ป่าหนาวในเงารัก
หญิงสาวผู้ชอบหว่านเสน่ห์ ทั้งยังไม่เคยศรัทธาต่อคำว่ารักแท้ เมื่อมาพบกับหนุ่มที่ปราศจากความสนใจในตัวเธอ...อะไรจะเกิดขึ้น
Tags: กรยุพา , ยุพากร รักโรแมนติก
ตอน: ตอน 2 กรยุพา . ยุพากร
2
ประเทศไทย...
ภายใต้อุณหภูมิ 41 องศาเซลเซียส
การต้องกลับมาอย่างเร่งด่วน กระทั่งสถานที่ถ่ายทำซีรีย์เกาหลีเรื่องโปรดก็ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสเพราะจู่ๆ เรื่องซึ่งฐิตารีย์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนได้เกิดขึ้นกะทันหัน กับข่าวการประสบอุบัติเหตุลื่นล้มในห้องน้ำของบิดา ทั้งยังไม่มีทีท่าจะฟื้นคืนสติ ทำให้เธอเหมือนตกจากสวรรค์ไม่มีผิด
ซ้ำภาระหนักอึ้งที่ตามมามากมายก็เป็นเหตุให้ไม่อาจหลีกเลี่ยงคำว่า ‘หน้าที่’ ได้อีกต่อไป
ภาพของบิดาที่นอนให้น้ำเกลือโดยไม่มีอาการรับรู้ใดๆ ไหนจะน้องชายซึ่งกำลังเรียนไฮสคูลที่อังกฤษทำให้บุตรสาวที่ไม่เคยสนใจกับกิจการของครอบครัวมาตั้งแต่ต้นอย่างเธอ ต้องตัดสินใจแล้วว่าจะนำพาธุรกิจนี้ไปยังทิศทางใด
“ตกลงคุณจะทำยังไงต่อกับฟาร์มนี้ครับ”
คำถามของเจ้าหน้าที่ธนาคารซึ่งบิดาไปกู้เงินมาลงทุนทำให้เธอถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง
“ดิฉันจะสานต่อกิจการนี้ค่ะ” เธอตัดสินใจแล้วเมื่อพูดประโยคนั้นออกมา
“ผมต้องแสดงความยินดีกับคุณด้วย ที่...ตัดสินใจอย่างนั้น เพราะท่านหวังกับฟาร์มนี้ไว้อย่างมาก ขอเพียงคุณมั่นใจว่าจะทำต่อ ทางเราก็ยินดีสนับสนุนด้านการเงินเต็มที่ครับ”
ถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารจะสวยหรูเพียงใด ทว่าใจของฐิตารีย์ยามนี้กลับห่อเหี่ยวอย่างที่สุด
“องุ่นของเราเสียเยอะมั้ยจ๊ะลุงจ่า”
‘จ่าสิบเอก ชยุต’ คือผู้ดูแลฟาร์ม อดีตทหารนอกราชการที่ยังคงความแข็งแกร่ง ที่สำคัญเป็นลูกน้องคนสนิทซึ่งบิดาเธอไว้วางใจที่สุด
“พอสมควรครับ ผมให้คนงานเก็บรวบรวมไว้แล้ว เห็นคุณ ‘เอื้อง’ เธอว่าจะทำแยมกับน้ำผลไม้น่ะครับ” จ่าชยุตเอ่ยถึง ‘เจียระไน’ อาสาวของคุณหนู
“เจอฝนหลงฤดูอย่างนี้ตั้งตัวไม่ทันเลยจริงๆ ว่าแต่ป่านนี้แล้วคุณหนูยังไม่ไปเยี่ยม ‘ผู้การ’ อีกหรือครับ”
เป็นที่รู้กันว่าชยุตจะเรียก ‘พลโท ธนวัต’ บิดาของเธอเช่นนี้เป็นประจำ
“อาเอื้องไปตั้งแต่เช้าแล้วนี่จ๊ะ เดี๋ยวตาจะแวะไปดูบ้านพักคนงานก่อน แล้วถึงจะไปเยี่ยมท่านจ้ะ”
เพราะพายุฤดูร้อนที่โหมกระหน่ำเมื่อคืน ไม่ใช่เฉพาะพืชไร่เสียหาย แต่บ้านพักคนงานก็หลังคาเปิดไปหลายหลัง โชคดีส่วนที่เป็น ‘สวนนก’ ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น
“คุณตา...ดูสิครับผมได้อะไรมา” เด็กหนุ่ม ‘ช้าง’ มือขวาของจ่าชยุต ชูกรงที่หิ้วมาด้วย ด้านในปรากฎนกสีกระดำกระด่างตัวเปียกโชก
“มันคงยืนตากฝนมาทั้งคืนแหละครับ ถึงได้มอมแมมขนาดนี้” จ่าชยุตรายงาน
“ไม่เห็นสวยเลย สู้ที่มีอยู่ยังไม่ได้” เธอพูดจากใจจริง
เพราะบิดามีเลิฟเบิร์ด นกสีจัดจ้าน นกฟินส์ตัวเล็กจิ๋วที่แสนน่ารัก และนกสายพันธุ์ต่างประเทศอื่นๆ อีกมากมายจนคิดว่าเป็นฟาร์มเพาะนกย่อยๆ แล้วด้วยซ้ำ
“ตัวนี้เขาเรียกแก้วโม่งครับ เจ้านี่ท่าจะหลุดมาจากไหนสักแห่งแน่” ชยุตออกความเห็น
“จะเรียกชื่อว่าอะไรดีล่ะครับ ผมให้คุณตาตั้งชื่อให้ดีกว่า”
“จะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะจ้ะลุง” บอกอย่างไม่สนใจ
“ตกลงเลี้ยงเอาไว้ดูเล่นอีกสักตัวนะครับคุณตา”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม
“ก็เอาสิ” เธอเดินไปขึ้นรถกอล์ฟที่ใช้เดินทางในไร่
“ฮัลโหล...รักคุณเข้าแล้ว ฮัลโหล...รักคุณเข้าแล้ว”
จู่ๆ เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นมา
“คุณตาครับ นกมันพูดได้ด้วยครับ” ช้างบอกอย่างตื่นเต้น
“ฮัลโหล...รักคุณเข้าแล้ว ฮัลโหล...รักคุณเข้าแล้ว” มันยังคงพูดซ้ำคำเดิม
“ทะลึ่งไม่ว่า ไม่รู้ว่าตัวผู้หรือตัวเมียสินะ เจ้าของก็เหลือเกิน สอนให้พูดอะไรก็ไม่รู้” พูดกลั้วหัวหัวเราะ นึกเอ็นดูเจ้านกตัวนี้ขึ้นมาทันที
“จะต่อกรงก็เอาสิช้าง” เธอบอกก่อนขับรถออกไป
ฟาร์ม ‘เทพทัต’ แบ่งเนื้อที่เป็นสัดส่วน โดยโรงเรือนที่ว่าโดดเด่นอยู่ท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ
‘โรงเรือนอิสราเอล’ มูลค่าหลังละหลายล้านบาท เพราะจัดระบบทุกขั้นตอนด้วยคอมพิวเตอร์ ในยามที่ลมแรง หรือฝนตกก็จะสามารถปิดหลังคาได้อัตโนมัติ สิ่งนี้เองที่บิดาเพิ่งเริ่มต้น และลงทุนไปอย่างมหาศาล
ฐิตารีย์ได้แต่มองผลผลิตที่เป็นเมล่อน และแคนตาลูปที่กำลังจะเก็บเกี่ยวได้อย่างอ่อนแรง เธอเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า หากจะคิดว่า…ถ้าบิดาไม่มาล้มป่วย และไม่มีหนี้สินมากมายขนาดนี้ เธอก็คงไม่ต้องกลับมาที่นี่
วูบหนึ่งที่นึกถึงอากาศหนาวเหน็บที่เกาหลีใต้ สุดท้ายคือคิดถึงบุรุษผู้นั้น ปาร์ค ยอง ฮวาขึ้นมาอย่างจับใจ แต่ในนาทีนี้ดูเหมือนเธอจะไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่าฮึดสู้เท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายชีวิตที่ต้องพึ่งภาเธอ
ช้างและคนงานช่วยกันต่อกรงสำเร็จรูปแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว และเมื่อเจ้าแก้วโม่ง เนื้อตัวแห้งสนิท ก็ราวคนละตัวกับเมื่อช่วงเช้า เพราะขนสีเขียวจัดจ้าส่งประกายเงางามยามเมื่อต้องแสงตะวัน
และไม่น่าเชื่อว่านกเพียงตัวเดียวจะมีเสน่ห์ ขนาดที่แม้งานเธอจะยุ่งแสนยุ่งเพียงไหน แต่กลับต้องแวะเวียนมาดูอยู่บ่อยครั้งและเพียงหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ก็ได้ชื่อ ‘เขียวหวาน’ พร้อมกับประโยคใหม่ ‘กู๊ดมอร์นิ่ง’ จากการสอนของเธอเอง
แล้วกรงเจ้าเขียวหวานก็ย้ายมาอยู่ข้างบ้าน เช่นเดียวกับเจ้ากระตั้วเต้นระบำ เพื่อให้คุยกับเธอได้ทุกวัน ไม่น่าเชื่อว่านกช่างฉอเลาะเพียงตัวเดียว กับงานเช้ายันดึกจะทำให้เธอไม่มีเวลาคิดแม้เรื่องของตัวเอง
“ตา...เป็นยังไงบ้าง”
เสียงที่ดังมาตามสายทำให้เธออุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“กำลังแย่สุดๆ จับต้นชนปลายอะไรยังไม่ได้เลยสักอย่าง” บอกอย่างอ่อนแรง
แต่ที่ไม่อาจเอ่ยออกไป คือเงินที่ต้องส่งให้กับธนาคารเดือนนี้ยังไม่มี ไหนจะค่าคนงาน ค่าอาหารสัตว์เลี้ยง มองไปทางไหนก็ ‘เงิน’ ทั้งนั้น แต่จะพูดให้เพื่อนหนักใจไม่อยู่ในความคิดเธอแม้แต่น้อย
“แล้วจะไม่เรียกวัฒน์ กลับมาช่วยหรอกเหรอ” พชรเอ่ยถึง ‘ฐิติวัฒน์’ น้องชายเพื่อนซึ่งยังเรียนโฮสคูลอังกฤษ
“กลับมาจะช่วยอะไรได้ อีกสองปีก็จบแล้วด้วย อะไรๆ อาจจะดีกว่านี้ก็ได้”
“แต่ค่าใช้จ่ายที่นั่นก็สูงนี่นา สู้กลับมาช่วยกันที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ”
“จะให้ทิ้งกลางคันได้ยังไง ในเมื่อที่ผ่านมาเสียทั้งเวลาเสียทั้งเงินไปแล้ว”
