ถอดสลักรัก ถอดรหัสใจ
รัก...ที่ฉันคิดว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้จนฉันต้องใส่กลอนล๊อคไว้ในซอกใจกำลังจะถูกไขออกมาอีกครั้ง เมื่อเขา...ผู้เป็นดั่งกุญแจสำคัญได้ทำให้ชีวิตที่ฉันพยายามทำให้เรียบง่ายนั้นยุ่งเหยิง
ฉัน...ซึ่งไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นเหมือนนางเอกในละครที่เกลียดจะต้องพบกับสถานการณ์ที่จะต้องมานั่งคิดว่า นางเอกในละครเขาจะต้องทำอย่างไร...
ใครว่าละครมันน้ำเน่า...เรื่องจริงมันยิ่งกว่าซะอีก เพียงแต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่า ฉัน...จะเป็นนางเอกของใครได้
ฉัน...ซึ่งไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นเหมือนนางเอกในละครที่เกลียดจะต้องพบกับสถานการณ์ที่จะต้องมานั่งคิดว่า นางเอกในละครเขาจะต้องทำอย่างไร...
ใครว่าละครมันน้ำเน่า...เรื่องจริงมันยิ่งกว่าซะอีก เพียงแต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่า ฉัน...จะเป็นนางเอกของใครได้
Tags: กฤษณ์ นางเอก เขม
ตอน: ตอนที่ 4 คนนอกสายตา
ตอนที่ 4 คนนอกสายตา
เกือบสองสัปดาห์ที่ฉันต้องทรมานกับการใช้ชีวิตประจำวัน ฉันมีไข้เล็กน้อยช่วง 2 วันแรกจากการอักเสบแต่ก็ยังถือว่าโอเค โชคดีที่ฉันใส่กระโปรงพลีทยาวคลุมเข่าเลยทำให้สภาพมัมมี่ครึ่งท่อนของฉันไม่โดดเด่นมากนัก แต่ช่วงที่แผลตกสะเก็ดนี่เป็นอะไรที่ทรมานสุด ๆ เพราะฉันต้องบังคับใจตัวเองไม่ได้เกาแผล ฉันแทบจะถูกขวัญตามัดมือซน ๆ ของฉันไว้ แต่มันไม่ทำหรอก ตีมือเลยต่างหาก ยังกะมีแม่อีกคนแน่ะ
ในที่สุดแผลก็หายสนิท พร้อมกับเริ่มเทศกาลสอบมิดเทอม การสอบครั้งแรกในชีวิตมหาวิทยาลัย แม้แต่พวกเล่น ๆ ไปวันก็ยังต้องนั่งคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือ รวมถึงฉันด้วย
ฉันได้รู้จักกับ เอ เพื่อนชายในคลาสเดียวกัน อันที่จริงฉันก็คงจะไม่สนใจและไม่รู้จักเขามากกว่าเพื่อนชายในคลาสหาก ปอ ไม่โอ้อวดว่าได้กิ๊กกับเขา ซึ่งฉันก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกันเพราะดูเหมือนฝ่ายชายจะดู เฉย ๆ ซะเหลือเกิน
“เขม แคลคูลัสข้อนี้แก้ยังไง” เอ ถามฉันในขณะที่เรากำลังนั่งทบทวนแคลคูลัสด้วยกัน ไม่รู้ว่าอารมณ์ไหนที่ทำให้ฉันตีสนิทกับเอ หมั่นไส้ ปอ หรือ ประชดรักที่ไม่สมหวัง แต่นะ...ฉันก็ได้เรียกชื่อเขาออกไปครั้งเดียวตอนที่ปอชี้ให้ดูว่าหล่อนกำลังกิ๊กกับใคร ก็ฉันไม่รู้นี่นาว่าใคร จากนั้นดูเหมือนเอจะเป็นฝ่ายเข้ามาตีสนิทฉันเองนะ ซึ่งฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธ...ก็เพื่อนกันนิ
“ต้อง dib ตรงนี้ก่อนนี่ อย่างนี้...” ฉันอธิบายพร้อมทั้งเขียนวิธีทำไปด้วย คิดพร้อมกันเลย จะได้เข้าใจเร็ว ฉันชอบวิชานี้และก็ทำได้ดีด้วย ตอนแรกเอบอกว่าเขาจะติวให้ฉัน เราเลยมานั่งอ่านหนังสือด้วยกันไงล่ะ
ฉันยอมรับว่าที่เปิดโอกาสให้เอเป็นความเห็นแก่ตัวส่วนหนึ่ง ...มากนิดนึงก็ได้ ฉันอยากลองเปิดใจให้ใครเข้ามาแทนที่พี่กฤษณ์บ้าง เผื่อฉันจะหายจากอาการทรมานนี้ซักที ส่วนปอ โอเคว่าฉันผิดที่ดันไปแย่งเป้าหมายเพื่อน แต่มันก็อดคิดขึ้นมาตามประสานางร้ายไม่ได้ว่า ฉันเปล่านะ เขามาเอง นิสัยไม่ดีเลยฉัน
หลังจากสอบมิดเทอมเสร็จ ดูเหมือนว่าเอจะเข้าใจว่าความสัมพันธ์ของเราควรจะก้าวหน้าขึ้น วันหนึ่งเขาชวนฉันไปขับรถเล่นแถววงเวียน ซึ่งฉันไม่ปฏิเสธ แต่หากว่าฉันรู้ว่าการไปกับเอครั้งนั้นคือการเปิดตัวฉันในฐานะแฟนของเขาล่ะก็ ฉันคงไม่ไป ก็เรายังไม่ได้ตกลงกันเลยนี่นา และฉันก็ยังไม่รู้สึกอะไรลึกซึ้ง (ไปมากกว่าพี่กฤษณ์) เลยนี่นา
อันที่จริงฉันก็พอจะเดาได้หลังจากที่เอจอดรถแล้วชวนฉันลงเดินเล่นตรงสนามหญ้า เพราะสถานที่ที่เป็นที่สาธารณะ นิสิตที่มาเดินเล่นหลังจากการสอบอันเคร่งเครียด ฉันก็ไม่ปฏิเสธอีกละ ระหว่างเดินเล่นฉันรู้สึกว่าเอมองหน้าฉันตลอดเวลา ฉันจึงหันไปถาม
“มีอะไรเอ นายจะพูดอะไร”
เอยังคงมองแล้วก็ยิ้ม “เปล่า แค่รู้สึกมีความสุข”
ฉันรู้สึกดีนิด ๆ ที่ทำให้เอมีความสุข และในขณะเดียวกัน ฉันก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน แต่ก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ส่งไปให้
