กลรัก สลับหัวใจ
เมื่อเพื่อนสาวจอมยุ่ง จับผลัดจับพลูให้เธอนัดไปดูตัวกับคาสโนว่าหนุ่มแลกกับค่าจ้างหนึ่งหมื่น ม่านนทีจึงยอมเซย์เยส แปลงร่างเป็นนางซินวางแผนตัดสัมพันธ์แทนเพื่อนสาวเสียดิบดี แต่ที่ไหนได้เขาทั้งหล่อ เท่ แถมยังมีรอยยิ้มบาดใจ ทำเอาเธอชักหวั่นไหวซะแล้วสิ
Tags: รักโรแมนติก,รักหวานๆ,รักใส ๆ
ตอน: ตอนที่ 15 ถ่านไฟเก่า
บทที่ 15
ถ่านไฟเก่า
‘ปิ่นแก้วเป็นผู้หญิงของฉัน’
ภายในศีรษะของปิ่นแก้วได้ยินคำพูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา หลังจากที่กลับมาจากงานเต้นรำคืนนั้น หัวใจของหญิงสาวก็เต้นผิดจังหวะมาตลอด ซ้ำร้ายในห้วงความคิดยังปรากฏใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มกวน ๆ อยู่เกือบตลอดทั้งวัน
รอยจูบที่เธอมอบแก่เขาเพื่อตอบแทนความมีน้ำใจ ส่งผลให้ปิ่นแก้วหน้าแดงทุกครั้งที่หวนนึกไปถึง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอาการประหลาดที่เกิดขึ้น โดยที่เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
“เราต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้เอาแต่คิดถึงเขาตลอดทั้งวัน” ปิ่นแก้วยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง พลางบังคับสายตาให้จดจ่ออยู่กับเอกสารแสดงภาพถ่ายเสื้อผ้าแฟชั่นตรงหน้า
หลายวันมานี้ งานที่บริษัทแทบไม่ก้าวหน้าไปไหน อีกทั้งนโยบายการขยายตลาดที่บิดามอบหมายให้ทำก็ยังล่าช้าเสียจนน่าหงุดหงิด ปิ่นแก้วตัดสินใจวางปากกาลง ลุกขึ้นจากโต๊ะเดินไปชงกาแฟขม ๆ ดื่มสักแก้ว
ไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีข้อความเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ และเมื่อปิ่นแก้วมองเห็นข้อความสั้น ๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ คิ้วโก่งสวยก็ขมวดเข้าหากันทันที
‘วันนี้คุณได้รับมอบดอกไม้จากใครหรือยัง’
“ใครส่งมากันนะ” ปิ่นแก้วรำพึงแผ่ว นึกแปลกใจขึ้นมาตงิด ๆ ทว่ายังไม่ทันได้คาดเดาว่าเป็นใคร ก็มีคนโทรศัพท์เข้ามาเสียก่อน
ทันทีที่เห็นเบอร์โทรศัพท์ ร่างบางก็อดลอบยิ้มออกมาไม่ได้
“สวัสดี ต้องการคุยกับใครไม่ทราบ”
เสียงหัวเราะอารมณ์ดีดังมาตามปลายสาย
‘สวัสดีครับคนสวย ได้รับข้อความดี ๆ จากผมแล้วหรือยัง’
“นอกจากนายแล้ว ยังมีใครกล้าส่งข้อความพิลึก ๆ แบบนี้มาให้ฉันอีกล่ะ” ปิ่นแก้วแกล้งพูดประชด “มีธุระอะไรก็รีบพูดมา ฉันกำลังยุ่งอยู่นะ”
‘วันนี้คุณว่างหรือเปล่า’
ปิ่นแก้วใจเต้นตึกตัก เกือบตอบออกไปทันทีว่าว่าง แต่ท้ายสุดคนปากแข็งก็ยังคงปากแข็งอยู่เช่นเดิม
“ก็ต้องดูก่อนว่ามีธุระเรื่องอะไร จะได้ตัดสินใจถูกว่าว่างหรือไม่ว่าง”
‘บังเอิญผมรู้จักร้านอาหารอร่อย ๆ ก็เลยอยากขับรถไปรับคุณทานข้าวเที่ยงด้วยกัน คุณโอเคไหม’
“อืม...ร้านอาหารอร่อย ๆ เหรอ” หญิงสาวทำท่าครุ่นคิด “ความจริงฉันก็ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่หรอกนะ แต่ถ้านายเลี้ยงก็จะยอมไปนั่งทานข้าวเป็นเพื่อนด้วยก็ได้”
ราเมศหัวเราะเบา ๆ คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเธอต้องตอบแบบนี้
‘ตกลง อีกครึ่งชั่วโมงผมจะขับรถเข้าไปรับ อย่าลืมแต่งตัวสวย ๆ ให้ผมดูด้วยล่ะ’
“บ้า ทำไมฉันต้องแต่งตัวสวยเพื่อนายด้วยล่ะ”
ปิ่นแก้วย้อนถามหน้าแดง ทุกครั้งที่พบกันเป็นต้องหาเรื่องยั่วโมโหทุกครั้งเลยสิน่า หญิงสาวกดวางโทรศัพท์ ก่อนลุกเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องแต่งตัวชั้นสอง ท่ามกลางสีหน้าที่ระบายยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ราเมศมารับเธอตามเวลาที่นัดเอาไว้ ร่างสูงเปิดประตูรถเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังเดินสะพายกระเป๋าลงบันไดมาพอดี ปิ่นแก้วสวมกระโปรงสีหวาน ปล่อยผมยาวสลวยเป็นคลื่นจรดกลางหลัง ดวงหน้างามเป็นธรรมชาติ เรียวปากอิ่มสวยแวววาวด้วย ลิปกลอสสีชมพูระเรื่อ