ที่เพื่อนพูดมาก็มีเหตุผล แต่ที่พชรหนักใจคือเธอจะหาเงินมาจากไหนต่างหาก
“ยังไงตาก็อย่าถอดใจเสียก่อนล่ะ ว่าแต่...ยองฮวาติดต่อมาบ้างหรือเปล่า” ทั้งที่ไม่อยากให้เพื่อนสะเทือนใจแต่กลับอดไม่ได้
“คนเขาไปดีขนาดนั้น เขาจะมาสนใจอะไรกับเราล่ะจริงมั้ย เห็นๆ อยู่ว่าแม่เขา ‘ครอบ’ ไปเรียบร้อยแล้ว”
ถึงน้ำเสียงเธอจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่พชรยังอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายต้อง ‘เจ็บ’ ไม่มากก็น้อย
“ดีแล้วล่ะตา ไข่ในหินขนาดนั้น กว่าตาจะฝ่าด่านแม่กับพ่อเขาได้ มีหวัง...ตายก่อนแน่ๆ” พชรพูดอย่างที่คิดจริงๆ เพราะวันนั้น...ที่เกาหลีใต้ เขายังจำได้ดี…
ร้านหรูในโรงแรมดังเป็นที่นัดพบของยองฮวาและฐิตารีย์ โดยไม่รู้มาก่อนเลยว่ายองฮวาจะกล้าถึงขนาดนั้น เขานัดให้บิดาและมารดามาดูตัวเธอด้วย
“เธอคิดว่าลูกชายฉันจะไปอยู่กับเธอจริงๆ งั้นหรือ ก็คิดใหม่เถอะนะ เพราะเขาจะต้องอยู่ที่นี่ ที่ผ่านมาฉันตามใจเขาทุกอย่าง อยากเรียนดนตรี อยากเที่ยวทั่วโลก ฉันก็ให้เขาได้ทั้งนั้น แต่กับเรื่องนี้ฉันเห็นจะยอมไม่ได้เด็ดขาด”
และเพราะคำพูดนั้น พชรจึงไม่อาจแปลสิ่งที่มารดาของยองฮวาพูดออกมาได้
“ในเมื่อกิจการต้องมีคนสานต่อ หากเธอรักเขาจริง ก็ควรเห็นแก่อนาคตของลูกชายฉัน และควรปล่อยเขาไป เธอต้องรู้ด้วยว่าเขาจะต้องแต่งงานกับคนที่ฉันเลือก ว่าควรคู่กับเขาเท่านั้น เพื่อพาให้กิจการของเราให้รุ่งเรืองต่อไป สำหรับตัวเธอ…ในเมื่อไม่สามารถช่วยอะไรได้ก็ควรเลิกแล้วต่อกัน”
ปาร์ค ยอง ฮวา ได้แต่มองหญิงสาวคนรักตาปริบๆ นาทีนั้น…พชรอยากรู้นัก ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเช่นใดกันแน่ เพราะเขาเพียงรับประทานอาหารเงียบๆ ปราศจากคำทักทายและพูดคุยเช่นคนรักพึงกระทำ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาเพียงสองอาทิตย์ที่จากกัน จะทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้
ดูเหมือนช่างน่าเศร้าใจนักที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาไกลถึงนั่น แต่กลับต้องเจอกับเรื่องพลิกผันชนิดคาดไม่ถึงเช่นนั้นได้
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันน่ะหญิงเหล็กนะจ๊ะ” เธอหัวเราะไปตามสายทั้งที่ใจห่อเหี่ยวอย่างที่สุด ถึงเพื่อนไม่พูดเช่นนั้น แต่เธอแม้วันนั้นไม่รู้ว่ามารดาเขาพูดอะไรบ้าง แต่กับสีหน้าของทุกคน ก็พอจะรู้ว่าทั้งคู้ไม่ปลื้มเธอแม้แต่น้อย
“อีกอย่างนะ เราเองก็ไม่ได้ตั้งใจจริงจังกับเขาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา ดีเสียอีกเราจะได้ไม่ต้องเป็นฝ่ายบอกเลิกไง” พูดกลั้วหัวเราะ
“พูดดีไปเถอะ ขอให้ปากตรงกับใจก็แล้วกัน”
“ของมันแน่อยู่แล้ว” เธอยังวางฟอร์ม
“ตอนนี้เราเองก็คล้ายๆ จะตกงานยังไงไม่รู้ นักท่องเที่ยวก็หายไปหมด แถมที่มาเป็นคอนเซ้าท์ให้กับบริษัทก็พลอยหายหน้ากันไปด้วย”
พชรหมายถึงพวกชาวต่างชาติซึ่งมาเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรธุรกิจในด้านต่างๆ โดยเขามักได้งานล่ามเป็นประจำ
“ท่านนายพลล่ะ เป็นยังไงบ้าง” เขาวกมาที่บิดาของเพื่อนรัก
“ยังไม่ดีเลย แต่ก็พอจะพูดได้แล้ว กำลังใจดี อะไรๆ ก็พลอยดีไปด้วย” กล่าวเสียงอ่อยๆ
“นี่ยังโชคดีนะ ที่ไม่เป็นอะไรมาก เพราะถ้าเป็นอะไรไป โดยที่เราเที่ยวสนุกอยู่ทางโน้น ตาคง...ไม่ให้อภัยตัวเองแน่ๆ” เธอยังรู้สึกผิดไม่หาย
“เอาน่า อย่าคิดมากเลย ก็ใครจะทำนายอนาคตได้ล่ะ จริงมั้ย เอาเป็นว่าจะไปให้เร็วที่สุดแล้วกัน เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้างไง”
“ขอบคุณมากๆ เลยจ้ะ จะรอนะจ๊ะ”
พชรวางสายไปนานแล้วแต่เธอยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยต่อหนทางข้างหน้าอย่างบอกไม่ถูก หนี้ธนาคารก้อนโตนั่น จะสามารถฟันฝ่ามันไปได้อย่างไรกัน
“คุณหนูคะ…กำนัน ‘พิรัชย์’ กับลูกชายมาขอพบค่ะ”
เสียง ‘เพิ่มสิน’ แม่บ้านใหญ่บอกสีหน้ากังวล
ที่ระเบียงหน้าบ้านเจ้าแมวขาวแต้มน้ำตาลหางปุก ตัวสั้นอ้วนกลมนาม ‘โพล่า’ ยังนอนดูกระรอกหนวดกระดิก คงกำลังนึกในใจว่าได้มาเคี้ยวเล่นแก้กลุ้มสักตัวก็คงดีไม่น้อย
กำนันพิรัชย์ พิสุทธิศักดิ์ เจ้าของกิจการนับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นคือกิจการรถโดยสารเจ้าแรกของจังหวัด ซึ่งเป็นกิจการที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งยังคงสร้างรายได้ให้อย่างมหาศาล ถึงผมจะแซมด้วยเส้นสีขาวประปราย และแม้จะอยู่ภายใต้เสื้อลายดอกสีจัดจ้าน ทว่ากลับไม่อาจปิดบังดวงตาคู่ที่ส่องประกายความเป็น ‘เจ้าพ่อ’ ได้แม้แต่น้อย
ที่นั่งเคียงข้างคือหนุ่มรูปงามซึ่งอยู่ในชุดทหารอากาศเต็มยศ และที่ขาดไม่ได้คือเหล่าผู้ติดตามหน้าเหี้ยมต่างนั่งหน้าสลอนยังม้าสนาม
“ได้ข่าวว่าคุณหนูเพิ่งกลับมาจากนอก อาก็เลยถือโอกาสมาเยี่ยมครับ” พิรัชย์บอกอย่างอารมณ์ดี
“ไม่รู้จะเอาอะไรมาเยี่ยม ‘พาคร’ ก็เลย…เลือกช่อดอกไม้กับกระเช้าขนมนี่มาครับ”
ผู้ถูกเอ่ยชื่อยิ้มรับอย่างฝืนๆ
“ขอบคุณมากค่ะ แต่ที่จริง ไม่น่าต้องลำบากเลยนี่คะ” เธอรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
“ไม่เป็นการลำบากอะไรเลยครับ เราบ้านใกล้เรือนเคียงกันแท้ๆ” พิรัชย์ยังกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“จริงสิครับ อาขอแนะนำให้ได้รู้จัก พี่พาครลูกชายคนเล็กของอาเองครับ”
ฐิตารีย์ไหว้ไปตามมารยาท อดคิดไม่ได้ว่ากำนันพิรัชย์ต้องการอะไรกันแน่ถึงได้มาในวันนี้
“พาครเขาเป็นนักบินเอฟสิบหกครับ ฝึกหนักน่าดู นานๆ ถึงจะได้กลับมาบ้านสักที”
บุตรชายแสดงทีท่าอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด
“นี่ก็…กำลังจะติดนาวาอากาศโทเร็วๆ นี้” พูดกลั้วหัวเราะ ปราบปลื้มบุตรชายจนออกนอกหน้า ไม่สนใจทีท่าของบุตรชายแม้แต่น้อย
“เอ่อ...คุณยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ ถ้ายังไง เรารบกวนเท่านี้ดีมั้ยครับพ่อ” พาครตัดบท
“คุณหนูจะยุ่งได้ยังไง จริงมั้ยครับ แค่สั่งคนงานในฟาร์มให้ไปจัดการ เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว” พิรัชย์ยังพูดไม่ยอมหยุด
“อาแวะไปเยี่ยมผู้การ ที่โรงพยาบาลมาหลายครั้งแต่ไม่ได้เจอคุณหนู” ยังชวนคุยต่อ
“เราคงไปคนละเวลากันมั้งคะ” ตอบหน้าปุเลี่ยนๆ ตกลงตากำนันนี่ต้องการอะไรกันแน่
เสียงเจ้าพรายแมวลายเสือคู่อริกับโพล่าทำลายบรรยากาศกะทันหัน เมื่อมันร้องขู่กันสนั่น ก่อนที่จะฟัดกันนัวเนีย จู่ๆ โพล่าก็วิ่งหนีเพื่อเข้าบ้าน แต่กลับผ่ามากลางวงสนทนา ทำเอากำนันร้องเสียงหลง
ฐิตารีย์ถึงกับเผลอหลุดหัวเราะ
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตัวผู้ทั้งคู่น่ะค่ะ ก็เลยไม่ถูกกัน” บอกทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม
เป็นครั้งแรกที่พาครรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในใจ ทั้งแต่แรกที่บิดาบังคับให้มาเขาไม่พอใจอย่างมาก แต่เมื่อได้พบกันกลับถูกชะตาเธอผู้นี้อย่างไม่น่าเป็นไปได้
“ไม่เป็นไรครับคุณหนู อาก็…จะกลับพอดี คุณหนูมีอะไร จะให้อาช่วยก็บอกได้ทุกอย่างเลยนะครับ”
ฐิตารีย์ได้แต่ยิ้มรับ ระหว่างไหว้ทั้งสองเป็นการอำลา
“เป็นยังไงล่ะ หนูคนนี้ ถูกใจหรือเปล่า” กำนันถามบุตรชายทันทีเมื่อรถเคลื่อนออกจากฟาร์ม
“ก็ดีครับ”
“บอกแล้ว ว่าทั้งสวย ทั้งความรู้ดี ว่าแต่แกต้องรีบทำคะแนนกับแม่หนูคนนี้นะ ปะเหมาะเคราะห์ร้าย ผู้การเป็นอะไรขึ้นมา สมบัติก็ต้องตกเป็นของแม่หนูนี่อยู่แล้ว”
“ก็...พ่อว่าเธอมีน้องชายอีกคนไม่ใช่หรือครับ”
“นั่นไม่ใช่ปัญหา” กำนันพิรัชย์เอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ
‘อำมฤต’ คฤหาสน์ไม้ซุงสไตร์คันทรีหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนิน เบื้องหลังคือขุนเขา ด้านหน้าคือสระน้ำกว้างใหญ่ที่น้ำพุพวยพุ่งสูงตระหง่าน บ่งบอกถึงลักษณะตามฮวงจุ้ยซึ่งเป็นมงคล ‘หลังพิงเขาหน้าอิงน้ำ’
ฐิตารีย์รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยที่นี่เธอก็สามารถลืมเรื่องหนักอกที่เกิดขึ้นกับชีวิตไปได้บ้าง
เทพทัต บวรวิชญ์ เซียนพระชื่อดัง แม้ผมสีดอกเลาแต่ร่างกายยังคงความแข็งแกร่ง ชุดฝ้ายทอมือสีธรรมชาติพร้อมผ้าพาดบ่าขาวสะอ้าน ประกอบกับดวงตาทั้งคู่ที่ยังคงเปล่งประกายน่าเกรงขาม ทำให้แตกต่างกับชายวัยเดียวกันอย่างสิ้นเชิง
“วันนี้หลานมาเร็วนะ” เทพทัตทักอย่างอารมณ์ดี
“ค่ะ มันเหนื่อยๆ น่ะค่ะ ก็เลย…มาหาคุณปู่เลยดีกว่า” บอกพร้อมรอยยิ้ม
“พ่อเราเป็นยังไงบ้าง” ถามระหว่างเดินทอดน่องไปตามทางอย่างสบายอารมณ์ โดยมีเจ้าคุกกี้ สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ติดตามอยู่ไม่ห่าง
“ก็…คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะนั่นแหละค่ะ คุณปู่ก็ทราบ ว่าของแบบนี้จะให้หายทันทีมันไม่ง่ายขนาดนั้น”
ผู้สูงอายุได้แต่พยักหน้ารับ
“กำนันพิรัชย์เขามาไม่ใช่หรือ”
“คุณปู่ทราบได้ยังไงกันคะ” ถามอย่างนึกไม่ถึง วูบหนึ่งที่เธอนึกถึงเรื่องที่ลุงจ่าชอบเล่าให้เธอฟังอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเรื่องกล้วยตานี กุมารทอง หรือกระทั่งรักยม หรือว่า…มันจะเป็นเรื่องจริงกันแน่
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของผู้สูงอายุ
“ทำไม…เห็นปู่อยู่นี่ แล้วจะไม่รู้เรื่องของที่นี่เลยอย่างนั้นหรือ ว่าแต่เขามากันทำไม”
“หนูนึกว่าคุณปู่จะทราบซะอีกค่ะ” อดไม่ได้ที่จะส่งสายตาล้อเลียน
“รู้แล้วจะถามทำไม” มองหลานรักอย่างเอ็นดู
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ รู้แต่ว่าเขาเอาลูกชายที่เป็นทหารอากาศมาด้วย” บอกเรื่อยๆ
“อ้อ…ก็แสดงว่าหนูคงต้องคอยต้อนรับลูกชายคนนี้ของกำนันบ่อยๆ แน่” สัพยอกอย่างอารมณ์ดี
“อุ๊ย! คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เห็นว่าเขาไม่ค่อยได้กลับบ้าน เพราะต้องไปฝึกบิน”
“มันก็ไม่แน่หรอก” ทอดเสียงยาว
“มาเห็นหนูเข้า ขี้คร้านจะกลับทุกอาทิตย์ไม่ว่า” บอกพร้อมรอยยิ้ม
“คุณปู่พูดอะไรกันคะ หนูไม่ได้คิดอะไรซะหน่อย” บ่นกะปอดกะแปด
“จำคำนี้ไว้ด้วยล่ะ ปู่บอกตามตรง กับครอบครัวนี้ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าได้ใกล้ชิดด้วย”
“ทำไมล่ะคะ”
“เอาเป็นว่า…ปู่ไม่พูดดีกว่า ให้หนูได้ดูเอาเอง แต่ปู่ก็เชื่อว่าหนูจะแยกแยะ และดูคนออกแล้ว”
ความเงียบเข้ามาแทรกชั่วอึดใจ
“จริงสิ ตกลงหนูต้องจ่ายเงินงวดแรกกับธนาคารเมื่อไหร่”
คำถามนั้นทำให้ฐิตารีย์หันมามองอย่างนึกไม่ถึง
“คุณปู่ทราบได้ยังไงกันคะ” ถามราวกระซิบ
“มีอะไร ทำไมไม่บอกปู่ นึกว่าคนแก่ไม่มีประโยชน์ ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้งั้นสิ” น้ำเสียงเหมือนน้อยใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ตาเพียง…ไม่อยากให้คุณปู่ต้องร้อนใจไปด้วยเท่านั้น”
“เรามัน ‘คนครอบครัวเดียวกัน’ หนูจะให้ปู่นั่งอยู่เฉยๆ โดยเห็นหลานสาวตัวเล็กๆ ต้องรับภาระทั้งหมดไว้คนเดียวเห็นทีจะไม่ได้”
ที่เทพทัตไม่ได้พูดออกมาก็คือ เขาตั้งใจแล้วเช่นกันว่าจะต้องช่วยหลานสาวให้ถึงที่สุด
“คุณปู่ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตาก็จะไม่มีวันให้ฟาร์มของเราต้องโดนธนาคารยึดเด็ดขาดค่ะ” ที่เธอคิดอยู่ในใจก็คือ ไม่ว่าจะแลกด้วยสิ่งใด เธอก็ยอมทั้งนั้น
“พ่อเราไม่น่าทำอะไร เกินตัวเลยจริงๆ คนเรามันมีเจ็บไข้ แต่จะมาพูดตอนนี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว” เทพทัตอดไม่ได้ที่จะพูดถึงบุตรชาย
“ถึงฟาร์มเราจะไม่ใช่ไร่นาสวนผสมเต็มรูปแบบ เพราะเราไม่มีนา แต่พืชผักที่ปู่ทำไว้ก่อนที่พ่อเราจะมาสานต่อ ก็ทำให้เรามีกินมีใช้ไม่ขาดแคลน” พูดเรื่อยๆ ทั้งที่สายตายังจับจ้องยังขุนเขาอันไกลลิบ
“นี่คือผลของความไม่พอเพียง ทำให้หลานต้องมารับภาระจำยอมอย่างนี้”
เป็นอีกครั้งที่ฐิตารีย์ถึงกับพูดไม่ออก รู้สึกละอายใจตัวเองอย่างบอกไม่ถูก ที่ผ่านมาเธอเอาแต่เที่ยวเล่น ใช้เงินเป็นเบี้ย โดยไม่นึกถึงบิดาว่าจะหามาด้วยความยากลำบากเพียงใด
“หลานจำไว้ คนเราต้องปรับตัวให้ได้ ถึงจะ ‘เคยอยู่อย่างมังกร นอนอย่างราชสีห์’ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ต้องตกต่ำ ก็ต้องผ่านพ้นช่วงนั้นไปให้ได้ด้วยเช่นกัน” บอกอย่างคนอาบน้ำร้อนมาก่อน
“แม้ว่า…ท้ายสุดแล้ว จะเหลือแต่ตัวก็ตาม”
น่าแปลกที่เพียงประโยคนี้ กลับทำให้เธอหนาวขึ้นมาจับใจ ถึงเดี๋ยวนี้เหตุการณ์ยังไม่เข้าขั้นวิกฤติ แต่ต้องยอมรับว่าไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น
“สำหรับตา ไม่กลัวความลำบากหรอกค่ะ เป็นห่วงก็แต่ ‘วัฒน์’ เท่านั้น” เธอเอ่ยถึง ‘ฐิติวัฒน์’ น้องชาย
“ยังไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น ถึงเวลาเข้าจริงๆ ทุกอย่างก็ย่อมมีทางแก้ไข” ผู้สูงอายุยังคงให้กำลังใจ
“เงินของเจ้าวัฒน์ ปู่โอนเข้าบัญชีให้เรียบร้อยแล้ว ตาไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”
เป็นอีกครั้งที่เธอมองผู้พูดอย่างนึกไม่ถึง
“คุณปู่…เอาเงินมาจากไหนกันคะ” ถามน้ำเสียงเป็นห่วง
“เอาน่า…นาทีนี้ ยังไงก็ต้องมีจริงมั้ย เอาเป็นว่าหนูไม่ต้องห่วงก็แล้วกัน”
“แต่…”
“อย่าคิดมากเลย เงินเก็บของปู่น่ะ” บอกเพื่อให้หลานรักคลายกังวล
ทั้งสองนั่งมองพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาด้วยกันก็จริง แต่กลับคิดกันไปคนละทาง…
ถึงเธอจะอ่อนล้ากับเรื่องราวที่เกิดขึ้นสักเพียงใด แต่ต้องยอมรับว่ากำลังใจที่ได้จาก ‘คนในครอบครัว’ ทำให้ฮึดสู้มาได้
“คุณพ่อ ยัยตาทานข้าวกันเถอะค่ะ สำรับตั้งนานแล้ว เดี๋ยวจะชืดเสียหมด”
