จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒๘

---- แวะคุยกันก่อน ----

ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ด้วยเพราะสถานการณ์น้ำ
ยังไงทุกคนก็ระวังตัวกันไว้นะคะ น้ำมันจะมาแล้ว
บ้านคนเขียนอีกหลังอยู่รังสิตคลองสาม = ="
น้ำฝั่งตรงข้ามหมู่บ้านไปละ
ก็เลยเขียนช้าหน่อย ป้องกันน้ำ ดูข่าวเรืื่องน้ำ
อีกทั้งตอนนี้คนเขียนไปเรียนถ่ายรูปเลยทำอะไรล่าช้า
แต่ก็ำนำมาลงแล้วนะอย่าเพิ่งหายกันไปนะ
ขอบคุณคนที่มาอ่านและคอมเม้นนะคะ
คนเขียนชื่นใจเพราะคอมเม้นจริงๆ

*****************
บทที่ 28

ประวัติส่วนตัวและข้อมูลทั้งหมดของเรเยฟ โคมานอฟ นักธุรกิจเชื้อสายรัสเซียซึ่งมีกิจการโรงแรมและคาสิโนในซานเรโม่เป็นฉากหน้า หากเบื้องหลังคือพ่อค้าอาวุธรายใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่สงครามกลางเมืองถูกส่งมาทางอีเมล์ลับของพอล ครอมเวลตามกำหนดเวลาที่ได้ตกลงไว้

หน้าจอแท็บแล็ตแสดงรูปภาพประกอบกับเนื้อหาของเอกสารเป็นภาษาอังกฤษยาวเหยียดหลายสิบหน้า การฝึกฝนวิธีอ่านเร็วมาทำให้ผู้อ่านลากนิ้วเลื่อนเปลี่ยนบรรทัดหน้าต่อหน้าจับใจความของข้อมูลทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีตกหล่น

ภาควัฒน์พาดท้ายทอยวางศีรษะบนขอบหัวเตียงพลางพ่นลมหายใจอุ่นผ่านริมฝีปากอย่างเคร่งเครียดก่อนจะเบือนหน้าไปยังคนที่นอนหนุนแขนหลับอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นจึงเอื้อมหลังมือลูบไปตามดวงหน้านวลด้วยความรู้สึกหนักอึ้งเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ

ความร้อนของฝ่ามือที่ทาบลงบนแก้มเย็นปลุกให้ศศิวิมลที่นอนหนุนแขนกำยำอยู่รู้สึกตัวตื่น...เปลือกตาขยับไหวเคลื่อนเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้าสิ่งแรกที่ประจักษ์แก่สายตายามพ้นจากห้วงนิทรามาตลอดสามวันมานี้คือรอยยิ้มอันอบอุ่นของชายหนุ่มผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย

“ กี่โมงแล้วคะ ” ถามขึ้นเป็นประโยคแรกเมื่อเหลือบเห็นความสว่างของท้องฟ้าเบื้องนอกที่ร้อนแรงเหมือนกับได้ผ่านช่วงเวลาย่ำรุ่งมายาวนานแล้ว ฝ่ายถูกถามก้มหน้ามองเวลาที่ปรากฏบนหน้าจอแท็บแล็ต

“ อีกสิบนาทีเก้าโมงค่ะ ”

“ เก้าโมงแล้วเหรอคะ...อย่างนี้เล็กก็ใส่บาตรไม่ทันอีกแล้วสิคะ ”

“ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่ไปใส่บาตรแทนเล็กให้แล้ว ”

“ มีที่ไหนเขาใส่บาตรแทนกันบ้างล่ะคะ เพราะพี่ภาคแหละ ไม่ยอมให้หลับยอมนอน เล็กเลยตื่นไปใส่บาตรไม่ทัน ”

“ แนะ มาโทษพี่อีกแน่ะ...พี่ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอคะ ว่าง่วงก็นอน แล้วทำไมเล็กไม่นอนล่ะคะ ”

“ พี่ภาคทำแบบนั้นใครจะไปนอนได้ล่ะคะ ” หล่อนว่าทำหน้าตูม “ คอยดูนะ ถ้าเล็กเจอยายช้อยเมื่อไหร่เล็กจะฟ้องยายช้อยให้ตีพี่ภาคซะเลย ”

“ ฟ้อง...ฟ้องยายช้อยให้มาตีพี่เรื่องอะไรล่ะคะ ” คิ้วเรียวเข้มเลิกสูงขณะถาม

“ เล็กจะฟ้องว่าพี่ภาคเป็นจอมลามก ไม่ยอมให้เล็กนอนเพราะเอาแต่... ” ประโยคในข้างท้ายเงียบหายไปในมวลอากาศพร้อมกับแก้มนวลที่แดงระเรื่อ

“ เอาแต่อะไรคะ ”

“ พี่ภาคก็รู้ว่าอะไร ไม่ต้องมาทำเป็นถามเลย ”

“ รู้อะไรคะ...พี่ไม่รู้อะไรหรอกค่ะ เล็กบอกมาดีว่าพี่เอาแต่ทำอะไร เล็กถึงไม่ได้นอน ” คนพูดตีหน้าซื่อแกล้งแม่ตัวเล็กให้หน้าร้อนผ่าวหนักเข้ากว่าเก่า ยิ่งเหลือบสายตาเห็นคนคอยแกล้งตั้งแต่เด็กจนโตทำหน้าเหลอหลาไม่รู้เรื่องก็เกิดอาการหมั้นไส้เลยเผลอหยิกแขนเขาเข้าไปครั้งหนึ่ง

“ พี่ภาคก็รู้ว่าพี่ภาคทำอะไร แต่แกล้งทำไม่รู้” หญิงสาวหน้างอขยับตัวนอนตะแคงไปอีกทางแล้วลุกขึ้นนั่งดึงผ้าห่มมาคลุมมิดชิดปิดบังทุกส่วนของร่างกายเหลือเพียงศีรษะพอรู้ว่าออกฤทธิ์ออกเดชได้เลยชักจะงอนเป็นเหมือนกัน

นาทีที่เห็นภรรยางอนหันหลังหายเข้าไปซุกตัวในผ้าห่ม ความน่ารักทำให้ความกังวลหนักที่สะสมมาหลายวันก็เหมือนจะคลายลงเลยคลานเข่าเข้าไปใกล้ดึงชายผ้าห่มที่ห่อร่างเล็กไว้ให้มาหาแล้วสวมกอดจากด้านหลังไว้แน่น

“ เมียพี่นี่ขี้งอนจัง ” เขาวางคางเกยไว้บนบ่าพร้อมกระซิบเบาข้างหู

“ เล็กไม่ได้งอนซะหน่อย ถ้าเล็กจะงอนนะคงงอนไปตั้งแต่เจอพี่ภาคแกล้งครั้งแรกแล้ว...คนใจร้ายแกล้งได้แกล้งดี ” พึมพำถ้อยความสุดท้ายออกมาเบาหวิว คนถูกตำหนิก็หูดีดันได้ยินเลยหลุดขำพลางเคลียแก้มของคนในอ้อมแขนด้วยแก้มของตัวเอง

“ โอ๋ อย่างอนพี่เลยนะคะ นี่ พี่จะบอกอะไรให้เล็กรู้ พวกผู้ชายนะเวลามันรักผู้หญิงคนไหนมันก็ชอบแกล้งแบบนี้แหละ มันผิดมากเหรอคะที่พี่รักเล็กก็เลยแกล้งเล็กนะ ” เอ่ยถามแล้วแก้มอุ่นฟอดใหญ่

คนตัวเล็กฟังคำรักของคนตัวใหญ่พาลให้หัวใจอุ่น เพราะตลอดมาเคยชินกับความสัมพันธ์อันเย็นชาและคลุมเครือพอถูกแสดงความรู้สึกอันแท้จริงมากมายหลายวิธีก็ชักทำอะไรไม่ถูกสุดท้ายก็ยอมใจอ่อนหายงอนไปอีกจนได้

“ แล้วใครบอกว่าเล็กงอนล่ะคะ...พี่ภาคตู่เอาเองคนเดียวเลย ”

“ อ้าว แล้วที่ว่าพี่เป็นจอมลามก หนีมาห่อตัวเป็นลูกบอลอยู่นี้ไม่ใช่เพราะงอนกันหรอกเหรอคะ...อย่างนี้มันก็แกล้งกันนี่นา แกล้งกันแบบนี้มันต้องถูกลงโทษนะคะ ” นัยน์ตาคมพราวระยับสบโอกาสจะหยอกได้ก็ไม่ปล่อยให้รอดชักนิ้วจั๊กกะจี้ ทีนี้เสียงหัวเราะสดใสเลยได้ฤกษ์แทนที่หน้าที่งอเป็นจวัก

