จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๓๐

--- แวะคุยกันก่อน ---
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นนะคะ
สถานการณ์น้ำที่บ้านเป็นยังไงกันบ้างคะ
ตอนนี้คนเขียนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโจร
ที่ถูกน้องน้ำซึ่งเป็นตำรวจล้อมไว้หมดแว้ว
ไม่รู้ว่าจะถูกกระชับพื้นที่แล้วเข้าท่วมเมื่อใด
ยังไงขอให้ทุกคนอย่าเครียด
รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
ปล. อีกไม่กี่บทคงจบแล้วล่ะคะ ตามกันจนจบนะ

-----------------------------

บทที่ 30

เสื้อแจ็กแก็ตตัวใหญ่สีน้ำเงินถูกถอดโยนไปในตะกร้าพลาสติกที่มีกองเสื้อผ้าสุมทับอยู่จนเกือบเต็มก่อนที่หญิงสาวมัดผมหางม้าสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินจะเดินไปยังโต๊ะที่มีรูปถ่ายของตัวเองกับบิดาของตัวเองตั้งอยู่อยู่ใกล้กันนั้นมีหนังสืออ่านเล่นกองอยู่บนโน้ตบุ๊กเพื่อวางกุญแจพวงใหญ่ก็ถูกวางต่อด้านบนสุด

เมื่ออาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยเจ้าของห้องก็เดินออกมาจากห้องน้ำสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเก่าๆ หยิบรีโมทบนเตียงเปิดเครื่องปรับอากาศแล้วล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานและการรับฟังปัญหายุ่งยากของพี่ชายเพื่อนมา แต่ก็หลับสนิทไปได้ไม่กี่ชั่วโมงความที่สมองยังยึดติดกับเรื่องที่ศิระนำมาปรึกษารวมทั้งการที่สามีของเพื่อนเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ตาสว่าง

ความเชื่อที่พี่ชายของเพื่อนฝากมาให้ขบคิดถึงการกระทำของภาควัฒน์ที่อาจถูกบีบบังคับมาอีกทอดหนึ่งทำให้หญิงสาวเกิดความสงสัยถึงเบื้องหลังที่นำมาสู่การข่มขู่จนต้องลุกจากเตียงไปเปิดโน้ตบุ๊กเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตและจมอยู่กับการเช็กข่าวสารทางอีเมล์ของตัวเองจากนั้นก็พุ่งความสนใจทั้งหมดไปกับการหาข้อมูลเกี่ยวกับโชเนนฟาวเพื่อหาข่าวเสื่อมเสียที่อาจใช้เป็นเหตุในการข่มขู่ภาควัฒน์

ทว่าสิ่งที่ค้นพบกลับเป็นไปในทางตรงข้าม เพราะนับตั้งแต่เปลี่ยนผู้บริหารใหญ่กิจการของโชเนนฟาวก็อยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างที่สุดจากการประกาศผลกำไรในไตรมาสที่สองก็พบว่าสูงขึ้นมาก สินค้าทั้งหมดของบริษัทเองก็มีการตอบสนองของตลาดในทิศทางที่ดี และจากการจัดอันดับบริษัทที่น่าลงทุนในกลุ่มอาเซียนเวลานี้ก็มีชื่อของโชเนนฟาวร่วมอยู่ด้วย

จากบทความที่กล่าวถึงการทำงานแบบล้วงลูกและมีวิสัยทัศน์ ไร้ข่าวติฉินนินทาทำให้รสาตัดประเด็นที่ว่า ครอมเวลอาจอยู่เบื้องหลังคอยช่วยให้โชเนนฟาวประสบความสำเร็จทิ้ง เมื่อเป้าหมายแรกตกไปการสืบค้นข้อมูลก็มาอยู่ที่ตัวของทายาทวิสุทธิ์สุนทรเองว่าระยะเวลาสิบปีที่หายไปจะมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง

การนำชื่อนามสกุลภาษาไทยมีแต่ข่าวหน้าที่การงานเท่านั้น หล่อนจึงเปลี่ยนไปค้นเป็นภาษาอังกฤษดูถึงรู้ว่าชายหนุ่มถือสัญชาติไทยอเมริกาอยู่ ประวัติการศึกษาก็จบจากโรงเรียนนานาชาติชื่อดังของไทยก่อนจะย้ายไปศึกษาต่อต่างประเทศโดยใช้เวลาระยะห้าปีแรกคว้าปริญญาตรีและโทด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกาด้วยคะแนนระดับเหรียญทอง แต่อีกห้าปีให้หลังดูเหมือนว่าเรื่องราวของเขาจะอันตรธานหายไปเสียเฉยๆ โดยข่าวคราวล่าสุดที่ปรากฏให้เห็นคงเป็นการประกาศขายห้องพักในอพาร์ทเม้นต์สุดหรูกลางกรุงนิวยอร์กเลยเปิดเข้าไปดู

ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่ราคาการซื้อขายแต่ชื่อของผู้ซื้อต่างหากที่ทำให้รสาตาค้างจนต้องก็อปปี้ชื่อนี้ไปค้นต่อในอินเตอร์เน็ตก่อนจะพบว่า ผู้ชายที่ชื่อพอล ครอมเวลนั้นมีข่าวเกี่ยวกับแวดวงธุรกิจเยอะจนอ่านไม่หวาดไม่ไหว แต่เท่าที่พอจะรู้คร่าวคือ เขาเป็นนักธุรกิจที่ถูกวางตัวให้เป็นทายาทควบคุมกิจการทั้งหมดของครอมเวล ความสามารถนั้นหากจะเปรียบเป็นหนังจีนเรียกได้ว่า เก่งทั้งบุ้นและบู๊ มีประสบการณ์แท็กโอเวอร์บริษัทมากมายนับไม่ถ้วน

