ฝันรักสุดหัวใจ
เขา..เจ้าพ่อผู้เย็นชา อดีตคู่หมั้นของพี่สะใภ้คนสวย ศัตรูตัวร้ายของครอบครัว

เธอเกลียดเขา แม่เธอเกลียดเขา พี่ชายเธอเกลียดเขา
แม้แต่หมาของเธอยังเกลียดเขาเลย!


สามปีก่อน เธอกับเขาเคยมีเรื่องกันนิดหน่อย และเธอก็ได้สั่งสอนเขาให้หลาบจำไปแล้ว

เส้นทางชีวิตของเธอและเขาคงไม่มีวันบรรจบกันได้อีก ถ้าเขาไม่เที่ยวไปป่าวประกาศให้ใครต่อใคร-รวมถึงพี่ชายและแม่เธอด้วย-ว่าเป็นพ่อของลูกเธอ

อี๋! ไอ้ผู้ชายบ้า
Tags: น้องแพร พี่ตั้ม

ตอน: สาม ใครว่างานหายาก..น้องแพรขอเถียงค่ะว่า ไม่จริ๊ง ไม่จริง!

เจ็ดวันผ่านไป..
แล้วก็ผ่านไปอีกเจ็ดวัน..
นี่สองอาทิตย์ที่ยาวนานเหลือเกินสำหรับพัดแพร เธอรอแล้วรออีก ออนไลน์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง และถึงกับหยิบมือถือเข้าห้องน้ำด้วยเพราะกลัวจะพลาดการติดต่อจากบรรดาบริษัททั้งหลายที่เธอได้ไปสัมภาษณ์
แต่ปรากฏว่ามันเงียบฉี่
ใช่ เงียบฉี่จริงๆ
ไม่มีบริษัทไหนโทรศัพท์หรืออีเมล์มาเรียกตัวเธอสักราย แถมเธอยังได้ข่าวอีกว่ามีหลายที่เริ่มทยอยให้พนักงานใหม่เข้าทำงานแล้วด้วย
เธอคงจะไม่กระสับกระส่ายและวิตกจริตมากขนาดนี้หรอก ถ้ามันไม่ใช่ในตำแหน่งเดียวกับที่เธอสมัครไป
เพราะนั่นหมายความว่า บริษัทเฮงซวยพวกนั้นไม่เลือกเธอน่ะสิ!
แม้แต่บริษัทยัยป้าหน้าเหี่ยวที่เธอคิดว่าเป็นของตายแน่ๆ ก็ยังรับยัยอรอุมา ยี้แหวะ! เพื่อนที่เรียนภาควิชาเดียวกันกับเธอเข้าไปทำงานหน้าตาเฉย
ทั้งๆที่เธอฉลาดกว่า มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า บุคลิกดีกว่า มีความเป็นผู้นำกว่า หุ่นดีกว่า แต่งตัวเก๋กว่า ขับรถหรูกว่า โอ๊ยยย ให้ตายสิ เธอที่มีคุณสมบัติดีกว่าในทุกๆด้าน ชนิดที่ยัยอรเทียบไม่ติดเลยนะ
แต่ทำไมยัยอรกลับได้งานล่ะ
โลกนี้มันบ้าไปแล้ว!
พัดแพรถอนใจหงุดหงิดและหยิบมือถือขึ้นมาจิ้มๆ กดๆ ตรวจดูเพื่อให้แน่ใจว่ามันยังคงใช้งานได้ตามปกติ เผื่อจะมีความหวังเฮือกสุดท้าย แต่แน่ล่ะ มันใช้งานได้ปกติแหงอยู่แล้ว เมื่อคืนนี้ไอ้พี่พจน์ยังโทรมาเยอะเย้ยถากถางเธออยู่เลยนี่
“เชื่อพี่เถอะ ยัยแพร” ไอ้พี่พจน์ใช้น้ำเสียงจริงจัง “ไม่มีที่ไหนเค้ารับเธอหรอก เสียเวลาไปสมัครเปล่าๆ มาทำงานที่บริษัทพี่ดีกว่า พี่จะเคี่ยวเธอตั้งแต่ต้นเลย มีเทคนิคเคล็ดลับอะไรจะสอนให้หมด ให้ตายสิ พี่จะยกตำแหน่งประธานให้เธอเลยก็ได้นะเอ้า”
“ไม่เอาน่าพี่” เธอบอกเซ็งๆ “ก็แพรบอกแล้วไงว่าถ้าเริ่มต้นจากบริษัทพี่ ใครๆ เค้าก็จะคิดน่ะสิว่าแพรเป็นเด็กเส้น แถมยังเส้นใหญ่ด้วย ไม่ได้ขึ้นมาด้วยความสามารถของตัวเองจริงๆ อีกอย่าง ถ้าแพรแยกออกไปตั้งบริษัทของตัวเอง แล้วแบบ บริษัทแพรเป็นคู่แข่งกับบริษัทพี่ล่ะ แล้วเกิดบริษัทพี่เจ๊งขึ้นมาเพราะสู้บริษัทแพรไม่ได้ ใครๆ เค้าจะคิดน่ะสิ ว่าแพรอกตัญญูหักหลังเอาข้อมูลภายในที่เคยรู้ตอนที่ทำงานกับพี่มาใช้ให้บริษัทพี่เสียหาย เพราะฉะนั้น เพื่อตัดปัญหาในอนาคต แพรไปทำงานที่บริษัทอื่นน่ะดีแล้ว”
เธอได้ยินเสียงพี่ชายถอนใจเฮือกใหญ่ผ่านโทรศัพท์ พนันได้เลยว่าไอ้พี่พจน์ต้องกำลังกลอกตาขึ้นฟ้าเวลาฟังเธออธิบายแน่ๆ แถมเธอยังได้ยินเสียงบ่นพึมพำประมาณ ‘เฮอะ! อยากให้เธอมาทำด้วยตายล่ะ’ ด้วย ยี้ ไอ้พี่เฮงซวย!
“ถ้าเธอไม่อยากทำกับพี่จริงๆ เอางี้มั้ย พี่มีเพื่อนที่มีตำแหน่งใหญ่ใช้ได้ในบริษัทดีๆ หลายคนเหมือนกัน พี่จะฝาก..”
