไปอีกหนปล่อยให้เวลาแห่งความสุขทั้งหลายเดินไปเรื่อยจนกระทั่งภาควัฒน์เงยหน้ายังนาฬิกาดิจิตอลตรงผนังที่ใกล้เวลานัดหมายก็กระซิบบอกให้ทราบถึงธุระของตัวเอง

“ เดี๋ยวพี่ขอไปทำธุระอะไรหน่อยนะคะ เสร็จแล้วพี่จะรีบกลับมานะคะ ”

หญิงสาวหรี่ตามองพร้อมพยักหน้าปล่อยให้เขาอุ้มขยับวางลงบนหมอนเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์...ชายหนุ่มลุกจากเตียงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินกลับมาที่ส่วนพักผ่อน จ้องมองใบหน้าหวานอมโศกที่หลับสนิท นัยน์ตาคมฉายแววรักและหวงอย่างที่สุด ก้มลงประทับรอยจูบบนหน้าผากได้ก็ผละออกจากห้องไปทันที
*************************

ผลไม้สดหลายชนิดอัดแน่นอยู่ในตะกร้าหวายถูกหอบหิ้วมาโดยชายหนุ่มร่างสูงโปร่งซึ่งเดินคู่มากับหญิงสาวมัดหางม้าที่แต่งตัวปอนๆสวมรองเท้าแตะฟองน้ำสีสดสะพายกระเป๋าพาดลำตัวเข้ามาในอาคารของโรงพยาบาลเอกชนกลางใจเมือง

ขณะที่รอพยาบาลประจำตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ไล่รายชื่อคนไข้ที่เข้ารับการรักษาให้ รสาเหลือบเห็นหญิงสาวแต่งตัวดีหลายคนชี้ชวนกันมาที่ตนเองเลยถลึงตากลับไป แล้วค่อยเดินตามหลังอีกคนที่มาด้วยกันขึ้นไปยังห้องพักพิเศษ

สมพรเปิดประตูออกจากห้องมาชะเง้อคอเหมือนรอคอยใครสักคนอยู่ เมื่อเห็นนายของตัวเองมากับเพื่อนของคุณหนูที่ตนเลี้ยงมาก็อุทานด้วยความแปลกใจรีบเดินเข้าไปหา

“ เล็กอยู่ในห้องหรือเปล่าพี่สม ” รสาถามเป็นคำแรกที่เห็นหน้า

“ ยังเลยค่ะ พี่สมก็รออยู่เหมือนกันว่าคุณเล็กเธอจะมาเมื่อไหร่ ” ตอบเสร็จก็หันมาถาม “ แล้วนี่วันนี้คุณใหญ่งานไม่ยุ่งหรือคะถึงมาหาคุณผู้หญิงเธอได้ ”

ศิระสูดลมหายใจยาวกว่าจะหลุดยิ้มอ่อนออกมาแทนคำตอบ สมพรไม่ทันสังเกตเลยไม่ทันรับรู้ถึงความเครียดภายในด้วยดีใจที่เห็นคนที่นายตัวเองเฝ้ารอมาหาก็รีบเชิญเข้าห้อง

ชายหนุ่มทอดมองหญิงวัยกลางคนที่นั่งห้อยขาผินหน้าสู่บานหน้าต่างเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของท้องฟ้าอย่างคนที่มีสติไม่อยู่กับร่องกับรอยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมภายในกระทั่งเสียงทักทายของใครเลยสักคน

คนป่วยพาตัวเองจมอยู่ในห้วงกาลเก่าเมื่อครั้งที่ตัวเองเคยมีรอยยิ้มแห่งความสุขเปื้อนหน้า เคยมีน้องให้จับมืออยู่เคียงข้างให้สัญญาต่อกันว่าจะมีกันและกันตลอดไป ทว่าความอิ่มเอมใจที่ไม่ประสงค์สิ่งใดนั้นเลือนหายไปกับช่วงวัยที่เติบใหญ่ขึ้น ชื่อเสียง ความสำเร็จ อำนาจกลายเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่ต้องไขว่คว้าให้ได้มา

นางเหยียดริมฝีปากยิ้มขื่นให้กับการกระทำอันชั่วช้าของตัวเอง...แค่ทะเยอทะยานอยากมากเสียจนทำลายได้ทุกคนที่ขวางหน้าก็ว่าร้ายแล้ว หากที่ร้ายกว่าคือ การปล่อยให้ไฟริษยาผลาญพร่าทำลายความรักอันบริสุทธิ์ของคนหลายคู่ให้ล้มตายไปพร้อมกัน

