^วันอยากเขียน^
รวมเรื่องสั้น ฉบับลิขิตราค่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จับเรื่องสั้นมารวมกันไปเลยดีกว่า
Tags: เรื่องสั้น ลิขิตรา

ตอน: คนของความทรงจำ (ครึ่งนี้จบแล้วค่ะ)

หญิงสาวเพิ่งรู้สึกในเช้าวันต่อมา ว่าเมื่อวานนี้ทั้งวัน ชายหนุ่มข้างห้องไม่ได้เข้ามาพาเธอออกไปเที่ยว หญิงสาวใช้คันบังคับของรถเข็นไฟฟ้าพาตัวเองไปที่ประตูหน้าห้อง ยกมือขึ้นอย่างยากลำบากเพื่อจะแตะมือลงที่ประตู ลูกบิดแบบก้านโลหะที่ทำให้ยื่นออกมาช่วยให้คนซึ่งใช้มือไม่สะดวกไม่ถึงกับลำบากมากนัก ล็อกประตูหลุดออกจากขอบวงกบ หญิงสาวกำลังจะบังคับรถให้ชนประตูเปิดออกไปแล้ว โชคดีที่เสียงร้องของสาวใช้ดังขึ้นก่อนจากด้านหลัง เธอจึงนั่งรออย่างสงบ

“คุณหนูจะไปไหนคะ” สาวใช้ก้มตัวลงถามอย่างนอบน้อม

“ห้องข้าง ๆ นี่ละ เขายังอยู่ใช่ไหม”

สาวใช้อมยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเดินไปอยู่ด้านหลังรถเข็น “ยังอยู่ค่ะ เมื่อเช้าหนูเห็นเพิ่งมีคนมาเยี่ยมเอง”

เด็กสาวร่างสูงโปร่งเข็นรถเข็นพานายสาวออกจากห้อง ก่อนจะหยุดหน้าประตูห้องพักคนไข้ข้าง ๆ กัน เธอกำลังจะยื่นมือไปกดกริ่งบอกคนข้างใน แต่คนบนรถเข็นรีบห้ามไว้

“อย่ากด...” เสียงใสร้องบอก ก่อนหญิงสาวจะถอนใจเบา ๆ “กลับห้องเถอะ เผื่อเขาจะหลับอยู่”

เด็กสาวกำลังจะอ้าปากท้วง โชคดีที่พยาบาลสาวเปิดประตูออกมาพอดี พอเห็นผู้หญิงในรถเข็น เธอก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“พี่พยาบาลออกมาพอดี...คุณผู้ชายพักผ่อนอยู่หรือเปล่าคะ” เด็กสาวถามแทนนายสาว อาศัยความที่ผู้เป็นนายออกทุนสนับสนุนจนเธอได้เป็นนักเรียนพยาบาล ทำให้เธอคุ้นเคยกับนางฟ้าในชุดขาวของโรงพยาบาลเป็นอย่างดี

คนถูกถามนิ่งไปเพียงครู่จึงเอ่ยตอบ “เอ้อ...ถ้าคุณหนูจะเข้าเยี่ยม เดี๋ยวดิฉันเข้าไปแจ้งก่อนนะคะ” แล้วร่างโปร่งระหงก็หมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง รออยู่เพียงครู่จึงออกมาบอกให้สาวใช้เข็นรถเข็นพาคนเป็นนายเข้าไป

หลังประตูบานใหญ่คือห้องนั่งเล่นรับแขกออกแบบเหมือนห้องที่เธอพักอยู่ พยาบาลสาวเดินตามมาแล้วบอก “อยู่ในห้องนอนค่ะ...ด้านนี้” เธอนำไปสู่ส่วนที่เชื่อมไปยังห้องนอน

ภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาทุกคู่คือเตียงนอนขนาดกลางซึ่งมีชายหนุ่มนอนพักอยู่ เขาเอนตัวพิงหมอนซึ่งหนุนหลังไว้จนตัวเกือบตรง ใบหน้าดูซีดเซียว แต่ยังมีรอยยิ้มระบายอยู่เหมือนที่เธอเคยเห็นเสมอ สายตาเขามองมาที่เธอเพียงครู่เดียว ก่อนจะเลื่อนกลับไปที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คซึ่งวางอยู่บนหมอนที่หน้าตัก เอ่ยคำเสียงเรียบ

“จัดการตามนั้น แล้วส่งรายงานกับสัญญาฉบับใหม่เข้าเมล์ผมก็แล้วกัน” เขาสั่งการทางคอมพิวเตอร์เป็นภาษาอังกฤษเสนาะหูอย่างเจ้าของภาษา ก่อนจะเอ่ยลาแล้วพับหน้าจอลง เงยหน้ากลับมามองหญิงสาวอีกครั้ง

“ขอโทษครับ...พอดีมีงานที่บริษัทนิดหน่อย”

“ฉันต่างหากต้องขอโทษที่มากวน” เธอบอก “เพิ่งรู้ว่าคุณหอบงานมาทำถึงนี่ด้วย”

“จำใจต้องทำมากกว่าครับ...ยังปล่อยมือได้ไม่เต็มที่เสียที” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ ขณะที่หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มนิ่งอย่างพิจารณา

เธอเพิ่งนึกได้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา ตรงหน้าเธอคือผู้ชายที่หลายคนเชื่อกันว่าอาจสร้างตำนานบทใหม่ขึ้นในโลกยุคที่เทคโนโลยีเรืองอำนาจ เขาคือนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยอดอัจฉริยะที่สร้างตัวเองขึ้นมาจากพื้นเพที่เกือบเรียกได้ว่าเป็นศูนย์

“คุณยังเขียนโปรแกรมอยู่หรือเปล่าคะ”

“ไม่ได้ทำเต็มตัวแล้วละครับ...ผมแค่วางแนวทางและตรวจแก้เท่านั้น จะมีที่เขียนเล่น ๆ อยู่ เผื่อว่าพอจะเป็นประโยชน์บ้างก็โปรเจคท์ทางการแพทย์นี่ละครับ”

“หืม...อะไรกันคะ”

“ซิมูเลเตอร์ครับ” เขาหมายถึงเครื่องฝึกเสมือนจริง เพียงได้ยินหญิงสาวก็เบิกตากว้าง แค่ฟังก็รู้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย แต่เขายังหัวเราะ “ถ้าทำสำเร็จ...น่าจะเป็นประโยชน์กับวงการแพทย์มากทีเดียว แต่ก็ไม่แน่ มันยังเป็นแค่โครงอยู่เลย ผมจะอยู่ทำจนเสร็จได้ไหมก็ไม่รู้”

“อย่าพูดอย่างนั้น...คนไทยเขาถือ” หญิงสาวออกปากดุ ทั้งที่เธอไม่เคยสนใจคำพูดถึงความเป็นตายของใคร แต่ข่าวร้ายของเพื่อนรักที่เพิ่งได้ยินทำให้เธอเปราะบาง

ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองก่อนหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจ “ทำไมต้องถือครับ...คนเราเกิดมาก็ต้องตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ”

“ไม่มีใครอยากตาย และไม่มีใครอยากพบกับความตายของคนที่รักหรอกนะคะ” พลั้งปากออกไปแล้วหญิงสาวก็เพิ่งรู้สึกว่าคำพูดของเธอมีนัยยะบางอย่างที่ทำให้คนฟังอาจคิดไปไกลเกิน เธอจึงรีบแก้ “เอ้อ...ฉันหมายถึงคนคุ้นเคย คนรู้จักกัน”

“ผมชอบคำแรกมากกว่า...แต่ถ้าคุณยังไม่กรุณาขนาดนั้น ผมก็คงได้แต่ยอมรับ”

หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ มองหน้าเขาอย่างพยายามค้นหาความหมายของคำพูดนั้น แต่ชายหนุ่มก็เพียงส่งยิ้มบาง ๆ มาให้อย่างใจเย็น เธอนิ่งไปครู่ ก่อนจะบอกเบา ๆ “บางทีฉันน่าจะใช้เทคโนโลยีช่วยอย่างคุณบ้าง”

“คุณจะทำอะไร”

“ฉันจะกลับไปทำงานค่ะ” เธอเชิดหน้าบอกด้วยความมั่นใจในตัวเอง วูบหนึ่งที่ความรู้สึกในใจบอกว่าดวงตาของความเชื่อมั่นที่เคยมีกลับคืนมาสู่เธออีกครั้ง

ผู้ชายตรงหน้าเธอยิ้มบาง ๆ ก่อนบอก “ดีครับ...”

หญิงสาวหัวเราะ “คิดแล้วว่าคุณต้องบอกอย่างนี้...ถ้าเป็นคนอื่นฟังคงถามว่าฉันจะทำได้อย่างไร แต่คุณ...ผลักฉันไปข้างหน้าตลอดเลยนะคะ”

“เพราะเชื่อว่าคุณจะก้าวไปได้น่ะสิครับ”เขาบอกด้วยแววตาแบบเดียวกับที่เคยทำให้เธอหวั่นไหวและนึกอิจฉา แต่เมื่อเธอรู้ว่าดวงตาเธอกำลังฉายประกายไม่ต่างกัน วันนี้หญิงสาวจึงยิ้มให้เขาได้

“ขอบคุณนะคะ...วันนี้ฉันได้...ได้รู้จักความกล้าหาญที่จะพาคนล้มให้เดินไปข้างหน้า”

“และวันหนึ่ง...ความกล้านั้นจะพาให้คุณลุกขึ้นเดินอีกครั้ง” เขาเอ่ยอย่างมั่นใจ “ผมเชื่ออย่างนั้น”

หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง ๆ แม้ใครจะบอกว่าการบาดเจ็บที่ไขสันหลังของเธออยู่ในกลุ่มที่ฟื้นฟูได้ แต่ความหวังที่จะเดินได้อีกครั้งก็ยังริบหรี่เสียเหลือเกิน เธอไม่เคยมั่นใจ แต่เมื่อเขาเชื่อ “ฉันจะพยายามเชื่ออย่างนั้นค่ะ...ใกล้เวลาประชุมแล้ว ฉันคงต้องออกไปทำงานสักพัก”

“วันแรกจะหนักเสมอ แต่ผมเชื่อว่าคุณจะผ่านมันไปได้” นั่นอาจเป็นคำอวยพรของผู้ชายคนนั้น ก่อนที่เขาจะยิ้มให้เธออย่างเจ้าเล่ห์อยู่นิด ๆ “ผมจะรอคำตอบของวันพรุ่งนี้”

“ฉันจะหามาตอบนะคะ” หญิงสาวบอกเบา ๆ ก่อนจะหันไปตรงส่วนประตูบานเลื่อนที่เปิดออกกว้าง หลังบานประตูเป็นห้องพักผู้ดูแลผู้ป่วยที่ต่อเชื่อมกับห้องนั่งเล่นด้านนอกสุด เด็กสาวที่พาเธอมานั่งรออยู่ตรงนั้น เพียงเธอพยักหน้าเบา ๆ ร่างเล็กก็รีบเดินเข้ามาหา

“กลับเถอะ”

เด็กสาวหันมายกมือไหว้ชายหนุ่มแทนคำลา ก่อนจะเข็นรถเข็นพาเธอกลับไปที่ห้องพัก



หญิงสาวคงต้องขอบคุณพี่ชายและนักกายภาพบำบัดมือดีที่เขาสรรหามาดูแลเธอ สภาพของเธอที่ปรากฏต่อที่ประชุมบริษัทจึงไม่ได้เลวร้ายนัก หากเพียงจะไม่มีรถเข็นที่นั่งอยู่ เข็มขัดรัดประคองตัว และเครื่องยึดมือนิ้วมือ ภาพของเธอก็คงไม่ต่างจากผู้บริหารสาวคนเดิมที่หลายคนเคยเห็น

สายตาหลายคู่มองมาอย่างใคร่รู้จนเธอสัมผัสได้ มีร่องรอยของความสมเพช สงสาร ปะปนกับความไม่เชื่อถือซ่อนอยู่ทำให้มือขาวเผลอจิกเกร็งด้วยความกังวลใจ จนเธอสูดลมหายใจตั้งสติได้ แรงเกร็งที่มือจึงผ่อนลง เส้นลวดสปริงที่ยึดติดกับที่รัดนิ้วจึงดึงทั้งมือและนิ้วให้เหยียดออก คล้ายท่าปกติของมือเวลาพัก

หญิงสาวไล่สายตามองไปทั่วห้อง แววตาบางคู่ยังพอเหลือความห่วงใย เธอเลือกจะเอ่ยทักทายและเปิดยิ้มบาง ๆ เป็นการตอบแทนสายตาเหล่านั้น

“...ดิฉันต้องขออภัยที่ทำให้ทุกท่านต้องเป็นห่วง แต่จากนี้ไปดิฉันขอยืนยันว่าเราจะกลับมาพาบริษัทของเราไปข้างหน้าเหมือนที่เคยเป็น ขอเริ่มกันที่สภาวะความแปรปรวนในตลาดช่วงนี้ ผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคงในอเมริกาและยุโรปทำให้เกิดผลกระทบไปทั่ว ดิฉันมีความเห็นว่าเราควรปรับน้ำหนักการลงทุนในกองทุนใหม่...” เธอเอ่ยถึงเรื่องงานอย่างไม่ติดขัด คุ้นเคยต่อการบริหารจัดการอย่างที่เคยทำ ข้อมูลที่พูดผ่านการตรวจสอบและปรับให้ทันต่อเหตุการณ์

