รักสุดท้าย...ที่ปลายดาว
เพราะความเข้าใจผิดในสัมพันธภาพระหว่างสาวสวย ปากจัด กัดเจ็บ อย่าง “ปลายดาว” กับ เพื่อนหนุ่มคาสโนว่า ทำให้เธอต้องตกเป็นจำเลยในสายตาของ “เตชิต” วิศวกรหนุ่มที่(เขาว่ากันว่า) ปากจัด ซ้ำยังกัดเจ็บยิ่งกว่า ผลที่ตามมาก็คือการปะทะคารมกันแบบดุเด็ดเผ็ดร้อนทุกทีที่ประจันหน้า....เรื่องจะยอมเพลี่ยงพล้ำตกเป็นรองอีกฝ่ายน่ะรึ...ไม่มีทางซะหร้อกกกก

แต่เรื่องวุ่นๆชุลมุนหัวใจก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อสนามรบทำท่าจะเปลี่ยนเป็นสนามรัก(ตามสูตรนิยายคลาสสิค^^) ท่ามกลางความอึดอัดขัดใจของเพื่อนหนุ่มคาสโนว่าที่ยุยงส่งเสริมมาแต่ทีแรก แต่ดันเกิดอาการ “หวงของ” ขึ้นมาเสียอย่างนั้น งานนี้ก็เลยมี “ก้าง” ชิ้นใหญ่โผล่ขึ้นมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

วิศวกรหนุ่มจะทำอย่างไร เมื่อหนทาง “สุดท้ายที่ปลายดาว” ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิด มิหนำซ้ำยังมีเรื่องรัก(ลึกลับ)ในอดีตโผล่ขึ้นมาให้ปวดหัวเพิ่มอีก...

งานนี้เห็นทีต้องลุ้นกันเหนื่อยหน่อยล่ะ!

Tags: กุ๊กกิ๊ก โรแมนติค ปลายดาว เตชิต

ตอน: ตอนที่ 8 << มันเกิดอะไรกับหัวใจ...ควบคุมไม่ได้สักอย่าง >>

8.

“วันนี้มาคนเดียวเหรอเจ๊ พี่นนท์ไม่ได้มาด้วยเหรอ”

เจ้าของเสียงทักเป็นเด็กสาวในร่างชายไทยวัยกระเตาะนามว่า “น้ำหอม” ที่ทั้งกริยาและท่าทางดูอ้อนแอ้นสมชื่อ หล่อนส่งเมนูซึ่งเป็นกระดาษเคลือบพลาสติกแข็งให้แล้วยืนรอรับรายการอยู่อย่างสงบเสงี่ยม หากปลายดาวเพียงแต่สั่งบะหมี่แห้งพร้อมน้ำซุปแล้วผลักเมนูนั้นคืนหล่อนไปเพราะไม่จำเป็น

“แล้วเห็นใครมาด้วยหรือเปล่าล่ะ”

“แหม...พี่ดาว แค่นี้ก็ต้องมาย้อนกันด้วย งานเยอะเหรอพี่ หน้าตาสวยโทรมดูไม่ได้เชียว”

น้ำหอมจดรายการยุกยิกแต่ก็ยังไม่วายเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างเป็นห่วง

“ก็นิดหน่อย” เธอแอบค้อนให้กับความห่วงใยนั้น “วันนี้คนน้อยจัง ไปไหนกันหมด”

“อ๋อ...ลูกสาวเฮียเขามาจากต่างประเทศ นี่เลยพากันไปรวมที่บ้านอาม่า เมื่อกี้เฮียก็เพิ่งออกไป เอารังนกไปฝากอาม่าด้วย...เฮียกะเจ๊แกคงตื้นตันใจน่ะ นานๆลูกสาวจะกลับมาซักที อ้าว! แล้วนี่ใครล่ะ?”

น้ำหอมทำเป็นยกมือขึ้นทาบอก แต่ดวงตายิ้มพรายอย่างหมายมาดเมื่อเห็นคุณเตชิตเดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับปลายดาวเอาดื้อๆ แล้วสั่งบะหมี่แห้งเหมือนเธอไม่มีผิด หญิงสาวทำเสียง “จิ๊” ออกมาอย่างไม่ชอบใจ...เธอนึกว่าเขาจะขับรถกลับไปแล้วเสียอีก

“แฟนใหม่เหรอพี่ แหม...หล่อ ขาวเซียะ แบรนด์เจ็นฯมั่กมาก ไปหามาจากไหนน่ะ” น้ำหอมส่งยิ้มให้เขาเรี่ยราด

“ไม่ใช่แฟนย่ะ!”

“ไม่ใช่แฟนพี่...งั้นก็แฟนคนอื่นสิ แล้วพี่เอาแฟนคนอื่นมาควงได้ไง แรงนะเนี่ย”

“ไปเอาก๋วยเตี๋ยวมา!” ปลายดาวสั่งเสียงเข้ม แต่น้ำหอมไม่สนใจ

“ถ้าไม่ใช่แฟนพี่ งั้นหอมขอนะ” น้ำหอมหัวเราะคิกที่ยั่วโมโหเธอได้ “เอ่อ จะรับน้ำอะไรดีคะ น้ำเปล่า โอเลี้ยง ชา กาแฟ คอฟฟี ที ออร์ มี?”