“ไอ้พี่บ้า!” เธอสวนขึ้นทันที “แพรเพิ่งพูดไปหยกๆว่าไม่ชอบใช้เส้น อย่างนี้ก็มีค่าไม่ต่างกับทำที่บริษัทพี่เลยสิ”
“เหอๆ แล้วไอ้บริษัทอื่นที่เธอว่าน่ะ เค้าไม่เห็นจะรับเธอสักที่เลยนี่”
กรี๊ดดด กรี๊ดดด กรี๊ดดด หนอยแนะ! พัดแพรระงับอารมณ์ ไอ้พี่พจน์ทำเสียงเยาะๆ แบบที่เธอได้ยินที่ไรเป็นต้องปรี๊ดแตกทุกครั้ง แต่จะให้ไอ้พี่พจน์รู้ว่าเธอโกรธเพราะคำพูดจี้ใจดำนี่ไม่ได้หรอก
“แหมๆ พี่ก็” เธอหัวเราะน้อยๆ ด้วยน้ำเสียงขบขัน ทั้งๆ ที่ในใจกำลังวิตกจริต “ที่ผ่านๆ มา แพรตั้งใจทำให้ตัวเองตกสัมภาษณ์เองแหละ บริษัทกระจอกๆ ที่มีแต่คนโง่ๆ พวกนั้นแพรไม่คิดจะไปทำงานด้วยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“โอ งั้นเหรอ นั่นสินะ พี่ลืมไป เธอมันเก่งเลือกได้นี่” พี่เธอทำเสียงเข้าใจแบบเสแสร้งสุดๆ “แล้วบริษัทโชคดีนั่นคือที่ไหนล่ะ”
อี๋ จำไว้เลยนะ! “อ๋อ แพรเลือกไว้แล้ว แพรชอบพวกบริษัทในเครือของพัฒนอินดัสทรีส์น่ะ” เธอโพล่งชื่อบริษัทเดียวที่เธอนึกออก เพราะมีนัดสัมภาษณ์ในวันรุ่งขึ้น “ที่นี่เหมาะแก่การเริ่มต้นที่สุด”
“พัฒนอินดัสทรีส์เนี่ยนะ เธอรู้รึเปล่าว่าที่นั่นมีเกณฑ์รับพนักงานที่หินยิ่งกว่าบริษัทพี่ซะอีกแน่ะ” ไอ้พี่พจน์หัวเราะก๊าก แล้วก็พูดต่อตามประสาคนขี้โอ่ “ถึงในแต่ละปี บริษัทพี่จะทำเงินได้มากกว่าก็เหอะ”
ยี้ หมั่นไส้เป็นบ้า! “เชื่อสิ พอแพรเข้าไปทำงาน มันจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว”
ไอ้พี่พจน์หัวเราะไม่เลิก “พี่อดใจรอไม่ไหวเลยนะเนี่ย”
และนั่นทำให้เวลานี้ - ตีสี่หน้าสิบ ก่อนเวลาสัมภาษณ์สี่ชั่วโมงสิบนาที – เธอก็ยังคงกลุ้มไม่หาย
พัฒนอินดัสทรีส์เป็นบริษัทแห่งเดียวที่เหลืออยู่ซึ่งเรียกเธอไปสัมภาษณ์ ที่นี่เป็นความหวังสุดท้าย และถ้าเธอพลาดเหมือนที่อื่นๆ อีก ก็หมายความว่า เธอจะต้องซมซานกลับไปของานพี่ชาย ซึ่งแน่นอนเลยว่า เธอจะถูกไอ้พี่พจน์หัวเราะเยาะ อับอายอัปยศไปชั่วชีวิต แล้วไหนจะคนอื่นๆที่เธอได้เล่าแผนการในอนาคตให้ฟังด้วยอีกล่ะ โอ๊ยยยย! แล้วฉันจะมีหน้าไปเจอคนพวกนั้นได้ยังไง!
หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ ทางออกเดียวที่แว็บเข้ามาในหัวตอนนั้นคือ แกล้งทำเป็นเปลี่ยนใจกระทันหัน แล้วไปเรียนปริญญาโทซะ แต่เรื่องของเรื่องคือ ป.โทสาขาที่เธออยากเรียน - ในมหาวิทยาลัยดีๆ มีชื่อเสียงสมศักดิ์ศรีระดับสติปัญญาของเธอ ไม่ว่าจะเป็นในหรือต่างประเทศ – ต่างระบุคล้ายๆ กันหมดว่า ถ้าผู้สมัครได้เกรดเฉลี่ยตอนปริญญาตรีไม่ถึงสามจุดศูนย์ หรือบางที่สามจุดห้า – แหวะ! จะเอาอะไรกันมากมาย – จะต้องมีประสบการณ์การทำงานมาก่อนอย่างน้อยสองปี เฮอะ ก็เท่ากับว่ากลับมาที่ปัญหาเดิม คือเธอต้องหางานทำไงล่ะ
ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม วันนี้เธอจะต้องสัมภาษณ์งานให้ผ่านให้ได้!
แล้วจะทำยังไงล่ะ?
อุ๊ย จริงสิ!
