^วันอยากเขียน^
รวมเรื่องสั้น ฉบับลิขิตราค่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จับเรื่องสั้นมารวมกันไปเลยดีกว่า
Tags: เรื่องสั้น ลิขิตรา
ตอน: คนของความทรงจำ (ครึ่งแรก)
ขออภัยที่เอามาแปะครึ่งเดียวก่อนนะคะ ช่วงนี้วุ่นวายมากจริง ๆ แต่ยังอยากเขียน อยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ
แปะแรงบันดาลใจกันตัวโด ๆ ไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่า คนของความทรงจำสองคนนี้ ต้องขอบคุณแรงบันดาลใจสำคัญ
Steve Jobs ด้วยความอาลัย มันสมองที่มีค่านั้นจริง ๆ ค่ะ ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่แค่นักประดิษฐ์ แต่ในบางจังหวะของชีวิต เขาเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจชั้นยอดให้ใครหลาย ๆ คน
Paracheerchic ได้รู้จักผู้หญิงคนนี้ในวันที่ทราบว่าจ็อบส์เสีย ผ่าน ppt ในเลกเชอร์วิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟูซึ่งอาจารย์เอาวีดีโอ http://www.youtube.com/watch?v=7AK1-ns32LE น่าทึ่งมากจริง ๆ ค่ะกับชีวิตของเธอ
-------------------------
คนของความทรงจำ
คนผ่านโลกจนรู้จักความตายและพร้อมจะยอมรับกับมันอย่างกล้าหาญจะบอกเสมอว่า มนุษย์เรามีเวลาอยู่เพียงไม่นาน เพราะเหตุนี้...จงทำในสิ่งที่เชื่อมั่นและตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด
“...ผมตื่นเช้ามาทุกวันกับคำถามว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ผมจะเสียใจไหมกับสิ่งที่ทำอยู่...” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยคำกลั้วหัวเราะเบา ๆ ให้เธอได้ยิน
หญิงสาวเอียงคอมอง “แล้วคุณเสียใจไหมคะ...กับทุกวันนี้”
“ผมได้คำตอบว่าเสียใจติดกันสามวัน ในช่วงแรกที่รู้ตัวว่ากำลังเจอกับอะไร แล้ววันที่สี่ คำตอบก็เปลี่ยนไป” เขาหมุนตัวกลับ เดินมานั่งที่ริมเก้าอี้ยาว ข้างเก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ “โชคดีหรือเปล่าไม่รู้...ผมเคยตัดสินใจเที่ยวรอบโลกหลังจบไฮสคูล ตามหาว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ ตอนนั้นผมมาถึงเมืองไทย และได้รู้จักกับความเชื่อของพวกคุณ”
“อะไรคะ...การแพทย์แผนโบราณหรือ” เธอนึกถึงความเชื่อพื้นบ้านที่คุ้นเคย
“พุทธะ...” เขาออกเสียงได้เกือบชัด “มีพระที่นี่สอนให้ผมเชื่อในกฎของเหตุและผล ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลของการกระทำใดบางอย่าง เหมือนที่ไอสไตน์เคยบอกว่าต้องมีแอคชั่นกับรีแอคชั่น”
“นั่นทำให้คุณคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากบางสิ่งหรือคะ...แล้วคุณว่าเหตุมันคืออะไรละ”
“ผมไม่รู้หรอก...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักมันด้วยซ้ำ แต่บางที...ข้อมูลเหตุของมันอาจถูกบันทึกไว้ในดีเอ็นเอที่ผมยังหาไม่เจอก็ได้”
“แล้วเมื่อไรคุณจะหาเจอละ...”
“ปล่อยให้นักวิทยาศาสตร์กับพวกหมอเขาหากันไปเถอะ แต่สำหรับผม...พระรูปนั้นเคยบอกว่า เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เกิดเป็นผลจากการกระทำแล้ว ก็จงมองการกระทำในปัจจุบันเถอะ เพราะปัจจุบันคือสิ่งเดียวที่เราจะจัดการกับมันได้...ไม่ใช่อดีต และไม่ใช่การเฝ้ารออนาคตอย่างไร้จุดหมาย” เขาหันมาคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้หญิงสาว
“สิ่งสำคัญคือเริ่มต้นทำในสิ่งที่เชื่อ และยืนอยู่กับปัจจุบันให้มั่นคง...รู้ไหม ผมใช้เวลาทำความเข้าใจกับคำของเขาอยู่นานมาก ก่อนที่จะกลับลอนดอนไปทำงานจริง ๆ จัง ๆ เสียที”
“ศาสนาของเรามีอิทธิพลกับคุณอย่างนั้นเลยหรือคะ”
“ถ้าคุณบอกว่าตัวเองเป็นสาวก เพื่อจะได้มีอะไรไว้กรอกในบัตรประจำตัว...ศาสนาใดก็เปลี่ยนคุณไม่ได้ แต่ถ้าคุณศึกษา เพื่อค้นหาบางอย่าง ผมว่า...ศาสนาของคุณตอบคำถามของผมได้ เพราะอย่างนั้นจึงมีอิทธิพลต่อผม”
“คุณพูดเสียฉันละอาย”
“ไม่ใช่เรื่องน่าอาย...กับมนุษย์บางคน ถ้ายังไม่เคยรู้สึกถึงความขาดหาย ก็ไม่จำเป็นต้องแสวงหาคำตอบ” เขาบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบาง ๆ น่ามอง “ผมเอง...ถ้าไม่เพราะมีคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ก็อาจไม่พยายามค้นหาและศึกษา”
“ค่ะ...แล้วตกลง...คุณทำอย่างไรกับสามวันที่ตื่นเช้ามากับคำว่าเสียใจละคะ” เธอยังไม่ลืมสิ่งที่เขาพูดค้างไว้ก่อนเรื่องจะวกไปไกล
ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนตามแบบฉบับของเขา “ผมนั่งถามตัวเองว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร และคำตอบก็คือมันเป็นเพราะผมกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่ผมจัดการไม่ได้”
“นั่นสิคะ...บางครั้งมันก็เป็นเรื่องจัดการไม่ได้จริง ๆ ” เพราะเขาเงียบไปครู่ใหญ่ หญิงสาวจึงกระตุ้นด้วยการออกความเห็นขณะก้มลงมองมือตัวเองที่หุ้มด้วยเครื่องช่วยดึงเป็นเหล็กเส้นเล็กยืดไปยึดกับที่รัดข้อนิ้ว เพื่อดึงไม่ให้ข้อมือตกจนทำงานลำบาก
“จริงเหรอ...มองดี ๆ สิแล้วคุณจะรู้ว่าคุณคิดผิด”
“ฉันไม่เห็นวิธีมองอื่นที่มันจะดีได้เลยค่ะ...เมื่อความจริงคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันมันทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไป”
“อย่างไรละ”
หญิงสาวคลี่ยิ้มขื่น หลุบตามองแขนและขาของตัวเอง “คุณไม่อยากรู้หรอกว่าฉันต้องเสียอะไรไปมากแค่ไหน”
เขากลับหัวเราะ “ครับ...ผมไม่อยากรู้ และไม่อยากให้คุณค้นหาว่าคุณเสียอะไรไปมากแค่ไหน แต่ผมอยากให้คุณค้นหาให้พบ...ว่าได้อะไรมามากแค่ไหน”
“ได้เหรอคะ...ได้รู้ว่าโลกมันแย่ขนาดไหนน่ะสิ” เธอแค่นหัวเราะ ไม่ว่าจะมองทางไหนก็ไม่เห็นอะไรที่น่าจะใช้คำว่า 'ได้' ได้เลย นอกจาก...ได้สูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปมากมายเหลือเกิน
“นั่นไงครับ...สิ่งที่เราจัดการได้”
“คะ...”
