เวทีกามเทพ
การประกวดเดอะเธียเตอร์ ปรินเซส นำพาให้มนัญชยาได้ร่วมงานกับกีรดิตดารา นักร้องหนุ่มในดวงใจ ทั้งยังชักนำแรงใจมาให้ยศวันต์พี่ชายของเธอถึงข้างเวทีมวย

แต่เมื่อกีรดิตดูเหมือนจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ทั้งกฤตินีที่ยศวันต์หลงรักแต่แรกพบก็คบหากับถิรเจตดาราหนุ่มร่วมค่ายของพี่ชาย อะไรต่ออะไรเลยไม่ง่ายอย่างที่คิด
Tags: กมลภัทร นักร้อง นักแสดง ละครเวที นักมวย

ตอน: ตอนที่ 8

มนัญชยากลับบ้านเมื่อค่อนข้างดึกตั้งแต่วันแรกที่ทำการซ้อมอ่านบท บุญช่วยและโชคชัยมายืนรอหญิงสาวอยู่หน้าตัวบ้านภายในค่ายมวย คนเป็นลุงปากไวกว่าน้องชายตามเคย

“ซ้อมละครเวทีนี่มันเหนื่อยมากเหรอเจ้าเกี๊ยว ทำไมทำหน้ายังกับกินของบูดมาอย่างนั้นแหละ”

หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้พ่อกับลุง ถอนใจยาว

“ก็นิดหน่อยจ๊ะลุง วันนี้ซ้อมบ่ายก็เลิกช้านิดหน่อยเอง แต่ที่เหนื่อยไม่ได้เหนื่อยซ้อมบท เหนื่อยใจมากกว่า วันนี้เจอแต่คนทำตัวแปลก ๆ ใส่”

โชคดีที่ ‘พ่อเพื่อน’ ทำตัวเป็นปกติไม่สงสัย ข้องใจอะไรเลยสักนิด ไม่อย่างนั้นคงเซ็งยิ่งกว่านี้

“มาถามอะไรหลานตอนนี้ล่ะพี่ช่วยก็ เจ้าเกี๊ยวมันกินอะไรมาหรือยังก็ไม่รู้”

ลูกสาวลูบท้องทำท่าให้รู้ว่ากำลังหิวแทนคำตอบ ที่จริง ‘พ่อเพื่อน’ ก็เอ่ยปากชวนเธอไปรับประทานอาหารเย็น หากเธอตอบเขาไปว่าต้องกลับมารับประทานที่บ้านกับพ่อและลุง

“พ่อกินแค่นิด ๆ หน่อย ๆ รอเอ็งอยู่ ไป ๆ ไปกินข้าวกันก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

“แล้วพี่แหนมล่ะพ่อ”

“กินข้าวเย็นเสร็จก็กลับขึ้นห้องไปแล้ว” คนตอบไม่ใช่คนถูกถาม “ลุงว่าช่วงนี้มันดีขึ้นแล้วล่ะ วิ่งวิน ซ้อมชกมวย ช่วยพ่อกับลุงสอนเด็ก ๆ ที่มาสมัครเรียน แหม...แผนโฆษณาของเอ็งนี่มันเด็ดจริง ๆ นะ หลังจากเจ้าเด็กอ้วนคนแรกแล้วยังมีเด็กตามมาสมัครเรียนอีกเพียบเลย แถมมีพวกพวกหนุ่ม ๆ หน่วยก้านดีหน่อยมาขอเป็นนักมวยค่ายเราด้วย”

โชคชัยอ้าปากค้างเพราะพูดไม่ทันพี่ชาย ขณะมนัญชยายิ้มออกเมื่อได้ยินคำตอบของผู้เป็นลุง ทั้งเรื่องที่ยศวันต์ดูเป็นปกติมาขึ้นหลังจากเหตุการณ์หลังสตูดิโอ เรื่องที่มีเด็กมาสมัครเรียนและมีคนมาขอเข้าสังกัดเป็นนักมวยในค่ายมากขึ้น



ระหว่างรับประทานอาหาร การสนทนาเรื่องการซ้อมบทวันแรกของมนัญชยาก็เกิดขึ้นอีกครั้งโดยการเริ่มต้นของบุญช่วยเช่นเคย หญิงสาวซึ่งไม่กล้าเผยกับกีรดิตเพราะเกรงว่าเขาจะเห็นว่าเธอไม่อดทนเลยพรั่งพรูสิ่งที่ได้เจอจากสิรามลและปริศนาให้พ่อกับลุงได้ฟัง โดยออกตัวก่อนว่าเธอไม่ได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่เพราะฉะนั้นฟังแล้วต้องไม่เครียดไม่คิดมาก