“เขมว่าเราพร้อมจะมีความรักใหม่ได้หรือยังนะ” ถามฉัน แล้วฉันจะไปถามใครล่ะ ตัวนายเองยังไม่รู้เลย ฉันเลยได้แต่เงียบ เอเคยเล่าให้ฉันฟังว่าแฟนคนก่อนของเขามีกิ๊ก ซึ่งเขาจับได้คาตาเลยแหละ เขาเล่าเรื่องหลายอย่างให้ฉันฟัง ทั้งเรื่องครอบครัวที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยกลมเกลียวกันมากนัก เขารู้สึกว่าพ่อและแม่ไม่ได้สนใจเขาเลย ฉันคิดว่าเขาค่อนข้างเป็นเด็กขาดความอบอุ่นอยู่พอควรนะ ซึ่งฉันก็ได้แต่พูดแง่คิดอีกมุมมองของฉันซึ่งมีแค่แม่เป็นครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว แต่ฉันก็ไม่ได้โหยหาความรักของแม่จนทำตัวมีปัญหาเพราะฉันรู้ว่าแม่รักและทำทุกอย่างเพื่อฉัน เมื่อไม่เข้าใจกัน ฉันบอกเอไปว่า ถ้าเราอยากให้ใครรัก ก็ต้องเริ่มที่เรารู้จักรักตัวเองและมอบความรักให้ผู้อื่น ดูดีไหม แหม...ฉันก็คิดเป็นนะ
ตามคาด เรื่องของฉันกับเอกระจายไปในหมู่เพื่อน ๆ ในเซ็คชั่น และอาจมีข้ามเซ็คกันบ้าง (อืม...ก็เหมือนกับคลาสนั่นแหละ เหมือน ม.6/1 6/2 อะไรทำนองนั้น เผื่อบางคนไม่เข้าใจ) ยิ่งทำให้ปอมึนตึงกับฉันมากขึ้น ฉันเลวใช่ไหมเนี่ย
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ย้อนนะขวัญ ขอให้ไม่ตกมีนนะแก” ฉันอวยพรจากใจจริงให้มันเลยนะ ก็เห็นมันตั้งใจอ่านหนังสืออย่างนั้น ( 3 วันก่อนสอบ) ขอให้คะแนนสอบไม่ห่างต่ำว่ามีนละกัน ไม่งั้นปลายภาคหืดขึ้นคอแน่
“สาธุ สมพรปากเหอะ” ยังทำท่าเหมือนยกมือไหว้ภาวนาอีก
พวกเรามากินเลี้ยงเล็ก ๆ น้อย ๆ (เกือบ 20 คนแน่ะ) หลังจากการสอบครั้งแรกในชีวิตมหาวิทยาลัยและถือโอกาสเลี้ยงวันเกิดย้อนหลังให้ขวัญตาด้วย เค้กวันเกิดขนาดเล็กปักเทียน 1 เล่มตรงกลางถูกยกมาให้เจ้าของวันเกิดเพื่อทำพิธีกรรมอัน (เหมือนจะ) ศักดิ์สิทธิ์และรุมล้อมด้วยเหล่าเพื่อน (ทั้ง)ฝูงและพี่ ๆ คณะที่สนิทกัน (บอกแล้วว่ามันมีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม)
“เฮ้ย! เป่าเบา ๆ เดี๋ยวน้ำลายหกใส่” เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งแซวขวัญ
“ปากดี งั้นมึ...ไม่ต้องแ...ก” ทันควัน เวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อน เรามักจะย้อนไปใช้คำพูดยุคเก่าแบบอนุรักษ์นิยม
“โอ๋ ๆ ขวัญจ๋า เพื่อนล้อเล้น”
เค้กหนึ่งปอนด์กับคน 20 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย หลายคนอาจคิดว่าน้อยไปไหม แต่สำหรับพวกเรา “เมนคอร์ส” มันไม่ใช่เค้กนะ แน่นอน เด็กวิศวะจะชมชอบอะไรไปมากกว่าเหล้าล่ะ
ถึงแม้ฉันจะมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยน่าประทับใจจากการดื่มครั้งแรก แต่ฉันก็ยังถือคติว่าต้องฝึกให้มันชินเข้าไว้เหมือนกัน แหม...ฉันก็เลือกนะ เลือกกลุ่มที่จะดื่มด้วย ถ้าไม่เห็นว่าจะมีใครสามารถเก็บศพกลับหอได้ละ ฉันไม่แตะ ยิ่งในโอกาสพิเศษของเพื่อนรักด้วยยิ่งไม่พลาด
“เบา ๆ เข็ม ชั้นต้องรอเก็บไอ้ขวัญด้วยนะ เซฟ ๆ หน่อย” เอ๋ ปรามฉันหลังจากเห็นฉันบ้าจี้สุดซอยตามขวัญที่กำลังคึก (สุดซอยหมายถึงชนแก้วแล้วกระดกให้หมดค่ะ ^ ^)
“นิดนึง ยังโอเคอยู่” ฉันยิ้มให้อย่างมั่นใจด้วยอารมณ์กึ่ม ๆ
ฉันยิ้มและหัวเราะให้กับทุกเรื่อง ทั้งมุขตลก การแขวะ เรื่องเล่าที่ค่อนข้าง...อุบาทว์ของผู้ชาย คุณจะมีความรู้อย่างกว้างขวางใน..วงเหล้า โดยเฉพาะกิจวัตรประจำวันของผู้ชาย
ในขณะที่ฉันกำลังหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อเพื่อนชายคนหนึ่งกำลังลากไส้ขายสหายของตัวเองอยู่นั้น เอ๋ก็สะกิดไหล่ฉันเบา ๆ
“อะไร” ฉันหันไปถาม ซึ่งเอ๋ก็พยักเพยิดหน้าไปทางหน้าร้านและรอยยิ้มบนใบหน้าของฉันก็ค่อย ๆ หุบลง มันก็ไม่ใช่อะไรมากมายหรอกนะ แค่ เอ...แฟนฉันเอง
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ขวัญ ขอให้ผอมลงนะ” เห็นนิ่ง ๆ อย่างนั้นก็ปากร้ายเหมือนกันนะ
“ปากเสียพอ ๆ กับแฟนแกเลยนะ ไอ้เอ” นั่นหมายถึงฉันหรือเปล่า
และนั่นทำให้เอหันมามองฉันยิ้ม ๆ ซึ่งคนทั่วไปเห็นว่ามันคือสายตาที่หลายคนอยากได้รับรวมทั้งฉันด้วย แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้ามาจากคนที่ฉันรัก ยิ่งเอแสดงความรู้สึกออกมาให้ฉันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกทั้งอึดอัด เสียใจ รู้สึกผิด แต่ก็ต้องเก็บมันไว้ ฉันกำลังได้รับกรรมที่ฉันไปแย่งเป้าหมายของเพื่อนมา...