หญิงสาวดิ้นกลิ้งพาตัวเองหนีจากมือของผู้เป็นสามีไปรอบเตียงยังคงหัวร่องอหายไม่หยุดจนเกือบจะร่วงตักเตียง ดีที่มือใหญ่คว้าไว้ทันทำให้มีเพียงผ้าห่มที่ร่วงสู่พื้น ร่างเปล่าเปลือยจึงกระจ่างตาในบัดดล...หล่อนรับยกแขนปิดเนินอกนวลขาวที่ปรากฏรอยรักอยู่ทุกซอกมุม หลบสายตาอันอบอุ่นที่แปรเป็นร้อนแรงของคนตรงหน้าอย่างกระดากอาย แม้จะผ่านคืนวันอันสุมสมล้ำลึกทางกายมาสามวันติดแต่ความที่ไม่เคยเปิดเผยเรือนร่างในเวลากลางวันทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอายอยู่

ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกได้ถึงลมหายใจอันติดขัดทุกครั้งที่ไล้สายตาไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งของผู้เป็นภรรยา ยามค่ำคืนมองผ่านแสงสลัวลางก็ว่างามหาที่ติดไม่ได้แล้ว หากเมื่อได้เห็นในยามเช้าความปรารถนาที่คาดว่าจะมอดดับลงกลับลุกโชนขึ้นมาอีก

ริมฝีปากบางขบเม้มไปตามเนินอกถึงยอดกุหลาบเรียกเสียงครางจากผู้ถูกสัมผัสจับต้องได้เป็นอย่างดี ทว่าทุกสิ่งกลับสะดุดหยุดลงกลางคันเมื่อมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาเสียก่อน

ถึงจะเสียดายแต่ภาควัฒน์ก็ตัดใจยันกายขึ้นมาจากคนตัวเล็กผละไปกดรับสายจึงรู้ว่ามีงานทิ้งทวนรอให้ทำอยู่ พูดคุยกันอีกเล็กน้อยก็วางสาย พอหันกลับมาอีกรอบก็เห็นภรรยาสวมชุดนอนที่เขาซื้อมาให้เรียบร้อยแถมยังเอาผ้าห่มมาคลุมทับเป็นปราการอีกชั้น

“ ใครโทรหาเหรอคะ...ใช่ที่ทำงานหรือเปล่าคะ ”

คำถามที่ยิงใส่มาสร้างความลำบากในการตอบเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่ตั้งใจจะไม่มีความลับต่อกันอีกแต่ก็ตัดสินใจจะเก็บเรื่องอดีตของตัวเองไว้ก่อน

“ ค่ะ ”

“ นั้นไง เล็กบอกแล้วว่าไม่ให้หยุดงานหลายวัน คนที่ทำงานเลยโทรมาตามเลยเห็นไหม ”

“ ก็พี่อยากอยู่กับเล็กนี่คะ...หรือว่าเล็กไม่อยากอยู่กับพี่ ”

“ เปล่านะคะ...เล็กแค่ไม่อยากให้พี่ภาคเสียงานเพราะเล็ก...ตัวเล็กก็ไม่ได้เจ็บอะไรแล้ว แรงเดินก็มี เพราะฉะนั้นพี่ภาคห้ามอ้างนู้นอ้างนี่ แน่ะห้ามทำตาละห้อยด้วย เล็กไม่ใจอ่อนให้พี่ภาคหยุดงานต่อแล้ว ” หล่อนว่าทำสีหน้าจริงจังขึงขังแต่ดูแล้วน่ารักเสียจนคนตัวใหญ่อดใจไปหยิกแก้มทั้งสองของคนตัวเล็กบิดไปมาเบาๆด้วยความหมั้นเขี้ยวไม่ได้

“ ตัวเล็กแค่นี้แต่ดุยังกะยักษ์ ” เขาว่าอย่างไม่จริงจังด้วยรอยยิ้มกว้าง ดึงแขนให้ภรรยาสาวกลับมานั่งพิงตัวเอง “ พี่ตั้งใจจะเข้าออฟฟิศวันนี้อยู่เหมือนกันแหละคะ แต่พี่กลัวเล็กตื่นมาไม่เห็นพี่จะคว้างเลยรอให้ตื่นก่อนแล้วค่อยไป ”

“ งั้นพอเล็กทำอาหารเช้าให้พี่ภาคเสร็จ เล็กขอติดรถไปด้วยได้ไหมคะ ”

“ เล็กจะไปไหนคะ ”

“ เล็กไม่ได้ไปดูแม่ใหญ่ที่โรงพยาบาลหลายวันแล้วก็เลยตั้งใจว่า วันนี้จะไปดูนะคะ ”

สีหน้าอันละมุนละไมของภาควัฒน์กลับกระด้างแข็งขึ้นทันทีที่ได้ยินคำของคนในอ้อมแขน เมื่อขบคิดสิ่งที่ผู้หญิงที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของแม่และป้าของภรรยากระทำต่อทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ไม่อาจข่มความโกรธแค้นลงได้

“ พี่ไม่ให้ไป ” สั่งเสียงเข้มพอคนตัวเล็กกว่าถูกห้ามความต้องการก็ทอดถอนหายใจอุ่นออกมา ไม่แปลกใจที่เขาจะรู้เพราะคิดเอาเองว่ารสาคงเป็นคนเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังตั้งแต่วันที่เขาไปหาถึงร้าน

“ พี่ไม่เข้าใจว่าทำไมเล็กถึงต้องไปดูแลป้ามลอีก...เขาทำกับเล็ก กับแม่ของเล็ก กับแม่พี่ขนาดนั้น เล็กก็รู้แล้วทำไมถึงไปทำดีกับเขาอีก ไม่ว่ายังไงพี่ก็ไม่ยอมให้เล็กไปหาเขาอีกเด็ดขาด ตอนนี้เล็กเป็นภรรยาพี่ เป็นวิสุทธิ์สุนทรไม่ใช่อังคพิมาน เพราะฉะนั้นพี่ขอให้เล็กตัดขาดกับทางนั้นซะ ”

“ การที่เล็กไปดูแลแม่ใหญ่ไม่ใช่เพราะเป็นคนดีหรือให้อภัยเขาหรอกนะคะ แต่ที่เล็กทำแบบนั้นก็เพราะอยากฝึกตัวเองให้เข้มแข็ง อยากรู้ว่าเวลาที่คนเราเกลียดกันแล้วยังทำดีต่อหน้าได้มันให้ความรู้สึกเจ็บปวดยังไงก็เท่านั้นเอง ” หล่อนหยุดเว้นจังหวะครู่หนึ่งแล้วจึงต่อ “ ตอนนั้นเล็กคิดว่าตัวเองไม่มีใครอีกแล้ว วิธีนี้มันเป็นการฝึกจิตให้เข้มแข็งขึ้น และเล็กตั้งใจว่าจะอยู่ดูแลแม่ใหญ่จนกว่าจะออกจากโรงพยาบาล แล้วหลังจากนั้นเล็กจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก ”

“ ตอนนี้เล็กไม่มีตัวคนเดียวอีกแล้ว เล็กยังมีพี่ มีคนที่นี่อยู่...เล็กก็ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับบ้านนั้นอีก ”

“ เล็กรู้ค่ะและดีใจมากด้วยที่เล็กมีพี่ภาคอยู่ แต่ว่าเล็กจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง อยากทำตามที่ตัวเองตัดสินใจ เพราะฉะนั้นเล็กขอได้ไหมคะ ขอเวลาให้เล็กทำตามที่ตั้งใจแล้วหลังจากนั้นทั้งตัวทั้งหัวใจเล็กจะให้กับวิสุทธิ์สุนทร ”

เจตนารมณ์อันเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวมิใช่ภาพที่จะได้เห็นจากหญิงสาวมากนักจึงทำให้ฝ่ายที่ยืนกรานไม่ให้ยุ่งกับตระกูลข้างบ้านอีกต้องยอมจำนนปล่อยให้ภรรยาทำตามความประสงค์ของตนเองตั้งแต่แรก

“ ก็ได้ค่ะ ครั้งนี้พี่ยอมให้เล็กทำตามใจตัวเองได้ แต่ครั้งหน้าเล็กต้องสัญญานะคะว่าจะไม่ยุ่งกับป้ามลอีก ”

“ ค่ะ...เล็กสัญญา ” บอกพลางวางศีรษะลงบนอกของคนตัวใหญ่รู้สึกอุ่นใจที่มีเขาคอยเป็นหลักให้พักพิง “ งั้นเล็กเข้าไปอาบน้ำก่อน เสร็จแล้วเล็กจะได้ลงไปทำข้าวเช้าให้ทาน ส่วนพี่ภาคก็แต่งตัวไปทำงานนะคะ ”

“ จ๊ะ ” เขาตอบรับยอมปลดแขนปล่อยร่างบางให้ลุกจากเตียงไปอาบน้ำอาบท่า กลับมาอ่านทวนข้อมูลที่ได้รับมาอีกครั้งรอให้หญิงสาวออกจากห้องน้ำจนแต่งตัวเสร็จเดินออกจากห้องไปจึงค่อยขยับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง

ศศิวิมลเลือกสวมชุดโปรงสีขาวประดับชายด้วยลูกไม้ถักเปียเก็บผมยาวทั้งหมดไว้ด้านหลังดูเรียบร้อยเดินลงบันไดเข้าไปในห้องครัวเห็นยายช้อยสั่งคนใช้อายุน้อยกว่าให้หุงข้าวเลี้ยงคนในคฤหาสน์เลยเข้าไปกอดเอวไว้แน่น...คนถูกกอดไม่ทันตั้งตัวก็ตกใจร้องลั่นแต่พอรู้ว่าเป็นใครก็ยิ้มกว้างดีใจ

“ หุงข้าวกันอยู่เหรอคะ ”

“ ค่ะ...ได้ยินคุณภาคบอกว่าคุณเล็กไม่สบาย นี่หายแล้วเหรอคะถึงลงมาได้ ”

หญิงสาวกระพริบตาที่ได้ยินหญิงสูงวัยพูดเช่นนั้นก็รับลูกบอกไปว่าดีขึ้นแล้วก่อนจะปล่อยแขนผละไปเปิดตู้เย็นตรวจของสดว่ามีอะไรบ้างก็หยิบเอาไส้กรอก แฮมกับไข่ดาวออกมาวางบนโต๊ะให้คลายเย็นตั้งใจจะทำมื้อเช้าแบบง่ายที่สุดให้ทานเพราะกลัวทำอย่างอื่นแล้วจะไม่ทัน

ระหว่างที่หยิบขนมปังใส่เครื่องปิ้งแล้วหันมาทอดของสดที่นำออกมาคอเสื้อเลยขยับขึ้นลงเผยให้เห็นรอยแดงเป็นจ้ำทั่วลำคอ ยายช้อยที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดเห็นเข้าก็ถึงบางอ้อยิ้มแป้นเพราะเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณหนูถึงบอกว่าหญิงสาวเพลียมากเลยให้นอนอยู่แต่ในห้อง

“ อีกหน่อยคุณเล็กคงมีคุณหนูน้อยๆมาให้ยายเลี้ยง ” นางพูดลอยๆขณะช่วยแกะพลาสติกออกจากไส้กรอก...คนกำลังทอดแฮมอยู่รีบหันไปมองเห็นคนพูดอมยิ้มมีความสุขเหมือนกับรู้ว่าหล่อนผ่านช่วงเวลาอย่างใดมาตลอดสามวันก็หน้าแดงตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารเช้าแก้เขิน

ภาควัฒน์ตามกลิ่นหอมของอาหารเข้ามาในครัวเห็นศศิวิมลวางอาหารเช้าสองจานลงบนโต๊ะอยู่ก็เดินเข้าไปทักทายแม่นมของตัวเองก่อนจะหันไปหอมแก้มภรรยาพลางส่งเนกไทสีกรมท่าให้ถือไว้โดยไม่สนใจสาวใช้ที่มองมาแทบเป็นตาเดียวกัน

“ เล็กผูกเนกไทให้พี่หน่อยได้ไหมคะ ”

“ เล็กผูกเนกไทไม่เป็นหรอกคะ ”

“ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่สอนให้ ดูนี่นะคะ ” พูดพร้อมกับหยิบเนกไทจากมือนุ่มมาสอนผูกให้ดูเป็นตัวอย่างช้าๆจนเสร็จก็แก้ออกมาส่งกลับไปที่มือของคนตรงหน้าใหม่

“ อ้าว ผูกเสร็จแล้วแก้ออกมาทำไมอีกล่ะคะ ” คิ้วเรียวเลิกสูงอย่างไม่เข้าใจ

“ ก็พี่อยากให้เล็กเป็นคนผูกให้นี่คะ ” ส่งสายตาอ้อนอย่างที่สุด...คนตัวเล็กเห็นเข้าก็ยิ้มหยิบเนกไทมาผูกตามที่ถูกสอนให้เลยถูกหอมแก้มเป็นการขอบคุณอีกครั้งก่อนจะลากเก้าอี้ที่สอดใต้โต๊ะออกแล้วผายมือเชื้อเชิญให้มานั่งถึงค่อยกลับไปหยิบจานอาหารที่อยู่หัวโต๊ะย้ายมาวางเคียงกับจานอีกใบ

สองหนุ่มสาวทานอาหารร่วมกันไปคุยกันไป บางคราก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากคนทั้งคู่สร้างบรรยากาศแห่งความสุขให้กลับสู่บ้านวิสุทธิ์สุนทรอีกครา ทว่าคราวนี้ในสายตาของเหล่าคนใช้แม้นจะเคยเห็นการแสดงความรักระหว่างกันของผู้เป็นนายบ่อยครั้งแต่ครั้งนี้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นนุ่มนวลมากกว่า

“ เดี๋ยวกินเสร็จ พี่ขับรถไปส่งที่โรงพยาบาลนะคะ ”

“ แต่มันเป็นคนละทางกับที่ทำงานไม่ใช่เหรอคะ ถ้าพี่ภาคไปส่งเล็กก็ยิ่งไปทำงานสายสิคะ ”

“ ยังไงวันนี้พี่ก็สายอยู่แล้วจะสายอีกหน่อยเพราะไปส่งเล็กที่โรงพยาบาลจะเป็นไรไปคะ ” พอเห็นอีกฝ่ายตั้งท่าจะค้านอีกเลยยกนิ้วชี้วางลงบนริมฝีปาก “ อ๊ะ อ๊ะ อย่ามาเถียงพี่นะ พี่บอกจะไปส่งก็ไปส่ง อย่าดื้อเชียว ”

“ เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ” สุดท้ายก็ยอมทำตามเสียงอ่อย

คนตัวใหญ่ยิ้มกว้างให้รอจนอาหารในจานของอีกคนเกลี้ยงถึงลุกจากเก้าอี้จูงมือคนตัวเล็กมาไหว้ยายช้อยเสร็จก็พาไปที่รถต่อ เปิดประตูให้คนตัวเล็กเข้าไปนั่งแล้วจึงค่อยอ้อมมาประจำตำแหน่งคนขับขับรถพาไปส่งที่โรงพยาบาลที่มลธิกาพักรักษาตัวอยู่

“ เดี๋ยวตอนเย็นพี่มารับนะคะ...อย่าหนีกลับบ้านมาเองนะคะรู้ไหม ” ทันที่รถแล่นเข้ามาจอดตรงลานหน้าโรงพยาบาลก็บอกหญิงสาวทันที

“ ค่ะ...เล็กรู้แล้วค่ะ ”

“ อ้อ แล้วก็... ” พูดค้างไว้เท่านั้นก็ล้วงกระเป๋าเสื้อเชิ้ตหยิบเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งติดมือมาส่งให้ “ เล็กพกโทรศัพท์มือถือติดตัวไว้นะคะ เวลามีอะไรจะคุยกับพี่หรือเวลาพี่คิดถึงเล็กพี่จะได้โทรมาหาได้ นี่พี่ใส่ซิมกับเมมเบอร์อะไรให้แล้ว เล็กคงจะใช้เป็นใช่ไหมคะ ”

หญิงสาวพยักหน้ารับโทรศัพท์มือถือมาดูจึงรู้ว่าเป็นเครื่องใหม่ที่ยังไม่ผ่านการใช้งานใส่ลงในกระเป๋าสะพาย บอกลาสั้นๆแล้วเปิดประตูรถออกไปแต่ไม่ทันได้ออกไปไหนก็ถูกเรียกเอาไว้อีก

“ เล็กลืมอะไรหรือเปล่าคะ ”

“ ลืม...ลืมอะไรเหรอคะ ” พอถูกถามกลับคนตั้งคำถามก็ชี้นิ้วจิ้มมาที่ข้างแก้มของตัวเองส่งสัญญาณเป็นเชิงให้ทำอะไรสักอย่าง หล่อนเลยชะโงกกลับไปหอมแก้มเขาเข้าครั้งหนึ่ง

“ เดินดีๆนะคะ อย่าไปสะดุดอะไรเข้าล่ะ ” เตือนด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวเปิดประตูลงจากรถแล้วยืนโบกมือส่งจนรถลับสายตาจึงค่อยเดินหายเข้าโรงพยาบาลไป
*******************************

เสียงเคาะโต๊ะเป็นจังหวะรัวเร็วดังมาจากปลายนิ้วเรียวของผู้บริหารหนุ่มที่ใช้แสดงความรู้สึกที่นั่งคอยคณะกรรมการผู้ถือหุ้นเข้าร่วมการประชุมอยู่ในห้องประชุมใหญ่ของอังคพิมานโฮเต็ลเพียงลำพังมากกว่าชั่วโมงแล้ว หากก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีใครปรากฏตัวขึ้นมาเสียทีจนในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหวต้องออกไปหาเลขานุการส่วนตัวที่กำลังโทรศัพท์ไปแจ้งเตือนกับทางผู้ถือหุ้นอีกครั้ง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยส่งจดหมายรวมทั้งโทรศัพท์ไปแจ้งถึงนัดหมายการประชุมครั้งนี้และได้รับการตอบรับเข้าร่วมแล้วก็ตาม

