จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 29

---แวะคุยกันก่อน---

โอ้คนเขีบนปวดหลัง น้ำเหนือมาประดัง
พยายามจะปั่นสุดพลังแล้ว
ยังไงก็ขอให้ทุกคนปลอดภัยจากน้ำนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นนะคะ
อ่านเรื่องนี้อาจจะมีงงๆกันบ้าง แต่เดี๋ยวมันก็ไขกระจ่างคะ
ไปแล้วนะคะ

--------------
บทที่ 29

รองเท้าหนังมันปลาบคู่ใหญ่ก้าวไปข้างหน้าก่อให้เกิดเสียงฝีเท้าหนักสะท้อนก้องทั่วทั้งทางเดินอันเงียบเชียบปราศจากผู้คน กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ลอยวนผสานเข้ากับอากาศอันเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศชวนให้บรรยากาศในยามเช้าตรู่ของวันน่าวังเวงเป็นหนักหนา

ศิระผลักประตูกระจกในห้องไอซียูที่มีแล้วเดินเข้าไปยกมือไหว้ชายสูงวัยซึ่งคอยทำหน้าที่เฝ้าอาการป่วยของผู้เป็นนายไม่ยอมห่างอย่างนอบน้อมก่อนจะทอดสายตาผ่านบานกระจกใสยังร่างของชายสูงวัยอีกคนที่นอนบนเตียงด้วยอาการเจ้าชายนิทราและหญิงสาวมัดผมหางม้าที่กำลังกราบลงบนสองเท้าของบิดาแทนการกล่าวคำลา

รสาเลื่อนบานประตูของห้องเล็กที่กั้นไว้เป็นสัดส่วนสำหรับคนไข้แต่ละคน พอเหลือบเห็นว่าใครมายืนรอพบอยู่ก็นิ่วหน้าด้วยความประหลาดใจระคนไม่ชอบใจอยู่ในทีเพราะหล่อนไม่เคยบอกใครให้ทราบถึงอาการป่วยของพ่อ เมื่อมีใครมายุ่มย่ามทำให้รำคาญใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเข้าไปทักตามประสาคนรู้จัก

“ คุณมาทำอะไรที่นี่ ”

“ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว แต่ผมไปหาคุณที่ห้องกับที่ร้านแล้วไม่เจอก็เลยคิดว่า คุณน่าจะอยู่ที่นี่เลยลองมาดู ก็เห็นคุณที่นี่จริงๆ ” เขาตอบกลับ...ใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของความเคร่งเครียดระคนอยู่กับความเคลือบแคลงสงสัยหนักเสียจนคู่สนทนาเห็นได้ชัดโดยไม่จำเป็นต้องสังเกต

“ มีเรื่องจะคุยกับฉันเหรอ...เอาอย่างนี้แล้วกัน คุณออกไปรอข้างนอกก่อนนะ เดี๋ยวฉันเสร็จธุระตรงนี้จะออกไป ” หญิงสาวว่าพลางผายมือเชิญออกไปข้างนอก อีกฝ่ายก็ทำตามอย่างไม่อิดออด เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มออกไปแล้วก็หันมาคุยกับคนของพ่อถึงอาการโดยรวมของพ่อพอรู้ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ได้แต่ถอนใจแล้วจึงยกมือไหว้ลา

“ ถ้ามีอะไรเรื่องพ่อลุงโทรหาสาได้ตลอดเวลาเลยนะคะ ” หล่อนฝากฝังเป็นครั้งสุดท้าย

“ ครับ ผมทราบดีว่าต้องทำยังไง...คุณสามีธุระก็ออกไปเถอะครับ ลุงไม่อยากให้แฟนคุณสารอนาน ”

คำของผู้มากวัยกว่าทำให้หญิงสาวที่กำลังตรวจตราข้าวของในกระเป๋าสะพายหนังใบใหญ่ถึงกับผละจากทุกอย่างเงยหน้ามองคนพูดแทบจะในทันที

“ โอ๊ยลุง ลุงพูดอย่างนี้ได้ยังไง เขากับหนูไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย มาบอกว่าเขาเป็นแฟนหนูได้ยังไง ลุงพูดแบบนี้ใครได้ยินเข้า ภาพลักษณ์เฟมินิสต์ของหนูเสียหายหมดพอดี ” อารามตกใจทำให้หล่อนหลุดโวยเสียงดังจนพยาบาลกับแพทย์ในห้องหันมามองอย่างตำหนิเป็นตาเดียว พอแม่คนโวยวายเห็นเข้าเลยได้แต่ยิ้มแหยงๆ ผงกศีรษะแทนคำขอโทษ

“ คุณคนนั้นเขาไม่ใช่แฟนคุณสาหรอกเหรอครับ ไอ้ผมก็ไม่รู้ ปกติไม่เคยมีคนอื่นมาเยี่ยมท่าน พอผมเห็นคุณสาพาคุณเขามาก็เลยนึกว่าเป็น... ”

“ เขาไม่ได้เป็นแฟนหนูนะ หนูไม่ได้พาเขามา เขาตามมาเอง อีกอย่างเขาก็เป็นแค่พี่ชายของเพื่อนสนิทหนู หนูกับเขาไม่เคยมีอะไรกันสักหน่อย นี่ดีนะลุงมาพูดกับสาก่อน ถ้าขืนเขาได้ยินสามีอันถูกโมโหตายเลย แต่ถ้าวันหลังเห็นเขามาอีก ลุงห้ามพูดอะไรแบบนี้อีกนะคะ จำไว้เลยว่าหนูกับเขาแค่รู้จักกันเฉยๆ ” ว่าเสียงเข้มจริงจังแล้วไหว้ลาอีกครั้งอย่างรวดเร็วก่อนจะผลักประตูเดินตรงดิ่งไปหาคนตัวสูงที่ยืนกอดอกพิงเสาอยู่หน้าห้อง

เพียงมือเอื้อมถึงตัวหญิงสาวก็คว้าแขนของชายหนุ่มพาลากออกไปในมุมลับตาคน เหลียวซ้ายแลขวาสอดส่ายสายตาเหมือนนักโทษหนีคดีจนแน่ใจดีว่าไม่มีใครเห็นถึงเริ่มเปิดบทสนทนา

“ วันหลังคุณอย่ามาหาฉันที่นี่อีกนะ ถ้ามีธุระอะไรอยากคุยด้วยก็ไปรอฉันที่ร้านหรือหน้าอพาร์ทเม้นต์ก็ได้ ”