“นี่ครับ ช่อดอกไม้สำหรับคุณ” ใบหน้าหล่อเหลาเหยียดยิ้ม พร้อมกับยื่นส่งช่อดอกกุหลาบสีแดงสดให้แก่เธอ
ปิ่นแก้วมองดูดอกกุหลาบสีสวยอย่างอดแปลกใจไม่ได้
”ให้ฉันเหรอ”
“แน่นอน มีการ์ดด้วยนะ ลองอ่านดูสิ”
หญิงสาวหยิบการ์ดเล็ก ๆ ที่ติดอยู่บนช่อดอกไม้ขึ้นมาอ่านและอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
‘ดอกไม้แทนใจ มอบให้แด่คนปากร้ายแต่น่ารัก’
“นี่เหรอการ์ดแทนใจของนาย” ปิ่นแก้วแกล้งทำหน้าเง้า
“ไม่ชอบเหรอ ผมอุตส่าห์นั่งคิดประโยคนี้ทั้งคืนเลยนะ” ราเมศยิ้มกว้าง
“ยังดีนะที่ลงท้ายด้วยคำว่าน่ารัก ไม่งั้นละก็น่าดู”
ปิ่นแก้วยิ้มรับพร้อมกับหอบช่อดอกไม้ไว้ในอ้อมแขน หญิงสาวจรดปลายจมูกสูดกลิ่นหอมของดอกกุหลาบเบา ๆ ราเมศมองดูเธอด้วยแววตาอ่อนโยน
“คุณชอบหรือเปล่า”
“ชอบสิ ขอบคุณนะที่เอามาฝาก” หญิงสาวเอ่ยคำขอบคุณ “ว่าแต่ให้ฉันในโอกาสอะไรล่ะ”
ใบหน้าคมคายเหยียดยิ้มเล็กน้อย พลางยกปลายนิ้วขึ้นแตะใบหน้าตนเองเบา ๆ
“เป็นของขวัญตอบแทนรอยจูบของเจ้าหญิงไง”
คำตอบของราเมศ ทำเอาปิ่นแก้วหน้าแดงจัดพูดอะไรไม่ออก ยิ่งเห็นกิริยาท่าทางแบบนั้นชายหนุ่มก็ยิ่งนึกอยากแกล้งมากขึ้นไปอีก
“บอกตามตรงนะ ว่าจูบของคุณทำเอาผมสั่นสะท้านไปทั้งตัวและหัวใจเลย” คนตัวสูงโน้มใบหน้าลงไปกระซิบแผ่ว ดวงตาเป็นประกายเจ้าชู้
“บ้า อย่ามาทะลึ่งนะ” ปิ่นแก้วยกกำปั้นขึ้นทุบไหล่เขาแรง ๆ รู้สึกอายเสียจนอยากแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด “ฉันไม่ได้มีจิตพิศวาสเสียหน่อย แต่ทำไปเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณต่างหาก อย่ามาพูดน่าเกลียดหน่อยเลย”
ร่างบางแหวเสียงดังลั่น โชคดีที่นายเดชาพ่อของปิ่นแก้วไม่อยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นคงเปิดศึกถึงขั้นทะเลาะวิวาทกันเลยทีเดียวเชียว
ราเมศหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ยกมือขึ้นป้องกันตัวด้วยกันยึดจับมือบางไว้หลวม ๆ ปิ่นแก้วหน้างอเง้า กิริยาท่าทางราวกับลูกแมวตัวเล็ก ๆ ที่ถูกยั่วโมโห
“สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม” คนตัวสูงเอ่ยถาม
ปิ่นแก้วพยักหน้ารับ รู้ดีว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร
“อืม ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” เธอตอบ
“ดีแล้วล่ะ เพราะผมชอบมองคุณตอนทำหน้าโกรธ กับเวลาหัวเราะมากกว่า” ราเมศยิ้มกว้าง หญิงสาวจึงผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม
ชายหนุ่มเดินตรงไปเปิดประตูรถ และหันมาผายมือเชื้อเชิญ
“เชิญครับ คุณผู้หญิง”
ปิ่นแก้วซ่อนยิ้มก่อนก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ ทั้งคู่ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็ขับรถมาถึงร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านอาหารสไตล์รีสอร์ท แวดล้อมไปด้วยต้นไม้หลากหลายชนิด บรรยากาศของที่นี่โล่งโปร่งสบายเนื่องจากสร้างเป็นแนวระเบียงติดกับสระน้ำเล็ก ๆ มีปลาแหวกว่ายไปมาแลเป็นธรรมชาติราวกับอยู่บ้านริมแม่น้ำ
“ที่นี่อาหารอร่อยมาก บรรยากาศก็สบาย ๆ เป็นกันเอง เมื่อก่อนผมกับเพื่อนชอบมาร้านนี้บ่อย ๆ คิดว่าคุณน่าจะชอบ” ราเมศเลือกที่นั่งริมระเบียง พลางเอ่ยปากชวนคุย
“ดีจัง ไม่ยักรู้มาก่อนเลยนะ ว่ามีร้านอาหารแบบนี้อยู่ด้วย เมื่อกี้ฉันเห็นมีคนนั่งตกปลาอยู่ริมสระ ที่นี่เขาเปิดให้นักท่องเที่ยวตกปลาได้ด้วยเหรอ”
“ใช่ นอกจากที่นี่จะเป็นร้านอาหารแล้ว ยังมีบริการให้นักท่องเที่ยวเช่าอุปกรณ์ตกปลาได้อีกด้วย ส่วนปลาพวกนี้ก็เป็นปลาที่เลี้ยงเอาไว้ดูเหมือนจะมีหลายพันธุ์ซะด้วย ถ้าคุณสนใจอยากจะลองดูก็ได้นะ”