“ คุณณีแน่ใจหรือเปล่าครับว่าแจ้งกับผู้ถือหุ้นไม่ผิดวัน ” ผู้เป็นนายเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ ไม่ผิดแน่ค่ะคุณศิระ ดิฉันตรวจสอบความถูกต้องทุกอย่างเรียบร้อย ทางนั้นก็ตอบรับว่าจะมาร่วมประชุม แต่ไม่รู้ทำไมไม่มา นี่ดิฉันก็พยายามโทรแจ้งผู้ถือหุ้นทั้งหมดอยู่นะค่ะ ยังไงคุณศิระเข้าไปรอในห้องประชุมก่อนเถอะคะ ถ้ามีอะไรคืบหน้าดิฉันจะรีบแจ้งให้ทราบค่ะ ” เมื่อทราบสถานการณ์ทั้งหมด คนฟังก็ได้แต่ถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกลับเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งในประชุมอีกรอบ

เลขานุการสาวเพียรโทรศัพท์หาผู้ถือหุ้นรวมทั้งบริษัทที่เป็นตัวแทนจัดการทรัพย์สินในประเทศไทยให้กับนักลงทุนต่างชาติอยู่รายสิบนาทีแปลกที่ไม่มีเบอร์ใดเลยที่สามารถติดต่อได้ เจ้าหล่อนเลยตัดสินใจวางสายจะเข้าไปรายงานกับเจ้านายให้ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็พอดีกับที่เหลือบเห็นชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่สวมสูทเนื้อดีเดินอยู่ตรงทางเดินอยู่ไกลๆ เลยยืนรออยู่ก่อนแต่เพียงเห็นใบหน้าของเขาในระยะประชิดก็ตกใจเพราะจำได้ว่าพ่อรูปหล่อคนนี้แหละที่เล่นเอาตัวเองกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยกระเจิดกระเจิง

เมื่อตอนเขาสอดมือเข้าใต้สูทหล่อนก็เกือบจะหวีดร้องออกมาเพราะกลัวเขาจะชักปืนออกมาแต่กลับกลายเป็นว่ามีนามบัตรยื่นออกมาแทน ชื่อที่ปรากฏบนนามบัตรนั้นทำให้ทราบว่ามีผู้ถือหุ้นรายแรกเดินทางมาเข้าประชุมแล้ว ทั้งที่ใจแสนกลัวแต่ก็เก็บอาการทำหน้าของตัวเองด้วยการพาเข้าไปส่งถึงในห้องประชุม

ทันที่ภาควัฒน์เดินตามหลังเลขานุการของตนเข้ามาในห้องประชุมศิระขยับหลังที่เอนพิงพนักกลับมาเหยียดตรง นัยน์ตาคมสีน้ำตาลเข้มประหลาดใจที่เห็นอีกฝ่ายเข้ามา แต่พอคิดได้ว่าตามพินัยกรรมภาคพันธ์ได้เขียนยกทุกอย่างให้ลูกชายจึงคลายความสงสัยลงไป

“ รับชาหรือกาแฟดีค่ะ ” หญิงสาวสอบถามแม้ริมฝีปากจะยิ้มแต่ในใจยังเกรง ชายหนุ่มโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธแล้วบอกให้ไปรอต้อนรับผู้ถือหุ้นคนอื่นข้างนอก รอจนเจ้าหล่อนเดินออกไปก็หันมาถามกับผู้ร่วมห้องพร้อมเอ่ยปาก “ คงจะรอนานแล้วสิ ”

น้ำเสียงเรียบเฉยนั้นเหมือนไร้อารมณ์ หากแววตาที่วาวโรจน์เป็นระยะพอให้ตัวแทนประธานกรรมการบริหารนิ่วหน้า เพราะทราบแล้วว่าคงเจ็บแค้นอยู่ถึงจงใจมาสายเพื่อให้การประชุมล่าช้า แม้จะรู้ก็ไม่ได้คิดโกรธอะไรเพราะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไปคนที่ไม่เข้าใจย่อมเจ็บแค้นกันเป็นธรรมดา แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะนำเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานมารวมกัน

“ ฉันเข้าใจว่านายโกรธฉันอยู่ แต่คราวหน้านายควรจะแยกเรื่องส่วนตัวกับงานออกจากกันนะ ” เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี ทว่าอดีตศัตรูที่ตอนนี้สำหรับเขาคือคนรู้จักกลับหัวเราะในลำคอ

“ อย่าเอาตัวเองเป็นมาตรฐานของคนอื่นสิ ถ้าฉันตั้งใจมาประชุมสายแล้วผู้ถือหุ้นคนอื่นทำไมจนป่านนี้ยังไม่มาประชุมอีกล่ะ ”

คนถูกถามเม้มริมฝีปากให้กับคำพูดนั้น เพราะ ในส่วนของผู้ถือหุ้นคนอื่นเขายอมรับว่ายังหาเหตุผลมาตอบไม่ได้

“ นายตอบไม่ได้ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นฉันจะตอบให้ว่าทำไมผู้ถือหุ้นคนอื่นถึงยังไม่มา ” ว่าพลางเหยียดมุมปาก “ นายคงไม่รู้หรอกใช่ไหมว่า ตอนนี้อังคพิมานโฮเต็ลมีผู้ถือหุ้นอยู่กี่ราย ”

“ ทำไมจะไม่รู้ รายชื่อก็เห็นๆกันอยู่ทุกวัน ”

“ แล้วไม่คิดบ้างเหรอว่า รายชื่อที่เห็นอยู่ทุกวันมันไม่ได้เปลี่ยนไป ” หลังจบคำนัยน์ตาก็เปล่งประกายพราวราวกับมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลเคลือบแฝงอยู่

“ นายพูดเรื่องอะไรอยู่ ”

สิ้นคำนั้นคนตัวใหญ่กว่าก็โยนซองเอกสารสีน้ำเงินที่มีตราประทับตัวอักษรย่อภาษาอังกฤษสีทองด้วยตัวซีกับดับบลิวไปตรงหน้า ชายหนุ่มอีกคนรับซองมาเปิดดูเอกสารภายในจึงเห็นสำเนาแสดงสำเนากรรมสิทธิ์หุ้นอังคพิมานโฮเต็ลสองฉบับโดยสี่สิบเก้าเปอร์เซ็นต์เป็นของบริษัทจัดการสินทรัพย์ครอมเวล อีกสามเปอร์เซ็นต์มีเจ้าของคือคอยด์ ครอมเวล

ชายหนุ่มกระพริบตาให้กับเรื่องร้ายที่ประดังเข้ามาอีกหนรู้สึกมึนเหมือนปลาที่ถูกทุบหัว หุ้นอังคพิมานโฮเต็ลถูกกว้านซื้อไปมากกว่าครึ่งโดยเขาไม่เคยระแคะระคายมาก่อนก็ว่าแย่แล้ว แต่ที่หนักกว่านั้นคือการที่ทายาทตระกูลวิสุทธิ์สุนทรลืมสิ้นมิตรภาพระหว่างสองตระกูลจนยอมขายหุ้นแปดเปอร์เซ็นต์ที่มีค่าหากมาอยู่ร่วมกับฝ่ายเขาให้กับกลุ่มนายทุนต่างชาติ

...หรือนี่จะเป็นการแก้แค้นในสิ่งที่เขาได้กระทำกับน้องลงไป...แต่หากนี่คือการแก้แค้นแล้วเหตุใดสำเนาเอกสารของนักลงทุนที่กว้านซื้อหุ้นถึงมาอยู่ในมือได้

“ ฉันมาที่นี่วันนี้เพื่อจะบอกนายว่า ทางครอมเวลรู้เรื่องที่นายซื้อหุ้นจากป้ามลแล้ว และตอนนี้ทางนั้นก็ต้องการซื้อหุ้นทั้งหมดที่นายถืออยู่ตามราคาที่นายต้องการ ”

ขณะที่ยังนิ่งอึ้งอยู่กับข้อมูลใหม่ที่ได้รับอีกฝ่ายก็ขยับกายลุกจากเก้าอี้ย่างเท้าเข้าใกล้ผู้บริหารหนุ่มก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้เสื้อสูทหยิบเอานามบัตรพลาสติกแข็งสีทองวางลงบนโต๊ะตรงหน้า

“ ส่วนนี้เป็นนามบัตรของบริษัทจัดการสินทรัพย์ของครอมเวล ถ้าพร้อมขายเมื่อไหร่ติดต่อได้ทันที ” ทันทีที่พูดจบ ฝ่ายที่นั่งนิ่งงันก็เอื้อมมือหยิบนามบัตรนั้นขึ้นมาพินิจพิเคราะห์เรียกสติที่หายวาบไปให้คืนกลับ…ภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นชายหนุ่มตรงหน้าสนทนากับชายสูงวัยที่มีใบหน้าละม้ายกับตัวเองก็ย้อนมาให้จดจำ

“ วันนั้นที่ฉันเห็นนายที่นี่ นายคงมาเจรจาซื้อขายหุ้นกันสินะ ผู้ชายคนนั้นคือนายทุนที่มากว้านซื้อหุ้นใช่ไหม นายคงตั้งใจให้ธุรกิจของอังคพิมานตกเป็นของคนนอกถึงได้ขายหุ้นแปดเปอร์เซ็นต์นั้นไปเพื่อให้ฉันมีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงน้อยลงเป็นการแก้แค้นในสิ่งที่ฉันทำกับน้องลงไปสินะ ”