เหมือนที่เค้าว่ากันไว้ การเรียนรู้จากความผิดพลาดเป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุด พัดแพรเป็นคนฉลาด วินาทีนั้นเองที่เธอตระหนักได้ว่า ในการสมัครและสัมภาษณ์งานที่ผ่านๆมา เธอดำเนินกลยุทธ์ผิดวิธีมาตลอด
ผิดมหันต์แบบสุดๆ เลยด้วย
ให้ตายสิ เธอน่าจะคิดได้นะ ว่าทำไมพวกบริษัทถึงสนใจข้อมูลทั่วๆ ไปที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับความสามารถและคุณสมบัติอันแสนงามเริดเฉิดฉายของเธอเท่าไหร่เลย
ถึงเกรดเฉลี่ยของเธอจะ - เฮ้อ - น้อยไปนิด แต่เธอจบมาจากหมาวิทยาลัยชั้นนำที่มีชื่อเสียงด้านวิชาการเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ดังนั้นด้วยจำนวนผู้สมัครที่มีมากมาย จะให้มาตรวจสอบคุณสมบัติเป็นรายบุคคลก็คงจะไม่เข้าท่า พวกนั้นก็เลยเหมารวม - แน่ละ แบบผิดๆ นะ - เอาว่าผู้สมัครทุกคนที่จบมาจากที่เดียวกันนั้น มีคุณสมบัติเท่ากัน แต่สิ่งที่ต่างกันคือ ภูมิหลังและสภาพชีวิตของแต่ละคน
ลองนึกดูสิ ถ้าจะเปรียบเทียบเธอกับยัยอร บ้านเธอฐานะดี มีแม่เป็นคุณนายไฮโซออกงานใส่เครื่องเพชรวูบๆ วาบๆ เม็ดโตชนิดกระแทกหัวควายตาย มีพี่ชายเป็นนักธุรกิจพันล้าน มีพี่สะใภ้เป็นหลานสาวเจ้าพ่อตัวเอ้ที่มีอิทธิพลมหาศาล แน่ล่ะ ใครๆ ก็ต้องรู้ว่าเธอไม่เคยลำบากตรากตรำ มีโอกาสศึกษาหาความรู้และทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยเต็มที่ แต่ในขณะที่ยัยอรบ้านจน ต้องทำงานพิเศษเอาเครื่องสำอางค์ขายตรงมาตื้อขายให้เพื่อนๆ กับอาจารย์หาเงินสมทบเป็นทุนการศึกษาแบ่งเบาภาระพ่อแม่ ชีวิตลำบากยากเข็ญแต่ก็ยังอุตส่าห์เรียนจนจบ เพราะอย่างนี้ไง ยัยป้าหน้าเหี่ยวถึงได้เลือกยัยอรแทนที่จะเป็นเธอ
แม้แต่คนโง่ๆ ยังมองออกเลยว่า ถึงเธอจะไม่ได้ทำงานเธอก็ไม่เดือดร้อน เพราะยังไงก็มีงานที่บริษัทไอ้พี่พจน์กับมรดกคุณนายแม่คอยซัพพอร์ทสบายๆอยู่แล้ว
ด้วยเหตุผลดังนี้แล เธอก็เลยต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ นั่นคือ..
ในการสัมภาษณ์งานครั้งนี้ เธอจะต้องทำตัวให้ดูแร้งแค้นน่าสงสารเข้าไว้
เธอเริ่มจากแก้ไขยกเครื่องเอกสารฉบับเต็มเกี่ยวกับตัวเธอที่จะเอาใช้ประกอบการสัมภาษณ์ใหม่ทั้งหมด เขียนให้ชีวิตตัวเองดูมีสีสัน น่ารักแต่รันทด นิยายน้ำเน่าที่แม่ชอบเอามายัดเยียดให้เธออ่านช่วยได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ เอกสารเกี่ยวกับตัวเธอเวอร์ชั่นปรับปรุงใหม่สิบสองหน้าเอสี่ทำเสร็จออกมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว หุหุ ก็คนมันเก่ง!
แล้วเธอก็วิ่งเข้าห้องน้ำ เอาชุดอาร์มานี่ที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเก็บเข้าตู้ เสียเวลาลองเสื้อกับกระโปรงแบรนด์ไทยที่ซื้อเล่นไปงั้นๆ อยู่ห้าชุด และตัดสินใจเลือกสูทสีขาวไข่มุกที่เธอลองเป็นชุดแรก ถ้าไม่นับพวกเสื้อยืดกีฬาที่เอาไว้ใส่ซ้อมมวย ชุดสูทตัวนี้เป็นเสื้อผ้าที่ราคาถูกที่สุดที่เธอมี แต่กระนั้นตอนที่ไปช็อปปิ้งด้วยกัน ไอ้พี่พจน์ – คนจ่ายเงิน – ก็ยังมิวายบ่น
“ยัยตัวแสบ สี่พันนี่ยังว่าถูกอีกเรอะ!”
เฮ้อ พี่เธอก็เงี้ยแหละ มีตาหามีแววไม่
ดูจากเนื้อผ้า แพทเทิร์น และการตัดเย็บ แค่สี่พันนี่ถือว่าถูกมากๆ เลยล่ะ
“ว่าไงริต้า” เธอหันไปถามริต้าที่กระดิกหางดิ๊กๆ อยู่ข้างๆ “แกว่าฉันโอเคมั้ย”
ริต้าเอียงคอ หางโตๆ ของมันส่ายเป็นจังหวะว่า สวย-ที่-สุด สวย-ที่-สุด สวย-ที่-สุด
“ใช่ ฉันก็ว่าอย่างนั้น” เธอยิ้มกับกระจก “สวยดูดี ไม่แพงแต่มีรสนิยม”
ริต้าครางหงุงหงิง
เธอหัวเราะและเกาหูให้มัน “ใช่ เจ้าหนู คราวนี้ฉันต้องได้งานทำแน่”
เจ็ดโมงครึ่งเธอก็เดินออกจากคอนโดด้วยรอยยิ้ม แสงอาทิตย์ยามเช้าทอแสงสดใส ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ก้อนเมฆสะท้อนแสงเป็นสีทอง แม้จะเกือบเข้าหน้าร้อนแล้ว แต่เวลานี้กรุงเทพยังคงมีลมพัดอ่อนๆ ไม่อบอ้าวเหมือนทุกๆ ปี พัดแพรยิ้มกว้าง วันนี้ช่างเป็นวันที่สวยงาม เหมือนอนาคตของเธอไม่มีผิด
เพราะคงจะไม่มีใครคิดสงสารคนที่ขับรถลัมเบอร์กินี่แน่ๆ พัดแพรจึงเลือกที่จะใช้ระบบขนส่งมวลชนแทน เธอยังคงยิ้มและทบทวนสิ่งต่างๆ ที่จะต้องพูดและตอบคำถามระหว่างที่เบียดเสียดคนแน่นจนแทบแบนในรถไฟฟ้า แต่ทุกสิ่งทุกเริ่มไม่เข้าที่เข้าทางและผิดเพี้ยนไปหมดนับตั้งแต่เมื่อเธอแปะตั๋วออกมาจากสถานี เนื่องจากรถเมล์สายที่เธอต้องขึ้นต่อกำลังวิ่งออกจากป้ายพอดี และไม่ว่าจะวิ่ง ตะโกน กระโดด หรือกรี๊ดเสียงดังแค่ไหน รถเมล์เฮงซวยนั่นก็ไม่ยอมถอยกลับมารับเธอ
เธอพ่นลมในจมูกอย่างหงุดหงิด ยกนาฬิกาขึ้นมาดู และแทบอยากจะกรี๊ดปรี๊ดแตกอีกรอบ แอร๊ยยย ฉันคำนวนเวลาพลาดไปได้ยังง๊ายยย! แล้วก็รีบวิ่งหน้าตั้งไปยังป้ายจอดแท็กซี่ แต่เวลานั้นเอง จู่ๆ ฟ้าก็มืดสนิทและฝนก็ตกลงมาหน้าตาเฉย
ลองคิดดูละกัน ชั่วโมงเร่งด่วนของเช้าวันจันทร์ในท้องถนนของกรุงเทพที่ฝนเริ่มตก
วันที่สดใสสวยงามก็กลายเป็นนรกไปไงล่ะ
เวลานี้พัดแพรอยู่ในแท็กซี่ สถานีรถไฟฟ้าอยู่ห่างจากสำนักงานใหญ่พัฒนกรุ๊ปแค่สี่บล๊อก แต่เธอติดแหงกอยู่กลางถนนมาได้เกือบสี่สิบห้านาทีแล้ว
เธอยกนาฬิกาดูอีกรอบ อุ๊ยตายว๊ายกรี๊ด แปดโมงสี่สิบแปด!
