รักสุดท้าย...ที่ปลายดาว
เพราะความเข้าใจผิดในสัมพันธภาพระหว่างสาวสวย ปากจัด กัดเจ็บ อย่าง “ปลายดาว” กับ เพื่อนหนุ่มคาสโนว่า ทำให้เธอต้องตกเป็นจำเลยในสายตาของ “เตชิต” วิศวกรหนุ่มที่(เขาว่ากันว่า) ปากจัด ซ้ำยังกัดเจ็บยิ่งกว่า ผลที่ตามมาก็คือการปะทะคารมกันแบบดุเด็ดเผ็ดร้อนทุกทีที่ประจันหน้า....เรื่องจะยอมเพลี่ยงพล้ำตกเป็นรองอีกฝ่ายน่ะรึ...ไม่มีทางซะหร้อกกกก

แต่เรื่องวุ่นๆชุลมุนหัวใจก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อสนามรบทำท่าจะเปลี่ยนเป็นสนามรัก(ตามสูตรนิยายคลาสสิค^^) ท่ามกลางความอึดอัดขัดใจของเพื่อนหนุ่มคาสโนว่าที่ยุยงส่งเสริมมาแต่ทีแรก แต่ดันเกิดอาการ “หวงของ” ขึ้นมาเสียอย่างนั้น งานนี้ก็เลยมี “ก้าง” ชิ้นใหญ่โผล่ขึ้นมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

วิศวกรหนุ่มจะทำอย่างไร เมื่อหนทาง “สุดท้ายที่ปลายดาว” ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิด มิหนำซ้ำยังมีเรื่องรัก(ลึกลับ)ในอดีตโผล่ขึ้นมาให้ปวดหัวเพิ่มอีก...

งานนี้เห็นทีต้องลุ้นกันเหนื่อยหน่อยล่ะ!

Tags: กุ๊กกิ๊ก โรแมนติค ปลายดาว เตชิต

ตอน: ตอนที่ 10 << พระเอ๊กกกก....พระเอก >>

10.

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

ปลายดาวคลับคล้ายว่าจะได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้งติดต่อกัน แล้วเสียงไขกุญแจดังกริ๊กก็ดังตามมาในอีกไม่ถึงอึดใจ หญิงสาวอยากลุกขึ้นแต่อาการปวดตุบๆที่หัวอย่างแรงก็ทำให้เธอไม่สามารถ จึงทำได้แค่ผงกหัวขึ้นมาเท่านั้น ในความเลือนรางเท่าที่มองเห็นจากนัยน์ตาที่ปรือขึ้นมาได้อย่างยากเย็น เธอมองเห็นนายหนอนเดินอาดๆเข้ามาที่ปลายเตียงแล้วสะกิดเธอให้ตื่นด้วยปลายเท้าข้างหนึ่ง

“ดาว...ดาว ปลายดาว ตื่นหรือยัง”

“อืม...” เธองัวเงียตอบ “ฉันปวดหัวมากเลย สงสัยจะเป็นไข้น่ะ”

“ไข้บ้าไข้บออะไรล่ะ แฮ้งค์น่ะสิไม่ว่า ใครใช้ให้เธอกินซะขนาดนั้นหา รู้มั้ยว่าเมื่อคืนเธอฟาดไปกี่ช็อต”

“แหม...นานๆกินที แล้วเธอเหาะมาทำไมเช้าขนาดนี้ มีอะไร ถ้าไม่สำคัญก็กลับไปก่อนละกัน แล้วฉันจะโทรหา”

“ฉันก็เป็นห่วงเธอน่ะสิ ก็เลยแวะมาดู ตกลงว่าเมื่อคืนเธอกลับยังไง ส้มจี๊ดหรือต้นอ้อมาส่งเธอ”

คำถามแบบไม่จริงจังนั้นทำให้ปลายดาวแทบจะดีดตัวลุกขึ้นจากที่นอน...ไม่ใช่เขาหรอกเหรอที่มาส่งเธอเมื่อคืนนี้?

หรือว่า...

ความสงสัยยังไม่ทันจางหายไป เสียงกุกกักที่ดังมาจากห้องน้ำก็ทำให้ปลายดาวกับเพื่อนหนุ่มหันมามองหน้ากันราวกับนัด! แล้วเธอก็แทบหายใจไม่ออก หัวหมุนติ้วด้วยความงงงันเมื่อร่างสูงโปร่งของคุณเตชิตก้าวฉับๆออกมาห้องน้ำในชุดกางเกงขาสั้นลำลองกับเสื้อยืดสีขาวสะอาดตา มีผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมอยู่บนศีรษะพร้อมเส้นผมยุ่งเหยิงเปียกหมาด บอกให้รู้ว่าเขาเพิ่งผ่านการอาบน้ำสระผมมาสดๆร้อนๆ

“คุณเตชิต!”

ปลายดาวและวรนนท์ร้องทักออกมาพร้อมกัน ชายหนุ่มยิ้มและพยักหน้าแทนการตอบรับ หากนั่นไม่ได้ทำให้ความสงสัยของทั้งคู่บรรเทาเบาบางลงไปได้

“คุณมาอยู่นี่ได้ไง?”

หญิงสาวหนึ่งเดียวในที่นั้นร้องถามเสียงสั่น คุณเตชิตอมยิ้มกรุ้มกริ่มท่าทางไม่ได้อินังขังอขอบกับสายตาวิตกจริตของคนทั้งคู่มากนัก เขายังคงขยี้เส้นผมสะบัดซ้ายทีขวาทีแล้วจึงตอบคำถามเธอด้วยท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ก็เมื่อคืนนี้เราเมามาก...”

“ไม่นะ!”

ปลายดาวถลันลุกขึ้นจากเตียงนอน ยกมือทั้งสองข้างขึ้นป้องหูเหมือนไม่อยากฟังจนจบ

“ตอนที่ผมพาคุณขึ้นมาส่ง คุณก็ขอร้องให้ผมอยู่เป็นเพื่อนก่อน ผมก็เลย...”