สิรามลนั้นมองเธอแปลกไปจากที่เคยเจอกันด้านหลังสตูดิโอ ในตอนนั้นแม้จะไม่ได้แสดงความเป็นมิตรอะไรแต่ก็ไม่ถึงกับมีสายตาที่มองเธอเหมือนเป็นศัตรูอย่างวันนี้ แล้วไหนคำพูดแปลก ๆ ที่แอบเอ่ยให้ได้ยินเมื่อมีโอกาสอีก

‘ถ้ามีเส้นสายใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่น่าจะต้องมาประกวดให้เสียเวลาเลยนะ ฉันเองก็จะได้ไม่ต้องลุ้นว่าใครจะได้ตำแหน่งเธียเตอร์ ปรินเซส’

มนัญชยาขยับจะถามความหมายในคำพูดของดาราสาวแต่ฝ่ายนั้นเหมือนไม่ได้อยากจะฟังคำแก้ตัวอะไรแค่พูดจบก็สะบัดหน้าหนีไปเสียอย่างนั้น

ส่วนปริศนานั้นคอยหยอดอยู่ตลอดเวลาว่าที่ต้องมีการเพิ่มเงื่อนไขให้ผู้ที่ได้ตำแหน่งที่สองได้เล่นละครเวทีด้วยก็เพราะไม่อยากให้ดารา ศิลปินหน้าใหม่ของค่ายทีโอพีเป็นเหมือนนางงามลูกโป่งที่เอาชนะกันด้วยผลโหวตอย่างเดียว

‘ฉันว่าคะแนนโหวตของเธอคงจะมากมายมหาศาล ไม่รู้ไปทุ่มโหวตซื้อเสียงที่ไหนบ้างรึเปล่า พอทีมงานเขาเห็นว่าจะทำให้เพชรเม็ดงามอย่างฉันหลุดไปก็เลยให้ตำแหน่งที่สองได้เล่นละครเวทีด้วย เธอว่าไหม’

ดูเหมือนปริศนากับสิรามลจะไปเรียนวิชาตีหัวแล้ววิ่งหนีมาจากที่เดียวกันเพราะต่างก็หาจังหวะที่จะเข้ามาหยอดคำพูดดูหมิ่นแล้วเดินหนีกันทั้งคู่ คนที่ปกติไม่เคยปล่อยให้ใครที่มาหาเรื่องลอยนวลต้องยอมเลยตามเลยเพราะจะต้องซ้อมบทตามตารางเวลาที่ทีมงานแจ้งเอาไว้



หลังจากฟังเรื่องราวจากปากมนัญชยาจบแล้ว ผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนทั้งสองทำได้มากกว่าไม่คิดมากเสียอีก โชคชัยยิ้มกว้างก่อนจะเริ่มต้นเอ่ยกับบุตรสาว

“มันก็คงเป็นธรรมดา เรื่องมันเกิดขึ้นได้กับทุกคนแหละนะเจ้าเกี๊ยว”

“ยังไงล่ะพ่อ...เหมือนพวกศรศิลป์ไม่กินกัน เห็นหน้าก็เขม่นอย่างนั้นเหรอ เกี๊ยวยังไม่เห็นจะรู้สึกอะไรแบบนั้นกับพวกเขาเลยนะ”

“ก็เขาไม่เหมือนเรานี่นา คนเราร้อยพ่อพันแม่ มีร้อยพันจำพวกมันก็ต้องมีพวกจ้องจะหาเรื่องคนอื่นบ้างเป็นธรรมดา ถ้าตั้งใจจะทำงานในวงการก็คงต้องหาทางรับมือให้ได้”

“อันนี้ลุงเห็นด้วยกับพ่อนะ ลุงว่าไอ้ในวงการบันเทิง ไม่ใช่สิ ไม่ใช่แค่วงการบันเทิง มันก็ทุกวงการนั่นแหละ คนเราต้องใส่หน้ากาก ต้องเก็บความรู้สึกบ้าง นี่เขาสองคนก็ท่าทางจะฉลาดอยู่ไม่น้อยหรอก ถึงได้มางับขาแล้วก็วิ่งหนีจู๊ดไปแบบนี้”