“อะไรดีล่ะ ถ้างั้น” ชายหนุ่มหัวเราะขำขันกับท่าทีจริตจะก้านมารยานั้น

“อะไรก็ดีทั้งนั้นแหละฮ่ะ ร้านนี้น่ะ อ้อ! วันนี้มีน้ำมะพร้าวด้วยนะฮะ ว่าไงพี่ดาว เอาไหม สดๆจากสวนสามพรานเลยนะ”

“แล้วน้ำมะพร้าวกะน้ำเปล่า หอมว่าอันไหนล้างหน้าดีกว่ากัน หอมว่าอันไหนดีกว่า พี่เอาอันนั้นแหละ”

หญิงสาวถามกลั้วหัวเราะอย่างอดไม่ได้ น้ำหอมจึงหันมาตีแขนเธอดังเผียะ

“นี่พี่ดาว! อย่ามาเหวี่ยงใส่เขาแบบนี้นะ เขายังไม่เคยใช้ล้างหน้าซักกะหน่อย ใช้แค่กระดาษทรายขัดเฉยๆ แล้วตกลงจะเอาหรือเปล่า ถ้าไม่เอาเขาจะเข้าไปในครัวแล้วนะ พูดด้วยแล้วปวดตับ ขืนคุยกับพี่นานๆไข่ฝ่อพอดี”

“เออ เอาๆ”

น้ำหอมจดยุกยิกๆลงในกระดาษก่อนจะหันหลังเข้าครัว กระนั้นก็ยังไม่วายหันมาจิกตาใส่คุณเตชิตอีกครั้งอย่างพอใจ หล่อนจีบปากจีบคอบอกปลายดาวว่า

“พี่ดาว ตั้งแต่พี่พาแฟนมาคนเนี้ยเชียะสุด หล่อโคตร หล่อกว่าทุกคนที่พี่เคยพามาอีก”

คุณเตชิตทำไม่รู้ไม่ชี้พลางหัวเราะหึๆอย่างไม่ถือสา แต่หญิงสาวไม่รอช้า เธอเล่นงานเขาทันทีที่น้ำหอมลับสายตาไป

“มาทำไมอีก...คุณอยากมีเรื่องกับฉันใช่มั้ย”

“เปล่า ไม่ได้อยากมีเรื่อง...ผมหิว”

รอยยิ้มจืดเจื่อนอย่างคนสำนึกผิดยังคงอยู่ ทำให้ปลายดาวต้องเบือนหน้าหนีและอดถอนใจให้กับคนเจ้าปัญหาอย่างเขาเสียไม่ได้ ครั้นว่าจะออมปากออมคำเขาก็ทำลายความเงียบขึ้นมาจนเธอก็อดต่อปากต่อคำด้วยไม่ได้อีก

“คุณมาร้านนี้บ่อยเหรอ ท่าทางคุ้นเคยกับที่นี่ดีนะ”

“ไม่บ่อย อาทิตย์ละแค่สี่ห้าวัน”
หญิงสาวอยากจะตอบว่าคนมีฐานะ(ยากจน) อย่างเธอก็ต้องทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาปล่อยมุก...เธอก็เลยนิ่งเสีย

“คุณโกรธผม...เอ่อ...มากหรือเปล่า”

ถามมาได้!

“ฉันดีใจมากเลยล่ะมั้งคะ รู้สึกเป็นเกียรติม้ากมากที่โดนคุณทำแบบนี้เข้าให้”

“อ้าว!แล้วทำไมไม่บอก”

“ฉันประชดย่ะ!”

“ผมขอโทษนะ...จะไม่ทำอีก เราดีกันนะ”

“คุณเตชิตคะ...ฉันไม่เข้าใจคุณเลย เราไม่เคยรู้จักกัน แต่ก็ต้องมาทะเลาะกัน ซึ่งฉันขอบอกว่าฉันเพลียมาก ส่วนเรื่องที่มันเกิดขึ้นเนี่ย ถ้าเพียงแต่คุณจะบอกว่าทั้งหมดที่คุณทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบฉันก็จะไม่ติดใจเอาความและฉันยินดีรับคำขอโทษจากคุณ...ทุกอย่างก็จะจบ แต่ฉันอยากขอร้องว่าคุณว่าอย่ามาวุ่นวายอะไรกับฉันอีก เลิกมาตอแยกับฉันเสียที ฉันเซ็ง!”

“ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะผมคิดว่า...ผมชอบคุณเข้าแล้ว” เขาตอบหน้าตาเฉย

“คุณอย่ามาประสาท! อย่านึกว่าฉันจะหลงกล เจอกันแค่ไม่กี่วันคุณจะมาชอบฉันได้ไง ใจจริงแล้วคุณอยากแกล้งฉันใช่มั้ยล่ะ”

“ผมจะแกล้งคุณเรื่องอะไร เพื่ออะไร” เขาทำสีหน้าและสุ้มเสียงไม่พอใจขึ้นมา “ผมไม่ได้จะชอบใครง่ายๆนะดาว คุณนึกว่าผมเป็นผู้ชายประเภทไหนกันที่จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเล่นๆน่ะ”

“ก็แล้วผู้ชายแบบไหนล่ะที่กล้าบอกชอบผู้หญิงทั้งที่เจอกันไม่ทันไรแบบนี้น่ะ เด็กปอหนึ่งยังรู้เลยว่ามันเป็นไปไม่ได้”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ คุณเอาความคิดตัวเองมาตัดสินความรู้สึกคนอื่นแบบนี้ ไม่แฟร์นะ”

“แล้วคุณแฟร์มากเลยนะ มาบอกว่าชอบฉันทั้งที่เจอกันไม่เท่าไหร่ นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่คุณก็มีคนรักอยู่แล้ว ฉันว่ามันทุเรศ!”

“ใคร? ใครแฟนผม? ผมคิดว่าคุณเข้าใจผมผิดนะ...”

