ป่าหนาวในเงารัก
หญิงสาวผู้ชอบหว่านเสน่ห์ ทั้งยังไม่เคยศรัทธาต่อคำว่ารักแท้ เมื่อมาพบกับหนุ่มที่ปราศจากความสนใจในตัวเธอ...อะไรจะเกิดขึ้น
Tags: กรยุพา , ยุพากร รักโรแมนติก
ตอน: ตอน 3 กรยุพา . ยุพากร
เดือนเศษ...หลังจากนั้น
จู่ๆ เหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เหมือนเช่นที่เขาพูดกันไว้ไม่ผิด ว่ายามที่ความสุขกำลังพร่างพรมไปทั่วเพราะเจ้านกช่างฉอเราะ ความทุกข์ก็เข้ามาเยือนจนได้
เมื่อเจ้าของนกกลับปรากฏตัวขึ้นที่ฟาร์มเทพทัตอย่างไม่ทันตั้งตัว
ชายหนุ่มมารอเจ้าบ้านนานแล้ว จนทันได้เห็นกระรอกขนสีออกแดงน้ำมันที่สาระวนกับอาหารโปรดอยู่บนต้นหว้าใหญ่ ยังได้เห็นกระแต และกระถิก ที่วิ่งขึ้นลงระหว่างกล้วยเครือยักษ์และกระเช้าเมล็ดทานตะวัน
ไม่ไกลนักที่ระเบียงบ้านปรากฎเจ้าแมวสีขาวอ้วนกลม ลายด่างน้ำตาลอ่อน หางสั้นแค่นิ้วโป้ง ตาสีฟ้าใสแจ๋วจ้องนกปรอตหัวจุกที่กำลังกินกล้วยอย่างเอร็ดอร่อยด้วยดวงตาไม่กระพริบ
ขณะเจ้าแมวลายละเอียดสีดำน้ำตาลสี่ขาขาวเหมือนสวมถุงน่องถึงครึ่งแข้งนอนกระดิกหางที่ปลายกวักเข้าหาตัวอย่างสบายอามณ์
ไกลออกไปคือแมวลายสีอ่อนที่นอนหลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์ โดยทุกตัวมีปลอกคอคนละสี บอกให้รู้ว่าเจ้าของดูแลเอาใจใส่ดีขนาดไหน
แต่จู่ๆ อีกตัวที่ท่าทางเหมือนนักเลงขาใหญ่ตัวล่ำบึ๊กก็เดินนวยนาดมายังเขา พลางกระโดดทีเดียวมาอยู่บนตัก แถมยังทำทีสนิทสนมด้วยการไถหูกับเสื้อเขาก่อนนั่งเก็บมือหลับตาพริ้มบนตักเหมือนคุ้นเคยเป็นแรมปี
“คุณตาครับ คุณคนนี้ที่บอกว่านกหายน่ะครับ นี่คุณตาเจ้าของฟาร์มครับ” ช้างสบตานายจ้างเหมือนมีบางอย่างอยู่ในใจ
ผู้มาเยือนตกใจไม่น้อยเพราะบุคคลที่ก้าวเข้ามากลับเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่อยู่ในชุดกระโปรงยีนเอี๊ยมยาว พร้อมรองเท้าบู๊ทสั้น ไม่ใช่ชายแก่อายุเจ็ดสิบอย่างที่คิดไว้แม้แต่น้อย
ซ้ำชื่อฟาร์มก็บ่งบอกว่าต้องเป็นผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัย เขาเข้าใจผิดมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ ครั้นจะลุกก็กลับเกรงใจเจ้าแมวลายจึงได้แต่ยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าเท่านั้น
“ตายจริง! ช้าง เอาเจ้าพรายออกจากตักคุณ….ที ต้องขอโทษด้วยนะคะ” เธอเกรงใจจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เขากำลังสบาย” ผู้พูดอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม
“อย่าเลยค่ะ ช้างเอาออกไปที” เธอบอกอีกครั้ง
เจ้าแมวตัวดีเหมือนฟังออก เพราะไม่รอให้ช้างเข้ามาอุ้ม แต่กลับลุกขึ้นบ่นกะปอดกะแปด ก่อนกระโดดแผล็วไปเลียเนื้อเลียตัวอย่างเย่อหยิ่ง
“ตัวผู้หรือตัวเมียครับ” ถามพร้อมรอยยิ้ม
“ตัวผู้ค่ะ”
“ที่บ้านผมมีเปอร์เซียชื่อกล้วยหอมอยู่ตัวเดียว ดื้อน่าดูเลยครับ” เขาบอกอย่างอารมณ์ดี
“ชื่ออะไรกันบ้างครับนี่” เขายังคงชวนคุยด้วยทีท่าทีเป็นมิตร
“ตัวสีขาวไม่มีหางนั่น ‘โพล่า’ ค่ะ ส่วนที่ตัวสีอ่อนใหญ่กว่าเพื่อน ยัย ‘พลอย’ ค่ะ แล้วตัวเล็กถุงเท้าขาวแม่ ‘พราว’ ค่ะ”
“คุณคงชอบแมวมาก”
ฐิตารีย์พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าไม่กัดกันก็โอเคนะคะ แต่ตัวผู้อยู่ด้วยกันก็มีปัญหาตลอด นายพลายนี่ชอบข่มเจ้าโพล่าค่ะ ทั้งๆ แม่เดียวกันแท้ๆ หรือถือว่าตัวเองตัวใหญ่กว่าเพราะเกิดก่อนก็ไม่ทราบ” เธอพูดไปอย่างนั้นเองทั้งที่รู้ถึงพฤติกรรมของแมวตัวผู้ดีอยู่แล้ว ว่าใกล้กันไม่ได้เด็ดขาด
ผู้รับฟังพลอยยิ้มไปด้วยอย่างลืมตัว
“เป็นสัญชาติญาณเขาน่ะครับ”
การสนทนาหยุดลงกลางคัน เมื่อช้างนำน้ำองุ่นแดงเย็นเฉียบเข้ามาเสิร์ฟ
“จริงสิคะ เห็นเด็กบอกว่านกคุณหาย” เธอกลับมาเข้าเรื่อง
“ครับ…ผมมาจาก ภูมิรพี ชาเล่ต์ ฮิลล์ พอดีคนของผมบอกว่านกบินเข้ามาในฟาร์มนี่”
ชื่อไร่นั้นทำให้อารมณ์ของเธอเหมือนถูกเบรคกะทันหัน ถึงกับต้องนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ เพราะยังโมโหไม่หายกับเรื่องที่คนงานของไร่นั่นได้ก่อไว้
“เผอิญผมไม่อยู่เสียหลายวัน เลยเพิ่งทราบเรื่องที่เกิดขึ้นน่ะครับ”
ความเงียบของคู่สนทนาทำให้ชายหนุ่มอึดอัดขึ้นมาฉับพลัน
“เอ่อ…คือ ผมตั้งใจ มาขอโทษคุณแทนคนงานของผมที่มาก่อเรื่อง…กล้วยนั่นด้วยน่ะครับ” เขาเข้าเรื่องไม่อ้อมค้อม
“และกระเช้านี่ผมก็ตั้งใจมาเยี่ยมไข้ท่านนายพลโดยเฉพาะครับ”
ฐิตารีย์ปรายตากระเช้าที่จัดมาอย่างงดงามนั่นแวบหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะตคนงานของหมอนี่ดอดเข้ามาตัดกล้วยท้ายฟาร์ม ทั้งที่ยังกินไม่ได้ไปกว่าสิบเครือ เธอคงมีอารมณ์ชื่นชมสตอร์เบอร์รี่เกรดเอลูกใหญ่ยักษ์นี่ไม่น้อย
ความเงียบที่เช้ามาแทรกทำให้แขกผู้มาเยือนอึดอัดจนบอกไม่ถูก
“เรื่อง ค่าเสียหายเรื่องกล้วยนั่น…” เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ‘เรื่องของกล้วย’ บางครั้งมันก็ไม่ได้ ‘กล้วย’ เสมอไป
“ช่างเถอะค่ะ ไหนๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว” บอกเสียงเข้ม กล้ำกลืนความรู้สึกไม่พอใจไว้ให้ลึกที่สุด
“อีกอย่าง ดิฉันคิดเสียว่า ‘ทำทาน’ ก็เท่านั้น”
ผู้ฟังแทบสะอึกกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอุตส่าห์ฝืนยิ้ม
“ช้างพาคุณไปดูที่ ‘ซุ้มกระต่าย’ หรือยังจ๊ะ” เธอเปลี่ยนเรื่องเสีย
“ยังเลยครับ” ช้างตอบอย่างนอบน้อม
“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณดีกว่าคะ” เธอยังพยามรักษากริยาทั้งที่ในใจคุกรุ่น
ฐิตารีย์พาเขาขึ้นรถกอล์ฟ โดยเธอเป็นคนขับมุ่งไปยังสวนนกสถานที่ทั้งรักทั้งหวงของฟาร์มนี้
สวนป่าที่ร่มรื่นตลอดสองข้างทางประกอบกับกรงขนาดใหญ่ยักษ์ทำให้ไม่ต่างอะไรกับสวนสัตว์ อีกทั้งสวนหย่อมซึ่งตกแต่งอย่างงดงามก็ทำให้สัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเจ้าบ้าน
“ตรงนี้คือบ้านผีเสื้อค่ะ แต่ถ้าคุณเป็นภูมิแพ้ ก็ไม่แนะนำให้เยี่ยมชม” ไกด์จำเป็นบอกเรื่อยๆ
“ที่นี่เรารวบรวมพันธุ์หายากไว้ด้วยค่ะ”