เสียงของหญิงร่างท้วมที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าทำให้ทั้งสองตื่นจากภวังค์
“วันนี้มีของโปรดของตาด้วยนะจ๊ะ ทำงานหนักก็ต้องทานเยอะๆ เจ็บไข้ไปอีกคนจะลำบาก”
เจียระไนสบตาบิดาเหมือนมีบางอย่างอยู่ในใจ
หลังอาหารค่ำมื้อนั้น…
“เรามีอะไร” เทพทัตตั้งคำถามกับบุตรสาวเมื่อหลานรักกลับไปแล้ว
“เมื่อเช้าหนูเจอกับกำนันพิรัชย์ที่โรงพยาบาลค่ะ”
สายตาอันคมกริบของเทพทัตจับจ้องยังบุตรสาวทันที
“สิ่งที่หนูจะพูดต่อ คุณพ่ออาจไม่พอใจ”
“ฮึ…แค่ได้ยินชื่อก็แย่พอแล้ว ยังมีอะไรแย่กว่านี้อย่างนั้นหรือ” เทพทัตกล่าวน้ำเสียงเครียด
“ที่เขาพูดก็คือ เขาอยากจะหมั้นหมาย ยัยตาให้กับลูกชายที่เป็นนายทหารอากาศน่ะค่ะ”
ผู้สูงอายุตบโต๊ะฉาดใหญ่ “บ๊ะ ไอ้หมอนี่ มันกล้าดียังไง”
เธอคิดอยู่แล้วว่าหากพูดเรื่องนี้ บิดาต้องเป็นฟืนเป็นไฟแน่
“จริงๆ แล้วเขาอยากจะมาเรียนเรื่องนี้ให้คุณพ่อทราบโดยตรง”
“ก็ลองมาสิ จะได้เห็นดีกันแน่”
“ใจเย็นๆ เถอะค่ะคุณพ่อ” เจียระไนได้แต่ลอบถอนใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่บิดาก็ยังคงยึดมั่นกับความคิดเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“เรื่องนี้ไม่ต้องให้ถึงหูหลานเลยนะ บอกไว้เสียก่อน”
ถึงเวลาจะล่วงเข้าเที่ยงคืนกว่า แต่เทพทัตยังคงนั่งบริกรรมคาถายังหน้าหิ้งพระใหญ่ ทว่ากลิ่นกำยานและควันเทียน กลับไม่อาจกำหนดจิตให้สงบลงได้ กำนันนั่นกล้าดียังไงถึงมาพูดเรื่องเช่นนี้
เช่นเดียวกับเจียระไนที่เธอยังคงไม่อาจข่มตาให้หลับ หากบิดารู้เรื่องอื่นที่เธอยังปิดบังไว้ อะไรจะเกิดขึ้น หนทางเดียวที่ทำได้จึงยังคงต้องเก็บงำมันต่อไปให้เงียบที่สุด
สว้สดีค่ะ
สบายดีกันมั้ยคะ ตอนนี้ผู้เขียนกำลังเก็บของเพื่อหนีน้ำค่ะ หวังว่าเพื่อนๆ คงจะรอดปลอดภัยกับภัยธรรมชาติในครั้งนี้นะคะ อิอิ บ่นไปก็เครียดเปล่าๆ ค่ะ ยามนี้ต้องคิดบวกกันไว้นะคะ
สำหรับเรื่องนี้ ลงไปเขียนไป อาจช้าไปบ้าง เพื่อนๆ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ ยังไงก็จะลงจนจบแน่นอนค่ะ
ขอบคุณเพื่อนๆนะคะ ที่กรุณาฝากเมนท์ไว้ให้กำลังใจ ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ
รักผู้อ่านทุกท่านนะคะ จุ๊บ จุ๊บ
ยุพากร
ประเทศไทย...
ภายใต้อุณหภูมิ 41 องศาเซลเซียส
การต้องกลับมาอย่างเร่งด่วน กระทั่งสถานที่ถ่ายทำซีรีย์เกาหลีเรื่องโปรดก็ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสเพราะจู่ๆ เรื่องซึ่งฐิตารีย์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนได้เกิดขึ้นกะทันหัน กับข่าวการประสบอุบัติเหตุลื่นล้มในห้องน้ำของบิดา ทั้งยังไม่มีทีท่าจะฟื้นคืนสติ ทำให้เธอเหมือนตกจากสวรรค์ไม่มีผิด
ซ้ำภาระหนักอึ้งที่ตามมามากมายก็เป็นเหตุให้ไม่อาจหลีกเลี่ยงคำว่า ‘หน้าที่’ ได้อีกต่อไป
ภาพของบิดาที่นอนให้น้ำเกลือโดยไม่มีอาการรับรู้ใดๆ ไหนจะน้องชายซึ่งกำลังเรียนไฮสคูลที่อังกฤษทำให้บุตรสาวที่ไม่เคยสนใจกับกิจการของครอบครัวมาตั้งแต่ต้นอย่างเธอ ต้องตัดสินใจแล้วว่าจะนำพาธุรกิจนี้ไปยังทิศทางใด
“ตกลงคุณจะทำยังไงต่อกับฟาร์มนี้ครับ”
คำถามของเจ้าหน้าที่ธนาคารซึ่งบิดาไปกู้เงินมาลงทุนทำให้เธอถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง
“ดิฉันจะสานต่อกิจการนี้ค่ะ” เธอตัดสินใจแล้วเมื่อพูดประโยคนั้นออกมา
“ผมต้องแสดงความยินดีกับคุณด้วย ที่...ตัดสินใจอย่างนั้น เพราะท่านหวังกับฟาร์มนี้ไว้อย่างมาก ขอเพียงคุณมั่นใจว่าจะทำต่อ ทางเราก็ยินดีสนับสนุนด้านการเงินเต็มที่ครับ”
ถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่ธนาคารจะสวยหรูเพียงใด ทว่าใจของฐิตารีย์ยามนี้กลับห่อเหี่ยวอย่างที่สุด
“องุ่นของเราเสียเยอะมั้ยจ๊ะลุงจ่า”
‘จ่าสิบเอก ชยุต’ คือผู้ดูแลฟาร์ม อดีตทหารนอกราชการที่ยังคงความแข็งแกร่ง ที่สำคัญเป็นลูกน้องคนสนิทซึ่งบิดาเธอไว้วางใจที่สุด
“พอสมควรครับ ผมให้คนงานเก็บรวบรวมไว้แล้ว เห็นคุณ ‘เอื้อง’ เธอว่าจะทำแยมกับน้ำผลไม้น่ะครับ” จ่าชยุตเอ่ยถึง ‘เจียระไน’ อาสาวของคุณหนู
“เจอฝนหลงฤดูอย่างนี้ตั้งตัวไม่ทันเลยจริงๆ ว่าแต่ป่านนี้แล้วคุณหนูยังไม่ไปเยี่ยม ‘ผู้การ’ อีกหรือครับ”
เป็นที่รู้กันว่าชยุตจะเรียก ‘พลโท ธนวัต’ บิดาของเธอเช่นนี้เป็นประจำ
“อาเอื้องไปตั้งแต่เช้าแล้วนี่จ๊ะ เดี๋ยวตาจะแวะไปดูบ้านพักคนงานก่อน แล้วถึงจะไปเยี่ยมท่านจ้ะ”
เพราะพายุฤดูร้อนที่โหมกระหน่ำเมื่อคืน ไม่ใช่เฉพาะพืชไร่เสียหาย แต่บ้านพักคนงานก็หลังคาเปิดไปหลายหลัง โชคดีส่วนที่เป็น ‘สวนนก’ ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น
“คุณตา...ดูสิครับผมได้อะไรมา” เด็กหนุ่ม ‘ช้าง’ มือขวาของจ่าชยุต ชูกรงที่หิ้วมาด้วย ด้านในปรากฎนกสีกระดำกระด่างตัวเปียกโชก
“มันคงยืนตากฝนมาทั้งคืนแหละครับ ถึงได้มอมแมมขนาดนี้” จ่าชยุตรายงาน
“ไม่เห็นสวยเลย สู้ที่มีอยู่ยังไม่ได้” เธอพูดจากใจจริง
เพราะบิดามีเลิฟเบิร์ด นกสีจัดจ้าน นกฟินส์ตัวเล็กจิ๋วที่แสนน่ารัก และนกสายพันธุ์ต่างประเทศอื่นๆ อีกมากมายจนคิดว่าเป็นฟาร์มเพาะนกย่อยๆ แล้วด้วยซ้ำ
“ตัวนี้เขาเรียกแก้วโม่งครับ เจ้านี่ท่าจะหลุดมาจากไหนสักแห่งแน่” ชยุตออกความเห็น
“จะเรียกชื่อว่าอะไรดีล่ะครับ ผมให้คุณตาตั้งชื่อให้ดีกว่า”
“จะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะจ้ะลุง” บอกอย่างไม่สนใจ
“ตกลงเลี้ยงเอาไว้ดูเล่นอีกสักตัวนะครับคุณตา”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม
“ก็เอาสิ” เธอเดินไปขึ้นรถกอล์ฟที่ใช้เดินทางในไร่
“ฮัลโหล...รักคุณเข้าแล้ว ฮัลโหล...รักคุณเข้าแล้ว”
จู่ๆ เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นมา
“คุณตาครับ นกมันพูดได้ด้วยครับ” ช้างบอกอย่างตื่นเต้น
“ฮัลโหล...รักคุณเข้าแล้ว ฮัลโหล...รักคุณเข้าแล้ว” มันยังคงพูดซ้ำคำเดิม
“ทะลึ่งไม่ว่า ไม่รู้ว่าตัวผู้หรือตัวเมียสินะ เจ้าของก็เหลือเกิน สอนให้พูดอะไรก็ไม่รู้” พูดกลั้วหัวหัวเราะ นึกเอ็นดูเจ้านกตัวนี้ขึ้นมาทันที
“จะต่อกรงก็เอาสิช้าง” เธอบอกก่อนขับรถออกไป
ฟาร์ม ‘เทพทัต’ แบ่งเนื้อที่เป็นสัดส่วน โดยโรงเรือนที่ว่าโดดเด่นอยู่ท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ
‘โรงเรือนอิสราเอล’ มูลค่าหลังละหลายล้านบาท เพราะจัดระบบทุกขั้นตอนด้วยคอมพิวเตอร์ ในยามที่ลมแรง หรือฝนตกก็จะสามารถปิดหลังคาได้อัตโนมัติ สิ่งนี้เองที่บิดาเพิ่งเริ่มต้น และลงทุนไปอย่างมหาศาล
ฐิตารีย์ได้แต่มองผลผลิตที่เป็นเมล่อน และแคนตาลูปที่กำลังจะเก็บเกี่ยวได้อย่างอ่อนแรง เธอเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า หากจะคิดว่า…ถ้าบิดาไม่มาล้มป่วย และไม่มีหนี้สินมากมายขนาดนี้ เธอก็คงไม่ต้องกลับมาที่นี่