“ดื่มไปกี่แก้วแล้ว เมาหรือยัง” เอถามด้วยน้ำเสียงนุ่ม ๆ เหมือนเคย
“เปล่า ยังไม่เมา” ฉันส่ายหน้ายิ้ม ๆ และคงเพราะฉันเริ่มกึ่ม ๆ เลยทำให้สายตาดูหวานเชื่อมมากกว่าปกติ เอยกหลังมือไล้แก้มฉันเบา ๆ อา...ขนลุกแฮะ
“เฮ้ย! เอ มา ๆ สุดซอย ๆ” เป็นขวัญที่ช่วยฉันไว้
ฉันขอตัวเข้าห้องน้ำเพื่อค้นหาตัวสติที่ค่อนข้างจะกระเจิงทั้งจากเหล้าและจากการกระทำของเอ
ฉันยกมือเสยผมด้านหน้าที่เปียกน้ำจากการล้างหน้าค้นหาตัวสติและมองเข้าไปในกระจก ผู้หญิงตาเรียวค่อนข้างโตจ้องตอบกลับมา ดูสวยขึ้นนิดหน่อยด้วยแฮะ ฉันเมาแล้วแน่ ๆ เลย ฉันต้องมีสติและระมัดระวังการแสดงออกของตัวเองต่อเอ เพราะฉันกลัวที่จะทำอะไรที่จะทำให้ฉันเสียใจไปมากกว่านี้ ฉันรู้สึกเสียใจ ที่ไม่สามารถตอบแทนความรู้สึกของเอไปให้เท่าที่เอแสดงออกต่อฉัน ส่วนหนึ่งในใจของฉันยังคงมีพี่กฤษณ์ ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่าไม่มีทางเลยก็ตาม
“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ” ฉันเดินเซไปชนหญิงสาวที่เดินสวนเข้ามาห้องน้ำ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาฉันก็พบกับ...พี่เกด
“พี่ไม่เป็นไรค่ะน้อง แล้วน้องเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงหวานใสนั้นถามฉัน
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษค่ะ” ฉันก้มหน้าขอโทษแล้วรีบเดินหันหลังหนีมา ร้านที่พวกเรามาเลี้ยงฉลองกันนี้จะเรียกได้ว่าเป็นร้านเหล้าก็ว่าได้ถึงแม้จริง ๆ แล้วจะเป็นร้านอาหารก็ตาม แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เป็นเด็กวิศวะ ก็คงจะเดากันได้ใช่ไหมคะ ว่าอะไรที่ขายดีกว่าข้าว ไม่ค่อยมีเด็กคณะอื่นมาที่ร้านนี้นักหรอกค่ะ ฉันแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นพี่เกดซึ่งเป็นเด็กเภสัชอยู่ที่นี่
เมื่อเดินมาถึงตรงทางเดินที่เชื่อมระหว่างห้องน้ำชายกับหญิงฉันก็ได้คำตอบ เธอมากับพี่กฤษณ์
ฉันสบตาคมคู่นั่นเพียงชั่วครู่ก็ต้องหลบสายตา หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นเมื่อใกล้จะเดินผ่านพี่กฤษณ์
“สวัสดีค่ะ” ฉันเอ่ยทักทายแผ่วเบาพร้อมก้มหน้าลงนิดนึง แล้วรีบเดินเลี่ยงไป
จะด้วยความรีบร้อนหรือความเมา...อะไรก็แล้วแต่เถอะ ฉันสะดุดขาตัวเองแล้วทำท่าจะพุ่งลงไปจับกบต่อหน้าต่อตาพี่กฤษณ์ แต่แรงฉุดที่ต้นแขนพร้อมกับความอุ่นจนเกือบร้อนก็ช่วยพยุงไว้
“อ๊ะ ขอบคุณค่ะ” อีกแล้ว ทำไมจะเจอกันแบบดี ๆ และปกติไม่ได้นะ ความร้อนบนใบหน้าฉันพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ได้ความเย็นจากน้ำตอนล้างหน้า ฉันไม่กล้าเงยหน้ามองพี่กฤษณ์ซึ่งยังคงจับต้นแขนไว้
“เดินดี ๆ ครับ” ทำไมฉันรู้สึกน้ำเสียงพี่กฤษณ์ดูจะดุขึ้น และต้นแขนฉันที่มือเดียวของพี่กฤษณ์สามารถกุมมันได้รอบก็ยิ่งรู้สึกร้อน
“เอ่อ ค่ะ ขอโทษค่ะ” ฉันเริ่มประหม่า
เกิดความเงียบระหว่างเราอยู่นึง ในขณะที่ฉันยังคงก้มหน้าและพี่กฤษณ์ยังเงียบอยู่เหมือนเดิม ฉันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ฉันอยากไปจากที่ตรงนี้แต่มือของมือของพี่กฤษณ์ยังคงส่งความร้อนผ่านต้นแขนฉันไว้
ในขณะที่ฉันกำลังรวบรวมความกล้าที่จะเอ่ยขอตัว พี่กฤษณ์ก็ปล่อยมือ ฉันรู้สึกใจหายอยู่แว็บนึง
“ขอโทษนะกฤษณ์ รอนานไหม” พี่เกดซึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำพูดกับพี่กฤษณ์
ฉันไม่อยากเห็นทั้งสองอยู่พร้อมกันในตอนนี้ก็รีบเอ่ยขอตัวและเดินหนีออกมา เมื่อกลับมาที่โต๊ะ ตำแหน่งนั่งเปลี่ยนไปแล้ว เอ๋ที่เคยนั่งข้าง ๆ ฉันก็เปลี่ยนไปนั่งข้างขวัญตา ส่วนที่ของเอ๋ ตอนนี้เป็นของเอ ฉันหยุดเหมือนลังเลอยู่พักก็เดินกลับมาที่นั่งเดิม
“ไปห้องน้ำนานจัง ไหวหรือเปล่า” เอถามแล้วเกี่ยวผมที่ปรกหน้าฉันทัดที่ใบหูให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจนะ” ฉันเบี่ยงหน้าออกมาเล็กน้อย ฉันยังไม่ชินกับความสัมพันธ์และการแสดงออกของเอแบบนี้แต่ฉันก็ต้องพยายามที่จะไม่ทำให้เอรู้สึกไม่ดีว่าฉัน...ไม่ค่อยชอบการแสดงออกของเขา ซึ่งเอแสดงออกมาบ่อยครั้งมากขึ้น และยิ่งตอนนี้ที่เราอยู่ท่ามกลางเพื่อน ๆ และผู้คนในร้าน
เอดูเหมือนจะชะงักไปเล็กน้อยแต่เมื่อฉันส่งยิ้มให้น้อยเขาก็ยิ้มให้และเปลี่ยนเป็นวาดแขนข้างนั้นไปวางไว้บนโซฟาด้านหลังของฉันแทนซึ่งเหมือนจะเป็นการโอบกลาย ๆ
ฉันนั่งหลังตรงแหน่วและทำทีเป็นโน้มตัวหยิบจับเครื่องดื่มและคุยกับเพื่อนฝั่งตรงข้ามที่ดูเหมือนจะไร้สติไปแล้ว ฉันมองเอ๋ที่กำลังยื้อหยุดแก้วเหล้ากับขวัญตาแล้วจำต้องทำเป็นหมุนแก้วในมือตัวเองแทน
“ชงเหล้าให้เอหน่อยสิ” เสียงของเอเหมือนดังอยู่ข้างฉันเลย ฉันเอนถอยออกมาแล้วหันกลับไปมองก็พบใบหน้าของเออยู่ใกล้จริง ๆ ฉันหยิบแก้วเปล่าในมือเอโดยพยายามไม่แตะต้องมือที่เหมือนจะกุมแก้วทั้งใบนั้นไว้
“ของเอผสมอะไรล่ะ”