ชายหนุ่มยิ้มขันเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของหญิงสาว “ถ้าเราจัดการกับสิ่งภายนอกไม่ได้ บางครั้งก็ต้องหันมาจัดการที่ใจเราเอง...ถ้าใจไม่เสีย เราก็ไม่ต้องเสียใจ”
“ทำแบบนั้น...ได้จริง ๆ เหรอคะ”
“อย่าเพิ่งเชื่อผม แต่คุณต้องลองทำดู” เขาลุกขึ้นยืนบิดตัวเบา ๆ เงยหน้ามองฟ้า “ออกมานานแล้ว ผมพาคุณกลับห้องดีกว่า”
“ฉันยังไม่อยากกลับ”
“ผมต้องเจาะเลือดตอนห้าโมง...ถือว่าเป็นธุระของผมแล้วกัน” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ ยื่นนาฬิกามาให้เธอดู เข็มสั้นอยู่ระหว่างเลขสี่กับเลขห้า และเข็มยาวอยู่ที่เลขแปด “ไป...เดี๋ยวจะมีคนไปฟ้องคุณหมอว่าผมพาคุณหนีเที่ยวอีก”
หญิงสาวย่นจมูก เงยหน้ามองผู้ชายที่เข็นรถเข็นที่เธอนั่งอยู่ไปตามทางโดยไม่คิดรอฟังคำตอบ “ถึงฉันบอกว่าไม่ คุณก็พาฉันกลับได้อยู่ดี ฮึ...ใช่สิ ก็ฉันมันติดอยู่บนรถเข็นแล้วนี่”
“อย่างนั้นก็รีบ ๆ เดินให้ได้สิครับ”
คงเพราะเวลาที่ผ่านมาเกือบเดือน ทำให้เธอทำใจได้มากขึ้น และไม่เผลอวีนใส่เขาเหมือนที่ทำกับคนอื่นเมื่อได้ยินใครพูดถึงการเดิน วันนี้หญิงสาวทำแค่เหยียดริมฝีปากกึ่งหยันกับโชคชะตา แล้วบอกเบา ๆ เพียงให้เขาพอได้ยิน
“คงได้แค่ในฝันนั่นละ”
“คุณไม่อยากเปลี่ยนความฝันให้เป็นจริงหรือ...แค่ฝันน่ะใคร ๆ ก็ทำได้ คนจริงเขาต้องทำให้ฝันเป็นจริงสิ” เขาเน้นเสียงหนัก ปนด้วยความมุ่งมั่นที่ส่งผ่านมาจนเธอรับรู้ได้
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น พอดีกับที่เขาเข็นรถเข้ามาในหอพักผู้ป่วย พยาบาลที่เคาท์เตอร์ประจำชั้นผู้ป่วยพิเศษถอนใจยาวด้วยอาการโล่งอก ก่อนจะเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม
“ดิฉันกำลังจะไปตามพอดี”
“ผมรู้เวลานะครับ...ไม่ทำให้คุณลำบากใช่ไหม” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร ปล่อยมือจากรถเข็น ละให้เป็นหน้าที่ของพยาบาลอีกคนเข็นรถเธอไปช้า ๆ ขณะที่เขาเดินตามมา
ห้องพักของเธอถึงก่อน เขาหยุดรอให้พยาบาลเข็นรถเธอเข้าไปในห้อง ร่างสูงหนาโน้มตัวมาใกล้ บอกเสียงอ่อนต่างจากแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นที่รุนแรงจนหญิงสาวแทบไม่กล้ามอง “แล้วพรุ่งนี้...ผมจะมาทวงคำตอบนะครับ”
เขาเดินไปที่ห้องพักผู้ป่วยซึ่งอยู่ข้าง ๆ ห้องของเธอ หญิงสาวมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปจนพยาบาลปิดประตูห้องของเธอลง แววตาของเขาทำให้เธอนึกอิจฉา ครั้งหนึ่งในความทรงจำ เธอจำได้ว่าตัวเองเคยมีแววตาเช่นนั้น...แต่มันหายไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน
พุทธะอย่างนั้นหรือ...เพราะสิ่งนั้นหรือเปล่า ทำให้เขายังรักษาแววตาเช่นนั้นไว้ได้ แม้ในวันที่โชคชะตาเล่นตลกกับเราอย่างรุนแรงเช่นนี้
เด็กรับใช้ที่มารดาส่งมาช่วยดูแลหญิงสาวเข้ามาช่วยพยาบาลสาวพาเธอขึ้นไปนอนบนเตียง การอยู่นิ่ง ๆ แล้วต้องรอความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่ตลอดเวลาเป็นความรู้สึกที่ทรมานสำหรับคนรับการดูแลเช่นกัน
หญิงสาวคิดถึงวันเก่า ๆ ก่อนที่อุบัติเหตุทางรถยนต์จะพรากทุกสิ่งไปจากเธอ
ภาพเซเลบสาวที่ใครต่อใครเคยกล่าวขวัญเป็นความภาคภูมิใจที่เธอเคยมีมานาน หญิงสาวเชื่อมาตลอดว่าเธอเกิดมาพร้อมความโชคดีอย่างที่สุด จะกรรมหรือดีเอ็นเอก็ตาม สร้างผู้หญิงอย่างเธอให้เพียบพร้อม
เธอเคยเป็นสาวสังคมที่งานเลี้ยงชั้นสูงใฝ่หา งานไหนที่เธอย่างกรายเข้าไปล้วนสร้างความโดดเด่นให้งานได้เสมอ
เธอไม่ได้สวยเลิศขนาดนางแบบต้องหลบ แต่อย่างน้อยก็คงพอเทียบเคียงกันได้โดยไม่อายใคร เพราะเค้าหน้าที่ได้มาจากมารดาซึ่งเคยเป็นนางเอกที่คนค่อนประเทศหลงเสน่ห์ เหนือกว่าหน้าตาคือความเป็นบุตรสาวคนเดียวของท่านอดีตเอกอัครราชฑูตที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เป็นน้องสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวของเจ้าพ่อธุรกิจโฆษณารายใหญ่ของประเทศ ชาติตระกูลเธอดีเยี่ยมอย่างหาคนเทียบได้ยาก ขณะที่มันสมองก็รับประกันได้ด้วยปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์จากสแตนฟอร์ด รวมกับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์รายใหญ่ที่เธอกับเพื่อนร่วมสร้างมากับมือ และผลักดันจนก้าวสู่รายชื่อบริษัทชั้นนำของประเทศ
ผู้หญิงที่เคยเพียบพร้อมขนาดนั้น กลับมาติดอยู่ในรถเข็น และต้องการคนดูแลแทบตลอดวัน ไม่ว่าจะมองมุมไหน หญิงสาวก็เห็นแต่ความสูญเสีย หาคำตอบไม่ได้จริง ๆ ว่าได้อะไรมา
อุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเกือบเดือนก่อน เหมือนจะพรากเอาทั้งชีวิตไปจากเธอ
หญิงสาวหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า ร่างกายตั้งแต่ไหล่ลงไปไร้ซึ่งความรู้สึก ไม่มีอะไรจะทำให้เธอรู้สึกสมเพชตัวเองได้มากกว่านี้อีกแล้ว
คนที่เคยคิดว่าตัวเองอยู่เหนือผู้คนมากมาย เป็นผู้หญิงที่สวรรค์ประทานพรอันประเสิรฐให้ ตอนนี้เธอเหมือนนางฟ้าตกสวรรค์ ที่แม้แต่จะใช้ชีวิต ยังต้องพึ่งพาคนอื่น
แม้ในความฝัน หญิงสาวก็ยังอดจะเหยียดยิ้มกึ่งหยันที่มุมปากให้กับโชคชะตาของตนเองไม่ได้
ผู้เข้าเยี่ยมเพียงคนเดียวที่หญิงสาวได้พบตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา คือชายหนุ่มใหญ่ที่เธอคุยด้วยถูกคอตั้งแต่วันที่ออกจากห้องไอซียูมาพักที่ห้องพิเศษแบบคู่ เนื่องจากห้องพักเดี่ยวหมด ทั้งเธอและเขาตกชะตากรรมเดียวกันคือถูกเนรเทศมาอยู่ด้วยกัน แม้เพียงสองวันก่อนที่จะแยกย้ายไปอยู่ห้องพิเศษเดี่ยวข้าง ๆ กัน แต่เขาก็ยังมีไมตรีแวะมาเยี่ยมอยู่เสมอ
หญิงสาวคงไม่ลำบากใจเท่าไร หากเขาจะทำตัวเหมือนวันก่อน ๆ คือพาเธอออกไปสูดอากาศที่สวน และพูดคุยเป็นเพื่อนกัน
แต่เพราะคำถามที่ค้างไว้ในวันนั้น ทุกวันที่พบกันอีก เขาก็จะถามซ้ำ ๆ ว่าเธอได้คำตอบหรือยัง
เธอพยายามแล้ว ทั้งเลี่ยงทำไม่รู้ “ฉันไม่เห็นรู้...คุณถามอะไรไว้หรือ” แล้วเขาก็ทวนคำถามซ้ำ เป็นอันว่าวันต่อมาเธอไม่สามารถใช้คำตอบนี้ได้อีก
“ฉันได้รู้จักความสูญเสีย” เธอพยายามหาคำตอบให้เขา แต่ก็ยังเป็นทัศนคติแบบเดิม ๆ เขาส่ายหน้า หัวเราะ
“นั่นไม่ใช่การได้มาเสียหน่อย”
“ฉันได้รู้ว่าไม่มีใครรักที่ฉันเป็นฉันจริง ๆ เลย ดังนั้นเมื่อฉันเสียสถานะที่เขาใส่ใจไป ฉันก็ไม่มีค่าพอให้เขารักอีก”
เธอตอบเขาเสียงขื่นในวันหนึ่ง หลังจากที่ทั้งพ่อแม่ พี่ชาย และเพื่อนรักไม่มีใครมาเยี่ยมเธอเกือบสิบวันติดกันแล้ว
“คุณไม่ได้ดูโทรทัศน์ใช่ไหม”
“ฉันไม่อยากได้ยินข่าวอะไรทั้งนั้น”
เขาพยักหน้ากึ่งยอมรับ “โอเค...เพราะอย่างนี้คุณถึงไม่รู้สินะว่าเพราะคุณมาอยู่อย่างนี้ งานที่บริษัทของคุณเลยวุ่นวายมาก หุ้นร่วงกราวเพราะผู้ถือหุ้นที่เคยเชื่อในการบริหารของคุณไม่มั่นใจในเสถียรภาพของบริษัทอีกแล้ว คนที่คุณคิดว่าเขาไม่รักคุณน่ะ...ก็คงพยายามจัดการรักษาบริษัทที่คุณรักอยู่นั่นละ”