“ไม่จริง!”

“จริง...หนำซ้ำพอผมจะกลับขึ้นมาจริงๆ คุณก็เข้ามากอดผมไว้แน่นอีก คุณจะให้ผมทำยังไงได้”

“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ”

ปลายดาวยืนกราน แต่กลับเสียงอ่อยอย่างประหลาด ส่วนวรนนท์ได้แต่นั่งหน้าเหวออย่างคาดไม่ถึง คุณเตชิตกลั้นหัวเราะยังไม่ทันจะได้เฉลยว่าทั้งหมดที่พูดมาคือเรื่องที่เขากุขึ้นมาอำเธอเท่านั้น ประตูห้องก็เปิดออกดังผลัวะพร้อมการมาเยือนของแขกรับเชิญพิเศษชนิดที่ไม่ว่าใครก็คงไม่คาดคิด!

คุณหญิงดวงใจก้าวเข้ามายืนประจันหน้ากับลูกชายในระยะประชิด หล่อนอยู่ในชุดลำลองเรียบง่ายแต่ก็ดูออกว่าเป็นของดีมีราคา ใบหน้ายังคงเขาความงามไม่เสื่อมคลาย ซึ่งหากเป็นเวลาอื่นปลายดาวคงอดยอมรับไม่ได้ว่ารอยยิ้มของหล่อนช่างหวานหยดไม่แพ้ใบหน้า หากในเวลานี้ รอยยิ้มที่ว่ามันกลับดูเชือดเฉือนเลือดเย็นและเอาเป็นเอาตายอย่างบอกไม่ถูก

“คุณแม่!”

วรนนท์อุทานออกมาอย่างตกใจ ใบหน้าเขาซีดเผือดเมื่อดีดตัวลุกขึ้นจากปลายเตียง

“ลูกมาทำอะไรที่นี่” คุณหญิงร้องถามเสียงเขียว แววตาเย็นชาจนรู้สึกได้ “แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”

“คุณแม่มาทำอะไรที่นี่ครับ”

“แม่ต่างหากที่ต้องถามว่าลูกมาทำอะไรที่นี่!” หล่อนหันมามองปลายดาวหัวจรดเท้าแบบไม่เกรงใจ “นี่รึ...ผู้หญิงที่ทำให้ลูกปฏิเสธการแต่งงานกับหนูภารดี ลูกทำกับแม่แบบนี้ได้ยังไง”

“คุณแม่ครับ...ผมกับน้องปุ้มปุ้ย...เอ่อ...น้องภารดีอะไรนั่นเราไม่ได้รักกัน ทำไมคุณแม่จะต้องบังคับให้เราแต่งงานกันด้วยครับ”

“เรื่องนี้เราคุยกันแล้วนี่...” หล่อนเชิดหน้าอย่างไว้ตัว “ผู้หญิงที่จะมาแต่งงานกับลูก ต้องเหมาะสมกับลูก ไม่ใช่ว่าลูกจะคว้าใครมาก็ได้ แบบนั้นแม่ไม่ยอมแน่”

“เอ่อ....”

คุณเตชิตพยายามแทรก ทว่าก็ยังไม่สบโอกาสจนแล้วจนรอด ส่วนปลายดาวแม้ว่าจะยังสะลึมสะลือแต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองหายใจไม่ทั่วท้อง โดยเฉพาะเมื่อเห็นสีหน้าและแววตากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเพื่อนรัก

“คุณแม่ครับ...ปลายดาวเป็นเพื่อนผม แล้วเธอก็เป็นคนดีด้วย ผมว่า...”

“คนดีแบบไหนกันที่กล้าโกหกคนอื่นว่าท้อง แม่ให้คนสืบมาหมดแล้ว ถึงได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น”

“คุณแม่ครับ ผมขอร้อง เรากลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่า...”

“ไม่ได้! เราต้องคุยกันที่นี่ ให้ทุกฝ่ายได้รับรู้ ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นคนเดียวกับที่ลูกบอกว่าท้อง...เป็นคนเดียวกับที่ลูกซื้อเสื้อผ้าและสร้อยคอราคาแพงลิบให้เมื่อวันก่อน แม่ก็คิดว่าเรามีบางอย่างต้องตกลงกัน”

“นี่คุณแม่ให้คนสะกดรอยตามผมหรือครับ”

นายหนอนทำสีหน้าผิดหวังและเสียใจ เขาหันมามองเพื่อนรักด้วยสายตาขอลุแก่โทษ รู้ดีว่าในยามนี้การแสดงตัวเพื่อปกป้องเพื่อนรักก็มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนหนักมากขึ้นไปอีก เพราะรู้ดีว่าคุณหญิงดวงใจไม่มีวันรามือเรื่องนี้ได้โดยง่ายแน่ๆ

ชายหนุ่มถอนใจแล้วก้าวมาคว้าข้อมือมารดาไว้เพื่อหมายจะฉุดดึงหล่อนออกไปจากที่ตรงนั้น หากก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่หล่อนยื่นสิ่งหนึ่งมาตรงหน้าปลายดาวพอดี

“เอ้านี่! เช็คเงินสดหนึ่งแสนบาท แลกกับการออกไปจากชีวิตของวรนนท์ลูกชายชั้น หวังว่าเธอคงจะพอใจ”

“คุณแม่ครับ....” วรนนท์ผลักมือมารดาออก “ไปกันใหญ่แล้ว”

“หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ” ปลายดาวปฏิเสธ

“หรือว่ามันยังน้อยไป งั้นฉันเพิ่มให้เธอเป็นสองแสนก็ได้”

หล่อนย่นคิ้วแล้วยื่นเช็คอีกใบมาตรงหน้า หากความอดทนของปลายดาวขาดสะบั้นลงแค่ตรงนั้น!

ผู้หญิงที่งามพร้อมทั้งกายและใจอย่างเธอมีค่าแค่สองแสนแค่นั้นน่ะหรือ!

มันชักจะดูถูกกันเกินไปแล้ว!