“ ผมก็เพิ่งบอกไปไม่ใช่เหรอ ว่าผมไปหาคุณแล้วทั้งสองที่แต่ไม่เจอ ถึงได้มาหาที่นี่ ”

“ ไปแล้วไม่เจอก็โทรมาถามก็ได้นี้ โทรศัพท์มือถือคุณก็มี ทำไมไม่โทรจะเก็บไว้ทำสากกะเบืออะไร ”

“ มีโทรศัพท์แต่ไม่มีเบอร์ แล้วคุณจะให้ผมโทรหาแมวที่ไหนล่ะ ” เขาโต้กลับพลางย่นหน้าผากใส่ ตัวคนฟังเองก็เพิ่งนึกได้ว่า ไม่เคยทิ้งเบอร์โทรศัพท์ติดต่อให้เขา เพราะไม่คิดมาก่อนว่าทั้งสองจะมีอะไรข้องเกี่ยวกัน จึงคว้านมือลงกระเป๋าสะพายหยิบเอานามบัตรยับๆส่งให้

“ ทีนี้คุณก็มีเบอร์ติดต่อฉันแล้ว วันหลังถ้ามีธุระอะไรกรุณาโทรมาหากันก่อน แล้ววันหลังคุณช่วยกรุณาอย่ามาหาฉันที่โรงพยาบาลอีกเข้าใจไหม ” หล่อนบอกด้วยสุ้มเสียงโกรธเคืองแสดงสีหน้าให้รู้ชัดถึงความไม่พอใจกลายๆทำให้คนหวังเอาเรื่องร้อนที่บอกใครไม่ได้มาให้ช่วยรู้สึกเกรงใจ

“ ถ้าการที่ผมมาหาคุณที่นี่มันทำให้คุณไม่พอใจขนาดนี้ ก็ขอโทษด้วยแล้วกัน...ผมผิดเองแหละที่คิดว่าสามารถเอาเรื่องในครอบครัวของผมกับน้องมาปรึกษากับคุณได้ แต่ถ้ามันทำให้คุณลำบากใจขนาดนั้นก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน ” พูดเสร็จก็ผละจากผนังที่พิงหลังเดินไปแต่ก็ถูกคนตัวเล็กกว่ารั้งไว้ให้กลับมาคุยด้วยกันตรงจุดเดิมก่อน

“ เฮ้ย อย่าเพิ่งเดินหนีกันแบบนี้สิ ฉันไม่ได้บอกซะหน่อยว่าฉันลำบากใจที่คุณเห็นฉันเป็นที่ปรึกษา แต่ฉันแค่ไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามในโรงพยาบาลที่พ่อฉันนอนรักษาตัวอยู่ ”

“ ผมก็ไม่ได้ไปยุ่มย่ามอะไรกับพ่อหรือคนของพ่อคุณเลยนะ ทำไมคุณต้องทำเหมือนกลัวคนจะเห็นผมแถมยังโวยวายใส่ผมแบบนั้นอีก ”

“ ไม่ได้ยุ่มย่ามก็จริง แต่ฉันไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน ”

หญิงสาวโพล่งความจริงออกไปทำเอาคนที่ไม่ทันตั้งตัวว่าจะได้รับคำตอบเช่นนั้นคลายรอยขมวดคิ้วเปลี่ยนมาเม้มริมฝีปากกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองจนตัวสั่น

“ ...เออนะ ใครมันคิดได้ว่าคุณกับผม... ” ความพยายามจะไม่หัวเราะออกไปทำให้การพูดเป็นไปอย่างตะกุกตะกัก

“ จะใครคิดก็ไม่สำคัญ แต่มันก็มีคนคิดแล้วกัน เพราะฉะนั้นคุณก็ควรทำตามคำขอของฉันอย่างเคร่งครัด เข้าใจไหม ” เห็นอีกฝ่ายออกอาการมากก็แว้ดใส่

“ เออ ผมเข้าใจได้ แต่ว่าใครมันคิดว่าผมกับคุณเป็นแฟนกันได้นะ มันช่าง... ” สุดท้ายการกลั้นความรู้สึกไว้ก็ไม่เป็นผล เมื่อเขาหลุดหัวร่องอหายออกมาในที่สุด

“เลิกขำซะทีได้ไหม จะขำอะไรหนักหนา ฉันไม่ได้มาเล่นตลกให้ดูนะ...หยุดหัวเราะได้แล้ว มีเรื่องจะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ มีอะไรก็พูดมาซะทีสิจะได้ไม่เสียเวลา ”

ประโยคนั้นทำเอาฝ่ายที่เส้นตื้นหัวเราะไม่เลิกสงบลงได้อย่างรวดเร็ว...ความเครียดที่จางไปเพียงครู่คืนสู่สามัญสำนึกและเป็นเหตุให้ใบหน้าหล่อเหลากลับมาขึ้งตึงอีกครา จากนั้นก็เดินนำไปยังม้านั่งสีขาวที่ตั้งอยู่ระหว่างแผนกโลหิตวิทยากับรังสีวิทยา เพียงทั้งสองทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ได้ ชายหนุ่มก็เปิดปากเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ประชุมให้หญิงสาวฟังอย่างละเอียดไม่เว้นกระทั่งเรื่องของผู้ส่งสาร

“ ตระกูลครอมเวลนี้เป็นใครมาจากไหนเหรอ ถึงได้มีเงินมากว้านซื้อหุ้นทั้งหมดของอังคพิมานโฮเต็ลได้ แถมยังซื้อได้โดยที่คุณไม่ระแคะระคายนะ ”

“ เท่าที่ผมรู้คือตระกูลนี้เป็นตระกูลนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอันดับต้นๆของโลก พวกเขามีส่วนในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจทั่วโลก อธิบายง่ายๆคือ เป็นผู้ส่งอิทธิพลในวงการธุรกิจ ”

“ แสดงว่าเขาต้องเล็งเห็นผลกำไรมหาศาลจากอังคพิมานโฮเต็ลถึงได้ทุ่มทุนกว้านซื้อหุ้นทั้งหมดแบบนี้ ”