แต่ปิ่นแก้วส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เอาดีกว่า ถึงฉันจะชอบทานปลาก็จริง แต่ถ้าต้องตกมันขึ้นมาจากน้ำทั้งเป็น ๆ แบบนี้คงน่าสงสารแย่”
ราเมศยิ้มให้เธออย่างเอ็นดู “ผมก็เหมือนกัน ถ้างั้นเรามาสั่งอาหารทานกันดีกว่า”
หลังจากสั่งอาหารในเมนูได้แล้ว ทั้งคู่ก็พูดคุยกันท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ดูเหมือนว่าการพบปะกันครั้งสุดท้ายในงานเลี้ยง ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับราเมศเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลายครั้งที่เธอนึกชอบดวงตาสีดำขลับ และเสียงหัวเราะมีเสน่ห์ของราเมศ จนเผลอตัวจ้องมองเขาโดยไม่รู้ตัว
“อุ้ย” ชั่วขณะที่ปิ่นแก้วกำลังเอื้อมมือไปหยิบกระดาษ ศอกก็ชนเข้ากับแก้วน้ำล้มหกกระจายเต็มพื้นโต๊ะ จนชายกระโปรงเปียกนิดหนึ่ง “ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไร คุณล่ะเป็นอะไรหรือเปล่า” ราเมศรีบลุกขึ้นเก็บแก้วน้ำ
“แย่จัง กระโปรงเปียกหมดเลย”
“ยืนรอเดี๋ยวนะ ผมจะรีบเดินไปขอผ้ามาเช็ดให้”
ราเมศเดินผละไปจากโต๊ะ ทิ้งให้หญิงสาวยืนคอยอยู่ตามลำพัง ปิ่นแก้วนึกโกรธตัวเองนิด ๆ ที่ซุ่มซ่ามจนเป็นเหตุทำให้น้ำหก โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยว่าอีกฟากฝั่งหนึ่งของร้านอาหาร มีใครบางคนกำลังจ้องมองมาด้วยแววตาชิงชัง ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“...รอเดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวฉันมา”
สาวสวยรูปร่างสูงโปร่ง ภายใต้ชุดกระโปรงรัดรูปสีดำปล่อยผมยาวสลวยเอ่ยเสียงกระด้าง พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้
“อ้าว คุณจะไปไหนน่ะแววดาว”
ผู้จัดการวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นถาม หลังจากที่จู่ ๆ นางแบบสาวก็ชักสีหน้าท่าทางไม่พอใจ เดินตรงรี่เข้าไปยังฝั่งโต๊ะอาหารริมระเบียง ดวงตาคู่สวยจับจ้องอยู่บนร่างของหญิงสาวแปลกหน้า พลางลดมือลงหยิบฉวยแก้วเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ ติดมือไปด้วย
“ท่าทางไม่ค่อยดีสินะ มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า”
ผู้หวังดีเอ่ยปากถามเบา ๆ ปิ่นแก้วจึงหันไปกล่าวขอบคุณเนื่องจากเข้าใจว่าเป็นพนักงานภายในร้าน
“ฉันเผลอทำน้ำหกนะค่ะ รบกวนขอผ้าสะอาด ๆ ช่วยซับสักผืน..” ทันทีที่เห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ปิ่นแก้วก็ต้องอุทานอย่างแปลกใจ “อ้าว คุณนั่นเอง”
เธอจำนางแบบสาวที่เคยพบกันเมื่อครั้งกลับมาจากการทำบุญที่วัดได้ ดวงหน้าสวยกับรูปร่างสูงโปร่งระหงกลายเป็นจุดเด่นสะดุดตายากที่จะลืม แววดาวเหยียดยิ้มที่มุมปาก ดวงตาฉายแววประสงค์ร้าย
“ยังจำหน้าฉันได้สินะ นังตัวดี”
ซ่า
ขาดคำแก้วเหล้าในมือของแววดาว ก็ถูกสาดเข้าใส่ชุดของปิ่นแก้วจนเปียกไปหมดทั้งตัว กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนกึกกับน้ำแข็งเย็นจัดส่งผลให้หญิงสาวยืนตัวแข็ง ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก นางแบบสาวยิ้มหยันมองดูเธอด้วยความสะใจ
“เป็นยังไง รสชาติของเหล้าอร่อยพอ ๆ กับการลักขโมยกินของชาวบ้านหรือเปล่า”
แววดาวเปิดฉากด่าทอเธอด้วยวาจาสาดเสียเทเสีย ทั้งที่ปิ่นแก้วไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย เธอสับสนหนักและไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่าย ถึงได้ทำกิริยาต่ำทรามกับเธอทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“นังแมวขโมย ใครใช้ให้แกหน้าด้านขโมยผู้ชายของฉัน”
“พูดอะไรของเธอ ผู้ชายอะไรกัน”
“ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอ ก็คุณราเมศที่แกนั่งให้ท่าเขาอยู่เมื่อกี้นี้ไง อย่ามาทำไขสือนะ”
แววตาตะคอกใส่เธอ นัยน์ตาวาววับ