คนของพี่ชายและเธอใช้เวลาแทบทั้งคืนเพื่อจัดการกับข้อมูลข่าวสารที่เธอเสียไปในช่วงสามเดือนที่อยู่ในโรงพยาบาล และหญิงสาวก็ไม่ทำให้ใครผิดหวัง ผู้บริหารทั้งหมดได้เห็นภาพนักธุรกิจสาวคนเดิมที่เคยจัดการทุกเรื่องได้อย่างเด็ดขาด ความเจ็บป่วยไม่ได้ทำให้ไหวพริบและความเฉลียวฉลาดของเธอลดหายไปเลย

จนออกจากห้องประชุม นั่งรถกลับมาถึงห้องพักที่โรงพยาบาลนั่นละ ทันทีที่หลังแตะที่นอนนุ่ม ๆ เธอก็เอียงคอซบหน้าลงกับหมอน หลับตานิ่งอย่างเหนื่อยล้า

ไม่นานแพทย์ผู้ดูแลก็เข้ามาตรวจร่างกายหญิงสาว ก่อนสั่งการให้จัดยานอนหลับให้เธอได้พักผ่อนให้เต็มที่ ตอบแทนร่างกายที่เหนื่อยล้ามาเกือบทั้งวัน

หญิงสาวเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพี่ชายจึงยังไม่ยอมให้เธอออกจากโรงพยาบาล หากหลังทำงานแล้วเธอจะล้ามากขนาดนี้ การอยู่ใกล้หมอไว้ก่อนก็คงไม่เลวร้ายเท่าไร เสี้ยวหนึ่งของความคิดก่อนจะหลับตาลง เธอนึกแปลกใจว่าผู้ชายคนนั้นทนทำงานหนักทั้งที่ร่างกายยังป่วยได้อย่างไรกันนะ



การต้องทำงานและทำกายภาพบำบัดไปด้วยทำให้หญิงสาวและเพื่อนข้างห้องมีเวลาให้กันน้อยลง จากที่เคยพบกันทุกวัน กลับเปลี่ยนเป็นหลายวันครั้งที่เขาจะก้าวเข้ามาในห้องขณะเธอนั่งทำงาน กล่าวราตรีสวัสดิ์เบา ๆ เพื่อให้เธอเงยหน้าแล้วยิ้มให้ ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเดินออกไป

หลายครั้งที่ว่างพอ หญิงสาวเผลอคิดว่าตัวเองหลงรักความสัมพันธ์ที่งดงามแบบนี้ เธอเกือบคิดอะไรแผลง ๆ อย่างการขอเขาแต่งงาน แต่ก็สำนึกได้ว่าร่างกายของเธอไม่สมควรที่จะผูกพันกับใครทั้งนั้น

งานเป็นตัวช่วยที่ดีเมื่อหัวใจไม่ต้องการความวุ่นวาย การใช้สมองจนยุ่งทำให้ไม่มีเวลาคิดถึงความโชคร้ายของตัวเอง แต่ละวันของหญิงสาวผ่านไปเร็วกว่าช่วงแรกที่เริ่มเจ็บป่วย

และเพราะงานอีกเช่นกันที่บีบให้เธอต้องพยายามฟื้นฟูตัวเอง หลายครั้งที่แพทย์ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูและนักกายภาพบำบัดต้องเตือนไม่ให้เธอฝืนจนเกินไป แต่เมื่อมาถึงจุดที่ได้ก้าวเดินอีกครั้ง แม้จะยังต้องใช้เครื่องช่วยเพื่อฝึกเดิน หญิงสาวกยังอดใจไม่ได้ที่จะพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่า

คนเดินได้ ยืนได้ ไม่รู้หรอกว่าการที่เท้าเหยียบพื้นและกายยังตั้งตรงอยู่นั้นมีค่ามากแค่ไหน แม้จะเป็นการเหยียบบนเครื่องฝึกเดินที่ต้องมีคนคอยพยุงก็เถอะ

หลังเสร็จสิ้นการฝึก เลขานุการสาวจัดเตรียมเอกสารมาให้เธอตรวจก่อนการประชุมวันพรุ่งนี้ เธอนั่งจัดการจนเรียบร้อยดีเมื่อเกือบสามทุ่มกว่า ความยินดีที่เท้าได้เหยียบพื้นยังคั่งอยู่ในอก หญิงสาวอยากบอกให้ใครสักคนรู้ และคนเดียวที่เธอพอนึกออกคือผู้ชายที่พักอยู่ห้องข้าง ๆ

ดึกมากแล้ว หญิงสาวถอนใจเบา ๆ นี่ไม่ใช่เวลาอันสมควรที่จะไปเยี่ยมคนป่วย

...คนป่วย...เปลือกตาบางปิดลงเพียงครู่อย่างครุ่นคิด หญิงสาวเพิ่งนึกได้ว่าผู้ชายคนนั้นเองก็เป็นคนป่วยคนหนึ่งเหมือนกัน

เธอปิดเปลือกตาลงชั่วครู่ ภาพที่เห็นผ่านสายตาอย่าไม่เคยใส่ใจแม้เพียงมองผ่าน เวลานี้ย้อนกลับมาทวนฉายอยู่ในสมองทีละภาพ ทีละภาพ

เพราะที่แห่งนี้คือโรงพยาบาล แม้เธอจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าออกได้เหมือนเป็นบ้านพักวีไอพี แต่ความจริงก็คือที่นี่คือโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยผู้ป่วยมากมาย

หลายวันก่อนเธอได้เห็นผู้ชายที่พยายามฝึกใช้ขาเทียมอยู่ในห้องกายภาพ มีเด็กผู้หญิงอีกคนท่าทางเหมือนเด็กพิเศษกำลังนั่งรอพบแพทย์อยู่ที่ห้องกระจกในแผนกฝึกพูด ผู้ป่วยหลายคนนอนรอแพทย์อยู่บนเตียงพยาบาลที่หน้าห้องตรวจ นั่นอาจเป็นหลายชีวิตที่เธอมองข้ามไป

“...ทำไมโลกต้องสร้างมนุษย์มาพร้อมกับความเจ็บปวดด้วยนะ” เธอคิดคำถามได้ในคืนนั้น และนอนหลับไปในระหว่างที่คิดหาคำตอบจนใจเพลีย

เช้าวันใหม่ที่เริ่มขึ้นเมื่อรุ่งสาง หลังสาวใช้ช่วยแต่งตัวให้เธอจนเรียบร้อยดีแล้ว หญิงสาวก็พาตัวเองในรถเข็นมาอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยที่อยู่ข้าง ๆ ห้องของเธอ ถอนใจเบา ๆ อย่างโล่งอกเมื่อชื่อที่อยู่หน้าห้องยังเป็นชื่อเดิมของชาวอังกฤษที่เธอคุ้นเคย

เธอตัดสินใจอยู่เพียงครู่ก็พยักหน้าให้สาวใช้กดกริ่งบอกคนข้างใน ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ในนั้นมีหญิงสาวผมบอนด์นั่งอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ เธอกำลังลุกขึ้นยืนมอง แล้วก้าวเข้ามาใกล้ เอ่ยทักด้วยสำเนียงบริทิชเสนาะหู “มาเยี่ยมเขาหรือคะ...เชิญด้านนี้เลย”

