ถอดสลักรัก ถอดรหัสใจ
รัก...ที่ฉันคิดว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้จนฉันต้องใส่กลอนล๊อคไว้ในซอกใจกำลังจะถูกไขออกมาอีกครั้ง เมื่อเขา...ผู้เป็นดั่งกุญแจสำคัญได้ทำให้ชีวิตที่ฉันพยายามทำให้เรียบง่ายนั้นยุ่งเหยิง

ฉัน...ซึ่งไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นเหมือนนางเอกในละครที่เกลียดจะต้องพบกับสถานการณ์ที่จะต้องมานั่งคิดว่า นางเอกในละครเขาจะต้องทำอย่างไร...

ใครว่าละครมันน้ำเน่า...เรื่องจริงมันยิ่งกว่าซะอีก เพียงแต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่า ฉัน...จะเป็นนางเอกของใครได้
Tags: กฤษณ์ นางเอก เขม

ตอน: ตอนที่ 3 ขอขมา

“ไป! ยัยเขม กล้าทำกล้ารับเว้ย อย่าให้เสียเชิงหญิง” คำพูดปลุกใจของขวัญตาช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ฉันมาก...ตั้ง 1 เปอร์เซ็นต์

เบื้องหน้าของฉันคือตึกอาคารวิศวกรรมฯ ภาคโยธา ดีไซน์ที่ดูล้ำสมัยและดูยิ่งใหญ่ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายหดเล็กลง เหมือนอลิซในวันเดอร์แลนด์ ฉันก้มลงพวงมาลัยในมือที่ฉันอุตส่าห์สั่งทำพิเศษและรีบบึ่งมอเตอร์ไซต์ไปเอาจากแม่ค้าในตลาด อันที่จริงฉันก็อยากจะร้อยเองหรอกนะ ถ้าหากมีดอกมะลิสำรองไว้สักไร่นึง แต่ถึงฉันจะไม่ได้ร้อยพวงมาลัยเอง ฉันก็ทำของเซ่นเองนะ แพนเค้กไง ทำง่ายจะตาย ซึ่งฉันก็ค่อนข้างภูมิใจที่ทำออกมาได้เหมือนรูปถ่ายที่ติดบนกล่อง

ใช่แล้ว ฉันกำลังจะทำพิธี “ขอขมา” พี่กฤษณ์จากความผิดที่ฉันบังเอิญไปตะปบหน้าพี่กฤษณ์อย่างรุนแรง และก็ขอบคุณที่พี่กฤษณ์ช่วยฉันไว้จาก “วิวาทชิงเมรี” อันนี้ขวัญตาตั้งชื่อให้
“รีบไปขอขมาพี่เขา แล้วรีบกลับล่ะ เดี๋ยวรอหน้าช็อป” เพื่อนสุดที่รักทั้งหลายอุตส่าห์เป็นกำลังใจให้ ...ห่าง ๆ

ยิ่งเดินเข้าไปในช็อปมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองมีหูยาวงอกออกมา จะมองอะไรกันนักหนา
“เอ่อ...หนูมาหาพี่กฤษณ์ค่ะ กฤษณ์ เมธาพิทักษ์ ปี 3 ค่ะ” ฉันสูกลมหายใจบอกความต้องการกับรุ่นพี่คนหนึ่งที่เจอ

“อ่า...อ๊ะ มาหาพี่กฤษณ์เหรอ แป๊ปนะครับน้อง” แล้วเขาก็หันไปตะโกนบอก

“เฮ้ย! ไอ้โจ วิ่งไปบอกพี่กฤษณ์หน่อยว่ามีเด็กมาหา” โอ้...ทำไมไม่ใช่โทรโข่งซะเลยล่ะ อีกนิดนึงก็คงจะได้ยินกันทั้งภาคแล้วมั้ง

และเหมือนเสียงนั้นจะเป็นเหมือนน้ำตาลเรียกฝูงมดให้มารุมล้อม แม้พวกเขาจะไม่ได้เข้ามามุงฉันเหมือนพวกไทยมุง แต่ฉันแน่ใจว่า สายตาของทุกคนต้องพุ่งเป้ามาที่ฉันแน่นอน แม้แต่รุ่นพี่ที่ยืนสูบบุหรี่กันอยู่นอกช็อปที่ค่อนข้างไกล ฉันยังได้เห็นหนึ่งในกลุ่มนั้นพยักเพยิดหน้ามาทางฉัน หรือฉันคิดไปเองเนี่ย?