“โซดา” หมายถึงแค่เหล้ากับโซดา
ฉันหันไปจัดการเครื่องดื่มให้เอและดูเหมือนฉันมีตัวช่วยแล้ว เพราะทันทีที่ฉันชงเหล้าให้เอเสร็จ เพื่อนชายในกลุ่มที่ดูเหมือนจะเริ่มเมาแล้วก็คว้าแก้วเหล้าในมือฉันพร้อมกับท้าดวลกับเอ ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเอติดพันกับเพื่อน (ขี้เมา) แล้วหันไปมองรอบโต๊ะ โซนโต๊ะของฉันอยู่ริมหน้าต่างและค่อนข้างเสียงดัง เพื่อน ๆ แต่ละคนเหมือนเครื่องจะติดแล้ว โดยเฉพาะคนที่หลงไปดวลกับขวัญตา ฉันไม่รู้ว่ามันคอแข็งหรือมันมีเทคนิคอะไร แต่เกือบทุกรายที่พลาดไปดวลกับมัน...เมาเละทุกราย
ฉันหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเพื่อนคนหนึ่งกำลังจะทิ่มหัวไปที่ถังน้ำแข็งแต่มีมือของขวัญตาจิกหัวไว้ ไม่รู้ว่าตื่นมาพรุ่งนี้เช้าเขาจะปวดหัวเพราะแฮงค์หรือโดนจิกหัวกันแน่ และฉันก็หยุดหัวหน้าเมื่อหันไปอีกด้านแล้วเจอโต๊ะของพวกพี่กฤษณ์ที่มากับเพื่อนในภาค พร้อมกับพี่เกดและเพื่อนของพี่เกดอีกคน อย่างนี้นี่เอง พี่เกดมากับพี่กฤษณ์ ปกติเด็กวิศวะที่มากินเหล้าที่ร้านมักจะไม่พาแฟนมาด้วย
“เอามาทำไมวะ จะเมาก็เมาไม่ได้ ต้องมาดูแลอีก” เพื่อนคนหนึ่งของฉันเคยบอกอย่างนั้น
พี่กฤษณ์คงจะไม่คิดอย่างนั้นสินะ
“เข็มจะกลับหรือยัง” เอที่หลุดจากการดวลถามฉัน ทำให้ละความสนใจจากโต๊ะของพี่กฤษณ์
“อืม...ยังหรอก เดี๋ยวเข็มรอกลับพร้อมขวัญกับเอ๋” ไม่นะ ฉันไม่อยากกลับไปตามลำพังกับเอ
“แต่คงอีกนานนะ จนกว่าร้านจะปิดนั่นแหละมั้ง เดี๋ยวเอไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรเอ เดี๋ยวเข็มกลับกลับขวัญและเอ๋ ดูเหมือนขวัญจะเมาแล้วด้วย เอกลับไปก่อนก็ได้นะ” ฉันพยายามเหนี่ยวนำให้เอกลับไปก่อน เอเงียบไปสักพักพร้อมจ้องหน้าฉันแล้วถามขึ้นมาว่า
“เข็มกลัวที่จะต้องกลับกับเอเหรอ”
“...เปล่านะ แต่เข็มไม่อยากทิ้งเพื่อนน่ะ” ฉันหาเหตุผลให้อย่างสวยหรูเมื่อหันไปมองขวัญตาที่ยังไม่เลิกมอมเหล้าเพื่อน ๆ ในกลุ่ม เหมือนจะเป็นความสุขของมันเมื่อมอมได้แล้วก็มองอาการเมาของเพื่อน ๆ แต่มันไม่เคยมอมฉันเลยนะ เพราะคนที่จะลำบากที่จะต้องดูแลคนเมาอย่างฉันก็คือมันนั่นแหละ
เอเลิกล้มความคิดที่จะพาฉันกลับและยังนั่งอยู่ข้างฉันต่อไป
“ไม่มาววววว กรูเดินเองได้” เสียงยานคางนิด ๆ ของขวัญบอกเมื่อทั้งฉันและเอ๋พยายามดึงหรือฉุดมันกลับห้อง
“เออ รู้...กลับได้แล้ว ง่วงนะเว้ย” เอ๋บ่นเสียงไม่เบา
“ป่ะ ๆ กลับ ๆ แล้วเข็มล่ะ” ยัยขวัญถามหาฉันและหันไปมองทั่วร้าน ทั้ง ๆ ที่ฉันจูงมือมันอยู่นะนี่
ในที่สุดทั้งฉันและเอ๋ก็ทำภารกิจฉุดช้างสำเร็จ เมื่อจัดการยัดขวัญในรถของเอแล้วก็ต้องวิ่งกลับไปที่โต๊ะเพราะเพื่อจะไปหาโทรศัพท์ของขวัญตาที่มันบอกว่าทำหล่นไว้แถวนั้น
“อยู่ไหนน้า” ทั้งความมืดและทั้งความเมา (นิด ๆ )ทำให้ฉันต้องหาอยู่นานกว่าจะเจอ
“อ๊ะ เจอแล้ว โอ๊ยโหยเปียกหมดแล้ว” ฉันเบ้ปากนิด ๆ เมื่อเห็นโทรศัพท์ของขวัญอยู่บนโต๊ะที่เจิ่งไปด้วยน้ำที่ละลายจากน้ำแข็งจากถังน้ำแข็งใกล้ ๆ ฉันรีบเอาโทรศัพท์มาเช็ดเสื้อตัวเองเพราะฉันทำผ้าเช็ดหน้าหล่นหายไปตอนไหนก้ไม่รู้ และไม่รู้ว่ามันพังไปหรือยังเพราะเครื่องมันดับไปแล้วและฉันก็ยังไม่กล้าเปิดเพราะกลัวแบ็ตเตอร์รี่ช๊อต
เมื่อฉันเดินออกมาหน้าร้านฉันก็พบภาพที่ทำให้ฉันต้องหยุดเหมือนโดนแช่แข็ง พี่เกดในอ้อมกอดของพี่กฤษณ์ เหมือนพี่เกดจะส่ายหน้าไปมาในอ้อมกอดของพี่กฤษณ์ และฉันก็เห็นเพื่อนของพี่เกดพยายามดึงพี่เกดออกมา ฉันยืนมองภาพนั้นอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ของฉันเองดังขึ้น
“เข็มอยู่ไหนอ่ะ หาโทรศัพท์ขวัญเจอหรือยัง” เอ๋โทรมาถาม
“อืม...เจอแล้ว แป๊ปนะ กำลังเดินกลับ” ฉันบอกและรีบเดินออกมาจากตรงนั้น
ฉันนั่งอยู่ที่นั่งด้านหน้าข้างเอที่กำลังขับรถพาเรากลับห้อง ในขณะที่ขวัญและเอ๋คุยกันอยู่หลังรถ ขวัญตากำลังเล่าเรื่องเมา ๆ ของเพื่อนที่ถูกมันมอมและหัวเราะไปด้วย ...ตัวเองก็เมานะ
“ขอบใจมากนะเอที่มาส่ง” ฉันหันไปบอกกับเอเมื่อเขาขับมาส่งที่หอ เอ๋กำลังฉุดขวัญที่เดินไปเดินมาไปที่ลานหน้าหอ ฉันกำลังคิดจะเข้าไปช่วย แต่เอฉุดมือของฉันไว้เบา ๆ เมื่อฉันกำลังจะก้าวออกไปจากรถ
“มีอะไรเหรอเอ” ฉันหันไปถามพร้อมกับมองมือของเอที่ยังกุมมือฉันไว้
“...ไม่มีอะไร หลับฝันดีนะเข็ม” เอปล่อยมือเมื่อฉันพยักหน้าและยิ้มให้
“เอก็เหมือนกันนะ ขับรถดี ๆ ล่ะ”
ยิ่งนานวันเข้าฉันก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดกับความสัมพันธ์ของเรา ในขณะที่เอแสดงความรู้สึกของเขามากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดจากความรู้สึกผิดในใจ ฉันกำลังทำบาปใช่ไหม...ฉันรักผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้รักฉัน แต่ฉันก็กำลังคบกับผู้ชายอีกคน และความรู้สึกผิดกำลังกัดกร่อนหัวใจของฉันพร้อมกับความทรมานจากความผิดหวังในใจ...