“ จากที่ผมตรวจสอบดู ทางครอมเวลมีธุรกิจในภาคพื้นเอเชียเกือบทุกประเทศแต่ไม่เคยมีนโยบายเปิดตลาดทำการค้าในประเทศไทยเต็มตัว ส่วนใหญ่การลงทุนของเขาจะเป็นการถือหุ้นในองค์กรใหญ่ที่มีความสำคัญมากๆ แม้แต่ในโรงแรมใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผมเขาก็ถือหุ้นไว้ ถ้าเขาคิดจะลงทุนทำธุรกิจในประเทศ ด้วยศักยภาพขนาดเขาไม่จำเป็นต้องชุบมือเปิบธุรกิจของคนอื่นก็ได้ หรือถ้าเขาไม่อยากจะเริ่มต้นใหม่ ในเมื่อเขาถือหุ้นไว้หลายที่เขาก็มีทางเลือกมากมาย แต่เขากลับจำเพาะเจาะจงอยากได้ที่นี่ ”

ที่ปรึกษาชั่วคราวหรี่ตาเล็กลงเหมือนกับกำลังใคร่ครวญบางสิ่งอยู่ในใจ...เหตุผลของนักธุรกิจระดับโลกมันยากเกินจะคาดเดา แต่ถ้าให้เอาเรื่องเหตุผลส่วนตัวมาขบคิดมันน่าจะง่ายกว่า

“ ไอ้ฉันก็ไม่ใช่นักธุรกิจระดับโลกเลยไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเล็งที่นี่เพราะอะไร แต่จากที่ฟังคุณเล่าถึงเรื่องที่คุณภาคยอมขายหุ้นแถมยังเอาข่าวที่ครอมเวลฝากมาแจ้งให้คุณทราบ เป็นไปได้ไหมที่คุณภาคอาจจะเป็นคนแนะนำให้ทางนั้นสนใจธุรกิจของครอบครัวคุณ บางทีคุณภาคอาจต้องการแก้แค้นในสิ่งที่คุณทำกับเล็กก็ได้ ” หล่อนตั้งสมมุติฐานเพราะหลังจากได้มีโอกาสคุยกันผ่านโทรศัพท์ถึงได้รู้ว่า ความสัมพันธ์ในฐานะสามีภรรยาของเพื่อนนั้นลุล่วงไปในทางที่ดีแล้ว

“ ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้นนะ แต่ตอนที่มีเรื่องกันผมจำได้ว่าเขาพูดว่า ต้องจบงานให้ได้เพื่อปกป้องเล็ก ผมก็เลยคิดว่า บางทีเขาเองก็อาจถูกทางนั้นบีบมาเหมือนกันเลยจำใจต้องทำแบบนั้น ”

“ ถ้าเป็นอย่างนี้ทางเดียวที่คุณทำได้ตอนนี้ก็คงมีแค่ไปเจรจากับทางนั้นซะว่าจะเอายังไง ในเมื่อคุณภาคเขาให้นามบัตรของบริษัทจัดการสินทรัพย์ครอมเวลมาแล้ว คุณก็โทรไปนัดเจรจาซะสิ ”

“ ผมโทรไปแล้วแต่ทางนั้นบอกว่าจะแจ้งให้ผู้บริหารใหญ่ทราบก่อนแล้วจะนัดหมายวันมาใหม่ ทีนี้บังเอิญวันที่ผมชวนคุณมากินโจ๊กที่นี้นะ ผมเห็นผู้ชายคนที่คุณบอกว่าหน้าเหมือนผม เขาคุยอยู่กับภาคที่ล็อบบี้ของโรงแรม ผมก็เลยสงสัยว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะเกี่ยวข้องอะไรกับครอมเวล พอดีผมเจอเขาในลิฟต์ถึงได้รู้ว่าเขาอยู่ชั้นยี่สิบเก้า ผมก็เลยให้พนักงานเช็กรายชื่อแขกผู้เข้าพักว่ามีใครนามสกุลครอมเวลบางหรือเปล่า ”

“ แล้วคุณเจอเขาไหม ”

“ ไม่มีใครนามสกุลครอมเวลเลยสักคน...ผมเลยคิดว่าบางทีเขาอาจจะใช้ชื่อปลอมหรือให้คนอื่นเป็นคนจองห้อง ทีนี้ผมก็เลยสั่งให้พนักงานคอยดู ถ้าเขาปรากฏตัวอีกเมื่อไหร่ให้รายงานผมทันที ” ศิระว่าพลางถอนหายใจแล้วพิงหลังกับพนักเก้าอี้เหมือนคนหมดแรงผิดกับรสาที่ยังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ปลายนิ้วลูบไปตามคางรู้สึกสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้อาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านั้น หากก็ไม่ทันได้พูดออกไปเมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

ผู้บริหารหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมากดรับ ฟังปลายสายรายงานถึงความเคลื่อนไหวของคนที่สั่งให้จับตาดูจากนั้นเขาก็กดวางสายแล้วหันมามองหน้าหญิงสาวที่นั่งใกล้กัน

“ ลูกน้องผมบอกว่าเจอเขาแล้ว ”

“ เจอแล้วจะมาบอกฉันทำไม รีบกลับไปโรงแรมสิ ”

“ ผมกลับแน่ แต่คุณล่ะจะกลับเลยหรือเปล่า ผมจะได้ไปส่ง ” เขาอาสาทำหน้าที่สารถีให้ หลังจากคราวก่อนก็เคยได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่นั้น

“ โอ๊ย ไม่ต้องไปส่งฉันหรอก ฉันขับรถมาด้วย คุณรีบไปจัดการเรื่องธุรกิจครอบครัวดีกว่านะ ” หล่อนบอกปัดเพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้เขาดำเนินงานล่าช้า

“ เออ ใช่ผมลืมไปว่าคุณก็มีรถ เลยไม่ต้องมีคนคอยรับคอยส่งสินะ ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนแล้วกัน ” เขากล่าวลาแล้วลุกจากเก้าอี้ ก้าวเท้าไปเพียงสองสามก้าวก็หันกลับมา “ ขอบคุณนะที่รับฟังผม คราวหน้าถ้ามีโอกาสผมจะพาคุณไปหาอะไรอร่อยๆกิน ”

“ พาไปกินเดี๋ยวก็หมดตัวหรอก คุณก็เห็นว่าฉันกินเยอะขนาดไหน ”