หากวันนี้จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างโดดเดี่ยวไปจนตายก็เป็นสิ่งที่นางสมควรได้รับ

“ คุณผู้หญิงของพี่สมเหม่อแบบนี้ทุกวันเลยเหรอคะ ” รสากระซิบถามขณะจ้องแผ่นหลังของคนป่วย

“ แค่เหม่อเฉยๆยังดีนะคะ ถ้าตอนนี้อยู่ห้องไอซียูคงได้เธอนอนร้องไห้ไปแล้วล่ะคะ...พี่สมก็ไม่รู้ว่าทำไมคุณผู้หญิงถึงร้องไห้ แต่พี่สมว่าเธอคงเสียใจที่คุณใหญ่ไม่มาหานะคะ ”

ทายาทอังคพิมานรับฟังพี่เลี้ยงของน้องสาวด้วยใบหน้าเรียบเฉยผิดกับภายในที่หัวใจกำลังเต้นแรงสะกิดให้บาดแผลที่ยังไม่ตกสะเก็ดปวดแปลบ คนอยู่ใกล้พอมองเห็นก็เข้าใจเลยไม่พูดอะไรเพียงแต่แอบเอื้อมมือไปกุมไว้ให้กำลังใจ

“ พี่สมออกไปก่อนได้ไหมครับ ” เขาร้องขอ

“ อ้อ ได้ค่ะ ” สมพรตอบรับแล้วออกจากห้องไปทิ้งให้สองหนุ่มสาวอยู่กับคนป่วยตามลำพัง

ศิระเม้มริมฝีปากแน่นเข้าทีละน้อยตามจังหวะการก้าวเท้า มือข้างที่ว่างหยิบเอาจดหมายฉบับหนึ่งในกระเป๋าเสื้อออกมาถือไว้จากนั้นจึงเดินไปหยุดยืนตรงหน้าของสตรีผู้เคยเรียกตัวเองเต็มปากว่าเป็นป้าผู้มีพระคุณ

เพียงเห็นใบหน้าดวงตาและริมฝีปากของมลธิกาก็สั่นระริก ต้องกระพริบตาซ้ำด้วยไม่เชื่อสายตาว่าคนตรงหน้าจะมาหา หากเมื่อแน่ใจว่ามิได้ตาฝาดไปเองน้ำตาอุ่นก็หยาดลงมาอาบสองแก้มที่แทบไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยินเลยแม้แต่น้อย

“ ใหญ่ ” นางครวญเรียกอยากจะยื่นมือไปสัมผัส แต่พอรู้ตัวว่าโดนรังเกียจก็วางมือกลับไว้ตามเก่า

ผู้บริหารหนุ่มเผชิญหน้ากับหญิงผู้ให้กำเนิดด้วยความนิ่งเฉย รวบรวมพลังต้านความอ่อนแอที่ตีแล่นมาให้ชอกช้ำไปทั่วร่าง พยายามเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาอย่างเข้มแข็ง

“ ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ดำเนินคดีกับคุณตามที่เล็กขอ แต่ผมอยากให้คุณเซ็นต์ลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารซะ เพื่อที่คนอื่นที่มีความสามารถและไม่ทุจริตในหน้าที่จะได้เข้ามาทำงานแทนคุณ ” เขาว่าวางจดหมายลาออกวางไว้บนเตียง

นางหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมากวาดสายตาอ่านแล้วเงยหน้ามองชายหนุ่มครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไร เพียงแต่เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักหยิบปากกาด้ามทองของตัวเองออกมาเซ็นต์ชื่อของตัวเองลงในช่องว่างที่เหลืออย่างไม่ลังเล

“ มีแค่นี้เหรอ ” น้ำเสียงแสนเศร้าถามขึ้น

“ พอคุณลาออกแล้ว ผมจะเอาเงินที่มีซื้อหุ้นทุกตัวคืนจากคุณ ” เขาพูดเท่านั้นก็หันหลังย่างเท้าห่างออกมา แต่แล้วต้องชะงักเมื่อได้ยินอีกฝ่ายยื่นข้อเสนอมา

“ ใหญ่ไม่ต้องหาเงินมาซื้อหรอก แม่จะคืนหุ้นที่ถืออยู่ให้เล็กกับใหญ่ทั้งหมดเอง ”