สาวในห้องผายมือเชื้อเชิญ ขณะที่หญิงสาวผู้มาใหม่เลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะบอกเบา ๆ “ถ้าเขายังไม่ตื่น ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

“ไปเถอะค่ะ...ช่วนนี้เขาค่อนข้างเพลีย แต่คงดีใจถ้าได้พบคุณ” เธอทอดเสียงเบาทำให้คนฟังนึกสะดุดใจอยู่ไม่น้อย แต่แล้วร่างสูงนั้นก็หมุนตัวกลับมา ก้มลงสวมหน้ากากอนามัยเข้าบนหน้าเธอ “ขอโทษนะคะ...ช่วงนี้เม็ดเลือดขาวเขาค่อนข้างต่ำ คงต้องขอให้คุณสวมหน้ากากนี่”

หญิงสาวบนรถเข็นหรี่ตามองอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเธอถูกพาเข้ามาถึงห้องพักผู้ป่วยด้านใน ร่างที่นอนอยู่บนเตียงเวลานี้มีสายน้ำเกลือร้อยออกมาแขวนไว้ถึงสองขวด ที่ขวดติดป้ายสีต่างกัน แต่หญิงสาวไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรบ้าง ที่แย่กว่านั้นคือร่างที่แม้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าก็บอกได้ว่าซูบลงอย่างมาก

เพียงไม่ถึงครึ่งเดือนที่ไม่พบกัน เธอไม่รู้เลยว่าอาการเขาแย่ลงมากขนาดนี้

“ฉัน...ยังไม่รบกวนดีกว่าค่ะ” คนมาเยี่ยมบอกเบา ๆ พอดีกับที่คนบนเตียงพลิกตัวมาลืมตามอง ใบหน้านั้นปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ขึ้นมา พร้อมเสียงแผ่วเบาของชายหนุ่ม

“ผมไม่ได้ฝันอยู่ใช่ไหม...ที่เห็นคุณ”

“ไม่ค่ะ...ฉันอยู่ตรงนี้” คราวนี้เธอรีบบอก มือเผลอบังคับรถเข็นให้เลื่อนเข้าไปข้างเตียง “คุณเป็นอย่างไรบ้าง”

“ไม่เลวร้ายเท่าไร...คีโมรอบนี้ทำผมแย่กว่าที่คิด แต่เดี๋ยวก็คงดีขึ้น”

“อื้ม...ต้องดีขึ้นใช่ไหม” เธอพยายามยิ้ม แต่เหมือนจะทำได้ยากกว่าปกติ

เขาเสียอีกที่หัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี “อย่าฝืนบอกอย่างนั้น ถ้าคุณยังกลัวว่ามันจะแย่ลง”

“ไม่เลย...ต้องดีขึ้นสิ คุณว่าหมอที่นี่เก่งจนคุณวางใจมา ไม่รักษาที่โน่นไม่ใช่หรือ”

“หมอที่ไหนก็เก่งทั้งนั้น...แต่ที่นี่มีความสงบที่ผมหาที่โน่นไม่ได้” เขาแก้ให้ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ “ที่ดีกว่านั้นคือ...ที่นี่มีคุณ”

หญิงสาวหัวเราะ “ร้ายกาจ...เดี๋ยวแฟนคุณก็เข้าใจผิดหรอก”

คราวนี้เขาเลิกคิ้วสูง เหลือบมองสาวผมบอนด์ที่ยืนข้างเตียง ทำหน้ายุ่งก่อนบอก “แฟนอะไร...นั่นพี่สาวผม สารภาพกับผมสิว่าคุณกำลังหวง”

“อย่าพูดเป็นเล่นสิ...เดี๋ยวถ้าฉันคิดจริงจังขึ้นมา คุณจะแย่เอานะ” หญิงสาวเอ่ยกลั้วหัวเราะ มองดวงตาที่เป็นประกายอ่อนโยนของเขาอย่างอดเสียดายไม่ได้

เธอผ่านโลกมาพอสมควร รู้จักสายตาและความหวั่นไหวของผู้คนมาพอจะเดาความรู้สึกของผู้ชายบนเตียงได้ไม่ยาก กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง หญิงสาวรู้ว่าเธอหลงรักความอ่อนโยนของเขา ความสัมพันธ์ที่สวยงามแบบนี้ทำให้คนที่กำลังอ่อนแอในวันก่อนอย่างเธอเสพติดได้ไม่ยาก

เพียงแต่...หญิงสาวไม่คิดว่าเธอคู่ควรจะผูกชีวิตตัวเองไว้กับใครให้มากเกินไป เส้นกั้นบาง ๆ จำเป็นต้องสร้างขึ้นเมื่อเธอเรียนรู้ว่าตัวเองต้องพึ่งพาคนอื่นมากเกินกว่าจะยอมรับได้

“วันนี้ฉันเอาคำตอบมาให้คุณ...ฉันรู้ว่าบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่ฉันที่กำลังเจ็บ และก็ไม่ใช่ฉันที่เจ็บปวดที่สุด” หญิงสาวบอกเบา ๆ พลางถอนใจ “คุณรู้ไหม...ทำไมโลกถึงใจร้ายพอจะสร้างมนุษย์มาพร้อมกับความเจ็บปวด”

ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ รอยยิ้มจาง ๆ ยังประดับอยู่บนริมฝีปากของชายหนุ่ม “คุณไม่รู้จริง ๆ หรือ”

“ฉันนอนคิดหาคำตอบมาทั้งคืนแล้ว...แต่ก็ยังหาไม่เจอ”

เขาปิดตาลงเพียงชั่วครู่ ใบหน้าที่ซีดเซียวนั้นทำให้หญิงสาวเริ่มสังเกตเห็นความอ่อนล้าอยู่บางเบา “ขอโทษนะ...คุณคงเหนื่อยแล้ว”

ชายหนุ่มลืมตาขึ้น ส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่...ผมไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นหรอก หรือถึงจะเหนื่อย...มันก็บอกว่าผมยังมีชีวิตให้เหนื่อยอยู่”

หญิงสาวเบิกตาขึ้นเล็กน้อย นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะถอนใจเบา ๆ “คุณ...กำลังตอบคำถามฉันอยู่หรือเปล่านะ”

“ไม่มีใครตอบได้หรอก...เว้นแต่คุณจะเรียนรู้ด้วยตัวคุณเอง” ใบหน้าซีดเซียวนั้นยังประดับด้วยรอยยิ้มที่ชวนให้เสพติด

“ขอบคุณนะคะ...” หญิงสาวเอ่ยขึ้นในที่สุด เมื่อเหลือบมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าเวลาล่วงผ่านไปนานพอสมควรแล้ว

“ฉันต้องไปแล้ว วันนี้มีประชุมกลุ่มผู้ถือหุ้นน่ะค่ะ คุณอยากได้อะไรไหม”

“เอาเป็น...ดอกไม้สักช่อแล้วกันครับ” เขาตอบกลั้วหัวเราะ ขณะที่หญิงสาวเอียงคอมอง พยักหน้ารับ ก่อนจะบังคับรถให้เคลื่อนออกไปจากห้อง

“แล้วฉัน...จะเอามาฝากนะคะ”




ช่อลิลลี่สีขาวห่อด้วยกระดาษสาสีฟ้า ผูกโบสีทองสวยถูกส่งมาถึงห้องพักของชายหนุ่มในเช้าวันถัดมา แต่ไม่มีหญิงสาวที่บอกว่าจะนำมาฝาก ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างอ่อนล้า

“คงจะทำงานหนักมากสินะ...”