วูบหนึ่งที่นึกถึงอากาศหนาวเหน็บที่เกาหลีใต้ สุดท้ายคือคิดถึงบุรุษผู้นั้น ปาร์ค ยอง ฮวาขึ้นมาอย่างจับใจ แต่ในนาทีนี้ดูเหมือนเธอจะไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่าฮึดสู้เท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายชีวิตที่ต้องพึ่งภาเธอ
ช้างและคนงานช่วยกันต่อกรงสำเร็จรูปแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว และเมื่อเจ้าแก้วโม่ง เนื้อตัวแห้งสนิท ก็ราวคนละตัวกับเมื่อช่วงเช้า เพราะขนสีเขียวจัดจ้าส่งประกายเงางามยามเมื่อต้องแสงตะวัน
และไม่น่าเชื่อว่านกเพียงตัวเดียวจะมีเสน่ห์ ขนาดที่แม้งานเธอจะยุ่งแสนยุ่งเพียงไหน แต่กลับต้องแวะเวียนมาดูอยู่บ่อยครั้งและเพียงหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ก็ได้ชื่อ ‘เขียวหวาน’ พร้อมกับประโยคใหม่ ‘กู๊ดมอร์นิ่ง’ จากการสอนของเธอเอง
แล้วกรงเจ้าเขียวหวานก็ย้ายมาอยู่ข้างบ้าน เช่นเดียวกับเจ้ากระตั้วเต้นระบำ เพื่อให้คุยกับเธอได้ทุกวัน ไม่น่าเชื่อว่านกช่างฉอเลาะเพียงตัวเดียว กับงานเช้ายันดึกจะทำให้เธอไม่มีเวลาคิดแม้เรื่องของตัวเอง
“ตา...เป็นยังไงบ้าง”
เสียงที่ดังมาตามสายทำให้เธออุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“กำลังแย่สุดๆ จับต้นชนปลายอะไรยังไม่ได้เลยสักอย่าง” บอกอย่างอ่อนแรง
แต่ที่ไม่อาจเอ่ยออกไป คือเงินที่ต้องส่งให้กับธนาคารเดือนนี้ยังไม่มี ไหนจะค่าคนงาน ค่าอาหารสัตว์เลี้ยง มองไปทางไหนก็ ‘เงิน’ ทั้งนั้น แต่จะพูดให้เพื่อนหนักใจไม่อยู่ในความคิดเธอแม้แต่น้อย
“แล้วจะไม่เรียกวัฒน์ กลับมาช่วยหรอกเหรอ” พชรเอ่ยถึง ‘ฐิติวัฒน์’ น้องชายเพื่อนซึ่งยังเรียนโฮสคูลอังกฤษ
“กลับมาจะช่วยอะไรได้ อีกสองปีก็จบแล้วด้วย อะไรๆ อาจจะดีกว่านี้ก็ได้”
“แต่ค่าใช้จ่ายที่นั่นก็สูงนี่นา สู้กลับมาช่วยกันที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ”
“จะให้ทิ้งกลางคันได้ยังไง ในเมื่อที่ผ่านมาเสียทั้งเวลาเสียทั้งเงินไปแล้ว”
ที่เพื่อนพูดมาก็มีเหตุผล แต่ที่พชรหนักใจคือเธอจะหาเงินมาจากไหนต่างหาก
“ยังไงตาก็อย่าถอดใจเสียก่อนล่ะ ว่าแต่...ยองฮวาติดต่อมาบ้างหรือเปล่า” ทั้งที่ไม่อยากให้เพื่อนสะเทือนใจแต่กลับอดไม่ได้
“คนเขาไปดีขนาดนั้น เขาจะมาสนใจอะไรกับเราล่ะจริงมั้ย เห็นๆ อยู่ว่าแม่เขา ‘ครอบ’ ไปเรียบร้อยแล้ว”
ถึงน้ำเสียงเธอจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่พชรยังอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายต้อง ‘เจ็บ’ ไม่มากก็น้อย
“ดีแล้วล่ะตา ไข่ในหินขนาดนั้น กว่าตาจะฝ่าด่านแม่กับพ่อเขาได้ มีหวัง...ตายก่อนแน่ๆ” พชรพูดอย่างที่คิดจริงๆ เพราะวันนั้น...ที่เกาหลีใต้ เขายังจำได้ดี…
ร้านหรูในโรงแรมดังเป็นที่นัดพบของยองฮวาและฐิตารีย์ โดยไม่รู้มาก่อนเลยว่ายองฮวาจะกล้าถึงขนาดนั้น เขานัดให้บิดาและมารดามาดูตัวเธอด้วย
“เธอคิดว่าลูกชายฉันจะไปอยู่กับเธอจริงๆ งั้นหรือ ก็คิดใหม่เถอะนะ เพราะเขาจะต้องอยู่ที่นี่ ที่ผ่านมาฉันตามใจเขาทุกอย่าง อยากเรียนดนตรี อยากเที่ยวทั่วโลก ฉันก็ให้เขาได้ทั้งนั้น แต่กับเรื่องนี้ฉันเห็นจะยอมไม่ได้เด็ดขาด”
และเพราะคำพูดนั้น พชรจึงไม่อาจแปลสิ่งที่มารดาของยองฮวาพูดออกมาได้
“ในเมื่อกิจการต้องมีคนสานต่อ หากเธอรักเขาจริง ก็ควรเห็นแก่อนาคตของลูกชายฉัน และควรปล่อยเขาไป เธอต้องรู้ด้วยว่าเขาจะต้องแต่งงานกับคนที่ฉันเลือก ว่าควรคู่กับเขาเท่านั้น เพื่อพาให้กิจการของเราให้รุ่งเรืองต่อไป สำหรับตัวเธอ…ในเมื่อไม่สามารถช่วยอะไรได้ก็ควรเลิกแล้วต่อกัน”
ปาร์ค ยอง ฮวา ได้แต่มองหญิงสาวคนรักตาปริบๆ นาทีนั้น…พชรอยากรู้นัก ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเช่นใดกันแน่ เพราะเขาเพียงรับประทานอาหารเงียบๆ ปราศจากคำทักทายและพูดคุยเช่นคนรักพึงกระทำ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาเพียงสองอาทิตย์ที่จากกัน จะทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้
ดูเหมือนช่างน่าเศร้าใจนักที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาไกลถึงนั่น แต่กลับต้องเจอกับเรื่องพลิกผันชนิดคาดไม่ถึงเช่นนั้นได้
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันน่ะหญิงเหล็กนะจ๊ะ” เธอหัวเราะไปตามสายทั้งที่ใจห่อเหี่ยวอย่างที่สุด ถึงเพื่อนไม่พูดเช่นนั้น แต่เธอแม้วันนั้นไม่รู้ว่ามารดาเขาพูดอะไรบ้าง แต่กับสีหน้าของทุกคน ก็พอจะรู้ว่าทั้งคู้ไม่ปลื้มเธอแม้แต่น้อย
“อีกอย่างนะ เราเองก็ไม่ได้ตั้งใจจริงจังกับเขาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา ดีเสียอีกเราจะได้ไม่ต้องเป็นฝ่ายบอกเลิกไง” พูดกลั้วหัวเราะ
“พูดดีไปเถอะ ขอให้ปากตรงกับใจก็แล้วกัน”
“ของมันแน่อยู่แล้ว” เธอยังวางฟอร์ม
“ตอนนี้เราเองก็คล้ายๆ จะตกงานยังไงไม่รู้ นักท่องเที่ยวก็หายไปหมด แถมที่มาเป็นคอนเซ้าท์ให้กับบริษัทก็พลอยหายหน้ากันไปด้วย”
พชรหมายถึงพวกชาวต่างชาติซึ่งมาเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรธุรกิจในด้านต่างๆ โดยเขามักได้งานล่ามเป็นประจำ
“ท่านนายพลล่ะ เป็นยังไงบ้าง” เขาวกมาที่บิดาของเพื่อนรัก
“ยังไม่ดีเลย แต่ก็พอจะพูดได้แล้ว กำลังใจดี อะไรๆ ก็พลอยดีไปด้วย” กล่าวเสียงอ่อยๆ
“นี่ยังโชคดีนะ ที่ไม่เป็นอะไรมาก เพราะถ้าเป็นอะไรไป โดยที่เราเที่ยวสนุกอยู่ทางโน้น ตาคง...ไม่ให้อภัยตัวเองแน่ๆ” เธอยังรู้สึกผิดไม่หาย
“เอาน่า อย่าคิดมากเลย ก็ใครจะทำนายอนาคตได้ล่ะ จริงมั้ย เอาเป็นว่าจะไปให้เร็วที่สุดแล้วกัน เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้างไง”
“ขอบคุณมากๆ เลยจ้ะ จะรอนะจ๊ะ”
พชรวางสายไปนานแล้วแต่เธอยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยต่อหนทางข้างหน้าอย่างบอกไม่ถูก หนี้ธนาคารก้อนโตนั่น จะสามารถฟันฝ่ามันไปได้อย่างไรกัน
“คุณหนูคะ…กำนัน ‘พิรัชย์’ กับลูกชายมาขอพบค่ะ”
เสียง ‘เพิ่มสิน’ แม่บ้านใหญ่บอกสีหน้ากังวล
ที่ระเบียงหน้าบ้านเจ้าแมวขาวแต้มน้ำตาลหางปุก ตัวสั้นอ้วนกลมนาม ‘โพล่า’ ยังนอนดูกระรอกหนวดกระดิก คงกำลังนึกในใจว่าได้มาเคี้ยวเล่นแก้กลุ้มสักตัวก็คงดีไม่น้อย
กำนันพิรัชย์ พิสุทธิศักดิ์ เจ้าของกิจการนับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นคือกิจการรถโดยสารเจ้าแรกของจังหวัด ซึ่งเป็นกิจการที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งยังคงสร้างรายได้ให้อย่างมหาศาล ถึงผมจะแซมด้วยเส้นสีขาวประปราย และแม้จะอยู่ภายใต้เสื้อลายดอกสีจัดจ้าน ทว่ากลับไม่อาจปิดบังดวงตาคู่ที่ส่องประกายความเป็น ‘เจ้าพ่อ’ ได้แม้แต่น้อย
ที่นั่งเคียงข้างคือหนุ่มรูปงามซึ่งอยู่ในชุดทหารอากาศเต็มยศ และที่ขาดไม่ได้คือเหล่าผู้ติดตามหน้าเหี้ยมต่างนั่งหน้าสลอนยังม้าสนาม