ผ่านไปพักหนึ่ง (แต่ในความคิดฉันเหมือนมันนานมาก ฉันนับจังหวะหัวใจเต้นได้เกือบ 250 ครั้งนะ) พี่กฤษณ์ก็เดินลงมาจากช็อป เขายังคงดูดีในเสื้อยืดที่คลุมทับด้วยเสื้อช็อปที่ไม่ได้ติดกระดุมสักเม็ด ยิ่งพี่กฤษณ์ดูดีมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิดและละอายใจมากเท่านั้น รู้สึกแย่จัง

“เป็นยังไงบ้างครับ หายดีแล้วเหรอ” อา...ไหล่สองข้างของฉันเริ่มลู่ลง แต่เมื่อก้มมองพวงมาลัยและกล่องแพนเค้กในมือก็ทำให้ฉันมีกำลังใจขึ้นมา เอาวะ เข็มอัปสร ขอโทษและขอบคุณ ผิดก็ต้องขอโทษ ถูกช่วยเหลือก็ต้องขอบคุณ

ฉันทรุดตัวลงคุกเขาและยกพวกมาลัยขึ้นเหนือหัว เม้มปากก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “พี่กฤษณ์คะ เขม...อยากจะขอโทษเรื่องคืนนั้น รวมทั้งขอบคุณที่พี่ช่วยไว้ค่ะ” มือฉันสั่นมากตอนที่ประคองพวกมาลัยชูให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะปกติความสูงของฉันกับพี่กฤษณ์ก็ห่างกันชนิด เสาไฟฟ้ากับหลักกิโล ยิ่งฉันคุกเข่าอย่างนี้...ไม่ต้องพูดถึง

ฉันไม่รู้ว่าพี่กฤษณ์มีสีหน้ายังไง แต่ละวินาทีที่ผ่านไปยิ่งทำให้มือฉันสั่นมากยิ่งขึ้น ฉันหลับตาเพื่อปกปิดหยาดน้ำตาที่เริ่มกลั่นตัวอยู่ที่หัวตา ฉันเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้มันสั่นและให้ใครเห็น

เสียงรองเท้าเดินเข้ามาใกล้และเสียงเสียดสีกันของเสื้อผ้ารวมถึงกลิ่นอายของพี่กฤษณ์ที่ฉันจำได้แม่นทำให้ฉันพอจะเดาระยะห่างระหว่างเราได้ กระนั้น ฉันก็ยังคงไม่กล้าลืมตาหรือเงยหน้าขึ้นมองอยู่ดี จนเมื่อรู้สึกว่ามีคนดึงพวงมาลัยจากมือของฉันทำให้ฉันลืมตาขึ้นมองและพบปลายนิ้วเรียว แข็งแกร่งแค่เพียงมือเดียวก็สามารถรวบพวงมาลัยที่วางอยู่บนมือทั้งสองข้างของฉันไว้ได้ ความร้อนจากปลายนิ้วที่สัมผัสเพียงแผ่วเบาแต่ยังสามารถส่งผ่านผิวหนังวิ่งเข้าสู่หัวใจและกลายเป็นความร้อนวิ่งขึ้นทั้งลำคอและใบหน้า พี่กฤษณ์คุกเข่าและรับพวงมาลัยในมือของฉันไว้ มืออีกข้างขยี้ผมฉันเบา ๆ พร้อมมุมปากที่แย้มขึ้นนิด ๆ (นิดเดียวจริง ๆ )

“ไม่เป็นไร คราวหลังระวังตัวไว้ด้วย อย่าไปไหนคนเดียว” พี่กฤษณ์เป็นห่วงฉัน! ใช่ไหม? ฉันเกือบจะเผลอยิ้มแบบยิงฟันสุดฤทธิ์ด้วยความดีใจถ้าเจ้าตัวเดวิลในหัวฉันจะไม่ย้ำว่า “นั่นมันความห่วงใยระหว่าง รุ่นพี่ กับรุ่นน้อง ย่ะ”

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แค่รู้ว่าตัวเองถูกใส่ใจ...ไม่ว่าจะในฐานะอะไร ฉันยินดีหมด ฉันเกือบจะเปิดยุทธการ ชิเมโจได๋ จ้องเพื่อสะกดจิตให้พี่กฤษณ์หันมาใส่ใจฉัน ถ้าไม่ได้ยินเสียงโห่แซวจากคนอื่นรอบตัว ฉันลืมสนิทเลยว่าฉันไม่ได้แยกมิติอยู่กับพี่กฤษณ์เพียงสองคน และนี่ก็เป็นช็อปวิศวะฯ โยธา กลุ่มชายห่าม (ทั้งยังปาก....เสียด้วย)