“ เอาน่า แค่เลี้ยงข้าวคุณคนเดียวผมมีปัญญาจ่าย...ยังไงคุณก็ขับรถดี อย่าไปมีเรื่องกับใครเขาล่ะ ยังไงผมไปก่อนนะ ไว้ค่อยเจอกัน ” ริมฝีปากบางเหยียดกว้างอย่างเป็นมิตรขณะโบกมือลา ทำให้หญิงสาวที่ยืนมองอยู่เผลอยิ้มตอบออกไปอย่างไม่รู้ตัว

จากที่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยคิดเลยว่าจะคุยกันด้วยดีได้ ทว่าวันนี้ทั้งสองกลับมีความสัมพันธ์เหมือนกับเป็นเพื่อนกันไปเสียแล้ว...
************************

หลังจากจอดรถเข้าไปในช่องที่จัดไว้สำหรับผู้บริหารได้ ศิระก็รีบลงจากรถกดปุ่มที่อยู่บนกุญแจเพื่อล็อกรถเรียบร้อยก็วิ่งกระหือกระหอบเข้ามาในโรงแรมแวะไปยังล็อบบี้เพื่อเอารายงานที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยซึ่งรับคำสั่งให้ช่วยจัดตาดูแขกผู้เข้าพักในชั้นยี่สิบเก้าเขียนด้วยลายมือมาจากนั้นก็มุ่งหน้าไปหาเป้าหมายโดยไม่รีรอ

ทันที่หน้าจอแล็บท็อปฉายภาพจากกล้องวงจรปิดขนาดจิ๋วที่ถูกติดตั้งไว้ทุกครั้งที่คอยด์ ครอมเวลเข้าพักนอกสถานที่จับภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งถูกสั่งไว้ว่าหากพบมาเคลื่อนไหวบริเวณนี้ให้แจ้งจึงเป็นเหตุให้บอดี้การ์ดคนที่คอยควบคุมเรื่องกล้องก็ส่งสัญญาณมือให้บอดี้การ์ดที่ยืนประจำการอยู่ตรงประตูเข้าไปรายงานผู้เป็นนาย

ศิระหยุดยืนหน้าประตูห้องตามหมายเลขที่เขียนไว้ในกระดาษ พยายามรวบรวมสติทั้งหมดของตัวเองมาเป็นพลังในการฝ่าฟันอุปสรรคที่ต้องเผชิญหน้า มือเรียวกำหมัดเตรียมจะเคาะเรียกก็พอดีกับที่คนในห้องเปิดประตูออกมาพอดี

ชายต่างชาติผิวดำตัวสูงใหญ่ยืนกอดอกรออยู่หลังบานประตูดูน่าเกรงขาม ทว่าชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้าน หากจำเป็นต้องลงไม้ลงมือกันจริง ศิลปะป้องกันตัวที่เคยเรียนและใช้สู้มาก็คงจะพอทำให้เอาตัวรอดไปได้

“ เชิญ ท่านรอคุณอยู่ ”

ฝ่ายนั้นเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันพร้อมผายมือเชื้อเชิญ ท่าทางและคำพูดที่คล้ายกับรู้ว่าเขาจะมาหาทำให้ผู้บริหารหนุ่มย่นหน้าผากหากก็ยอมเดินตามหลังชายผู้นั้นเข้าไปในห้อง จากที่ลอบสังเกตทำให้เห็นถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่เจ้าของห้องพักตั้งขึ้นมาเองว่าแน่นหนาเพียงใด

“ นายครับ คุณศิระ อังคพิมานมาขอพบ ” แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามที่เรียกขานก็ยังถูกต้องทำให้คนที่ตั้งใจมาเจรจารู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกจัดฉากให้ตกหลุมไปสู่แผนการอะไรสักอย่างอย่างไรไม่รู้

ชายสูงวัยนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายสีขาวรับลมเย็นอยู่ริมระเบียงเอี้ยวตัวกลับมามองบอดี้การ์ดของตนและชายหนุ่มอีกคนเล็กน้อยแล้วเสียงหัวเราะก็ดังตามมา

“ ไอ้นิสัยฉลาดแต่ทำอะไรบุ่มบ่ามนี้มันถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้จริงๆนะ แต่ไม่เป็นไรยังไงผมก็จะขัดเกลาเขาให้กลายเป็นครอมเวลที่ดีแทนพี่ให้ได้ ผมสัญญา ” เขารำพึงเป็นภาษาอังกฤษขณะหยิบแหวนไพลินวงหนึ่งขึ้นมาส่องดูพระอาทิตย์ที่ลอยเด่นกลางนภาก่อนจะลุกจากเก้าอี้เดินตรงเข้ามาหาคนที่ถูกปล่อยให้ยืนนิ่งอยู่กลางห้องนอน

“ คงรู้แล้วสิว่าฉันเป็นใคร ถึงได้อุตส่าห์ให้พนักงานมาดักรอฉัน ” ชายสูงวัยกว่าเริ่มเปิดประเด็นด้วยการถาม สุ้มเสียงทุ้มกังวานทรงอำนาจนั้นมีอานุภาพให้คนฟังรู้สึกกริ่งเกรงอย่างประหลาด

“ คุณคงจะเป็นคนที่อยากจะฮุบกิจการของอังคพิมานโฮเต็ลสินะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ” เขาทักทายด้วยการเสียดสีพร้อมกับยื่นมือไปให้อีกฝ่ายจับพลางเขย่าเบาๆก่อนจะรีบสะบัดมือออกอย่างรวดเร็ว

คอยด์เหยียดริมฝีปากเล็กน้อยให้กับการกระทำอันเสียมารยาทอย่างยิ่งของคนตรงหน้า หากเป็นคนอื่นอาจถูกจับหักแขนไปเรียบร้อยแล้วแต่ในกรณีนี้เขาถือว่าเด็กคนนี้มีความกล้าที่น่าสนใจอยู่

“ สรุปแล้วจะเอายังไงคิดจะขายหุ้นให้กับฉันหน่วยละเท่าไหร่ดีล่ะ ”

ศิระจ้องหน้าชายผู้มีความละม้ายคล้ายคลึงกับตนเอง เริ่มจับสังเกตได้ว่า ความจริงแล้วคนตรงหน้ามีองค์ประกอบบางส่วนที่ต่างกับเขาอยู่มากเพียงแต่หากมองผ่านจะจับไม่ได้

“ ผมขอบอกกับคุณตามตรงเลยนะ ผมไม่เคยคิดจะขายธุรกิจของครอบครัวไปให้คนอื่น และที่ผมมาที่นี่ไม่ใช่เพราะยอมรับข้อเสนอการซื้อของคุณ แต่มาเจรจาขอซื้อหุ้นห้าสิบสองเปอร์เซ็นต์ที่คุณถืออยู่กลับมาต่างหาก ”