“อย่าบอกนะครับว่าคุณมี...ผีเสื้อสมิงเชียงดาวด้วย” เขาเอ่ยถึงผีเสื้อพันธุ์หายากที่กำลังจะสูญพันธุ์ไปอย่างนั้นเอง
เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะรู้จัก
“คุณอยากเห็นมั้ยล่ะคะ”
ดูเหมือนเขาจะยังงุนงงกับคำถามของเธอ
ภูมิรพีนึกขึ้นมาได้กับเรื่องเล่าขานปากต่อปาก ถึงการจับผีเสื้อเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินโดยชาวญี่ปุ่นได้จ้างวานคนในพื้นที่ ซึ่งเริ่มจากตัวละไม่กี่พัน จนกลายเป็นตัวละหลายหมื่นเมื่อเริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ
“เราไม่ได้ซื้อมาหรอกค่ะ คนที่เขานับถือคุณปู่ให้มาอีกที ส่วนคุณพ่อเห็นว่าจะสูญพันธุ์ก็เลยอยากจะอนุรักษ์มันเอาไว้” เธอรีบบอก เพราะเกรงว่าเขาจะคิดว่าบิดาซื้อหามาโดยมิชอบ
ต่อจากกรงผีเสื้อจึงได้ยินเสียงนกที่พากันร้องเซ็งแซ่ให้ได้ยิน
“คงต้องลงเดินแล้วล่ะค่ะ” เธอบอกเมื่อนำรถเข้าข้างทาง
กรงจำนวนมากเป็นทิวแถวซึ่งอยู่ในโดมใหญ่ ที่รายล้อมด้วยต้นไม่นาๆ พรรณ ทำให้เขาคิดว่าที่นี่คือสวนสัตว์ชัดๆ ไม่ใช่ฟาร์มผักออร์แกนิกแม้แต่น้อย
“ผมว่าคุณคงต้องเปลี่ยนชื่อฟาร์มแล้วล่ะครับ” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เธอมองอย่างไม่เข้าใจ
“ก็...สัตว์เลี้ยงคุณมีมากมายขนาดนี้”
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นยังริมฝีปากของเจ้าของหางเปียคู่แวบหนึ่ง
“ที่นี่เรามีนกอยู่หลายพันธุ์ เชิญค่ะ แถวนี้จะหนวกหูหน่อยนะคะ เพราะ...เลิฟเบิร์ดช่างเจรจา”
นกเลิฟเบิดร์ดสีสันสดสวยที่อยู่กันเป็นคู่ๆ ทำให้เขาต้องหยุดมอง ยังมีมาคอร์ที่ส่งเสียงร้องแต่ละทีทำให้เขาต้องสะดุ้ง
เขายังได้เห็นนกฟินช์เจ็ดสี ค๊อคกาเทล คอนัวร์ และกระตั้วที่ช่างเจรจาแถมยังเต้นรำได้ ทั้งหมดนั้นทำให้เขาต้องเผลอยิ้มเลยทีเดียว
“คุณคงชอบสัตว์มาก” เขาชวนคุย
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ” เธอแบ่งรับแบ่งสู้
เขาหันมามองเธอเต็มๆ ตา
“คุณปู่ กับคุณพ่อชอบน่ะค่ะ ก็เลยชอบตามๆ กันมามากกว่า”
“งั้นหรือครับ ผมคง…ได้มีโอกาสได้เจอท่าน”
ฐิตารีย์ได้แต่ยิ้มรับ โดยปราศจากคำตอบรับหรือปฏิเสธ
แล้วก็มาถึงเวลาที่แขกกล่าวคำอำลาจนได้
“เสียใจด้วยนะคะ ที่…ไม่เจอนกของคุณ มันอาจจะบินไปที่อื่นก็ได้นะคะ” ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะเลือดเย็นพอจะพูดประโยคนั้นออกมา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็…แค่หวังว่ามันจะไม่อดตายเท่านั้น”
ฐิตารีย์ถึงกับพูดไม่ออกกับสิ่งที่ได้ยิน
“โอกาสหน้าผมคงต้องมารบกวนอีก เพราะติดใจนก และแมวของคุณเข้าแล้ว” เขาบอกอย่างมีไมตรีจิต
“เชิญสิคะ ดิฉันจะสั่งเด็กไว้ ว่าให้คุณเข้าไปชมได้ทุกเวลา”
“งั้น…ผมคงต้องขอลาเลยนะครับ”
เธอถึงกับโล่งอกเมื่อแขกเปิดประตูรถ แต่จู่ๆ เสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามา ทำให้ภูมิรพีถึงกับชะงักไปทันที
“คุณมีนกที่อื่นอีกงั้นหรือครับ”
ดวงตาอันคมกริบของอีกฝ่ายราวจะทำให้เธอมอดไหม้ไปตรงนั้น ทั้งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเสียงนั้นจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเสียงของแก้วโม่งที่เขากำลังตามหา
“…ค่ะ” เธอเองก็ใจคอไม่ดีเช่นกัน
“ผมขอชมได้มั้ยครับ”
ดวงตาทั้งคู่นั่นทำให้เธอร้อนที่หน้าขึ้นมาอย่างประหลาด ไม่ได้คิดไปเองแน่ว่าเขาเหมือนต้องการจับผิดเธอชัดๆ เช่นเดียวกับช้างซึ่งได้แต่มองหน้านายสาวด้วยใจที่เต้นระทึก
หากเธอพาเขาไปดูเจ้านกเจ้าปัญหานั่น มันยังจะจำเจ้าของได้หรือเปล่า แต่นาทีนั้นก็จำต้องเดินนำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แล้วเธอก็พาเขามาถึงกรงของเจ้าแก้วโม่งจนได้
“เจ้าตัวนี้ของคุณ ชื่ออะไรครับ” เขามองในกรงอย่างพินิจ
นาทีนั้นที่สมองสั่งการอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดไว้หลายชื่อแต่ยังตัดสินใจไม่ได้สักที
“เอ่อ…เขียวหวานค่ะ” เธอหลุดปากออกไปจนได้
“ตัวผู้ หรือตัวเมียครับ”
เธออ้ำอึ้ง หมอนี่จะซักไซ้ไปถึงไหนกันนะ เช่นเดียวกับช้างที่มองตานายสาวอย่างลุ้นเต็มที่
“น่าจะ...ตัวเมียนะคะ ต้องถามคุณพ่อดูน่ะค่ะ” เธอได้แต่นึกภาวนาอยู่ในใจว่าอย่าให้เจ้านกได้เอ่ยปากพูด
“ของผมตัวผู้...น่าเสียดายจริงๆ เป็นไงเราชื่อเขียวหวานอย่างนั้นหรือ” เขาทักทายราวกับมันรู้เรื่อง
นาทีนั้นที่หญิงสาวต้องกลั้นใจ หากพูดออกมาเพียงคำเดียว คำนั้น… “รักคุณเข้าแล้ว” เธอย่อมต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีลักทรัพย์อย่างไม่ต้องสงสัย
ภูมิรพียังเหมือนไม่มั่นใจ แต่เพราะไม่มีสิ่งใดสามารถยืนยันได้ว่าเป็นนกของเขาจึงได้แต่นิ่งเงียบเท่านั้น แถมเจ้านกนี่ก็ไม่มีทีท่าสนใจเขาแม้แต่น้อย เพราะเอาแต่แทะข้าวโพดฝักโตตุ้ยๆ ไม่พูดจา
“คุณอยากได้เลิฟเบิร์ดไปเลี้ยงบ้างมั้ยล่ะคะ” เธอเปลี่ยนเรื่องทั้งที่ใจตุ้มๆ ต๋อมๆ
“ขอบคุณครับ เอาไว้ผมอยากเลี้ยงเมื่อไหร่ จะมาขอคุณทันทีเลยล่ะครับ”
ผู้พูดมองเจ้านกตัวเขื่องอีกครั้ง ก่อนตัดใจเดินกลับมายังรถและกล่าวคำอำลา
“ผมลุ้นแทบแย่ กลัวแทบตายว่ามันจะพูดออกมา” ช้างถึงกับโล่งอกเมื่อรถโฟร์วิลคันนั้นวิ่งฝุ่นตลบออกจากฟาร์ม
“ที่จริงเราก็น่าจะคืนเขาไปนะ” เธอพูดอย่างที่คิดจริงๆ
“คุณตา...อยากจะคืนเขาหรือฮะ”
“ใช่...ดูท่าทางเขาจะเสียดายนกตัวนั้นน่าดู ช้างคิดว่ายังไงล่ะ”
เด็กหนุ่มยิ้มแหยๆ
“ถามผม ผมก็จะบอกว่าไม่ให้คืนฮะ” ตอบหน้าตาเฉย
“ก็คุณตาอุตส่าห์สอนมันจนพูดได้แล้วนี่ฮะ เดือนกว่าแล้วนะฮะ อีกอย่าง…อยู่กับเราเพื่อนนกก็ตั้งเยอะแยะ ไม่มีเหงาสักนิดเดียว”
“ว่าไปนั่น อยากได้ไว้ว่างั้นเถอะ แล้วไม่คิดกลับกันบ้างหรือว่า นกเรามีเยอะขนาดนี้แล้ว ยังจะอยากได้ของเขาอีกทำไม” พูดเช่นนั้น ทั้งที่ในใจรู้อยู่เต็มอกว่าตั้งใจจะแก้เผ็ดเรื่อง ‘กล้วย’ นั่นต่างหาก
เด็กช้างไปแล้ว...ขณะฐิตารีย์ได้แต่มองผ่าเปลวแดดไปยังโดมอิสราเอลอย่างอ่อนแรง
หากไม่ใช่เพราะเขามาจากภูมิรพี ชาเล่ต์ ฮิลล์ เธอคงไม่มีวันทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้เด็ดขาด!