เกือบสองสัปดาห์ที่ฉันต้องทรมานกับการใช้ชีวิตประจำวัน ฉันมีไข้เล็กน้อยช่วง 2 วันแรกจากการอักเสบแต่ก็ยังถือว่าโอเค โชคดีที่ฉันใส่กระโปรงพลีทยาวคลุมเข่าเลยทำให้สภาพมัมมี่ครึ่งท่อนของฉันไม่โดดเด่นมากนัก แต่ช่วงที่แผลตกสะเก็ดนี่เป็นอะไรที่ทรมานสุด ๆ เพราะฉันต้องบังคับใจตัวเองไม่ได้เกาแผล ฉันแทบจะถูกขวัญตามัดมือซน ๆ ของฉันไว้ แต่มันไม่ทำหรอก ตีมือเลยต่างหาก ยังกะมีแม่อีกคนแน่ะ
ในที่สุดแผลก็หายสนิท พร้อมกับเริ่มเทศกาลสอบมิดเทอม การสอบครั้งแรกในชีวิตมหาวิทยาลัย แม้แต่พวกเล่น ๆ ไปวันก็ยังต้องนั่งคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือ รวมถึงฉันด้วย
ฉันได้รู้จักกับ เอ เพื่อนชายในคลาสเดียวกัน อันที่จริงฉันก็คงจะไม่สนใจและไม่รู้จักเขามากกว่าเพื่อนชายในคลาสหาก ปอ ไม่โอ้อวดว่าได้กิ๊กกับเขา ซึ่งฉันก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกันเพราะดูเหมือนฝ่ายชายจะดู เฉย ๆ ซะเหลือเกิน
“เขม แคลคูลัสข้อนี้แก้ยังไง” เอ ถามฉันในขณะที่เรากำลังนั่งทบทวนแคลคูลัสด้วยกัน ไม่รู้ว่าอารมณ์ไหนที่ทำให้ฉันตีสนิทกับเอ หมั่นไส้ ปอ หรือ ประชดรักที่ไม่สมหวัง แต่นะ...ฉันก็ได้เรียกชื่อเขาออกไปครั้งเดียวตอนที่ปอชี้ให้ดูว่าหล่อนกำลังกิ๊กกับใคร ก็ฉันไม่รู้นี่นาว่าใคร จากนั้นดูเหมือนเอจะเป็นฝ่ายเข้ามาตีสนิทฉันเองนะ ซึ่งฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธ...ก็เพื่อนกันนิ
“ต้อง dib ตรงนี้ก่อนนี่ อย่างนี้...” ฉันอธิบายพร้อมทั้งเขียนวิธีทำไปด้วย คิดพร้อมกันเลย จะได้เข้าใจเร็ว ฉันชอบวิชานี้และก็ทำได้ดีด้วย ตอนแรกเอบอกว่าเขาจะติวให้ฉัน เราเลยมานั่งอ่านหนังสือด้วยกันไงล่ะ
ฉันยอมรับว่าที่เปิดโอกาสให้เอเป็นความเห็นแก่ตัวส่วนหนึ่ง ...มากนิดนึงก็ได้ ฉันอยากลองเปิดใจให้ใครเข้ามาแทนที่พี่กฤษณ์บ้าง เผื่อฉันจะหายจากอาการทรมานนี้ซักที ส่วนปอ โอเคว่าฉันผิดที่ดันไปแย่งเป้าหมายเพื่อน แต่มันก็อดคิดขึ้นมาตามประสานางร้ายไม่ได้ว่า ฉันเปล่านะ เขามาเอง นิสัยไม่ดีเลยฉัน
หลังจากสอบมิดเทอมเสร็จ ดูเหมือนว่าเอจะเข้าใจว่าความสัมพันธ์ของเราควรจะก้าวหน้าขึ้น วันหนึ่งเขาชวนฉันไปขับรถเล่นแถววงเวียน ซึ่งฉันไม่ปฏิเสธ แต่หากว่าฉันรู้ว่าการไปกับเอครั้งนั้นคือการเปิดตัวฉันในฐานะแฟนของเขาล่ะก็ ฉันคงไม่ไป ก็เรายังไม่ได้ตกลงกันเลยนี่นา และฉันก็ยังไม่รู้สึกอะไรลึกซึ้ง (ไปมากกว่าพี่กฤษณ์) เลยนี่นา
อันที่จริงฉันก็พอจะเดาได้หลังจากที่เอจอดรถแล้วชวนฉันลงเดินเล่นตรงสนามหญ้า เพราะสถานที่ที่เป็นที่สาธารณะ นิสิตที่มาเดินเล่นหลังจากการสอบอันเคร่งเครียด ฉันก็ไม่ปฏิเสธอีกละ ระหว่างเดินเล่นฉันรู้สึกว่าเอมองหน้าฉันตลอดเวลา ฉันจึงหันไปถาม
“มีอะไรเอ นายจะพูดอะไร”
เอยังคงมองแล้วก็ยิ้ม “เปล่า แค่รู้สึกมีความสุข”
ฉันรู้สึกดีนิด ๆ ที่ทำให้เอมีความสุข และในขณะเดียวกัน ฉันก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน แต่ก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ส่งไปให้
“เขมว่าเราพร้อมจะมีความรักใหม่ได้หรือยังนะ” ถามฉัน แล้วฉันจะไปถามใครล่ะ ตัวนายเองยังไม่รู้เลย ฉันเลยได้แต่เงียบ เอเคยเล่าให้ฉันฟังว่าแฟนคนก่อนของเขามีกิ๊ก ซึ่งเขาจับได้คาตาเลยแหละ เขาเล่าเรื่องหลายอย่างให้ฉันฟัง ทั้งเรื่องครอบครัวที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยกลมเกลียวกันมากนัก เขารู้สึกว่าพ่อและแม่ไม่ได้สนใจเขาเลย ฉันคิดว่าเขาค่อนข้างเป็นเด็กขาดความอบอุ่นอยู่พอควรนะ ซึ่งฉันก็ได้แต่พูดแง่คิดอีกมุมมองของฉันซึ่งมีแค่แม่เป็นครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว แต่ฉันก็ไม่ได้โหยหาความรักของแม่จนทำตัวมีปัญหาเพราะฉันรู้ว่าแม่รักและทำทุกอย่างเพื่อฉัน เมื่อไม่เข้าใจกัน ฉันบอกเอไปว่า ถ้าเราอยากให้ใครรัก ก็ต้องเริ่มที่เรารู้จักรักตัวเองและมอบความรักให้ผู้อื่น ดูดีไหม แหม...ฉันก็คิดเป็นนะ
ตามคาด เรื่องของฉันกับเอกระจายไปในหมู่เพื่อน ๆ ในเซ็คชั่น และอาจมีข้ามเซ็คกันบ้าง (อืม...ก็เหมือนกับคลาสนั่นแหละ เหมือน ม.6/1 6/2 อะไรทำนองนั้น เผื่อบางคนไม่เข้าใจ) ยิ่งทำให้ปอมึนตึงกับฉันมากขึ้น ฉันเลวใช่ไหมเนี่ย
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ย้อนนะขวัญ ขอให้ไม่ตกมีนนะแก” ฉันอวยพรจากใจจริงให้มันเลยนะ ก็เห็นมันตั้งใจอ่านหนังสืออย่างนั้น ( 3 วันก่อนสอบ) ขอให้คะแนนสอบไม่ห่างต่ำว่ามีนละกัน ไม่งั้นปลายภาคหืดขึ้นคอแน่