ให้ตายสิ ฉันพลาดงานนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ!
ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี!
เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เหลืออีกแค่สองบล๊อก ถ้าเธอวิ่งไป อาจจะใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที อืม..ฝนตกไม่หนักเท่าไหร่ด้วย
“พี่คะ” เธอบอกคนขับ “หนูลงตรงนี้เลยละกันนะ”
ระหว่างที่หยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์มาจ่ายตามราคามิเตอร์ คนขับแท็กซี่ก็ส่งถุงพลาสติกใบใหญ่ให้เธอใช้คลุมหัว เธอยิ้มของคุณ และผูกหูถุงไว้ใต้คาง สูดลมหายใจลึกๆ ก่อนพุ่งออกจากตัวรถที่จอดอยู่กลางถนนท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
ทว่าพอเธอวิ่งไปได้จนอีกแค่นิดเดียวก็จะถึงตึกพัฒนกรุ๊ปอยู่แล้ว ฝนจากที่ตกแหมะๆ ก็กลายเป็นพายุคลั่ง ลมพัดโหมกระหน่ำ ถุงพลาสติกที่ครอบหัวปลิวหายไปในอากาศ เม็ดฝนซัดสาดแรงขึ้น แทนที่จะเป็นแค่หัวไหล่ ตอนนี้เธอเปียกโชกไปทั้งตัว
พัดแพรเร่งฝีเท้า ทางเข้าหน้าตึกกลายเป็นแอ่งน้ำ – สกปรกดำๆด้วยนะ - เพราะฝนที่ตกหนัก รองเท้าส้นสูงของไนน์เวสที่ซื้อมาตอนลดราคาไม่ได้ถูกออกแบบมาให้มีดอกยางเพื่อเกาะพื้นแบบรองเท้าทหาร เมื่อเธอกระโจนข้ามแอ่งน้ำ – สกปรกดำๆด้วยนะ - ขาขวาของเธอลื่นไถล แล้ววินาทีต่อมา เธอก็ล้มหงายหลัง แผ่แปะอยู่กลางแอ่งน้ำ - สกปรกดำๆด้วยนะ อี๋! - จุกจนพูดไม่ออก
คนเดินถนนรวมถึงพนักงานที่ยืนหลบฝนที่ใต้หลังคาของตัวตึก พากันหันมามองเป็นตาเดียว แต่ไม่ใครคิดจะมาช่วยเธอสักคน ศิลธรรมของคนเมืองจะเสื่อมทรามเกินไปแล้ว!
และทั้งๆ ที่บั้นท้ายปวดบวมตุ่ย แต่เธอก็กัดฟันพยุงร่างที่แช่น้ำอยู่ครึ่งตัวขึ้นมายืนได้สำเร็จ ถุงน่องเธอขาดเป็นรูริ้วๆ ชุดสูทสีขาวไข่มุกแสนสวยสะอาดสะอ้านกลายเป็นประวัติศาสตร์ น้ำฝนไหลจากหน้าหน้าผากเธอเป็นทางหยดติ๋งๆ
บรรดาคนศิลธรรมเสื่อมทรามที่ยืนหลบฝนยังคงจ้องมองเธออยู่ เธอเชิดหน้า หมุนตัวเดินตรงไปยังทางเข้าตึก และเมื่อใช้ไหล่ดันประตูเข้าไปในล็อบบี้
ฝนก็หยุดตกอย่างปุ๊บปับ
“ให้มันได้อย่างนี้สิ!”
พัดแพรก่นด่าธรรมชาติเฮงซวย เสียงของเธอคงดังไปหน่อย เพราะผู้ชายแก่ๆ อายุราวห้าสิบปลายๆ ท่าทางดูดีมีสกุลที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์หน้าร้านสตาร์บัคส์สะดุ้งและหันมามองเธอหัวจรดเท้า แล้วแววตาของเขาก็อ่อนลงเหมือนกำลังสงสารผสมกับขบขันสภาพลูกหมาตกน้ำของเธออย่างที่สุด
ถ้าความอับอายทำให้คนร้องไห้ได้ เวลานี้เธอรู้สึกว่าน้ำตาเริ่มเอ่อคลอออกมาหน่อยนึงแล้ว
แต่กระนั้นเธอก็ยังคงเชิดหน้า และสบตาด้วยแบบ ‘ชั้นมั่นใจมีอะไรมั้ยยะ’ จนตาแก่นั่นต้องหลบตาเธอไป
เธออยากไปดูสารรูปตัวเองที่ห้องน้ำก่อนแต่ไม่มีเวลา จึงทำได้แค่ลูบผม – ซึ่งตอนนี้น่าจะกลายเป็นเหมือนสาหร่ายทะเลหยึกหยึย – กับสูดลมหายใจลึกๆ เท่านั้น และเดินไปยังโต๊ะของพนักงานประชาสัมพันธ์ ที่เงยหน้าขึ้นมาอ้าปากค้างตกใจเมื่อเห็นสภาพของเธอ ก่อนจะปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วและยิ้มให้อย่างสุภาพสมเป็นมืออาชีพ
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ”
“ดิฉันพัดแพร มีนัดสัมภาษณ์งานเก้าโมงน่ะค่ะ”
“เก้าโมงเหรอคะ” ประชาสัมพันธ์ขมวดคิ้วระหว่างที่พิมพ์ๆ กดๆ ดูข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ “เอ๋ แต่ตามตารางของฝ่ายบุคคล นัดของคุณพัดแพรเป็นตอนแปดโมงนี่คะ”
“ไม่ค่ะ” เธอส่ายหน้า “พวกเขานัดดิฉันมาเก้าโมงค่ะ คุณช่วงลองเช็คอีกทีได้มั้ยคะ”
“ค่ะ” ประชาสัมพันธ์รัวนิ้วกดๆ คอมพิวเตอร์อีกรอบ และบอก “นัดของคุณพัดแพร..อืม.. แปดโมงค่ะ”
กรี๊ดดด อย่าบอกนะว่าฉันจำเวลาผิด!