“คงอย่างนั้น...” พี่สาวบอกก่อนจะยกช่อดอกไม้ขึ้นมากอดไว้ “พี่เอาไปไว้ที่ห้องรับแขกข้างหน้านะ หมอคงไม่ชอบใจถ้าเห็นดอกไม้สดในห้องนี้”

“แล้วแต่พี่เถอะฮะ...ขอแค่การ์ดนี่ไว้ก็พอ” ชายหนุ่มชูการ์ดที่แนบมาขึ้น อดไม่ได้ที่จะคลี่บิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นข้อความในการ์ด

...เพราะรู้จักความเจ็บปวดและดิ้นรน...จึงได้รู้คุณค่าของชีวิตใช่ไหมคะ...

นั่นคงไม่ใช่คำถาม ผู้หญิงคนนั้นได้คำตอบของเธอเองแล้ว

ชายหนุ่มหลับตาลงเพียงครู่ก็ลืมตาขึ้น คิ้วขมวดมุ่น ดวงตาเบิกกว้าง ปากอ้าออกเพื่อดึงอากาศเข้าสู่ปอดอย่างยากลำบาก หน้าอกกระเพื่อมเร็วตามอัตราการหายใจที่เพิ่มขึ้น เขาควานมือไปเหนือหัวเตียง คว้าเอาที่กดกริ่งสำหรับขอความช่วยเหลือมาไว้ในมือแล้วกดลงไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานเสียงร้องถามของพยาบาลก็ดังขึ้น พี่สาววิ่งกลับมาที่ห้องเพื่อจะร้องขอความช่วยเหลือ ก่อนที่แพทย์และพยาบาลจะวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว




หญิงสาวเริ่มสนุกกับการทำงาน เธอได้พิสูจน์ให้ทุกสายตาเห็นแล้วว่าแม้ร่างกายจะต้องการความช่วยเหลือ แต่หัวสมองสวย ๆ ของเธอยังทำงานเพื่อช่วยเหลือตัวเองและจัดการกับบริษัทที่รักได้เสมอ

“เก่งแล้วนี่น้องพี่...” พี่ชายที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยขึ้นอย่างาคภูมิใจ ก่อนจะตรงมากอดเธอไว้จากด้านหลัง “เหนื่อยไหม”

“ไม่หรอกค่ะ...สนุกดีด้วยซ้ำ” หญิงสาวเอียงคอตอบ “ถ้าไม่ทำอะไรเลย ฉันคงแย่แน่”

“เพราะเขาคนนั้นหรือเปล่านะ...น้องสาวพี่ถึงได้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอย่างนี้”

“ประสบการณ์และความเจ็บปวดสอนให้มนุษย์ต้องเรียนรู้นี่คะ ฉันจะปล่อยให้ตัวเองเป็นเด็กที่ทุกคนต้องคอยปกป้องไม่ได้หรอก” เธอคลี่ยิ้มให้พี่ชาย “แต่นั่นละค่ะ...ถ้าไม่เพราะเขาช่วยเตือนสติ ฉันก็คงปรับตัวได้ลำบากกว่านี้มากทีเดียว”

พี่ชายวางคางลงบนศีรษะหญิงสาว กระชับอ้อมแขนกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย กระซิบคำที่ทำให้เธอฉีกยิ้มกว้างขวางด้วยความยินดี “พี่ภูมิใจในตัวเธอ”

“ฉันก็ดีใจที่มีพี่ชายอย่างพี่ค่ะ”

คำว่าภูมิใจของพี่ชายทำให้หญิงสาวยิ้มหวานไปได้แทบทั้งวัน ที่ดีกว่านั้นคือนักกายภาพพยุงเธอให้ลองยืนบนพื้นโดยมีเครื่องรัดขาช่วยให้กายตั้งตรงได้สำเร็จ เธอแทบอดใจไม่ไหวที่จะก้าวเดิน แม้จะทำได้ไม่ดีอั่งใจ ยังต้องให้นักกายภาพพยุงไปได้ไม่กี่ก้าว แต่ความภูมิใจเล็ก ๆ ในใจคนที่พยายามมาอย่างยากลำบากคือ

...เธอกลับมาเดินแล้วจริง ๆ...

เสร็จจากการฝึกฟื้นฟูร่างกาย หญิงสาวนั่งพักเพียงไม่นานก็บอกให้สาวใช้พาเธอไปพบชายหนุ่มห้องข้าง ๆ สาวผมบอนด์ที่เขาแนะนำว่าเป็นพี่สาวเป็นคนเปิดระตูรับ ใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอทำให้หญิงสาวนึกแปลกใจ

“เขาไม่ได้อยู่ที่ห้องหรอกค่ะ” คนเป็นพี่บอกเบา ๆ ด้วยท่าทางเหนื่อยล้า “หมอเพิ่งย้ายไปที่ไอซียูเมื่อเช้า ตอนนี้เลยกำหนดเวลาเข้าเยี่ยมแล้ว คุณค่อยไปเยี่ยมพรุ่งนี้เถอะ”

หญิงสาวนิ่งงันอยู่บนรถเข็น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก “เกิดอะไรขึ้นคะ”

“คุณหมอว่าคงช็อกเพราะติดเชื้อในปอด”

สีหน้าเธอคงแย่มาก ผู้หญิงที่ยืนได้จึงโน้มตัวลงมา อ้าแขนกอดเธอไว้หลวม ๆ “อย่าเพิ่งกังวล...เขาเองก็คงไม่อยากให้คุณต้องเป็นห่วง”

“เขาจะปลอดภัยใช่ไหมคะ”

“เราภาวนาให้เป็นอย่างนั้น” เธอบอกเสียงเบา

หญิงสาวบนรถเข็นพยักหน้ารับ “ฉัน...จะภาวนาเช่นนั้น”



โลกหยิบยื่นบททดสอบที่ยากขึ้นแก่มนุษย์เสมอ หญิงสาวเพิ่งรู้ถึงความโหดร้ายอีกประการของโลกในเช้าวันต่อมา หลังค่ำคืนที่เธอไม่สามารถข่มตานอน และใช้เวลาที่ดวงตาเบิกกว้างนั้นสวดภาวนาเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง

ห้องไอซียูเปิดให้คนเข้าเยี่ยมได้คราวละสองคน ในเวลาที่จำกัด หญิงสาวต้องสวมเสื้อคลุมสะอาดสีเขียวก่อนเข้าไปภายในห้องเล็ก ๆ ที่มีเพียงเตียงที่พักของผู้ป่วย และชั้นวางของเล็ก ๆ ที่ใช้วางตระกร้ายากับแผ่นชาร์จรายงานสัญญาณชีพของผู้ป่วย

พี่สาวของชายหนุ่มเข็นรถเข็นพาเธอมาข้างเตียงที่เขานอนอยู่ ความซูบซีดบนหน้านั้นเห็นชัดแทบจะกลืนไปกับปลอกหมอนสีขาว หญิงสาวเผลอยกมือขึ้นแตะใบหน้านั้นอย่างแผ่วเบา

“สายแล้ว...ไหนคุณเคยอวดว่าการตื่นเช้าเป็นกำไรของชีวิต แล้วทำไมยังนอนขี้เซาอยู่อย่างนี้ล่ะ” หญิงสาวกระซิบถามเบา ๆ ดวงตาจ้องมองเพียงเปลือกตาที่ปิดสนิทของคนบนเตียง หวังเพียงให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาคุยกับเธออีกครั้ง

“ฉันอยากเล่าให้ฟัง...เมื่อวานฉันยืนได้แล้วนะ ยืนจริง ๆ แล้วก็เดินด้วย ถึงจะต้องใช้เครื่องมือช่วย แต่ก็เป็นการเดินจริง ๆ ไม่ใช่บนเครื่องฝึกเดิน...มันเกินกว่าที่ฉันคาดหวังไว้มากทีเดียวละ แต่คุณรู้ไหม...ฉันเดินได้อีกครั้งก็เพราะคุณ”

“คำถามของคุณน่ะ...ยิ่งคิดหาคำตอบ ฉันก็ยิ่งเห็นเรื่องดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ในชีวิต มันอยู่ที่มุมมองใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยราวกับ่าเขาตื่นมาคุยกับเธอจริง ๆ “วันนี้ฉันเอาคำตอบมาให้คุณอีกแล้ว...ฉันได้รู้ว่าเวลาที่เราจะอยู่บนโลกมันแสนสั้น...เพราะอย่างนั้นมันจึงมีค่ามากเหลือเกิน ฉันโชคดี...ที่แม้จะเสียอะไรไป ก็ยังคงเหลือช่วงเวลาให้เรียนรู้ความสำคัญของชีวิต”

เสียงเครื่องวัดสัญญาณชีพดังเป็นจังหวะตามการเต้นของหัวใจผู้ป่วยดังอยู่ในหูของหญิงสาวที่ไปเยี่ยม เธอคลี่ยิ้มเบา ๆ ยกมือแตะริมฝีปากตัวเองก่อนจะทาบนิ้วลงบนริมฝีปากสีซีดของชายหนุ่มเพียงแผ่วเบา

“ตื่นเร็ว ๆ นะคะ และถ้าคุณไม่รังเกียจ...ฉันจะขอให้คุณเดินกับฉันไปตลอดชีวิต ชีวิต...ที่คุณมอบคุณค่าของมันคืนมาให้ฉันนั่นละค่ะ”

ถ้าไม่ได้อุปทานไปเอง หญิงสาวรู้สึกเหมือนเธอเห็นว่ามือของเขากระตุกเบา ๆ เธอสะดุ้งสุดตัว หันไปมองหน้าพี่สาวของชายหนุ่มราวจะยืนยันความมั่นใจ สาวผมบอนด์พยักหน้าด้วยรอยยิ้มอย่างยินดี ก่อนจะเดินมาอยู่ข้างเตียงที่เขานอนอยู่ โน้มตัวลงบอกเบา ๆ

“ตื่นเร็ว ๆ นะน้องพี่...มีงานอีกมากที่เธอต้องจัดการ” เมื่อคนพูดเงยหน้าาเห็นอาการเลิกคิ้วอย่างแปลกใจของคนมองอยู่ เธอก็รีบอธิบายด้วยท่าทางอ่อนใจ “น้องฉันเป็นพวกบ้างาน...ปกติคุณอาจจะเห็นเขานั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊คทำงานแทบตลอด แม้จะป่วยก็เถอะ”

เธอนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนบอกเบา ๆ “พยาบาลเคยบอกฉันว่า เขาจะยอมพักบ้าง...ก็เพื่อเดินไปอยู่ข้าง ๆ คุณเท่านั้น”

คราวนี้หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น ขณะที่เขาหันหลังให้งานและความวุ่นวายทั้งปวงเพื่อมาดึงมือคนล้มอย่างเธอให้ลุกขึ้นยืนและก้าวไปข้างหน้า เมื่อยืนไดเธอกลับหันหลังให้เขา เพื่อก้าวไปสู่การงานและความวุ่นวายของโลก
มนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ซึ่งความพอดีโดยสิ้นเชิง

...จริงหรือ...เมื่อเลือกสิ่งหนึ่งก็ต้องยอมสูญเสียอีกสิ่งหนึ่งไป

หญิงสาวนิ่งอยู่นานจนพี่สาวของคนป่วยในห้องไอซียูเข็นรถเข็นพาเธอออกมาด้านนอก ส่งคืนหน้าที่ให้เด็กสาวที่รออยู่เข้ามาเ็นรถแทน เสียงแผ่วเบาก็พึมพำกับตัวเอง “ไม่หรอก...ฉันไม่ยอม”



แต่ละวันของหญิงสาวแบ่งมาเพื่อเยี่ยมคนป่วยในห้องไอซียูตามเวลาที่โรงพยาบาลกำหนด หญิงสาวเริ่มคุ้นเคยกับการนั่งนิ่ง ๆ แล้วจับมือเขาเอาไว้ ไม่ต้องมีคำพูด เธอแค่ส่งความคิดถึงให้เขาผ่านสัมผัสที่ปลายนิ้วอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยลาเบา ๆ เพื่อกลับไปทำงาน

วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน พยาบาลบอกเธอตั้งแต่เข้าไปในห้องว่าเขาตื่นแล้ว เขาลืมตาขึ้นทันทีที่เธอแตะมือลงสัมผัสมือใหญ่นั้น หญิงสาวเพิ่งสังเกตว่าท่อช่วยหายใจที่ติดคาไว้ที่ปากในตอนแรกนั้นหายไปแล้ว เหลืออยู่ก็เพียงสายให้อาหารที่จมูกเท่านั้น

“คุณ...” เธอนิ่งไปนาน ขณะที่เขาพยายามคลี่ยิ้มให้ “กู๊ดอาฟเตอร์นูนค่ะ...คุณตื่นสายไปหน่อย แต่ก็...ขอบคุณนะคะที่ตื่นมา”

เขาแค่กระพริบตาเบา ๆ คลี่ยิ้มอ่อนแรงอย่างยากลำบาก

“ฉันเอาคำตอบมาให้คุณ...ฉันได้ ได้รู้ความสำคัญของลมหายใจที่เหลืออยู่”

รอยยิ้มบนใบหน้าที่ซีดเซียวนั้นขยับกว้างขึ้น ดวงตาเป็นประกายวาวสวยผิดภาพคนป่วยที่อ่อนล้า และดวงตาคู่นั้นละที่ทำให้หญิงสาวยิ้มกว้างตอบเขาได้ไม่ยากนัก

“ฉันไม่ชอบห้องนี้...แอร์มันเย็นเกินไป คุณต้องรีบดีขึ้นเร็ว ๆ ฉันจะได้ไปเจอคุณที่ห้องเดิม”

เขากระพริบตารับ พยายามเปล่งเสียงแหบแห้งบอก “ได้สิ...”