ความที่มีบุคลิกเยือกเย็นน่ากลัวและลึกลับเกินกว่าจะเข้าถึงตัวตนแท้จริงประกอบกับความรักสันโดษชอบลุยงานคนเดียวทำให้ได้รับฉายาจากคนในวงการว่า หมาป่าเดี่ยวดาย

รสากระพริบตาปริบให้กับสิ่งที่ค้นมาได้จากในอินเตอร์เน็ตพยายามตั้งสมมุติฐานเชื่อมโยงภาควัฒน์เข้ากับหลานชายของครอมเวลแล้วนำคำจากศศิวิมลที่เล่าให้ฟังว่า ภาควัฒน์ขายห้องพักให้กับเพื่อนและเพื่อนคนนี้แหละเป็นคนแจ้งให้ทราบเรื่องการตายของพ่อ แสดงว่าพอลคงจะเป็นเพื่อนคนที่ว่า และไม่แน่ว่าทางครอมเวลอาจใช้ภาคเป็นสะพานเพื่อหาผลประโยชน์จากการฮุบกิจการของอังคพิมาน แต่นั้นก็ไม่ได้ตอบคำถามว่า ต้นตอของการข่มขู่คืออะไร

“ คนเราทำไมถึงซับซ้อนกันนัก ” หญิงสาวรำพึงออกมาขณะเอนหลังกับพนัก...ความมึนงงกับสารพัดข้อมูลที่ถูกป้อนมาทำให้รู้สึกสมองชาเหมือนถูกใครเอาค้อนมาทุบหัวจนต้องปิดทุกอย่างกลับไปล้มลงนอนต่อ หากไม่ทันได้พักสายตาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังจึงเอื้อมมือไปหยิบมากดรับ

“ อ้าวคุณศิระ โทรมาทำไมตอนนี้ ไม่คิดจะหลับจะนอนหรือยังไง ” หล่อนสวนทันทีที่รู้ว่าปลายสายเป็นใคร

“ ผมจะโทรมาบอกคุณเรื่องที่ผมไปเจรจากับครอมเวลมา ตั้งใจจะโทรตั้งแต่ช่วงสายๆแล้วแต่กลัวคุณไม่สะดวก ผมเลยโทรมาตอนที่คุณปิดร้านแล้ว ”

“ สรุปแล้วได้เรื่องยังไงบ้าง ”

“ ทางครอมเวลบอกว่าถ้าผมทำตามข้อเสนอของเขา เขาจะคืนหุ้นทั้งหมดให้โดยที่ผมไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาท ”

“ พวกรอบจัดแบบนั้นคงเสนออะไรที่คุณทำไม่ได้แน่เลยใช่ไหม ”

“ เขาบอกให้ผมเปลี่ยนนามสกุลเป็นครอมเวล แล้วย้ายไปอเมริกากับเขา ” เสียงทุ้มที่ตอบกลับมาเจือแววเครียด ทำให้คนฟังถึงกับร้องอุทานเสียงดัง

“ ทางนั้นเขาคิดบ้าอะไรถึงยื่นข้อเสนอแบบนี้มาให้นะ ”

“ ผมก็ไม่เคยรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงได้ยื่นข้อเสนอแบบนี้มา หรือไม่เขาอาจจะคิดเล่นเกมอะไรกับผมอยู่ถึงได้เสนออะไรประหลาดแบบนี้มา ” เขาถอนหายใจหนักแล้วจึงต่อ “ พรุ่งนี้ผมไปคุยเรื่องนี้กับคุณที่ร้านได้หรือเปล่า ”

หญิงสาวตกปากรับคำตามประสาคนอยากช่วยเหลือเต็มที่ กล่าวราตรีสวัสดิ์เล็กน้อยก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนพยายามข่มตาหลับทำให้ต้องพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมา สุดท้ายความอ่อนเพลียก็ทำให้หลับไปทั้งที่ใจยังค้างคาอยู่หลายเรื่องที่ประดังเข้ามา
***********************************

หลังจากการพูดคุยเรื่องแบรนด์แอมบาสเดอร์คนก่อนล้มเหลวไม่เป็นท่าในที่สุดโชเนนฟาวก็ตัดสินใจเลือกนักแสดงสาวเจ้าบทบาทแนวหน้าของวงการบันเทิงผู้มีรอยหยักในสมองเท่าเทียมกับความสวย แม้ช่วงนี้จะไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับตัวเธอมากนัก แต่ด้วยความไม่มีข่าวฉาวนี้เองที่ทำให้เธอถูกเลือกมาร่วมงานและมีการนัดเจรจาทำความเข้าใจกันก่อนเข้าสู่กระบวนการทำงานจริงในภัตตาคารของโรงแรมแห่งหนึ่งโดยมีฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์อยู่ด้วย

ผู้บริหารหนุ่มใช้เวลาตรวจสอบความคิดและทัศนคติของว่าที่แบรนด์แอมบาสเดอร์ผ่านการสนทนากันหลายครั้งก็ยิ้มพอใจก่อนจะนัดหมายเวลาให้เข้าออฟฟิศเซ็นต์สัญญากันอีกครั้ง เมื่อทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยจึงออกจากภัตตาคารกลับมาที่ล็อบบี้โรงแรม...ด้วยลักษณะท่าทางผึ่งผายแม้จะสวมเพียงเสื้อยืดสีเทากับกางเกงยีนส์หากก็ทำให้กลายเป็นจุดสนใจได้ไม่ยาก

ภาควัฒน์ทอดสายตาไปยังโซฟาสีแดงกลางล็อบบี้โรงแรมยังเบื้องหลังของหญิงสาวร่างบางในชุดกระโปรงสีดำลายจุดขาวนั่งตรงโซฟาสีแดงก็ยิ้มกว้างรีบก้าวเข้าไปหา