ฐิตารีย์สลัดความคิดต่างๆ ออกจากสมองอย่างรวดเร็ว ยังมีอีกหลายเรื่องนักที่เธอต้องจัดการ
หญิงสาวที่หิ้วกระเป๋าเอกสารเข้าออกห้างดังด้วยใบหน้าคร่ำเครียดไม่ใช่ใคร แต่เป็น ‘คุณหนู’ ของฟาร์มเทพทัต ที่เข้ามาเสนอสินค้ากับฝ่ายจัดซื้อ
ที่เคียงข้างคือจ่าสิบเอกชยุตซึ่งหอบหิ้วลังบรรจุผักผลไม้ตัวอย่าง โดยคัดเกรดเอมาโดยเฉพาะ
“ทางเรายังไม่มีพื้นที่…ให้คุณ แต่ยังไงจะติดต่อคุณเป็นเจ้าแรกเลยนะครับ”
ถึงคำพูดนั้นแม้จะผ่านมากว่าชั่วโมง และไม่ใช่การตอบปฏิเสธ แต่สำหรับเธอกลับรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก ทั้งนี่ไม่ใช่ที่แรกที่เธอบากหน้าไปเสนอผลผลิต หากแต่เป็นที่ที่สามแล้ว
“เราคงต้องหาหนทางใหม่กันแล้วล่ะลุงจ่า” บอกเบาๆ ระหว่างนั่งในรถ
“คุณตาจะเอายังไง ผมก็สู้ด้วยทั้งนั้นแหละครับ ขอให้บอกมาคำเดียวเท่านั้น” บอกทั้งที่สายตายังจับจ้องยังท้องถนน
“คุณไม่ลองไปปรึกษาท่านดูล่ะครับ บางที…อาจให้ความคิดดีๆ บ้างก็ได้นะครับ”
คำพูดนั้นทำให้เธอได้แต่ทอดถอนใจ
กลิ่นบางอย่างที่เล็ดรอดออกมาจากคฤหาสน์ไม้ซุงไสตร์คันทรี เป็นอะไรที่เธอคุ้นเคยมาแต่เด็ก กลิ่นกำยานและควันเทียน
“เป็นยังไง เห็นชยุตบอกว่าหลานกำลังหาตลาดใหม่สำหรับผักและผลไม้จากฟาร์มเราไม่ใช่หรือ”
‘ท่าน’ ที่ชยุตเอ่ยถึงนุ่งขาวห่มขาว ยังนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าหิ้งพระใหญ่
รอยยิ้มจางๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าของหลานสาว ทำให้เทพทัตรู้ว่าใจเธอยังสู้
“ยังไม่ได้เรื่องอะไรเลยล่ะค่ะ เห็นว่าพื้นที่มีจำกัด อีกอย่างเจ้าเดิมเขายังไม่หมดสัญญากับทางห้าง”
“แล้วเรื่องที่ว่าจะรวบรวมกลุ่มผู้ค้าล่ะ” เทพทัตยังซักต่อ
“ว่าจะไปคุยกับกลุ่มตำบลดูน่ะค่ะ ฟาร์มเราต้นๆ ทาง น่าจะทำอะไรได้บ้าง” เธอบอกสิ่งที่ตั้งใจ
“หากรวมกลุ่มชาวไร่ทั้งหมดที่นี่ แล้วจัดตั้งเป็นโครงการ โดยเอาสินค้าที่มีมาขาย ก็จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ได้เหมือนกันว่ามั้ยคะ”
เทพทัตพยักหน้าอย่างใช้ความคิด
“ก็…ดีนะ”
“ติดอยู่ที่ว่า…งานนี้คงต้องให้คุณปู่ออกหน้า เพราะลำพังตา คงไม่มีใครเชื่อถือ”
เป็นอีกครั้งที่ผู้สูงอายุพยักหน้ารับ
“เอาเป็นว่า ตาว่ายังไง ปู่ก็เห็นดีด้วยทั้งนั้นก็แล้วกัน”
ฐิตารีย์ยิ้มออก
“แล้วร้านกาแฟหน้าฟาร์มล่ะไปถึงไหน” เทพทัตถามถึงความคืบหน้า
“นี่ไงคะ ตาเอาแบบมาให้คุณปู่ช่วยดูด้วยค่ะ”
พิมพ์เขียวแผ่นใหญ่ที่กางออกเผยให้เห็นแบบแปลน โดยเธออธิบายรายละเอียดให้อีกฝ่ายได้รับรู้
“ตายังไม่รู้เลยค่ะ ว่ามันจะเวิร์ครึเปล่า” น้ำเสียงแสดงถึงความกังวล
“จะกลัวอะไร ในเมื่อตั้งใจไว้แล้วก็ต้องเดินหน้าให้ถึงที่สุด เรื่องข้างหน้าจะเป็นยังไง ก็ค่อยมาว่ากันอีกทีแล้วจะเริ่มลงมือเมื่อไหร่ล่ะ”
“เป็นแบบน็อคดาวน์ ไม่กี่วันก็เสร็จค่ะ ตาตั้งใจจะให้คุณปู่หาฤกษ์ให้ด้วยค่ะ”
ผู้สูงอายุพยักหน้ารับ
“งั้นคืนนี้ปู่จะดูฤกษ์ให้ แล้วที่ไปเรียนปรุงกาแฟทำได้รึยัง” ถามพร้อมรอยยิ้มอย่างเอ็นดู
“พูดแล้วจะหาว่าคุย ตาได้รับคำชมด้วยนะคะ ว่าความจำเป็นเลิศ เขาสอนอะไรตาก็จำ แล้วก็ทำได้แล้วด้วยค่ะ”
ผู้สูงอายุอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในความช่างเจรจาของหลานสาว
“พูดแล้วก็อยากเปิดเร็วๆ นะคะ ตาจะได้ทำให้คุณปู่ได้ลองชิมฝีมือเป็นคนแรกเลยล่ะค่ะ” น้ำเสียงประจบประแจงราวเด็กๆ
“ยังเหลือก็แต่…ทำโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตค่ะ พอเสร็จก็น่าจะทำให้ฟาร์มเทพทัตเป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวจะได้รู้จัก อย่างน้อยพักรถก็ยังดีนะคะ”
เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มของผู้สูงอายุทำให้เธอรู้สึกมีกำลังใจขึ้นอีกมาก
“คิดจะทำงานใหญ่ ก็ต้องมีตัวช่วย”
เทพทัตนำสร้อยซึ่งปรากฏพระยืนองค์เล็กขึ้นอาราธนาก่อนส่งให้หลานสาว
“พระสิวลี พระอรหัต์ซึ่งเป็นเลิศในด้านโชคลาภ”
ฐิตารีย์มองสิ่งที่คุณปู่ส่งให้อย่างนึกไม่ถึง
พระเนื้อโลหะปิดทองคำเปลวแท้แบบลอยองค์ในท่ายืนเล็กก็จริง แต่ยังได้เห็นศิลปะอันงดงาม ของงานช่าง
“เพียงเชื่อในสิ่งที่ทำ นั่นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่หากมีสิ่งที่เสริมพลังใจก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรจริงมั้ย” เทพทัตกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“วัตถุมงคลบางคนอาจคิดว่างมงาย หรือไร้สาระ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหากไม่มีส่วนทำให้สิ่งที่มุ่งมั่น สัมฤทธิ์ผล ก็คงไม่อาจดำรงอยู่มาจนทุกวันนี้”
ทั้งทีเธออยู่ใกล้ชิดกับสิ่งเหล่านี้มาแต่เด็ก แต่ที่ผ่านมาไม่เคยสนใจ ทว่ายามนี้กลับเต็มใจอย่างที่สุดที่จะทำตามความต้องการของคุณปู่
“ตาจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ปู่ก็อยากให้สิ่งดีๆ ที่นำมาซึ่งมงคลสำหรับชีวิตให้กับหลาน จะเห็นว่าด้านซ้ายท่านแบกกรด บางองค์ก็อาจถือพัด สะพายบาตร เหมือนพระธุดงค์”
เธอพินิจตาม
“การสะพายบาตรก็หมายถึงการให้พุทธคุณ ด้านความอุดมสมบูรณ์ มีทรัพย์สิน และเงินทอง”
“แล้วกรดล่ะคะ” เธอเริ่มสนใจ
“ความร่มเย็นไง ส่วนไม้เท้าที่มือขวานั่นคือค้ำจุน เกื้อหนุน ต่อผู้ที่ศรัทธาบูชาท่าน”