ก่อนที่สงครามจะยืดเยื้อและบานปลายไปกว่านี้ น้ำหอมก็ยกก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟ น่าแปลกที่คราวนี้ใบหน้าหล่อนดูซูบซีดเมื่อเทียบกับตอนที่ทั้งคู่เข้าร้านมาใหม่ๆ หล่อนวางน้ำมะพร้าวลงบนโต๊ะก่อนเป็นอันดับแรกและใช้มือข้างหนึ่งเท้ากับโต๊ะอยู่ครู่หนึ่งอย่างต้องการจะทรงตัว

“เป็นอะไรหอม หน้ามืดเหรอเธอ”

ปลายดาวละความสนใจที่มีต่อชายหนุ่มตรงหน้า พร้อมหันมาจับท่อนแขนน้ำหอมไว้อย่างเป็นห่วง ทว่าในชั่วกระพริบตานั้นเอง น้ำหอมก็มีอาการเกร็งแข็งไปทั้งร่าง มือที่ถือถาดอยู่นั้นสั่นเกร็ง ตาค้าง หล่อนมีอาการชักกระตุกอยู่สองสามทีก่อนที่ถาดนั้นจะร่วงเพล้งแตกเกลื่อนพร้อมๆกับที่ร่างอ้อนแอ้นของหล่อนก็ร่วงลงไปกองกับพื้นและชักกระตุกอยู่เป็นระยะๆ ประดาเส้นก๋วยเตี๋ยวและน้ำซุปร้อนๆรินรดมาบนมือ ท่อนแขนและร่างกายบางส่วนจนเปรอะเปื้อนไปหมด

ปลายดาวตกใจจนแทบสิ้นสติกับเหตุการณ์ฉุกละหุกที่เกิดขึ้นต่อหน้าไม่ต่างอะไรกับลูกค้าคนอื่นๆในร้าน กว่าที่เธอจะรู้ตัวว่าควรทำอย่างไร พี่จุ๋มแม่ครัวใหญ่ของร้านก็วิ่งมาด้วยความเร็วปานลมกรดเหมือนหล่อนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าอยู่แล้ว แม่ครัวใหญ่ตรงเข้าประคองน้ำหอมไว้ในอ้อมกอดโดยไม่ได้รังเกียจกับเศษอาหารที่หกเลอะเทอะเปรอะเปื้อนนั่นสักนิด หล่อนเขย่าร่างของน้ำหอมหลายๆครั้งเพื่อเรียกสติ ปากก็พร่ำบอกไม่หยุด

“เรียกแท็กซี่ให้หน่อยค่ะ ใครก็ได้เรียกแท็กซี่ให้หน่อย”

แม้จะเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่พี่จุ๋มก็ดูจะครองสติไว้ได้อย่างน่าทึ่ง หล่อนหันไปสั่งงานเด็กในร้านในฐานะพี่ใหญ่ให้ปิดร้าน แล้วให้โทรบอกเฮียกับเจ๊ ส่วนตัวหล่อนเองจะพาน้ำหอมไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด ปลายดาวรู้ว่าในเวลานี้เธอควรทำอะไรสักอย่าง แต่ก็แปลกที่หัวสมองน้อยๆของเธอยังคงบื้อใบ้นึกอะไรไม่ออก

“ดาว! ไปเปิดประตูรถเร็วเข้า!”

อยู่ๆคุณเตชิตก็สั่งเธอเสียงเข้มเมื่อปราดมายืนอยู่ข้างๆ แต่ปลายดาวปฏิเสธ เวลานี้เธอจะไม่ไปไหนกับเขาทั้งสิ้น

“ไม่!”

“ผมบอกให้ไปเปิดประตูรถ!”

“ก็ฉันบอกว่าไม่ไงล่ะ ฉันไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้นแหละ”

“เลิกคิดอะไรบ้าๆได้แล้ว ผมไม่ได้จะพาคุณไปไหนหรอกน่า แต่จะพาน้องเขาไปหาหมอ!”

เสียงเขาแทบจะเป็นตวาด ก่อนจะทำในสิ่งที่ปลายดาวคาดไม่ถึงนั่นคือ การทรุดลงกับพื้นแล้วก้มลงอุ้มน้ำหอมขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย เขาบอกให้พี่จุ๋มดูแลร้านไปตามปกติจนกว่าร้านจะปิด หรือถ้าหากเฮียกลับมาแล้วพี่จุ๋มค่อยตามไปก็เป็นอีกเรื่อง ระหว่างนี้เขาจะพาน้ำหอมไปหาหมอเอง

พี่จุ๋มหยิบทิชชู่มาซับคราบน้ำและเศษอาหารออกจากตัวน้ำหอม ปากก็พร่ำบอกขอบคุณเขาไม่หยุด หล่อนกุลีกุจอรีบวิ่งไปเปิดประตูรถให้อย่างคล่องแคล่ว คุณเตชิตหันมามองปลายดาวที่ยังยืนทื่ออยู่ที่เดิม นัยน์ตามีแววดุกึ่งหงุดหงิดจนรู้สึกได้

“อ้าว! ดาว! แล้วจะยืนนิ่งอยู่ทำไม ขึ้นรถสิ”

เสียงเข้มๆทำให้ปลายดาวได้สติ เธอรีบวิ่งตามไปขึ้นรถด่วนจี๋พลางถอนหายใจเหนื่อยหอบ หญิงสาวยกมือขึ้นปาดเหงื่อไม่น่าเชื่อว่าเธอจะตกใจจนสติแตกได้ขนาดนี้ ผิดกับคุณเตชิตที่นิ่งและครองสติทั้งยังควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ดีอย่างไร้ที่ติ