“ขอโทษนะฮะ ผมยืนฟังอยู่ตั้งนานแล้ว เกรงว่าคุณจะเข้าใจผิด”

คุณเตชิตพูดแทรกขึ้นได้ทันท่วงที ปลายดาวก็เลยได้แต่อ้าปากค้าง ถ้อยคำที่กำลังจะพรั่งพรูค้างอยู่แค่ริมฝีปาก

“หมายความว่าไง” คุณหญิงดวงใจแหวใส่อย่างลืมตัว “คุณพูดเรื่องอะไรไม่ทราบ”

“ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกับลูกชายคุณ เธอเป็นคนรักของผม คุณไม่จำเป็นจะต้องเอาเงินสองแสนนั่นมาจ้างหรอกครับ”

“ใช่ครับคุณแม่” นายหนอนรีบเออออไปกับการรับสมอ้างนั้นทันที “ผมบอกแล้วว่าคุณแม่เข้าใจผิด ผมกับปลายดาวเราเป็นเพื่อนกัน แล้วผมก็ไม่เคยซื้อของอะไรเหล่านั้นให้สักหน่อย คนของคุณแม่รายงานผิดแล้ว คุณแม่อย่ามายุ่งกับปลายดาวเลยนะ ผมขอร้อง...เกรงใจแฟนเขา”

“แต่คนของแม่ไม่เคยพลาด ลูกโกหกแม่หรือเปล่านนท์”

“ผมจะโกหกคุณแม่ทำไม”

นายหนอนตอบเสียงอ่อย เขาสบตาเพื่อนรักอย่างต้องการขอความเข้าใจและเห็นใจ แลดูเจ็บปวดวูบไหวเล็กน้อยเมื่อเห็นคุณเตชิตเดินเข้ามาใกล้แล้วโอบไหล่หญิงสาวมาแนบชิดอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ ปลายดาวเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนรักได้ดีว่าทั้งหมดที่เขาทำก็เพื่อจะปกป้องไม่ให้มารดาเขาตามมาวอแวกับเธออีก จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะยอมเล่นละครไปตามบทบาท

“เขาไม่ได้โกหกหรอกครับ” คุณเตชิตยังไม่วายสำทับ “ถ้าไม่เชื่อไว้คุณรอเป็นแขกมางานแต่งงานของเราก็ได้ แล้วผมจะฝากเรียนเชิญไปทางคุณวรนนท์นะฮะ ท่านจะได้สบายใจ”

“ไม่จำเป็น!”
คุณหญิงดวงใจสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างไว้ยศศักดิ์ หล่อนกระชับกระเป๋าถือที่คล้องแขนอยู่ แล้วจิกตามองมาที่ลูกชายอย่างไม่พอใจระคนหงุดหงิด

“ลูกกลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้ เรามีเรื่องต้องตกลงกัน”

ว่าแล้วหล่อนก็สะบัดหน้าพรืดจากไปโดยไม่ลืมกระชากแขนลูกชายกลับไปด้วย ทว่าในจังหวะที่หล่อนเปิดประตูให้กว้างออก ใครอีกคนก็ก้าวเข้ามาพอดิบพอดี...

เป็นการรวมมิตรแบบไม่ได้นัดหมาย แต่ก็ทำให้ปลายดาวต้องกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกด้วยความลืมตัว...นี่มันช่างเป็นวันโลกาวินาศสำหรับเธอโดยแท้!

“ได้ข่าวว่ามีคนบ้านนี้จะแต่งงาน...เป็นไปได้หรือว่าฉันจะไม่รู้”

ปลายดาวแทบล้มหัวฟาด เมื่อร่างของหญิงชราวัยเจ็ดสิบปลายๆทว่ายังดูแข็งแรงอยู่มาก ก้าวเข้ามายืนในระยะประชิด ผมสีขาวโพลนทั่วทั้งศีรษะของท่านดูตัดกันรุนแรงกับประกายตาจัดจ้าที่จ้องมายังทุกคนอย่างไม่ยอมลดราวาศอก ปลายดาวลมแทบจับเมื่อยกมือไหว้คุณยายที่เคารพ และไม่เพียงเท่านั้น...ทันทีที่ประตูเปิดกว้างออกจนสุดบาน เธอก็พบว่าทั้งแม่และ พี่สาวก็พากันเดินพาเหรดเข้ามาราวกับนัด!

“คุณยาย...แม่...พี่เดือน...นี่มากันได้ยังไง”

ปลายดาวถามเสียงอ่อย พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เหมือนอะไรๆพากันมาจุกอยู่ที่คอหอย แต่ไม่มีใครตอบคำถามของเธอแม้แต่คนเดียว มีเพียงคุณยายเท่านั้นที่เพ่งมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนโอบไหล่เธออยู่ราวกับจะบดไหม้ให้เขาแหลกรานลงไปต่อหน้า สุ้มเสียงของคุณยายอ่อนหวานทว่าเชือดเฉือนอยู่ในที

“ฉันฟังอยู่นานแล้ว แต่ไม่แน่ใจ ช่วยบอกอีกทีให้ฉันมั่นใจว่าไม่ได้หูฝาดได้มั้ยจ๊ะ...ว่าหลานสาวคนเล็กของฉันจะแต่งงานโดยที่ทุกๆคนที่บ้านไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่คนเดียว!”