“ นายจะคิดว่าแก้แค้นหรืออะไรก็ตามแต่ใจ เพราะฉันมีหน้าที่แจ้งข่าวไม่ใช่มีหน้าที่มาสนใจสิ่งที่คนอื่นคิด ”

“ แจ้งข่าว...นี่อย่าบอกนะว่านอกจากจะขายหุ้นให้พวกนั้นแล้ว นายยังเป็นลิ่วล้อของพวกนั้นด้วย คนหยิ่งจองหองอย่างนายยอมก้มหัวให้นายทุนต่างชาติกว้านซื้อธุรกิจของตระกูลที่สนิทกันได้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายจะกลายเป็นคนไม่มีศักดิ์ศรีทำตัวเป็นหมาลอบกัดชาวบ้านเพราะความแค้นแบบนี้ไปได้ ” พูดพลางเข่นเขี้ยว แม้นว่าจะเคยมีความคิดละทิ้งธุรกิจของครอบครัวไปเพราะความอัปยศที่ผู้ให้กำเนิดทิ้งไว้ หากเมื่อฟังคำของน้องและรสาแล้วก็เก็บเอามาคิดเป็นแรงฮึดให้อยากพาธุรกิจนี้ไปต่อด้วยตัวเอง แต่ใครจะนึกล่ะว่าศัตรูคู่อาฆาตตลอดกาลจะทำแว้งกัดกันแบบนี้

ศิระลุกจากเก้าอี้สรรหาสารพัดคำมาใช้เหยียดหยามชายหนุ่มตรงหน้าไม่หยุดหย่อน ความรู้สึกหวงแหนในทรัพย์สมบัติของบรรพบุรุษที่อุตส่าห์สั่งสมมาทำให้คล้ายเลือดขึ้นหน้า ยิ่งอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองสองมือก็กระชากคอเสื้อมาเขย่าอย่างแรงพลางถามถึงสายสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล

“ ทำไมมึงต้องเล่นถึงธุรกิจ ถ้ามึงไม่พอใจกูมึงก็ควรมาเล่นกูนี้ ไม่ใช่ทำแบบนี้ มึงทำเหมือนกับมึงลืมไปแล้วว่าเราสองตระกูลสนิทกัน น้องกูก็เป็นเจ้าของที่นี่ครึ่งหนึ่ง มึงทำแบบนี้ก็เท่ากับทำลายสมบัติของน้องกูด้วย ”

ภาควัฒน์ทนฟังทุกคำของศิระด้วยสีหน้าสงบนิ่งคล้ายคนไม่รู้สึกอันใด ทว่าประกายวาวโรจน์ในดวงตาคมนั้นประกาศให้รู้ว่าความเดือดดาลกำลังจะปะทุ...ถึงปากจะไม่ได้พูดว่าตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่องแต่การกล่าวประท้วงในความอยุติธรรมป่าวๆก็เหมือนจะบอกเป็นนัยให้รู้ว่าลืมสิ้นความเลวที่กระทำไว้กับผู้เป็นน้อง สำนึกรับผิดชอบที่เลือนหายทำให้สุดท้ายหมัดแข็งก็ชกเข้าข้างแก้มเต็มแรงจนหน้าสะบัด เซถลามือหลุดจากคอเสื้อแล้วกลายเป็นฝ่ายถูกกระชากแทน

“ ถ้าคนอย่างกูจะแก้แค้น ไม่ใช่แค่ธุรกิจของอังคพิมานหรอกที่จะหมด ทั้งตระกูลรวมทั้งมึงต้องจบด้วย และถ้ากูทำแบบนั้นมึงก็ไม่สิทธิ์มาโอดครวญ มึงลืมเรื่องเลวๆที่มึงทำกับน้องสาวของมึงแล้วใช่ไหม ถ้ายังไม่ลืมก็หุบปากแล้วเลิกพูดเหมือนตัวเองไม่มีความผิดหน่อยเลย เพราะถ้ามึงไม่หยุดกูจะทำให้มึงสำนึกได้เองว่ามึงสมควรไหมที่จะเสียอำนาจไป ”

พอถูกเตือนสติก็เพิ่งระลึกสำนึกได้ว่า หากตัวเองกับสตรีผู้ให้กำเนิดตัวเขาจะถูกแก้แค้นก็ไม่ผิดอะไร เพราะมันสมควรเป็นไปเช่นนั้นจริงจึงเม้มริมฝีปากยอมจำนนไม่โต้เถียงอีก คนตัวใหญ่กว่าเห็นดังนั้นจึงปล่อยมือจากปรกเสื้อถอยหลังห่างไประยะหนึ่งจึงตวาดคืน

“ มึงไม่รู้หรอกว่ามึงทำอะไรกับชีวิตกูไว้บ้าง กูยอมรับเลยว่าครั้งหนึ่งเคยเกลียดมึงมาก แต่ตอนนี้เรื่องมึงไม่สำคัญอะไรกับกูอีกแล้ว และการขายหุ้นของกูรวมทั้งการมาแจ้งข่าวให้มึงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการแก้แค้น แต่กูแต่พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้จบเพื่อปกป้องคนสำคัญของกู ฉะนั้นคนที่ไม่เคยรู้อะไรเลยอย่างมึง ถ้าอยากรักษาที่นี่ไว้แทนที่จะเห่าไม่หยุดช่วยกรุณาหุบปากแล้วเอาเวลาไปเจรจากับทางนั้นซะ เข้าใจไหม ” ระบายความในใจยาวเหยียดจ้องหน้าไว้ราวกับจะสูบเลือดสูบเนื้อแล้วกระชากประตูออกจากห้องประชุมไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย

เสียงกระแทกประตูปิดอย่างแรงทำให้ร่างสูงซวนเซล้มลงไปนั่งบนเก้าอี้พาลคิดถึงเรื่องราวทั้งหลายก็เหมือนทำนบที่สร้างมากักกั้นความทุกข์ทนในใจให้บรรเทาลงไปกลับถูกคลื่นระลอกใหม่ซัดให้ทุกอย่างทลายพังพาบลงอีกครา ทว่าในเวลาที่จวนเจียนจะยอมแพ้ต่อพลังอำนาจนั้นก็เหมือนได้ยินคำของรสาดังก้องอยู่ในหู

...เพราะชีวิตต้องเดินต่อไปข้างหน้า จะมั่วนั่งจมจ่อมกับความทุกข์โดยไม่คิดแก้ปัญหาคงไม่ได้...

ศิระนั่งพิงพนักกุมขมับอยู่กับตัวเองในประชุมกว่าหนึ่งชั่วโมงเฝ้าคิดทบทวนทุกสิ่งที่ประดังประเดเข้ามาอีกครา ความเคลือบแคลงสงสัยในคำพูดที่บอกว่าการขายหุ้นคือการปกป้องคนสำคัญยังคงอยู่แต่การหาคำตอบเรื่องนี้ยังไม่สำคัญเท่ากับการแก้ปัญหาที่จวนตัวอยู่ในตอนนี้....พอคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มก็ลุกจากเก้าอี้ฉวยนามบัตรมากวาดสายตาดู จำได้ว่าชายสูงวัยคนนั้นเดินออกจากลิฟต์ที่ชั้นยี่สิบเก้า

ชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้เดินปิดไฟในห้องประชุมเดินออกไปหาเลขานุการส่วนตัวที่นั่งหน้าเครียดจนปัญญาจะตามตัวผู้ถือหุ้นมาเข้าประชุม

“ ผมเลิกการประชุมแล้ว ตอนนี้ผมอยากให้คุณสิณีนำรายชื่อแขกที่เข้าพักที่ชั้นยี่สิบเก้าทั้งหมดให้ผมที ผมให้เวลาคุณห้านาทีเอาเอกสารพวกนั้นมาให้ผมที่ห้องทำงาน เข้าใจไหมครับ ” สั่งงานเสร็จก็วิ่งกลับไปที่ห้องทำงานค้นข้อมูลทุกอย่างของครอมเวลทันที

สีหน้าแววตาอันมุ่งมั่นที่จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานขณะนั้นบอกให้รู้ได้เลยว่า เขาจะไม่มีวันยอมเสียธุรกิจของบรรพบุรุษตัวเองไปโดยเด็ดขาด ถึงจะเป็นวิบากกรรมหรือผลพ่วงจากการกระทำของใครก็ช่าง ต่อให้ต้องทำทุกวิถีทางที่ว่ายากเข็ญขอเพียงรักษาที่นี่ไว้ได้เขาก็พร้อมจะสู้ยิบตา...
********************************************

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่เจืออยู่ในอากาศจากเครื่องปรับอากาศอันเย็นเยือกทำให้หญิงวัยกลางคนสวมชุดผู้ป่วยสีฟ้าที่นั่งผินหน้าทอดสายตาออกไปยังด้านนอกของบานหน้าต่างครุ่นคิดถึงอดีตหนหลังอันผิดพลาดของตัวเองหนาวสะท้านลึกถึงขั้วหัวใจ