“สาธุ สมพรปากเหอะ” ยังทำท่าเหมือนยกมือไหว้ภาวนาอีก
พวกเรามากินเลี้ยงเล็ก ๆ น้อย ๆ (เกือบ 20 คนแน่ะ) หลังจากการสอบครั้งแรกในชีวิตมหาวิทยาลัยและถือโอกาสเลี้ยงวันเกิดย้อนหลังให้ขวัญตาด้วย เค้กวันเกิดขนาดเล็กปักเทียน 1 เล่มตรงกลางถูกยกมาให้เจ้าของวันเกิดเพื่อทำพิธีกรรมอัน (เหมือนจะ) ศักดิ์สิทธิ์และรุมล้อมด้วยเหล่าเพื่อน (ทั้ง)ฝูงและพี่ ๆ คณะที่สนิทกัน (บอกแล้วว่ามันมีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม)
“เฮ้ย! เป่าเบา ๆ เดี๋ยวน้ำลายหกใส่” เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งแซวขวัญ
“ปากดี งั้นมึ...ไม่ต้องแ...ก” ทันควัน เวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อน เรามักจะย้อนไปใช้คำพูดยุคเก่าแบบอนุรักษ์นิยม
“โอ๋ ๆ ขวัญจ๋า เพื่อนล้อเล้น”
เค้กหนึ่งปอนด์กับคน 20 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย หลายคนอาจคิดว่าน้อยไปไหม แต่สำหรับพวกเรา “เมนคอร์ส” มันไม่ใช่เค้กนะ แน่นอน เด็กวิศวะจะชมชอบอะไรไปมากกว่าเหล้าล่ะ
ถึงแม้ฉันจะมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยน่าประทับใจจากการดื่มครั้งแรก แต่ฉันก็ยังถือคติว่าต้องฝึกให้มันชินเข้าไว้เหมือนกัน แหม...ฉันก็เลือกนะ เลือกกลุ่มที่จะดื่มด้วย ถ้าไม่เห็นว่าจะมีใครสามารถเก็บศพกลับหอได้ละ ฉันไม่แตะ ยิ่งในโอกาสพิเศษของเพื่อนรักด้วยยิ่งไม่พลาด
“เบา ๆ เข็ม ชั้นต้องรอเก็บไอ้ขวัญด้วยนะ เซฟ ๆ หน่อย” เอ๋ ปรามฉันหลังจากเห็นฉันบ้าจี้สุดซอยตามขวัญที่กำลังคึก (สุดซอยหมายถึงชนแก้วแล้วกระดกให้หมดค่ะ ^ ^)
“นิดนึง ยังโอเคอยู่” ฉันยิ้มให้อย่างมั่นใจด้วยอารมณ์กึ่ม ๆ
ฉันยิ้มและหัวเราะให้กับทุกเรื่อง ทั้งมุขตลก การแขวะ เรื่องเล่าที่ค่อนข้าง...อุบาทว์ของผู้ชาย คุณจะมีความรู้อย่างกว้างขวางใน..วงเหล้า โดยเฉพาะกิจวัตรประจำวันของผู้ชาย
ในขณะที่ฉันกำลังหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อเพื่อนชายคนหนึ่งกำลังลากไส้ขายสหายของตัวเองอยู่นั้น เอ๋ก็สะกิดไหล่ฉันเบา ๆ
“อะไร” ฉันหันไปถาม ซึ่งเอ๋ก็พยักเพยิดหน้าไปทางหน้าร้านและรอยยิ้มบนใบหน้าของฉันก็ค่อย ๆ หุบลง มันก็ไม่ใช่อะไรมากมายหรอกนะ แค่ เอ...แฟนฉันเอง
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ขวัญ ขอให้ผอมลงนะ” เห็นนิ่ง ๆ อย่างนั้นก็ปากร้ายเหมือนกันนะ
“ปากเสียพอ ๆ กับแฟนแกเลยนะ ไอ้เอ” นั่นหมายถึงฉันหรือเปล่า
และนั่นทำให้เอหันมามองฉันยิ้ม ๆ ซึ่งคนทั่วไปเห็นว่ามันคือสายตาที่หลายคนอยากได้รับรวมทั้งฉันด้วย แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้ามาจากคนที่ฉันรัก ยิ่งเอแสดงความรู้สึกออกมาให้ฉันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกทั้งอึดอัด เสียใจ รู้สึกผิด แต่ก็ต้องเก็บมันไว้ ฉันกำลังได้รับกรรมที่ฉันไปแย่งเป้าหมายของเพื่อนมา...
“ดื่มไปกี่แก้วแล้ว เมาหรือยัง” เอถามด้วยน้ำเสียงนุ่ม ๆ เหมือนเคย
“เปล่า ยังไม่เมา” ฉันส่ายหน้ายิ้ม ๆ และคงเพราะฉันเริ่มกึ่ม ๆ เลยทำให้สายตาดูหวานเชื่อมมากกว่าปกติ เอยกหลังมือไล้แก้มฉันเบา ๆ อา...ขนลุกแฮะ
“เฮ้ย! เอ มา ๆ สุดซอย ๆ” เป็นขวัญที่ช่วยฉันไว้
ฉันขอตัวเข้าห้องน้ำเพื่อค้นหาตัวสติที่ค่อนข้างจะกระเจิงทั้งจากเหล้าและจากการกระทำของเอ
ฉันยกมือเสยผมด้านหน้าที่เปียกน้ำจากการล้างหน้าค้นหาตัวสติและมองเข้าไปในกระจก ผู้หญิงตาเรียวค่อนข้างโตจ้องตอบกลับมา ดูสวยขึ้นนิดหน่อยด้วยแฮะ ฉันเมาแล้วแน่ ๆ เลย ฉันต้องมีสติและระมัดระวังการแสดงออกของตัวเองต่อเอ เพราะฉันกลัวที่จะทำอะไรที่จะทำให้ฉันเสียใจไปมากกว่านี้ ฉันรู้สึกเสียใจ ที่ไม่สามารถตอบแทนความรู้สึกของเอไปให้เท่าที่เอแสดงออกต่อฉัน ส่วนหนึ่งในใจของฉันยังคงมีพี่กฤษณ์ ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่าไม่มีทางเลยก็ตาม
“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ” ฉันเดินเซไปชนหญิงสาวที่เดินสวนเข้ามาห้องน้ำ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาฉันก็พบกับ...พี่เกด
“พี่ไม่เป็นไรค่ะน้อง แล้วน้องเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงหวานใสนั้นถามฉัน
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษค่ะ” ฉันก้มหน้าขอโทษแล้วรีบเดินหันหลังหนีมา ร้านที่พวกเรามาเลี้ยงฉลองกันนี้จะเรียกได้ว่าเป็นร้านเหล้าก็ว่าได้ถึงแม้จริง ๆ แล้วจะเป็นร้านอาหารก็ตาม แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เป็นเด็กวิศวะ ก็คงจะเดากันได้ใช่ไหมคะ ว่าอะไรที่ขายดีกว่าข้าว ไม่ค่อยมีเด็กคณะอื่นมาที่ร้านนี้นักหรอกค่ะ ฉันแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นพี่เกดซึ่งเป็นเด็กเภสัชอยู่ที่นี่