“ลุงช่วย สองคนนั้นเขาไม่ใช่หมานะจ๊ะเปรียบเทียบซะเสีย” มนัญชยาหัวเราะกับคำเปรียบของลุง “แต่จะว่าไปก็เหมาะดี”

“อย่าให้มีปัญหากับการทำงานก็แล้วกันนะ เมื่อมุ่งหน้าไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”

“พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีแล้ว เจ้าเกี๊ยวแน่ะ ช่วยพูดกับพ่อหน่อยเถอะ”

“เรื่องอะไรเหรอจ๊ะลุง”

บุญช่วยถือโอกาสฟ้องหลานสาวว่าน้องชายโหมซ้อมทั้งนักมวย สอนทั้งเด็กที่มาเรียน ตนกับยศวันต์ห้ามก็ไม่ฟังอ้างว่ารู้ตัวว่ายังไหว ไม่เป็นอะไรง่าย ๆ

“พ่อจ๊ะ...ลุงช่วยกับพี่แหนมน่ะ เขาเป็นห่วงพ่อนะ เกี๊ยวก็เป็นห่วงด้วย”

“เอาเป็นว่าถ้ารู้สึกว่าไม่ไหวพ่อจะพักก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องพูดมากกันอีก”

สำหรับคนเป็นพี่และลูกสาว คำพูดแค่นี้ก็ถือเป็นการยอมจำนนแล้วสำหรับโชคชัย หากจะทำตามคำพูดแค่ไหนนั้น คนในครอบครัวคงต้องช่วยกันคอยจับตาดูต่อไป



ภายในพาหนะคู่ใจของกฤตินี สองหนุ่มสาวนั่งเคียงกันอยู่ที่นั่งตอนหน้า ชายหนุ่มเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่างตลอดทางจากร้านอาหารหรูบรรยากาศเป็นส่วนตัว กลับสู่คอนโดมิเนียมที่เขาพักอาศัยอยู่ กระทั่งเธอแล่นรถเข้าจอดที่หน้าประตูทางขึ้นคอนโดมิเนียมเขาก็ยังคงไม่พูดไม่จา มือเรียวข้างหนึ่งของหญิงสาวคลายจากพวงมาลัยเอื้อมไปกุมไว้บนมือเขา

“พี่เจตคะ”

“พี่ไม่เข้าใจน้องกิ่งเลย” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยปกตินัก “ทำไมต้องกิ่งต้องจริงจังกับเรื่องที่จะให้พี่ไปขอโทษคนพวกนั้นด้วย”

หญิงสาวสะดุดหูกับคำว่า ‘คนพวกนั้น’ ของถิรเจตหากยังคงนิ่งฟัง

“พี่บอกน้องกิ่งแล้วว่าวันนั้นพี่เห็นว่ามัน...พี่หมายถึงนายแหนมทอดอะไรนั่น พี่เห็นเขากอดน้องกิ่งนานขนาดนั้น พี่เป็นผู้ชายมีศักดิ์ศรีนะ ทนไม่ได้หรอก”

“พี่แหนมทอดไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินกิ่งนะคะ พี่เจตก็น่าจะรู้”

“พี่ก็ทำลงไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบเหมือนกัน น้องกิ่งน่าจะเข้าใจพี่ แล้วอีกอย่างวันนั้นพี่ว่าพี่ก็พูดขอโทษเขาไปแล้ว”

“วันนั้นอะไรมันก็วุ่นวายไปหมด ไหนจะพี่เกมมารู้เรื่องที่เราสองคนคบกันอีก เรายังไม่ทันได้คุยกับพี่แหนมทอดกับครอบครัวเขาดี ๆ เลยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างใจเย็น “กิ่งอยากขอโทษคุณลุงทั้งสองคนให้เป็นเรื่องเป็นราว อย่างน้อยท่านก็เป็นผู้ใหญ่นะคะ”

ถิรเจตนิ่งไปอย่างที่กฤตินีคาดเดาอารมณ์ไม่ได้ เธอระบายลมหายใจยาวก่อนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ถือว่าทำเพื่อความสบายใจของกิ่ง ได้ไหมคะ”

ดาราหนุ่มบีบมือกฤตินีเบา ๆ ทำให้หญิงสาวหันไปยิ้มกับเขา

“พรุ่งนี้พี่เจตไม่มีคิว ไว้กิ่งเลิกงานแล้วจะมารับพี่เจตที่คอนโด ฯ นะคะ”