ฉันอึกอักและหยิบกล่องแพนเค้กที่ฉันตั้งใจทำให้เหมือนรูปถ่ายข้างกล่องมากที่สุด “พี่กฤษณ์คะ นี่แทนคำขอบคุณอีกครั้งค่ะ” พูดไปแล้วก็เขินแฮะ แต่ฉันก็ยังทำ

พี่กฤษณ์เลิกคิ้วข้างหนึ่งแล้วมองกล่องสี่เหลี่ยมที่มีลวดลายน่ารักพร้อมโบว์สีฟ้า เหมือนพี่กฤษณ์ส่งคำถามให้ทางสายตา ซึ่งฉันก็ได้แต่พึมพำตอบเบา ๆ “ขอให้ทานให้อร่อยนะคะ”

เท่านั้นแหละ ทั้งเสียงแซว เสียงโห่จากผู้ชายเกือบทั้งช็อปก็ดังขึ้นซึ่งฉันก็ไม่ได้จับใจความอะไรทั้งสิ้น ทันทีที่พี่กฤษณ์รับกล่องแพนเค้กจากมือฉันไป ฉันก็ใส่เกียร์ (หมา)วิ่งแจ้นออกจากช็อปทันที

“ให้ว่อง ๆ “ ขวัญตาและเอ๋คงสามารถเดาได้จากเสียงโห่แซวและใบหน้าอันแดงแจ๋ของฉัน ซึ่งคงทำให้พวกมันอายด้วยจึงเร่งให้ฉันขึ้นมอเตอไซด์แล้วรีบขับออกไปอย่างรวดเร็ว

“ฮ่า ๆ เขม...แกทำไปได้ไงวะ สุดยอดว่ะ” แล้วมันก็หัวเราะเยาะฉัน ก็เป็นความคิดมันเองไม่ใช่เหรอที่บอกให้ฉันไปขอขมาพี่เขาน่ะ

หลังจากนั้นทุกคนในคณะก็รู้จักฉันมากขึ้น นอกจากจะเป็นไอ้ขี้เมาหลังมอแล้ว วีรกรรม ขอขมาลาโทษของฉันก็ยังทำให้ผู้คนได้รู้จักฉันมากขึ้นด้วย ไม่ว่าฉันจะเดินไปทางไหน ฉันก็รู้สึกว่ามีคนมองอยู่เสมอ เหมือนจะมีซุบซิบกันด้วยนะเพื่อนชายบางคนที่ปากกล้า (จริง ๆ อยากเรียกว่าปากหมามากกว่า) ก็เอ่ยแซวฉันซึ่ง ๆ หน้า แล้วไงล่ะ ทำผิดก็ต้องยอมรับผิดสิ

และนั่นคงเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกดีทุกครั้งที่นึกถึง เพราะหลังจากนั้น...เรื่องของพี่กฤษณ์ทำให้ฉันปวดใจจนต้องเก็บทุกความรู้สึกใส่กล่องล็อคไว้อย่างแน่นหนา ในหัวใจ...

อย่างที่ฉันรู้ ตั้งแต่พี่กฤษณ์เลิกกับพี่นก ฉันรู้สึกว่าพี่กฤษณ์เปลี่ยนไป แม้ว่าพี่กฤษณ์จะยังคงมีแฟนอีก แต่ก็ต้องเลิกกันในเวลาที่ค่อนข้างเร็ว เรียกได้ว่าเปลี่ยนแฟนเทอมละคนก็ว่าได้ (ก็ยังดีกว่าเดือนละคนนะ) ผู้หญิงที่พี่กฤษณ์คบด้วยจะมีส่วนที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ผมยาว ดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อย แต่ฉันว่าไม่มีใครให้ความรู้สึก แม่พลอย เหมือนพี่นกเลย

ฉันหลงอยู่ในวังวนแห่งความหวังอยู่เพียงแค่เดือนเดียว ก็ต้องทำไร่แห้วโดยไม่รู้ตัวอีกครั้งเมื่อรู้ว่าพี่กฤษณ์เริ่มคบหากับรุ่นพี่เภสัชฯปีสี่ แก่กว่าพี่กฤษณ์ 1 ปี พี่เกดเป็นผู้หญิงผมยาวรูปร่างผอมเพรียว ใบหน้าออกหมวย ๆ ดู...บอบบาง น่าปกป้อง