หัวใจเธอตกไปอยู่ที่ใต้ตาตุ่ม ปากเธอเริ่มสั่น และไม่ใช่เพราะความเย็นจากเครื่องปรับอากาศด้วย “ดิฉันเชื่อว่าต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ เลยค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่นะคะ ดิฉันจะโทรถามทางแผนกบุคคลให้ค่ะ” ว่าแล้วประชาสัมพันธ์ก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสาย
ระหว่างนั้นพัดแพรก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองจากกระเป๋าสะพายขึ้นมาเพื่อดูกล่องรับอีเมล์ และอ้าปากค้าง โอ ไม่จริ๊ง! เป็นไปไม่ด๊ายยยย
มันเป็นอย่างที่เธอคิดเลย อีเมล์ที่บริษัทนี้ส่งมาให้มีการเน้นตัวหนา แปด-จุด-ศูนย์-ศูนย์ ตัวใหญ่มาก!
เธอเก็บมือถือเข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็วเพื่อซ่อนหลักฐาน คู่มือสมัครงานบอกว่า มีโอกาสน้อยมากที่คนไม่ตรงต่อเวลาจะได้งานทำ ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม
แต่ถ้าเป็นการมาสายเพราะความผิดพลาดจากระบบของตัวบริษัทเอง กรณีนี้จะเอามาเป็นข้อประกอบการพิจารณาไม่ได้หรอก จริงมั้ย
เธอพยายามทำใจให้สบาย และถึงกับยิ้มให้ประชาสัมพันธ์ด้วย ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ถ้าฉันบอกว่าเก้าโมง มันก็ต้องเก้าโมงนั่นแหละ ฮ่าฮ่า
ประชาสัมพันธ์วางสายและหันมายิ้มเจื่อนๆใหเธอ “ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ แผนกบุคคลกำลังมีสัมนาประจำแผนกน่ะค่ะ เพิ่งเริ่มเมื่อสักครู่นี่เอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอโบกมือ “ดิฉันนั่งรอแถวนี้ได้”
ประชาสัมพันธ์ทำหน้าไม่สบายใจ “การสัมนานี่กินเวลานานทั้งวันเลยค่ะ เกรงว่าวันนี้คุณพัดแพรคงต้องกลับไปก่อนนะคะ”
“งั้นคุณช่วยนัดเวลาใหม่ให้ดิฉันได้มั้ยคะ”
“ดิฉันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ คุณต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่แผนกบุคคลเองโดยตรงค่ะ”
ทำอย่างนั้นก็ต้องอีเมล์ไป แล้วพวกนั้นก็จะฉุกใจไปลองตรวจดูน่ะสิว่าส่งเมล์มานัดเก้าโมงจริงรึเปล่า ไม่ได้ๆ ไม่ได้เด็ดขาด!
“บริษัทคุณนัดดิฉันมาเก้าโมง ดิฉันก็มาเก้าโมง” เธอพูดหน้าตาย “คุณลองเอาตัวเองเป็นดิฉันดูสิคะ ทั้งๆที่ฝนตกและบ้านอยู่ไกลมาก รวมทั้งการเดินทางมาที่นี่ก็แสนจะลำบาก แต่ดิฉันก็ยังมาตามนัดที่พวกคุณได้แจ้งไว้ทุกประการ แล้วพอเกิดความผิดพลาดเรื่องเวลา ซึ่งไม่ใช่ความผิดของดิฉันเลยแม้แต่น้อย คุณก็บอกให้ดิฉันกลับไปเสีย ดิฉันเข้าใจและไม่ได้ต้องการเรียกร้องอะไรเลยนะคะ ดิฉันต้องการเพียงเวลานัดหมายใหม่เท่านั้นเอง” เธอใช้น้ำเสียงให้ฟังดูเหมือนสิ้นหวังท้อแท้ในช่วงท้ายๆ หลุบตาลงและช้อนสายตาอ้อนๆ ขึ้นสบตา “ได้โปรดเถอะ ช่วยดิฉันด้วยนะคะ”
“ดิฉันก็อยากจะช่วยนะคะ แต่ดิฉันนัดเวลาให้คุณไม่ได้จริงๆค่ะ” ประชาสัมพันธ์ทำหน้าเสียใจไปกับเธอด้วย “อย่างที่บอก คุณพัดแพรต้องติดต่อเจ้าหน้าที่แผนกบุคคลด้วยตัวเอ..”
“มีปัญหาอะไรกันเหรอ” เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายถามแทรกขึ้น
ประชาสัมพันธ์เบนสายตาไปทางด้านหลังของพัดแพร ทำหน้าตกใจเล็กน้อย “คุณพิพัฒน์!”
พัดแพรเอียงคอหันไปดูผู้ชายที่จู่ๆ ก็โผล่มายืนข้างๆ คุณพิพัฒน์ที่ว่าคือผู้ชายแก่ๆ ท่าทางดูดีมีสกุลที่มองเธออย่างสมเพชผสมขบขันจากหน้าร้านสตาร์บัคส์ก่อนหน้านี้ ถ้าถึงขนาดรู้ว่าเธอกับประชาสัมพันธ์กำลังมีปัญหาอะไรบางอย่าง แสดงว่าตาแก่นี่ก็ต้องจับตาดูเธอคุยกับหล่อนตลอดเวลาเลยน่ะสิ อี๋ ส. สระเอือก จริงๆเลย!