เขาพยักหน้ารับคำแล้วจู่ ๆก็ขับลมหายใจออกมาทางจมูกเหมือนคนที่กำลังหนักใจอะไรอยู่

“ถ้าพี่เจตไม่อยากไป กิ่งไปขอโทษครอบครัวของพี่แหนมทอดเองได้นะคะ”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับน้องกิ่ง” ถิรเจตดึงมือของหญิงสาวไปกุมแนบอก “พี่แค่อยากให้เราคบกันได้อย่างเปิดเผยเท่านั้น”

“พี่เกมคงไม่พอใจแน่ถ้ารู้ว่ากิ่งไม่เชื่อฟัง”

“แล้วเราต้องคบกันหลบ ๆ ซ่อน ๆ แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนล่ะครับน้องกิ่ง” ชายหนุ่มพร่ำเพ้อ “พี่อยากให้คนเรารู้กันจะแย่แล้วว่าพี่กับน้องกิ่งรักกันมากแค่ไหน”

กฤตินีชะงักเล็กน้อยกับคำพูดของถิรเจต...เธอพึงใจในเสน่ห์ของเขานับตั้งแต่ได้พบครั้งแรก เมื่อเขาหาเหตุเข้าไปชวนคุย และขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ หากเวลาที่รู้จักกันเพียงไม่กี่เดือนหญิงสาวไม่แน่ใจว่าจะใช้คำว่ารักกับเขาได้หรือไม่

“ขอเวลากิ่งหน่อยนะคะ ยังไงพี่เกมก็เป็นคนที่กิ่งต้องแคร์ เท่าเทียมกับคุณพ่อคุณแม่ เรามีกันแค่สองคนพี่น้อง”

“พี่เข้าใจแต่ก็ทำใจไม่ค่อยได้ที่ความรักของเราเหมือนเป็นเรื่องผิด”

อีกครั้งที่คำว่า ‘รัก’ ทำให้กฤตินีนิ่งไป เธอต้องใช้ความพยายามในการยิ้มให้กับเขา

“ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้กิ่งต้องทำงานด้วย เอาไว้ค่อยพบกันนะคะ”

หนุ่มสาวเอ่ยราตรีสวัสดิ์ต่อกันก่อนที่ฝ่ายชายจะก้าวลงจากรถ ยืนรอจนฝ่ายหญิงขับรถออกไปพ้นสายตาจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในคอนโดมิเนียม



ช่วงบ่ายหลังเลิกเรียนภายในค่ายมวยช.โชคชัยคึกคักขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก หลังจากที่มนัญชยาประชาสัมพันธ์โครงการฝึกสอนมวยไทยสำหรับเด็ก ผู้ปกครองส่วนหนึ่งที่พักอาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียงและต้องการให้บุตรหลานใช้เวลาว่างกับการออกกำลังกายมากกว่าที่จะให้เรียนพิเศษเพิ่มจึงนำเด็กมาสมัครเรียน

โชคชัย บุญช่วยและยศวันต์รับหน้าที่ในการสอน ปล่อยให้นักมวยในค่ายได้ฝึกซ้อมเต็มที่ ชายหนุ่มซึ่งเลือกที่จะเลิกคิดถึงเรื่องการชกชนะหันมาช่วยพ่อกับลุงฝึกสอนเพราะค่าเรียนที่เก็บนั้นสามารถนำมาช่วยค่าใช้จ่ายในค่ายได้พอประมาณ

เจ้าหนูน้อย นักเรียนคนแรกของค่ายมวยช.โชคชัยดูเหมือนจะมีน้ำหนักตัวลดลงไปหลายขีด หากมารดาของเด็กดูจะพึงพอใจที่ลูกชายมีความคล่องตัวมากขึ้นจึงให้มาเรียนอย่างต่อเนื่อง แรก ๆ เด็กชายร่างอวบใหญ่ก็งอแงเล็กน้อยที่ไม่ได้เรียนกับ ‘พี่คนสวย’ ทั้งยังไม่ค่อยได้เจอกันอีก หากโชคชัย บุญช่วยและยศวันต์ก็อาศัยจิตวิทยาหลอกล่อเน้นเอ่ยชมความเก่งกาจ ทำให้เด็กชายยอมเรียนจนกระทั่งเริ่มสนุกกับการออกกำลังกาย ไม่อิดออดอีกต่อไป