“ได้ข่าวว่าคุณหนูเพิ่งกลับมาจากนอก อาก็เลยถือโอกาสมาเยี่ยมครับ” พิรัชย์บอกอย่างอารมณ์ดี
“ไม่รู้จะเอาอะไรมาเยี่ยม ‘พาคร’ ก็เลย…เลือกช่อดอกไม้กับกระเช้าขนมนี่มาครับ”
ผู้ถูกเอ่ยชื่อยิ้มรับอย่างฝืนๆ
“ขอบคุณมากค่ะ แต่ที่จริง ไม่น่าต้องลำบากเลยนี่คะ” เธอรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
“ไม่เป็นการลำบากอะไรเลยครับ เราบ้านใกล้เรือนเคียงกันแท้ๆ” พิรัชย์ยังกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“จริงสิครับ อาขอแนะนำให้ได้รู้จัก พี่พาครลูกชายคนเล็กของอาเองครับ”
ฐิตารีย์ไหว้ไปตามมารยาท อดคิดไม่ได้ว่ากำนันพิรัชย์ต้องการอะไรกันแน่ถึงได้มาในวันนี้
“พาครเขาเป็นนักบินเอฟสิบหกครับ ฝึกหนักน่าดู นานๆ ถึงจะได้กลับมาบ้านสักที”
บุตรชายแสดงทีท่าอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด
“นี่ก็…กำลังจะติดนาวาอากาศโทเร็วๆ นี้” พูดกลั้วหัวเราะ ปราบปลื้มบุตรชายจนออกนอกหน้า ไม่สนใจทีท่าของบุตรชายแม้แต่น้อย
“เอ่อ...คุณยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ ถ้ายังไง เรารบกวนเท่านี้ดีมั้ยครับพ่อ” พาครตัดบท
“คุณหนูจะยุ่งได้ยังไง จริงมั้ยครับ แค่สั่งคนงานในฟาร์มให้ไปจัดการ เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว” พิรัชย์ยังพูดไม่ยอมหยุด
“อาแวะไปเยี่ยมผู้การ ที่โรงพยาบาลมาหลายครั้งแต่ไม่ได้เจอคุณหนู” ยังชวนคุยต่อ
“เราคงไปคนละเวลากันมั้งคะ” ตอบหน้าปุเลี่ยนๆ ตกลงตากำนันนี่ต้องการอะไรกันแน่
เสียงเจ้าพรายแมวลายเสือคู่อริกับโพล่าทำลายบรรยากาศกะทันหัน เมื่อมันร้องขู่กันสนั่น ก่อนที่จะฟัดกันนัวเนีย จู่ๆ โพล่าก็วิ่งหนีเพื่อเข้าบ้าน แต่กลับผ่ามากลางวงสนทนา ทำเอากำนันร้องเสียงหลง
ฐิตารีย์ถึงกับเผลอหลุดหัวเราะ
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตัวผู้ทั้งคู่น่ะค่ะ ก็เลยไม่ถูกกัน” บอกทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม
เป็นครั้งแรกที่พาครรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในใจ ทั้งแต่แรกที่บิดาบังคับให้มาเขาไม่พอใจอย่างมาก แต่เมื่อได้พบกันกลับถูกชะตาเธอผู้นี้อย่างไม่น่าเป็นไปได้
“ไม่เป็นไรครับคุณหนู อาก็…จะกลับพอดี คุณหนูมีอะไร จะให้อาช่วยก็บอกได้ทุกอย่างเลยนะครับ”
ฐิตารีย์ได้แต่ยิ้มรับ ระหว่างไหว้ทั้งสองเป็นการอำลา
“เป็นยังไงล่ะ หนูคนนี้ ถูกใจหรือเปล่า” กำนันถามบุตรชายทันทีเมื่อรถเคลื่อนออกจากฟาร์ม
“ก็ดีครับ”
“บอกแล้ว ว่าทั้งสวย ทั้งความรู้ดี ว่าแต่แกต้องรีบทำคะแนนกับแม่หนูคนนี้นะ ปะเหมาะเคราะห์ร้าย ผู้การเป็นอะไรขึ้นมา สมบัติก็ต้องตกเป็นของแม่หนูนี่อยู่แล้ว”
“ก็...พ่อว่าเธอมีน้องชายอีกคนไม่ใช่หรือครับ”
“นั่นไม่ใช่ปัญหา” กำนันพิรัชย์เอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ
‘อำมฤต’ คฤหาสน์ไม้ซุงสไตร์คันทรีหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนิน เบื้องหลังคือขุนเขา ด้านหน้าคือสระน้ำกว้างใหญ่ที่น้ำพุพวยพุ่งสูงตระหง่าน บ่งบอกถึงลักษณะตามฮวงจุ้ยซึ่งเป็นมงคล ‘หลังพิงเขาหน้าอิงน้ำ’
ฐิตารีย์รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยที่นี่เธอก็สามารถลืมเรื่องหนักอกที่เกิดขึ้นกับชีวิตไปได้บ้าง
เทพทัต บวรวิชญ์ เซียนพระชื่อดัง แม้ผมสีดอกเลาแต่ร่างกายยังคงความแข็งแกร่ง ชุดฝ้ายทอมือสีธรรมชาติพร้อมผ้าพาดบ่าขาวสะอ้าน ประกอบกับดวงตาทั้งคู่ที่ยังคงเปล่งประกายน่าเกรงขาม ทำให้แตกต่างกับชายวัยเดียวกันอย่างสิ้นเชิง
“วันนี้หลานมาเร็วนะ” เทพทัตทักอย่างอารมณ์ดี
“ค่ะ มันเหนื่อยๆ น่ะค่ะ ก็เลย…มาหาคุณปู่เลยดีกว่า” บอกพร้อมรอยยิ้ม
“พ่อเราเป็นยังไงบ้าง” ถามระหว่างเดินทอดน่องไปตามทางอย่างสบายอารมณ์ โดยมีเจ้าคุกกี้ สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ติดตามอยู่ไม่ห่าง
“ก็…คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะนั่นแหละค่ะ คุณปู่ก็ทราบ ว่าของแบบนี้จะให้หายทันทีมันไม่ง่ายขนาดนั้น”
ผู้สูงอายุได้แต่พยักหน้ารับ
“กำนันพิรัชย์เขามาไม่ใช่หรือ”
“คุณปู่ทราบได้ยังไงกันคะ” ถามอย่างนึกไม่ถึง วูบหนึ่งที่เธอนึกถึงเรื่องที่ลุงจ่าชอบเล่าให้เธอฟังอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเรื่องกล้วยตานี กุมารทอง หรือกระทั่งรักยม หรือว่า…มันจะเป็นเรื่องจริงกันแน่
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของผู้สูงอายุ
“ทำไม…เห็นปู่อยู่นี่ แล้วจะไม่รู้เรื่องของที่นี่เลยอย่างนั้นหรือ ว่าแต่เขามากันทำไม”
“หนูนึกว่าคุณปู่จะทราบซะอีกค่ะ” อดไม่ได้ที่จะส่งสายตาล้อเลียน
“รู้แล้วจะถามทำไม” มองหลานรักอย่างเอ็นดู
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ รู้แต่ว่าเขาเอาลูกชายที่เป็นทหารอากาศมาด้วย” บอกเรื่อยๆ
“อ้อ…ก็แสดงว่าหนูคงต้องคอยต้อนรับลูกชายคนนี้ของกำนันบ่อยๆ แน่” สัพยอกอย่างอารมณ์ดี
“อุ๊ย! คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เห็นว่าเขาไม่ค่อยได้กลับบ้าน เพราะต้องไปฝึกบิน”
“มันก็ไม่แน่หรอก” ทอดเสียงยาว
“มาเห็นหนูเข้า ขี้คร้านจะกลับทุกอาทิตย์ไม่ว่า” บอกพร้อมรอยยิ้ม
“คุณปู่พูดอะไรกันคะ หนูไม่ได้คิดอะไรซะหน่อย” บ่นกะปอดกะแปด
“จำคำนี้ไว้ด้วยล่ะ ปู่บอกตามตรง กับครอบครัวนี้ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าได้ใกล้ชิดด้วย”
“ทำไมล่ะคะ”
“เอาเป็นว่า…ปู่ไม่พูดดีกว่า ให้หนูได้ดูเอาเอง แต่ปู่ก็เชื่อว่าหนูจะแยกแยะ และดูคนออกแล้ว”
ความเงียบเข้ามาแทรกชั่วอึดใจ
“จริงสิ ตกลงหนูต้องจ่ายเงินงวดแรกกับธนาคารเมื่อไหร่”
คำถามนั้นทำให้ฐิตารีย์หันมามองอย่างนึกไม่ถึง
“คุณปู่ทราบได้ยังไงกันคะ” ถามราวกระซิบ
“มีอะไร ทำไมไม่บอกปู่ นึกว่าคนแก่ไม่มีประโยชน์ ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้งั้นสิ” น้ำเสียงเหมือนน้อยใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ตาเพียง…ไม่อยากให้คุณปู่ต้องร้อนใจไปด้วยเท่านั้น”
“เรามัน ‘คนครอบครัวเดียวกัน’ หนูจะให้ปู่นั่งอยู่เฉยๆ โดยเห็นหลานสาวตัวเล็กๆ ต้องรับภาระทั้งหมดไว้คนเดียวเห็นทีจะไม่ได้”
ที่เทพทัตไม่ได้พูดออกมาก็คือ เขาตั้งใจแล้วเช่นกันว่าจะต้องช่วยหลานสาวให้ถึงที่สุด
“คุณปู่ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตาก็จะไม่มีวันให้ฟาร์มของเราต้องโดนธนาคารยึดเด็ดขาดค่ะ” ที่เธอคิดอยู่ในใจก็คือ ไม่ว่าจะแลกด้วยสิ่งใด เธอก็ยอมทั้งนั้น
“พ่อเราไม่น่าทำอะไร เกินตัวเลยจริงๆ คนเรามันมีเจ็บไข้ แต่จะมาพูดตอนนี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว” เทพทัตอดไม่ได้ที่จะพูดถึงบุตรชาย