ฐิตารีย์นำพระในมือขึ้นประนมอีกครั้งก่อนสวม
“นี่คาถา ท่องจำให้ขึ้นใจ อะไรที่ดีๆ จะได้มาอยู่กับตัวเรา”
“สิวะลีจะมะหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหังวันทามิตังสะทา สีวะลีจะ มะหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิทหิ อะหังวันทามิตังสทา สีวะลี เถระคุณัง เอตังโสตถิลาภัง ภะวันตุเมฯ”
น้ำเสียงก้องกังวานของเทพทัต พาให้ฐิตารีย์ถึงกับขนลุกซู่อย่างไม่ได้ตั้งใจ
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ
หวังว่าคงจะสนุกนะคะ กับตอนที่3นี้ เชิญแวะชมเขียวหวาน หวานตัวเป็นๆ ได้ที่บล็อกของผู้เขียนนะคะhttp://yupakorn.exteen.com/
ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ฝากมาให้ด้วยนะคะ สู้ๆ เช่นกันค่ะ
ยุพากร
จู่ๆ เหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เหมือนเช่นที่เขาพูดกันไว้ไม่ผิด ว่ายามที่ความสุขกำลังพร่างพรมไปทั่วเพราะเจ้านกช่างฉอเราะ ความทุกข์ก็เข้ามาเยือนจนได้
เมื่อเจ้าของนกกลับปรากฏตัวขึ้นที่ฟาร์มเทพทัตอย่างไม่ทันตั้งตัว
ชายหนุ่มมารอเจ้าบ้านนานแล้ว จนทันได้เห็นกระรอกขนสีออกแดงน้ำมันที่สาระวนกับอาหารโปรดอยู่บนต้นหว้าใหญ่ ยังได้เห็นกระแต และกระถิก ที่วิ่งขึ้นลงระหว่างกล้วยเครือยักษ์และกระเช้าเมล็ดทานตะวัน
ไม่ไกลนักที่ระเบียงบ้านปรากฎเจ้าแมวสีขาวอ้วนกลม ลายด่างน้ำตาลอ่อน หางสั้นแค่นิ้วโป้ง ตาสีฟ้าใสแจ๋วจ้องนกปรอตหัวจุกที่กำลังกินกล้วยอย่างเอร็ดอร่อยด้วยดวงตาไม่กระพริบ
ขณะเจ้าแมวลายละเอียดสีดำน้ำตาลสี่ขาขาวเหมือนสวมถุงน่องถึงครึ่งแข้งนอนกระดิกหางที่ปลายกวักเข้าหาตัวอย่างสบายอามณ์
ไกลออกไปคือแมวลายสีอ่อนที่นอนหลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์ โดยทุกตัวมีปลอกคอคนละสี บอกให้รู้ว่าเจ้าของดูแลเอาใจใส่ดีขนาดไหน
แต่จู่ๆ อีกตัวที่ท่าทางเหมือนนักเลงขาใหญ่ตัวล่ำบึ๊กก็เดินนวยนาดมายังเขา พลางกระโดดทีเดียวมาอยู่บนตัก แถมยังทำทีสนิทสนมด้วยการไถหูกับเสื้อเขาก่อนนั่งเก็บมือหลับตาพริ้มบนตักเหมือนคุ้นเคยเป็นแรมปี
“คุณตาครับ คุณคนนี้ที่บอกว่านกหายน่ะครับ นี่คุณตาเจ้าของฟาร์มครับ” ช้างสบตานายจ้างเหมือนมีบางอย่างอยู่ในใจ
ผู้มาเยือนตกใจไม่น้อยเพราะบุคคลที่ก้าวเข้ามากลับเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่อยู่ในชุดกระโปรงยีนเอี๊ยมยาว พร้อมรองเท้าบู๊ทสั้น ไม่ใช่ชายแก่อายุเจ็ดสิบอย่างที่คิดไว้แม้แต่น้อย
ซ้ำชื่อฟาร์มก็บ่งบอกว่าต้องเป็นผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัย เขาเข้าใจผิดมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ ครั้นจะลุกก็กลับเกรงใจเจ้าแมวลายจึงได้แต่ยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าเท่านั้น
“ตายจริง! ช้าง เอาเจ้าพรายออกจากตักคุณ….ที ต้องขอโทษด้วยนะคะ” เธอเกรงใจจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เขากำลังสบาย” ผู้พูดอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม
“อย่าเลยค่ะ ช้างเอาออกไปที” เธอบอกอีกครั้ง
เจ้าแมวตัวดีเหมือนฟังออก เพราะไม่รอให้ช้างเข้ามาอุ้ม แต่กลับลุกขึ้นบ่นกะปอดกะแปด ก่อนกระโดดแผล็วไปเลียเนื้อเลียตัวอย่างเย่อหยิ่ง
“ตัวผู้หรือตัวเมียครับ” ถามพร้อมรอยยิ้ม
“ตัวผู้ค่ะ”
“ที่บ้านผมมีเปอร์เซียชื่อกล้วยหอมอยู่ตัวเดียว ดื้อน่าดูเลยครับ” เขาบอกอย่างอารมณ์ดี
“ชื่ออะไรกันบ้างครับนี่” เขายังคงชวนคุยด้วยทีท่าทีเป็นมิตร
“ตัวสีขาวไม่มีหางนั่น ‘โพล่า’ ค่ะ ส่วนที่ตัวสีอ่อนใหญ่กว่าเพื่อน ยัย ‘พลอย’ ค่ะ แล้วตัวเล็กถุงเท้าขาวแม่ ‘พราว’ ค่ะ”
“คุณคงชอบแมวมาก”
ฐิตารีย์พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าไม่กัดกันก็โอเคนะคะ แต่ตัวผู้อยู่ด้วยกันก็มีปัญหาตลอด นายพลายนี่ชอบข่มเจ้าโพล่าค่ะ ทั้งๆ แม่เดียวกันแท้ๆ หรือถือว่าตัวเองตัวใหญ่กว่าเพราะเกิดก่อนก็ไม่ทราบ” เธอพูดไปอย่างนั้นเองทั้งที่รู้ถึงพฤติกรรมของแมวตัวผู้ดีอยู่แล้ว ว่าใกล้กันไม่ได้เด็ดขาด
ผู้รับฟังพลอยยิ้มไปด้วยอย่างลืมตัว
“เป็นสัญชาติญาณเขาน่ะครับ”
การสนทนาหยุดลงกลางคัน เมื่อช้างนำน้ำองุ่นแดงเย็นเฉียบเข้ามาเสิร์ฟ
“จริงสิคะ เห็นเด็กบอกว่านกคุณหาย” เธอกลับมาเข้าเรื่อง
“ครับ…ผมมาจาก ภูมิรพี ชาเล่ต์ ฮิลล์ พอดีคนของผมบอกว่านกบินเข้ามาในฟาร์มนี่”
ชื่อไร่นั้นทำให้อารมณ์ของเธอเหมือนถูกเบรคกะทันหัน ถึงกับต้องนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ เพราะยังโมโหไม่หายกับเรื่องที่คนงานของไร่นั่นได้ก่อไว้
“เผอิญผมไม่อยู่เสียหลายวัน เลยเพิ่งทราบเรื่องที่เกิดขึ้นน่ะครับ”
ความเงียบของคู่สนทนาทำให้ชายหนุ่มอึดอัดขึ้นมาฉับพลัน
“เอ่อ…คือ ผมตั้งใจ มาขอโทษคุณแทนคนงานของผมที่มาก่อเรื่อง…กล้วยนั่นด้วยน่ะครับ” เขาเข้าเรื่องไม่อ้อมค้อม
“และกระเช้านี่ผมก็ตั้งใจมาเยี่ยมไข้ท่านนายพลโดยเฉพาะครับ”
ฐิตารีย์ปรายตากระเช้าที่จัดมาอย่างงดงามนั่นแวบหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะตคนงานของหมอนี่ดอดเข้ามาตัดกล้วยท้ายฟาร์ม ทั้งที่ยังกินไม่ได้ไปกว่าสิบเครือ เธอคงมีอารมณ์ชื่นชมสตอร์เบอร์รี่เกรดเอลูกใหญ่ยักษ์นี่ไม่น้อย