มลธิกาจมจ่อมอยู่กับความทรงจำ หลายคราที่ระลึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขใบหน้าเซียวผอมจะระบายด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ หากคราใดก็ตามที่ความทุกข์ผ่านเข้ามาให้คิดถึงดวงตาจะฉายแววเศร้าสร้อย คิ้วกับริมฝีปากจะตกสุดท้ายก็นั่งกอดเข่าร้องไห้ หรือบางทีก็นั่งมองออกไปข้างนอกโดยไม่สนใจคนรอบข้าง...สภาพจิตใจอันบอบช้ำทำให้เหมือนคนไม่สมประดี

นางพยาบาลเข็นรถอุปกรณ์เข้ามาในห้องตรวจวัดร่างกายโดยร่วมก่อนจะเจาะเลือดและให้น้ำเกลือดังทุกวัน พยายามชวนคุยให้คนไข้คลายอาการซึมเศร้าลงบ้างพลางถามถึงหลานสาวกับคนที่คอยเฝ้ากลับไม่ได้รับคำตอบใดก็ถอนใจ พูดคุยอะไรเสียงสองสามครั้งก็ไม่มีการตอบรับเลยได้แต่จดค่าทั้งหลายที่วัดมาลงในชาร์ตแล้วจึงหันมายิ้มให้กับคนที่เดินตามหลังเข้ามายืนกอดอกห่างจากเตียงไม่กี่ก้าว

ชายสูงวัยชาวตะวันตกผู้นั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทกับกางเกงสแล็กเนื้อดีสีดำ แม้นว่าเรือนผมจะเป็นสีดอกเลาไปหมดแล้วแต่ท่าทางการเคลื่อนไหวที่ยังคล่องแคล่วทะมัดทะแมงแข็งแรงรวมทั้งดวงหน้าที่ยังเหลือเค้าโครงความหล่อเหลาอยู่ทำให้ดูอ่อนวัยกว่าอายุจริงมากนักยิ้มตอบ เฝ้ารอให้พยาบาลจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็กล่าวขอบคุณ และเมื่อในห้องเหลือกันอยู่เพียงสองคน เขาจึงขยับเดินอ้อมเตียงไปยืนอยู่ตรงบานหน้าต่าง แต่อาจเพราะด้วยสติของคนป่วยลอยล่องไปไกลเกินจะกู่ทำให้ไม่ทันรู้สึกว่าแสงสว่างเจิดจ้าที่ส่องมาหาหายไปอย่างไรจึงไม่ได้สนใจกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อภาษาอังกฤษของตัวเองว่า มูน ขึ้นมาจึงรู้สึกตัวได้ในที่สุด

ครั้งแรกที่เห็นใบหน้าของผู้มาเยี่ยมก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อน ลองพินิจพิเคราะห์มากขึ้นอาการตระหนกก็บังเกิดขึ้นถึงขั้นยกมือทาบอกสุดท้ายเมื่อเขม่นมองจนแน่ใจว่าผู้มาเยี่ยมคือคนที่ตรึงแน่นในความทรงจำมาตลอดหลายสิบปีก็ปากคอสั่น มือไม้อ่อนทำอะไรไม่ถูก

“ จำผมได้หรือเปล่า ” น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจทว่าเยือกเย็นเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษพร้อมรอยเหยียดยิ้มตรงมุมปาก

คนป่วยหอบหายใจหนักเหมือนปอดถูกทับจนอากาศไม่อาจเข้าไปในระบบการหายใจได้สะดวก ความตื่นตกใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ประสบพบเจอกันอีกทำให้คิดอะไรไม่ออก ทว่าความรู้สึกเจ็บปวดทั้งรักทั้งเกลียดในคราวเดียวกันก็ทำให้ริมฝีปากกระแทกคำถามใส่

“ คุณ...คุณมาที่นี่ทำไม คุณต้องการอะไร ” สุ้มเสียงสั่นเช่นเดียวกับไหล่ที่ไหวสะท้าน

“ พอดีผมมาเที่ยวเมืองไทย ได้ยินว่าคุณเส้นเลือดในสมองแตก ในฐานะที่เราสองคนเคยรู้จักกันผมก็เลยมาเยี่ยม ”

“ ไม่ต้อง ฉันไม่ต้องการให้คุณมาเยี่ยม ออกไปได้แล้ว ถ้าไม่ออกฉันจะบอกให้พยาบาลมาไล่คุณไป ” เปิดปากไล่ด้วยแววตาท่าทางอันดุดันน่ากลัวแต่คนมาเยี่ยมกลับหัวเราะเสียงดังราวกับฟังเรื่องตลกขบขัน

“ ท่าทางการผ่าตัดจะทำให้ความทรงจำบางส่วนของคุณเสียไป คุณเลยจำไม่ได้ว่าเมื่อก่อนคุณอยากเป็นผู้หญิงของผมมากถึงขนาดเสนอตัวให้ผมถึงที่ แล้วทำไมตอนนี้ถึงจะไล่ผมซะแล้วล่ะ ”

คนบนเตียงตวัดสายตามองชายมากวัยกว่าด้วยความเจ็บช้ำพลางเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความโกรธแค้น ยังจำได้ดีว่าความทะเยอทะยานของตัวเองให้ผลลัพธ์อันเลวร้ายมากเพียงใด

“ ออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ ” นางกรีดร้องชี้นิ้วเร่าๆไปที่ประตูเป็นเชิงไล่ ทว่าคนมาเยี่ยมกลับไม่ยอมลุกไปไหน ริมฝีปากยังคงแย้มอย่างเบิกบานไม่สะทกสะท้านต่อเสียงแหลมนั้นเลยแม้แต่น้อย

“ ผมพูดเรื่องจริงทำไมคุณต้องโมโหขนาดนั้นด้วยล่ะ อ๋อ จริงสิ ผมลืมไปเลยว่าคุณเป็นคนประเภทชอบอยู่กับความหลอกลวง พอใครพูดความจริงเข้าหน่อยเลยทนไม่ได้ ”

“ ฉันบอกให้คุณออกไป ไม่ได้ยินหรือยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้ ” แม้ว่าใจจะกลัวเกรงเขาเป็นหนักหนาแต่ก็ทำปากกล้าขึ้นเสียงไล่ลั่นห้อง ทว่าอีกฝ่ายกลับยักไหล่แล้วโน้มตัวมาข้างหน้าพาดแขนทั้งสองข้างไปบนเตียงที่ไม่มีเหล็กกั้นเหมือนตั้งใจจะคุกคามกันทำให้คนป่วยขยับตัวไปนั่งประชิดติดขอบเตียงที่มีเหล็กกั้นกันตกโดยอัตโนมัติ

แปลกที่อีกฝ่ายยังคงยิ้มอยู่เพียงแต่โน้มตัววางแขนทั้งสองเท้าลงบนเตียงแล้วประสานมือกันหลวมๆแย้มยิ้มเบิกบานทำท่าทำทางเหมือนสนิทสนมกันดี แต่คนป่วยกลับรู้สึกคล้ายถูกคุกคามจนต้องขยับตัวไปนั่งชิดเหล็กกั้นขอบเตียงอีกฝั่งด้วยไม่ต้องการให้เขาเฉียดใกล้

“ ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเครียดขนาดนั้นสิ ผมมาเยี่ยมไม่ได้มาฆ่า เดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตกขึ้นมาอีกคุณจะพลาดเรื่องสนุกๆในชีวิตไปนะ ”

“ ชีวิตฉันหมดสนุกไปตั้งแต่วันที่ฉันท้องกับผู้ชายสารเลวไม่มีความรับผิดชอบอย่างคุณ ” ความโกรธแค้นแต่หนหลังทำให้หลุดตะคอกความรู้สึกภายในออกไป แปลกที่คนถูกประณามกลับทำไม่รู้สึกรู้สาอันใดเลย

“ คุณมั่นใจเหรอว่าคุณท้องกับผม ” คำถามปานจะเหยียดกันยิ่งทำให้เลือดของคนฟังโกรธจนตัวสั่น อยากจะตอบโต้ไปสักคำหากลำคอก็ตีบตันจนพูดอะไรไม่ออกได้สุดท้ายความเกลียดก็กลั่นเป็นน้ำตาแห่งความอัดอั้น....เป็นความโง่ของตัวเองโดยแท้ที่คิดว่าหากใช้ร่างกายและหัวใจผูกมัดให้เขารักจะได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นเป็นใหญ่ได้ง่าย ถึงสุดท้ายนางจะได้กุมอำนาจของอังคพิมานโฮเต็ลไว้ด้วยความช่วยเหลือของเขาก็ตามแต่ก็ไม่เคยรู้สึกได้ถึงความรักที่เคยโหยหา