“ อย่าดีกว่าครับ...ผมไม่อยากให้ตัวเองมีอะไรติดค้างกับคุณอีก อังคพิมานไม่ควรแปดเปื้อนไปมากกว่านี้แล้ว ” สุ้มเสียงอันเย็นชาห่างเหินกรีดหัวใจของคนฟังให้เป็นริ้ว จุกเสียจนไม่สามารถบรรยายถึงความรู้สึกนั้นได้ ยิ่งเห็นแผ่นหลังกว้างของลูกกำลังห่างออกไปทีละน้อยด้วยความปวดร้าว

“ แม่ขอโทษ ขอโทษกับทุกสิ่งที่ทำลงไป แม่ขอโทษนะ ขอโทษ ” นางคร่ำครวญไม่ปรารถนาจะได้ยินคำอภัยแต่ขอเพียงได้พูดความในใจออกไปให้ฟังทำให้เท้าของชายหนุ่มหยุดชะงัก แต่ก็มิได้หันกลับไปมองเพียงแต่บอกสั้นให้รักษาตัว

หญิงสูงวัยกว่าเม้มริมฝีปากสำนึกถึงเยื่อใยที่ขาดสะบั้นลงก็ได้แต่ก้มหน้า...คนตัวสูงเดินออกจากห้องพักคนไข้พิเศษทุกย่างก้าวหนักอึ้งเหมือนถูกหินทับตรงเข้าไปหาสมพรเพื่อฝากฝังให้ดูแลคนป่วยได้ก็พาตัวลี้ไกลออกมา

“ คุณเป็นอะไรใช่ไหม” รสาเอ่ยถามทั้งสองยังจับมือกันแน่น

“ อืม...ผมไม่เป็นไร แล้วนี้คุณจะไปหาเล็กต่อใช่ไหม ผมจะได้ไปส่ง ” อาสาไปด้วยอาการเนือยหนัก

“ ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันไปเองได้ คุณกลับโรงแรมไปทำงานเถอะนะ ถ้าทำไม่ไหวก็ลงมานั่งที่ล็อบบี้ดูสาวสวยๆก็ได้นะจะได้ไม่เครียด ”

แม้จะปฏิเสธอย่างแข็งขันพร้อมแนะนำวิธีคลายเครียดหากคนอาสาก็ยังมีท่าทีอิดออดเลยต้องสำทับกลับไป

“ เออน่า คุณแค่แวะส่งฉันตรงป้ายรถเมล์ก็พอ เดี๋ยวฉันนั่งรถเมล์ไป คุณเองก็กลับไปพักตามที่ฉันบอกเถอะนะ ”

ชายหนุ่มมองหน้าปราศจากเครื่องสำอางที่มันหยดที่เปื้อนยิ้มสักครู่ก็ถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจทำตามความต้องการของอีกฝ่ายพากันไปที่ลานจอดรถแล้วขับพามาส่งที่ป้ายรถเมล์จากนั้นก็พาตัวเองกลับไปที่โรงแรมดังเดิม
*************************

ล็อบบี้ของโรงแรมอังคพิมานในช่วงบ่ายค่อนข้างเงียบเหงาด้วยแขกผู้เข้าพักส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มีเจรจาเรื่องธุรกิจจึงไม่มีใครอยู่ใช้บริการภายในมากนัก ท่ามกลางความว่างเปล่าหากก็มีชายชาวต่างชาติสูงวัยคนหนึ่งนั่งรอใครบางคนอยู่เช่นกัน

ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่สวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์เรียบง่าย สวมแว่นกันแดดสีดำทรงสปอร์ตชวนให้พนักงานสาวที่ประจำอยู่ในโรงแรมต้องหยุดเหลียวมองพลางสะกิดพูดคุยกันถึงคนที่เพิ่งเข้ามา ผู้มาใหม่ก้มศีรษะทำความเคารพชายชราก่อนจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามสังเกตเห็นบางสิ่งที่เคลือบแฝงอยู่ใต้รอยยิ้มแย้มพราย หากมีใครสักคนเคยเปรียบเทียบตัวเขาเป็นปีศาจร้าย คนตรงหน้าก็คงเป็นเจ้าแห่งปีศาจทั้งหลาย