ความเงียบที่เช้ามาแทรกทำให้แขกผู้มาเยือนอึดอัดจนบอกไม่ถูก
“เรื่อง ค่าเสียหายเรื่องกล้วยนั่น…” เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ‘เรื่องของกล้วย’ บางครั้งมันก็ไม่ได้ ‘กล้วย’ เสมอไป
“ช่างเถอะค่ะ ไหนๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว” บอกเสียงเข้ม กล้ำกลืนความรู้สึกไม่พอใจไว้ให้ลึกที่สุด
“อีกอย่าง ดิฉันคิดเสียว่า ‘ทำทาน’ ก็เท่านั้น”
ผู้ฟังแทบสะอึกกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอุตส่าห์ฝืนยิ้ม
“ช้างพาคุณไปดูที่ ‘ซุ้มกระต่าย’ หรือยังจ๊ะ” เธอเปลี่ยนเรื่องเสีย
“ยังเลยครับ” ช้างตอบอย่างนอบน้อม
“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณดีกว่าคะ” เธอยังพยามรักษากริยาทั้งที่ในใจคุกรุ่น
ฐิตารีย์พาเขาขึ้นรถกอล์ฟ โดยเธอเป็นคนขับมุ่งไปยังสวนนกสถานที่ทั้งรักทั้งหวงของฟาร์มนี้
สวนป่าที่ร่มรื่นตลอดสองข้างทางประกอบกับกรงขนาดใหญ่ยักษ์ทำให้ไม่ต่างอะไรกับสวนสัตว์ อีกทั้งสวนหย่อมซึ่งตกแต่งอย่างงดงามก็ทำให้สัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเจ้าบ้าน
“ตรงนี้คือบ้านผีเสื้อค่ะ แต่ถ้าคุณเป็นภูมิแพ้ ก็ไม่แนะนำให้เยี่ยมชม” ไกด์จำเป็นบอกเรื่อยๆ
“ที่นี่เรารวบรวมพันธุ์หายากไว้ด้วยค่ะ”
“อย่าบอกนะครับว่าคุณมี...ผีเสื้อสมิงเชียงดาวด้วย” เขาเอ่ยถึงผีเสื้อพันธุ์หายากที่กำลังจะสูญพันธุ์ไปอย่างนั้นเอง
เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะรู้จัก
“คุณอยากเห็นมั้ยล่ะคะ”
ดูเหมือนเขาจะยังงุนงงกับคำถามของเธอ
ภูมิรพีนึกขึ้นมาได้กับเรื่องเล่าขานปากต่อปาก ถึงการจับผีเสื้อเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินโดยชาวญี่ปุ่นได้จ้างวานคนในพื้นที่ ซึ่งเริ่มจากตัวละไม่กี่พัน จนกลายเป็นตัวละหลายหมื่นเมื่อเริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ
“เราไม่ได้ซื้อมาหรอกค่ะ คนที่เขานับถือคุณปู่ให้มาอีกที ส่วนคุณพ่อเห็นว่าจะสูญพันธุ์ก็เลยอยากจะอนุรักษ์มันเอาไว้” เธอรีบบอก เพราะเกรงว่าเขาจะคิดว่าบิดาซื้อหามาโดยมิชอบ
ต่อจากกรงผีเสื้อจึงได้ยินเสียงนกที่พากันร้องเซ็งแซ่ให้ได้ยิน
“คงต้องลงเดินแล้วล่ะค่ะ” เธอบอกเมื่อนำรถเข้าข้างทาง
กรงจำนวนมากเป็นทิวแถวซึ่งอยู่ในโดมใหญ่ ที่รายล้อมด้วยต้นไม่นาๆ พรรณ ทำให้เขาคิดว่าที่นี่คือสวนสัตว์ชัดๆ ไม่ใช่ฟาร์มผักออร์แกนิกแม้แต่น้อย
“ผมว่าคุณคงต้องเปลี่ยนชื่อฟาร์มแล้วล่ะครับ” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เธอมองอย่างไม่เข้าใจ
“ก็...สัตว์เลี้ยงคุณมีมากมายขนาดนี้”
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นยังริมฝีปากของเจ้าของหางเปียคู่แวบหนึ่ง
“ที่นี่เรามีนกอยู่หลายพันธุ์ เชิญค่ะ แถวนี้จะหนวกหูหน่อยนะคะ เพราะ...เลิฟเบิร์ดช่างเจรจา”
นกเลิฟเบิดร์ดสีสันสดสวยที่อยู่กันเป็นคู่ๆ ทำให้เขาต้องหยุดมอง ยังมีมาคอร์ที่ส่งเสียงร้องแต่ละทีทำให้เขาต้องสะดุ้ง
เขายังได้เห็นนกฟินช์เจ็ดสี ค๊อคกาเทล คอนัวร์ และกระตั้วที่ช่างเจรจาแถมยังเต้นรำได้ ทั้งหมดนั้นทำให้เขาต้องเผลอยิ้มเลยทีเดียว
“คุณคงชอบสัตว์มาก” เขาชวนคุย
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ” เธอแบ่งรับแบ่งสู้
เขาหันมามองเธอเต็มๆ ตา
“คุณปู่ กับคุณพ่อชอบน่ะค่ะ ก็เลยชอบตามๆ กันมามากกว่า”
“งั้นหรือครับ ผมคง…ได้มีโอกาสได้เจอท่าน”
ฐิตารีย์ได้แต่ยิ้มรับ โดยปราศจากคำตอบรับหรือปฏิเสธ
แล้วก็มาถึงเวลาที่แขกกล่าวคำอำลาจนได้
“เสียใจด้วยนะคะ ที่…ไม่เจอนกของคุณ มันอาจจะบินไปที่อื่นก็ได้นะคะ” ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะเลือดเย็นพอจะพูดประโยคนั้นออกมา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็…แค่หวังว่ามันจะไม่อดตายเท่านั้น”
ฐิตารีย์ถึงกับพูดไม่ออกกับสิ่งที่ได้ยิน
“โอกาสหน้าผมคงต้องมารบกวนอีก เพราะติดใจนก และแมวของคุณเข้าแล้ว” เขาบอกอย่างมีไมตรีจิต
“เชิญสิคะ ดิฉันจะสั่งเด็กไว้ ว่าให้คุณเข้าไปชมได้ทุกเวลา”
“งั้น…ผมคงต้องขอลาเลยนะครับ”
เธอถึงกับโล่งอกเมื่อแขกเปิดประตูรถ แต่จู่ๆ เสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามา ทำให้ภูมิรพีถึงกับชะงักไปทันที
“คุณมีนกที่อื่นอีกงั้นหรือครับ”
ดวงตาอันคมกริบของอีกฝ่ายราวจะทำให้เธอมอดไหม้ไปตรงนั้น ทั้งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเสียงนั้นจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเสียงของแก้วโม่งที่เขากำลังตามหา
“…ค่ะ” เธอเองก็ใจคอไม่ดีเช่นกัน
“ผมขอชมได้มั้ยครับ”
ดวงตาทั้งคู่นั่นทำให้เธอร้อนที่หน้าขึ้นมาอย่างประหลาด ไม่ได้คิดไปเองแน่ว่าเขาเหมือนต้องการจับผิดเธอชัดๆ เช่นเดียวกับช้างซึ่งได้แต่มองหน้านายสาวด้วยใจที่เต้นระทึก
หากเธอพาเขาไปดูเจ้านกเจ้าปัญหานั่น มันยังจะจำเจ้าของได้หรือเปล่า แต่นาทีนั้นก็จำต้องเดินนำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แล้วเธอก็พาเขามาถึงกรงของเจ้าแก้วโม่งจนได้
“เจ้าตัวนี้ของคุณ ชื่ออะไรครับ” เขามองในกรงอย่างพินิจ