หญิงสาวได้แต่นิ่งงัน “มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ...ขนาดที่พวกเขาปลีกเวลามาหาฉันไม่ได้เชียวหรือ”
“ถามเขาเองดีกว่าไหม” เขาบอกก่อนจะหมุนเก้าอี้รถเข็นเธอไปด้านหลัง เพื่อจะพบกับร่างสูงใหญ่ของพี่ชายในชุดสูทสีเทาเรียบซึ่งกำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินตรงมาหา
ปกติพี่ชายเป็นคนรักษามาด เขาไม่วิ่ง ไม่แสดงท่าทีว่าร้อนรน...เว้นแต่บางเรื่องที่ทำให้จิตใจเขาไม่สงบ และเรื่องของเธอเป็นหนึ่งในนั้น
ไม่ต้องมีคำถาม หญิงสาวแค่คลี่ยิ้มบาง ๆ เอียงคอมองคนที่ตรงเข้ามาโอบกอดเธอไว้
“คิดถึงน้องจัง...ขอโทษนะที่พี่ไม่ได้มาหาตั้งนาน ช่วงนี้พี่ยุ่งมาก”
โชคดีที่เขาบอกไว้แล้ว หญิงสาวจึงไม่หลุดวีนใส่พี่ชาย เธอแค่คลี่ยิ้มบาง ๆ ด้วยความดีใจ หยาดน้ำใส ๆ ไม่รู้ว่ามาจากไหนล้นมาเอ่ออยู่ที่ตา เพียงเท่านั้นก็ทำให้คนที่มองหน้าเธอถึงกับหน้าเสีย รีบยกมือแตะหางตาเธอ
“ร้องไห้ทำไม...โกรธพี่หรือ พี่ขอโทษนะ”
“ไม่ค่ะ ไม่...” หญิงสาวรีบบอก “ฉันไม่ได้โกรธ แค่ดีใจที่พี่ยังรักฉัน ยังไม่ลืมว่ามีฉันอยู่ตรงนี้”
“พี่จะลืมน้องได้อย่างไร” เขาขมวดคิ้วบอก ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ...พี่จะพากลับห้อง นักกายภาพบำบัดมารอน้องอยู่นานแล้ว”
หญิงสาวเหลือบมองไปทางผู้ชายอีกคนที่ทำเป็นเดินชมสวนอยู่ไม่ไกล พี่ชายเหมือนจะรู้ ร่างสูงในชุดสูทจึงก้าวตรงไปหาผู้ชายในชุดสีเขียวบอกความเป็นคนไข้ในโรงพยาบาลเช่นกัน
“ขอบคุณนะครับ...ที่ช่วยดูแลน้องสาวผม” ประโยคนั้นไม่ใช่แค่คำขอบคุณต่อชายหนุ่มผู้นั้น แต่ทำให้น้องสาวได้รู้ว่าพี่ชายที่ไม่มาหาเป็นสิบวันคงรู้เรื่องของเธอโดยตลอด
เขาหันมายิ้มรับ ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังจ้องหน้าเขาแล้วกระพริบตาเหมือนจะบอกบางอย่าง ชายหนุ่มจึงเดินตรงเข้ามาหาเธออีกครั้ง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ก้มลงมาหน่อยสิคะ ฉันลุกไปกระซิบกับคุณไม่ได้หรอก” เธอบอกโดยไม่สนใจพี่ชายที่ยืนมองอย่างประหลาดใจอยู่ข้างรถเข็น
ชายหนุ่มก้มหน้าลงมาใกล้ เอียงคอให้เธอกระซิบได้ถนัดโดยไม่ต้องขยับตัวมาก
“ฉันได้...ได้รู้ว่ายังมีคนที่รักฉันโดยไม่มีเงื่อนไขอยู่เหมือนกัน”
คำตอบนั้นทำให้รอยยิ้มบนหน้าของชายหนุ่มกว้างขึ้น เขากระซิบตอบเบา ๆ “คุณได้...ได้รู้ว่าตัวคุณมีค่าพอให้พวกเขารักโดยไม่มีเงื่อนไข”
ชายหนุ่มดึงตัวขึ้น โคลงศีรษะเบา ๆ ให้พี่ชายของหญิงสาว ก่อนจะบอกเธออีกครั้ง “แล้วพรุ่งนี้ผมจะรอคำตอบต่อไป”
“หา...ยังไม่พออีกเหรอ”
“คิดสิครับคนเก่ง...มีอะไรอีกบ้างที่จะเป็นคำตอบของคุณได้” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะก่อนจะเดินจากไป
หลังจากนั้น เธอก็พยายามที่จะตอบ “ฉันได้...” อีกหลายครั้ง แต่ชายหนุ่มยังมีข้อโต้แย้งอยู่เสมอ
“ฉันได้รู้ว่า...สมองฉันยังมีมูลค่าอยู่เหมือนกัน” หญิงสาวให้คำตอบเขา หลังจากวันที่เพื่อนรักและหุ้นส่วนมาเยี่ยม ความจริงเธอก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่บังเอิญเด็กรับใช้เข็นรถเข็นไปทันที่เธอได้เห็นตัวเลขสีแดงบนหน้าจอไอแพดของเพื่อนพอดี
ความเป็นนักบริหารและนักเศรษฐศาสตร์ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะถามถึงสถานการณ์ของบริษัท ก่อนจะออกความเห็นและยิ้มให้เพื่อนที่ลากลับไปด้วยสีหน้าที่ดีกว่าตอนเดินเข้ามา
“ไม่หรอก...สมองคุณมูลค่าต่ำมากแล้ว” เขาแย้งหน้าตาเฉย
“นี่...คุณ” หญิงสาวอ้าปากค้าง คิดไม่ออกว่าจะว่าเขาอย่างไรดี
ชายหนุ่มหัวเราะ ก่อนบอกด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “ก็คุณใช้งานสมองมากเหลือเกิน ค่าเสื่อมราคาก็ต้องหักไปมากเป็นธรรมดา”
“ฉันได้โอกาสที่จะเรียนรู้ชีวิตใหม่อีกครั้ง” เธอคิดคำตอบนี้ได้หลังจากที่นักกายภาพและนักกิจกรรมบำบัดช่วยกันจัดการฝึกให้ฉันล้างหน้าและแปรงฟันด้วยตัวเอง ข้อมือที่เคยงออยู่ตลอดถูกรั้งด้วยเครื่องมือพิเศษที่เธอเริ่มใช้งานได้คล่องพอสมควร และนั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาคิดว่าถึงเวลาฝึกเธอให้แปรงฟันได้แล้ว
เขาแค่อมยิ้มมองเธอนิ่ง ไม่มีคำตอบรับหรือโต้แย้งใด ๆ แต่ยังมีคำพูดเดิมเมื่อส่งหญิงสาวเข้าห้องพัก
“ผมจะรอคำตอบของวันพรุ่งนี้นะครับ”
หญิงสาวนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง มือที่อยู่บนตักถูกยกขึ้นระดับสายตา เธอกำมือแล้วปล่อยให้เครื่องมือที่ติดอยู่ดึงนิ้วให้เหยียดออกช้า ๆ
ตั้งแต่เมื่อไรที่การกายภาพบำบัดกลายเป็นเรื่องสนุก เธอรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่ตื่นเต้นกับการเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอีกครั้ง เธอพยายามมากขึ้นเรื่อย ๆ เพียงเพื่อจะรายงานให้ผู้ชายข้างห้องฟังถึงความคืบหน้าในการใช้ชีวิตของเธอ
หมอบอกนานแล้วว่าการบาดเจ็บที่ไขสันหลังของเธออยู่ในกลุ่มที่สามารถฟื้นฟูได้ แม้จะไม่ถึงกับฟื้นฟูให้ใช้ชีวิตได้ปกติ แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองก็ยังดี หญิงสาวไม่เคยสนใจมันเพราะไม่มีแรงบันดาลใจพอให้เธอคิดทำอย่างตั้งใจ จนเมื่อเธอรู้ว่าเธอได้อะไรมามากมาย ความพยายามก็ดูจะเป็นสิ่งมีค่าอย่างหนึ่งที่เธอได้มา
“ใช่...ฉันได้รู้ว่าความพยายามมันมีค่า เมื่อเราต้องการจะทำบางอย่างให้ได้” เธอกำลังยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ก่อนที่เสียงข่าวจากโทรทัศน์จะดึงหญิงสาวกลับมาสู่โลกของความจริงอีกครั้ง
เสียงใสกังวานของผู้ประกาศข่าวหญิงรายงานข่าวพิเศษที่ทำให้ดวงตาคู่สวยของหญิงสาวเบิกกว้างจัด ภาพในข่าวคือรถยนต์คันหรูที่เวลานี้เละจนแทบไม่เห็นสภาพเดิม
บีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ย์เจ็ดคันโปรดของเพื่อนรักเคยเป็นที่ภาคภูมิใจของเขาเสมอ แต่เวลานี้เหลือแค่ซาก เธอไม่ได้เสียดายรถ แต่ตกใจกับคำบรรยายภาพนั้นมากกว่า
“...สำหรับผู้เสียชีวิต ทราบชื่อภายหลังว่า...” นั่นคือชื่อของเพื่อนเธอ เป็นทั้งเพื่อนรัก ทั้งหุ้นส่วนคนสำคัญที่เพิ่งมาเยี่ยมเธอเมื่อหลายวันก่อน คำอธิบายต่อท้ายชื่อเขาค่อนข้างยาว ในฐานะบุตรชายนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง และผู้บริหารบริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่ที่เราครอบครองร่วมกัน
หยาดน้ำตาร่วงหล่นมาไม่ขาดสาย “ไม่จริง...ไม่จริง...” หญิงสาวอยากให้มันเป็นเพียงความฝัน