“ถึงฟาร์มเราจะไม่ใช่ไร่นาสวนผสมเต็มรูปแบบ เพราะเราไม่มีนา แต่พืชผักที่ปู่ทำไว้ก่อนที่พ่อเราจะมาสานต่อ ก็ทำให้เรามีกินมีใช้ไม่ขาดแคลน” พูดเรื่อยๆ ทั้งที่สายตายังจับจ้องยังขุนเขาอันไกลลิบ
“นี่คือผลของความไม่พอเพียง ทำให้หลานต้องมารับภาระจำยอมอย่างนี้”
เป็นอีกครั้งที่ฐิตารีย์ถึงกับพูดไม่ออก รู้สึกละอายใจตัวเองอย่างบอกไม่ถูก ที่ผ่านมาเธอเอาแต่เที่ยวเล่น ใช้เงินเป็นเบี้ย โดยไม่นึกถึงบิดาว่าจะหามาด้วยความยากลำบากเพียงใด
“หลานจำไว้ คนเราต้องปรับตัวให้ได้ ถึงจะ ‘เคยอยู่อย่างมังกร นอนอย่างราชสีห์’ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ต้องตกต่ำ ก็ต้องผ่านพ้นช่วงนั้นไปให้ได้ด้วยเช่นกัน” บอกอย่างคนอาบน้ำร้อนมาก่อน
“แม้ว่า…ท้ายสุดแล้ว จะเหลือแต่ตัวก็ตาม”
น่าแปลกที่เพียงประโยคนี้ กลับทำให้เธอหนาวขึ้นมาจับใจ ถึงเดี๋ยวนี้เหตุการณ์ยังไม่เข้าขั้นวิกฤติ แต่ต้องยอมรับว่าไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น
“สำหรับตา ไม่กลัวความลำบากหรอกค่ะ เป็นห่วงก็แต่ ‘วัฒน์’ เท่านั้น” เธอเอ่ยถึง ‘ฐิติวัฒน์’ น้องชาย
“ยังไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น ถึงเวลาเข้าจริงๆ ทุกอย่างก็ย่อมมีทางแก้ไข” ผู้สูงอายุยังคงให้กำลังใจ
“เงินของเจ้าวัฒน์ ปู่โอนเข้าบัญชีให้เรียบร้อยแล้ว ตาไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”
เป็นอีกครั้งที่เธอมองผู้พูดอย่างนึกไม่ถึง
“คุณปู่…เอาเงินมาจากไหนกันคะ” ถามน้ำเสียงเป็นห่วง
“เอาน่า…นาทีนี้ ยังไงก็ต้องมีจริงมั้ย เอาเป็นว่าหนูไม่ต้องห่วงก็แล้วกัน”
“แต่…”
“อย่าคิดมากเลย เงินเก็บของปู่น่ะ” บอกเพื่อให้หลานรักคลายกังวล
ทั้งสองนั่งมองพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาด้วยกันก็จริง แต่กลับคิดกันไปคนละทาง…
ถึงเธอจะอ่อนล้ากับเรื่องราวที่เกิดขึ้นสักเพียงใด แต่ต้องยอมรับว่ากำลังใจที่ได้จาก ‘คนในครอบครัว’ ทำให้ฮึดสู้มาได้
“คุณพ่อ ยัยตาทานข้าวกันเถอะค่ะ สำรับตั้งนานแล้ว เดี๋ยวจะชืดเสียหมด”
เสียงของหญิงร่างท้วมที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าทำให้ทั้งสองตื่นจากภวังค์
“วันนี้มีของโปรดของตาด้วยนะจ๊ะ ทำงานหนักก็ต้องทานเยอะๆ เจ็บไข้ไปอีกคนจะลำบาก”
เจียระไนสบตาบิดาเหมือนมีบางอย่างอยู่ในใจ
หลังอาหารค่ำมื้อนั้น…
“เรามีอะไร” เทพทัตตั้งคำถามกับบุตรสาวเมื่อหลานรักกลับไปแล้ว
“เมื่อเช้าหนูเจอกับกำนันพิรัชย์ที่โรงพยาบาลค่ะ”
สายตาอันคมกริบของเทพทัตจับจ้องยังบุตรสาวทันที
“สิ่งที่หนูจะพูดต่อ คุณพ่ออาจไม่พอใจ”
“ฮึ…แค่ได้ยินชื่อก็แย่พอแล้ว ยังมีอะไรแย่กว่านี้อย่างนั้นหรือ” เทพทัตกล่าวน้ำเสียงเครียด
“ที่เขาพูดก็คือ เขาอยากจะหมั้นหมาย ยัยตาให้กับลูกชายที่เป็นนายทหารอากาศน่ะค่ะ”
ผู้สูงอายุตบโต๊ะฉาดใหญ่ “บ๊ะ ไอ้หมอนี่ มันกล้าดียังไง”
เธอคิดอยู่แล้วว่าหากพูดเรื่องนี้ บิดาต้องเป็นฟืนเป็นไฟแน่
“จริงๆ แล้วเขาอยากจะมาเรียนเรื่องนี้ให้คุณพ่อทราบโดยตรง”
“ก็ลองมาสิ จะได้เห็นดีกันแน่”
“ใจเย็นๆ เถอะค่ะคุณพ่อ” เจียระไนได้แต่ลอบถอนใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่บิดาก็ยังคงยึดมั่นกับความคิดเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“เรื่องนี้ไม่ต้องให้ถึงหูหลานเลยนะ บอกไว้เสียก่อน”
ถึงเวลาจะล่วงเข้าเที่ยงคืนกว่า แต่เทพทัตยังคงนั่งบริกรรมคาถายังหน้าหิ้งพระใหญ่ ทว่ากลิ่นกำยานและควันเทียน กลับไม่อาจกำหนดจิตให้สงบลงได้ กำนันนั่นกล้าดียังไงถึงมาพูดเรื่องเช่นนี้
เช่นเดียวกับเจียระไนที่เธอยังคงไม่อาจข่มตาให้หลับ หากบิดารู้เรื่องอื่นที่เธอยังปิดบังไว้ อะไรจะเกิดขึ้น หนทางเดียวที่ทำได้จึงยังคงต้องเก็บงำมันต่อไปให้เงียบที่สุด
สว้สดีค่ะ
สบายดีกันมั้ยคะ ตอนนี้ผู้เขียนกำลังเก็บของเพื่อหนีน้ำค่ะ หวังว่าเพื่อนๆ คงจะรอดปลอดภัยกับภัยธรรมชาติในครั้งนี้นะคะ อิอิ บ่นไปก็เครียดเปล่าๆ ค่ะ ยามนี้ต้องคิดบวกกันไว้นะคะ
สำหรับเรื่องนี้ ลงไปเขียนไป อาจช้าไปบ้าง เพื่อนๆ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ ยังไงก็จะลงจนจบแน่นอนค่ะ
ขอบคุณเพื่อนๆนะคะ ที่กรุณาฝากเมนท์ไว้ให้กำลังใจ ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ
รักผู้อ่านทุกท่านนะคะ จุ๊บ จุ๊บ
ยุพากร
ยุพากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ต.ค. 2554, 14:15:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ต.ค. 2555, 16:38:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 2049
<< ตอน1 กรยุพา . ยุพากร | ตอน 3 กรยุพา . ยุพากร >> |
nako 10 ต.ค. 2554, 16:14:57 น.
เย้ เย้ มาอีกตอนแล้ว
เย้ เย้ มาอีกตอนแล้ว
anOO 10 ต.ค. 2554, 18:50:29 น.
มีเรื่องอะไรปิดบังกันมากกว่าเรื่องนี้อีกเหรอเนี้ย
มีเรื่องอะไรปิดบังกันมากกว่าเรื่องนี้อีกเหรอเนี้ย
อัปสรา 11 ต.ค. 2554, 09:20:32 น.
กลับมาแล้วเหรอคะ น้ำจะท่วมเหมือนกันคะเก็บของหนีน้ำไม่ได้เขียนนิยายเลย
กลับมาแล้วเหรอคะ น้ำจะท่วมเหมือนกันคะเก็บของหนีน้ำไม่ได้เขียนนิยายเลย
ยุพากร 11 ต.ค. 2554, 10:18:17 น.
สว้สดัค่ะ คุณnako
ขอบคุณมากนะคะ ที่ฝากเมนท์ไว้ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
สวัสดีค่ะ คุณanOO
อิอิ... ติดตามตอนต่อไปนะคะ
สวัสดีค่ะ คุณอัปสรา
ขอบคุณมากนะคะ ที่กรุณาแวะมาทักทาย เก็บของเหนื่อยมากๆ ยังไงระวังสุขภาพด้วยนะคะ ระวังล้มให้มากๆ อย่ายกของหนักนะคะ ของหาใหม่ได้ เกินกำลังก็ปล่อยไปเถอะนะคะ
อิอิ...คงจะช้าอย่างเต่าค่ะกับเรื่องนี้...
สว้สดัค่ะ คุณnako
ขอบคุณมากนะคะ ที่ฝากเมนท์ไว้ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
สวัสดีค่ะ คุณanOO
อิอิ... ติดตามตอนต่อไปนะคะ
สวัสดีค่ะ คุณอัปสรา
ขอบคุณมากนะคะ ที่กรุณาแวะมาทักทาย เก็บของเหนื่อยมากๆ ยังไงระวังสุขภาพด้วยนะคะ ระวังล้มให้มากๆ อย่ายกของหนักนะคะ ของหาใหม่ได้ เกินกำลังก็ปล่อยไปเถอะนะคะ
อิอิ...คงจะช้าอย่างเต่าค่ะกับเรื่องนี้...
น้ำแอปเปิ้ล 11 ต.ค. 2554, 19:25:16 น.
เพิ่งเปิดมาเจอ เห็นว่าคุณยุพากรเอาเรื่องใหม่มาลงแล้ว สู้ๆ ค่ะ เป็นกำลังใจค่ะ ส่วนของตัวเองยังดองไว้เพราะสมองตัน หุหุ
เพิ่งเปิดมาเจอ เห็นว่าคุณยุพากรเอาเรื่องใหม่มาลงแล้ว สู้ๆ ค่ะ เป็นกำลังใจค่ะ ส่วนของตัวเองยังดองไว้เพราะสมองตัน หุหุ
ยุพากร 11 ต.ค. 2554, 20:02:21 น.
ขอบคุณ คุณน้ำแอปเปิ้ลมากค่ะ ก็เพราะสมองตันนี่แหละค่ะ ทำให้...หายไปนานมากๆ เอาใจช่วยคุณน้ำแอปเปิ้ลเช่นกันนะคะ สู้ๆ ค่ะ
ขอบคุณ คุณน้ำแอปเปิ้ลมากค่ะ ก็เพราะสมองตันนี่แหละค่ะ ทำให้...หายไปนานมากๆ เอาใจช่วยคุณน้ำแอปเปิ้ลเช่นกันนะคะ สู้ๆ ค่ะ
จิรารัตน์ 12 ต.ค. 2554, 12:58:01 น.