นาทีนั้นที่สมองสั่งการอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดไว้หลายชื่อแต่ยังตัดสินใจไม่ได้สักที
“เอ่อ…เขียวหวานค่ะ” เธอหลุดปากออกไปจนได้
“ตัวผู้ หรือตัวเมียครับ”
เธออ้ำอึ้ง หมอนี่จะซักไซ้ไปถึงไหนกันนะ เช่นเดียวกับช้างที่มองตานายสาวอย่างลุ้นเต็มที่
“น่าจะ...ตัวเมียนะคะ ต้องถามคุณพ่อดูน่ะค่ะ” เธอได้แต่นึกภาวนาอยู่ในใจว่าอย่าให้เจ้านกได้เอ่ยปากพูด
“ของผมตัวผู้...น่าเสียดายจริงๆ เป็นไงเราชื่อเขียวหวานอย่างนั้นหรือ” เขาทักทายราวกับมันรู้เรื่อง
นาทีนั้นที่หญิงสาวต้องกลั้นใจ หากพูดออกมาเพียงคำเดียว คำนั้น… “รักคุณเข้าแล้ว” เธอย่อมต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีลักทรัพย์อย่างไม่ต้องสงสัย
ภูมิรพียังเหมือนไม่มั่นใจ แต่เพราะไม่มีสิ่งใดสามารถยืนยันได้ว่าเป็นนกของเขาจึงได้แต่นิ่งเงียบเท่านั้น แถมเจ้านกนี่ก็ไม่มีทีท่าสนใจเขาแม้แต่น้อย เพราะเอาแต่แทะข้าวโพดฝักโตตุ้ยๆ ไม่พูดจา
“คุณอยากได้เลิฟเบิร์ดไปเลี้ยงบ้างมั้ยล่ะคะ” เธอเปลี่ยนเรื่องทั้งที่ใจตุ้มๆ ต๋อมๆ
“ขอบคุณครับ เอาไว้ผมอยากเลี้ยงเมื่อไหร่ จะมาขอคุณทันทีเลยล่ะครับ”
ผู้พูดมองเจ้านกตัวเขื่องอีกครั้ง ก่อนตัดใจเดินกลับมายังรถและกล่าวคำอำลา
“ผมลุ้นแทบแย่ กลัวแทบตายว่ามันจะพูดออกมา” ช้างถึงกับโล่งอกเมื่อรถโฟร์วิลคันนั้นวิ่งฝุ่นตลบออกจากฟาร์ม
“ที่จริงเราก็น่าจะคืนเขาไปนะ” เธอพูดอย่างที่คิดจริงๆ
“คุณตา...อยากจะคืนเขาหรือฮะ”
“ใช่...ดูท่าทางเขาจะเสียดายนกตัวนั้นน่าดู ช้างคิดว่ายังไงล่ะ”
เด็กหนุ่มยิ้มแหยๆ
“ถามผม ผมก็จะบอกว่าไม่ให้คืนฮะ” ตอบหน้าตาเฉย
“ก็คุณตาอุตส่าห์สอนมันจนพูดได้แล้วนี่ฮะ เดือนกว่าแล้วนะฮะ อีกอย่าง…อยู่กับเราเพื่อนนกก็ตั้งเยอะแยะ ไม่มีเหงาสักนิดเดียว”
“ว่าไปนั่น อยากได้ไว้ว่างั้นเถอะ แล้วไม่คิดกลับกันบ้างหรือว่า นกเรามีเยอะขนาดนี้แล้ว ยังจะอยากได้ของเขาอีกทำไม” พูดเช่นนั้น ทั้งที่ในใจรู้อยู่เต็มอกว่าตั้งใจจะแก้เผ็ดเรื่อง ‘กล้วย’ นั่นต่างหาก
เด็กช้างไปแล้ว...ขณะฐิตารีย์ได้แต่มองผ่าเปลวแดดไปยังโดมอิสราเอลอย่างอ่อนแรง
หากไม่ใช่เพราะเขามาจากภูมิรพี ชาเล่ต์ ฮิลล์ เธอคงไม่มีวันทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้เด็ดขาด!
ฐิตารีย์สลัดความคิดต่างๆ ออกจากสมองอย่างรวดเร็ว ยังมีอีกหลายเรื่องนักที่เธอต้องจัดการ
หญิงสาวที่หิ้วกระเป๋าเอกสารเข้าออกห้างดังด้วยใบหน้าคร่ำเครียดไม่ใช่ใคร แต่เป็น ‘คุณหนู’ ของฟาร์มเทพทัต ที่เข้ามาเสนอสินค้ากับฝ่ายจัดซื้อ
ที่เคียงข้างคือจ่าสิบเอกชยุตซึ่งหอบหิ้วลังบรรจุผักผลไม้ตัวอย่าง โดยคัดเกรดเอมาโดยเฉพาะ
“ทางเรายังไม่มีพื้นที่…ให้คุณ แต่ยังไงจะติดต่อคุณเป็นเจ้าแรกเลยนะครับ”
ถึงคำพูดนั้นแม้จะผ่านมากว่าชั่วโมง และไม่ใช่การตอบปฏิเสธ แต่สำหรับเธอกลับรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก ทั้งนี่ไม่ใช่ที่แรกที่เธอบากหน้าไปเสนอผลผลิต หากแต่เป็นที่ที่สามแล้ว
“เราคงต้องหาหนทางใหม่กันแล้วล่ะลุงจ่า” บอกเบาๆ ระหว่างนั่งในรถ
“คุณตาจะเอายังไง ผมก็สู้ด้วยทั้งนั้นแหละครับ ขอให้บอกมาคำเดียวเท่านั้น” บอกทั้งที่สายตายังจับจ้องยังท้องถนน
“คุณไม่ลองไปปรึกษาท่านดูล่ะครับ บางที…อาจให้ความคิดดีๆ บ้างก็ได้นะครับ”
คำพูดนั้นทำให้เธอได้แต่ทอดถอนใจ
กลิ่นบางอย่างที่เล็ดรอดออกมาจากคฤหาสน์ไม้ซุงไสตร์คันทรี เป็นอะไรที่เธอคุ้นเคยมาแต่เด็ก กลิ่นกำยานและควันเทียน
“เป็นยังไง เห็นชยุตบอกว่าหลานกำลังหาตลาดใหม่สำหรับผักและผลไม้จากฟาร์มเราไม่ใช่หรือ”
‘ท่าน’ ที่ชยุตเอ่ยถึงนุ่งขาวห่มขาว ยังนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าหิ้งพระใหญ่
รอยยิ้มจางๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าของหลานสาว ทำให้เทพทัตรู้ว่าใจเธอยังสู้
“ยังไม่ได้เรื่องอะไรเลยล่ะค่ะ เห็นว่าพื้นที่มีจำกัด อีกอย่างเจ้าเดิมเขายังไม่หมดสัญญากับทางห้าง”
“แล้วเรื่องที่ว่าจะรวบรวมกลุ่มผู้ค้าล่ะ” เทพทัตยังซักต่อ
“ว่าจะไปคุยกับกลุ่มตำบลดูน่ะค่ะ ฟาร์มเราต้นๆ ทาง น่าจะทำอะไรได้บ้าง” เธอบอกสิ่งที่ตั้งใจ
“หากรวมกลุ่มชาวไร่ทั้งหมดที่นี่ แล้วจัดตั้งเป็นโครงการ โดยเอาสินค้าที่มีมาขาย ก็จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ได้เหมือนกันว่ามั้ยคะ”
เทพทัตพยักหน้าอย่างใช้ความคิด
“ก็…ดีนะ”
“ติดอยู่ที่ว่า…งานนี้คงต้องให้คุณปู่ออกหน้า เพราะลำพังตา คงไม่มีใครเชื่อถือ”
เป็นอีกครั้งที่ผู้สูงอายุพยักหน้ารับ
“เอาเป็นว่า ตาว่ายังไง ปู่ก็เห็นดีด้วยทั้งนั้นก็แล้วกัน”
ฐิตารีย์ยิ้มออก
“แล้วร้านกาแฟหน้าฟาร์มล่ะไปถึงไหน” เทพทัตถามถึงความคืบหน้า
“นี่ไงคะ ตาเอาแบบมาให้คุณปู่ช่วยดูด้วยค่ะ”
พิมพ์เขียวแผ่นใหญ่ที่กางออกเผยให้เห็นแบบแปลน โดยเธออธิบายรายละเอียดให้อีกฝ่ายได้รับรู้
“ตายังไม่รู้เลยค่ะ ว่ามันจะเวิร์ครึเปล่า” น้ำเสียงแสดงถึงความกังวล
“จะกลัวอะไร ในเมื่อตั้งใจไว้แล้วก็ต้องเดินหน้าให้ถึงที่สุด เรื่องข้างหน้าจะเป็นยังไง ก็ค่อยมาว่ากันอีกทีแล้วจะเริ่มลงมือเมื่อไหร่ล่ะ”
“เป็นแบบน็อคดาวน์ ไม่กี่วันก็เสร็จค่ะ ตาตั้งใจจะให้คุณปู่หาฤกษ์ให้ด้วยค่ะ”
ผู้สูงอายุพยักหน้ารับ
“งั้นคืนนี้ปู่จะดูฤกษ์ให้ แล้วที่ไปเรียนปรุงกาแฟทำได้รึยัง” ถามพร้อมรอยยิ้มอย่างเอ็นดู