เมื่อเดินมาถึงตรงทางเดินที่เชื่อมระหว่างห้องน้ำชายกับหญิงฉันก็ได้คำตอบ เธอมากับพี่กฤษณ์
ฉันสบตาคมคู่นั่นเพียงชั่วครู่ก็ต้องหลบสายตา หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นเมื่อใกล้จะเดินผ่านพี่กฤษณ์
“สวัสดีค่ะ” ฉันเอ่ยทักทายแผ่วเบาพร้อมก้มหน้าลงนิดนึง แล้วรีบเดินเลี่ยงไป
จะด้วยความรีบร้อนหรือความเมา...อะไรก็แล้วแต่เถอะ ฉันสะดุดขาตัวเองแล้วทำท่าจะพุ่งลงไปจับกบต่อหน้าต่อตาพี่กฤษณ์ แต่แรงฉุดที่ต้นแขนพร้อมกับความอุ่นจนเกือบร้อนก็ช่วยพยุงไว้
“อ๊ะ ขอบคุณค่ะ” อีกแล้ว ทำไมจะเจอกันแบบดี ๆ และปกติไม่ได้นะ ความร้อนบนใบหน้าฉันพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ได้ความเย็นจากน้ำตอนล้างหน้า ฉันไม่กล้าเงยหน้ามองพี่กฤษณ์ซึ่งยังคงจับต้นแขนไว้
“เดินดี ๆ ครับ” ทำไมฉันรู้สึกน้ำเสียงพี่กฤษณ์ดูจะดุขึ้น และต้นแขนฉันที่มือเดียวของพี่กฤษณ์สามารถกุมมันได้รอบก็ยิ่งรู้สึกร้อน
“เอ่อ ค่ะ ขอโทษค่ะ” ฉันเริ่มประหม่า
เกิดความเงียบระหว่างเราอยู่นึง ในขณะที่ฉันยังคงก้มหน้าและพี่กฤษณ์ยังเงียบอยู่เหมือนเดิม ฉันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ฉันอยากไปจากที่ตรงนี้แต่มือของมือของพี่กฤษณ์ยังคงส่งความร้อนผ่านต้นแขนฉันไว้
ในขณะที่ฉันกำลังรวบรวมความกล้าที่จะเอ่ยขอตัว พี่กฤษณ์ก็ปล่อยมือ ฉันรู้สึกใจหายอยู่แว็บนึง
“ขอโทษนะกฤษณ์ รอนานไหม” พี่เกดซึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำพูดกับพี่กฤษณ์
ฉันไม่อยากเห็นทั้งสองอยู่พร้อมกันในตอนนี้ก็รีบเอ่ยขอตัวและเดินหนีออกมา เมื่อกลับมาที่โต๊ะ ตำแหน่งนั่งเปลี่ยนไปแล้ว เอ๋ที่เคยนั่งข้าง ๆ ฉันก็เปลี่ยนไปนั่งข้างขวัญตา ส่วนที่ของเอ๋ ตอนนี้เป็นของเอ ฉันหยุดเหมือนลังเลอยู่พักก็เดินกลับมาที่นั่งเดิม
“ไปห้องน้ำนานจัง ไหวหรือเปล่า” เอถามแล้วเกี่ยวผมที่ปรกหน้าฉันทัดที่ใบหูให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจนะ” ฉันเบี่ยงหน้าออกมาเล็กน้อย ฉันยังไม่ชินกับความสัมพันธ์และการแสดงออกของเอแบบนี้แต่ฉันก็ต้องพยายามที่จะไม่ทำให้เอรู้สึกไม่ดีว่าฉัน...ไม่ค่อยชอบการแสดงออกของเขา ซึ่งเอแสดงออกมาบ่อยครั้งมากขึ้น และยิ่งตอนนี้ที่เราอยู่ท่ามกลางเพื่อน ๆ และผู้คนในร้าน
เอดูเหมือนจะชะงักไปเล็กน้อยแต่เมื่อฉันส่งยิ้มให้น้อยเขาก็ยิ้มให้และเปลี่ยนเป็นวาดแขนข้างนั้นไปวางไว้บนโซฟาด้านหลังของฉันแทนซึ่งเหมือนจะเป็นการโอบกลาย ๆ
ฉันนั่งหลังตรงแหน่วและทำทีเป็นโน้มตัวหยิบจับเครื่องดื่มและคุยกับเพื่อนฝั่งตรงข้ามที่ดูเหมือนจะไร้สติไปแล้ว ฉันมองเอ๋ที่กำลังยื้อหยุดแก้วเหล้ากับขวัญตาแล้วจำต้องทำเป็นหมุนแก้วในมือตัวเองแทน
“ชงเหล้าให้เอหน่อยสิ” เสียงของเอเหมือนดังอยู่ข้างฉันเลย ฉันเอนถอยออกมาแล้วหันกลับไปมองก็พบใบหน้าของเออยู่ใกล้จริง ๆ ฉันหยิบแก้วเปล่าในมือเอโดยพยายามไม่แตะต้องมือที่เหมือนจะกุมแก้วทั้งใบนั้นไว้
“ของเอผสมอะไรล่ะ”
“โซดา” หมายถึงแค่เหล้ากับโซดา
ฉันหันไปจัดการเครื่องดื่มให้เอและดูเหมือนฉันมีตัวช่วยแล้ว เพราะทันทีที่ฉันชงเหล้าให้เอเสร็จ เพื่อนชายในกลุ่มที่ดูเหมือนจะเริ่มเมาแล้วก็คว้าแก้วเหล้าในมือฉันพร้อมกับท้าดวลกับเอ ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเอติดพันกับเพื่อน (ขี้เมา) แล้วหันไปมองรอบโต๊ะ โซนโต๊ะของฉันอยู่ริมหน้าต่างและค่อนข้างเสียงดัง เพื่อน ๆ แต่ละคนเหมือนเครื่องจะติดแล้ว โดยเฉพาะคนที่หลงไปดวลกับขวัญตา ฉันไม่รู้ว่ามันคอแข็งหรือมันมีเทคนิคอะไร แต่เกือบทุกรายที่พลาดไปดวลกับมัน...เมาเละทุกราย
ฉันหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเพื่อนคนหนึ่งกำลังจะทิ่มหัวไปที่ถังน้ำแข็งแต่มีมือของขวัญตาจิกหัวไว้ ไม่รู้ว่าตื่นมาพรุ่งนี้เช้าเขาจะปวดหัวเพราะแฮงค์หรือโดนจิกหัวกันแน่ และฉันก็หยุดหัวหน้าเมื่อหันไปอีกด้านแล้วเจอโต๊ะของพวกพี่กฤษณ์ที่มากับเพื่อนในภาค พร้อมกับพี่เกดและเพื่อนของพี่เกดอีกคน อย่างนี้นี่เอง พี่เกดมากับพี่กฤษณ์ ปกติเด็กวิศวะที่มากินเหล้าที่ร้านมักจะไม่พาแฟนมาด้วย
“เอามาทำไมวะ จะเมาก็เมาไม่ได้ ต้องมาดูแลอีก” เพื่อนคนหนึ่งของฉันเคยบอกอย่างนั้น
พี่กฤษณ์คงจะไม่คิดอย่างนั้นสินะ