“ คุณมันเลว ฉันควรจะรู้ตั้งแต่แรก...ฉันควรจะรู้ว่าผู้ชายคนเดียวที่ฉันเคยรัก เป็นผู้ชายคนแรกและคนสุดท้ายของฉันไม่ให้เกียรติกันถึงขนาดนี้ ความจริงคุณไม่ได้ตั้งใจมาเยี่ยมฉัน แต่คุณคงอยากมาดูว่าฉันตายหรือยังมากกว่าใช่ไหม ได้ ในเมื่ออยู่แล้วมันทรมานนัก ก็ตายๆไปซะจะได้หมดเรื่อง ” นางว่าเหลือบมองถาดอาหารบนโต๊ะล้อเลื่อนที่มีช้อนส้อมวางอยู่...อารมณ์ชั่ววูบจากความเจ็บทุกข์ทำมือเอื้อมมือไปหยิบส้อมจ่อปลายแหลมไว้ตรงลำคอพร้อมทุกเมื่อที่จะแทงมันลงไป

คอยด์ชักมือที่วางอยู่บนเตียงมากอดอกแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมจ้องการกระทำของคนตรงหน้าด้วยดวงตาปราศจากความรู้สึกนึกคิด มีเพียงปากที่แยกให้เห็นฟันเขี้ยวที่มุมปาก

“ ถ้าอยากตายนักก็ไม่ต้องพูดมาก แทงลงไปเลย ผมก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเลือดคนหลอกลวง ที่หลอกได้กระทั่งน้องสาวตัวเองมันจะสีเดียวกับเลือดคนปกติหรือเปล่า ” แทนที่จะห้ามปรามกลับยุยงส่งเสริมให้ทำอัตวิบากกรรม คนฟังเพียงได้ยินประโยคที่เขานั้นส้อมที่จ่อคอหอยอยู่กลับสั่น ดวงตาพราวระยับด้วยน้ำประสานสายตาดุจอัญมณีล้ำค่าซึ่งมีผู้หญิงมากมายล้วนปรารถนาอยากเป็นนางในดวงใจระริกไหว

“ ผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่า ผมไม่ชอบให้ใครทำร้ายของรักของผม และเกลียดที่สุดคือการถูกหลอก...ผมยอมรับเลยว่าคุณเป็นคนเก่ง เป็นคนฉลาดที่จัดฉากให้ผมกับมินเข้าใจผิดกันได้ แถมยังอาศัยความเป็นพี่น้องหลอกมินให้กลายเป็นจำเลยของคนทั้งบ้านได้ คุณทำให้ผมเชื่อว่าตัวเองถูกทรยศได้เป็นสิบปี ก็ยังดีนะที่ผมยังรู้ตัว แต่คุณนี่สิ จนป่านนี้ยังไม่รู้เลยสินะว่า ผมหลอกอะไรคุณไว้ "

คนป่วยจ้องหน้าชายสูงวัยกว่าตรงหน้าด้วยสีหน้าสงสัย ไม่อาจเข้าใจในความหมายของถ้อยคำนั้น ทว่าบางอย่างในแววตาก็ทำให้รู้สึกได้เลยว่า การหลอกลวงของเขาต้องต้องส่งผลร้ายมหันต์ต่อตัวเอง ทำให้วินาทีนั้นสติเอาแต่คิดใคร่ครวญเลยลืมตัวมือจึงตกลงข้างลำตัวส้อมเลยร่วงกระแทกพื้น

เสียงเปิดประตูทำให้ผู้มาเยี่ยมเงยหน้าที่จับจ้องคนป่วยเขม็งละสายตาไปมองถึงได้เห็นหญิงใกล้วัยกลางคนสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์หิ้วขนมถุงใหญ่และหญิงสาวผิวขาวจัดสวมชุดกระโปรงสีขาวสะอาดตาหอบหนังสือเล่มหนาเดินคุยกันเข้าในจนถึงภายในห้อง

สมพรชะงักเมื่อเหลือบเห็นชายชาวต่างชาตินั่งอยู่ก็แปลกใจที่เห็นนายหญิงของตนเองมีคนมาเยี่ยม ส่วนศศิวิมลเพียงปรายเห็นว่ามีแขกอยู่ในห้องก็ปิดปากเงียบหันหลังกลับออกไปข้างนอกแทบจะในทันใดนั้นเอง

คนบนเตียงปราดน้ำตาออกจากหน้าพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะเอี้ยวตัวไปทางที่คนใช้ของตัวเองยืนอยู่มองเห็นประตูที่ปิดลงพร้อมกับการหายไปของหลานสาวก็น้ำตารื้น นึกสะท้อนใจในการกระทำอันร้ายกาจที่คอยกีดกันไม่ให้หลานพบคนนอก จึงกลายเป็นว่าแม้แต่ตอนนี้หลานสาวยังคงหลบเลี่ยงการพบคนแปลกหน้าเช่นที่นางสอนจนหลบไปข้างนอกอยู่เช่นเดิม

“ คุณผู้หญิงเป็นอะไรค่ะ ทำไมร้องไห้อีกแล้วล่ะ ” สมพรร้องถามเสียงแหลม ดูเหมือนน้ำตาของคุณผู้หญิงไม่เคยแห้งเลยนับตั้งแต่มานอนรักษาตัวในโรงพยาบาล

“ ฉันเหนื่อยอยากจะนอน ฝากส่งแขกหน่อยนะ ” นางว่าแล้วล้มตัวลงนอนอย่างรวดเร็วทิ้งให้พี่เลี้ยงของหลานยิ้มเก้อเพราะต้องเผชิญหน้าชาวชาวต่างชาติสูงวัยเพียงลำพัง

คอยด์เหลือบแลคนป่วยที่ฉวยโอกาสหนีหน้ากันด้วยการแกล้งนอนหลับ รอยยิ้มยังคงอาบอยู่บนหน้าใบหน้าซึ่งมิได้เกิดจากความรื่นรมย์ หากเป็นความสาแก่ใจเสียมากกว่า

“ คุณจะแกล้งไม่รับรู้ก็ได้ แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่า ผมจะเอาทุกอย่างที่เคยเป็นของผมและตระกูลผมคืน รวมทั้งเด็กสองคนนั้นด้วย ” เขาประกาศเป็นภาษาอังกฤษด้วยสุ้มเสียงเข้มจริงจังผิดกับลักษณะภายนอก ก่อนจะล้วงมือหยิบเอากระปุกอาหารเสริมที่มีกระดาษพับสามทบรัดรวมด้วยกันไว้ด้วยหนังยางวางไว้ข้างเตียง

“ ผมเอาอาหารเสริมมาฝากคุณ กินบำรุงร่างกายไว้ เพราะผมอยากให้คุณอยู่ให้นาน นานพอที่จะเห็นความพินาศของอังคพิมานตั้งแต่ต้นจนจบ อย่าลืมกินซะนะ ” เน้นย้ำพลางเขย่าให้เม็ดยากระทบกับขวดแก้วเป็นการเตือนอีกรอบแล้วถึงยอมล่าถอยออกไป

มลธิกาลืมตาที่เอ่อด้วยน้ำขึ้นมองกระปุกอาหารเสริมที่วางอยู่ แรงทิฐิทำให้ไม่คิดอยากจะหยิบของที่เขาฝากไว้มาดู แต่เพราะเห็นมีกระดาษสอดอยู่ก็เกิดสังหรณ์ใจในที่สุดก็ยอมหยิบมันมาไว้ในมือแล้วดึงกระดาษที่พับหลายทบนั้นออกมาเปิดดูและสิ่งที่อยู่ในนั้นทำให้นางเบิกตากว้างก่อนจะหมดสติไปในที่สุด

ขณะที่คนป่วยตกใจแทบสิ้นสติกับความจริงใหม่ที่ได้รับ แขกต่างชาติสูงวัยที่มาเยี่ยมก็เปิดประตูกลับออกมาข้างนอก กวาดสายตามองไปโดยรอบบริเวณหน้าห้องพักคนไข้พิเศษอยู่นานกว่าจะสังเกตเห็นชายกระโปรงสีขาวที่โผล่พ้นจากมุมเสาก็ยิ้มอ่อนแล้วเดินเข้าไปหา

ศศิวิมลยืนนิ่งหลบอยู่หลังเสาไม่ใกล้จากลิฟต์ของโรงพยาบาลมากนัก เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าดังขึ้นทำให้ต้องคว้านมือลงไปหาแล้วหยิบมันมากดรับ ปลายสายคือภาควัฒน์ที่โทรมาบอกว่าวนหาที่จอดรถเลยให้หล่อนรออยู่หน้าห้องเดี๋ยวจะไปหาเอง

หลังจากสนทนากันเรียบร้อยหญิงสาวก็เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าสะพายก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหันไปเห็นชายสูงวัยตัวสูงใหญ่ขนาดเท่ากับผู้เป็นสามียืนห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว พอตั้งใจมองก็จำได้ว่าเป็นคนที่มาเยี่ยมผู้เป็นป้าจึงยิ้มให้แทนคำทักทายทำท่าจะเดินกลับไปที่ห้อง แต่แล้วเท้ากลับต้องหยุดนิ่งทันทีที่ได้ยินเขาเอ่ยถึงมารดาผู้ล่วงลับ