“พูดแล้วจะหาว่าคุย ตาได้รับคำชมด้วยนะคะ ว่าความจำเป็นเลิศ เขาสอนอะไรตาก็จำ แล้วก็ทำได้แล้วด้วยค่ะ”
ผู้สูงอายุอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในความช่างเจรจาของหลานสาว
“พูดแล้วก็อยากเปิดเร็วๆ นะคะ ตาจะได้ทำให้คุณปู่ได้ลองชิมฝีมือเป็นคนแรกเลยล่ะค่ะ” น้ำเสียงประจบประแจงราวเด็กๆ
“ยังเหลือก็แต่…ทำโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตค่ะ พอเสร็จก็น่าจะทำให้ฟาร์มเทพทัตเป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวจะได้รู้จัก อย่างน้อยพักรถก็ยังดีนะคะ”
เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มของผู้สูงอายุทำให้เธอรู้สึกมีกำลังใจขึ้นอีกมาก
“คิดจะทำงานใหญ่ ก็ต้องมีตัวช่วย”
เทพทัตนำสร้อยซึ่งปรากฏพระยืนองค์เล็กขึ้นอาราธนาก่อนส่งให้หลานสาว
“พระสิวลี พระอรหัต์ซึ่งเป็นเลิศในด้านโชคลาภ”
ฐิตารีย์มองสิ่งที่คุณปู่ส่งให้อย่างนึกไม่ถึง
พระเนื้อโลหะปิดทองคำเปลวแท้แบบลอยองค์ในท่ายืนเล็กก็จริง แต่ยังได้เห็นศิลปะอันงดงาม ของงานช่าง
“เพียงเชื่อในสิ่งที่ทำ นั่นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่หากมีสิ่งที่เสริมพลังใจก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรจริงมั้ย” เทพทัตกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“วัตถุมงคลบางคนอาจคิดว่างมงาย หรือไร้สาระ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหากไม่มีส่วนทำให้สิ่งที่มุ่งมั่น สัมฤทธิ์ผล ก็คงไม่อาจดำรงอยู่มาจนทุกวันนี้”
ทั้งทีเธออยู่ใกล้ชิดกับสิ่งเหล่านี้มาแต่เด็ก แต่ที่ผ่านมาไม่เคยสนใจ ทว่ายามนี้กลับเต็มใจอย่างที่สุดที่จะทำตามความต้องการของคุณปู่
“ตาจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ปู่ก็อยากให้สิ่งดีๆ ที่นำมาซึ่งมงคลสำหรับชีวิตให้กับหลาน จะเห็นว่าด้านซ้ายท่านแบกกรด บางองค์ก็อาจถือพัด สะพายบาตร เหมือนพระธุดงค์”
เธอพินิจตาม
“การสะพายบาตรก็หมายถึงการให้พุทธคุณ ด้านความอุดมสมบูรณ์ มีทรัพย์สิน และเงินทอง”
“แล้วกรดล่ะคะ” เธอเริ่มสนใจ
“ความร่มเย็นไง ส่วนไม้เท้าที่มือขวานั่นคือค้ำจุน เกื้อหนุน ต่อผู้ที่ศรัทธาบูชาท่าน”
ฐิตารีย์นำพระในมือขึ้นประนมอีกครั้งก่อนสวม
“นี่คาถา ท่องจำให้ขึ้นใจ อะไรที่ดีๆ จะได้มาอยู่กับตัวเรา”
“สิวะลีจะมะหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหังวันทามิตังสะทา สีวะลีจะ มะหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิทหิ อะหังวันทามิตังสทา สีวะลี เถระคุณัง เอตังโสตถิลาภัง ภะวันตุเมฯ”
น้ำเสียงก้องกังวานของเทพทัต พาให้ฐิตารีย์ถึงกับขนลุกซู่อย่างไม่ได้ตั้งใจ
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ
หวังว่าคงจะสนุกนะคะ กับตอนที่3นี้ เชิญแวะชมเขียวหวาน หวานตัวเป็นๆ ได้ที่บล็อกของผู้เขียนนะคะhttp://yupakorn.exteen.com/
ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ฝากมาให้ด้วยนะคะ สู้ๆ เช่นกันค่ะ
ยุพากร
ยุพากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ต.ค. 2554, 10:27:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ต.ค. 2555, 16:39:19 น.
จำนวนการเข้าชม : 1897
<< ตอน 2 กรยุพา . ยุพากร | ตอน 4 กรยุพา . ยุพากร >> |
nako 18 ต.ค. 2554, 12:24:03 น.
รอตอนต่อไปค้า
รอตอนต่อไปค้า
ยุพากร 18 ต.ค. 2554, 14:45:01 น.
ขอบคุณ คุณnako มากมายค่ะ
ขอบคุณ คุณnako มากมายค่ะ
anOO 18 ต.ค. 2554, 19:19:20 น.
รอตอนต่อไปค่ะ ยังเดาทางเรื่องไม่ค่อยถูก
รอตอนต่อไปค่ะ ยังเดาทางเรื่องไม่ค่อยถูก
ยุพากร 19 ต.ค. 2554, 10:31:44 น.
สวัสดีค่ะ คุณanoo
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับกำลังใจ อิอิ ติดตามต่อไป จะเดาได้นะคะ
สวัสดีค่ะ คุณanoo
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับกำลังใจ อิอิ ติดตามต่อไป จะเดาได้นะคะ
แม่อุ้ยเกี้ยวหมาก 20 ต.ค. 2554, 23:05:39 น.
Wow!! อยากได้สักตัวค่ะ จะสอนให้พูดๆๆ เลย แหะๆ ^^ รออยู่นะคะพี่สาว
Wow!! อยากได้สักตัวค่ะ จะสอนให้พูดๆๆ เลย แหะๆ ^^ รออยู่นะคะพี่สาว
nuchababluesky 25 ต.ค. 2554, 23:59:25 น.
อ่อ เจ้าเขียวหวานมีที่มาทีไปอย่างนี้นี่เอง
ตาและช้างผิดเต็มเลยนะนั่นที่ติต่างว่านกของคนอื่นเป็นของตัวเอง
น่าเห็นใจเจ้าของนกที่เป็นชายหนุ่มนะค่ะ พระเอกของเราใช่เปล่า?
ยิ้มแย้มแจ่มใสดีน่ะ ส่วนมากนิยายของไรเตอร์จะให้พระเอกมาในมาดขรึมพูดน้อยๆต่อยหนัก แต่เรื่องนั้พระเอกน่ารักดีค่ะ
เจ้าแก้วโม่งเขาลืมเจ้านายหรือว่าเห็นแก่กินจนลืมเจ้านายหว่า
เจ้านายคอตกกลับบ้านเลยที่ไม่ได้นกตัวโปรดกลับบ้านด้วย
ช้างอีกคนท่าจะหวงเจ้าเขียวหวานอยู่ไม่น้อย
เจ้าพรายซ่าส์อ่ะ อยู่ดีๆกระโดดขึ้นไปนอนบนตักของคนอื่นซะงั้น โอ้โหใจกล้าจริง เอ๊า เจ้าพรายนักเลงนะชอบรังแกโพล่าน้องนะนั่น เจ้าพรายขี้เบ่ง สงสารโพล่า เจ้าพราวก็น่ารักดีค่ะ
สวนผักออร์แกนิกส์หรือ สวนสัตว์เนี่ย อิอิ
ว๊าวว ตาจะเปิดร้านขายกาแฟด้วยแหะ ขี้คุยรึเปล่าตา จพสูตรกาแฟได้หมดเลยเหรอ ต้องดุวันเปิดร้านนะว่าฝีมือชงกาแฟของตาจะทำออกมาอร่อยสักขนาดไหน?