“ ที่นัดปู่ออกมาคงไม่ได้แค่อยากเห็นหน้าหรอกใช่ไหม ” ผู้สูงวัยเริ่มบทสนทนาพร้อมกับเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นัยน์ตาคมกริบสีเขียวดุจอัญมณีล้ำค่าเปล่งประกายพราวราวกับล่วงรู้ถึงจุดประสงค์ในการพบกันครั้งนี้ได้ดี

คนนัดหมายกระพริบตาสองสามครั้งก่อนจะยอมสบสายตา แม้นความรู้สึกในใจจะต้องการยุติบทบาททายาทอันดับหนึ่งของครอมเวลเพียงใด ทว่าความเคารพและระลึกถึงบุญคุณอยู่ตลอดจึงเป็นการยากที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา หากสุดท้ายก็หักใจยอมเอ่ยความปรารถนาของตัวเองไป

“ ผมต้องการยุติบทบาทของพอล ครอมเวลครับ ”

คิ้วเรียวหนาของชายตรงหน้าเลิกสูงขึ้นข้างหนึ่งในนาทีที่ได้ยินประโยคนั้น น่าแปลกที่ริมฝีปากบางกลับยังเหยียดกว้าง ท่าทางการวางแขนดูผ่อนคลายไร้ความตึงเครียดดังคาดที่ปรากฏแก่สายตาราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายนัก

“ ทำไมล่ะ ” เอ่ยถามเสียงเย็นยังคงไม่คลายยิ้มลง

“ ผมไม่สามารถเป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบอย่างที่ปู่ต้องการได้อีกแล้ว ผมใจไม่แข็งพอจะทำร้ายคนที่ตัวเองรัก...ผมไม่สามารถเป็นพอล ครอมเวลได้อีกต่อไปแล้วและผมคิดว่ามันถึงเวลาที่ผมจะคืนทุกอย่างของพอลให้กับปู่ซะที ”

คอยด์ชำเลืองมองแหวนทองสลักอักษรย่อของตระกูลบนนิ้วสลับกับใบหน้าเคร่งขรึมของหลานนอกสายเลือดซึ่งสะท้อนอยู่บนโต๊ะหินแกรนิตแล้วเสียงหัวเราะก็ดังมาสมทบ

“ คิดหรือว่าทำแค่นั้นมันจะชดเชยสิ่งที่ปู่กำลังจะเสียได้นะพอล ” เขาว่าเริ่มหุบริมฝีปากใจดีลงทีละน้อยพร้อมกับโน้มร่างของตัวเองมาจ้องมองคนตรงหน้าในระยะใกล้นิ่งแทบไม่ไหวติงดังกับจะส่องทะลุให้ถึงก้นบึ้งของหัวใจและจิตวิญญาณการมีชีวิตที่ซ่อนอยู่ภายใน

ถึงกระนั้นชายหนุ่มกลับกล้าจะประสานสายตาไว้ดังเดิม ไร้แววหวาดกลัวใดให้ประจักษ์นอกจากความเด็ดเดี่ยวที่หากถึงคราวคับขันก็พร้อมตั้งรับและสู้กลับอย่างไม่รีรอ

“ ที่กล้าเป็นศัตรูกับครอมเวล เพราะเด็กคนนั้นนะเหรอ ” ถามพลางหัวเราะหยันในลำคอ

“ เขาสำคัญกับผม ” ตอบกลับไปอย่างแน่วแน่ “ เพราะผมทำร้ายเขาไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังจำได้เสมอถึงบุญคุณที่ปู่มีให้ผมตลอดมา ที่ผมอยากมาพบปู่วันนี้ก็เพื่อจะบอกให้ทราบว่า การเทคโอเวอร์ที่นี่จะเป็นงานชิ้นสุดท้ายที่ผมจะทำในฐานะ พอล ครอมเวล ”

ชายชรารับฟังเงียบเสยปอยผมสีดอกเลาที่ลู่หล่นจากเรือนผมที่หวีจนเรียบ แววตาฉานฉายความเหี้ยมเกรียมหมดสิ้นแล้วความปรารถนาดีและเอ็นดูที่เคยมีต่อกัน

“ ที่นี่มันไม่สำคัญขนาดจะแลกกับการเสียมือดีที่สุดของครอมเวลมีไปหรอกนะ ”

“ ผมทราบดี ถึงได้มาที่นี่เพื่อให้ปู่เสนอข้อแลกเปลี่ยนอะไรก็ได้ เพื่อแลกกับการที่ผมจะได้เป็นอิสระจากครอมเวล และภรรยาของผมจะไม่ถูกใครคุกคาม ” คนอ่อนวัยกว่าประกาศเจตนารมณ์