พยาบาลเดินเข้ามาในห้อง พอเห็นเธอกำลังร้องไห้ก็หน้าเสีย รีบก้าวเข้ามากำลังจะเอ่ยถามหาสาเหตุ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่จ้องมองตรงไปที่โทรทัศน์ คนในชุดขาวก็หันมองตาม พอดีกับที่ภาพผู้เสียชีวิตปรากฏขึ้นบนจอ เป็นผู้ชายที่เพิ่งมาเยี่ยมเธอไม่นาน
“ทำใจให้สบายก่อนเถอะนะคะ...เวลานี้ คุณยังไม่ควรเครียดอะไรทั้งนั้น” พยาบาลสาวกดรีโมทปิดโทรทัศน์ หันมาบอกหญิงสาวเสียงเบา และแตะมือลงที่แขนเธอบีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ แต่หญิงสาวไม่รับรู้ถึงสัมผัสนั้น
“มันไม่จริงใช่ไหม...บอกฉันสิว่ามันไม่จริง” เธอเงยหน้าจ้องมองพยาบาลสาวอย่างคาดคั้น
แต่ท่าทางของคนตรงหน้าที่หลุบตาลงไม่เอ่ยคำตอบยิ่งทำให้หญิงสาวไม่สามารถจะปฏิเสธความจริงได้อีกต่อไป เธอก้มหน้าลง ปล่อยให้น้ำตาไหลร่วงลงมาโดยไร้เสียงสะอื้น นานจนฟ้ากลายเป็นสีดำ ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออก พร้อมกับที่พี่ชายเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเธอนั่นละ
“เห็นข่าวแล้วใช่ไหม”
“เป็นความจริงหรือคะ...เขาทิ้งฉันไปแล้วจริง ๆ หรือ” เธอถามเสียงเครือ เพราะคนที่ข่าวบอกว่าจากไปแล้วเคยสัญญากับเธอว่าจะช่วยกันทำงาน จะดูแลเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป
ชายหนุ่มในชุดสูทย่อตัวลงตรงหน้าเธอ กอดร่างบางนั้นไว้แน่น “ไม่เป็นไรนะเด็กดี...พี่อยู่ตรงนี้นะคะ” พี่ชายปลอบเหมือนวันเก่า ๆ เมื่อคราวทั้งคู่ยังเป็นเพียงเด็กน้อย หญิงสาวสูดลมหายใจยาว สะอื้นไห้อยู่กับไหล่ของพี่ชาย
“ไม่ต้องห่วงนะ...พี่สัญญาว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”
“พี่พาเขามาคืนฉันไม่ได้หรอกค่ะ” เธอยังเข้าใจโลกดีพอ
พี่ชายคลี่ยิ้มบาง ๆ “แต่พี่รักษาสิ่งที่พวกเธอรักไว้ให้ได้...บริษัทของเธอ”
“งานของพี่หนักพอแล้ว”
“พี่ยังพอมีเวลาเหลือ” เขาบอกเบา ๆ แต่หญิงสาวส่ายหน้าช้า ๆ เธอยังจำได้ว่าก่อนเธอจะมาติดอยู่ในรถเข็นแบบนี้ ทั้งพี่ชายและเธอเคยทำงานหนักมากจนแทบไม่มีเวลากลับบ้าน
และงานที่บริษัทของเธอคงหนักเป็นพิเศษในช่วงเวลาที่มีข่าวทำให้เกิดความแปรปรวนเช่นนี้ หากพี่ชายยื่นมือเข้ามาช่วย เขาจะเหนื่อยจนแทบไม่มีเวลาให้พัก และนิสัยอย่างพี่ก็คงไม่ปริปากบอกเธอ
เขาจะมุ่งมั่นรักษามันไว้ เพราะรู้ว่านั่นคือหนึ่งในสิ่งที่เธอรัก
“อย่าเลยค่ะ...อย่าทำเพื่อฉันมากขนาดนั้น”
“เธอเป็นน้องพี่นะ” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “พี่พร้อมจะดูแลเธอเสมอ”
“ขอบคุณนะคะ...ฉันโชคดีเหลือเกินที่มีพี่” หญิงสาวคลี่ยิ้มให้พี่ชาย ก่อนจะเม้มริมฝีปากเบา ๆ แล้วบอกด้วยความมุ่งมั่น “แต่ฉันจะเอาแต่ใช้ความโชคดีบนหยาดเหงื่อของพี่ไม่ได้หรอก...ฉันจะกลับไปจัดการทุกอย่างเอง”
คำนั้นทำให้ชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอเบิกตากว้าง “แต่เธอ...”
“ฉันบาดเจ็บที่ไขสันหลัง...แต่สมองฉันยังทำงานได้นะคะ” หญิงสาวรู้สึกเหมือนดวงตาแห่งความเชื่อมั่นและมุ่งมั่นกลับคืนมาอีกครั้ง พี่ชายมองหน้าเธอนิ่งอยู่ครู่เดียว ก่อนจะแตะมือเธอเบา ๆ แม้ผิวนั้นจะไม่สามารถรับความรู้สึกได้ดีนัก แต่เธอรับรู้ถึงความห่วงใยของเขาได้ดี
“ให้ฉันทำเถอะนะ...มันเป็นหน้าที่ของฉัน”
ชายหนุ่มในชุดสูทพยักหน้ารับ แต่ยังมีเงื่อนไข “สัญญากับพี่ว่าน้องจะไม่หักโหมจนเกินไป แบ่งเวลาทำกายภาพตามนัด และ...อย่าแบกโลกเอาไว้คนเดียว ถ้าไม่ไหวก็บอก...พี่จะมองเธออยู่ตรงนี้”
หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้างขึ้น พยายามยกมือขึ้นกอดร่างสูงของตนตรงหน้า “ฉันสัญญา...ขอบคุณนะคะ พี่ชาย”
--------------------
โปรดติดตามครึ่งหลัง
คำถามประจำตอนนี้ : ลองเดากันดูนะคะ ว่าคำตอบสุดท้ายที่เขาอยากได้จากคำถามนั้น คืออะไร
บางครั้ง...เราก็เสียบางอย่างไปเพื่อจะได้เรียนรู้บางสิ่ง...
หลังเงาเมฆสีหม่นมีเส้นแสงสีเงินแสนสวยซ่อนอยู่เสมอ
ไอซ์คิดว่าวันนี้ประเทศของเราเหมือนอยู่ในเงาของฝันร้าย แต่โชคดีคือเราไม่ได้ยืนอยู่เพียงลำพัง แต่เรามีคนที่พร้อมจะจับมือเดินฝ่าไปด้วยกันอยู่เสมอ
เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะคะ
ขอบคุณต่อสำหรับแรงบันดาลใจอีกส่วนหนึ่ง
Always by Basketband
Games by Singular
แปะแรงบันดาลใจกันตัวโด ๆ ไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่า คนของความทรงจำสองคนนี้ ต้องขอบคุณแรงบันดาลใจสำคัญ
Steve Jobs ด้วยความอาลัย มันสมองที่มีค่านั้นจริง ๆ ค่ะ ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่แค่นักประดิษฐ์ แต่ในบางจังหวะของชีวิต เขาเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจชั้นยอดให้ใครหลาย ๆ คน
Paracheerchic ได้รู้จักผู้หญิงคนนี้ในวันที่ทราบว่าจ็อบส์เสีย ผ่าน ppt ในเลกเชอร์วิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟูซึ่งอาจารย์เอาวีดีโอ http://www.youtube.com/watch?v=7AK1-ns32LE น่าทึ่งมากจริง ๆ ค่ะกับชีวิตของเธอ
-------------------------
คนของความทรงจำ
คนผ่านโลกจนรู้จักความตายและพร้อมจะยอมรับกับมันอย่างกล้าหาญจะบอกเสมอว่า มนุษย์เรามีเวลาอยู่เพียงไม่นาน เพราะเหตุนี้...จงทำในสิ่งที่เชื่อมั่นและตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด
“...ผมตื่นเช้ามาทุกวันกับคำถามว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ผมจะเสียใจไหมกับสิ่งที่ทำอยู่...” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยคำกลั้วหัวเราะเบา ๆ ให้เธอได้ยิน
หญิงสาวเอียงคอมอง “แล้วคุณเสียใจไหมคะ...กับทุกวันนี้”
“ผมได้คำตอบว่าเสียใจติดกันสามวัน ในช่วงแรกที่รู้ตัวว่ากำลังเจอกับอะไร แล้ววันที่สี่ คำตอบก็เปลี่ยนไป” เขาหมุนตัวกลับ เดินมานั่งที่ริมเก้าอี้ยาว ข้างเก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ “โชคดีหรือเปล่าไม่รู้...ผมเคยตัดสินใจเที่ยวรอบโลกหลังจบไฮสคูล ตามหาว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ ตอนนั้นผมมาถึงเมืองไทย และได้รู้จักกับความเชื่อของพวกคุณ”
“อะไรคะ...การแพทย์แผนโบราณหรือ” เธอนึกถึงความเชื่อพื้นบ้านที่คุ้นเคย
“พุทธะ...” เขาออกเสียงได้เกือบชัด “มีพระที่นี่สอนให้ผมเชื่อในกฎของเหตุและผล ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลของการกระทำใดบางอย่าง เหมือนที่ไอสไตน์เคยบอกว่าต้องมีแอคชั่นกับรีแอคชั่น”
“นั่นทำให้คุณคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากบางสิ่งหรือคะ...แล้วคุณว่าเหตุมันคืออะไรละ”
“ผมไม่รู้หรอก...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักมันด้วยซ้ำ แต่บางที...ข้อมูลเหตุของมันอาจถูกบันทึกไว้ในดีเอ็นเอที่ผมยังหาไม่เจอก็ได้”
“แล้วเมื่อไรคุณจะหาเจอละ...”