ในบรรดาครูผู้ฝึกสอนมวย เด็กชายติด ‘พี่แหนมทอด’ มากกว่า ‘ลุงช่วย’ และ ‘ลุงโชค’ ยศวันต์จึงต้องล็อคเวลาสอนให้อย่างเต็มที่ ในฐานะนักเรียนมวยรุ่นเล็กคนแรก บุญช่วยเคยเอ่ยถึงนักเรียนคนนี้ลับหลังให้พี่ชายและหลานชายฟังว่า

‘ไอ้เจ้าหนูนี่มันคงชอบชื่อไอ้แหนมล่ะมั้ง ท่าทางจะชอบกินไม่หยอก เจอหมี่เกี๊ยว แหนมทอด ก็เลยติดใจเป็นพิเศษ อย่างไอ้ลุงช่วย ลุงโชคนี่มันกินไม่ได้’

‘ลุงก็...เด็กมันออกจะตั้งใจ เห็นอ้วน ๆ อย่างนั้น แต่แรงใจเอาเรื่องนะ แค่ชมให้ถูกจุดหน่อยเป็นได้สู้ยิบตา เหนื่อยก็เหนื่อย บ่นก็บ่น แต่ให้หยุดล่ะไม่ยอมหรอก’



วันนี้เขาให้เจ้าหนูน้อยลองชกเขาให้ได้ โดยชายหนุ่มพยายามเบี่ยงหลบไปมาตลอด คนไล่ตามชกซึ่งสูงเลยเอวฝ่ายหลบหลีกไม่มากนักแม้จะเหนื่อยจนหอบแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

“หมดแรงรึยัง”

“ยังไม่หมดง่าย ๆ หรอกครับ ผมต้องชกพี่แหนมทอดให้ได้”

“ได้เลย ชกให้ได้สามหมัด คราวหน้าพี่จะซื้อขนมเลี้ยงเลยเอา ทำให้ได้ก็แล้วกัน โชว์ฝีมือหน่อยเร็ว”

ยศวันต์แทบไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักในการก้าวถอยหลบเด็กน้อยไปบนเวที หากเขาก็ต้องระวังไม่ให้ความรู้สึกท้อถอยเกิดขึ้นกับผู้ที่พยายามไล่ชกอยู่ หลายจังหวะที่เขาเกือบปล่อยให้ถูกชกได้และเอ่ยกระตุ้น

“เกือบแล้ว ๆ พยายามอีกหน่อย เราเก่งอยู่แล้ว”

ชายหนุ่มขยับตัวขณะที่กดสายตามองเด็กน้อยสลับกับมองไปรอบเวทีมวย นักมวยในค่ายกำลังฝึกซ้อม พ่อกับลุงก็รับผิดชอบสอนเด็กอีกสองคนให้ชกและเตะกระสอบทรายอยู่

หน้าประตูทางเข้าค่ายมีรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอด รถยนต์คันที่เขาคุ้นว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ประตูรถด้านที่นั่งตอนหน้าเปิดออกทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสารก่อนที่หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวจะก้าวลงมา

การได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวทำให้ขาที่ขยับไปมาตลอดของยศวันต์เหมือนจะแข็งเป็นหินไปแทบจะทันที และแทบจะทันทีที่เขาส่งยิ้มตอบเช่นกันที่หมัดของเจ้าหนูน้อยพุ่งเข้าสู่ ‘เป้าหมาย’

แน่นอน...ด้วยความหวังว่าพี่แหนมทอดจะต้องเลี้ยงขนม เจ้าหนูเหวี่ยงหมัดมาต่ออีกสองครั้ง ทุกครั้งไม่ห่างไกลจากจุดเดิมที่ชกเข้าหมัดแรกสักเท่าใดนัก



กว่ายศวันต์จะทรงตัว ลากสังขารลงจากเวทีมวยมาสมทบกับกฤตินีและถิรเจตที่ยืนรออยู่ข้างเวทีก็ใช้เวลาประมาณหนึ่ง บุญช่วยและโชคชัยที่ฝึกสอนการชกมวยให้เด็กเสร็จก็เข้ามารวมตัวด้วยเช่นกัน กฤตินียกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ชายหนุ่มที่ยืนข้างกันเหลือบมองแล้วจึงทำตาม เด็กชายเจ้าเนื้อซึ่งปีนลงจากเวทีตามยศวันต์ลงมาติด ๆ ยิ้มแป้นขณะเอ่ยถาม

“ลุงโชค ลุงช่วย ผมเก่งไหมครับ ผมชกพี่แหนมได้ตั้งสามหมัดแน่ะ”