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล น้ำหอมถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน รอจนกระทั่งเกือบครึ่งชั่วโมงผ่านไปคุณหมอถึงได้ออกมาพร้อมกับเล่ารายละเอียดเบื้องต้นให้ฟังว่าน้ำหอมเป็นโรคลมชัก ซึ่งเป็นโรคประจำตัวและเคยมีประวัติการรักษากับที่โรงพยาบาลแห่งนี้มาก่อน คุณหมอให้ยาแก้อาการชัก และให้น้ำเกลือ ซึ่งคงต้องอยู่รอดูอาการอีกสักคืนหากไม่มีอาการอย่างอื่นแทรก พรุ่งนี้ก็อาจกลับบ้านได้

ปลายดาวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อคุณหมออนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมได้เธอจึงไม่รอช้ารีบถลาเข้าไปยังห้องรอดูอาการที่อยู่ข้างๆห้องฉุกเฉินทันที น้ำหอมนอนตัวซีดหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยางดูน่าสงสาร ระยะเวลาที่รู้จักกันมาหลายปีดีดักทำให้เธอรู้สึกกับน้ำหอมไม่ต่างอะไรกับน้องสาวคนหนึ่ง และเท่าที่รู้หล่อนไม่มีญาติที่ไหนอีกนอกจากพี่จุ๋มลูกพี่ลูกน้องที่ติดสอยห้อยตามกันมาจากต่างจังหวัด

อาจเพราะฤทธิ์ยาที่ทำให้น้ำหอมยังคงหลับสนิท ปลายดาวไม่อยากรบกวนจึงออกมานั่งรอข้างนอกโดยที่คุณเตชิตยังเดินตามมานั่งใกล้ๆ ที่เสื้อเขามีคราบน้ำและคราบสกปรกติดอยู่ซึ่งอาจเกิดจากตอนอุ้มน้ำหอมนั่นเอง เวลานี้ใบหน้าเขาดูเหน็ดเหนื่อยซ้ำท่าทางก็ยังดูอิดโรยจนเห็นได้ชัด แม้ความโกรธจะยังไม่เลือนหายไปเสียทีเดียว แต่ก็ยอมรับว่าเธอก็แอบรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาอีกนิดตอนที่เห็นเขาก้มลงอุ้มหอมขึ้นมาจากพื้นอย่างปราศจากอาการรังเกียจรังงอน เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นและไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เจอ แล้วมันก็ทำให้เธอได้เห็นเขาในมุมใหม่ ทำให้เธอได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาก็เป็นคนมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งและไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปนัก

หญิงสาวส่งกระดาษทิชชู่ให้เขาซับเหงื่อ แต่ยังไม่ทันจะได้เอื้อนเอ่ยอะไร พี่จุ๋มก็พรวดพราดเข้ามาอย่างตื่นตกใจ ได้ความว่าเฮียศรชัยสั่งให้ปิดร้านได้เลยและรีบให้พี่จุ๋มตามมาดูอาการน้ำหอมทันที ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าหล่อนดูร้อนใจและเป็นกังวลจนเห็นได้ชัด

“หอมมันเป็นยังไงมั่งคะคุณ”

หล่อนปราดเข้ามาจับแขนปลายดาวไว้ หญิงสาวส่งยิ้มให้หล่อนอย่างคลายความกังวลใจ

“หมอให้ยาแก้ชักไปแล้วค่ะ ตอนนี้ให้น้ำเกลืออยู่ในห้อง แต่อาจต้องรอดูอาการอีกคืนหนึ่ง ถ้าไม่เป็นไรมากพรุ่งนี้คงกลับบ้านได้”

“ขอบคุณคุณมากนะคะ” หล่อนหันไปยกมือไหว้คุณเตชิตจนอีกฝ่ายรับไหว้แทบไม่ทัน “หอมมันเป็นโรคประจำตัวค่ะ แต่มันหายไปได้สักสองสามปีแล้ว ก็ไม่นึกว่าจะกลับมาเป็นอีก ฉันก็ผิดสังเกตเหมือนกันวันนี้เห็นมันหน้าซีดๆ”

“คงไม่เป็นไรมากแล้วล่ะฮะ ถึงมือหมอแล้ว เย็นใจได้”

คุณเตชิตเอ่ยขึ้นพร้อมยิ้มกว้างอย่างให้กำลังใจ พี่จุ๋มยิ้มตอบแล้วขอตัวเข้าไปดูอาการปลายดาวจึงเห็นเป็นโอกาสดีที่จะขอตัวเพราะดึกมากแล้ว อีกอย่างเธอก็เกรงใจคุณเตชิตด้วย...มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องมาเหนื่อยด้วยซะหน่อย

เมื่อลับตาจากพี่จุ๋มแล้ว ปลายดาวก็เดินตามคุณเตชิตออกมาเงียบๆอย่างปราศจากซึ่งคำพูด เธออยากชวนคุยแต่ก็กลับนึกคำพูดไม่ออกขึ้นมาซะงั้น แววตาของคุณเตชิตหงุดหงิดเดาว่าเวลานี้เขาคงทั้งเหนื่อยและนึกรำคาญทั้งยังมองไม่เห็นประโยชน์ของการงอนง้อเธอขึ้นมาแล้วก็ได้ ถ้าทำได้...เขาคงอยากขอถอนคำพูดที่เคยพูดไปแล้วเมื่อกี้ด้วยซ้ำ

รถคันงามจอดอยู่ที่ลานจอดรถด้านข้างติดกับสวนสาธารณะของโรงพยาบาล ปลายดาวเอ่ยขอตัว เพราะไม่อยากนั่งคู่ไปกับเขาในขณะที่ยังจับจุดอารมณ์ตัวเองไม่ถูกแบบนี้ แต่เขากลับสวนออกมาอย่างไม่พอใจ