“ หยิ่งใช้ได้เลยนะ ” เขาว่าด้วยรอยยิ้มกว้าง “ แต่ผมคิดว่าคุณกลับไปพิจารณาข้อเสนอของผมให้ดีก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นมาจะหาว่าผมไม่เตือน ”

“ ไม่ต้องขู่ผมหรอกครับ ผมรู้ว่าพวกคุณน่ากลัวขนาดไหน แต่ขอให้รู้ไว้ว่า ถ้าผมกลัว ผมคงไม่มาหาคุณถึงนี้เหมือนกัน และผมขอยืนยันเลยว่าจะไม่มีการขายหุ้นใดๆจากผมทั้งสิ้น ถ้าจะมีการซื้อขายก็ต้องเป็นฝ่ายคุณที่ขายให้ผม ” เขายืนยันเจตนารมณ์ของตัวเองหนักแน่นเรียกเอาเสียงหัวเราะจากชายชราได้อีกครา

“ คุณคิดว่าผมขู่เหรอ แสดงว่าคุณยังไม่รู้ว่าผมมีอะไรอยู่ในมือบ้างสินะ ไม่เป็นไร ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเอาน้ำจิ้มให้คุณดูก่อนก็ได้ ” บอกเสร็จซองเอกสารสีน้ำเงินประทับตราอักษรย่อของครอมเวลที่วางอยู่บนเตียงก็ถูกนำมายื่นให้ตรงหน้า

เพียงเปิดดูเอกสารภายในก็ทำให้ศิระถึงกับเบิกตากว้างเหลียวมองหน้าสดใสของชายชราด้วยนัยน์ตาคาดไม่ถึง...ทุกอยางที่อยู่ในซองนั้นเป็นหลักฐานการกระทำผิดของมลธิกาที่ศิระเชื่อว่าได้รับคืนมาจากวิกานดาหมดแล้ว แต่ความจริงกลับมีข้อมูลอีกหลายอย่างที่เขาไม่ได้ถืออยู่

“ ข้อมูลพวกนี้ผมได้มาจากแม่สาวสวยคนนิปปอนรอยัลส่งมาเป็นนางนกต่อ...คุณคงไม่รู้ว่าเอกสารพวกนี้ผมได้มาก่อนที่คุณจะรู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกวิกานดาเข้ามาหาผลประโยชน์ ”

“ นี่แสดงว่า คุณรวมมือกับทางนิปปอนรอยัลส่งคนมาป่วนโรงแรมผมด้วยอย่างนั้นเหรอ ” ร้องถามเสียงสั่น ริมฝีปากระริกไหวกับข่าวใหม่ที่ได้รับ

“ จะบอกว่าร่วมมือคงไม่ถูก...คุณคงไม่รู้ว่างานถนัดของครอมเวลคือการเก็บรวบรวมข้อมูลการทุจริตขององค์กรต่างๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ผมจะเข้าถึงข้อมูลพวกนี้ ก็อย่างที่บอกนี่เป็นแค่น้ำจิ้ม ยังมีเรื่องเด็ดๆ ที่ผมขุดขึ้นมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งโรงแรมอยู่ด้วยนะ ถ้าคุณสนใจอยากรู้ผมก็พร้อมเผยแพร่ต่อสาธารณชนทุกเมื่อเหมือนกัน ”

“ พอคุณใช้เงินฟาดหัวผมไม่ได้ ก็เลยคิดเล่นงานผมด้วยวิธีสกปรกแบบนี้นะเหรอ...ตอนนี้คุณถือหุ้นมากกว่าผมก็ถือว่ามีแต้มต่อสูงอยู่แล้ว คุณจะต้องการหุ้นที่เหลือทั้งหมดไปทำไม ” คนอ่อนวัยกว่าถามแล้วขบกรามแน่นด้วยความโกรธที่ถูกบีบคั้น

“ อะไรที่มันเคยเป็นของผม เวลาผมอยากได้คืนผมไม่สนใจวิธีการที่จะทำให้ได้มันมาหรอก ” วาจาที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากบางของผู้สูงวัยแฝงไว้ด้วยความลับที่คนฟังไม่มีวันล่วงถึง

“ คุณไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไรอยู่ ผมไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากการฮุบกิจการของครอบครัวผม หรือบางทีคุณอาจจะแค่หาวิธีเพิ่มมูลค่าให้กับหุ้นที่คุณถืออยู่ เพื่อที่ว่าเวลาผมซื้อคืนคุณจะได้โก่งราคาเต็มที่ใช่ไหม ”

“ ไอ้ที่คุณพูดมาทั้งหมดผมก็เคยทำมาก่อนนะ แต่เชื่อเถอะว่ากับคราวนี้มันไม่เหมือนกัน ”

“ งั้นคุณก็เชื่อได้เลยนะว่า ต่อให้คุณเอาเรื่องทุจริตของผู้หญิงคนนั้นมาแฉ ผมก็ไม่แคร์ เพราะหน้าที่ของผมคือการรักษามรดกที่บรรพบุรุษตกทอดมาให้ และไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไรผมจะไม่มีวันยอมแพ้ขายหุ้นให้คุณแน่นอน ” ชายหนุ่มมุ่งมั่นในอุดมการณ์ของตนทำให้อีกฝ่ายถึงกับปรบมือชื่นชมจากใจจริง

“ มีอุดมการณ์มันก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้ายึดมั่นมากไปจะตายก่อนวัยอันควร...คนหนุ่มอย่างคุณยังมีอนาคตอีกไกล อย่าให้มันเกิดเรื่องเหมือนที่เคยเกิดอีกเลย ” เขารำพันราวกับกำลังเอ่ยถึงบุคคลอื่นหาใช่สนทนาอยู่กับคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า

คนตัวสูงจ้องมองชายสูงวัยนึกรู้อยู่ว่า ฝ่ายตรงข้ามเอาจริงแต่ที่ยังปากดีก็เพียงแค่ประวิงเวลาเพราะยังไม่รู้ว่าจะหาวิธีใดมาใช้ในการเจรจาต่อรองดี ทว่าก่อนที่จะได้เสนออะไรออกไปฝ่ายตรงข้ามก็พูดต่ออีก