“เออ...เก่งมาลูก” บุญช่วยตบบ่าเด็กชายเบา ๆ “เข้าเป้าทุกหมัด”

“พี่แหนมทอดสัญญาด้วยครับว่าจะเลี้ยงขนม ใช่ไหมครับ”

“ใช่ครับ” นักมวยหนุ่มตอบทั้งที่ยังจุกไม่หาย “วันนี้พอแค่นี้นะครับ เดี๋ยวไปเปลี่ยนเสื้อผ้ารอคุณแม่มารับได้แล้ว พี่แหนมทอดขอคุยธุระ”

“เฮ้ย...” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองผู้ใหญ่ครบทุกคนแล้วร้องขึ้น “นี่มันผู้ร้ายนี่ครับ”

ถิรเจตทำหน้าไม่ถูกขณะที่กฤตินีย่อตัวจนอยู่ในระดับสายตาปกติของเด็กชาย ยิ้มอย่างเอ็นดู

“พี่เขาเป็นผู้ร้ายในละครครับ พี่เขาเป็นดาราต่างหาก”

“ผมรู้อยู่แล้วล่ะครับ แต่พี่เขาชอบเล่นเป็นแต่ผู้ร้าย ไม่เคยเห็นเล่นเป็นคนดีเลย” ดูเหมือนกฤตินีและถิรเจตจะไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขานัก เจ้าของร่างกลมป้อมหันไปเงยหน้ามองครูฝึกสอนคนโปรด “พี่แหนมทอดอย่าลืมสัญญานะครับ เลี้ยงขนม ๆ”

“ได้ครับ แต่ตอนนี้รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่าครับ เดี๋ยวคุณแม่จะต้องมารอ”

ผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่ในที่นั้นมองตามเด็กชายที่วิ่งปร๋อไปทางหนึ่งด้วยความเอ็นดู จะมีก็เพียงถิรเจตที่เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจใครในค่ายมวยแห่งนี้นัก



“ว่าแต่มีธุระอะไรกับพวกเรารึเปล่าหนู ถึงได้มาถึงที่นี่” โชคชัยเอ่ยถามขึ้น “พวกเราคงไม่ได้ไปทำอะไรให้พ่อหนุ่มคนนี้เขาไม่พอใจอีกใช่ไหม”

ประโยคหลังนั้นทุกคนที่ได้ยินรู้ดีว่าโชคชัยหมายถึงถิรเจต สายตาของชายหนุ่มไหววูบขึ้นชั่วขณะและคนที่จับตามองเขาอยู่ตลอดเวลาอย่างกฤตินีก็ทันสังเกตเห็นมัน เธอขยับจะพูดอะไรแต่ไม่ทันดาราหนุ่ม

“วันนี้ผมอยากมาขอโทษครับ น้องกิ่งเขาไม่สบายใจมากที่เกิดเรื่องวันนั้น” ดาราหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผมเองก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน ที่หึงหวงไม่เข้าเรื่อง น้องกิ่งก็บอกผมแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรกับลูกชายของคุณลุง”

ยศวันต์ไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไรกับคำพูดของถิรเจตหากสำหรับเขาแล้ว ทั้งข้อความและแววตาของผู้พูดดูเหมือนจะสื่อนัยบางอย่างมาถึงเขาโดยตรง

“กิ่งอยากจะมาขอโทษคุณลุง แล้วก็พี่แหนมค่ะ” หญิงสาวระบายยิ้ม เมื่อถิรเจตยอมพูดขอโทษครอบครัวของยศวันต์ตามที่เธอขอร้อง “อ้อ...ลืมไปเลย พี่เจตคะ เราซื้อของบำรุงร่างกายมาให้คุณลุงกับพี่แหนมด้วย เดี๋ยวกิ่งไปเอามาให้นะคะ”

“ไม่เป็นไรครับน้องกิ่ง เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้เองดีกว่า”

ถิรเจตรีบบอกแล้วหันหลังเดินออกไปทางหน้าค่ายมวยทันที กฤตินีมองตามเขาไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมากระพุ่มมือไหวทั้งยศวันต์ โชคชัยและบุญช่วย

“กิ่งต้องขอโทษแทนพี่เจตอีกครั้งนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะหนู เรื่องมันก็แล้วไปแล้ว ไอ้เจ้าแหนมทอดเนี่ยมันก็โดนชกบนสังเวียนบนเวทีมวยไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว ถ้ามันจะแพ้...” โชคชัยชะงักไปเล็กน้อย “ถ้ามันจะโดนต่อแบบไม่มีเหตุผลสักหมัด ก็ให้มันแล้วไปเถอะ คนทำเขาก็บอกอยู่ว่าไม่ได้ตั้งใจไม่ใช่เหรอ”