“ราเมศ..” ปิ่นแก้วรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแก้วแตกเป็นเสี่ยง ๆ อยู่ในภายในใจ
ทว่าเรื่องราวยังไม่ทันจะลุกลามใหญ่โตไปกว่านี้ ราเมศที่เดินออกมาจากหลังร้านพร้อมกับผ้าเช็ดโต๊ะในมือก็หันมาเห็นเข้า จึงรีบวิ่งตรงเข้ามาดึงตัวแววดาวออกห่างจากหญิงสาวทันที
“คุณแววดาว ทำบ้าอะไรของคุณหยุดเดี๋ยวนี้นะ” ราเมศตะโกนใส่เธอ สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แต่นางแบบสาวไม่ฟังเสียงสะบัดมือออกทำท่าจะตรงรี่เข้าไปหาปิ่นแก้วให้ได้
“ปล่อยค่ะคุณเมศ ดาวจะตบสั่งสอนแม่นี่ให้รู้สำนึกซะบ้าง คราวหลังจะได้ไม่กล้ามายุ่งกับคุณอีก”
“หยุดนะ”
ปิ่นแก้วหน้าซีดเผือด มองดูทั้งสองยื้อยุดฉุดกระชากกันท่ามกลางความอับอาย เหตุการณ์ชุลมุนกลายเป็นเป้าให้ทุกโต๊ะที่อยู่ในร้านหันมามองเธอเป็นจุดเดียว ซ้ำร้ายแววดาวยังประจานเธอให้เชิงเสียหาย ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริงอีกด้วย
“คุณแววดาว ถ้าขืนคุณยังไม่ยอมหยุดก้าวร้าวคุณปิ่นแก้วอีกละก็ ผมจะลากตัวคุณออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้แหละ” ราเมศยื่นคำขาด ดวงตาเป็นประกายกรุ่นโกรธชัดเจน
“ทำไมต้องแคร์ผู้หญิงคนนี้ด้วยคะคุณเมศ มันพยายามแย่งคุณไปจากดาวนะคะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณกับดาวคบกัน แล้วมันกล้าชวนคุณออกมาสองต่อสองแบบนี้ได้ยังไง”
“คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมเป็นคนชวนคุณปิ่นออกมาทานข้าวต่างหาก ขอร้องเถอะคุณดาวเลิกทำตัวระรานชาวบ้านไปทั่วแบบนี้สักที”
“คุณราเมศ”
“...นี่คุณสองคนเป็นคนรักกันงั้นเหรอ” ปิ่นแก้วรู้สึกคล้ายกับหัวใจกำลังถูกบีบแรง ๆ
“ไม่ใช่นะคุณปิ่น ฟังผมอธิบายก่อน”
ราเมศพยายามจะอธิบายความจริง แต่แววตารีบชิงเอ่ยปาก
“เพิ่งรู้เหรอแม่สาวหน้าซื่อใจคด จะบอกให้นะ ฉันกับคุณราเมศเราคบกันเป็นแฟนมาตั้งนานแล้ว และกำลังจะแต่งงานกันในเร็ว ๆ นี้ด้วย”
ถ้อยคำประกาศของแววดาว ราวกับสายฟ้าฟาดเข้าใส่กลางใจของปิ่นแก้ว ซ้ำเติมแผลใจของหญิงสาวให้เจ็บแสบมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าหวานชาวาบ กำมือสั่นเทาเข้าหากันแน่น ดวงตากลมโตตวัดมองหน้าราเมศท่ามกลางความโกรธและชิงชัง ที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้ว
ขาดคำฝ่ามือเล็กก็ฟาดเข้าใส่ใบหน้าหล่อเหลาสุดแรง ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์
“เลวที่สุด” ปิ่นแก้วกระซิบรอดไรฟัน
“คุณปิ่น” ราเมศพูดอะไรไม่ออก
ไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบายตอนนี้ เพราะยังไงเสียปิ่นแก้วก็คงไม่ยอมฟังอยู่ดี
“สนุกมากสินะ ที่ได้ล้อเล่นกับหัวใจผู้หญิงแบบนี้” ปิ่นแก้วยิ้มหยันให้กับตัวเอง แรงตบที่เธอมอบให้เขายังว่าน้อยไปด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่มีอยู่ในใจเธอ
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ” ร่างสูงทำท่าจะเอื้อมมือคว้าแขนบาง แต่อีกฝ่ายสะบัดหนีด้วยความรังเกียจ
ทันทีที่ได้สติ แววดาวถลันตัวเข้าไปหาปิ่นแก้ว หมายจะเอาคืนให้แก่ชายคนรักทันที
“ทำอะไรของแก นังตัวดี”
“หยุดนะ คุณแววดาว”
ราเมศตรงเข้ายื้อยุดฉุดกระชากนางแบบสาวพาออกไปจากบริเวณระเบียงร้านอาหารท่ามกลางความโกลาหล ปิ่นแก้วหน้าร้อนวูบด้วยความอับอาย รีบคว้ากระเป๋าขึ้นมาถือเดินตรงดิ่งออกจากประตูร้านอาหารไปอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นความอัปยศที่สุดในชีวิตเธอเลยก็ว่าได้
เสียงด่าทอไล่หลังดังเอ็ดอึง แต่ปิ่นแก้วไม่มีแก่ใจหันกลับไปมอง ขอบตาสวยร้อนผ่าวไปด้วยหยดน้ำ ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบยกหลังมือขึ้นเช็ดมันออกไป หญิงสาววิ่งออกไปถนนหน้าร้านโบกมือเรียกรถแท็กซี่ให้จอดรับ เพื่อหนีออกไปให้ไกลจากราเมศที่สุดเท่าที่จะทำได้...