“ เด็กคนนั้นมีความหมายมากถึงขนาดนั้นเชียว...พอได้ยินอย่างนี้ปู่ก็ชักอยากเห็นหน้าเด็กคนนั้นขึ้นมาแล้วสิ ” นายใหญ่แห่งครอมเวลหัวเราะร่วนซึ่งยากแก่การคาดเดาว่าสาเหตุนั้นเกิดจากอารมณ์จริงแท้หรือเป็นแค่การแสแสร้งเท่านั้น

คนตัวใหญ่ขบกรามแน่นทันทีที่ได้ยินชายสูงวัยกล่าวถึงผู้ไม่เกี่ยวข้อง พยายามอย่างยิ่งยวดในการเร้นอารมณ์โกรธไว้ใต้ความเย็นชา แต่เสียงที่พูดทุกคำกลับต่างออกไป

“ อยากทำยังไงกับผม ผมไม่ว่า แต่ถ้าแตะภรรยาผม ผมไม่ยอม ” อาการคุมคามข่มขู่กลายๆนั้นทำให้ที่นั่งฟังด้วยความใจเย็นต้องยกมือโบกเบาเตือนสติให้ลดความร้อนลงเสียบ้างและหลังจากคิดตริตรองอยู่นานก็มีคำตัดสินจากปากของคอยด์ออกมาในที่สุด

“ ปู่จะรับข้อเสนอของเราก็ได้ แต่มีเงื่อนไขว่าจะทำตามข้อตกลงนั้นก็ต่อเมื่องานที่รัสเซียสำเร็จเสียก่อน งานนี้ปู่มีเวลาให้เตรียมตัวหนึ่งเดือน ขอบอกไว้ก่อนนะว่างานนี้เสี่ยงมาก ถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียวก็อาจไม่เหลือชีวิตรอดกลับมา แต่ถ้ารอดก็มีอิสรภาพรออยู่ คิดว่าข้อเสนอนี้น่าจะสมน้ำสมเนื้อกันนะ...ถ้าตกลงรับข้อเสนอนี้ เรื่องงานของอังคพิมานก็วางทิ้งได้เลย เดี๋ยวปู่จะจัดการสานต่อจนจบเอง ”

ภาควัฒน์ชำเลืองผู้เป็นปู่ที่เหมือนหมดเยื่อใยต่อกันอย่างง่ายดาย ทราบดีว่าถึงไม่มีเรื่องนี้ งานต่อไปที่ต้องทำก็คืองานนี้อยู่ดี ในส่วนของเป้าหมายในครั้งนี้ก็มีอำนาจจะทำอันตรายต่อชีวิตได้เพียงใด ถึงกระนั้นหากต้องแลกกับความสุขสงบของศศิวิมลถึงตายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้ารอดกลับมาได้ทุกอย่างในอดีตที่เคยมีจะเป็นของเขาได้โดยไม่ถูกรบกวน มันก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะเสี่ยงมิใช่หรือ

“ แล้วถ้าผมทำงานนี้ไม่สำเร็จหรือตายขึ้นมา ปู่รับปากได้ไหมครับว่าจะไม่แตะต้องภรรยาของผม ”

“ ชีวิตของเด็กคนนั้นไม่ได้มีค่าอะไรกับฉันขนาดต้องตามไล่ล่าหรอก ”

“ งั้นก็ตกลงครับ ผมรับข้อเสนอนี้ ”

“ อีกสองวันจะส่งข้อมูลทั้งหมดไปให้ เตรียมตัวศึกษาไว้ก็แล้วกัน ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับทั้งที่หนักใจ แต่ก็เลือกไม่ปริปากอะไรเพียงแค่ลุกจากเก้าอี้ก้มศีรษะทำความเคารพแทนคำอำลาเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผู้บริหารหนุ่มของอังคพิมานกลับเข้ามาในล็อบบี้ของโรงแรมทันเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันพอดี

ศิระขมวดคิ้วให้กับท่าทางอันนอบน้อมของอดีตศัตรูที่มีต่อชายผมสีดอกเล่าที่นั่งหันหลังให้ ความประหลาดใจระคนเคลือบแคลงทำให้อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปทักทายหมายจะจับให้ได้ถึงความผิดปกติ

“ นัดลูกค้ามาคุยที่นี่เหรอ ” คนตัวสูงกอดอกถามขณะยืนพิงเสาระหว่างที่คนตัวใหญ่เดินเข้ามาใกล้