“ ผมเข้าใจนะว่าการสูญเสียธุรกิจของครอบครัวไปมันเป็นเรื่องทำใจยาก เอาอย่างนี้ดีไหม ผมมีข้อเสนออื่นที่ทำให้คุณไม่ต้องเสียอังคพิมานโฮเต็ลไป ขอแค่คุณตอบรับข้อเสนอของผม ผมจะคืนหุ้นทั้งหมดให้โดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินสักเหรียญเลยด้วยซ้ำ ”

ข้อเสนอที่น่าเคลือบแคลงสงสัยทำให้ศิระนิ่วหน้า ในวงการธุรกิจการฝ่ายใดก็ตามเป็นผู้ยื่นข้อเสนอมาส่วนใหญ่แล้วไม่มีทางให้ตัวเองเสียประโยชน์เป็นอันขาดจึงไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่า ข้อเสนอนั้นจะไม่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบ

“ ข้อเสนอของคุณคืออะไร ถ้าน่าสนใจผมจะรับไว้พิจารณา ”

คอยด์ทอดสายตามองแหวนไพลินสักพักก็เงยหน้ามาสบสายตาคมกริบดุจเดียวกันแล้วระบายรอยยิ้มไว้ทั่วใบหน้าพร้อมเอ่ยข้อเสนอที่ทำให้ศิระกระพริบตาปริบด้วยความคับข้องใจอย่างที่สุด

“ ผมต้องการให้คุณเป็นสมาชิกของตระกูลครอมเวล ”

**********************

กระเป๋าไหมพรมสีเขียวอมฟ้าใบใหญ่บุภายในอีกชั้นด้วยผ้าลายดอกไม้น่ารักที่แขวนไว้ตรงเก้าอี้ตรงมุมทำงานในส่วนแต่งตัวถูกหยิบมาเทข้าวของทั้งหมดลงบนโต๊ะเพื่อง่ายต่อการตรวจสอบว่าไม่มีเครื่องดักฟังหรืออุปกรณ์อันตรายใดถูกปู่นอกสายเลือดใส่มาระหว่างการสนทนา

การถูกสอนสั่งและปฏิบัติภารกิจให้กับครอมเวลมาเป็นเวลาเกือบสี่ปีทำให้ทราบดีว่า การระแวดระวังเฝ้าสังเกตทุกอย่างไม่ให้คลาดสายตานั้นเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่จะใช้รับมือกับการเข้าถึงหรือคุกคามของอีกฝ่าย...มือเรียวใหญ่สำรวจของทุกชิ้นอย่างละเมียดละไมตามที่เคยฝึกมาทำให้พบว่าไม่มีอะไรเข้าข่ายต้องสงสัยจึงโกยมันเก็บเข้าไปตามเดิม เหลือก็เพียงกระเป๋าสตางค์หนังสีน้ำตาลใบยาวที่ถูกเก็บไว้เป็นอันดับสุดท้ายในการตรวจค้นเท่านั้น

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะเปิดดูก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามาในห้องด้วยความไม่ระวังช่วงที่หันไปมองต้นเสียงกระเป๋าสตางค์ก็ชนเอาขอบโต๊ะหล่นลงไปแผ่อยู่บนพื้นทำให้เห็นว่าตรงช่องพลาสติกใสสำหรับใส่รูปมีภาพถ่ายของหญิงสาวคนหนึ่งยืนกอดเด็กน้อยชายหญิงต่างวัยสองคนอยู่ด้วยรอยยิ้มสดใส ความเหลืองของสีทำให้ทราบได้ว่ามีอายุเกินสิบปี และถัดจากภาพครอบครัวตรงมุมล่างสุดก็มีภาพถ่ายติดบัตรขนาดหนึ่งนิ้วของเด็กหนุ่มคนหนึ่งสอดอยู่ด้วย

ภาควัฒน์เก็บกระเป๋าสตางค์จากพื้นขึ้นมาพินิจดูใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นครู่เดียวก็หัวเราะเสียงดังทำเอาศศิวิมลที่หลังกลับจากการดูแลผู้เป็นป้าที่โรงพยาบาล พออาบน้ำเสร็จก็หนีไปสวดมนต์ทำจิตใจให้สงบอยู่ในห้องพระเพิ่งกลับเข้ามาในห้องนอนเกิดความสงสัยจึงเดินไปชะเง้อดูสามีจากด้านหลังก็เห็นเขาจิ้มนิ้วอยู่บนช่องใส่รูปของกระเป๋า

“ พี่ภาคเป็นอะไรหรือเปล่าคะถึงได้หัวเราะขนาดนั้น ”

“ พี่เห็นรูปตัวเองสมัยก่อนแล้วขำนะ...ดูสิ ตอนนั้นพี่หวีผมเรียบแปล้ยังกะเด็กเนิร์ด แล้วดูหน้าก็เอ๋อซะไม่มีแต่ยังเก๊กเหมือนเป็นพระเอกหนังอีก ใครมาเห็นรูปพี่ตอนนี้ก็ต้องขำทั้งนั้นแหละ ”

“ ไม่เห็นจะน่าขำเลย เล็กว่าน่ารักออก แล้วนี้พี่ภาคมาเปิดดูกระเป๋าสตางค์เล็กได้ยังไงคะ เสียมารยาทนะรู้ไหม เอาคืนเล็กมาเลย ” คนตัวเล็กว่าพยายามเขย่งเท้าแย่งของตัวเองคืนแต่แย่งไม่ได้สักทีเพราะคนตัวใหญ่แกล้งชูกระเป๋าไว้สูงเกินเอื้อมถึงแถมยังโดนเขารวบเอวยกลอยจากพื้นอีกต่างหาก

ตอนแรกคนถูกอุ้มทำท่าจะโวยวายแต่พอเห็นดวงหน้าคมของผู้เป็นสามียิ้มพราวทั้งตาทั้งปากอย่างมีความสุขก็อดไม่ได้ที่จะแย้มริมฝีปากกว้างตอบไปเสียนี้

“ ระหว่างพี่ภาคเมื่อสิบปีก่อนกับพี่ภาคตอนนี้ เล็กรักใครมากกว่ากันคะ ” ร้องถามด้วยน้ำเสียงที่ยังเจือแววขบขัน

หญิงสาวเอียงคอทำเป็นคิดทั้งที่ยังยิ้มกว้างก่อนจะใช้วางสองมือลงบนข้างแก้มของคนตรงหน้าให้ส่ายไปมาเบาๆ