“เข็มจะกลับหรือยัง” เอที่หลุดจากการดวลถามฉัน ทำให้ละความสนใจจากโต๊ะของพี่กฤษณ์
“อืม...ยังหรอก เดี๋ยวเข็มรอกลับพร้อมขวัญกับเอ๋” ไม่นะ ฉันไม่อยากกลับไปตามลำพังกับเอ
“แต่คงอีกนานนะ จนกว่าร้านจะปิดนั่นแหละมั้ง เดี๋ยวเอไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรเอ เดี๋ยวเข็มกลับกลับขวัญและเอ๋ ดูเหมือนขวัญจะเมาแล้วด้วย เอกลับไปก่อนก็ได้นะ” ฉันพยายามเหนี่ยวนำให้เอกลับไปก่อน เอเงียบไปสักพักพร้อมจ้องหน้าฉันแล้วถามขึ้นมาว่า
“เข็มกลัวที่จะต้องกลับกับเอเหรอ”
“...เปล่านะ แต่เข็มไม่อยากทิ้งเพื่อนน่ะ” ฉันหาเหตุผลให้อย่างสวยหรูเมื่อหันไปมองขวัญตาที่ยังไม่เลิกมอมเหล้าเพื่อน ๆ ในกลุ่ม เหมือนจะเป็นความสุขของมันเมื่อมอมได้แล้วก็มองอาการเมาของเพื่อน ๆ แต่มันไม่เคยมอมฉันเลยนะ เพราะคนที่จะลำบากที่จะต้องดูแลคนเมาอย่างฉันก็คือมันนั่นแหละ
เอเลิกล้มความคิดที่จะพาฉันกลับและยังนั่งอยู่ข้างฉันต่อไป
“ไม่มาววววว กรูเดินเองได้” เสียงยานคางนิด ๆ ของขวัญบอกเมื่อทั้งฉันและเอ๋พยายามดึงหรือฉุดมันกลับห้อง
“เออ รู้...กลับได้แล้ว ง่วงนะเว้ย” เอ๋บ่นเสียงไม่เบา
“ป่ะ ๆ กลับ ๆ แล้วเข็มล่ะ” ยัยขวัญถามหาฉันและหันไปมองทั่วร้าน ทั้ง ๆ ที่ฉันจูงมือมันอยู่นะนี่
ในที่สุดทั้งฉันและเอ๋ก็ทำภารกิจฉุดช้างสำเร็จ เมื่อจัดการยัดขวัญในรถของเอแล้วก็ต้องวิ่งกลับไปที่โต๊ะเพราะเพื่อจะไปหาโทรศัพท์ของขวัญตาที่มันบอกว่าทำหล่นไว้แถวนั้น
“อยู่ไหนน้า” ทั้งความมืดและทั้งความเมา (นิด ๆ )ทำให้ฉันต้องหาอยู่นานกว่าจะเจอ
“อ๊ะ เจอแล้ว โอ๊ยโหยเปียกหมดแล้ว” ฉันเบ้ปากนิด ๆ เมื่อเห็นโทรศัพท์ของขวัญอยู่บนโต๊ะที่เจิ่งไปด้วยน้ำที่ละลายจากน้ำแข็งจากถังน้ำแข็งใกล้ ๆ ฉันรีบเอาโทรศัพท์มาเช็ดเสื้อตัวเองเพราะฉันทำผ้าเช็ดหน้าหล่นหายไปตอนไหนก้ไม่รู้ และไม่รู้ว่ามันพังไปหรือยังเพราะเครื่องมันดับไปแล้วและฉันก็ยังไม่กล้าเปิดเพราะกลัวแบ็ตเตอร์รี่ช๊อต
เมื่อฉันเดินออกมาหน้าร้านฉันก็พบภาพที่ทำให้ฉันต้องหยุดเหมือนโดนแช่แข็ง พี่เกดในอ้อมกอดของพี่กฤษณ์ เหมือนพี่เกดจะส่ายหน้าไปมาในอ้อมกอดของพี่กฤษณ์ และฉันก็เห็นเพื่อนของพี่เกดพยายามดึงพี่เกดออกมา ฉันยืนมองภาพนั้นอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ของฉันเองดังขึ้น
“เข็มอยู่ไหนอ่ะ หาโทรศัพท์ขวัญเจอหรือยัง” เอ๋โทรมาถาม
“อืม...เจอแล้ว แป๊ปนะ กำลังเดินกลับ” ฉันบอกและรีบเดินออกมาจากตรงนั้น
ฉันนั่งอยู่ที่นั่งด้านหน้าข้างเอที่กำลังขับรถพาเรากลับห้อง ในขณะที่ขวัญและเอ๋คุยกันอยู่หลังรถ ขวัญตากำลังเล่าเรื่องเมา ๆ ของเพื่อนที่ถูกมันมอมและหัวเราะไปด้วย ...ตัวเองก็เมานะ
“ขอบใจมากนะเอที่มาส่ง” ฉันหันไปบอกกับเอเมื่อเขาขับมาส่งที่หอ เอ๋กำลังฉุดขวัญที่เดินไปเดินมาไปที่ลานหน้าหอ ฉันกำลังคิดจะเข้าไปช่วย แต่เอฉุดมือของฉันไว้เบา ๆ เมื่อฉันกำลังจะก้าวออกไปจากรถ
“มีอะไรเหรอเอ” ฉันหันไปถามพร้อมกับมองมือของเอที่ยังกุมมือฉันไว้
“...ไม่มีอะไร หลับฝันดีนะเข็ม” เอปล่อยมือเมื่อฉันพยักหน้าและยิ้มให้
“เอก็เหมือนกันนะ ขับรถดี ๆ ล่ะ”
ยิ่งนานวันเข้าฉันก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดกับความสัมพันธ์ของเรา ในขณะที่เอแสดงความรู้สึกของเขามากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดจากความรู้สึกผิดในใจ ฉันกำลังทำบาปใช่ไหม...ฉันรักผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้รักฉัน แต่ฉันก็กำลังคบกับผู้ชายอีกคน และความรู้สึกผิดกำลังกัดกร่อนหัวใจของฉันพร้อมกับความทรมานจากความผิดหวังในใจ...

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ย. 2554, 02:29:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ย. 2554, 02:29:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 1788
<< ตอนที่ 3 ขอขมา | ตอนที่ 5 กระทงหลงเธอ >> |


เก่งวิชา 18 พ.ย. 2554, 09:55:08 น.
จะพยายามไม่คิดถึงความเป็นจริงนะ เพราะมันเศร้าไม่มีลุ้น
อยากให้นิยายเป็นนิยายมากกว่ามันคงสนุกว่ามะ อิอิอิ
พี่กฤษณ์มาได้แล้วม้าง ตรูรอนนานและ หลายตอนแล้วยังไม่ชายตาแลเลยอ่ะ หงุดหงิดๆๆนี่มันนิยายนะเฟ้ยไม่ใช่เรื่องจริง มาปิ๊งๆได้แล้วววว ฮ่าๆๆๆ
จะพยายามไม่คิดถึงความเป็นจริงนะ เพราะมันเศร้าไม่มีลุ้น
อยากให้นิยายเป็นนิยายมากกว่ามันคงสนุกว่ามะ อิอิอิ
พี่กฤษณ์มาได้แล้วม้าง ตรูรอนนานและ หลายตอนแล้วยังไม่ชายตาแลเลยอ่ะ หงุดหงิดๆๆนี่มันนิยายนะเฟ้ยไม่ใช่เรื่องจริง มาปิ๊งๆได้แล้วววว ฮ่าๆๆๆ