ปลายดาวทำหน้าเลิ่กลั่กเมื่อเหตุการณ์ชักจะเลยเถิด คุณเตชิตเห็นดังนั้นก็เลยเลื่อนมือจากหัวไหล่ลงมาบีบมือเธอไว้แน่นอย่างให้กำลังใจ ท่าทางเขาเองก็ดูตกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกันกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่ไม่ได้เตรียมรับมือไว้ก่อน ฟากคุณหญิงดวงใจ เมื่อเห็นว่าการมาของตัวเองบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว หล่อนก็กลับออกไปพร้อมลูกชายด้วยท่าทีโล่งใจแต่ยังคงไว้ยศไว้ศักดิ์เหมือนเมื่อตอนเข้ามาไม่เปลี่ยน ส่วนนายหนอนก็ทำได้แค่ยกมือทำความเคารพญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนสาวแล้วค่อยๆเดินตัวลีบตามหลังมารดาออกไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง


หลังจากที่คุณยายให้เวลาเธออาบน้ำแต่งตัวราวสิบห้านาที ปลายดาวก็ออกมาอีกครั้งในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีแดงแปร๊ด กลิ่นกายเธอหอมกรุ่นซ้ำยังมีกลิ่นแชมพูรวยรื่นออกมาจากเส้นผมยุ่งเหยิงเปียกหมาดนั้นด้วย หญิงสาวแอบเหลือบตามองคุณยายที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวที่มีแม่และพี่สาวเธอนั่งขนาบข้างอยู่ราวกับบอดี้การ์ด ส่วนคุณเตชิตนั่งอยู่คนละฟากที่เก้าอี้ตัวเล็กด้วยท่าทางที่เหมือนจำเลยกำลังโดนศาลไต่สวนไม่มีผิด

“ผมขอโทษครับ”

คุณเตชิตยกมือไหว้คุณยายกับแม่อย่างนอบน้อม แต่แววตารู้สึกผิดจริงจัง ปลายดาวสัมผัสได้

“มันเรื่องเล็กสินะ” คุณยายประชดลอดแว่น “หลานฉันไม่ใช่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ตระกูลฉันไม่เคยด่างพร้อยด้วยเรื่องแบบนี้มาก่อน ทุกอย่างต้องเข้าตามตรอกออกตามประตู ไม่เคยมีคนบอกคุณรึ”

“ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ ความจริงผมแค่ต้องการจะปกป้องปลายดาวไม่ให้คุณหญิงมาดูถูกเอาได้ ไม่คิดว่าเรื่องจะเลยเถิด”

“แล้วก็แล้วไปเหอะน่า คุณยาย”

“ใครถามความเห็นเธอไม่ทราบ! ” คุณยายตวัดสายตาสีเขียวมรกตมาให้หลานสาวคนเล็ก ปลายดาวก็เลยได้แต่นั่งหัวหดดั่งเก่า

“ถ้าอย่างนั้น...เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ผมแต่งงานกับดาวก็ได้ครับ”

“แต่งงาน!”

คราวนี้ปลายดาวอุทานออกมาลั่น...เขาต้องประสาทคัมแบ็คไปแล้วแน่ๆ นึกว่ามันง่ายเหมือนเล่นพ่อแม่ลูกหรือไงตาบ้า!

“เธอจะร้องอะไรเสียงดังขนาดนั้นฮะดาว ทำเป็นเจ๊กตื่นไฟไปได้”

พี่สาวดุไม่จริงจัง หากมารดาที่ได้แต่นั่งฟังอย่างเดียวมานานมีท่าทีอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนจะมีปลายดาวเพียงคนเดียวอีกตามเคยที่อดรนทนไม่ได้

“บ้าเหรอ...ใครจะไปแต่ง นึกว่าบ้านฉันหัวโบราณขนาดนั้นเหรอไง ที่พอเกิดเหตุชุลมุนขึ้นก็จะให้ตกกระไดพลอยโจนซะอย่างนั้น ดูหนังมากไปหรือเปล่า นี่มันพ.ศ.ไหนแล้ว ฝันไปเถอะย่ะ”

“เธอคบกันถึงขั้นไหนแล้ว ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้เรื่องพ่อหนุ่มนี่”

คุณยายถามคำถามที่ไม่น่าถาม ชายหนุ่มแอบอมยิ้ม แต่ปลายดาวได้แต่ถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณยายคิดค่ะ หนูว่าเราลืมเรื่องนี้เถอะ”

“มีอะไรกันแล้วหรือยัง” คุณยายคาดคั้น ปลายดาวส่ายหน้า

“ไม่มีค่ะ ไม่มีแน่นอน”

“แน่ใจนะ”

“แน่ใจค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าจริงจัง แล้วหันไปหาชายหนุ่มเหมือนต้องการตัวช่วย “บอกคุณยายไปสิ ว่าเราไม่มีอะไรกัน จะได้หมดเรื่องแต่งงานนี่ไปซะ วุ้ย! ต้องให้บอกทุกเรื่องหรือไง”

“ไม่มีครับ...แต่ถ้าต้องมีเพื่อจะได้แต่งงานกัน...ก็มีได้นะครับ”

เพียงเท่านั้น หมอนอิงใบยักษ์ก็ปลิวหวือจากมือปลายดาวไปหลุ่นตุ้บลงบนใบหน้าเขาพอดิบพอดี!
สามสาว(เหลือ)น้อยในที่นั้นหัวเราะร่วน เป็นอันว่าบรรยากาศมาคุที่ตึงเครียดมาตลอดเกือบครึ่งชั่วโมงเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น คุณเตชิตเองก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับคุณยาย แม่ และพี่สาว เพราะหลังจากที่เคลียร์เรื่องราวไม่เข้าใจกันแล้ว ก็ดูจะหัวเราะต่อกระซิกราวกับรู้จักกันมาสักสิบชาติ มีเพียงปลายดาวเท่านั้นที่ยังนั่งหน้าบอกบุญไม่รับ

รอยยิ้มของหญิงชราปรากฏขึ้นจางๆตรงมุมปาก แม้สายตาคมกริบนั้นจะจับจ้องทุกอิริยาบถของสองหนุ่มสาวไม่เปลี่ยนแปลง หากก็เปี่ยมไปด้วยวี่แววของความห่วงใยรักใคร่ไม่เสื่อมคลาย