“ปล่อยให้นักวิทยาศาสตร์กับพวกหมอเขาหากันไปเถอะ แต่สำหรับผม...พระรูปนั้นเคยบอกว่า เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เกิดเป็นผลจากการกระทำแล้ว ก็จงมองการกระทำในปัจจุบันเถอะ เพราะปัจจุบันคือสิ่งเดียวที่เราจะจัดการกับมันได้...ไม่ใช่อดีต และไม่ใช่การเฝ้ารออนาคตอย่างไร้จุดหมาย” เขาหันมาคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้หญิงสาว
“สิ่งสำคัญคือเริ่มต้นทำในสิ่งที่เชื่อ และยืนอยู่กับปัจจุบันให้มั่นคง...รู้ไหม ผมใช้เวลาทำความเข้าใจกับคำของเขาอยู่นานมาก ก่อนที่จะกลับลอนดอนไปทำงานจริง ๆ จัง ๆ เสียที”
“ศาสนาของเรามีอิทธิพลกับคุณอย่างนั้นเลยหรือคะ”
“ถ้าคุณบอกว่าตัวเองเป็นสาวก เพื่อจะได้มีอะไรไว้กรอกในบัตรประจำตัว...ศาสนาใดก็เปลี่ยนคุณไม่ได้ แต่ถ้าคุณศึกษา เพื่อค้นหาบางอย่าง ผมว่า...ศาสนาของคุณตอบคำถามของผมได้ เพราะอย่างนั้นจึงมีอิทธิพลต่อผม”
“คุณพูดเสียฉันละอาย”
“ไม่ใช่เรื่องน่าอาย...กับมนุษย์บางคน ถ้ายังไม่เคยรู้สึกถึงความขาดหาย ก็ไม่จำเป็นต้องแสวงหาคำตอบ” เขาบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบาง ๆ น่ามอง “ผมเอง...ถ้าไม่เพราะมีคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ก็อาจไม่พยายามค้นหาและศึกษา”
“ค่ะ...แล้วตกลง...คุณทำอย่างไรกับสามวันที่ตื่นเช้ามากับคำว่าเสียใจละคะ” เธอยังไม่ลืมสิ่งที่เขาพูดค้างไว้ก่อนเรื่องจะวกไปไกล
ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนตามแบบฉบับของเขา “ผมนั่งถามตัวเองว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร และคำตอบก็คือมันเป็นเพราะผมกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่ผมจัดการไม่ได้”
“นั่นสิคะ...บางครั้งมันก็เป็นเรื่องจัดการไม่ได้จริง ๆ ” เพราะเขาเงียบไปครู่ใหญ่ หญิงสาวจึงกระตุ้นด้วยการออกความเห็นขณะก้มลงมองมือตัวเองที่หุ้มด้วยเครื่องช่วยดึงเป็นเหล็กเส้นเล็กยืดไปยึดกับที่รัดข้อนิ้ว เพื่อดึงไม่ให้ข้อมือตกจนทำงานลำบาก
“จริงเหรอ...มองดี ๆ สิแล้วคุณจะรู้ว่าคุณคิดผิด”
“ฉันไม่เห็นวิธีมองอื่นที่มันจะดีได้เลยค่ะ...เมื่อความจริงคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันมันทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไป”
“อย่างไรละ”
หญิงสาวคลี่ยิ้มขื่น หลุบตามองแขนและขาของตัวเอง “คุณไม่อยากรู้หรอกว่าฉันต้องเสียอะไรไปมากแค่ไหน”
เขากลับหัวเราะ “ครับ...ผมไม่อยากรู้ และไม่อยากให้คุณค้นหาว่าคุณเสียอะไรไปมากแค่ไหน แต่ผมอยากให้คุณค้นหาให้พบ...ว่าได้อะไรมามากแค่ไหน”
“ได้เหรอคะ...ได้รู้ว่าโลกมันแย่ขนาดไหนน่ะสิ” เธอแค่นหัวเราะ ไม่ว่าจะมองทางไหนก็ไม่เห็นอะไรที่น่าจะใช้คำว่า 'ได้' ได้เลย นอกจาก...ได้สูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปมากมายเหลือเกิน
“นั่นไงครับ...สิ่งที่เราจัดการได้”
“คะ...”
ชายหนุ่มยิ้มขันเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของหญิงสาว “ถ้าเราจัดการกับสิ่งภายนอกไม่ได้ บางครั้งก็ต้องหันมาจัดการที่ใจเราเอง...ถ้าใจไม่เสีย เราก็ไม่ต้องเสียใจ”
“ทำแบบนั้น...ได้จริง ๆ เหรอคะ”
“อย่าเพิ่งเชื่อผม แต่คุณต้องลองทำดู” เขาลุกขึ้นยืนบิดตัวเบา ๆ เงยหน้ามองฟ้า “ออกมานานแล้ว ผมพาคุณกลับห้องดีกว่า”
“ฉันยังไม่อยากกลับ”
“ผมต้องเจาะเลือดตอนห้าโมง...ถือว่าเป็นธุระของผมแล้วกัน” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ ยื่นนาฬิกามาให้เธอดู เข็มสั้นอยู่ระหว่างเลขสี่กับเลขห้า และเข็มยาวอยู่ที่เลขแปด “ไป...เดี๋ยวจะมีคนไปฟ้องคุณหมอว่าผมพาคุณหนีเที่ยวอีก”
หญิงสาวย่นจมูก เงยหน้ามองผู้ชายที่เข็นรถเข็นที่เธอนั่งอยู่ไปตามทางโดยไม่คิดรอฟังคำตอบ “ถึงฉันบอกว่าไม่ คุณก็พาฉันกลับได้อยู่ดี ฮึ...ใช่สิ ก็ฉันมันติดอยู่บนรถเข็นแล้วนี่”
“อย่างนั้นก็รีบ ๆ เดินให้ได้สิครับ”
คงเพราะเวลาที่ผ่านมาเกือบเดือน ทำให้เธอทำใจได้มากขึ้น และไม่เผลอวีนใส่เขาเหมือนที่ทำกับคนอื่นเมื่อได้ยินใครพูดถึงการเดิน วันนี้หญิงสาวทำแค่เหยียดริมฝีปากกึ่งหยันกับโชคชะตา แล้วบอกเบา ๆ เพียงให้เขาพอได้ยิน
“คงได้แค่ในฝันนั่นละ”
“คุณไม่อยากเปลี่ยนความฝันให้เป็นจริงหรือ...แค่ฝันน่ะใคร ๆ ก็ทำได้ คนจริงเขาต้องทำให้ฝันเป็นจริงสิ” เขาเน้นเสียงหนัก ปนด้วยความมุ่งมั่นที่ส่งผ่านมาจนเธอรับรู้ได้
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น พอดีกับที่เขาเข็นรถเข้ามาในหอพักผู้ป่วย พยาบาลที่เคาท์เตอร์ประจำชั้นผู้ป่วยพิเศษถอนใจยาวด้วยอาการโล่งอก ก่อนจะเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม
“ดิฉันกำลังจะไปตามพอดี”
“ผมรู้เวลานะครับ...ไม่ทำให้คุณลำบากใช่ไหม” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร ปล่อยมือจากรถเข็น ละให้เป็นหน้าที่ของพยาบาลอีกคนเข็นรถเธอไปช้า ๆ ขณะที่เขาเดินตามมา
ห้องพักของเธอถึงก่อน เขาหยุดรอให้พยาบาลเข็นรถเธอเข้าไปในห้อง ร่างสูงหนาโน้มตัวมาใกล้ บอกเสียงอ่อนต่างจากแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นที่รุนแรงจนหญิงสาวแทบไม่กล้ามอง “แล้วพรุ่งนี้...ผมจะมาทวงคำตอบนะครับ”
เขาเดินไปที่ห้องพักผู้ป่วยซึ่งอยู่ข้าง ๆ ห้องของเธอ หญิงสาวมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปจนพยาบาลปิดประตูห้องของเธอลง แววตาของเขาทำให้เธอนึกอิจฉา ครั้งหนึ่งในความทรงจำ เธอจำได้ว่าตัวเองเคยมีแววตาเช่นนั้น...แต่มันหายไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน
พุทธะอย่างนั้นหรือ...เพราะสิ่งนั้นหรือเปล่า ทำให้เขายังรักษาแววตาเช่นนั้นไว้ได้ แม้ในวันที่โชคชะตาเล่นตลกกับเราอย่างรุนแรงเช่นนี้