ทายาทวิสุทธิ์สุนทรแลทายาทอังคพิมานด้วยแววตาว่างเปล่าก่อนจะกล่าวคำที่ทำให้คนฟังย่นหน้าผาก

“ เตรียมตัวรับความสูญเสียได้เลย ” พูดเพียงเท่านั้นก็ก้าวผ่านไป ศิระมองตามไปจนลับสายตาแล้วจึงชะเง้อคอกลับมายังโต๊ะตัวที่เห็นชายต่างวัยสองคนสนทนากัน หากคู่สนทนานั้นกลับอันตรธานไปเสียแล้ว

ภาพเบื้องหลังของชายผู้นั้นยังติดตา นึกดูแล้วก็เหมือนกับแผ่นหลังของคนที่เขาชนเข้าในภัตตาคารเมื่อเช้ามืด

“ บ้าเอ๊ย คลาดอีกจนได้ ” เขาสบถออกมาอย่างเสียดาย อุตส่าห์เจอโดยไม่ต้องใช้พนักงานให้ค้นรายชื่อแขกผู้เข้าพักทุกชั้นมาให้แล้วแท้ๆ แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ตัดสิใจยุติเรื่องที่สะกิดใจเดินไปยังลิฟต์พิเศษเพื่อจะขึ้นไปสะสางงานที่คั่งค้างต่อ

หน้าลิฟต์มีช่างซ่อมบำรุงช่วยกันเร่งซ่อมลิฟต์กันขมักเขม้นพอเห็นเจ้านายใหญ่เข้ามาใกล้ก็ยกมือทำไหว้ทำความเคารพตามตำแหน่งหน้าที่

“ ลิฟต์เสียเหรอครับ ”

“ ครับ ผมกำลังซ่อมกันอยู่ คิดว่าอีกชั่วโมงน่าจะเสร็จนะครับ ” ช่างประจำชี้แจ้งเท่านั้น ผู้เป็นนายก็ยิ้มให้กำลังใจแล้วเดินกลับไปใช้ลิฟต์ธรรมดาที่แขกผู้เข้าพักใช้ในการโดยสารขึ้นลง

บานประตูลิฟต์สีทองหรูเปิดให้ผู้คนที่ประสงค์จะมายังชั้นล่างก้าวออกมาจนหมด คนที่ยืนรออยู่จึงได้ฤกษ์ก้าวกลับเข้าไป กดปุ่มหมายเลขชั้นยี่สิบเก้าอันเป็นชั้นสุดท้ายที่มีห้องสูทราคาแพงให้เข้าพัก หากก่อนที่ประตูจะปิดนั้นก็มีชายคนหนึ่งวิ่งตามหลังเข้ามา

ศิระเงยหน้ายังคนที่มาร่วมใช้บริการโดยสารลิฟต์ตัวเดียวกันถึงกับเบิกตากว้าง เมื่อรู้สึกตัวก็ยิ้มให้แสร้งมองกระจกตรงประตูต่อเหมือนไม่สนใจอะไรทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ว่าอีกฝ่ายมีส่วนละม้ายเขามากจริงตามที่รสาพูด

“ คุณพักอยู่ชั้นยี่สิบเก้าเหรอครับ ” ชายผู้นั้นชวนคุยเป็นภาษาไทยชัดเจนจนเจ้าของภาษายังอดทึ่งไม่ได้

“ ผมไม่ใช่แขกที่มาพักครับ ผมทำงานอยู่ที่ชั้นสามสิบ ”

“ ทำงานที่นี่มากี่ปีแล้วล่ะครับ ”

“ ย่างปีที่สามแล้วครับ ”

“ แล้วตอนนี้อายุเท่าไหร่หรือครับ ”

“ ยี่สิบแปดครับ เดือนธันวานี้ผมจะยี่สิบเก้า ” หันไปตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้างแล้วหันกลับมารักษาอาการ

ผู้สูงวัยกว่าพยักหน้าแย้มริมฝีปากกว้างคล้ายจะยิ้มและจะเยาะกันในคราวเดียว หลังจากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบมีเพียงเสียงลิฟต์ที่เคลื่อนขึ้นไปยังด้านบน กระทั่งลิฟต์เดินทางมาสิ้นสุดยังชั้นสุดท้ายเมื่อบานประตูเปิดออก ชายหนุ่มก็ผายมือเชิญให้ชายชราเดินออกไปก่อน