“คุณพัดแพรมีนัดมาสัมภาษณ์งานกับแผนกบุคคลค่ะ แต่เกิดนัดเวลาคลาดเคลื่อนกัน ตอนนี้ฝ่ายบุคคลกำลังไปสัมนากันหมด ไม่มีใครปลีกตัวมาสัมภาษณ์ได้” ประชาสัมพันธ์อธิบายเกร็งๆ ดูเหมือนว่าหล่อนจะเกรงใจคุณพิพัฒน์ – ตาแก่โรคจิต - นี่มากทีเดียว “ดิฉันกำลังชี้แจงให้เธอกลับไปก่อนและติดต่อกับแผนกบุคคลเองภายหลังค่ะท่าน”
“อ้อ งั้นสาวน้อยคนนี้ก็มาเก้องั้นสิ ฝ่ายบุคคลเดี๋ยวนี้สะเพร่าขนาดนี้เลยเหรอ”
ประชาสัมพันธ์ทำหน้าอึกอัก “คะ..คงอย่างนั้นมั้งคะ”
“ไม่ไหวๆ ต้องไล่ออกให้หมด” คุณพิพัฒน์บ่นพึมพำแบบไม่ค่อยพอใจนัก
มาถึงตรงนี้ ด้วยปฏิพานไหวพริบอันเฉียบแหลม พัดแพรเดาได้ทันทีว่าตาแก่นี่ต้องมีตำแหน่งบิ๊กเบ้งในบริษัทนี้แน่ๆ เฮ้อ ฉันไม่เลือดเย็นขนาดปล่อยให้คนถูกไล่ออกจากงานเพราะฉันจำเวลาผิดซะะด้วยสิ!
“ฝ่ายบุคคลของที่นี่ไม่ได้บกพร่องนะคะ” เธอรีบส่ายหน้าไม่เห็นด้วย และใช้น้ำเสียงอ่อนหวานแบบนางเอ๊กนางเอกคุยกับคุณพิพัฒน์ “การเข้าใจกันผิดแบบนี้เป็นเหตุสุดวิสัยค่ะ ดิฉันเข้าใจดีและไม่ได้คิดว่าตัวเองต้องมาเก้อหรืออะไรทำนองนั้นเลย” ช่วยชีวิตฝ่ายบุคคลไปเรียบร้อย ก็ตามด้วยสิ่งที่เธอต้องการ “ดิฉันเพียงแต่ต้องการทราบเวลานัดหมายครั้งใหม่เท่านั้นเองค่ะ”
คุณพิพัฒน์มองเธอหัวจรดเท้าอย่างครุ่นคิด
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ฉันจะเป็นคนสัมภาษณ์หนูแทนให้เอง” เขาบอกและยิ้มใจดีให้เธอ “ตามฉันมาทางนี้”
กรี๊ดดด! กรี๊ดดดด! กรี๊ดดดดด! นี่มันเยี่ยมกว่าได้เวลานัดใหม่เยอะเลย! “ค่ะ” พัดแพรยิ้มอย่างสุภาพ แล้วก็ตามคุณพิพัฒน์ไป น้ำสกปรกดำๆ จากเสื้อผ้าและผมของเธอหยดลงพื้นหินอ่อนสีขาวขัดมันตามหลังเป็นเส้นทางจากโต๊ะประชาสัมพันธ์ถึงลิฟท์ตัวที่ใช้เฉพาะผู้บริหาร คุณพิพัฒน์กดชั้นห้าสิบห้าซึ่งเป็นชั้นบนสุดของตึกนี้
ออกจากลิฟท์ เขาก็เบี่ยงตัวให้เธอเดินเข้าไปในห้องทำงานขนาดใหญ่ปูพรมหนาหรูหราไฮโซ ที่ด้านหน้ามีป้ายสีทองอลังการงานสร้างเขียนว่า ‘ประธานกรรมการ’ อุ๊แม่เจ้า ตาแก่นี่ตำแหน่งบิ๊กเบ้งจริงๆด้วยแฮะ! ก่อนจะทำท่าให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ
“คุณสุรี ถ้ามีโทรศัพท์เข้ามาบอกว่าผมไม่ว่างรับสายนะ” เขากดอินเตอร์คอมสั่งผู้ช่วย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องพักผ่อนที่อยู่ติดกัน ไม่นานก็กลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนใหญ่และส่งมันให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ” พัดแพรรับผ้าขนหนูมาเช็ดผมลวกๆ และใช้มันคลุมทับเสื้อผ้าเปียกโชคที่ติดหนึบอยู่กับร่าง ก่อนจะเปิดกระเป๋าถือ หยิบเอกสารประวัติย่อของเธอที่มุมกระดาษชื้นนิดๆ ออกมา เธอเชิดหน้าขึ้น ยิ้มมั่นใจให้คุณพิพัฒน์เห็นว่า แม้จะอยู่ในสภาพลูกหมาตกน้ำน่าสมเพช แต่เธอก็ยังเป็นคนเก่งที่มีประสิทธิภาพเสมอ
“ดิฉันพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์แล้วค่ะ” เธอบอกพร้อมกับส่งเอกสารให้เขา
คุณพิพัฒน์ยิ้มให้เธอ และรับเอกสารมาพลิกๆ ดูอย่างสนใจ “อืม..พัดแพรใช่มั้ย” เขาเริ่มพูดขึ้น
ให้ตายสิ เป็นประธานกรรมการจริงๆ รึเปล่าเนี่ย ในกระดาษตรงหน้าก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าฉันชื่อพัดแพร จะถามไปทำบ้าอะไรอีกยะ! “ค่ะ” เธอยิ้มน้อยๆ แต่พองาม “มันเป็นชื่อที่เก๋และเพราะมากๆ เลยนะคะ คุณว่ามั้ย”
“ใช่ ชื่อหนูเพราะทีเดียว” ตาแก่หัวเราะ “หนูนามสกุลเดียวกับตาพจน์ประธานของไทยกลาสส์เลยนี่ เป็นญาติกันเหรอ”
อุบส์! ลืมไปเลยว่าไอ้พี่พจน์ดังจะตาย อย่างนี้ก็ใช้มุกต้องทำงานหาเลี้ยงพี่ชายปัญญาอ่อนไม่ได้แล้วสิ!