ช่วงขณะที่เดินอยู่สัญชาตญาณระแวงระวังตัวอยู่เสมอทำให้รู้สึกได้ถึงความผิดปกติและเมื่อสังเกตผู้คนโดยรอบก็เหลือบเห็นชายหนุ่มต่างชาติแต่งกายด้วยชุดลำลองสีดำเนื้อดีเหมือนนักธุรกิจที่อยู่ในช่วงพักผ่อนทั่วไปแต่ที่ไม่ธรรมดาคือสายตาที่คอยชำเลืองมายังศศิวิมลเป็นระยะ ส่วนปลายนิ้วก็ขยับจับข้างหูพร้อมกับพึมพำลำพังเป็นระยะทำให้รู้ได้ทันทีว่า ถูกจับตาอยู่

“ รอนานไหมคะ ” เขาเอ่ยถามจากด้านหลังแล้ววางคางลงบนไหล่นุ่ม นัยน์ตาคมกริบลอบมองคนที่นั่งห่างออกไปราวกับจะฉีกกระชากให้เป็นชิ้น

“ คุยเสร็จแล้วเหรอคะ ทำไมคุยกันเร็วจัง เล็กนึกว่าจะคุยกันนานกว่านี้ซะอีก ” คนตัวเล็กปิดหนังสืออ่านเล่นในมือลงก่อนจะหันมามองใบหน้าคมคายที่ระบายรอยยิ้มอบอุ่น

“ พอดีพี่คุยนอกรอบกับเขามาก่อนแล้ว แต่ที่เรียกมาคุยอีกวันนี้เพราะอยากดูกึ๋นเขาว่ามีมากแค่ไหนเท่านั้นเอง ” พูดพลางลูบผมนุ่ม “ แล้วนี้เราจะไปซื้อของกันเลยไหมคะ ”

“ ไปกันเลยก็ได้ค่ะ จะได้ไม่เสียเวลา เดี๋ยวกลับมาจัดงานสวดป้าพิณไม่ทัน ” หล่อนว่าพร้อมลุกจากเก้าอี้หยิบหนังสือใส่ในกระเป๋าสะพายแล้วจับมือเรียวใหญ่เดินออกไปด้วยกันโดยฝ่ายคนตัวใหญ่นั้นคอยเหลือบมองด้านหลังเป็นระยะ เมื่อเห็นชายผู้นั้นลุกตามมาก็มั่นใจเลยว่ากำลังตกเป็นเป้าหมายจริง

รถยนต์คันงามแล่นเข้าไปในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้ากลางใจเมือง หลังจากกดล็อกรถเสร็จทั้งสองก็เดินจับมือผ่านทางเชื่อมของห้างเข้าไปซื้อของด้วยกัน

ความที่เคยชินกับการซื้อข้าวของเฉพาะที่จำเป็นตามร้านข้างทางและตลาดมากกว่าการเลือกซื้อของตามใจตัวเองในห้างสรรพสินค้าทำให้หญิงสาวต้องหยิบรายการข้าวของที่จดไว้ในกระดาษขึ้นมาเป็นไกด์นำทางว่าควรไปร้านไหน ทว่าพอคนตัวใหญ่เหลือบเห็นเข้าก็ดึงกระดาษทั้งแผ่นออกจากมือแล้วขย้ำทันที

“ พี่ภาคทิ้งทำไมล่ะคะ แล้วอย่างนี้เล็กจะรู้ได้ยังไงว่าในบ้านขาดของอะไรบ้าง ” หล่อนร้องเสียงหลงตอนเห็นเขาโยนกระดาษลงถังขยะข้างหลังได้แม่นยำราวกับจับวาง

“ พี่ไม่ได้พาเล็กมาซื้อของใช้ในบ้านที่นี่นะคะ ถ้าจะซื้อแค่นั้นพี่บอกยายช้อยให้หาเด็กไปซื้อมาก็ได้ ”

“ อ้าว ถ้าไม่ได้มาซื้อของในบ้าน แล้วพี่ภาคจะพาเล็กมาทำไมล่ะคะ ”

“ ก็วันก่อนพี่ไปเปิดตู้เสื้อผ้าเล็กดูเห็นมีแต่เสื้อผ้ากับชุดชั้นในแค่ไม่กี่ชุดเอง อย่าว่าแต่เครื่องสำอางหรือเครื่องประดับเลย รองเท้าที่ใส่ออกมาข้างนอกพี่ก็เห็นมีคู่เดียว...พี่ทนเห็นเมียตัวเองสมถะขนาดนั้นไม่ไหวถึงต้องพามาซื้อนะสิคะ ”

“ แต่ว่า... ” ยังทำท่าจะค้านแต่คนตัวใหญ่ไม่ยอมเปิดโอกาสรีบพาลากเข้าไปในร้านที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที

ทั้งคู่เดินเข้าออกในร้านเครื่องแต่งกายสตรีหลายร้าน...ความช่างแหย่ของผู้เป็นสามีทำให้บรรยากาศการช้อปปิ้งเป็นไปอย่างสนุกสนานแม้มือทั้งสองข้างจะพะรุงพะรังไปด้วยถุงสินค้าของภรรยาสาวก็ไม่ทำให้การซื้อยุติลง กระทั่งมาถึงหน้าร้านอุปกรณ์สำหรับงานเย็บปักถักร้อยทั้งหลายคนตัวใหญ่จึงขอปลีกตัวไปเก็บของในรถแล้วปล่อยให้คนตัวเล็กดูของไปตามต้องการ

ภาควัฒน์แกล้งเดินผ่านช่องทางเดินที่ทอดไปสู่ห้องน้ำซึ่งอยู่ติดกับร้านที่ตนเองเพิ่งเดินออกมาพร้อมปรายหางตายังชายคนเดียวกันกับที่พบในโรงแรมแล้วทำทีเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวรีบสาวเท้ากลับไปเก็บของทั้งหมดไว้ท้ายรถ คลำหามีดพับด้ามฝังทองผสมหินสีน้ำเงินสวยอันเป็นของที่เคยได้มาจากผู้มีพระคุณเก็บในกระเป๋ากางเกง วอร์มร่างกายเล็กน้อยให้ตื่นตัวก่อนจะกลับเข้าไปทางเก่า