“ จะพี่ภาคคนนั้นหรือคนนี้ก็คนเดียวกัน ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันหรืออนาคตเล็กก็รักไม่ต่างกันหรอกค่ะ ”

คำตอบนั้นสร้างอิ่มเอมเสียจนคนฟังยื่นปลายจมูกไปหอมแก้มนุ่มฟอดใหญ่ก่อนจะวางร่างบางลงกับพื้นแล้วกอดไว้ด้วยความรู้สึกรักและหวงแหนอย่างที่สุด

“ พี่รักเล็กนะคะ ” เขาว่าแล้วซุกหน้าลงบนเรือนผมหอมแล้วจึงต่อ “ แต่วันหลังถ้าจะเอารูปพี่เก็บในกระเป๋า ขอให้มันดูดีกว่านี้หน่อยนะคะ พี่อายเขา ”

“ ก็พี่ภาคเคยให้รูปนี้กับเล็กแค่รูปเดียว แล้วเล็กจะไปเอารูปพี่ภาครูปอื่นมาเก็บได้ยังไง...พี่ภาคสิ ตอนอยู่เมืองนอกคงพกรูปสาวสวยไว้เยอะแยะเลยสิท่า ”

“ แน่ะมาลงที่พี่อีกล่ะ...รู้ได้ยังไงว่าพี่พกรูปใครไว้ในกระเป๋า ไปแอบดูมาแล้วเหรอคะ ”

“ เปล่าหรอกคะ แต่เดาเอา พี่ภาคท่าทางเชี่ยวชาญเรื่องรักๆขนาดนั้น คงมีผู้หญิงให้เลือกไม่ซ้ำวันแน่เลย ” พูดพลางทำหน้าตูม คนที่ถูกกล่าวหาเลยปล่อยมือผละจากการกอดเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเอากระเป๋าสตางค์หนังสีดำออกมาเปิดแล้วยื่นไปให้ดูถึงได้เห็นว่ามีรูปคู่ของหล่อนกับเขาถ่ายคู่กันสมัยก่อนเก็บไว้ในนั้น

“ พี่ภาคพกรูปเล็กไว้ด้วยเหรอคะ ”

“ ตอนพี่อยู่เมืองนอก เวลาเปลี่ยนกระเป๋าสตางค์พี่ก็เคยคิดจะเอาออกเหมือนกัน แต่ทำไปทำมาถึงจะเปลี่ยนกระเป๋าไปกี่ใบแต่รูปข้างในพี่ก็ตัดใจเอารูปอื่นมาใส่ไม่ได้ซะที ”

หญิงสาวอมยิ้มก่อนจะหยิบกระเป๋าเขามาดูรูปคู่ใบนั้นในระยะใกล้ คืนวันแห่งความสุขครั้งอดีตหลั่งไหลมาให้ชื่นใจกว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกสามีสวมกอดเข้าที่ด้านหลัง

“ ไม่ใช่แค่พี่ภาคหรอกคะ ตอนเด็กเล็กก็ตลกเหมือนกันแหละ ” หล่อนบอกพร้อมกับเอนศีรษะพิงแขนเขาไว้

“ ไม่หรอกค่ะ ในสายตาพี่เล็กเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดมานานแล้ว...พอพูดเรื่องถ่ายรูป จะว่าไปตอนนี้เราสองคนก็ไม่มีรูปถ่ายคู่กันเลยนะคะ ”

“ ใครว่าไม่มีคะ ตอนแต่งงานเราก็ถ่ายรูปคู่ด้วยกันนะคะ ”

“ อันนั้นพี่ไม่นับคะ...พี่อยากได้รูปที่เราสองคนมีความสุขด้วยกัน เออ จริงสิ ” เขาทำท่าเหมือนคิดอะไรได้จึงล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมากดเข้าโหมดถ่ายรูปก่อนจะสั่งให้คนในอ้อมแขนมองรูเล็กๆเหนือจอแล้วยิ้มหวานๆ พอกดถ่ายรูปเสร็จก็มีภาพคู่ของทั้งสองแสดงผลออกมาให้ดู แม้ภาพจะไม่คมชัดนัก แต่เจ้าของเครื่องก็พอใจ

“ พี่ภาคถ่ายรูปเราสองคนไปทำไมคะ ”

“ ถ่ายเอาไปอวดว่าพี่มีเมียทั้งสวยทั้งดี ให้ลูกน้องอิจฉาเล่น ”

“ ให้เฉพาะลูกน้องผู้ชายดูพอนะคะ เดี๋ยวลูกน้องสาวๆเห็นเรตติ้งจะตกเอานะคะ ”

“ เรตติ้งตกก็ช่างปะไร พี่สนใจแค่เมียพี่รู้สึกยังไงก็พอล่ะ ” พูดพลางวางคางลงบนไหล่นุ่ม “วันนี้ก่อนพี่ไปรับที่โรงพยาบาล ลุงคนนั้นมาเยี่ยมป้ามลอีกหรือเปล่าคะ ”

“ ไม่ได้มานะคะ เล็กก็รออยู่เหมือนกันว่าคุณลุงเขาจะมาหรือเปล่า จะได้คืนบัตรกำนัลให้ แต่ลุงเขาก็ไม่มา เล็กเลยกะว่าจะโทรไปบอกให้เขามาเอาคืนนะคะ ”

“ บัตรกำนัล ” คนตัวใหญ่เลิกคิ้วสูงทวนคำพูดซ้ำก่อนที่คนตัวเล็กจะส่งทั้งนามบัตรและบัตรกำนัลใช้ซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ตัวเองให้

“ เขาให้เล็กไว้เหรอคะ ทำไมเมื่อวานเล็กไม่บอกพี่ล่ะคะ ” ถามขณะที่พลิกดูสิ่งที่ได้รับมา

“ ก็เมื่อวานกว่าจะกินข้าวข้างนอกเสร็จก็ดึก พอกลับมาเล็กก็เลยลืมบอกพี่ภาคไปนะคะ...ตอนแรกเล็กก็ไม่รู้ว่าคุณลุงเขาให้อะไรมาพร้อมกับนามบัตร แต่ตอนเช้าเล็กเปิดกระเป๋าเลยเห็นบัตรกำนัลตกอยู่ มูลค่าทั้งเล่มมันตั้งหลายหมื่น เล็กเลยคิดว่าจะคืนให้คุณลุงเขาน่าจะดีกว่านะคะ ”