“ผมจะปล่อยคุณกลับคนเดียวได้ไง ดึกขนาดนี้”

“กลับได้ค่ะ ฉันมาซื้อโจ๊กแถวนี้ออกบ่อย ชินแล้ว คุณกลับไปเถอะ”

คราวนี้ชายหนุ่มสบตาเธอแน่วแน่พร้อมถอนหายใจออกมาแรงๆ ดูออกว่าเขาทั้งเหนื่อยและอ่อนอกอ่อนใจไม่ใช่น้อย

“แต่ผมหิว ก๋วยเตี๋ยวที่สั่งก็ยังไม่ทันได้กิน ไปเป็นเพื่อนผมกินโจ๊กหน่อยไม่ได้หรือไง”

ร้านโจ๊กอยู่หน้าโรงพยาบาลนี่เอง หญิงสาวไม่มีทางเลือกจึงได้แต่เดินตามเขาไปอย่างอ้อยสร้อย บุญคุณที่ยังรู้สึกว่าค้ำคอจากวีรกรรมเมื่อครู่นี้ทำให้ปลายดาวไม่กล้ามีปัญหาหรือปะทะวาจาด้วยมากนัก แล้วโดยเฉพาะท่าทีเขาในเวลานี้ก็ดูน่าเกรงขามอยู่น้อยเสียเมื่อไหร่

ท่าทางคุณเตชิตคงหิวมาก เพราะเขาสามารถกินโจ๊กใส่ไข่สองชามหมดได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ในขณะที่ปลายดาวยังไม่หมดชามแรก เธอแอบมองเสี้ยวหน้าเขาอย่างหวั่นใจเล็กน้อย เพราะแม้สีหน้าเขาจะดูสดชื่นขึ้นมาอีกนิด แต่ทว่าแววตาก็ยังดูว่างเปล่าไม่มีรอยยิ้มอย่างที่เธอคาดหวังอยู่ดี เวลานั้นค่อนข้างดึกแต่ลูกค้าในร้านกลับทยอยกันเข้ามามากขึ้น เสียงคนตะโกนสั่งอาหารเซ็งแซ่เสียงดังจนฟังไม่ได้ศัพท์ ไม่น่าเชื่อ...ว่าดินเนอร์สุดหรูระหว่างเขากับเธอจะจบลงที่ร้านโจ๊กข้างทางนี้ไปได้

“คุณเตชิตคะ ฉันต้องขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์เป็นธุระพาน้ำหอมมาหาหมอ ถ้าไม่ได้คุณคงแย่”

เธอเอ่ยขึ้นแข่งกับเสียงเซ็งแซ่

“ผมพอจะดูดีขึ้นมาหน่อยในสายตาคุณงั้นสิ” เขาเหลือบตาขึ้นมามองเธอนิดหนึ่ง แล้วเลื่อนชามโจ๊กที่หมดแล้วไปข้างหน้า พร้อมกับหยิบถ้วยน้ำแข็งใสมากินต่อไป

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ก็...คือว่า...ฉันแค่ไม่คิดว่าคุณจะมีน้ำใจ เอ่อ...ฉันหมายถึงว่า ไม่นึกว่าคุณจะอุตส่าห์ยอมเสียเวลามาเป็นธุระให้...”

เขามีให้เธอเพียงความเงียบ...

“น้ำหอมคงดีใจ ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าคุณเป็นคนอุ้ม” เธอหัวเราะแหะๆ “ไว้ฉันจะบอกน้ำหอมให้”

เขายังคงนิ่ง...

“ส่วนเรื่องของเรา...เอาเป็นว่าฉันยกโทษให้แล้ว...”

“คุณพูดจบหรือยัง” เขาถามเสียงเครียด แต่ปลายดาวตอบเสียงอ่อย

“ฉันไม่โกรธคุณแล้วล่ะ แต่ว่าคุณก็ต้องรับปากว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก”

ปลายดาวรอคำพูดของเขาอย่างใจจดใจจ่อ หากชายหนุ่มยังคงก้มหน้าก้มตากินน้ำแข็งใสต่อไปอย่างใจเย็น จนกระทั่งหมดถ้วย เขาจึงเงยหน้าขึ้นแล้วสบตาเธอนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่รอยยิ้มออกจนสุดริมฝีปากพร้อมชูนิ้วก้อยให้เธออย่างเจ้าเล่ห์

“แปลว่าตอนนี้เราดีกันจริงๆแล้วนะ”


หลังออกมาจากร้านโจ๊ก คุณเตชิตวกกลับมาส่งปลายดาวที่บ้าน เขาจอดรถชิดไว้ริมแนวรั้วแล้วเดินเข้ามาส่งเธอที่ด้านใน ทางเดินเล็กๆที่ปูลาดด้วยกรวดหยาบๆและขนาบข้างด้วยพุ่มกระถางเฟื่องฟ้ากว้างขนาดคนเดินสวนกันสี่ห้าคนได้สบาย หากในยามนี้ปลายดาวรู้สึกเหมือนกับว่ามันแคบไปถนัดใจ

“นี่คุณจะมาเดินเบียดฉันทำไมเนี่ย ทางเดินก็ออกจะกว้าง”

หญิงสาวบ่นอุบอิบ แต่คนข้างๆกลับหัวเราะร่วน

“คุณนี่! ไม่โรแมนติกเอาเสียเลย” เขาหยุดเท้าเมื่อเดินมาถึงม้าหินใต้ร่มมะม่วงที่แตกกิ่งก้านสาขาเป็นร่มเงามากกว่าจะออกดอกผล “เรานั่งคุยกันที่นี่ได้มั้ย”