“ แม่หนูชื่อมินดาราหรือเปล่า ” เขาเปิดบทสนทนาเป็นภาษาไทยชัดเจนชนิดที่เจ้าของภาษาเองยังไม่เชื่อเลยว่าคนพูดจะเป็นชาวต่างชาติ

คนตัวเล็กเหลียวกลับมามองชายชราที่ส่งยิ้มกว้างให้ก็รู้สึกอบอุ่นในใจอย่างประหลาด...นัยน์ตาสีเขียวที่ทอดมองกันด้วยความอ่อนโยนนั้นดูคุ้นเคยเสียจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มกลับไป

“ คุณรู้จักแม่ด้วยหรือคะ ”

“ รู้จักสิ ฉันรู้จักแม่หนูดีเลยล่ะ ” เขาเว้นจังหวะพินิจดวงหน้าหวานอมโศกที่ถอดแบบทุกอย่างมาจากผู้เป็นมารดาคงจะมีก็เพียงผิวขาวซีดคล้ายชาวตะวันตกนั้นแหละที่มั่นใจได้เลยว่าเป็นเชื้อจากเขา

“ คุณเป็นเพื่อนของแม่เหรอคะ ”

“ จะบอกว่าเป็นเพื่อนก็น่าจะได้ล่ะมั่ง...ว่าแต่ หนูชื่ออะไรเหรอจ๊ะ ”

“ เรียกหนูว่าเล็กก็ได้ค่ะ แล้วคุณลุงล่ะคะ ชื่ออะไร เล็กจะได้เรียกถูก ”

“ ลุงชื่อคอยด์จ๊ะ แต่เล็กเรียกลุงสั้นๆแบบนี้ก็ได้ ” เขาตอบรอยยิ้มยังคงไม่จางหายแล้วจึงต่อ “ จริงสิ หนูพอจะมีเวลาว่างไหม ยังไงไปทานกาแฟกับฉันข้างล่างสิ ฉันมีเรื่องเยอะแยะเกี่ยวกับแม่ของหนูจะเล่าให้ฟัง ”

“ เล็กก็อยากไปนะคะ แต่ว่าเมื่อกี้สามีเล็กโทรมาบอกว่าจะมารับแล้วนะคะ ก็เลยไปด้วยไม่ได้ แต่ยังไงถ้าวันไหนคุณลุงมาเยี่ยมแม่ใหญ่อีกแล้วเล็กไม่ได้รีบไปไหน ถึงตอนนั้นถ้าเล็กขอให้คุณลุงเล่าเรื่องแม่ให้ฟังจะได้ไหมคะ ” ทั้งที่มีประสบการณ์สอนให้อย่าไว้ใจคนโดยง่าย แต่สัมผัสอบอุ่นจากชายแปลกหน้าก็ทำให้หากมีโอกาสก็อยากจะพบพูดคุยถึงเรื่องแม่ด้วยอีกสักครั้ง

“ ได้สิจ๊ะ แต่ลุงอาจจะไม่ว่างมาเยี่ยมป้าของหนูที่โรงพยาบาล เอาอย่างนี้แล้วกันนะ ลุงจะให้นามบัตรหนูไว้ ถ้าหนูว่างเมื่อไหร่ก็โทรมาหาลุงสิ เผื่อลุงว่างจะได้แวะมานั่งดื่มกาแฟกับหนูที่นี่ ” เขาว่าหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาหยิบเอากิ๊ฟว็อยเชอร์ใช้ซื้อสินค้าแทนเงินสดทุกรายการของห้างสรรพสินค้าดังกลางใจเมืองปึกใหญ่ยื่นไปให้พร้อมกับนามบัตร

ผู้อ่อนวัยรับนามบัตรมาดูเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟต์เคลื่อนมาถึงและเมื่อประตูเปิดออก ในวินาทีที่ภาควัฒน์เห็นผู้มีพระคุณปรากฏกายอยู่ข้างภรรยาสาวของตนเองก็ถึงกับหุบยิ้มรีบเดินเข้าไปขัดการสนทนาของคนทั้งคู่ด้วยการเข้าไปโอบร่างบอบบางไว้

“ พี่ภาคมาแล้วเหรอคะ ” ร้องเมื่อรู้สึกถึงอ้อมแขนอันแข็งแรง

“ ค่ะ มารับแล้ว ว่าแต่เล็กคุยอยู่กับใครค่ะ ” แกล้งตีหน้าซื่อถาม

“ อ๋อ...นี่ลุงคอยด์ค่ะ เขาเป็นเพื่อนของแม่เล็ก ”

“ อย่างนั้นเหรอคะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ” ชายหนุ่มพยักหน้าทำทีไม่เคยรู้จัก ยื่นมือของตัวเองออกไปให้อีกเช็กแฮนด์เป็นการทักทาย แม้นริมฝีปากจะแย้มกว้างหากดวงตาคมที่จดจ้องกลับมีประกายแววราวกับกำลังหยั่งเชิงกันอยู่

ด้วยความไม่รู้เรื่องอะไรทำให้ศศิวิมลไม่ทันสังเกตเห็นพฤติกรรมของคนทั้งสอง เพียงแต่ยกมือไหว้ชายสูงวัยกว่าเพราะเห็นว่ากำลังจะกลับ ก่อนจะหันไปชวนสามีให้ไปลาคนป่วยกลับตามมารยาท

“ เล็กไปก่อนเถอะค่ะ...เดี๋ยวพี่ตามไป ” กล่าวเท่านั้น ภรรยาสาวก็ยอมเดินล่วงหน้าไปก่อนปล่อยให้ชายต่างวัยทั้งสองยืนกันอยู่หน้าลิฟต์เพียงลำพัง ต่างฝ่ายต่างมองกันด้วยใบหน้าเรียบเฉยคล้ายไม่มีอารมณ์ความรู้สึกแต่ลึกลงไปในจิตใจต่างก็ ระแวดระวังกันอยู่

สุดท้ายผู้ที่เป็นหลานนอกสายเลือดซึ่งอยากปกป้องภรรยาของตัวเองให้พ้นจากอันตรายก็เป็นฝ่ายเปิดฉากเข้าใส่ด้วยการเดินเข้าไปหาผู้สูงวัยกว่าในระยะประชิด…นัยน์ตาสีนิลคมคายวาวโรจน์เฉกเดียวกับหมาป่านั้นราวกับจะประกาศให้ทราบว่า หากมีใครกล้าแตะคนสำคัญของตัวเองแม้แต่ผมสักเส้น เขาก็พร้อมจะขย้ำทุกคนไม่เว้นกระทั่งนายพรานถือปืนผาหน้าไม้หรือผู้มีพระคุณที่เคยให้น้ำให้ข้าวมา

“ ผมไม่รู้ว่าปู่ต้องการอะไร แต่ขอให้รู้ไว้ว่า ถ้าปู่แตะเมียผมเมื่อไหร่ล่ะก็ ผมกับปู่มีปัญหากันแน่ ” ชายหนุ่มประกาศเจตนารมณ์ของตัวเองชัดเจนแล้วจึงผละตามหลังภรรยา

นายใหญ่แห่งครอมเวลเฝ้ามองสองหนุ่มสาวที่โอบกอดกันนิ่งนานกว่าจะยอมเดินเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดประตูรออยู่ตรงหน้า ภายในใจเบื้องลึกนั้นกำลังคิดแผนการบางอย่างที่อาจทำให้คนทั้งคู่ต้องพรากจากกันอีกครั้ง...




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ต.ค. 2554, 02:13:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ต.ค. 2554, 02:13:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 2642





<< บทที่ ๒๗   บทที่ 29 >>
violette 23 ต.ค. 2554, 03:30:49 น.
เอ้า พ่อจริงแล้วจะทำร้ายจิตใจลูกทำไมเนี่ย เฮ่อ ไม่เข้าใจ


violette 23 ต.ค. 2554, 03:31:34 น.
อีกอย่าง คอยด์รักมินแต่ถูกทำให้เข้าใจผิดเหรอคะ แอบงง
แล้วพี่ใหญ่ตกลงเป็นลูกใครเนี่ย (แอบคิดว่าน่าจะเรื่องนี้มั้ยที่คอยด์หลอกแม่ใหญ่


Edelweiss 23 ต.ค. 2554, 09:53:18 น.
อ้าว อะไรเนี่ยยยยยยยยย มีหักมุมกว่านี้อีกเหรอคะ? ลุ้นมาก ๆ ๆ ๆ


คิมหันตุ์ 23 ต.ค. 2554, 10:51:43 น.
มีพ่อเดียวกันแต่คนละแม่หรือเนี่ย? ว่าแต่จะพรากเ้ค้าจากกันจริงๆหรอ...กรีสๆ


anOO 23 ต.ค. 2554, 11:27:00 น.
พอจะเกตเรื่องพ่อๆ ลูกๆ แล้วนะ
แต่ไม่เข้าใจทำไมพ่อต้องพรากพี่ภาคกับเล็กด้วยล่ะ


มาลัยห่วงรัก 23 ต.ค. 2554, 21:11:23 น.
ตามต่อค่ะ .. สงสัยเรื่องปมพ่อลูกเหมือนกัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account