“ค่ะ เขาเป็นพี่ชายของดิฉันเอง”
ตาแก่มองหน้าเธออย่าเพ่งนิพิจ และพูดยิ้มๆ “อืม..ลูกสาวของพิรุณพรรณราย ฉันน่าจะคิดได้นะเนี่ย หนูรูปร่างหน้าตาเหมือนแม่สมัยสาวเปี๊ยบเลย”
อุบส์! ตาแก่รู้จักแม่ด้วยเรอะนี่ อย่างนี้ก็ใช้มุกไม่มีเวลาเรียนเพราะต้องกลับบ้านมาดูแลแม่ที่ป่วยหนักไม่ได้น่ะสิ!
“ทำไมหนูถึงมาสมัครงานที่บริษัทฉันแทนที่ไปทำงานบริษัทพี่ชายล่ะ”
“เพราะที่นี่เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงว่ามีระบบการบริหารจัดการที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง การได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ดีเยี่ยมจะทำให้ดิฉันได้ใช้ความสามารถได้เต็มที่ค่ะ” เธอแกล้งทำหน้าเศร้าๆ “และขอสารภาพนะคะ ดิฉันไม่คิดว่าพี่ชายจะยอมรับฉันเข้าไปทำงานด้วยหรอกค่ะ”
ตาแก่ทำหน้าสงสัยให้เธออธิบายต่อ
“ฉันกับพี่ชายค่อนข้างห่างเหินกันค่ะ เราอายุแตกต่างกันมากเกินไป อีกทั้งเค้ายังเป็นลูกรักของแม่ในขณะที่ฉันแทบจะเข้ากับแม่ไม่ได้เลย และพี่พจน์มักจะกีดกันฉันออกจากครอบครัวเสมอ” ขอโทษนะพี่ แพรโกหกเพราะจำเป็นจริงจริ๊ง! “แม่เองก็ไม่ได้ใส่ใจสนใจดิฉันมานานแล้วด้วยค่ะ ถ้าคุณรู้จักแม่ คุณคงทราบนะคะว่าท่านออกจะ..เอ้อ..หัวเก่านิดๆ เพราะดิฉันเป็นลูกสาว แม่อยากให้ดิฉันเดินตามรอยเท้าแม่ เป็นกุลสตรีไทย เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้อะไรทำนองนั้น”
ตาแก่พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ พิรุณเป็นอย่างที่หนูพูดนั่นแหละ”
“ตอนที่จะเข้ามหาวิทยาลัย ดิฉันรู้ตัวดีว่าชอบตัวเลขและสถิติมาก” ยี้แหวะ! “แต่เมื่อดิฉันบอกแม่ว่าไม่อยากเรียนสาขาคหกรรมอย่างที่แม่ต้องการ แม่ก็ยื่นคำขาดว่าถ้าดิฉันจะเลือกอนาคตของตัวเอง ดิฉันก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วยตัวเองเหมือนกัน”
“หนูพูดจริงรึนี่” ตาแก่ขมวดคิ้วแบบกังขา “ฉันไม่คิดว่าแม่พิรุณจะเป็นคนอย่างนั้นหรอกนะ”
“ดิฉันไม่มีเหตุผลต้องโกหกนี่คะ” นอกจากเพื่อเรียกคะแนนสงสารให้ได้งานเท่านั้นเอง!
ตาแก่คลี่ยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน หุหุ สงสัยจะเชื่อสนิทเลยแฮะ
“แล้วหลังจากนั้นหนูทำยังไงล่ะ”
“ดิฉันทำงานส่งเสียตัวเองเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆด้วยค่ะ”
“หมายความว่าตลอดสี่ปีที่เรียนมหาวิทยาลัย หนูทำงานหาเงินด้วยตัวเองมาตลอดโดยไม่รับความช่วยเหลือจากทางบ้านเลยรึ”
“แน่นอนค่ะ” เธอตอบ “นอกเวลาเรียนระหว่างที่เพื่อนๆ ไปช๊อปปิ้งดูหนังสนุกสนานตามประสานักศึกษาทั่วไป ดิฉันช่วยรุ่นพี่ปริญญาโทเก็บข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ รับจ้างทำรายงานแทนเพื่อน สอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์สถิติให้รุ่นน้องในคณะ และถ้ามีเวลาว่างจากงานอื่นๆอีก ดิฉันก็จะรับแปลเอกสารภาษาอังกฤษกับภาษาจีนค่ะ”
ตาแก่มองเธอด้วยแววตาที่ดูฉลาดเฉลียวสุขุมเจือไปด้วยรอยยิ้ม ถ้าเขาไม่แสดงความโง่ออกมาตอนที่ถามคำถามแรก เธอคงคิดว่าเขารู้ทันไปแล้วจริงๆนะเนี่ย
“หนูคงต้องลำบากมากเลยสินะ”
“ไม่หรอกค่ะ ดิฉันคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากกว่า มันหลอมรวมให้ดิฉันฉลาด มีความรับผิดชอบ รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ มีความอดทน ใจเย็นสุขุมเมื่อต้องเผชิญกับความกดดัน” เธอถือโอกาสแจกแจงคุณสมบัติ “ถึงแม้ว่าการต้องแบ่งเวลาจากการเรียนไปทำงานสายตัวแทบขาดจะทำให้ดิฉันมีเกรดเฉลี่ยที่ไม่ดีนัก แต่ทุกวันนี้ดิฉันก็ภูมิใจที่มายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ค่ะ”
“วาว หนูทำให้ฉันทึ่งมาก ฉันไม่เคยเจอคนอย่างหนูมาก่อนเลย” ตาแก่มองเธอด้วยสายตาพึงพอใจ หยุดครุ่นคิดอะไรอยู่นานก่อนจะพูดต่อ “ด้วยสิ่งต่างๆที่หนูมี ฉันคิดว่าการทำงานในตำแหน่งพนักการการตลาดจะทำให้ความสามารถของหนูเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าฉันจะให้หนูทำงานในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารแทน หนูจะรังเกียจมั้ย”
ฝ่ายบริหาร! กรี๊ดดดด กรี๊ดดดดด กรี๊ดดดดด ตั้งแต่สัมภาษณ์งานมา ตาแก่นี่โง่น้อยที่สุดเลย! “มันเป็นงานแบบไหนเหรอคะ” เธอถามอย่างสุภาพ พยายามไม่แสดงความดี๊ด๊ามากเกินไป และเสริมอย่างติดตลก “ไม่ใช่ว่าดิฉันรังเกียจนะคะ ตราบใดที่มันเป็นงานสุจริตและให้เงินเดือนมากพอ”
ตาแก่หัวเราะ “มันเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างพิเศษ และยังไม่ได้กำหนดรายละเอียดที่ชัดเจน ก่อนอื่น ฉันต้องเล่าก่อนว่าฉันตั้งบริษัทนี้มาเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน มันเริ่มจากแค่ห้างหุ้นส่วนเล็กๆ และฉันได้ต่อสู้ฟันฝ่าจนมันขยายตัวจนเป็นบริษัทที่นับหน้าถือตาอย่างที่หนูเห็นทุกวันนี้ แต่ความพยายามของฉันตลอดสามสิบปีจะต้องสูญเปล่า ถ้าฉันไม่..”