เมื่อผู้เป็นสามีเดินหายจากร้านไปหญิงสาวก็ไล่ดูจักรเย็บผ้ารุ่นใหม่ล่าสุดที่วางเรียงรายไปจนถึงผ้าญี่ปุ่นลายสวยอยู่สักครู่ก็รู้สึกเหมือนมีใครมายืนอยู่ด้านข้างจึงหันไปมองถึงได้เห็นว่าชายสูงวัยสวมชุดลำลองสีครีมคนหนึ่งเข้าและพอเขาหันหน้ามาหล่อนก็หลุดอุทาน ยกมือไหว้ทักทายอย่างรวดเร็วตามประสาคนมือไม้อ่อน

“ ตกใจเหรอจ๊ะที่เห็นลุง ” อีกฝ่ายว่าหลังจากเห็นปฏิกิริยาของคนตรงข้าม

“ คุณลุงมาทำอะไรที่นี่คะ ” หล่อนถามอย่างประหลาดใจด้วยไม่คิดว่าจะได้เจอเพื่อนของแม่ที่นี่

“ ลุงมาหาซื้อของอะไรนิดหน่อยนะ พอดีเดินผ่านร้านนี้แล้วเห็นหนูเลยเข้ามาหา แล้วหนูล่ะจ๊ะมาทำอะไรที่นี่ ”

“ ก็มาเดินดูไหมพรมนะคะ เห็นมีเยอะเลยอยากซื้อไปเผื่อเวลาว่างอยากถักอะไรขึ้นมาจะได้ไม่ต้องมาหาซื้อไหมอีก จะว่าไปเจอคุณลุงที่นี่ก็ดีเหมือนกันค่ะ เล็กจะได้คืนกิ๊ฟวอยเชอร์ที่คุณลุงให้มาด้วย ”

“ ลุงให้หนูไปใช้ ทำไมหนูไม่ใช่ล่ะ จะคืนให้ลุงมาทำไมกัน ”

“ เล็กไม่กล้าใช้หรอกคะ บัตรราคาตั้งหลายหมื่นแบบนั้น...คุณลุงน่าจะเอาไปให้ภรรยาหรือลูกคุณลุงใช้มากกว่านะคะ ”

คำตอบของผู้อ่อนวัยทำให้ความเจ็บปวดที่เร้นไว้ภายในลอดออกมาผ่านดวงตา ริมฝีปากที่คลี่กว้างนั้นก็เหมือนกันจะสลดลงเสียจนคู่สนทนายังรู้สึกได้

“ ลุงยังไม่มีครอบครัวเลยจ๊ะ ” เขาหยุดพูดพลางถอนหายใจแล้วจึงเอ่ยต่อ “ เมื่อก่อนลุงก็เคยเกือบมีครอบครัวกับเขาเหมือนกัน เสียดายที่ลุงโง่เกินไป กว่าจะรู้ว่าตัวเองถูกหลอกผู้หญิงที่ลุงรักเขาก็จากลุงไปแล้ว ”

ศศิวิมลมองใบหน้าที่ทอดสายตาไปไกลอย่างไร้ทิศทาง สัมผัสได้ถึงความทุกข์ในใจก็รู้สึกเศร้าตามราวกับว่าเป็นเรื่องของตนเองอย่างไรอย่างนั้น

“ เล็กขอโทษนะคะ เล็กไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้คุณลุงเสียใจนะคะ ”

“ ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ...เพราะอีกไม่นานลุงก็จะได้ตัวลูกสาวของลุงคืนแล้ว ถึงอย่างนั้นก็เถอะนะ กว่าลูกจะกลับมาอยู่กับลุงได้ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก ลุงก็เลยอยากให้หนูเก็บของที่ลุงให้ไว้ ถือว่าหนูรับไว้แทนลูกสาวลุงก็ได้ ”

“ แต่... ” หล่อนยังคงอิดออด

“ รับไว้เถอะจ๊ะ ยังไงพอกลับอเมริกาลุงก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว อีกอย่างหนูเป็นลูกสาวมินก็เหมือนเป็นลูกลุงเหมือนกัน ถ้ายังไงหนูเก็บไว้ถึงไม่ได้ใช้เองก็เอาไปให้คนอื่นช่วยใช้ด้วยก็ได้ ลุงไม่ว่าหรอก ” เขาคะยั้นคะยอให้รับไว้ สุดท้ายความเห็นใจก็ทำให้หล่อนตกปากรับคำตามนั้น...ทั้งสองสนทนาด้วยกันครู่เดียวชายชราก็ขอตัวกลับ แต่ไม่ทันที่เท้าจะก้าวพ้นประตูร้านก็ถูกเสียงหวานรั้งเอาไว้เสียก่อน

“ คุณลุงจะกลับอเมริกาเมื่อไหร่คะ ”

“ ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าทำธุระอะไรที่นี่ลงตัวก็คงกลับเลยล่ะจ๊ะ หนูถามทำไมเหรอจ๊ะ ”

“ เล็กคิดว่า ตอนคุณลุงกลับไปอีกไม่นานอากาศที่นั้นก็น่าจะหนาวแล้ว ถ้าเล็กจะถักผ้าพันคอให้ คุณลุงจะอยากได้หรือเปล่าคะ ” หญิงสาวเสนองานฝีมือเป็นค่าตอบแทนความใจดีแต่เห็นเขานิ่งไปนานก็รู้สึกว่าแนวคิดของตัวเองจะสร้างความไม่พอใจให้เลยพูดแก้เก้อไปว่า “ ถ้าคุณลุงไม่ชอบผ้าพันคอถักก็ไม่เป็นไรค่ะ เล็กแค่คิดว่าอยากทำอะไรตอบแทนคุณลุงบ้างเท่านั้นเอง ”

“ เปล่าจ๊ะ...ลุงไม่ใช่ไม่อยากได้ แต่ลุงดีใจที่หนูจะถักผ้าพันคอให้ก็เลยเงียบไปนะจ๊ะ ”