**********************
งานนี้ราเมศของเราท่าจะแย่ซะแล้วค่ะ
โดนแม่เสือสาว กิ๊กเก่าตามมาราวีจนได้
แต่ก็นะ ใจหนึ่งก็แอบสมน้ำหน้าค่ะ ^ ^’’
คนอาไร้ หล่อเลือกได้จริง ๆ
ถ่านไฟเก่า
‘ปิ่นแก้วเป็นผู้หญิงของฉัน’
ภายในศีรษะของปิ่นแก้วได้ยินคำพูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา หลังจากที่กลับมาจากงานเต้นรำคืนนั้น หัวใจของหญิงสาวก็เต้นผิดจังหวะมาตลอด ซ้ำร้ายในห้วงความคิดยังปรากฏใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มกวน ๆ อยู่เกือบตลอดทั้งวัน
รอยจูบที่เธอมอบแก่เขาเพื่อตอบแทนความมีน้ำใจ ส่งผลให้ปิ่นแก้วหน้าแดงทุกครั้งที่หวนนึกไปถึง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอาการประหลาดที่เกิดขึ้น โดยที่เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
“เราต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้เอาแต่คิดถึงเขาตลอดทั้งวัน” ปิ่นแก้วยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง พลางบังคับสายตาให้จดจ่ออยู่กับเอกสารแสดงภาพถ่ายเสื้อผ้าแฟชั่นตรงหน้า
หลายวันมานี้ งานที่บริษัทแทบไม่ก้าวหน้าไปไหน อีกทั้งนโยบายการขยายตลาดที่บิดามอบหมายให้ทำก็ยังล่าช้าเสียจนน่าหงุดหงิด ปิ่นแก้วตัดสินใจวางปากกาลง ลุกขึ้นจากโต๊ะเดินไปชงกาแฟขม ๆ ดื่มสักแก้ว
ไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีข้อความเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ และเมื่อปิ่นแก้วมองเห็นข้อความสั้น ๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ คิ้วโก่งสวยก็ขมวดเข้าหากันทันที
‘วันนี้คุณได้รับมอบดอกไม้จากใครหรือยัง’
“ใครส่งมากันนะ” ปิ่นแก้วรำพึงแผ่ว นึกแปลกใจขึ้นมาตงิด ๆ ทว่ายังไม่ทันได้คาดเดาว่าเป็นใคร ก็มีคนโทรศัพท์เข้ามาเสียก่อน
ทันทีที่เห็นเบอร์โทรศัพท์ ร่างบางก็อดลอบยิ้มออกมาไม่ได้
“สวัสดี ต้องการคุยกับใครไม่ทราบ”
เสียงหัวเราะอารมณ์ดีดังมาตามปลายสาย
‘สวัสดีครับคนสวย ได้รับข้อความดี ๆ จากผมแล้วหรือยัง’
“นอกจากนายแล้ว ยังมีใครกล้าส่งข้อความพิลึก ๆ แบบนี้มาให้ฉันอีกล่ะ” ปิ่นแก้วแกล้งพูดประชด “มีธุระอะไรก็รีบพูดมา ฉันกำลังยุ่งอยู่นะ”
‘วันนี้คุณว่างหรือเปล่า’
ปิ่นแก้วใจเต้นตึกตัก เกือบตอบออกไปทันทีว่าว่าง แต่ท้ายสุดคนปากแข็งก็ยังคงปากแข็งอยู่เช่นเดิม
“ก็ต้องดูก่อนว่ามีธุระเรื่องอะไร จะได้ตัดสินใจถูกว่าว่างหรือไม่ว่าง”
‘บังเอิญผมรู้จักร้านอาหารอร่อย ๆ ก็เลยอยากขับรถไปรับคุณทานข้าวเที่ยงด้วยกัน คุณโอเคไหม’
“อืม...ร้านอาหารอร่อย ๆ เหรอ” หญิงสาวทำท่าครุ่นคิด “ความจริงฉันก็ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่หรอกนะ แต่ถ้านายเลี้ยงก็จะยอมไปนั่งทานข้าวเป็นเพื่อนด้วยก็ได้”
ราเมศหัวเราะเบา ๆ คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเธอต้องตอบแบบนี้
‘ตกลง อีกครึ่งชั่วโมงผมจะขับรถเข้าไปรับ อย่าลืมแต่งตัวสวย ๆ ให้ผมดูด้วยล่ะ’
“บ้า ทำไมฉันต้องแต่งตัวสวยเพื่อนายด้วยล่ะ”
ปิ่นแก้วย้อนถามหน้าแดง ทุกครั้งที่พบกันเป็นต้องหาเรื่องยั่วโมโหทุกครั้งเลยสิน่า หญิงสาวกดวางโทรศัพท์ ก่อนลุกเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องแต่งตัวชั้นสอง ท่ามกลางสีหน้าที่ระบายยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ราเมศมารับเธอตามเวลาที่นัดเอาไว้ ร่างสูงเปิดประตูรถเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังเดินสะพายกระเป๋าลงบันไดมาพอดี ปิ่นแก้วสวมกระโปรงสีหวาน ปล่อยผมยาวสลวยเป็นคลื่นจรดกลางหลัง ดวงหน้างามเป็นธรรมชาติ เรียวปากอิ่มสวยแวววาวด้วย ลิปกลอสสีชมพูระเรื่อ
“นี่ครับ ช่อดอกไม้สำหรับคุณ” ใบหน้าหล่อเหลาเหยียดยิ้ม พร้อมกับยื่นส่งช่อดอกกุหลาบสีแดงสดให้แก่เธอ
ปิ่นแก้วมองดูดอกกุหลาบสีสวยอย่างอดแปลกใจไม่ได้
”ให้ฉันเหรอ”
“แน่นอน มีการ์ดด้วยนะ ลองอ่านดูสิ”
หญิงสาวหยิบการ์ดเล็ก ๆ ที่ติดอยู่บนช่อดอกไม้ขึ้นมาอ่านและอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
‘ดอกไม้แทนใจ มอบให้แด่คนปากร้ายแต่น่ารัก’
“นี่เหรอการ์ดแทนใจของนาย” ปิ่นแก้วแกล้งทำหน้าเง้า
“ไม่ชอบเหรอ ผมอุตส่าห์นั่งคิดประโยคนี้ทั้งคืนเลยนะ” ราเมศยิ้มกว้าง