“ที่จริงมันก็ดึกแล้ว ฉันว่าคุณควรจะกลับไปพักผ่อนนะ ท่าทางคุณคงเหนื่อย”

“ก็ตอนนี้หายเหนื่อยแล้วนี่ ยิ่งถ้าได้หอมแก้มคุณอีกสักฟอด คงหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง”

ชายหนุ่มหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีพร้อมส่งตุ๊กตาจิงโจ้ตัวใหญ่ไปวางไว้บนตักเธอ ลมเย็นๆพัดโชยมาจนเส้นผมที่เริ่มยาวลงมาระต้นคอของเขาปลิวสะบัด เขาเหลียวมองไปรอบๆบ้าน แล้วถามออกมาอย่างเป็นห่วง

“คุณอยู่คนเดียวไม่กลัวเหรอ บ้านใหญ่ขนาดนี้ ผมว่าถ้าเป็นพวกคอนโด น่าจะสะดวกกับคุณมากกว่า”

“คุณจะซื้อให้ฉันมั้ยล่ะ”

“ได้ แต่ต้องให้ผมอยู่ด้วยนะ”

“บ้า!“ เธอหันมาทุบแขนเขาไปทีหนึ่ง แต่ก็รู้ว่าเขาพูดเล่น “เมื่อก่อนบ้านหลังนี้เราเคยปล่อยให้ฝรั่งเช่า ต่อมาเขาย้ายกลับประเทศเขาไป ฉันก็เลยขอแม่มาอยู่แทน ก็สบายดีนะ”

“แต่เป็นผู้หญิงอยู่คนเดียวผมว่ามันอันตรายนะ”

“ฉันชินแล้ว อยู่แบบนี้ก็สบายดี...อีกอย่างนายหนอนก็มาอยู่ด้วยบ่อยๆไม่เหงาหรอก”

เขาเลิกคิ้วเมื่อเธอพูดมาถึงตอนนี้ แต่เพียงครู่เดียวก็คล้ายจะไม่สนใจอะไรอีกได้แต่มองไปรอบๆบ้านด้วยแววตาครุ่นคิด

“ยังไงมันก็น่าเป็นห่วงอยู่ดี”

“นายหนอนเขาก็อาจคิดแบบคุณก็ได้ ก็เลยมาอยู่เป็นเพื่อนบ่อยๆ บ่อยจนบางทีก็หมั่นไส้ ทุกครั้งที่เขาทำดี ก็ต้องมีเรื่องปวดหัวมาให้ประจำ”

“คุณพูดถึงวรนนท์บ๊อยบ่อย...บ่อยจนผมบางทีผมก็อดอิจฉาไม่ได้”

“ไม่เห็นมีอะไรต้องอิจฉาเลย เขาสู้คุณไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ดีแต่ไม่เป็นโล้เป็นพายไปวันๆ”

“ก็คุณสนิทกัน แล้วท่าทางเขาก็หวงคุณออก...ผมกลัวว่าคุณจะหวั่นไหวเข้าสักวันน่ะสิ”

“คุณอย่ามาดราม่าไปหน่อยเลยน่า ฉันบอกแล้วว่าเราเป็นเพื่อนกัน” เธอถอนใจ เมื่อตัดใจยอมปริปากเล่าเรื่องราวแต่หนหลัง “ฉันอาจจะเคยชอบเขาแต่มันก็นานมากแล้ว สมัยเด็กๆโน่น ที่สำคัญ...เขาไม่มีทางจะหันมาชอบฉันได้หรอก เขาชอบขาวสวยหมวยเอ็กซ์ เอ้อ! ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ว่าคุณฝนนะ ฉันหมายถึงผู้หญิงที่ผ่านๆมาของเขา อีกอย่างหนึ่ง...แม่เขาค่อนข้างจะสตริ๊คท์เรื่องการเลือกผู้หญิงมาเป็นศรีสะใภ้พอสมควร ผู้หญิงธรรมดา...เกิดมาในครอบครัวธรรมดาๆแถมยังเคยผ่านการล้มละลายเป็นหนี้แบงค์เกือบร้อยล้านแบบฉัน มันไม่เหมาะสมกับเขาหรอก เป็นเพื่อนกันก็ดีแล้ว ที่ฉันพูดนี่...ก็เพื่อจะให้คุณวางใจว่าถ้าคุณฝนจะต้องลงเอยกับเขาจริงๆก็ไม่มีอะไรต้องน่าห่วง แม่เขาคงพอใจ คุณก็สบายใจได้”

ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก สบตาเธออยู่ครู่หนึ่งก็กางแขนทั้งสองข้างพาดลงกับม้านั่งหินอ่อนตัวนั้นอย่างรื่นรมย์ แสงจากพระจันทร์ค่อนดวงที่ทอแสงอยู่เหนือต้นมะม่วงส่งให้ประกายตาเขาแจ่มจ้า ดูมีพลังจนปลายดาวเริ่มรู้สึกว่าหัวใจของเธอไหววูบชอบกล

“ผมก็แค่คนธรรมดาเหมือนกัน ครอบครัวผมก็ธรรมดา อาจจะเทียบไม่ได้กับเพื่อนของคุณด้วยซ้ำ พ่อแม่ผมเลิกกันตั้งแต่ผมยังเด็กๆ แม่แต่งงานใหม่แล้วพาผมไปอยู่แฟรงเฟิร์ตตั้งแต่ยังไม่กี่ขวบ...”