“ เหรอคะ...อย่างนั้นเล็กก็ถักผ้าพันคอให้ได้ใช่ไหมคะ คุณลุงชอบสีอะไรคะ เล็กจะได้ใช้สีนั้นถักให้ ”

คอยด์สบสายตาหญิงสาวตรงหน้าหวนคิดถึงอดีตที่ผ่านพ้นไปไกลเกินจะคืนกลับ ความทรงจำทำให้จดจำได้ว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับผ้าพันคอไหมพรมสีเขียวขี้ม้าเป็นของขวัญจากคนที่รักยิ่ง

“ หนูรู้หรือเปล่าจ๊ะว่า แม่หนูชอบสีอะไร ”

“ รู้สิคะ...แม่ของเล็กนะชอบสีขาวกับสีเขียวที่สุด ”

“ ลุงก็ชอบสีเดียวกับที่แม่หนูชอบ แต่สีขาวมันเปื้อนง่าย ถ้าเป็นสีเขียวขี้ม้าน่าจะดีกว่านะ ” เขาบอกหล่อนหันไปหยิบไหมพรมสีที่เขาต้องการจากในตู้ขึ้นมาชูให้ดู

“ งั้นเล็กจะถักสีนี้ไปให้นะคะ...กลับบ้านดีๆนะคะ ”

ชายชราโบกมือลาแล้วก้าวออกจากร้านไปเป็นเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มผู้ได้รับมอบหมายให้สังเกตความเคลื่อนไหวเห็นนายใหญ่ของตนก็หลบมุมมาสูบบุหรี่อยู่หน้าห้องน้ำชาย วินาทีที่ปล่อยควันออกจากริมฝีปากกลับถูกแขนแข็งแกร่งของใครคนหนึ่งล็อกแน่นเข้าที่ลำคอแล้วลากพาผ่านประตูบันไดหนีไฟ พอร่างพลิกกลับมาเห็นหน้าคนลงมือก็ตกใจหากก็ทำอะไรไม่ได้เพราะถูกมือแข็งปานคีมเหล็กบีบลำคอที่มีรอยสักตัวอักษรย่อซี ดับบลิวตรึงไว้กับผนัง มืออีกข้างปัดเสื้อคลุมก็เห็นปืนพกกระบอกหนึ่งเหน็บข้างเอว

“ กล้ามากที่สะกดรอยตามเมียฉัน...บอกมาว่าปู่ใช้ให้แกมาทำอะไร วางแผนจะขู่เมียฉันหรือไง ” เสียงเหี้ยมเย็นเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษขณะกดปลายนิ้วลงบนลูกกระเดือกของคู่กรณีอย่างไม่ปราณีปราศรัย

“ ผมไม่ได้มาขู่ ” อีกฝ่ายตอบกลับเสียงอู้อี้

“ ไม่ได้ขู่แล้วตามเมียฉันมาทำไม ”

“ ผมพูดจริงๆนะคุณพอล...ผมไม่ได้ตั้งใจสะกดรอยตามมาเพื่อทำร้ายหรือข่มขู่ แต่ท่านสั่งให้ผมคอยดูแลความปลอดภัยของเธอเท่านั้นเอง ”

“ คิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ...ถ้ายังไม่ยอมคายความจริงมา รับรองเลยว่าฉันศพแกไม่สวยแน่ ” ยิ่งพูดยิ่งจิกลึกจงใจกักลมหายใจไว้เพราะรู้ดีว่าสัญชาตญาณมนุษย์จะยอมพูดทุกสิ่งในช่วงลมหายใจสุดท้ายเพื่อเอาชีวิตรอด ทว่าแม้ใบหน้าอีกฝ่ายจะแดงจนเริ่มเขียวแล้วก็ยังย้ำคำเดิม ทำให้เขายอมปล่อยมือแล้วเฝ้ามองร่างสูงใหญ่ที่ทรุดฮวบลงไปกองบนพื้นพลางไอโขลกจากอาการสำลักอากาศ

“ ทำไมปู่ต้องให้แกมาดูแลเมียฉันด้วย ” ชายหนุ่มถามพร้อมกระชากหูฟังของคนบนพื้นมาเสียบไว้ข้างหูตัวเองเพื่อร่วมรับรู้คำสั่งจึงได้ยินเสียงจากปลายทางแจ้งให้ทราบว่าอีกห้านาทีท่านจะออกจากร้านให้เตรียมสแตนด์บาย

เพียงแค่นั้นชายหนุ่มก็เหมือนรู้ตัวว่าปล่อยให้บุคคลอันตรายเข้าถึงภรรยาของตัวเองจึงโยนหูฟังทิ้งจากนั้นก็วิ่งกระหือกระหอบกลับไปในร้านก็พบเพียงคนตัวเล็กยืนอยู่เพียงลำพังหน้ากองไหมพรมหลากสีรอแคชเชียร์คิดเงินอยู่ตรงเคาน์เตอร์

“ ไปเก็บของหรือไปไหนมาคะ ผมเผ้าถึงได้ยุ่งขนาดนั้น ”

“ เมื่อกี้เล็กเจอใครที่นี่หรือเปล่าคะ ” ชายหนุ่มถามสีหน้าร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด

“ อ้อ...เมื่อกี้เล็กเจอคุณลุงคนที่เป็นเพื่อนกับแม่นะคะ พี่ภาคมีอะไรเหรอคะ ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้น ”

“ แล้วเขาทำอะไรเล็กหรือเปล่า ” พูดพร้อมดึงแขนของหญิงสาวมาดูร่องรอย

“ เปล่าเลยค่ะ...คุณลุงเขาแค่แวะมาคุยด้วย เล็กก็เพิ่งรู้นะคะว่าคุณลุงไม่มีครอบครัว พอถามคุณลุงเขาก็บอกว่ามีคนรักแต่เข้าใจผิดกันเธอคนนั้นก็เลยหอบลูกหนีไป ตอนเล็กจะคืนบัตรกำนัลให้เขาก็เลยบอกให้เล็กเก็บไว้ถือว่ารับแทนลูกสาวของเขาก็ได้ ”