“ยังดีนะที่ลงท้ายด้วยคำว่าน่ารัก ไม่งั้นละก็น่าดู”
ปิ่นแก้วยิ้มรับพร้อมกับหอบช่อดอกไม้ไว้ในอ้อมแขน หญิงสาวจรดปลายจมูกสูดกลิ่นหอมของดอกกุหลาบเบา ๆ ราเมศมองดูเธอด้วยแววตาอ่อนโยน
“คุณชอบหรือเปล่า”
“ชอบสิ ขอบคุณนะที่เอามาฝาก” หญิงสาวเอ่ยคำขอบคุณ “ว่าแต่ให้ฉันในโอกาสอะไรล่ะ”
ใบหน้าคมคายเหยียดยิ้มเล็กน้อย พลางยกปลายนิ้วขึ้นแตะใบหน้าตนเองเบา ๆ
“เป็นของขวัญตอบแทนรอยจูบของเจ้าหญิงไง”
คำตอบของราเมศ ทำเอาปิ่นแก้วหน้าแดงจัดพูดอะไรไม่ออก ยิ่งเห็นกิริยาท่าทางแบบนั้นชายหนุ่มก็ยิ่งนึกอยากแกล้งมากขึ้นไปอีก
“บอกตามตรงนะ ว่าจูบของคุณทำเอาผมสั่นสะท้านไปทั้งตัวและหัวใจเลย” คนตัวสูงโน้มใบหน้าลงไปกระซิบแผ่ว ดวงตาเป็นประกายเจ้าชู้
“บ้า อย่ามาทะลึ่งนะ” ปิ่นแก้วยกกำปั้นขึ้นทุบไหล่เขาแรง ๆ รู้สึกอายเสียจนอยากแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด “ฉันไม่ได้มีจิตพิศวาสเสียหน่อย แต่ทำไปเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณต่างหาก อย่ามาพูดน่าเกลียดหน่อยเลย”
ร่างบางแหวเสียงดังลั่น โชคดีที่นายเดชาพ่อของปิ่นแก้วไม่อยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นคงเปิดศึกถึงขั้นทะเลาะวิวาทกันเลยทีเดียวเชียว
ราเมศหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ยกมือขึ้นป้องกันตัวด้วยกันยึดจับมือบางไว้หลวม ๆ ปิ่นแก้วหน้างอเง้า กิริยาท่าทางราวกับลูกแมวตัวเล็ก ๆ ที่ถูกยั่วโมโห
“สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม” คนตัวสูงเอ่ยถาม
ปิ่นแก้วพยักหน้ารับ รู้ดีว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร
“อืม ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” เธอตอบ
“ดีแล้วล่ะ เพราะผมชอบมองคุณตอนทำหน้าโกรธ กับเวลาหัวเราะมากกว่า” ราเมศยิ้มกว้าง หญิงสาวจึงผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม
ชายหนุ่มเดินตรงไปเปิดประตูรถ และหันมาผายมือเชื้อเชิญ
“เชิญครับ คุณผู้หญิง”
ปิ่นแก้วซ่อนยิ้มก่อนก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ ทั้งคู่ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็ขับรถมาถึงร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านอาหารสไตล์รีสอร์ท แวดล้อมไปด้วยต้นไม้หลากหลายชนิด บรรยากาศของที่นี่โล่งโปร่งสบายเนื่องจากสร้างเป็นแนวระเบียงติดกับสระน้ำเล็ก ๆ มีปลาแหวกว่ายไปมาแลเป็นธรรมชาติราวกับอยู่บ้านริมแม่น้ำ
“ที่นี่อาหารอร่อยมาก บรรยากาศก็สบาย ๆ เป็นกันเอง เมื่อก่อนผมกับเพื่อนชอบมาร้านนี้บ่อย ๆ คิดว่าคุณน่าจะชอบ” ราเมศเลือกที่นั่งริมระเบียง พลางเอ่ยปากชวนคุย
“ดีจัง ไม่ยักรู้มาก่อนเลยนะ ว่ามีร้านอาหารแบบนี้อยู่ด้วย เมื่อกี้ฉันเห็นมีคนนั่งตกปลาอยู่ริมสระ ที่นี่เขาเปิดให้นักท่องเที่ยวตกปลาได้ด้วยเหรอ”
“ใช่ นอกจากที่นี่จะเป็นร้านอาหารแล้ว ยังมีบริการให้นักท่องเที่ยวเช่าอุปกรณ์ตกปลาได้อีกด้วย ส่วนปลาพวกนี้ก็เป็นปลาที่เลี้ยงเอาไว้ดูเหมือนจะมีหลายพันธุ์ซะด้วย ถ้าคุณสนใจอยากจะลองดูก็ได้นะ”
แต่ปิ่นแก้วส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เอาดีกว่า ถึงฉันจะชอบทานปลาก็จริง แต่ถ้าต้องตกมันขึ้นมาจากน้ำทั้งเป็น ๆ แบบนี้คงน่าสงสารแย่”
ราเมศยิ้มให้เธออย่างเอ็นดู “ผมก็เหมือนกัน ถ้างั้นเรามาสั่งอาหารทานกันดีกว่า”
หลังจากสั่งอาหารในเมนูได้แล้ว ทั้งคู่ก็พูดคุยกันท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ดูเหมือนว่าการพบปะกันครั้งสุดท้ายในงานเลี้ยง ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับราเมศเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลายครั้งที่เธอนึกชอบดวงตาสีดำขลับ และเสียงหัวเราะมีเสน่ห์ของราเมศ จนเผลอตัวจ้องมองเขาโดยไม่รู้ตัว
“อุ้ย” ชั่วขณะที่ปิ่นแก้วกำลังเอื้อมมือไปหยิบกระดาษ ศอกก็ชนเข้ากับแก้วน้ำล้มหกกระจายเต็มพื้นโต๊ะ จนชายกระโปรงเปียกนิดหนึ่ง “ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไร คุณล่ะเป็นอะไรหรือเปล่า” ราเมศรีบลุกขึ้นเก็บแก้วน้ำ
“แย่จัง กระโปรงเปียกหมดเลย”
“ยืนรอเดี๋ยวนะ ผมจะรีบเดินไปขอผ้ามาเช็ดให้”