เด็กรับใช้ที่มารดาส่งมาช่วยดูแลหญิงสาวเข้ามาช่วยพยาบาลสาวพาเธอขึ้นไปนอนบนเตียง การอยู่นิ่ง ๆ แล้วต้องรอความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่ตลอดเวลาเป็นความรู้สึกที่ทรมานสำหรับคนรับการดูแลเช่นกัน
หญิงสาวคิดถึงวันเก่า ๆ ก่อนที่อุบัติเหตุทางรถยนต์จะพรากทุกสิ่งไปจากเธอ
ภาพเซเลบสาวที่ใครต่อใครเคยกล่าวขวัญเป็นความภาคภูมิใจที่เธอเคยมีมานาน หญิงสาวเชื่อมาตลอดว่าเธอเกิดมาพร้อมความโชคดีอย่างที่สุด จะกรรมหรือดีเอ็นเอก็ตาม สร้างผู้หญิงอย่างเธอให้เพียบพร้อม
เธอเคยเป็นสาวสังคมที่งานเลี้ยงชั้นสูงใฝ่หา งานไหนที่เธอย่างกรายเข้าไปล้วนสร้างความโดดเด่นให้งานได้เสมอ
เธอไม่ได้สวยเลิศขนาดนางแบบต้องหลบ แต่อย่างน้อยก็คงพอเทียบเคียงกันได้โดยไม่อายใคร เพราะเค้าหน้าที่ได้มาจากมารดาซึ่งเคยเป็นนางเอกที่คนค่อนประเทศหลงเสน่ห์ เหนือกว่าหน้าตาคือความเป็นบุตรสาวคนเดียวของท่านอดีตเอกอัครราชฑูตที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เป็นน้องสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวของเจ้าพ่อธุรกิจโฆษณารายใหญ่ของประเทศ ชาติตระกูลเธอดีเยี่ยมอย่างหาคนเทียบได้ยาก ขณะที่มันสมองก็รับประกันได้ด้วยปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์จากสแตนฟอร์ด รวมกับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์รายใหญ่ที่เธอกับเพื่อนร่วมสร้างมากับมือ และผลักดันจนก้าวสู่รายชื่อบริษัทชั้นนำของประเทศ
ผู้หญิงที่เคยเพียบพร้อมขนาดนั้น กลับมาติดอยู่ในรถเข็น และต้องการคนดูแลแทบตลอดวัน ไม่ว่าจะมองมุมไหน หญิงสาวก็เห็นแต่ความสูญเสีย หาคำตอบไม่ได้จริง ๆ ว่าได้อะไรมา
อุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเกือบเดือนก่อน เหมือนจะพรากเอาทั้งชีวิตไปจากเธอ
หญิงสาวหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า ร่างกายตั้งแต่ไหล่ลงไปไร้ซึ่งความรู้สึก ไม่มีอะไรจะทำให้เธอรู้สึกสมเพชตัวเองได้มากกว่านี้อีกแล้ว
คนที่เคยคิดว่าตัวเองอยู่เหนือผู้คนมากมาย เป็นผู้หญิงที่สวรรค์ประทานพรอันประเสิรฐให้ ตอนนี้เธอเหมือนนางฟ้าตกสวรรค์ ที่แม้แต่จะใช้ชีวิต ยังต้องพึ่งพาคนอื่น
แม้ในความฝัน หญิงสาวก็ยังอดจะเหยียดยิ้มกึ่งหยันที่มุมปากให้กับโชคชะตาของตนเองไม่ได้
ผู้เข้าเยี่ยมเพียงคนเดียวที่หญิงสาวได้พบตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา คือชายหนุ่มใหญ่ที่เธอคุยด้วยถูกคอตั้งแต่วันที่ออกจากห้องไอซียูมาพักที่ห้องพิเศษแบบคู่ เนื่องจากห้องพักเดี่ยวหมด ทั้งเธอและเขาตกชะตากรรมเดียวกันคือถูกเนรเทศมาอยู่ด้วยกัน แม้เพียงสองวันก่อนที่จะแยกย้ายไปอยู่ห้องพิเศษเดี่ยวข้าง ๆ กัน แต่เขาก็ยังมีไมตรีแวะมาเยี่ยมอยู่เสมอ
หญิงสาวคงไม่ลำบากใจเท่าไร หากเขาจะทำตัวเหมือนวันก่อน ๆ คือพาเธอออกไปสูดอากาศที่สวน และพูดคุยเป็นเพื่อนกัน
แต่เพราะคำถามที่ค้างไว้ในวันนั้น ทุกวันที่พบกันอีก เขาก็จะถามซ้ำ ๆ ว่าเธอได้คำตอบหรือยัง
เธอพยายามแล้ว ทั้งเลี่ยงทำไม่รู้ “ฉันไม่เห็นรู้...คุณถามอะไรไว้หรือ” แล้วเขาก็ทวนคำถามซ้ำ เป็นอันว่าวันต่อมาเธอไม่สามารถใช้คำตอบนี้ได้อีก
“ฉันได้รู้จักความสูญเสีย” เธอพยายามหาคำตอบให้เขา แต่ก็ยังเป็นทัศนคติแบบเดิม ๆ เขาส่ายหน้า หัวเราะ
“นั่นไม่ใช่การได้มาเสียหน่อย”
“ฉันได้รู้ว่าไม่มีใครรักที่ฉันเป็นฉันจริง ๆ เลย ดังนั้นเมื่อฉันเสียสถานะที่เขาใส่ใจไป ฉันก็ไม่มีค่าพอให้เขารักอีก”
เธอตอบเขาเสียงขื่นในวันหนึ่ง หลังจากที่ทั้งพ่อแม่ พี่ชาย และเพื่อนรักไม่มีใครมาเยี่ยมเธอเกือบสิบวันติดกันแล้ว
“คุณไม่ได้ดูโทรทัศน์ใช่ไหม”
“ฉันไม่อยากได้ยินข่าวอะไรทั้งนั้น”
เขาพยักหน้ากึ่งยอมรับ “โอเค...เพราะอย่างนี้คุณถึงไม่รู้สินะว่าเพราะคุณมาอยู่อย่างนี้ งานที่บริษัทของคุณเลยวุ่นวายมาก หุ้นร่วงกราวเพราะผู้ถือหุ้นที่เคยเชื่อในการบริหารของคุณไม่มั่นใจในเสถียรภาพของบริษัทอีกแล้ว คนที่คุณคิดว่าเขาไม่รักคุณน่ะ...ก็คงพยายามจัดการรักษาบริษัทที่คุณรักอยู่นั่นละ”
หญิงสาวได้แต่นิ่งงัน “มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ...ขนาดที่พวกเขาปลีกเวลามาหาฉันไม่ได้เชียวหรือ”
“ถามเขาเองดีกว่าไหม” เขาบอกก่อนจะหมุนเก้าอี้รถเข็นเธอไปด้านหลัง เพื่อจะพบกับร่างสูงใหญ่ของพี่ชายในชุดสูทสีเทาเรียบซึ่งกำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินตรงมาหา
ปกติพี่ชายเป็นคนรักษามาด เขาไม่วิ่ง ไม่แสดงท่าทีว่าร้อนรน...เว้นแต่บางเรื่องที่ทำให้จิตใจเขาไม่สงบ และเรื่องของเธอเป็นหนึ่งในนั้น
ไม่ต้องมีคำถาม หญิงสาวแค่คลี่ยิ้มบาง ๆ เอียงคอมองคนที่ตรงเข้ามาโอบกอดเธอไว้
“คิดถึงน้องจัง...ขอโทษนะที่พี่ไม่ได้มาหาตั้งนาน ช่วงนี้พี่ยุ่งมาก”
โชคดีที่เขาบอกไว้แล้ว หญิงสาวจึงไม่หลุดวีนใส่พี่ชาย เธอแค่คลี่ยิ้มบาง ๆ ด้วยความดีใจ หยาดน้ำใส ๆ ไม่รู้ว่ามาจากไหนล้นมาเอ่ออยู่ที่ตา เพียงเท่านั้นก็ทำให้คนที่มองหน้าเธอถึงกับหน้าเสีย รีบยกมือแตะหางตาเธอ
“ร้องไห้ทำไม...โกรธพี่หรือ พี่ขอโทษนะ”
“ไม่ค่ะ ไม่...” หญิงสาวรีบบอก “ฉันไม่ได้โกรธ แค่ดีใจที่พี่ยังรักฉัน ยังไม่ลืมว่ามีฉันอยู่ตรงนี้”
“พี่จะลืมน้องได้อย่างไร” เขาขมวดคิ้วบอก ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ...พี่จะพากลับห้อง นักกายภาพบำบัดมารอน้องอยู่นานแล้ว”
หญิงสาวเหลือบมองไปทางผู้ชายอีกคนที่ทำเป็นเดินชมสวนอยู่ไม่ไกล พี่ชายเหมือนจะรู้ ร่างสูงในชุดสูทจึงก้าวตรงไปหาผู้ชายในชุดสีเขียวบอกความเป็นคนไข้ในโรงพยาบาลเช่นกัน
“ขอบคุณนะครับ...ที่ช่วยดูแลน้องสาวผม” ประโยคนั้นไม่ใช่แค่คำขอบคุณต่อชายหนุ่มผู้นั้น แต่ทำให้น้องสาวได้รู้ว่าพี่ชายที่ไม่มาหาเป็นสิบวันคงรู้เรื่องของเธอโดยตลอด