“เอาล่ะ...ถ้าเธอทั้งสองคนยืนยันมั่นเหมาะกันขนาดนี้ฉันก็จะยอมเชื่อ แต่อย่าให้รู้อีกละกันว่าเธอสองคนทำเรื่องเสื่อมเสียอะไรให้ฉันขายหน้าอีก...” คุณยายแอบชำเลืองมองลูกสาวอีกที “ความจริงจะโทษเธอคนเดียวมันก็ไม่ถูกหรอกนะยัยปลายดาว ต้องโทษแม่เธอโน่น ตามใจลูกไม่เข้าเรื่อง ฉันบอกแล้วว่าอย่าปล่อยให้มาอยู่ตามลำพัง แล้วเป็นไงล่ะ”

“คุณยายอย่าไปโทษแม่เลยค่ะ ดาวดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วง”

หญิงสาวยิ้มกว้าง แอบอมยิ้มที่เห็นแม่ตัวเองที่โตขนาดนี้แล้วยังโดนดุ...แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับครอบครัวเธอไปแล้ว ไม่มีใครไม่เคยโดนคุณยายดุ นอกเหนือไปจากพ่อ “ลูกเขย” ที่คุณยายเกรงใจเป็นที่สุดคนเดียวเท่านั้น แต่พ่อก็มาชิงจากไปเสียก่อนนี่ คุณยายก็เลยทำตัวเป็นมาเฟียอยู่คนเดียว

“แล้วนี่คิดจะมีใครบอกดาวบ้างมั้ยคะ ว่าที่พร้อมอกพร้อมใจมาหาโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้านี่ มาทำอะไรกัน ดาวตกใจนะ”

หญิงสาวเอ่ยถามหลังเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานผ่านพ้น

“ก็ตั้งใจมาเซอร์ไพรส์” พี่สาวตอบกลัวหัวเราะ “แล้วก็เซอร์ไพรส์จริงๆเสียด้วย...แม่นนท์นี่ดุเนอะ ได้ยินชื่อมานานเพิ่งจะเจอตัวจริงก็วันนี้ ฉันว่าใครได้เป็นลูกสะใภ้บ้านนั้น ประสาทกินตายแน่ๆ”

“ไม่มีหรอกเซอร์พรงเซอร์ไพรส์อะไร พอดีคุณยายอยากไปไหว้พระที่วัดหลวงพ่อโสธรก็เลยแวะมารับลูกด้วย มันทางเดียวกัน หนูจะไปด้วยหรือเปล่าล่ะ”

คุณสิรี คุณแม่ยังสาวของปลายดาวเอ่ยขึ้น หลังจากที่นิ่งอึ้งมานาน แวววตาหล่อนบ่งบอกว่ายังหงุดหงิดกับลูกสาวคนเล็กอยู่ไม่หาย

“ไปสิแหม...แวะมารับกันขนาดนี้แล้ว โอเค ไปๆ แล้วเราจะนั่งกันอยู่ทำไมล่ะคะ เสียเวลา”

ปลายดาวกระวีกระวาดลุกขึ้น ทั้งยังช่วยพยุงทั้งแม่ ทั้งยายให้ลุกขึ้นด้วย โดยลืมไปว่าในที่นั้นมี “คนนอก” นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่อีกคนหนึ่งด้วย

“อ้าว! นั่งอยู่ทำไมล่ะคุณเต้ กลับไปสิ”

“ว่างหรือเปล่าล่ะพ่อคุณ” คุณยายแทรกขึ้น ไม่สนใจสายตาวาววามของหลานสาว “ถ้าว่างก็ไปไหว้พระด้วยกัน คนหนุ่มคนสาวสมัยนี้ไม่ค่อยมีใครนึกถึงวัดวากันหรอก”

“คุณยาย! ไปชวนเขาทำไม เขาไม่ว่างหรอก วุ้ย! ธุระเขาเยอะแยะ”

“ว่างครับ ได้ครับ...งั้นเดี๋ยวผมขับรถให้ก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มยิ้มแป้น แต่ปลายดาวแทบจะอยากเข้าไปฉีกเนื้อเขาออกเป็นชิ้นๆ สาระแนไม่เข้าเรื่องแบบนี้ แล้วจะมาหาว่าเธอไม่เตือนทีหลังก็แล้วกัน

รถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำคันใหญ่ เปลี่ยนคนขับจากพี่เดือนมาเป็นคุณเตชิต ด้วยเหตุผลที่แสนจะน้ำเน่าของเขาเองว่า...เขาไม่เคยชินกับการปล่อยให้สุภาพสตรีขับรถโดยที่เขาได้แต่นั่งสบายเป็นคุณชาย ดังนั้นเขาจึงขอเป็นผู้รับผิดชอบชีวิตของสาวสวยทั้งสี่คนนี้เอง พี่เดือนหัวเราะคิกแล้วยอมส่งกุญแจให้แต่โดยดี ในขณะที่ปลายดาวได้แต่ค้อนจนตากลับ

“แล้วรู้จักกับยัยดาวได้ยังไง ฟังจากที่คุณเล่าแล้วไม่ค่อยมีอะไรให้เกี่ยวข้องกันสักเท่าไหร่ ติดต่อกันเรื่องงานรึ”

คุณยายซึ่งนั่งเคียงคู่มากับคุณเตชิตที่ด้านหน้าถามขึ้น หลังจากที่ได้ฟังเขาสาธยายชีวิตส่วนตัวมาได้สักพักหนึ่ง ชายหนุ่มคงไม่รู้หรอกว่าคุณยายของเธอมีวิธีการผูกเรื่องราวให้เป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างง่ายดาย และวิธีการต้อนเหยื่ออย่างแยบยลนี้ ก็ได้ผลเสมอมาเสียด้วย

“วรนนท์เขาเป็นเพื่อนกับน้องสาวผมครับ เราก็เลยมีโอกาสได้รู้จักกัน”

ปลายดาวอยากจะบอกทุกคนเหลือเกินว่า ถึงจะได้คำตอบอะไรจากเขามามันก็เท่านั้นแหละ เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันก็แค่การตกกระไดพลอยโจนเฉยๆ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมารับผิดชอบชีวิตเธออย่างที่เขาได้แอ่นอกปกป้องเธอให้รอดพ้นเงื้อมมือคุณหญิงดวงใจนั่นเสียหน่อย...ก็แค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าคุณยายจะอยากไปรู้จักมักจี่เขาให้ได้อะไรขึ้นมานะ