“ ลูกสาว ” เขาทวนคำซ้ำอีกครั้ง

“ ค่ะ...คุณลุงเขายังบอกอีกนะคะว่า อีกไม่นานเขาจะพาลูกสาวมาอยู่กับเขาด้วย ”

ชายหนุ่มพ่นลมหายใจอุ่นผ่านริมฝีปากพร้อมกุมขมับด้วยความวิตกกังวลระคนเคลือบแคลงสงสัย...พฤติกรรมประหลาดของชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นปู่นอกสายเลือดทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เรื่องนี้คงไม่ได้มีเบื้องหลังแค่บีบให้เขายอมกลับมาเป็นทายาททางธุรกิจครอมเวลเป็นแน่

“ พี่ภาคโกรธเหรอคะที่เล็กคุยกับคุณลุงคนนั้น ” เส้นเลือดที่ปูดโปนตรงขมับทำให้คนถามรู้สึกได้ถึงความเคร่งเครียดก่อนจะถูกฝ่ามืออุ่นจะยื่นมาลูบแก้มนวล

“ พี่ไม่โกรธเล็กหรอกคะ พี่แค่เป็นห่วงเล็กมากกว่า เดี๋ยวซื้อไหมพรมเสร็จแล้ว เล็กจะซื้ออะไรอีกไหมคะ ถ้าไม่ เรากลับบ้านกันเถอะนะ ”

หล่อนพยักหน้าแทนการตอบรับ หลังจากจ่ายเงินซื้อไหมพรมเสร็จสองสามีภรรยาก็กลับมาที่รถ ระหว่างที่กำลังสตาร์ทเครื่องก็เห็นคนใกล้ตัวเปิดกระเป๋าสะพายอยู่จึงลอบชำเลืองดูก็เห็นเหมือนมีกระดาษใบหนึ่งอยู่ข้างในนั้นจึงถามขึ้น

“ นั้นเล็กเอารูปใครมาคะ”

“ รูป...อันนี้เหรอคะ ” ถามกลับพลางหยิบภาพวาดลายเส้นดินสอที่เก่าจนกระดาษเหลืองส่งให้ “ เล็กได้มาจากในห้องของแม่ใหญ่ที่โรงพยาบาลนะคะ เห็นพี่สมบอกว่า แม่ใหญ่ดูภาพนี้แล้วก็สลบไป พอตื่นมาเห็นอีกทีก็อาละวาด เล็กก็เลยเก็บมากะว่าจะเอาไปทิ้ง แต่ก็ลืมนะคะ ”

ภาควัฒน์รับภาพเหมือนนั้นมาพินิจพิจารณาโครงหน้าของชายหนุ่มชาวต่างชาติในภาพก็รู้สึกได้ว่าคลับคล้ายคลับคลากับภาพเหมือนของคอยด์เป็นอย่างมาก หากจะมีส่วนต่างนอกจากเรือนผมที่อีกฝ่ายเป็นสีอ่อนแล้ว ยังมีคิ้วที่โก่งสวยกว่า ปลายจมูกที่งุ้มกว่าและริมฝีปากนั้นก็หนากว่าเล็กน้อย ทว่านั้นกลับทำให้รู้สึกคุ้นหนักเข้าไปอีก...เมื่อพลิกดูด้านหลังก็เห็นข้อความเป็นภาษาอังกฤษด้วยลายมือแบบตัวเขียนที่หมึกเริ่มเลือนปรากฏอยู่ด้วย

...คืนนั้นคุณเป็นของผมไม่ใช่เขา และเด็กคนนั้นคือลูกของเรา ตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจ ไม่ว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ ผมจะเอาลูกคนเดียวของเรา ลูกชายที่เกิดจากความรักของผมมาอยู่กับผมให้ได้...

ถ้อยความทั้งหมดนั้นทำให้คนเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีขมวดคิ้ว หากเมื่อได้อ่านข้อความที่เขียนต่อลงมาด้วยหมึกสีแดงที่ดูเหมือนเพิ่งเขียนขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

...คุณพรากชีวิตพี่น้องเชื้อสายของเราไปยังไม่พอ คุณยังทำลายความรักของผมกับน้องสาวคุณและยังกล้าทำร้ายลูกสาวผมอีก คุณคงสนุกกับการจัดฉากหลอกคนอื่นมามาก วันนี้ผมอยากบอกให้รู้ว่าผมก็สนุกเหมือนกันที่จัดฉากหลอกคุณให้พบความทุกข์อย่างแสนสาหัญที่สุดได้ ขอให้วาระสุดท้ายคุณจงอยู่กับการไม่เหลืออะไรหรือใครสักคนเหมือนกับความตายของเขาเถอะ...

ชายหนุ่มอ่านประโยคทั้งหมดซ้ำ พินิจการลากเส้นจากปากกาแดงกระทั่งการลงน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็ยกมือปิดปากเหลียวไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของหญิงสาวผู้เป็นที่รักซึ่งยังคงแย้มยิ้มสดใสจึงแสร้งยิ้มกลับแล้วหันกลับมาเหยียบคันเร่งและจับพวงมาลัยขับออกจากลานจอดรถไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้งราวกับถูกหินมหาศาลหล่นลงมาทับในคราวเดียว

********************************

น้ำมะนาวปั่นเย็นเฉียบตามมาด้วยเฟรนช์ฟรายร้อนทอดปิดท้ายกับทีโบนสเต็กจานใหญ่ถูกลำเลียงเสิร์ฟบนโต๊ะตรงหน้าของชายหนุ่มรูปงามที่ยังคงง่วนอยู่กับการอ่านข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับอังคพิมานและครอมเวลที่เลขานุการส่วนตัวหามาทั้งจากเอกสารในองค์กรเองและในระบบอินเตอร์เน็ต