ในนาทีที่ชายสูงวัยผู้นั้นกำลังจะก้าวพ้นจากลิฟต์เขากลับทิ้งคำพูดหนึ่งไว้ให้ขบคิด

“ เป็นคนหนุ่มน่าจะทำอะไรได้มากกว่าเดินตามหลังความสำเร็จของคนอื่น ” สิ้นคำก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ตัวแทนประธานกรรมการบริหารหนุ่มยืนนิ่งราวกับถูกตะปูตอกตรึงกว่าจะตามออกมาจากลิฟต์ได้ก็เกือบต้องกลับไปยังชั้นหนึ่งอีกหน

...ไม่เข้าใจในความหมายของอีกฝ่ายหากมันสะดุดหูสะดุดใจจนเลิกคิดถึงไม่ได้ ตลอดทางที่ขึ้นบันไดไปนั้นศิระจึงมีแต่คำนี้ก้องอยู่ในหู...

คีย์การ์ดสีทองในมือของคอยด์ถูกรูดเปิดออกเผยให้เห็นห้องสูทราคาแพงที่สุดของอังคพิมาน โฮเต็ลเลือกใช้โทนสีทองกับสีแดงตบแต่งในสไตล์คอนเทมโพรารี่ผสมผสานความหรูหราของตะวันออกและตะวันออกได้อย่างกลมกลืน

บอดี้การ์ดร่างยักษ์ฝีมือดีสองคนยืนหลังบานประตูโค้งตัวทำความเคารพเจ้านายของตนเอง จากนั้นจึงรายงานถึงโทรศัพท์ที่มีติดต่อมาไม่ขาดสายตลอดเวลาที่เขาไม่อยู่

“ ไว้ก่อน...ฉันอยากนอนพัก อย่าให้ใครรบกวน แม้แต่เสียงโทรศัพท์ก็ไม่ได้ เข้าใจไหม ” สั่งการเรียบร้อยก็เดินตรงเข้าไปยังมุมพักผ่อน ทรุดลงนั่งบนเตียงนอนนุ่มพลางถอนหายใจเบาก่อนจะเอื้อมมือไปดึงลิ้นชักของโต๊ะไม้แกะลายดอกท้อข้างเตียงเพื่อหยิบเอาหีบไม้รมควันสีน้ำตาลเข้มประดับด้วยโลหะปั๊มลายเถาดอกไม้ทรงหกเหลี่ยมขนาดเท่าหนังสือเล่มหนึ่ง สภาพภายนอกเก่าโบราณมีรอยขูดขีดเสียหายบ้างหากก็ยังสวยงามออกมาวางบนหน้าตัก

นิ้วเรียวดึงสลักแบบขอเกี่ยวสีทองออกแล้วดันฝาหีบให้เปิดขึ้นอย่างช้า กดปุ่มเปิดกลไกที่ซ่อนอยู่ภายในจึงเริ่มทำงานปลดปล่อยเสียงบรรเลงเปียโนพลิ้วไหวขับกล่อมทั้งห้อง

ตั้งแต่ได้รับของชิ้นนีทางไปรษณีย์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนความเจ็บแค้นในใจที่ถูกทรยศหักหลังทำให้ไม่เคยมีสักครั้งที่คิดจะเปิดฝาตรวจดูสิ่งที่ซ่อนอยู่เลยสักคราได้แต่เก็บมันติดตัวไปทุกหนทุกแห่งและใช้มันเป็นเครื่องเตือนใจให้รำลึกถึงความขมขื่นที่ได้รับ ทว่าเมื่อความจริงถูกไขกระจ่าง นี่คงเป็นครั้งที่ร้อยแล้วที่เขาหยิบมันออกมาเพียงเพื่อจะยินเสียงของผู้มอบให้

ท่วงทำนองอ่อนละมุนชวนให้เคลิ้มฝัน หากทันทีที่มีเสียงหวานร้องเพลงตามมาเท่านั้น บทเพลงนั้นก็ถูกความโศกเศร้าครอบคลุม เนื้อเพลงทั้งหมดแทนคำพูดที่ผู้ร้องปรารถนาจะใช้แทนคำพูดถึงคนที่ได้รับ