“แล้วเป็นไงมั่งล่ะ หลานสาวฉัน”

“ก็...” ชายหนุ่มอมยิ้มแอบเหลือบมองเธอจากกระจกหลังแว่บหนึ่ง “ก็น่ารักดีครับ”

“แล้วรักหรือเปล่าล่ะ”

“คุณยายล่ะก็...วุ้ย! ถามอะไรก็ไม่รู้เนี่ย คนกำลังขับรถ เดี๋ยวก็ได้เสยเกาะกลางถนนกันบ้างหรอก”

ปลายดาวแทรกขึ้นอย่างหงุดหงิดรำคาญใจ แต่คำพูดเธอก็เหมือนสายลมบางเบาที่พัดผ่านหูคุณยายไปเท่านั้น

“ฉันถามว่ารักหรือเปล่า”

"เอ่อ...คือ...ผมคิดว่ามันอาจต้องใช้เวลา นอกจากผมจะต้องพิสูจน์ตัวเองแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับว่าดาวจะให้โอกาสผมด้วยหรือเปล่า คุณยายช่วยเชียร์หน่อยสิครับ” ท้ายประโยคเขามีเสียงหัวเราะแทรกขึ้นเบาๆ

“นี่อย่ามาประสาทต่อหน้าพ่อแม่พี่น้องฉันนะ!”

“คุณสนิทกันมานานแล้วรึ ขอโทษนะ ฉันยังไม่เคยได้ยินยัยปลายดาวพูดถึงคุณให้ฟัง”

“ได้สักระยะหนึ่งแล้วฮะ”

“แล้วทางบ้าน...ฉันหมายถึงครอบครัวคุณเขาไม่ว่าเอารึจ๊ะ...ฉันหมายถึงว่าลูกเมีย...เอ่อ...ขอโทษทีที่ต้องพูดตรงๆ ฉันดูจากอายุอานามคุณก็ไม่น้อย เดาว่าน่าจะมีครอบครัวแล้ว หรืออย่างน้อยก็อาจจะเคยมี ฉันพูดถูกหรือเปล่า”

“ถ้าหมายถึงครอบครัว ผมมีแค่คุณแม่ที่อยู่เยอรมันกับน้องสาวอีกคนหนึ่ง แต่ถ้าหมายถึงแฟนหรือภรรยา ผมยังไม่ได้แต่งงานครับ”

เขาตอบหนักแน่นเหมือนเตรียมคำตอบมาแล้วจากบ้าน ซ้ำยังดูมีสมาธิมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อถึงคราวต้องตอบแบบสอบถามของหญิงชรา ท่านเหลือบมองลูกสาวเหมือนสื่อสารอะไรบางอย่างกันอยู่แว่บหนึ่ง

“แต่ฉันก็ไม่เชื่อว่าผู้ชายอย่างคุณ จะไม่มีผู้หญิงมาติดพันเอาเสียเลย คุณคบหากับใครอยู่หรือเปล่าล่ะ”

“เปล่าครับ”

“เอาล่ะ ขอบใจที่ตอบคำถามฉัน” คุณยายถอนใจดูเหมือนจะหมดข้อสงสัยแต่เพียงเท่านี้ “ที่จริงแล้วฉันก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของเด็ก แต่ที่ถามเพราะต้องการความมั่นใจ ให้แน่ใจว่าหลานฉันจะไม่โดนหลอก ปกติฉันจะรู้จักเพื่อนๆของหลานทุกคน แต่ยกเว้นคุณ คงไม่ว่าอะไรนะ”

“มิได้ครับ คุณยายอยากทราบเรื่องอะไร ถามได้ครับ ผมยินดีตอบ”

“ท่าทางคุณก็ดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ยังไงก็ตามฉันก็อยากให้ค่อยๆศึกษานิสัยใจคอกันไปเรื่อยๆก่อน...ถือว่าให้เวลาสำหรับทั้งคุณแล้วก็ยัยดาวหลานฉันด้วย ถ้าเผื่อวันหนึ่งจะมีใครเปลี่ยนใจจะได้ไม่ต้องมาโทษกันทีหลัง”

“ผมรอได้ครับ ถ้าผมบอกว่ารอ...ผมรู้ว่าผมจะไม่เปลี่ยนใจ คุณยายเชื่อใจผมนะครับ”

“ท่าทางคุณก็ดูมั่นคงดีอยู่หรอก แต่หลานฉันนี่สิ ยังเหมือนเด็กไม่รู้จักโตอยู่เลย”

“วุ้ย! คุณยายพูดเหมือนหนูอายุสักสี่ห้าขวบ...หนูอายุครบยี่สิบเจ็ดมาตั้งหลายเดือนแล้วนะ”

“เงียบเหอะน่า”

คุณสิรีกระทุ้งสีข้างลูกสาวคนเล็กเบาๆเป็นเชิงเตือน หากปลายดาวก็ยังไม่วายเถียงขึ้นทันควันตามประสาลูกที่รักแม่เหลือเกิน

“ใช่สิ แม่ก็ต้องเข้าข้างคุณยายอยู่วันยังค่ำแหละ ใช่ซี้...แม่ลูกกันนี่”

“น้อยๆหน่อย” คนเป็นแม่ปราม “จะฟังเฉยๆโดยไม่เถียงสักวันได้มั้ย”

“โธ่...วันนี้มันวันอะไรนะ ทำไมหนูพูดอะไรก็ผิดไปหมด แล้วหนูจะบอกอะไรให้นะ...คุณยายไปหลอกถามคุณเตชิตยังงั้น คงจะได้คำตอบหรอก เขาขับรถอยู่ไม่มีสมาธิตอบคำถามคุณยายหรอกค่ะ”

“ไม่รู้อะไรก็เงียบไปเหอะเธอ”