“สัญญากับฉันนะ...” เธอยื่นมือไปกึ่งบังคับให้เขาขยับนิ้วมาเกี่ยวก้อยร้อยคำสัญญา

----------
(สำหรับผู้ไม่ปรารถนาความเศร้า กรุณาหยุดสายตาท่านไว้เพียงจุดนี้ แล้วจะเลื่อนไปคุยกันข้างล่างก็ขอบพระคุณค่ะ)

จบตรงนี้อาจดูเหมือนยังไม่จบ แต่สำหรับไอซ์ได้จบลงแล้วค่ะ เรื่องราวต่อจากนี้ของคนสองคนคือสิ่งที่ไม่มีใครคาดเดาได้ ไอซ์ซึ่งเป็นแค่คนเล่าเรื่องจึงต้องเตือนท่านที่ไม่ปรารถนาความเศร้าไว้ว่า หยุดสายตาลงเพียงเท่านี้เถอะค่ะ ตรงจุดที่เรื่องราวยังคงบรรยกาศของความสวยงาม และท่านสามารถกำหนดทิศทางของเรื่องได้ในห้วงแห่งจินตนาการที่ยังไม่ได้รับการสานต่อ

เรื่องต่อจากนี้ คือจินตนาการที่ไอซ์สร้างไว้ตั้งแต่วันแรกที่จรดปลายนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ ยอมรับในความโหดร้าย และความไม่มั่นใจในทุกตัวอักษรที่ตัดสินใจพิมพ์ลงไป

ไอซ์อาจทำร้ายความฝัน และความอ่อนหวานในหัวใจหลาย ๆ ท่าน(โศกนาฏกรรมหลายบทถูกมองเช่นนั้น) แต่หากยอมรับในสิ่งที่ไอซ์เตือนได้

เรามาสู่บทส่งท้ายด้วยกันค่ะ
----------






(เพราะเขาคือคนของความทรงจำ)

...แล้วเขาก็ผิดคำสัญญา...

หญิงสาวยกมือขึ้นแตะซับหยดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาจนล้นอาบแก้มเนียนสวยเพียงแผ่วเบา ช่วงเวลาแสนสั้นที่เคยได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ ตรงกันข้ามยิ่งนานวัน เธอรู้สึกว่าความผูกพันบางอย่างคล้ายจะร้อยทอเข้ามาจนแน่นเหนียวขึ้น

หลายคนเคยถามว่าเธอกลับมายืนอีกครั้งได้อย่างไร มันยากเหลือเกินสำหรับคนที่เคยเผชิญหน้ากับความอ่อนแอของร่างกายอย่างเธอ

โชคดีหลายประการคือ หญิงสาวมีพร้อมทั้งแพทย์ฝีมือดีที่พร้อมดูแล นักกายภาพมือหนึ่งที่พี่ชายสรรหามาให้ เครื่องมือทันสมัยที่สุดที่พร้อมจะช่วยให้การฟื้นฟูดำเนินไปด้วยดี แต่ประการเดียวที่เป็นความโชคดีที่สุดอย่างหาไม่ได้

“...ฉันมีมือ...ที่พร้อมจะฉุดฉันขึ้นมา และผลักให้เดินไปข้างหน้าอยู่เสมอ”

นั่นเป็นคำตอบที่เธอให้กับคนถาม แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รับรู้และเข้าใจว่ามือที่เธอเอ่ยถึงมีความสัมพันธ์มากเพียงใด

หลายคนกล้าพอจะถามว่ามือนั้นคือใคร คำตอบมีเพียงรอยยิ้มนุ่มนวล ดวงตาอ่อนหวานยามมองเหม่อไปเบื้องหน้าคล้ายรำลึกถึงใครคนนั้น

“โชคชะตาละมั้งคะ...โลกหยิบยื่นบททดสอบที่ยากขึ้นให้กับมนุษย์เสมอ ฉันจึงยอมนั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้”

เมื่อผ่านความทุกข์ทรมานจนก้าวมาสู่ความสวยงามยามยืนได้ ผู้คนที่เฝ้ามองด้วยความประหลาดใจก็อดจะชื่นชมไม่ได้ แต่คนที่เดินผ่านผืนพรมโรยหนามเท่านั้นที่รู้ รสชาติของความเจ็บปวดที่ยากจะลืมนั้น คือเรื่องราวที่ไม่มีวันเลือนหายไปจากความทรงจำ

หญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทุกวันนี้ เธอยังยิ้มอยู่ได้เช่นไร

คงตั้งแต่...วันนั้นที่เขาให้สัญญา ก่อนจะทิ้งเธอไปในคืนนั้น

ใบปฏิเสธการช่วยชีวิตถูกทำไว้ตั้งแต่เมื่อไรเธอไม่เคยรู้ แต่พี่สาวของเขาบอกว่าผู้ชายคนนั้นโหดร้ายกับคนที่รักเขามากพอที่จะเลือกหนทางนั้น

“...เขาเคยบอกว่า หากต้องเหนี่ยวรั้งชีวิตไว้แม้ยามไม่มีกระทั่งลมหายใจ ก็เท่ากับศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ได้จบลงแล้ว มันคงจะดีกว่าถ้าหยุดทุกสิ่งเพื่อจะอยู่ในความทรงจำของคนข้างหลัง...เป็นคนของความทรงจำที่ยังสวยงามอยู่เสมอ”

นั่นคือเหตุผลของเขา...เหตุผลที่ทำให้เธอได้แต่นั่งน้ำตารินอยู่อย่างเงียบงัน

“ฉันโลภมากไปไหม...ที่ไม่อยากให้คุณอยู่ แค่ในความทรงจำ” หญิงสาวกระซิบเบา ๆ กับตัวเอง ก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนล้า

ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นยังคงชัดเจน รอยยิ้มของเขา แววตาของเขา น้ำเสียงที่ปลอบโยน ทุกสิ่งที่หล่อหลอมเป็นเขาคือสิ่งที่เธอรัก

คนบางคนอาจผ่านเข้ามาเพื่อจะเดินผ่านไป

แต่มีหลายคน...ผ่านเข้ามา เพื่อจะคงอยู่ในความทรงจำ

เป็นคนของความทรงจำ ที่จะไม่มีวันตายจากหัวใจ

“...แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน...คุณก็คือเหตุผลให้ทุกวันของฉันไม่เคยมีคำว่าเสียใจ” หญิงสาวพยายามคลี่ยิ้มบาง ๆ ทั้งที่ยังหลับตา “ขอบคุณนะคะ...”