รสาเช็ดไม้เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนของตัวเอง กระดกกาแฟที่ดื่มค้างไว้จนหมดแก้วก่อนจะเดินไปลากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับศิระมาทรุดลงนั่งพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน...เสียงทุบเป็นจังหวะทำให้คนที่อ่านเอกสารอยู่ต้องเงยหน้าถึงเห็นสาวมัดผมม้าใช้กำปั้นทุบหลังตัวเองคลายเมื่อย

“ ให้ผมพาไปนวดไหม ผมรู้จักร้านหนึ่งมีสาวสวยคอยบริการเพียบ ถ้าคุณสนใจเดี๋ยวคุณกันเสร็จผมจะขับรถพาคุณไปนวดที่นั้นให้ ” เขาบอกพร้อมรอยยิ้มตรงมุมปากทำเอาคนที่ฟังอยู่ชะงักมือที่ทุบลง

“ ประสาทเหรอ ฉันเป็นผู้หญิงนะไม่ใช่ผู้ชายถึงได้จะชอบไปนวดตามอาบอบนวดนะ ” แว้ดใส่เสียงดังทันที

“ อ้าวเหรอ...ผมเห็นท่าทางคุณทอมเหมือนผู้ชายเลยนึกว่าจะชอบแบบนั้นซะอีก ” เขายังคงสัพยอกไม่เลิก

“ นี่คุณศิระ ฉันจะบอกอะไรให้ ถ้าคุณยังอยากแก่ตายก็เงียบเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันอุตส่าห์ยอมเป็นที่ปรึกษาให้ยังกล้าพูดแบบนี้อีก เดี๋ยวฉันโมโหคุณมาอย่าว่าแต่คำปรึกษา คำด่าจากฉันก็ไม่ได้ด้วย ”

“ โห หัวก็ไม่ล้านทำไมใจน้อยจัง ไม่เอาน่าอย่าโมโหเลย ผมแค่พูดเล่นเอง...คุณก็รู้ว่าตอนนี้ผมเครียดขนาดไหน จะพูดเล่นกับคุณหน่อยไม่ได้เลยหรือไง ”

พออีกฝ่ายมาอีหรอบนี้เจ้าของร้านสาวเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากขบฟันกรอด ยกมือทำท่าเหมือนเขกหัวเขาในอากาศแล้วจึงเปลี่ยนมาถามถึงเหตุการณ์เมื่อวาน...คนที่หัวเราะเสียงใสอยู่เมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นขรึมเข้มจากนั้นจึงเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างการเจรจาธุรกิจให้ฟัง

“ คุณคิดว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไรจากการที่คุณเปลี่ยนเป็นครอมเวลนะ ”

“ ผมคิดว่า การที่เขาบอกจะคืนหุ้นให้ถ้าผมเปลี่ยนนามสกุลมันเป็นแค่ขออ้างนะ เพราะถ้าผมยอมเป็นคนในตระกูลครอมเวลจริง ถึงผมได้หุ้นอังคพิมานโฮเต็ลคืนมา แต่ถ้าผมไม่ใช่คนของอังคพิมาน สุดท้ายผมก็คงถูกบีบให้รวมหุ้นเป็นกิจการของครอมเวลไปในที่สุดนั้นแหละ ”

“ แล้วถ้าไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุลและไม่ยอมขายหุ้นจะเป็นยังไงเหรอ ”

“ ถ้าผมไม่ขายเขาบอกว่าจะเอาเรื่องเสียหายทั้งหมดของอังคพิมานไปแฉ ท่าทางของเขาไม่เหมือนคนที่ขู่ขึ้นมาเฉยๆ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาขุดคุ้ยอะไรมาได้ แต่ผมว่ามันต้องส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นและความอยู่รอดของอังคพิมานโฮเต็ลแน่ ”

“ เอากันอย่างนี้เลยเหรอ...พวกครอมเวลนี้มันเหลี่ยมเยอะจริงๆนะ นอกจากจะส่งยัยบ้านั้นมาแล้ว ยังแทรกซึมเข้าถึงข้อมูลของอังคพิมานได้ขนาดนี้นี่ไม่ใช่ธรรมดานะ ฉันว่าคุณน่าจะหาผู้เชี่ยวชาญไปตรวจเครื่องดักฟังที่บ้าน แล้วมาสังคายนาคนในองค์กรใหม่สักทีน่าจะดี เผื่อจะเจอหนอน ”

“ ตอนนี้ผมไม่ไว้ใจใครในกลุ่มผู้บริหารสักคน ถ้าผมคิดจะตรวจสอบอะไรขึ้นมาคงมีคนค้าน หรือไม่แน่เขาอาจจะไม่ค้านแต่การแฝงตัวแนบเนียนของเขา ถึงคนข้างนอกมาตรวจสอบก็อาจไม่รู้อยู่ดีว่าใครเป็นหนอนในองค์กรผม ”

ลงท้ายประโยคนั้นสองชายหญิงก็ถอนหายใจยาวพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ฝ่ายหนึ่งคิดถึงทางที่ควรเลือกเพื่อรักษากิจการของตระกูล อีกฝ่ายหนึ่งกลับมีความคิดเรื่องของภาควัฒน์ลอยเข้ามา

“ คุณรู้ไหมว่าก่อนคุณจะโทรมาหาฉัน ฉันนั่งคิดเรื่องที่คุณบอกว่าคุณภาคน่าจะดูฝ่ายนั้นขู่ ฉันเลยลองค้นในอินเตอร์เน็ตหาข่าวด้านลบของโชเนนฟาวดูก็ไม่เจออะไร ทีนี้ฉันก็เลยเปลี่ยนมาค้นชื่อนามสกุลคุณภาคเป็นภาษาอังกฤษรู้สึกว่าคุณภาคจะมีตัวตนในอเมริกาประมาณห้าปี พอหลังจากนั้นฉันก็ไม่เห็นข่าวเขาเลย ล่าสุดที่เห็นนะเชื่อไหมว่าฉันเจออะไรเข้า ”