พี่เดือนที่นั่งเงียบมาตลอดทางขัดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ หล่อนกระซิบกระซาบอยู่ริมใบหูน้องสาวอย่างกึ่งขันกึ่งหงุดหงิดในความช่างพูดไม่รู้จักจบสิ้น

“พ่อเคยบอกว่า เวลาจะเค้นเอาความจริงจากผู้ชาย ให้ถามตอนขับรถ เพราะเขาจะใช้สมาธิในการขับรถ สมองจะไม่มีเวลาคิดเรื่องโกหก ดังนั้นคำตอบที่ได้มากกว่าครึ่งจะเป็นเรื่องจริง”

“โว้ว....ฉลาดล้ำโลกมากๆ” ปลายดาวตบเข่าตัวเองดังฉาด “แล้วพ่อไปเอาเคล็ดลับนี้มาจากไหนอ่ะ เท่แฮะ”

ภายในรถเงียบกริบก่อนที่เสียงหัวเราะจะระเบิดออกมาพร้อมกัน เมื่อพี่เดือนยอมเผยความลับของมารดาที่น้อยคนนักจะได้รู้ว่า...

“ตอนพ่อจีบแม่ใหม่ๆ คุณตาก็ใช้วิธีนี้แหละ ได้ผล...พ่อชนะใจคุณตาท่วมท้น แต่ตอนนี้คุณตากับพ่อไม่อยู่แล้วไง คุณยายก็เลยต้องออกศึกแทน นี่ถ้าพ่อยังอยู่ล่ะก็...คุณเต้เดือดร้อนแน่”

สี่สาวหัวเราะครื้นเครงทำเอาชายหนุ่มคนเดียวในที่นั้นเผลอหัวเราะตามไปด้วย...ดูเหมือนเขาจะหลงเสน่ห์ความน่ารักของครอบครัวเล็กๆครอบครัวนี้เสียแล้ว

ใช้เวลากว่าค่อนวัน สำหรับการเดินทางไปไหว้พระและแวะเที่ยวสถานที่ที่น่าสนใจระหว่างทาง กว่าจะกลับออกมาจากฉะเชิงเทราได้ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว พี่เดือนกลับมาส่งปลายดาวและคุณเตชิตที่บ้านอีกครั้งก่อนจะพาคุณยายและแม่กลับไปยังบ้านสวนฝั่งธน ยิ่งใกล้ค่ำบรรยากาศก็ยิ่งดูโพล้เพล้เงียบเหงา คุณเตชิตแวะเข้ามานั่งเล่นที่ม้านั่งหินอ่อนหน้าบ้านอย่างอ้อยอิ่งเหมือนไม่อยากกลับ ทั้งที่ปลายดาวอยากจะใช้เวลาส่วนตัวตามลำพังเต็มแก่แล้ว

“คุณยายคุณน่ารักจัง...ท่าทางจะหวงคุณน่าดู”

อยู่ๆเขาก็พูดถึงคุณยายขึ้นมา ทั้งที่แยกจากกันตั้งนานแล้ว

“ไม่หวงหรอก...แต่เราเป็นคู่กัดกัน เถียงกันประจำแหละ เวลาเถียงกันทีไร พ่อชอบบอกว่ายักษ์ใหญ่ไล่ยักษ์เล็ก แต่ฉันก็แพ้คุณยายทุกที”

“ก็นั่นแหละ ผมถึงบอกว่าคุณยายน่ารักไง อ้อ!...ดาว เรื่องทั้งหมดที่ผมพูดกับคุณยายน่ะ...”

“เรื่องคุณหญิงดวงใจน่ะหรือ โอเค...ฉันเข้าใจ ไม่ต้องอธิบายหรอก ฉันไม่คิดมาก เป็นฉันก็ต้องทำแบบคุณ”

“เดี๋ยวก่อน” เขาทำสุ้มเสียงขบขัน แล้วฉุดมือเธอให้นั่งลงข้างๆ “ผมหมายถึงเรื่องของเรา ผมจะบอกว่า ทั้งหมดที่ผมพูดไป ผมพูดจริงนะ ไม่ใช่แก้ตัวไปแบบขอไปที ผมจริงจังนะดาว”

“จริงจังกับฉันน่ะเหรอ...ฉันว่ามันเร็วเกินไปค่ะ” เธอมองหน้าเขาอย่างค้นหา “ฉันว่าคุณแค่หวั่นไหวเวลาอยู่ใกล้คนหน้าตาดีอย่างฉันมากกว่า ผู้ชายคนไหนก็เป็น ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันชินแล้ว...เดี๋ยวพอเราห่างกัน พอคุณไปเจอคนใหม่...เอาง่ายๆ พอคุณกลับไปเจอคุณฝน ขี้คร้านคุณก็จะลืมฉันเองน่ะแหละ”

“ผมกับฝน...”

“จริงๆแล้วฉันไม่ได้อยากจุ้นจ้านเรื่องส่วนตัวของคุณหรอกนะ แค่รู้สึกว่าทำแบบนี้มันไม่แฟร์ พูดตรงๆนะ เรื่องคุณฝน ฉันว่าฉันดูออก คุณไม่ต้องปฏิเสธก็ได้”

“ยังงั้นเชียวหรือ...” เขาย้อนถามยิ้มๆ “นี่ไม่ได้แปลว่าคุณหึงผมใช่มั้ย”

“ฉันจะหึงคุณเพื่อ?”

หญิงสาวยกมือขึ้นหมายจะทุบเขาสักพลั่ก แต่ก็โดนเขาคว้าแขนไว้ได้ มิหนำซ้ำมันยังพาตัวเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างง่ายดาย จนแทบจะเกยไปอยู่บนตักเขาอยู่รอมร่อ

“ถ้าคุณคาใจเรื่องนี้ ผมก็จะบอก...เรื่องระหว่างผมกับฝน ไม่มีอะไรอย่างที่คุณคิดแน่ๆ ผมรู้จักกับฝนมานาน เคยรู้สึกกับเธอยังไงก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม เธอเป็นเหมือนน้อง เป็นเพื่อนและที่ปรึกษาที่ดี แต่มันก็คงแค่นั้น...ผมไม่คิดว่ามันจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้”

“แต่น้ำหยดลงหิน...”