เมื่อเขาเริ่มเล่าความเป็นมาในชีวิต...ปลายดาวก็เริ่มตาสว่าง(ขนาดไม่อยากรู้เรื่องเขานะเนี่ย)

“แม่มีลูกกับคริสเตียนเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แต่คริสเตียนก็รักผมมาก รักเหมือนลูกแท้ๆ เขาทุ่มเททุกอย่างให้ผมเพราะอยากให้ผมสืบทอดกิจการซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ที่นั่น ปลายปีที่แล้วคริสเตียนขยายสาขาเพิ่มอีกหลายแห่ง เขาอยากให้ผมกลับไปช่วย เพราะลำพังเขาเองก็เริ่มเหนื่อย”

“ก็ดีนี่คะ ฉันก็ยังไม่เห็นว่าทำไมคุณถึงจะไม่กลับ ในเมื่อคุณมีทุกอย่างที่นั่นพร้อม”

“ก่อนหน้าที่จะมาเจอคุณ ผมก็คิดแบบนั้น”

เขาพูดทิ้งท้ายให้เธอคิด แต่หญิงสาวหัวเราะร่วน

“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันสักหน่อย”

“เกี่ยวสิ ก็ตอนนี้ผมมีคุณแล้วนี่ แล้วเราก็ควรต้องทำความรู้จักกันให้มากขึ้นไม่ใช่หรือครับ”

คำว่า “ผมมีคุณแล้ว” ทำให้หญิงสาวจั๊กกะจี้ที่ได้ยิน แต่ก็รู้สึกอุ่นๆในใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้

“ใช่ค่ะ เพราะว่าเรื่องของฉันมันน่าทำความรู้จักมากกกกกก” เธอลากเสียงยาวแอบประชดตัวเองยิ้มๆ “ยิ่งเรื่องครอบครัว ยิ่งดราม่าสุดๆ ละครหลังข่าวยังต้องชิดซ้าย คุณอยากรู้เรื่องของฉันจริงๆรึ”

เธอเอียงคอถาม เมื่อเขาพยักหน้าเธอก็เริ่มเล่าเรื่องราวบางส่วนในชีวิต เขามีสิทธิ์รู้สถานภาพที่แท้จริงของครอบครัวเธอ จะได้ไม่ต้องมาต่อว่าทีหลังที่ปล่อยให้เขาทนคบคน...ที่ไม่ควรมาอยู่ในระนาบเดียวกันมาตั้งแต่แรก

“จะบอกให้ว่าเมื่อก่อนที่บ้านฉันเคยฐานะดีนะ มีรถคันละหลายๆล้านขับ มีบริษัทก่อสร้างมูลค่าหลายร้อยล้านบาท มีพนักงานหลายร้อยคน แต่พอเราเจอวิกฤติทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เราเป็นหนี้ท่วมหัว บริษัทโดนเทคโอเวอร์ เราต้องขายบ้าน ขายรถใช้หนี้...ฉันเจอคนมาหลายรูปแบบ บางคนพอรู้ว่าเราเคยล้มละลายก็เริ่มหายไปจากชีวิต ไม่อยากคบด้วยอีก ก็เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้”

“ก็ไม่เห็นต้องเสียดายนี่ คนแบบนั้น”

“ไม่ได้เสียดายหรอกค่ะ เพราะบางทีอะไรๆมันก็ไม่ได้แย่ไปเสียหมด คุณรู้มั้ยคะ ตอนที่ฉันกับพี่สาวถูกเรียกตัวกลับจากออสเตรเลียทั้งที่ยังเรียนไม่จบ ฉันยังไม่เคยคิดเลยว่าเราต้องกลับมาเริ่มต้นกันใหม่จริงๆ ปรับตัวใหม่ หัดใช้ชีวิตง่ายๆ กินอยู่อย่างง่ายๆ ตามหลักพอเพียง แต่สุดท้ายแล้วฉันก็พบว่าชีวิตที่ไม่ต้องดิ้นรน มันก็มีความสุขเหมือนกัน ฉันเพิ่งมาค้นพบความจริงอย่างหนึ่งว่า จริงๆแล้วในชีวิตเราใช้เงินวันละไม่กี่บาทเท่านั้น แต่ที่ผ่านมาเรามัวแต่ใช้จ่ายเงินไปกับค่าอะไรไม่รู้มากมาย แทนที่จะเป็นค่าอาหารที่สำคัญที่สุดกับชีวิตเรา...คุณเชื่อมั้ย? ฉันเคยไปออกค่ายที่แม่ฮ่องสอนอาทิตย์นึง มีเงินอยู่ห้าร้อยบาท ใช้แทบตายกว่าจะหมด”

คราวนี้เขาหัวเราะออกมาได้ น่าแปลกที่เสียงหัวเราะของเขาทำให้มุมๆหนึ่งในหัวใจเธออุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด
“พ่อฉันเคยพูดไว้ว่า จริงๆแล้วความสุขของพ่อก็มีแค่การได้อยู่กับครอบครัว แม่ฉัน พี่สาวฉัน แล้วก็ฉัน น่าแปลกที่ทำไมจะต้องดิ้นรนเพื่อบริษัท ที่นับวันจะทำให้เรายิ่งห่างกัน แล้วพ่อก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น...จนสุดท้ายพ่อก็จากไปจริงๆ แต่คุณเชื่อมั้ยคะ ฉันยังรู้สึกเสมอว่าพ่อยังอยู่ ก่อนนอนทุกคืนฉันก็จะสวดมนต์ไหว้พระ แล้วบอกว่าถ้าชาติหน้ามีจริงก็ขอให้เราได้เป็นพ่อลูกกันอีก”

“ผมเสียใจด้วยนะ ท่าทางคุณจะสนิทกับพ่อน่าดู”