หลังจากฟังคำบอกเล่า ชายหนุ่มก็ถึงกับเม้มริมฝีปากปลดแขนที่กอดเอวบางจากด้านหลังเปลี่ยนเป็นจับแขนเล็กทั้งสองข้างให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน

“ พี่ว่าเล็กอย่ายุ่งกับคุณลุงคนนี้มากเลยดีกว่า อยู่ให้ห่างเขาเอาไว้จะดีมาก ส่วนเรื่องบัตรพวกนี้เดี๋ยวพี่จะเป็นธุระจัดการคืนให้เขาเอง ”

“ ทำไมล่ะคะ ในเมื่อเขาเป็นเพื่อนของแม่เล็ก เล็กจะคุยหรือให้คุณลุงเขาเล่าเรื่องของแม่เล็กให้ฟังไม่ได้เหรอคะ ”

“ ไม่ใช่ว่าพี่จะมองโลกในแง่ร้ายนะคะ แต่พี่ไม่อยากให้เล็กคุยกับคนแปลกหน้า ถึงเขาจะมาเยี่ยมป้ามลหรือบอกว่าเป็นเพื่อนกับแม่เล็ก แต่ไม่ได้หมายความว่าเล็กจะไว้ใจเขาได้ ”

“ เล็กรู้ค่ะว่าไม่ควรไว้ใจคนแปลกหน้า แต่พี่ภาครู้ไหมคะว่า ตอนที่เล็กคุยกับคุณลุงเขานะ ถึงจะคุยกันไม่กี่คำก็จริงแต่เขาทำให้เล็กรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเหมือนเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เล็กคุ้นเคยอะไรแบบนั้นเลยคะ ” หล่อนเผยความในใจเมื่อครั้งได้พบกับชายสูงวัยต่างชาติ...ไมตรีจิตที่เขามอบให้ดูไม่มีพิษภัยใดเคลือบแฝง

“ ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะค่ะ พี่ก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี เอาเป็นว่า เล็กสัญญากับพี่ได้ไหมคะว่าจะไม่ยุ่งกับลุงคนนั้นอีก ”

“ จะไม่ให้เล็กยุ่งกับคุณลุงเขา แต่พี่ภาคไม่มีเหตุผลแบบนี้จะให้เล็กเชื่อได้ยังไงล่ะคะ ”

“ เล็กอาจจะเห็นพี่ไม่มีเหตุผล แต่พี่ไม่มีเวลาเฝ้าเล็กตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของเล็กเอง พี่อยากให้เล็กเชื่อพี่เหมือนทุกครั้งที่เล็กเชื่อ ถือว่าพี่ขอนะคะ ” เขาร้องขอด้วยแววตาวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด พอคนตรงข้ามเห็นเข้าถึงใจจะแย้งแต่ก็ยอมตกลงทำตามที่สามีเรียกร้อง

เพียงได้ยินศศิวิมลยอมทำตามความต้องการของตัวเอง คนพูดก็ถอนหายใจเหมือนจะคลายใจไปได้แต่ก็เพียงเล็กน้อย เอื้อมมือไปกอดร่างเล็กเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะมีใครมาพรากพาคนสำคัญออกไปจากชีวิต

“ พี่รักเล็กมากนะคะ รักอย่างที่ไม่เคยรักใครแบบนี้มาก่อน และต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้เล็กรู้ไว้นะคะว่า พี่จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเล็ก ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตถ้ามันทำให้เล็กปลอดภัยพี่ก็ยอมแลก ”

ประโยคที่กลั่นมาจากความรู้สึกเบื้องลึกในหัวใจด้วยน้ำเสียงเข้มจริงจังทำเอาคนในอ้อมแขนเริ่มใจคอไม่ดี

“ พี่ไม่ใช่คนดีอย่างที่เล็กคิดหรอกนะคะ วันหนึ่งถ้าเล็กรู้ว่าตอนอยู่เมืองนอกพี่มีอดีตยังไงและอดีตของพี่มันส่งผลกระทบกับเล็กแบบไหน ถึงตอนนั้นพี่อาจจะกลายเป็นคนที่เล็กเกลียดก็ได้ ”

“ ไม่หรอกค่ะ เล็กไม่สนใจหรอกคะว่าพี่ภาคจะมีอดีตที่เมืองนอกเป็นยังไง ไม่ต้องคิดถึงมันหรอกคะ ขอแค่วันนี้เล็กมีพี่ เราสองคนมีกันและกันก็พอแล้ว ” ถ้อยความเรียบง่ายทว่ากินลึกในหัวใจรวมทั้งฝ่ามือนุ่มที่ลูบเรือนผมไว้อย่างอ่อนโยนทำให้เขายิ่งกระชับวงแขนของตัวเองมากขึ้น

ภาควัฒน์ซบหน้าลงบนบ่าของคนตัวเล็ก แม้ว่าจะรู้สึกเป็นสุขเหลือเกินกับการที่มีคนสำคัญอยู่เคียงข้าง ถึงกระนั้นนัยน์ตาคมกล้ากลับไม่สงบลงโดยง่าย มันยังฉายแวววาวโรจน์เหมือนจะประกาศให้โลกรู้ว่า ตราบใดที่มีลมหายใจ ศศิวิมลจะเป็นอันตรายไม่ได้เด็ดขาด หากมีใครหาญกล้าทำร้ายไม่เขาก็มันผู้คนต้องแหลกกันไปข้างหนึ่ง...



ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 พ.ย. 2554, 07:23:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 พ.ย. 2554, 07:24:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 2527





<< บทที่ ๒๘   บทที่ ๓๐ >>
คิมหันตุ์ 1 พ.ย. 2554, 14:23:02 น.
กำลังน่าติดตามมั่กม๊ากกกกกก สู้ๆค่ะ


เพชรทรียา 1 พ.ย. 2554, 14:45:02 น.
so nice


Liez 1 พ.ย. 2554, 14:59:23 น.
ซับซ้อนน


anOO 1 พ.ย. 2554, 15:47:58 น.
เฮ้อ....ลุ้นกันต่อไป พี่ใหญ่จะรับข้อเสนอไหมเนี้ย


violette 2 พ.ย. 2554, 01:12:42 น.
หรือพี่ใหญ่จะเป็นลูกพี่ชายอีกทีเนี่ย โฮ้ยงงค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account