“ตายจริง! พัฒนอินดัสทรีกำลังมีปัญหาเหรอคะ” พัดแพรโพล่งออกไปอย่างลืมตัว ถ้ารู้แต่แรกว่าบริษัทนี้กำลังจะเจ๊งฉันไม่เสียเวลาลดตัวมาสัมภาษณ์หรอก ยี้!
“ไม่ใช่หรอกหนู” ตาแก่ส่ายหย้ายิ้มๆ “เรายังคงเติบโตเรื่อยๆนั่นแหละ”
“แต่..” เธอเน้นเสียง “ใช่มั้ยคะ มันต้องมีคำว่า ‘แต่’ แน่ๆเลย”
“ใช่ มันมีคำว่าแต่” ตาแก่พูดเสียงนุ่ม “ตอนนี้ฉันอายุค่อนข้างมากแล้ว สักวันหนึ่งลูกชายของฉันก็จะต้องมารับช่วงต่อจากฉัน แต่เรื่องก็คือว่า ลูกชายของฉันถึงแม้ว่าจะเริ่มเข้ามาเรียนรู้การทำงานในฝ่ายบริหารได้ระยะหนึ่งแล้วก็ตาม แต่เท่าที่ฉันเห็น เขาไม่มีหัวทางธุรกิจเลยแม้แต่น้อย เขาอ่อนด้อยไปทุกด้าน ฉันยอมรับกว่ากลุ้มใจมาก”
เฮ้อ มีลูกไม่เอาไหน คนเป็นพ่อก็ต้องกลุ้มล่ะนะ!
“แล้วฟ้าก็ส่งคนมีความสามารถอย่างหนูมาพอดี หลังจากพิจารณาจากทุกแง่มุม ฉันเลยได้ความคิดว่าถ้าให้หนูมาเป็นผู้ช่วยงานฝ่ายบริหาร ลูกชายฉันจะได้เรียนรู้สิ่งดีๆ จากหนูระหว่างที่ต้องทำงานประสานใกล้ชิดกัน หากทุกอย่างเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพราบรื่น บริษัทก็จะเจริญเติบโตต่อไปอย่างต่อเนื่อง ฉันจะได้วางมือได้อย่างสบายใจ”
แววตาของตาแก่แพรวพราวแปลกๆ ดูเจ้าเลห์เหมือนคนที่มีแผนการบางอย่างในใจ แต่เธออาจจะคิดไปเองก็ได้
“หน้าที่ของหนูจะคล้ายกับเลขานุการหลายอย่าง แต่ต้องใช้ความสามารถมากกว่าและมีความท้าทายมาก หนูจะเป็นผู้ประสานงานส่วนตัวของลูกชายฉันคนเดียวเท่านั้น การตัดอำนาจสินใจในการทำงานของหนูจะไม่ขึ้นกับหัวหน้าแผนกคนไหน อย่างที่บอก มันเป็นตำแหน่งพิเศษและมีความสำคัญต่อความอยู่รอดของบริษัทมาก ซึ่งฉันเชื่อว่าไม่มีใครสามารถทำได้ยอดเยี่ยมมากไปกว่าหนูอีกแล้ว” ตาแก่ยิ้มเอ็นดู “ว่าไงล่ะ หนูสนใจอยากทำงานนี้มั้ย”
โอ๊ยยยย ปลื้มมม ตาแก่นี่ตาแหลมอะไรอย่างนี้!
“ค่ะ ดิฉันสนใจมาก”
“ถ้าอย่างนั้นก็มารายงานตัวเข้าทำงานที่ห้องทำงานของฉันแปดโมงเช้าวันพรุ่งนี้ มีคำถามอะไรอีกมั้ย หนูพัดแพร”
เธอมองหน้าตาแก่อย่างงงๆ “หมายความว่าดิฉันได้งานทำแล้วเหรอคะ”
“แน่นอน หนูได้งานทำแล้ว” ดวงตาของตาแก่เป็นประกายพราว “ฉันชอบหนู อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ”
กรี๊ดดด กรี๊ดดด กรี๊ดดดด แผนเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ผล ไชโย้! ถ้าไม่ติดว่าต้องทำตัวสุภาพเข้าไว้ ป่านนี้เธอคงกระโดดตัวลอยไปแล้ว
“ขอขอบคุณมากค่ะคุณพิพัฒน์ ดิฉันจะทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนค่ะ”
“ดีมาก” คุณพิพัฒน์ยิ้ม พร้อมกับใช้นิ้วเคาะบนปึกเอกสารของเธอ “ข้อมูลประวัติของหนูนี่ฉันขอเก็บไว้ได้มั้ย มัน..” ริมฝีปากเขากระตุก “..น่าประทับใจมาก”
..........................................



พิมพ์ผกา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ต.ค. 2554, 19:59:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ต.ค. 2554, 20:01:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1444





<< ตอนที่2: มารูจักครอบครัวแมวกันเถอะ   สี่ พอจะเรียกเธอว่า...พนักงานดีเด่น ได้มั้ยเอ่ย? >>
ทองหลาง 16 ต.ค. 2554, 20:24:52 น.
ฮ่าๆๆๆ ประทับใจมาก อยากรู้ว่าระหว่างแพรพัดกะคุณพิพัฒน์ใครกันแน่ที่เสียที


Pat 17 ต.ค. 2554, 19:02:02 น.
5555 ฮามาก ไม่รู้ใครกันแน่ที่จะถูกหลอก อิอิ


gozilar 18 ต.ค. 2554, 07:31:23 น.
ตลกมากคะ นางเอกน่ารักมาก แล้วเด็กรุ่นใหม่ก็มีความคิดเรื่องเงินเดือนเยอะ แบบนางเอกเยอะจริงๆ ชอบมากเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account