วันนั้นฉันไปปั่นจักรยานเล่นกับกลุ่มเพื่อน ๆ ที่วงเวียนหลังเลิกเรียน ในขณะที่กำลังซึมซับกับสายลม แสงแดดอ่อนยามตะวันลับฟ้า พร้อมกับไอติมยักษ์คู่แท่งโปรดอยู่นั้น เอ๋ก็สะกิดไหล่ฉัน

“เฮ้ย! นั่นพี่กฤษณ์นี่หว่า พาสาวไหนนั่งซ้อนท้ายด้วยนิ”

พี่กฤษณ์ปั่นจักรยานโดยมีหญิงสาวหน้าหมวยร่างบางนั่งซ้อนท้าย แขนทั้งสองข้างของผู้หญิงโอบเอวของร่างใหญ่

ฉันบีบเบรคมือสุดแรงทำให้จักรยานหยุดกะทันหันส่งผลให้เอ๋ซึ่งนั่งซ้อนท้ายหัวทิ่มกระแทกหลังฉันอย่างแรง

ปึ๊ก! โอ๊ย!

“ไอ้บ้าเขม อยู่ดี ๆ ก็หยุด จะเหยียบกิ้งกือหรือไงวะ” เอ๋บ่นเสียงไม่เบานัก

ฉันมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอึดอัด เหมือนหายใจไม่ออก ทั้ง ๆ ที่ฉันก็น่าจะชินแล้วกับสภาวการณ์อย่างนี้ ฉันต้อง มอง และ เห็น อีกกี่ครั้ง ฉันถึงจะชินซักที ถึงอย่างนั้นฉันก็ว่าฉันมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้างที่ไม่บ่อน้ำตาแตกกลางคัน ทั้ง ๆ ที่ฉันว่าฉันเป็นพวกอารมณ์อ่อนไหวอยู่นะ เพราะทุกครั้งที่อ่านการ์ตูน นิยาย หรือดูละครเศร้า ฉันต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาที่ต้องไหลออกมาเป็นก๊อกเสมอ

“โอ๊ะ! นั่นพี่เกดเภสัช นี่หว่า เป็นดาวคณะด้วยนะเนี่ย แหม ๆ พี่กฤษณ์นี่เสน่ห์แรงไม่เบา ปกติพวกเด็กเภสัชมักไม่สนเด็กวิศวะนี่นา” เอ๋ยังคงพูดต่อเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่มันก็รู้อยู่ว่าฉันชอบพี่กฤษณ์มาตั้งแต่ตอนเรียนม.ปลาย แต่พวกนี้คงคิดว่าวิธีการเยียวยาคนอกหัก รักคุด อกช้ำกลัดหนอง คือการกระทืบแผลซ้ำให้หนองมันแตก มันจะได้ตกสะเก็ด ซาดิสต์ดีแฮะ

เมื่อเห็นฉันยังเงียบและยักษ์คู่ในมือฉันเริ่มละลาย เอ๋ก็ผลักหัวฉันเบา ๆ “มา...เดี๋ยวฉันปั่นเอง” แล้วมันก็สลับหน้าที่ในการปั่นจักรยาน ขอบใจเพื่อนรัก น่องฉันจะโป่งอยู่แล้วย่ะ
ฉันมองยักษ์คู่ในมือที่เริ่มเหลว ย้วย และย้อยไม่น่ากินเอาเสียเลย ในที่สุดฉันก็ต้องทิ้งมันลงถังขยะ เรายังคงปั่นจักรยานไปรอบ ๆ มอ และดูเหมือนเอ๋จะหลีกเลี่ยงเส้นทางอันตราย ที่จะต้องปั่นผ่านพี่กฤษณ์ให้ฉันปวดใจ ขอบใจอีกครั้งนะเพื่อนรัก

จนฉันเริ่มทำใจให้เป็นปกติจึงอาสาปั่นจักรยานให้มันนั่งต่อ ฉันอยากจะออกแรงสละเหงื่อกับการพามวลสารกว่า 500 นิวตันที่ซ้อนอยู่ข้างหลังนี้ขึ้นสะพานหลังมอซึ่งมีความชันค่อนข้างมาก (กว่า 35 องศาแน่ะ) ตอนปั่นขึ้นมันต้องใช้แรงเฉื่อยสะสมพอสมควรซึ่งฉันก็ทำมันได้ ขานี่สิที่เกิดปัญหา ด้วยความชันที่ทำให้ความเร็วของจักรยานเพิ่มขึ้นและฉันมั่นใจว่าฉันสามารถบังคับแฮนด์จักรยานได้ถ้า...ไม่มีหมาหลงวิ่งมาตัดหน้า