“ทฤษฎีนี้อาจใช้ได้ผลกับคนอื่น แต่คงไม่ใช่ผมแน่” เขาสบตาเธอลึกซึ้งมีความหมาย “ผมเชื่อในสัญชาติญาณและความรู้สึกตัวเองมากกว่า ผมรู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับฝน พอๆกับที่รู้ตัวว่ารู้สึกยังไงกับคุณ”

“แต่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ฉันไม่อยากให้คุณมั่นใจ”

“คุณพูดถึงแต่เรื่องของเวลาจนผมเหนื่อยแทน แต่เชื่อมั้ยว่ามันไม่สำคัญกับผมเลยสักนิด...แทนที่จะให้ปล่อยให้เวลาเป็นตัวตัดสิน ผมว่าถามหัวใจตัวเองก็ได้คำตอบเหมือนกัน ผมอยากให้คุณรู้...ว่าผู้ชายอย่างผมไม่ได้รักใครง่ายๆ แต่ถ้ารักแล้วผมก็เลิกยาก...”

“แล้วคุณรักใครอยู่ล่ะ”

“ก็แล้วผมกอดใครอยู่ล่ะ”

“รักฉันน่ะหรือ...เร็วไปหรือเปล่าคะคุณพี่”

ปลายดาวย้อนถามอย่างติดตลก แทนคำตอบหรือสายตากรุ้มกริ่มอย่างที่เธอคาดว่าจะเป็น คุณเตชิตกลับโน้มใบหน้าลงมาใกล้...ใกล้จนริมฝีปากของเขาบดทับลงมาบนริมฝีปากอ่อนนุ่มของเธอโดยไม่ทันตั้งตัว ปลายดาวตื่นตกใจโดยเฉพาะเมื่อจมูกโด่งแหลมของเขาวนเวียนมาสูดดมความหอมอยู่ตรงพวงแก้มทั้งสอง ก็ทำเอาเธอยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเข่าอ่อน อยากจะขัดขืนดิ้นรนแต่ก็พบว่าไม่สามารถ มิหน้ำซ้ำท่อนแขนที่กางออกเพื่อดันตัวเขาให้ออกห่างก็ยังถูกเขารวบไว้ได้โดยละม่อมอีกด้วย

“คุณเตชิต...พอ...พอก่อน...พอก่อนค่ะ”

เธอระล่ำละลักบอกพยายามจะดันตัวเองให้ออกห่าง แต่ก็พบว่ามันกลับทำให้เธอยิ่งเหมือนตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาแน่นขึ้น ชายหนุ่มอดหัวเราะขันไม่ได้กับท่าทีตื่นตระหนกนั้น ไม่น่าเชื่อว่าในเวลาอย่างนี้แม่เสืออย่างเธอจะกลับกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆตัวเล็กๆไปเสียได้

“เราเคยตกลงกันแล้วนะ...ว่าอย่าทำแบบนี้อีก”

“ผมเคยพูดแบบนั้นด้วยเหรอ คุณคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า ผมว่าผมไม่เคยพูดนะ”

“ขี้โกงนี่”

หญิงสาวสะบัดตัวให้หลุดออกจากอ้อมกอดเขาได้สำเร็จ ลุกขึ้นปัดแข้งปัดขาสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองพร้อมเอ่ยปากเชิญเขากลับบ้านไปได้แล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่ยี่หระ เขายืนขึ้นยักไหล่พร้อมถือวิสาสะเดินเข้าไปในครัวหน้าตาเฉย

“ผมหิวน้ำ ขอดื่มชาร้อนๆสักถ้วยก่อนนะ แล้วผมจะกลับ”

เขาพูดแค่นั้นแล้วก็หายเข้าไปในครัว ทิ้งปลายดาวไว้ที่ม้านั่งหินอ่อนตรงนั้นด้วยสภาพหัวใจที่กระเจิดกระเจิงอยู่ตามลำพัง ทันทีที่ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มลับหายเข้าไปหลังประตูไม้บานใหญ่ ปลายดาวก็พลันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกประหลาดบางอย่าง เป็นความรู้สึกไหววูบวาบหวามแต่ลึกซึ้งแบบเดียวกับที่เธอเคยสัมผัสเมื่อหลายปีมาก่อน แล้วเธอก็ยังไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับใครอีก หญิงสาวยกมือขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง พร้อมเอ่ยออกมาเบาๆเหมือนกลัวตัวเองจะตกใจ

“แย่แล้ว...ปลายดาวเอ๋ย! เธอตกหลุมรักเขาไปแล้วแหงแซะ!”



สิริเสาวภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2554, 21:52:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ต.ค. 2554, 21:52:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1960





<< ตอนที่ 9 << รักแท้ก็เหมือนผี...รู้ว่ามีแต่ไม่เคยโดนหลอก >>   ตอนที่ 11 << การมาของ "ก้าง" ชิ้นใหญ่ >> >>
pseudolife 16 ต.ค. 2554, 01:20:02 น.
น่ารักจริงๆ ตอนนี้


violette 16 ต.ค. 2554, 02:14:38 น.

โอ้ ดาววรู้ตัวเองแล้ว แฮ่
จะมีปมอะไรมาเล่นอีกมั้ยคะ นอกจากนายหนอน
อ่อ หรือเรื่องของนายเต้ในอดีตหว่า รออ่านค่า


Canopus 16 ต.ค. 2554, 11:03:57 น.
ตกหลุมใหญ่มากด้วยเพราะนายเตชิตขุดไว้


anOO 16 ต.ค. 2554, 17:19:20 น.
น่ารักมากเลยนายเต้ เปิดเผยสุดๆๆๆๆ


กานต์นวีร์ 17 ต.ค. 2554, 08:57:53 น.
ก็คุณเต้เค้าออกจะจริงใจ ไม่ให้ตกหลุมได้ไง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account