“ใช่ เราซี้กันมาก” เธอน้ำตาซึมเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ “ขอโทษนะคะที่เล่าเรื่องที่คุณอาจไม่อยากรู้ แต่จริงๆแล้ว...ไว้สนิทกันมากขึ้น ก็คงจะรู้จักเข้าใจกันมากขึ้นเอง...ไม่แน่อีกเหมือนกันว่าพอเวลาผ่านไปได้สักพัก คุณอาจจะรู้ตัวว่าไม่ควรมาเสียเวลากับฉัน”

“ก็ไม่เป็นไรนี่ เรายังมีเวลาเรียนรู้กันอีกเยอะ ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะให้โอกาสผมหรือเปล่า”

“ฉันง่วงแล้ว...วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า”

เมื่อเธอตัดบท ชายหนุ่มก็ไม่คัดค้านได้แต่เดินตามมาส่งเธอถึงหน้าประตูไม้บานใหญ่อย่างเงียบๆ แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยขอตัว เขาก็รั้งข้อศอกเธอไว้

“วันนี้ผมทำไม่ดีกับคุณไว้ คุณไม่คิดจะเอาคืนผมมั่งเหรอ”

“เรื่องอะไร...บ้างคะ”

หญิงสาวอยากจะพูดต่อว่ามันหลายเรื่องเหลือเกิน แต่ในสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่จวนตัวแบบนี้เธอก็เลยนิ่งเสีย

“ก็ที่ผมจูบคุณไปไง”

“ฉันจะถือว่าเราหายกัน กับที่คุณเป็นเด็กดีช่วยพาน้ำหอมไปหาหมอ แต่วันหลังถ้าคุณทำอีก ฉันเอาตายจริงๆด้วย”

คุณเตชิตหัวเราะท่าทางบ่งบอกว่าเขาสุขใจมากกว่าจะกลัวเธอเอาให้ตายอย่างที่พูดจริงๆ

“ผมกลับล่ะ คุณก็พักผ่อนซะ ปิดประตูลงกลอนอะไรให้ดี พรุ่งนี้ผมจะมารับนะ”

เขาไม่พูดเปล่า แต่โน้มใบหน้าลงมาจุมพิตที่หน้าผากเกลี้ยงมนของเธออีกทีหนึ่งจนได้ ปลายดาวไม่ทันระวังตัว ไม่ทันแม้แต่จะเอี้ยวหลบอย่างที่พึงทำ รู้แต่ว่าทันทีที่เขาถอนจมูกออกและสบตาเธอด้วยแววตาเป็นประกายลึกซึ้ง หญิงสาวก็พลันรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นกับหัวใจตัวเอง อย่าบอกนะว่าแค่จุมพิตอ่อนหวานนี่...ก็ทำให้เธอเคลิ้มจนเผลอหวามไหวไปกับเขาจนลืมเรื่องราวบาดหมางที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาเสียได้...ที่สำคัญความรู้สึกในด้านลบที่เคยมีต่อเขาก็ดูเหมือนจะลางเลือนเคลื่อนหายไปทางไหนเสียแล้วก็ไม่รู้

มันเกิดอะไรกับหัวใจเธอกันนี่!

เมื่อคุณเตชิตจากไปแล้ว ปลายดาวก็ควานหากุญแจบ้านแต่ยังไม่ทันจะลงมือไข ประตูบานใหญ่ก็เปิดออกเองได้ราวปาฎิหาริย์พร้อมร่างสูงใหญ่คุ้นตาของใครคนหนึ่งที่ก้าวมายืนตรงหน้าในระยะประชิด สายตาเลเซอร์ของเขาสำรวจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับต้องการจะสแกนเธอให้พรุนไปทั้งร่าง

“ฉันยืนอยู่หลังประตูตั้งนานแล้วไม่ได้ยินเลยนะ...ว่าเธอพูดอะไรกัน!...ไม่เห็นเลยซักกะติ๊ด ว่าเขาทำอะไรเธอ!”




สิริเสาวภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ต.ค. 2554, 20:49:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ต.ค. 2554, 20:49:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1965





<< ตอนที่ 7 << แหย่หนวดเสือ >>   ตอนที่ 9 << รักแท้ก็เหมือนผี...รู้ว่ามีแต่ไม่เคยโดนหลอก >> >>
Canopus 12 ต.ค. 2554, 22:19:05 น.
นายนนท์เจอฉากหวานๆของดาวเข้าให้


pseudolife 12 ต.ค. 2554, 22:53:57 น.
คุณเต้ใจเย็น แล้วก็น่ารักมากๆ เลย
เฮ้ย นายหนอนแอบอยู่นี่ หุหุ


violette 13 ต.ค. 2554, 00:49:54 น.
อ่าวนายนนท์หวงก้างช้าไปแล้วเพื่อนเอ้ย


กานต์นวีร์ 13 ต.ค. 2554, 11:37:15 น.
พูดประชดหรือเปล่านายนนท์


สิริเสาวภา 13 ต.ค. 2554, 13:07:44 น.
@ Canopus : นี่ยังแค่น้ำจิ้มค่ะ เดี๋ยวเจอหวานกว่านี้ อิอิ
@ psuedolife :ความน่ารักของคุณเต้ยังไม่หมดเท่านี้แน่ค่ะ นางเอกเราจะใจอ่อนมั้ยน้า
@ violette : 555 พวกรู้ตัวช้าไงคะ
@ กานต์นวีร์ : 55555


anOO 13 ต.ค. 2554, 14:47:45 น.
นายอยู่ในเหตุการณ์ตลอดเลยเหรอเนี้ย
แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้นายเต้มารับ จะไม่เข้าใจผิดใช่ไหม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account