...หากโลกนี้มีเรา เพียงสองคน รักคงหลุดพ้นความวุ่นวาย
ไม่มีกฎหมายมาตราใด ลงโทษลงทัณฑ์รักสองเรา
หากโลกนี้มีเรา เพียงสองคน เริ่มต้นลงท้ายคงด้วยดี
แผ่นดินทุกทียอมมีเสรี เพาะปลูกวิญญาณรักสองเรา
แต่โลกใช่มีเพียงรักสองเรา ผู้คนยังมั่วเมาและงมงาย
ถือเผ่าถือพันธุ์กันต่อไป กีดกันทำลายคนด้วยกัน
หากโลกนี้มีเรา เพียงสองคน คงไม่ถูกโคนต้นไม้รักของเรา
ชีวิตเธอและฉันไม่ยืนยาว โลกเป็นของเราแต่ไม่เท่ากัน


เจ้าของห้องลุกจากเตียงเดินไปรับลมเย็นริมระเบียงปล่อยให้บทเพลงขับกล่อมโลกแห่งอดีต ยังจารจำได้ดีถึงวันที่ตัวเองถูกความชิงชังเบียดบัง เฝ้าแต่รับฟังความเท็จแล้วยึดมั่นถือมั่น สุดท้ายทิฐิอันแรงกล้านั้นก็ทำลายผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดร้ายกล่าวโทษใครเลยนอกจากตัวเองให้ทนทุกข์อย่างเดี่ยวดายกับความผิดที่ไม่ได้ก่อ

“ ถ้าตอนนั้นผมเชื่อมั่นในตัวคุณเหมือนที่คุณเชื่อมั่นผม ผมคงไม่ต้องเสียคุณไป และเราสามคนพ่อแม่ลูกก็คงมีความสุขด้วยกัน ” เขารำพึงแผ่วเบาด้วยดวงใจที่รวดร้าวเหลือคณา

นายใหญ่แห่งครอมเวลถอนหายใจให้กับความหลังครั้งเก่าเพิ่งค้นพบสัจจะธรรมแห่งชีวิตที่ว่าความสุขอันฉาบฉวยซึ่งได้มาจากอำนาจ วาสนาหรือรวยล้นฟ้าเทียบไม่ได้เลยกับการมีความสุขจากการมีคนที่รักและปรารถนาดีเสมออยู่เคียงข้าง

แม้วันนี้จะไม่มีเธอผู้นั้นอยู่ให้เขาแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองอีกแล้ว ทว่าผลผลิตจากความรักระหว่างกันยังคงอยู่ และไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ไม่เกี่ยง ต่อให้ต้องสร้างรอยแผลแก่ใครก็ไม่สำคัญหากมันสามารถทวงลูกให้กลับสู่อ้อมกอดของผู้เป็นพ่ออย่างเขาได้ก็เพียงพอแล้ว...




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ต.ค. 2554, 07:18:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ต.ค. 2554, 07:18:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 2524





<< บทที่ 26    บทที่ ๒๘ >>
เพชรทรียา 14 ต.ค. 2554, 07:34:01 น.
สรุปแล้วเป้นพ่อของใครกันน่ะ


คิมหันตุ์ 14 ต.ค. 2554, 07:57:02 น.
โอ๊ย..ลุ้นจัง สนุกมากค่ะ มาอัพต่อไวๆนะคะ


saralun 14 ต.ค. 2554, 09:07:04 น.
ลุ้น ๆ ๆ


anOO 14 ต.ค. 2554, 12:46:56 น.
ทำไมต้องส่งพี่ภาคไปทำงานเสี่ยงๆ เป็นการส่งท้ายด้วยล่ะ
ต้องการลูกกลับคืนมา หมายถึงพี่ใหญ่เหรอ
โอ๊ย ขี้เกียจเดาแล้ว มาต่อไวๆ นะค่ะ


อริสา 14 ต.ค. 2554, 13:22:45 น.
จะส่งพี่ภาคไปไกลจากน้องเล้กอีกแล้วเหรอ


violette 14 ต.ค. 2554, 14:08:11 น.
ง่าาาา ลุ้นค่ะ แสดงว่านายใหญ่ครอมเวลเป็นพ่อของพี่ใหญ่กับน้องเล็กหรอคะเนี่ย
เพราะพูดเหมือนกับพูดถึงคนที่ตายไปแล้วทุกข์คนเดียว ก็คือแม่ของเล็กหรือเปล่าคะ
เฮ่อเครียดและเศร้า


Liez 21 ต.ค. 2554, 02:31:06 น.
สนุดมากๆเลยค่ะ..ผูกเรื่องเก่งจัง ^-^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account