ชอบคำสอนของคุณปู่อีกแล้ว เชื่อในสิ่งที่ทำก็ถือว่าสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว คำคมจากคุณปู่มาทุกตอนแล้ว อ่านแล้วมีกำลังใจในการทำงานจัง
พระสิวลี คาถานี้พี่นุชสวดทุกวันค่ะ จะได้มีโชคลาภเยอะๆ
พี่สาวพี่นุชก็ห้อยพระสิวลีค่ะ
น่าสงสารตาค่ะ ไปเสนอสินค้าที่ไหนไม่มีเจ้าไหนรับเลย
สู้สู้ ไม่ลองไปเสนอที่ไร่ ภูมิรพีดูล่ะ เผื่อฟลุค หึหึ
สำหรับหินอเมทิสพี่นุชทำงานสปาค่ะ มีวิชาที่ต้องเรียนเพิ่มเติมคือหินสีต่างๆค่ะ เอาไว้ช่วยลูกค้าที่มีเคสที่แตกต่างกันออกไป
เวลาที่พี่นุชมีทรีทเมนท์นวดหินจะเปิดจักระทั้ง 7 จุดบนร่างกายของคนเราก่อนค่ะ ประมาณ 10 นาทีเลยต้องเรียนเรื่องหินชนิดต่างๆค่ะ
ถ้าในเรื่องของความรักต้อง โรสควตซ์ค่ะ หินสีชมพูมีไว้เสริมในเรื่องของความรักค่ะ ไทเกอร์อายหินสีเหลือ
ปนดำ เสริมในเรื่องความเข้มแข็งของจิตใจค่ะ แต่พี่นุชว่าไทเกอร์อายมีไว้แล้วทำให้คนดุค่ะ พี่นุชเลยไม่ค่อยชอบ
ความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ ไรเตอร์
>> ที่นี่เรามีนกอยู่หลายพันธ์......โหนกหูหน่อยนะคะ = หนวกหูจ๊ะ
พี่นุชไปเที่ยวชมบล็อกก่อนนะจ๊ะ อยากรูจักเจ้าเขียวหวานจ๊ะ
อ่อ เจ้าเขียวหวานมีที่มาทีไปอย่างนี้นี่เอง
ตาและช้างผิดเต็มเลยนะนั่นที่ติต่างว่านกของคนอื่นเป็นของตัวเอง
น่าเห็นใจเจ้าของนกที่เป็นชายหนุ่มนะค่ะ พระเอกของเราใช่เปล่า?
ยิ้มแย้มแจ่มใสดีน่ะ ส่วนมากนิยายของไรเตอร์จะให้พระเอกมาในมาดขรึมพูดน้อยๆต่อยหนัก แต่เรื่องนั้พระเอกน่ารักดีค่ะ
เจ้าแก้วโม่งเขาลืมเจ้านายหรือว่าเห็นแก่กินจนลืมเจ้านายหว่า
เจ้านายคอตกกลับบ้านเลยที่ไม่ได้นกตัวโปรดกลับบ้านด้วย
ช้างอีกคนท่าจะหวงเจ้าเขียวหวานอยู่ไม่น้อย
เจ้าพรายซ่าส์อ่ะ อยู่ดีๆกระโดดขึ้นไปนอนบนตักของคนอื่นซะงั้น โอ้โหใจกล้าจริง เอ๊า เจ้าพรายนักเลงนะชอบรังแกโพล่าน้องนะนั่น เจ้าพรายขี้เบ่ง สงสารโพล่า เจ้าพราวก็น่ารักดีค่ะ
สวนผักออร์แกนิกส์หรือ สวนสัตว์เนี่ย อิอิ
ว๊าวว ตาจะเปิดร้านขายกาแฟด้วยแหะ ขี้คุยรึเปล่าตา จพสูตรกาแฟได้หมดเลยเหรอ ต้องดุวันเปิดร้านนะว่าฝีมือชงกาแฟของตาจะทำออกมาอร่อยสักขนาดไหน?
ชอบคำสอนของคุณปู่อีกแล้ว เชื่อในสิ่งที่ทำก็ถือว่าสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว คำคมจากคุณปู่มาทุกตอนแล้ว อ่านแล้วมีกำลังใจในการทำงานจัง
พระสิวลี คาถานี้พี่นุชสวดทุกวันค่ะ จะได้มีโชคลาภเยอะๆ
พี่สาวพี่นุชก็ห้อยพระสิวลีค่ะ
น่าสงสารตาค่ะ ไปเสนอสินค้าที่ไหนไม่มีเจ้าไหนรับเลย
สู้สู้ ไม่ลองไปเสนอที่ไร่ ภูมิรพีดูล่ะ เผื่อฟลุค หึหึ
สำหรับหินอเมทิสพี่นุชทำงานสปาค่ะ มีวิชาที่ต้องเรียนเพิ่มเติมคือหินสีต่างๆค่ะ เอาไว้ช่วยลูกค้าที่มีเคสที่แตกต่างกันออกไป
เวลาที่พี่นุชมีทรีทเมนท์นวดหินจะเปิดจักระทั้ง 7 จุดบนร่างกายของคนเราก่อนค่ะ ประมาณ 10 นาทีเลยต้องเรียนเรื่องหินชนิดต่างๆค่ะ
ถ้าในเรื่องของความรักต้อง โรสควตซ์ค่ะ หินสีชมพูมีไว้เสริมในเรื่องของความรักค่ะ ไทเกอร์อายหินสีเหลือ
ปนดำ เสริมในเรื่องความเข้มแข็งของจิตใจค่ะ แต่พี่นุชว่าไทเกอร์อายมีไว้แล้วทำให้คนดุค่ะ พี่นุชเลยไม่ค่อยชอบ
ความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ ไรเตอร์
>> ที่นี่เรามีนกอยู่หลายพันธ์......โหนกหูหน่อยนะคะ = หนวกหูจ๊ะ
พี่นุชไปเที่ยวชมบล็อกก่อนนะจ๊ะ อยากรูจักเจ้าเขียวหวานจ๊ะ
ยุพากร 26 ต.ค. 2554, 08:25:50 น.
ขอบคุณ แม่อุ้ยด้วยค่ะ
ขอบคุณ แม่อุ้ยด้วยค่ะ
ยุพากร 26 ต.ค. 2554, 11:13:24 น.
กราบขอบคุณสำหรับความรู้เรื่องหินสีค่ะพี่นุช จะได้ใช้เป็นประโยชน์ต่อไปได้แน่นอนค่ะ ดีใจจังค่ะที่พี่นุชเข้าไปเยี่ยมที่บล็อก งานนี้ยังไม่ได้รีไรท์ อาจอ่านไม่ลื่นไหลเท่าไหร่นะคะ
อิอิ พี่นุชอ่านซะทะลุปรุโปร่งอีกแล้ว พระเอกของเรื่องที่ผ่านๆ มาประมาณนั้นค่ะ แต่กับเรื่องนี้ก็ยังคงจะเก็บมาดนั้นไว้บ้าง แต่จะให้รู้สึกเบาขึ้น ยังไม่ทราบว่าเขียนๆ ไปแล้วจะหลงเองรึเปล่าสิคะ เพราะโดยส่วนตัวชอบพระเอกอย่างที่พี่นุชบอกมานั่นแหละค่ะ อิอิ
พระสิวลีผู้เขียนบูชาเป็นประจำเช่นกันค่ะ ขอบคุณสำหรับคำผิดด้วยนะคะ
กราบขอบคุณสำหรับความรู้เรื่องหินสีค่ะพี่นุช จะได้ใช้เป็นประโยชน์ต่อไปได้แน่นอนค่ะ ดีใจจังค่ะที่พี่นุชเข้าไปเยี่ยมที่บล็อก งานนี้ยังไม่ได้รีไรท์ อาจอ่านไม่ลื่นไหลเท่าไหร่นะคะ
อิอิ พี่นุชอ่านซะทะลุปรุโปร่งอีกแล้ว พระเอกของเรื่องที่ผ่านๆ มาประมาณนั้นค่ะ แต่กับเรื่องนี้ก็ยังคงจะเก็บมาดนั้นไว้บ้าง แต่จะให้รู้สึกเบาขึ้น ยังไม่ทราบว่าเขียนๆ ไปแล้วจะหลงเองรึเปล่าสิคะ เพราะโดยส่วนตัวชอบพระเอกอย่างที่พี่นุชบอกมานั่นแหละค่ะ อิอิ
พระสิวลีผู้เขียนบูชาเป็นประจำเช่นกันค่ะ ขอบคุณสำหรับคำผิดด้วยนะคะ