-----------

ไอซ์ไม่ถนัดกับฉากโศกนาฏกรรม การร่ำลา การสูญเสียเป็นเรื่องทรมานจิตใจสำหรับมนุษย์ แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความจริงของโลกที่ต้องดำเนินไป

ความจริงทั้งที่วางพล็อตไว้ตอนแรก แต่เมื่อเขียนมาแล้วไอซ์กลับลงเลที่จะใส่ส่วนที่เป็นบทส่งท้ายนี้ลงไปในเรื่อง เพราะไอซ์เองก็หวาดกลัวเช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่ไอซ์ทิ้งฉากฉากหนึ่งไป อาจทำให้แปลกไปบ้าง ต้องขออภัยด้วยนะคะ แต่ไอซ์ไม่กล้าเขียนจริง ๆ โดยเฉพาะในเวลาที่ผู้ที่ไอซ์รักและเคารพท่านหนึ่งยังนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ในไอซียู แม้ไม่ได้ผูกพันมาก แต่ช่วงเวลาหนึ่งที่ชีวิตซวนเซ ไอซ์ผ่านมาได้เพราะความเมตตาของท่าน

-----------

ขอบคุณ ทุก Like ค่ะ และขอบคุณทุกความเห็นด้วยค่ะ

คุณหนอนฮับ : ดีใจที่ชอบค่ะ

คุณ sunshinemoonlight : ขอบคุณค่ะ ดีใจมากจริง ๆ คำตอบส่วนหนึ่งคงเป็นเช่นนั้นค่ะ เธอได้พบกับเขา คนที่ฉุดเธอขึ้นมา

คุณเสี่ยวเหม : มาส่งต่อแล้วค่ะ

คุณ bow : ดีใจที่ชอบค่ะ

คุณ sai : เป็นเช่นนั้นค่ะ เธอยังมีชีวิต

คุณคิมหันต์ : คำตอบมาแล้วค่ะ(เหรอ ???)

คุณ anOO : เช่นนั้นค่ะ ชีวิตมีค่ามากจริง ๆ ค่ะ

คุณ green : ขอบคุณค่ะ ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นค่ะ

---------

เฉลยคำถามที่ค้างไว้ค่ะ : จากที่อ่านในเรื่องจะเห็นว่าเขาไม่ได้ให้คำตอบเธอเลย และเพราะเขาไม่ยอมตอบ แต่ไอซ์ดันถาม ไอซ์จึงต้องตอบ(น่าน...ที่จริงหาวิธีใส่คำตอบไม่ได้ก็สารภาพไปสิยะ)

ความจริงไม่มีคำตอบที่ชัดเจนหรอกค่ะ เขาแค่ต้องการให้เธอค้นหาเพื่อจะเปลี่ยนวิธีมองโลกของเธอนั่นละค่ะ เพราอย่างนั้นไม่ว่าจะได้อะไร ทุกคำตอบของเธอคือคำตอบที่เขาต้องการทั้งนั้น

คำตอบจริง ๆ อาจจะเป็น...เธอได้เห็นคุณค่าของชีวิต ในทุกวินาทีที่ยังมีชีวิต

นั่นเป็นคำตอบของไอซ์ละค่ะ แต่คำตอบสุดท้ายจะเป็นเช่นไร ไอซ์เชื่อว่าวันหนึ่งหัวใจจะให้คำตอบคุณเอง




ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ต.ค. 2554, 22:13:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ต.ค. 2554, 22:13:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 2505





<< คนของความทรงจำ (ครึ่งแรก)   แค่ใคร...ในความทรงจำ >>
sunshinemoonlight 24 ต.ค. 2554, 23:00:12 น.
ซาบซึ้งมากๆ เลยค่ะ คุณไอซ์ใส่ข้อคิดดีๆ ในเรื่องเสมอเลยนะคะ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ


สะเรนี 25 ต.ค. 2554, 00:41:59 น.
เราชอบนะ 555
คนขออความทรงจำ เราว่า คนแบบนี้แหละ ที่ผลักชีวิตเราให้ดีขึ้นได้

เคยมีคนแบบนี้เหมือนกัน กร๊ากกก


ชนาพัทธ์ 25 ต.ค. 2554, 01:02:03 น.
ประทับใจตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้าย

ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆ ค่ะ T___T <<<ทั้งซาบซึ้งทั้งเศร้า


คิมหันตุ์ 25 ต.ค. 2554, 10:14:50 น.
เป็นแรงบันดาลใจที่จะจำไปอีกนาน..ชีวิตจริงมักโหดร้ายกับเราเสมอ...T T
ขอบคุณสำหรับตัวอักษรที่เพลิดเพลินค่ะ สนุกมาก


kraten 25 ต.ค. 2554, 13:06:07 น.
อยากอ่านรวมเรื่องสั้นของคุณไอซืค่ะ รวมเล่มเถอะ น่าอ่านมากกกก


goldensun 25 ต.ค. 2554, 18:06:49 น.
ชอบค่ะ คุณไอซ์ ถึงจะจบแบบนี้ แต่ก็งดงามในความรู้สึก เหมือนความทรงจำดีๆ ที่ย้อนคิดถึงเมื่อไหร่ ก็ยังรู้สึกซาบซึ้ง


anOO 25 ต.ค. 2554, 19:30:21 น.
ขอบคุณสำหรับนิยายสั้นๆ แต่มีความหมายยาวๆ สำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่
เส้นทางในชีวิตมักไม่ได้สวยงามอย่างที่เราคิดหรือต้องการ
ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ใช้มันให้คุ้มค่า เท่าที่จะทำได้


Setia 25 ต.ค. 2554, 19:47:50 น.
แงงงง เศร้าอ่ะ แค่ก็น่าประทับใจ เป็นความทรงจำที่ดี และงดงามมากค่ะ


หนอนฮับ 27 ต.ค. 2554, 12:15:25 น.
หนอนก็ไม่ชอบนิยายเศร้านะ แต่งบางครั้ง..ความเศร้ามันก็งดงามและน่าประทับใจ จนเราก็...อดไม่ได้ที่จะเปิดอ่าน อิอิ


yayee62 30 ต.ค. 2554, 23:36:02 น.
คิดอยู่เหมือนกันค่ะว่าเรื่องต้องดำเนินเป็นเช่นนี้ แต่ก็จบ.
อย่างสวยงามดีค่ะ เพราะไม่มีสิ่งใดฉุดรั้งการพรากจากกันได้


ณิณ 7 พ.ย. 2554, 23:38:52 น.
ประทับใจค่ะ แม้จะเศร้าไปซักหน่อย แต่ก้ได้ข้อคิดดีดีเยอะแยะเช่นกันค่ะ


แพม 1 ธ.ค. 2554, 20:54:16 น.
นี่ขนาดไม่ถนัดนะ Y_Y


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account