เขาหันมายิ้มรับ ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังจ้องหน้าเขาแล้วกระพริบตาเหมือนจะบอกบางอย่าง ชายหนุ่มจึงเดินตรงเข้ามาหาเธออีกครั้ง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ก้มลงมาหน่อยสิคะ ฉันลุกไปกระซิบกับคุณไม่ได้หรอก” เธอบอกโดยไม่สนใจพี่ชายที่ยืนมองอย่างประหลาดใจอยู่ข้างรถเข็น
ชายหนุ่มก้มหน้าลงมาใกล้ เอียงคอให้เธอกระซิบได้ถนัดโดยไม่ต้องขยับตัวมาก
“ฉันได้...ได้รู้ว่ายังมีคนที่รักฉันโดยไม่มีเงื่อนไขอยู่เหมือนกัน”
คำตอบนั้นทำให้รอยยิ้มบนหน้าของชายหนุ่มกว้างขึ้น เขากระซิบตอบเบา ๆ “คุณได้...ได้รู้ว่าตัวคุณมีค่าพอให้พวกเขารักโดยไม่มีเงื่อนไข”
ชายหนุ่มดึงตัวขึ้น โคลงศีรษะเบา ๆ ให้พี่ชายของหญิงสาว ก่อนจะบอกเธออีกครั้ง “แล้วพรุ่งนี้ผมจะรอคำตอบต่อไป”
“หา...ยังไม่พออีกเหรอ”
“คิดสิครับคนเก่ง...มีอะไรอีกบ้างที่จะเป็นคำตอบของคุณได้” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะก่อนจะเดินจากไป
หลังจากนั้น เธอก็พยายามที่จะตอบ “ฉันได้...” อีกหลายครั้ง แต่ชายหนุ่มยังมีข้อโต้แย้งอยู่เสมอ
“ฉันได้รู้ว่า...สมองฉันยังมีมูลค่าอยู่เหมือนกัน” หญิงสาวให้คำตอบเขา หลังจากวันที่เพื่อนรักและหุ้นส่วนมาเยี่ยม ความจริงเธอก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่บังเอิญเด็กรับใช้เข็นรถเข็นไปทันที่เธอได้เห็นตัวเลขสีแดงบนหน้าจอไอแพดของเพื่อนพอดี
ความเป็นนักบริหารและนักเศรษฐศาสตร์ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะถามถึงสถานการณ์ของบริษัท ก่อนจะออกความเห็นและยิ้มให้เพื่อนที่ลากลับไปด้วยสีหน้าที่ดีกว่าตอนเดินเข้ามา
“ไม่หรอก...สมองคุณมูลค่าต่ำมากแล้ว” เขาแย้งหน้าตาเฉย
“นี่...คุณ” หญิงสาวอ้าปากค้าง คิดไม่ออกว่าจะว่าเขาอย่างไรดี
ชายหนุ่มหัวเราะ ก่อนบอกด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “ก็คุณใช้งานสมองมากเหลือเกิน ค่าเสื่อมราคาก็ต้องหักไปมากเป็นธรรมดา”
“ฉันได้โอกาสที่จะเรียนรู้ชีวิตใหม่อีกครั้ง” เธอคิดคำตอบนี้ได้หลังจากที่นักกายภาพและนักกิจกรรมบำบัดช่วยกันจัดการฝึกให้ฉันล้างหน้าและแปรงฟันด้วยตัวเอง ข้อมือที่เคยงออยู่ตลอดถูกรั้งด้วยเครื่องมือพิเศษที่เธอเริ่มใช้งานได้คล่องพอสมควร และนั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาคิดว่าถึงเวลาฝึกเธอให้แปรงฟันได้แล้ว
เขาแค่อมยิ้มมองเธอนิ่ง ไม่มีคำตอบรับหรือโต้แย้งใด ๆ แต่ยังมีคำพูดเดิมเมื่อส่งหญิงสาวเข้าห้องพัก
“ผมจะรอคำตอบของวันพรุ่งนี้นะครับ”
หญิงสาวนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง มือที่อยู่บนตักถูกยกขึ้นระดับสายตา เธอกำมือแล้วปล่อยให้เครื่องมือที่ติดอยู่ดึงนิ้วให้เหยียดออกช้า ๆ
ตั้งแต่เมื่อไรที่การกายภาพบำบัดกลายเป็นเรื่องสนุก เธอรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่ตื่นเต้นกับการเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอีกครั้ง เธอพยายามมากขึ้นเรื่อย ๆ เพียงเพื่อจะรายงานให้ผู้ชายข้างห้องฟังถึงความคืบหน้าในการใช้ชีวิตของเธอ
หมอบอกนานแล้วว่าการบาดเจ็บที่ไขสันหลังของเธออยู่ในกลุ่มที่สามารถฟื้นฟูได้ แม้จะไม่ถึงกับฟื้นฟูให้ใช้ชีวิตได้ปกติ แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองก็ยังดี หญิงสาวไม่เคยสนใจมันเพราะไม่มีแรงบันดาลใจพอให้เธอคิดทำอย่างตั้งใจ จนเมื่อเธอรู้ว่าเธอได้อะไรมามากมาย ความพยายามก็ดูจะเป็นสิ่งมีค่าอย่างหนึ่งที่เธอได้มา
“ใช่...ฉันได้รู้ว่าความพยายามมันมีค่า เมื่อเราต้องการจะทำบางอย่างให้ได้” เธอกำลังยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ก่อนที่เสียงข่าวจากโทรทัศน์จะดึงหญิงสาวกลับมาสู่โลกของความจริงอีกครั้ง
เสียงใสกังวานของผู้ประกาศข่าวหญิงรายงานข่าวพิเศษที่ทำให้ดวงตาคู่สวยของหญิงสาวเบิกกว้างจัด ภาพในข่าวคือรถยนต์คันหรูที่เวลานี้เละจนแทบไม่เห็นสภาพเดิม
บีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ย์เจ็ดคันโปรดของเพื่อนรักเคยเป็นที่ภาคภูมิใจของเขาเสมอ แต่เวลานี้เหลือแค่ซาก เธอไม่ได้เสียดายรถ แต่ตกใจกับคำบรรยายภาพนั้นมากกว่า
“...สำหรับผู้เสียชีวิต ทราบชื่อภายหลังว่า...” นั่นคือชื่อของเพื่อนเธอ เป็นทั้งเพื่อนรัก ทั้งหุ้นส่วนคนสำคัญที่เพิ่งมาเยี่ยมเธอเมื่อหลายวันก่อน คำอธิบายต่อท้ายชื่อเขาค่อนข้างยาว ในฐานะบุตรชายนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง และผู้บริหารบริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่ที่เราครอบครองร่วมกัน
หยาดน้ำตาร่วงหล่นมาไม่ขาดสาย “ไม่จริง...ไม่จริง...” หญิงสาวอยากให้มันเป็นเพียงความฝัน
พยาบาลเดินเข้ามาในห้อง พอเห็นเธอกำลังร้องไห้ก็หน้าเสีย รีบก้าวเข้ามากำลังจะเอ่ยถามหาสาเหตุ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่จ้องมองตรงไปที่โทรทัศน์ คนในชุดขาวก็หันมองตาม พอดีกับที่ภาพผู้เสียชีวิตปรากฏขึ้นบนจอ เป็นผู้ชายที่เพิ่งมาเยี่ยมเธอไม่นาน
“ทำใจให้สบายก่อนเถอะนะคะ...เวลานี้ คุณยังไม่ควรเครียดอะไรทั้งนั้น” พยาบาลสาวกดรีโมทปิดโทรทัศน์ หันมาบอกหญิงสาวเสียงเบา และแตะมือลงที่แขนเธอบีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ แต่หญิงสาวไม่รับรู้ถึงสัมผัสนั้น
“มันไม่จริงใช่ไหม...บอกฉันสิว่ามันไม่จริง” เธอเงยหน้าจ้องมองพยาบาลสาวอย่างคาดคั้น
แต่ท่าทางของคนตรงหน้าที่หลุบตาลงไม่เอ่ยคำตอบยิ่งทำให้หญิงสาวไม่สามารถจะปฏิเสธความจริงได้อีกต่อไป เธอก้มหน้าลง ปล่อยให้น้ำตาไหลร่วงลงมาโดยไร้เสียงสะอื้น นานจนฟ้ากลายเป็นสีดำ ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออก พร้อมกับที่พี่ชายเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเธอนั่นละ
“เห็นข่าวแล้วใช่ไหม”
“เป็นความจริงหรือคะ...เขาทิ้งฉันไปแล้วจริง ๆ หรือ” เธอถามเสียงเครือ เพราะคนที่ข่าวบอกว่าจากไปแล้วเคยสัญญากับเธอว่าจะช่วยกันทำงาน จะดูแลเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป
ชายหนุ่มในชุดสูทย่อตัวลงตรงหน้าเธอ กอดร่างบางนั้นไว้แน่น “ไม่เป็นไรนะเด็กดี...พี่อยู่ตรงนี้นะคะ” พี่ชายปลอบเหมือนวันเก่า ๆ เมื่อคราวทั้งคู่ยังเป็นเพียงเด็กน้อย หญิงสาวสูดลมหายใจยาว สะอื้นไห้อยู่กับไหล่ของพี่ชาย
“ไม่ต้องห่วงนะ...พี่สัญญาว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”
“พี่พาเขามาคืนฉันไม่ได้หรอกค่ะ” เธอยังเข้าใจโลกดีพอ
พี่ชายคลี่ยิ้มบาง ๆ “แต่พี่รักษาสิ่งที่พวกเธอรักไว้ให้ได้...บริษัทของเธอ”
“งานของพี่หนักพอแล้ว”
“พี่ยังพอมีเวลาเหลือ” เขาบอกเบา ๆ แต่หญิงสาวส่ายหน้าช้า ๆ เธอยังจำได้ว่าก่อนเธอจะมาติดอยู่ในรถเข็นแบบนี้ ทั้งพี่ชายและเธอเคยทำงานหนักมากจนแทบไม่มีเวลากลับบ้าน
และงานที่บริษัทของเธอคงหนักเป็นพิเศษในช่วงเวลาที่มีข่าวทำให้เกิดความแปรปรวนเช่นนี้ หากพี่ชายยื่นมือเข้ามาช่วย เขาจะเหนื่อยจนแทบไม่มีเวลาให้พัก และนิสัยอย่างพี่ก็คงไม่ปริปากบอกเธอ
เขาจะมุ่งมั่นรักษามันไว้ เพราะรู้ว่านั่นคือหนึ่งในสิ่งที่เธอรัก
“อย่าเลยค่ะ...อย่าทำเพื่อฉันมากขนาดนั้น”
“เธอเป็นน้องพี่นะ” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “พี่พร้อมจะดูแลเธอเสมอ”
“ขอบคุณนะคะ...ฉันโชคดีเหลือเกินที่มีพี่” หญิงสาวคลี่ยิ้มให้พี่ชาย ก่อนจะเม้มริมฝีปากเบา ๆ แล้วบอกด้วยความมุ่งมั่น “แต่ฉันจะเอาแต่ใช้ความโชคดีบนหยาดเหงื่อของพี่ไม่ได้หรอก...ฉันจะกลับไปจัดการทุกอย่างเอง”
คำนั้นทำให้ชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอเบิกตากว้าง “แต่เธอ...”
“ฉันบาดเจ็บที่ไขสันหลัง...แต่สมองฉันยังทำงานได้นะคะ” หญิงสาวรู้สึกเหมือนดวงตาแห่งความเชื่อมั่นและมุ่งมั่นกลับคืนมาอีกครั้ง พี่ชายมองหน้าเธอนิ่งอยู่ครู่เดียว ก่อนจะแตะมือเธอเบา ๆ แม้ผิวนั้นจะไม่สามารถรับความรู้สึกได้ดีนัก แต่เธอรับรู้ถึงความห่วงใยของเขาได้ดี
“ให้ฉันทำเถอะนะ...มันเป็นหน้าที่ของฉัน”
ชายหนุ่มในชุดสูทพยักหน้ารับ แต่ยังมีเงื่อนไข “สัญญากับพี่ว่าน้องจะไม่หักโหมจนเกินไป แบ่งเวลาทำกายภาพตามนัด และ...อย่าแบกโลกเอาไว้คนเดียว ถ้าไม่ไหวก็บอก...พี่จะมองเธออยู่ตรงนี้”
หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้างขึ้น พยายามยกมือขึ้นกอดร่างสูงของตนตรงหน้า “ฉันสัญญา...ขอบคุณนะคะ พี่ชาย”
--------------------
โปรดติดตามครึ่งหลัง
คำถามประจำตอนนี้ : ลองเดากันดูนะคะ ว่าคำตอบสุดท้ายที่เขาอยากได้จากคำถามนั้น คืออะไร
บางครั้ง...เราก็เสียบางอย่างไปเพื่อจะได้เรียนรู้บางสิ่ง...
หลังเงาเมฆสีหม่นมีเส้นแสงสีเงินแสนสวยซ่อนอยู่เสมอ
ไอซ์คิดว่าวันนี้ประเทศของเราเหมือนอยู่ในเงาของฝันร้าย แต่โชคดีคือเราไม่ได้ยืนอยู่เพียงลำพัง แต่เรามีคนที่พร้อมจะจับมือเดินฝ่าไปด้วยกันอยู่เสมอ
เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะคะ
ขอบคุณต่อสำหรับแรงบันดาลใจอีกส่วนหนึ่ง
Always by Basketband
Games by Singular

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ต.ค. 2554, 20:49:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ต.ค. 2554, 20:49:31 น.
จำนวนการเข้าชม : 2600
<< แม้รู้ว่ารักร้าง...แต่ยัง...ไม่กล้าพอจะเลิกรา | คนของความทรงจำ (ครึ่งนี้จบแล้วค่ะ) >> |

หนอนฮับ 12 ต.ค. 2554, 21:07:49 น.
ชอบเรื่องสั้นของคุณไอซ์ มากเลยคะ....อยากได้แบบรวมเล่มจัง อิอิ...
ชอบเรื่องสั้นของคุณไอซ์ มากเลยคะ....อยากได้แบบรวมเล่มจัง อิอิ...

sunshinemoonlight 12 ต.ค. 2554, 21:20:06 น.
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ เรื่องของคุณไอซ์ยังคงให้ข้อคิดดีๆ เสมอเลยค่ะ เป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจที่ดีมากๆ เลยค่ะ ขอบคุณจริงๆ ^^
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ เรื่องของคุณไอซ์ยังคงให้ข้อคิดดีๆ เสมอเลยค่ะ เป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจที่ดีมากๆ เลยค่ะ ขอบคุณจริงๆ ^^

สะเรนี 12 ต.ค. 2554, 22:00:57 น.
เดาไม่ถูก แต่รออ่านต่อค่ะ
เดาไม่ถูก แต่รออ่านต่อค่ะ

bow 12 ต.ค. 2554, 23:03:29 น.
ชอบมากๆ เลยค่ะ สำนวนการเขียน เนื้อเรื่อง
น่าติดตาม ทำให้อยากอ่านต่อเร็วๆ จังค่ะ :)
ปล อ่านไป น้ำตาคลอไปเลยค่ะ ซึ้งจัง
ชอบมากๆ เลยค่ะ สำนวนการเขียน เนื้อเรื่อง
น่าติดตาม ทำให้อยากอ่านต่อเร็วๆ จังค่ะ :)
ปล อ่านไป น้ำตาคลอไปเลยค่ะ ซึ้งจัง

sai 13 ต.ค. 2554, 00:48:14 น.
สารภาพว่าอาการเดียวกับคุณbowเลยค่ะ
เดาว่า เธอได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อเพื่อทำในสิ่งที่อยากทำ ต่างจากเพื่อนของเธอค่ะที่ไม่มีโอกาสนั้น
สารภาพว่าอาการเดียวกับคุณbowเลยค่ะ
เดาว่า เธอได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อเพื่อทำในสิ่งที่อยากทำ ต่างจากเพื่อนของเธอค่ะที่ไม่มีโอกาสนั้น

คิมหันตุ์ 13 ต.ค. 2554, 01:29:11 น.
เดาไม่ถูก แล้วรออ่านเหมือนกันค่ะ อิอิ
เดาไม่ถูก แล้วรออ่านเหมือนกันค่ะ อิอิ

sunshinemoonlight 13 ต.ค. 2554, 09:02:12 น.
ถ้าให้เดาในมุมมองโรแมนติกๆ คำตอบคือ
เธอได้...ได้รู้จักกับเขา...รึเปล่าเอ่ย โหะๆ
ถ้าให้เดาในมุมมองโรแมนติกๆ คำตอบคือ
เธอได้...ได้รู้จักกับเขา...รึเปล่าเอ่ย โหะๆ

anOO 13 ต.ค. 2554, 18:36:00 น.
แค่ได้อยู่ในโลกใบนี้ต่อไป ในวันต่อๆ ไป ก็เพียงพอแล้ว
หัวเราะไม่ไหว แค่ยิ้มได้ก็ยังดี
แค่ได้อยู่ในโลกใบนี้ต่อไป ในวันต่อๆ ไป ก็เพียงพอแล้ว
หัวเราะไม่ไหว แค่ยิ้มได้ก็ยังดี

green 18 ต.ค. 2554, 10:01:34 น.
Love your short stories.
Simply wonderful in everyone of them.
Keep up good work!
Love your short stories.
Simply wonderful in everyone of them.
Keep up good work!