ราเมศเดินผละไปจากโต๊ะ ทิ้งให้หญิงสาวยืนคอยอยู่ตามลำพัง ปิ่นแก้วนึกโกรธตัวเองนิด ๆ ที่ซุ่มซ่ามจนเป็นเหตุทำให้น้ำหก โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยว่าอีกฟากฝั่งหนึ่งของร้านอาหาร มีใครบางคนกำลังจ้องมองมาด้วยแววตาชิงชัง ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“...รอเดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวฉันมา”
สาวสวยรูปร่างสูงโปร่ง ภายใต้ชุดกระโปรงรัดรูปสีดำปล่อยผมยาวสลวยเอ่ยเสียงกระด้าง พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้
“อ้าว คุณจะไปไหนน่ะแววดาว”
ผู้จัดการวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นถาม หลังจากที่จู่ ๆ นางแบบสาวก็ชักสีหน้าท่าทางไม่พอใจ เดินตรงรี่เข้าไปยังฝั่งโต๊ะอาหารริมระเบียง ดวงตาคู่สวยจับจ้องอยู่บนร่างของหญิงสาวแปลกหน้า พลางลดมือลงหยิบฉวยแก้วเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ ติดมือไปด้วย
“ท่าทางไม่ค่อยดีสินะ มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า”
ผู้หวังดีเอ่ยปากถามเบา ๆ ปิ่นแก้วจึงหันไปกล่าวขอบคุณเนื่องจากเข้าใจว่าเป็นพนักงานภายในร้าน
“ฉันเผลอทำน้ำหกนะค่ะ รบกวนขอผ้าสะอาด ๆ ช่วยซับสักผืน..” ทันทีที่เห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ปิ่นแก้วก็ต้องอุทานอย่างแปลกใจ “อ้าว คุณนั่นเอง”
เธอจำนางแบบสาวที่เคยพบกันเมื่อครั้งกลับมาจากการทำบุญที่วัดได้ ดวงหน้าสวยกับรูปร่างสูงโปร่งระหงกลายเป็นจุดเด่นสะดุดตายากที่จะลืม แววดาวเหยียดยิ้มที่มุมปาก ดวงตาฉายแววประสงค์ร้าย
“ยังจำหน้าฉันได้สินะ นังตัวดี”
ซ่า
ขาดคำแก้วเหล้าในมือของแววดาว ก็ถูกสาดเข้าใส่ชุดของปิ่นแก้วจนเปียกไปหมดทั้งตัว กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนกึกกับน้ำแข็งเย็นจัดส่งผลให้หญิงสาวยืนตัวแข็ง ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก นางแบบสาวยิ้มหยันมองดูเธอด้วยความสะใจ
“เป็นยังไง รสชาติของเหล้าอร่อยพอ ๆ กับการลักขโมยกินของชาวบ้านหรือเปล่า”
แววดาวเปิดฉากด่าทอเธอด้วยวาจาสาดเสียเทเสีย ทั้งที่ปิ่นแก้วไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย เธอสับสนหนักและไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่าย ถึงได้ทำกิริยาต่ำทรามกับเธอทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“นังแมวขโมย ใครใช้ให้แกหน้าด้านขโมยผู้ชายของฉัน”
“พูดอะไรของเธอ ผู้ชายอะไรกัน”
“ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอ ก็คุณราเมศที่แกนั่งให้ท่าเขาอยู่เมื่อกี้นี้ไง อย่ามาทำไขสือนะ”
แววตาตะคอกใส่เธอ นัยน์ตาวาววับ
“ราเมศ..” ปิ่นแก้วรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแก้วแตกเป็นเสี่ยง ๆ อยู่ในภายในใจ
ทว่าเรื่องราวยังไม่ทันจะลุกลามใหญ่โตไปกว่านี้ ราเมศที่เดินออกมาจากหลังร้านพร้อมกับผ้าเช็ดโต๊ะในมือก็หันมาเห็นเข้า จึงรีบวิ่งตรงเข้ามาดึงตัวแววดาวออกห่างจากหญิงสาวทันที
“คุณแววดาว ทำบ้าอะไรของคุณหยุดเดี๋ยวนี้นะ” ราเมศตะโกนใส่เธอ สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แต่นางแบบสาวไม่ฟังเสียงสะบัดมือออกทำท่าจะตรงรี่เข้าไปหาปิ่นแก้วให้ได้
“ปล่อยค่ะคุณเมศ ดาวจะตบสั่งสอนแม่นี่ให้รู้สำนึกซะบ้าง คราวหลังจะได้ไม่กล้ามายุ่งกับคุณอีก”
“หยุดนะ”
ปิ่นแก้วหน้าซีดเผือด มองดูทั้งสองยื้อยุดฉุดกระชากกันท่ามกลางความอับอาย เหตุการณ์ชุลมุนกลายเป็นเป้าให้ทุกโต๊ะที่อยู่ในร้านหันมามองเธอเป็นจุดเดียว ซ้ำร้ายแววดาวยังประจานเธอให้เชิงเสียหาย ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริงอีกด้วย
“คุณแววดาว ถ้าขืนคุณยังไม่ยอมหยุดก้าวร้าวคุณปิ่นแก้วอีกละก็ ผมจะลากตัวคุณออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้แหละ” ราเมศยื่นคำขาด ดวงตาเป็นประกายกรุ่นโกรธชัดเจน
“ทำไมต้องแคร์ผู้หญิงคนนี้ด้วยคะคุณเมศ มันพยายามแย่งคุณไปจากดาวนะคะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณกับดาวคบกัน แล้วมันกล้าชวนคุณออกมาสองต่อสองแบบนี้ได้ยังไง”
“คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมเป็นคนชวนคุณปิ่นออกมาทานข้าวต่างหาก ขอร้องเถอะคุณดาวเลิกทำตัวระรานชาวบ้านไปทั่วแบบนี้สักที”
“คุณราเมศ”
“...นี่คุณสองคนเป็นคนรักกันงั้นเหรอ” ปิ่นแก้วรู้สึกคล้ายกับหัวใจกำลังถูกบีบแรง ๆ
“ไม่ใช่นะคุณปิ่น ฟังผมอธิบายก่อน”
ราเมศพยายามจะอธิบายความจริง แต่แววตารีบชิงเอ่ยปาก
“เพิ่งรู้เหรอแม่สาวหน้าซื่อใจคด จะบอกให้นะ ฉันกับคุณราเมศเราคบกันเป็นแฟนมาตั้งนานแล้ว และกำลังจะแต่งงานกันในเร็ว ๆ นี้ด้วย”
ถ้อยคำประกาศของแววดาว ราวกับสายฟ้าฟาดเข้าใส่กลางใจของปิ่นแก้ว ซ้ำเติมแผลใจของหญิงสาวให้เจ็บแสบมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าหวานชาวาบ กำมือสั่นเทาเข้าหากันแน่น ดวงตากลมโตตวัดมองหน้าราเมศท่ามกลางความโกรธและชิงชัง ที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้ว
ขาดคำฝ่ามือเล็กก็ฟาดเข้าใส่ใบหน้าหล่อเหลาสุดแรง ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์
“เลวที่สุด” ปิ่นแก้วกระซิบรอดไรฟัน
“คุณปิ่น” ราเมศพูดอะไรไม่ออก
ไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบายตอนนี้ เพราะยังไงเสียปิ่นแก้วก็คงไม่ยอมฟังอยู่ดี
“สนุกมากสินะ ที่ได้ล้อเล่นกับหัวใจผู้หญิงแบบนี้” ปิ่นแก้วยิ้มหยันให้กับตัวเอง แรงตบที่เธอมอบให้เขายังว่าน้อยไปด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่มีอยู่ในใจเธอ
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ” ร่างสูงทำท่าจะเอื้อมมือคว้าแขนบาง แต่อีกฝ่ายสะบัดหนีด้วยความรังเกียจ
ทันทีที่ได้สติ แววดาวถลันตัวเข้าไปหาปิ่นแก้ว หมายจะเอาคืนให้แก่ชายคนรักทันที
“ทำอะไรของแก นังตัวดี”
“หยุดนะ คุณแววดาว”
ราเมศตรงเข้ายื้อยุดฉุดกระชากนางแบบสาวพาออกไปจากบริเวณระเบียงร้านอาหารท่ามกลางความโกลาหล ปิ่นแก้วหน้าร้อนวูบด้วยความอับอาย รีบคว้ากระเป๋าขึ้นมาถือเดินตรงดิ่งออกจากประตูร้านอาหารไปอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นความอัปยศที่สุดในชีวิตเธอเลยก็ว่าได้
เสียงด่าทอไล่หลังดังเอ็ดอึง แต่ปิ่นแก้วไม่มีแก่ใจหันกลับไปมอง ขอบตาสวยร้อนผ่าวไปด้วยหยดน้ำ ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบยกหลังมือขึ้นเช็ดมันออกไป หญิงสาววิ่งออกไปถนนหน้าร้านโบกมือเรียกรถแท็กซี่ให้จอดรับ เพื่อหนีออกไปให้ไกลจากราเมศที่สุดเท่าที่จะทำได้...
**********************
งานนี้ราเมศของเราท่าจะแย่ซะแล้วค่ะ
โดนแม่เสือสาว กิ๊กเก่าตามมาราวีจนได้
แต่ก็นะ ใจหนึ่งก็แอบสมน้ำหน้าค่ะ ^ ^’’
คนอาไร้ หล่อเลือกได้จริง ๆ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ต.ค. 2554, 09:44:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ต.ค. 2554, 11:16:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 2388
<< ตอนที่ 14 ผู้หญิงของฉัน | ตอนที่ 16 ค่าของคนอยู่ที่หัวใจ >> |

Zephyr 12 ต.ค. 2554, 11:06:13 น.
อ่าว ตอนที่แล้วยังหวานอยู่เลย ตอนนี้มาฉะกันอีก นังดาวเธอสร้างความร้าวฉานอีกแล้ว นายเมศนายยอมทำไมเนี่ย จบกะยายนั่นแล้วมาขอโทษปิ่นเดี๋ยวนี้นะ
...ปลาที่เลี้ยงไว้ดูเหมือนจะมีหลายพันธ์(พันธุ์)ซะด้วย...
...คุณเข้าใจผิดแล้ว คุณ(ผม)เป็นคนชวนคุณปิ่นออกมาทานข้าวต่างหาก...
อ่าว ตอนที่แล้วยังหวานอยู่เลย ตอนนี้มาฉะกันอีก นังดาวเธอสร้างความร้าวฉานอีกแล้ว นายเมศนายยอมทำไมเนี่ย จบกะยายนั่นแล้วมาขอโทษปิ่นเดี๋ยวนี้นะ
...ปลาที่เลี้ยงไว้ดูเหมือนจะมีหลายพันธ์(พันธุ์)ซะด้วย...
...คุณเข้าใจผิดแล้ว คุณ(ผม)เป็นคนชวนคุณปิ่นออกมาทานข้าวต่างหาก...

เบลินญา 12 ต.ค. 2554, 11:14:09 น.
ขออภัยค่ะ รีบวิ่งไปแก้คำผิดด่วนจี๋เลย ^^
ขออภัยค่ะ รีบวิ่งไปแก้คำผิดด่วนจี๋เลย ^^


violette 12 ต.ค. 2554, 14:01:05 น.
ช่วยไม่ได้นายราเมศยังไม่เคลียร์ตัวเอง(เท่าไหร่)เลยนิน่า อิอิ
แต่สงสารหนูปิ่นชะมัดเลยค่ะ
ช่วยไม่ได้นายราเมศยังไม่เคลียร์ตัวเอง(เท่าไหร่)เลยนิน่า อิอิ
แต่สงสารหนูปิ่นชะมัดเลยค่ะ

nunoi 12 ต.ค. 2554, 17:18:45 น.
อ่านรวดเดียวทันแล้ว
สงสารหนูปิ่นจัง อ่อเห็นมีชื่อเป็น "แววตา" ด้วยนะคะ
อ่านรวดเดียวทันแล้ว
สงสารหนูปิ่นจัง อ่อเห็นมีชื่อเป็น "แววตา" ด้วยนะคะ