บุญช่วยและโชคชัยหันไปมองหน้ากันอย่างต่างฝ่ายต่างก็รู้ถึงความคิดของกันและกัน แต่แรกก็โกรธเคืองที่มีคนมาทำร้ายลูกหลาน หากเมื่อมองออกว่าความเจ็บทางกายของยศวันต์นั้นไม่ได้เท่ากับความรู้สึกที่อยู่ในใจ ทั้งสองก็พากันนิ่งเฉย เมื่อยศวันต์ไม่ติดใจอะไรทั้งคนเป็นพ่อและคนเป็นลุงก็ไม่อยากจะเก็บมาเป็นอารมณ์

ยศวันต์รับของจากถิรเจตแล้วนำไปเก็บภายในตัวบ้าน พูดคุยกันอยู่เพียงครู่กฤตินีที่ดูเหมือนจะสบายใจขึ้นก็เอ่ยปากชักชวนดาราหนุ่มให้กลับบ้าน

“ไอ้เจ้าแหนมแน่ะ เดินไปส่งน้องเขากับคุณเจตหน่อยไป พ่อกับลุงจะไปดูพวกนักมวยซ้อมต่อ”

ชายหนุ่มรับคำบิดาเดินนำกฤตินีและถิรเจตไปยังรถยนต์หรูที่จอดอยู่หน้าค่ายมวย กฤตินีขยับคล้ายจะเอ่ยอะไรกับเขาแต่แล้วเสียงของบุญช่วยก็ดังขึ้นมาจากทางเบื้องหลัง

“ไอ้โชค เป็นอะไร เฮ้ย...พวกเรามาช่วยกันหน่อยเร็ว”

“พ่อ”

ชายหนุ่มหันหลังขวับวิ่งกลับเข้าไปภายในบริเวณค่ายมวย โดยมีกฤตินีวิ่งตามมาติด ๆ ส่วนถิรเจตนั้นหยุดยืนมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะขยับเดินตามมาสมทบ



มนัญชยาเดินไปตามทางเดินในโรงพยาบาลไปยังหน้าห้องฉุกเฉิน เมื่อไปถึงก็พบพี่ชาย ลุง กฤตินีและถิรเจตอยู่ที่หน้าห้อง เธอรีบเอ่ยถามอย่างร้อนรน

“พี่แหนม ลุงช่วย พ่อเป็นยังไงบ้าง”

“ไม่เป็นไรแล้วล่ะเกี๊ยว เดี๋ยวก็กลับได้แล้ว” รอยยิ้มละมุนบนใบหน้าของพี่ชายทำให้เธอคลายความกังวลลงไปได้ ยิ่งเมื่อเขาเอ่ยต่อก็ยิ่งทำให้เธอเบาใจขึ้น “พ่อแค่เป็นลมน่ะ”

“เป็นลม”

“ก็พ่อเอ็งน่ะสิ ลุงไม่กำชับหน่อยเดียวล่ะ กินข้าวไม่ค่อยเป็นเวลา พอเด็กมาเรียนก็ห่วงฝึกมวย ไม่รู้จักสังขารตัวเองถึงได้เป็นลมหน้ามืดไป”

“ลุงพูดเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อย่างนั้นแหละ” ยศวันต์ขัด “ผมเห็นลุงร้อยโวยวายซะยกใหญ่เลย”

“ก็จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงล่ะ เดี๋ยวเกิดอาการเดิมมันกำเริบขึ้นมาอีกล่ะจะยุ่งกันใหญ่นา”

มนัญชยายิ้มออกเมื่อไห้นพี่ชายกับลุงคุยกันเป็นปกติ และเริ่มนึกถึงคนนอกครอบครัวที่มารวมอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย

“คุณเจต น้องกิ่ง”

“กิ่งกับพี่เจตไปขอโทษคุณลุงกับพี่แหนมค่ะ เลยได้มีโอกาสมาส่งโรงพยาบาล”

“ตอนนี้พ่อของน้องเกี๊ยวก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” ถิรเจตที่นิ่งอยู่นานเอ่ย “พี่ว่าเรากลับกันเถอะครับน้องกิ่ง”