เอาใจช่วยค่ะยุพากร ตอนนี้ที่นี่ก็กำลังผันน้ำลงทะเลอย่างเต็มที่ค่ะ เฉพาะที่เทศบาลที่อยู่ส่งเรือไปร่วมผันน้ำ 35 ลำแล้ว ช่วยๆกันค่ะ ข้างบนเขาจะได้น้ำลดเร็วๆ สู้สู้ค่ะ
เอาใจช่วยค่ะยุพากร ตอนนี้ที่นี่ก็กำลังผันน้ำลงทะเลอย่างเต็มที่ค่ะ เฉพาะที่เทศบาลที่อยู่ส่งเรือไปร่วมผันน้ำ 35 ลำแล้ว ช่วยๆกันค่ะ ข้างบนเขาจะได้น้ำลดเร็วๆ สู้สู้ค่ะ
ยุพากร 12 ต.ค. 2554, 16:07:57 น.
ขอบคุณ คุณจิรารัตน์มากค่ะ ตอนนี้ลุ้นจนตัวโก่งแล้วค่ะ เพราะแค่เจอน้ำฝนไม่ใช่น้ำเหนือก็ท่วมแล้วค่ะ ดีใจที่คนไทยรักกัน ร่วมด้วยช่วยกันฝ่าวิกฤตจริงๆ ค่ะ
ขอบคุณ คุณจิรารัตน์มากค่ะ ตอนนี้ลุ้นจนตัวโก่งแล้วค่ะ เพราะแค่เจอน้ำฝนไม่ใช่น้ำเหนือก็ท่วมแล้วค่ะ ดีใจที่คนไทยรักกัน ร่วมด้วยช่วยกันฝ่าวิกฤตจริงๆ ค่ะ
แม่อุ้ยเกี้ยวหมาก 14 ต.ค. 2554, 16:32:08 น.
พี่สาว สวัสดีค่ะ อิอิ ทายซิว่าใครเอ่ย 555+^0^ มีเรื่องสนุกๆ ให้อ่านอีกแล้ว สู้สู้นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ =))
พี่สาว สวัสดีค่ะ อิอิ ทายซิว่าใครเอ่ย 555+^0^ มีเรื่องสนุกๆ ให้อ่านอีกแล้ว สู้สู้นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ =))
แม่อุ้ยเกี้ยวหมาก 20 ต.ค. 2554, 23:04:54 น.
ฮี่ๆ ไม่พลาดค่ะ ^^
ฮี่ๆ ไม่พลาดค่ะ ^^
nuchababluesky 24 ต.ค. 2554, 02:45:00 น.
จบแบบมีลับลมคมนัยแหะ อาเจียระไนเก็บงำความลับอะไรกันแน่นะ ชอบปู่เทพทัตค่ะ ยังกับมีตาทิพย์แหนะรู้หมดทุกอย่าง
กำนันพิรัชย์อีกคนน่าจะเป็นคนนิสัยไม่ดี รวยแล้วอวดเบ่งเปล่า
แต่ลูกชายที่เป็นนายอากาศท่าทางจะเป็นคนดี พาคร ชื่อเพราะอีกแล้ว ชอบนกที่ช้างเอามาฝากตานะค่ะ นกสีเขียว ชื่อใหม่เจ้าเขียวหวาน ว๊าวว ชอบๆสีเขียวเนี่ย โอ้โห มีนกสวยงามด้วยเรื่องนี้ ชอบฟาร์มของนางเอกคะ เป็นฟาร์มที่สมบูรณ์แบบจัง
สงสารพ่อของตาที่มาล้มป่วยลงแต่ยอมรับว่าตาเป็นนักสู้ ผู้หญิงที่บ้าช้อปปิ้งไม่มีหลงเหลือให้เห็นเลย คิดไม่ถึงว่าตาจะเข้มแข้งขนาดนี้
ยอง ฮวาเป็นลุกแหง่นี่หวา แม่ก็ปากร้ายจัง
พชร ตามให้กำลังเพื่อนอีกเช่นเคย อิอิ น่ารักไปไหน
หลังพิงเขา หน้าอิงน้ำ ฮวงจุ้ยดีมากๆ วิกฤตครั้งนี้ ตาต้องผ่านไปได้แน่ๆ
>>กลิ่นกำยาย = กำยานจ๊ะ
ติดตามเสมอค่ะ ขอให้กำลังเรื่องน้ำท่วมอีกคนนะค่ะ
ขอให้น้ำลดลงโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ
ดูแลรักษาสุขภาพนะค่ะ
พี่นุชเก็บได้สองตอนค่ะ
วันหลังจะมาอีกนะ
หลับฝันดีจ้า
คำสอนของปู่ทำให้มีกำลังใจ เคยอยู่อย่างมังกร นอนอย่างราชสีห์ถึงเวลาเราก็ต้องปรับตัว ปู่น่านับถือจริงๆ
เจ้าโพล่าใจร้ายนะ คิดจะจับกระรอกมาเคี้ยวเล่นซะงั้น
เจ้าพรายก็น่ารัก เจ้าคุกกี้ก็น่ารักแหะ บ้านนี้สัตว์เลี้ยงเยอะจริงๆ
ปวดหัวกับต้องคอยเลี้ยงดูเจ้าพวกนี้มั้ยเนี่ย
จบแบบมีลับลมคมนัยแหะ อาเจียระไนเก็บงำความลับอะไรกันแน่นะ ชอบปู่เทพทัตค่ะ ยังกับมีตาทิพย์แหนะรู้หมดทุกอย่าง
กำนันพิรัชย์อีกคนน่าจะเป็นคนนิสัยไม่ดี รวยแล้วอวดเบ่งเปล่า
แต่ลูกชายที่เป็นนายอากาศท่าทางจะเป็นคนดี พาคร ชื่อเพราะอีกแล้ว ชอบนกที่ช้างเอามาฝากตานะค่ะ นกสีเขียว ชื่อใหม่เจ้าเขียวหวาน ว๊าวว ชอบๆสีเขียวเนี่ย โอ้โห มีนกสวยงามด้วยเรื่องนี้ ชอบฟาร์มของนางเอกคะ เป็นฟาร์มที่สมบูรณ์แบบจัง
สงสารพ่อของตาที่มาล้มป่วยลงแต่ยอมรับว่าตาเป็นนักสู้ ผู้หญิงที่บ้าช้อปปิ้งไม่มีหลงเหลือให้เห็นเลย คิดไม่ถึงว่าตาจะเข้มแข้งขนาดนี้
ยอง ฮวาเป็นลุกแหง่นี่หวา แม่ก็ปากร้ายจัง
พชร ตามให้กำลังเพื่อนอีกเช่นเคย อิอิ น่ารักไปไหน
หลังพิงเขา หน้าอิงน้ำ ฮวงจุ้ยดีมากๆ วิกฤตครั้งนี้ ตาต้องผ่านไปได้แน่ๆ
>>กลิ่นกำยาย = กำยานจ๊ะ
ติดตามเสมอค่ะ ขอให้กำลังเรื่องน้ำท่วมอีกคนนะค่ะ
ขอให้น้ำลดลงโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ
ดูแลรักษาสุขภาพนะค่ะ
พี่นุชเก็บได้สองตอนค่ะ
วันหลังจะมาอีกนะ
หลับฝันดีจ้า
คำสอนของปู่ทำให้มีกำลังใจ เคยอยู่อย่างมังกร นอนอย่างราชสีห์ถึงเวลาเราก็ต้องปรับตัว ปู่น่านับถือจริงๆ
เจ้าโพล่าใจร้ายนะ คิดจะจับกระรอกมาเคี้ยวเล่นซะงั้น
เจ้าพรายก็น่ารัก เจ้าคุกกี้ก็น่ารักแหะ บ้านนี้สัตว์เลี้ยงเยอะจริงๆ
ปวดหัวกับต้องคอยเลี้ยงดูเจ้าพวกนี้มั้ยเนี่ย
ยุพากร 25 ต.ค. 2554, 11:25:18 น.
ขอบคุณ พี่นุชมากมายค่ะ ขอบคุณสำหรับเมนท์ยาวเหยียด ที่ทำให้มีกำลังใจในการเขียนต่อค่ะ ขอบคุณสำหรับคำผิดด้วยค่ะ
ตอนนี้เก็บข้าวของยังไม่หมดค่ะ (บ้านแม่)
อิอิ...สัตว์เลี้ยงแสนรักค่ะ เพิ่งได้เลิฟเบิร์ดสีฟ้ามาหนึ่งตัวด้วยค่ะ แต่ยังงงๆ ว่าหากต้องอพยพ จะเอาเจ้าพวกนี้ไปด้วยได้ยังไง เยอะเกิน
เหนื่อยมากๆ ค่ะ แต่มีกำลังใจจากพี่นุชนี่แหละค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
ขอบคุณ พี่นุชมากมายค่ะ ขอบคุณสำหรับเมนท์ยาวเหยียด ที่ทำให้มีกำลังใจในการเขียนต่อค่ะ ขอบคุณสำหรับคำผิดด้วยค่ะ
ตอนนี้เก็บข้าวของยังไม่หมดค่ะ (บ้านแม่)
อิอิ...สัตว์เลี้ยงแสนรักค่ะ เพิ่งได้เลิฟเบิร์ดสีฟ้ามาหนึ่งตัวด้วยค่ะ แต่ยังงงๆ ว่าหากต้องอพยพ จะเอาเจ้าพวกนี้ไปด้วยได้ยังไง เยอะเกิน
เหนื่อยมากๆ ค่ะ แต่มีกำลังใจจากพี่นุชนี่แหละค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
nuchababluesky 25 ต.ค. 2554, 23:22:50 น.
อ่อ เอาสัตว์เลี้ยงของตัวเองมาเข้าฉากว่างั้น
อย่าลืมจ่ายค่าขนมให้พวกเขาเหล่านั้นด้วยนะ
ให้กำลังใจเรื่องน้ำท่วมจ๊้า
อ่อ เอาสัตว์เลี้ยงของตัวเองมาเข้าฉากว่างั้น
อย่าลืมจ่ายค่าขนมให้พวกเขาเหล่านั้นด้วยนะ
ให้กำลังใจเรื่องน้ำท่วมจ๊้า
ยุพากร 31 ต.ค. 2554, 17:21:19 น.
ขอบคุณพี่นุชมากค่ะ
ขอบคุณพี่นุชมากค่ะ