สัญชาติญาณสั่งให้ฉันหลบและ ผลลัพธ์คือ ฉันและเอ๋ลงไปนอนกลิ้งอยู่ริมฟุตบาท เอ๋มีแผลแค่เข่า ข้างซ้ายที่กระแทกตอนลง ส่วนฉัน ทั้งเข่าและต้นขาเพราะล้อจักรยานมันปั่นไถลมาบนตัวฉันด้วย

“เฮ้ย ! เขมเป็นไรมากป่ะ” เอ๋รีบถามเมื่อเห็นเลือดจากทั้งเขาและต้นขาของฉัน ยิ่งผิวขาว ๆ ของฉันมันตัดกับสีของเลือดมากเท่าไหร่ เอ๋ก็ยิ่งโวยวายมากเท่านั้น

“เอ๋ ไม่เป็นไร ไม่เจ็บมากหรอก” แหงแซะ เพราะฉันกำลังชาไปทั้งขาเลย

เอ๋รีบหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรหาขวัญตาให้มารับเราที่ปั่นจักรยานต่อไม่ไหวไปโรงพยาบาล เสียงของเอ๋ดูวุ่นวายดีจัง ฉันซึ่งยังลุกไม่ขึ้นเพราะทั้งตกใจ ทั้งชาไปทั่วทั้งขา ได้แต่นั่งเหม่อลอย มองจักรยานที่ล้มเค้เก้ไม่เป็นท่า ฉันรู้สึกถึงน้ำที่หยดลงบนขาของฉันเองจึงก้มไปมอง แต่ก็มองเห็นได้ไม่ชัดนัก เพราะน้ำตาที่เอ่อล้นจากนัยย์ตาของฉันนั่นเอง

“เฮ้ย เขม เป็นไร เจ็บมากเหรอแก” เอ๋รีบถามด้วยความเป็นห่วง

ไม่ไหวแล้ว ฉันปล่อยเสียงโฮออกมาพร้อมทั้งน้ำตาที่ฉันคิดว่าสามารถกลั้นไว้ได้ โผเข้าใส่เอ๋ในสภาพทุลักทุเล เพราะฉันยังนั่งอยู่ริมทาง ส่วนเอ๋ก็นั่งยืดขาข้างหนึ่งที่เป็นแผล อีกข้างพับไว้ เอ๋ลูบหัวและหลังปลอบฉันด้วยเสียงเครือ

“อย่าร้องสิวะ ฉันจะร้องตามแกแล้วนะเว้ย” พูดไป ปลอบไป

กว่าขวัญตาจะมาและพาเราไปโรงพยาบาล ฉันก็เสียน้ำตาไปเกือบชั่วโมง ฉันไม่ได้ขาหักอย่างที่เอ๋กลัว เพียงแต่ขาฉันเต็มไปด้วยผ้าพันแผลเต็มไปหมด

ความเจ็บในครั้งนี้มันทำให้ฉันระมัดระวังมากขึ้น แน่นอนเรื่องการปั่นจักรยาน และ...ความรู้สึกของตนเอง เพราะฉันจะต้องเจอสภาวะเช่นนี้ไปอีกหลายครั้ง และฉันก็จะทุกข์ถ้าไม่เผื่อใจไว้ ฉันได้แค่คิด...เพราะถ้าทำได้ ก็คงทำไปนานแล้วล่ะ
ฉันควรจะทำยังไงดี


เพิ่งเปลี่ยนงานใหม่ วุ่นวายหน่อยค่ะ อาจจะไม่ได้อัพทุกวันนะคะ ขออภัยล่วงหน้า



แพม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ต.ค. 2554, 23:02:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ต.ค. 2554, 23:02:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1678





<< ตอนที่ 2 กวนตะกอนให้คละคลุ้ง?   ตอนที่ 4 คนนอกสายตา >>
เก่งวิชา 18 พ.ย. 2554, 09:44:41 น.
เออนะ มาอ่นช้าหน่อย งานเยอะอ่ะ
ลุ้นดีเหมือนกัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account