“แล้วเขาจะกลับกันยังไงล่ะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับน้องกิ่ง” ยศวันต์รีบตอบขึ้น “เดี๋ยวพวกพี่กลับรถแท็กซี่กันก็ได้ มีหมี่เกี๊ยวเพิ่มมาอีกคน ไปรถยนต์คงนั่งเบียดกันไม่ไหว”

“ถ้าอย่างนั้นกิ่งกลับก่อนนะคะ คุณลุง”

กฤตินีกระพุ่มมือไหว้บุญช่วยก่อนจากนั้นก็ไหว้ลาทั้งยศวันต์และมนัญชยา หลังจากที่ทั้งสองเดินผละไปได้ไม่นาน บุรุษพยาบาลก็เข็นรถนำโชคชัยออกมาจากห้อง



หลังจากรถแท็กซี่แล่นออกจากหน้าโรงพยาบาลได้ไม่เท่าไร โทรศัพท์มือถือของมนัญชยาก็ส่งเสียงขึ้น เธอหยิบมันออกมาดูแล้วใจเต้นแรงเมื่อเห็นชื่อดาราหนุ่มที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนหน้านี้เลยว่าจะได้มีโอกาสบันทึกชื่อเขาเอาไว้ในเครื่องมือสื่อสารส่วนตัว

“เป็นยังไงบ้างหมี่เกี๊ยว พ่อเป็นอะไรมากไหม”

หญิงสาวได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวจากพี่ชายขณะที่โดยสารรถของกีรดิตกลับบ้านพอดี เขาจึงขับรถมาส่งให้ที่หน้าโรงพยาบาล

“ไม่เป็นอะไรมากค่ะ แค่เป็นลม”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะ พรุ่งนี้ผมไปรับที่หน้าค่ายมวยเหมือนเดิมนะ”

“ค่ะ”

เธอกดปุ่มตัดสัญญาณแล้วรู้ตัวว่าพี่ชาย ลุง และพ่อกำลังส่งสายตามามองเธอเป็นตาเดียวแม้จะนั่งอยู่กันคนละตำแหน่ง

“พ่อเพื่อนของคนที่ประกวดด้วยกันน่ะจ้ะ เขามาส่งเลยรู้ว่าพ่อมาโรงพยาบาลเขาก็เลยโทร.มาถามว่าพ่อเป็นยังไงบ้างแล้ว”

“พ่อเพื่อนเอ็งคนนี้เขามีน้ำใจดีนะ” โชคชัยว่า “ว่าแต่เพื่อนที่เอ็งว่านี่คนไหนล่ะ พ่อไม่เห็นเอ็งแนะนำให้รู้จักบ้างเลย พวกเพื่อนที่เข้าประกวดด้วยกันน่ะ พ่อจะได้ขอบคุณเขาเสียหน่อยที่คอยรับส่งเอ็งตลอด”

“อ๋อ...ก็...พอดีเขารีบ ๆ น่ะพ่อ แล้วก็ไม่ได้เข้ารอบลึกด้วย หลัง ๆ เขาก็แค่มาเชียร์” มนัญชยาตอบ รู้ตัวว่าพูดตะกุกตะกักเล็กน้อยและหวังแต่ว่าจะไม่มีใครสงสัย “ช่วงประกวดเกี๊ยวก็ยุ่ง ๆ ด้วยเลยลืมไป ยังไงถ้ามีโอกาสเกี๊ยวจะบอกให้นะจ้ะว่าพ่อฝากขอบคุณ”

บุญช่วยกับโชคชัยดูเหมือนจะไม่ติดใจอะไร หากยศวันต์ที่นั่งติดกันกับน้องสาวชะโงกมากระซิบถาม

“แล้วประกวดเสร็จแล้วพ่อเพื่อนยังมาส่งอีกเหรอ”

“วันนี้บังเอิ๊น บังเอิญ เจอพ่อเพื่อนแถวหน้าทีโอพีพอดีเลย ไม่อย่างนั้นเกี๊ยวคงทำอะไรไม่ถูก”

มนัญชยาพูดขึ้นเสียงดังเป็นการตอบข้อสงสัยของพี่ชายและกลบเกลื่อนความไม่เนียนของตนเอง แอบถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าไม่มีใครติดใจสงสัยอะไรอีก



กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 11:00:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 11:00:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 2049





<< ตอนที่ 7   ตอนที่ 9 >>
kk007 2 มิ.ย. 2554, 14:52:29 น.
พ่อเพื่อน ระวังเถอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account