“ อะไร ”

“ ฉันเจอข่าวที่คุณภาคประกาศขายห้องพักในอินเตอร์เน็ต ลองทายสิว่า คนซื้อชื่ออะไร ”

“ คุณจะเล่นยี่สิบคำถามกับผมหรือไง คนซื้อชื่ออะไรผมจะไปรู้เหรอ ”

“ คนซื้อชื่อพอล ครอมเวล...นามสกุลเดียวกับคนที่พยายามเทคโอเวอร์โรงแรมคุณนั้นแหละ ทีนี้ฉันก็เลยค้นประวัติของหมอนี่ในอินเตอร์เน็ตดู ไอ้หมอนี่มันสุดยอดมากเลยนะ ไม่เคยมีบริษัทไหนที่ครอมเวลอยากได้แล้วเขาเอามาก็ไม่ได้เลยนะ...พอฉันเห็นแบบนี้ก็จำได้ว่าเล็กเคยบอกเรื่องที่ คุณภาคกลับมางานศพพ่อเพราะเพื่อนบอก ฉันคิดว่า คุณภาคคงรู้จักครอมเวลจากเพื่อนเขา ไม่แน่อาจจะเคยทำงานกับบริษัทของครอมเวลมาก่อนก็ได้ ความที่คุณภาคแค้นคุณอยู่เขาอาจจะหว่านล้อมทางครอมเวลให้มาสนใจโรงแรมของคุณก็ได้ ”

ข่าวสารที่คนตรงหน้าบอกเล่ามาทำให้ศิระกระพริบตา รู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่างถึงความเชื่อมโยงระหว่างภาควัฒน์กับครอมเวลจึงรื้อเอกสารเกี่ยวกับตระกูลครอมเวลทั้งหมดมาเปิดดูรายชื่อของพอล ครอมเวลกลับไม่มีปรากฏในสารระบบว่าเป็นเครือญาติจากทางไหน แต่ที่แปลกกว่านั้นคือ หนึ่งปีให้หลังที่ภาควัฒน์หายไปก็มีผู้ชายคนนี้ปรากฏขึ้นมาแทนที่

แม้ว่าจะมีช่วงเวลาที่เหลื่อมกันอยู่ ทว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับภาควัฒน์หลังกลับมาจากอเมริกา ซึ่งมีท่าทางละม้ายคล้ายกับชายสูงวัยเมื่อวานทำให้ศิระเริ่มปะติปะต่อเรื่องราวอันประจวบเหมาะกันเริ่มตั้งแต่การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและกลับมาของภาควัฒน์ไปจนถึงการแต่งงานกับน้อง การมาถึงของวิกานดาหรือแม้แต่การเป็นผู้ส่งสารก็เหมือนกับเป็นแผนที่ถูกวางไว้ตั้งแต่แรก

...นั่นคงเป็นคำตอบถึงที่มาในคำพูดที่ศัตรูตลอดกาลของตัวเองทิ้งท้ายไว้ในวันนั้น

“ ผมว่า ภาคกับพอลไม่ใช่เพื่อนกันหรอก ”

“ ถ้าไม่ใช่เพื่อนแล้วเป็นอะไรกันล่ะ ”

ศิระวางเอกสารทั้งหมดลงบนโต๊ะ ปิดนัยน์ตาคมลงเพื่อสูดกลิ่นหอมจากอาหารมื้อค่ำตรงหน้าแล้วโน้มตัววางแขนลงบนโต๊ะแล้วเปิดตามองใบหน้าของรสาก่อนจะเปิดปากด้วยน้ำเสียงเนิบช้าทำให้คนสนใจใคร่รู้อ้าปากค้างกับคำเฉลย

“ ไม่ใช่เพื่อน...แต่เป็นคนเดียวกัน ”



ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 พ.ย. 2554, 04:56:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 พ.ย. 2554, 04:56:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 2109





<< บทที่ 29   บทที่ 31 >>
คิมหันตุ์ 8 พ.ย. 2554, 12:38:04 น.
พี่ใหญ่เดาเก่งมากกกกกก


violette 8 พ.ย. 2554, 16:25:31 น.
โอ้ ยังสับสนเรื่งพี่ใหญ่กับน้องเล็กค่ะ ตอนนี้ค่อนข้างมั่นใจว่าอิตาครอมเวลล์ในคราบลุงที่มาหาเล็กคงเป็นพ่อของเล็ก แต่พ่อพีใหญ่ล่ะค่ะ ไม่อยากให้สองคนนี้เป็นพี่น้องแท้ๆเล้ยยย (หมายถึงพ่อเดียวกันแต่แม่เป็นพี่น้องกันน่ะค่ะ)
สงสารแม่ของเล็กมากๆๆๆถ้าเป็นแบบนี้ แบบมีอะไรกับคนที่เป็นสามีพี่สาวไปแล้วเงี้ย อึ๋ยยยยย


anOO 8 พ.ย. 2554, 23:20:43 น.
ยังไงก็ไม่ทิ้งกันจนกว่าจะจบค่ะ
ตอนนี้ไม่สนใจแล้วว่าใครเป็นพ่อใคร พอเดาได้ค่ะ
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องดึงพี่ภาคเข้ามาเกี่ยวด้วย
กลัวจังว่าสุดท้ายแล้ว คนที่เจ็บที่สุดอาจเป็นพี่ภาคก็ได้ พี่ใหญ่กับเล็ก
อาจไปเจ็บเท่าไร เพราะชาชินกันไปแล้ว


อริสา 9 พ.ย. 2554, 00:11:49 น.
พี่ใหญ่น่าจะเป็นลูกแม่ใหญ่กับพี่ชายลุงครอยด์ ส่วนลุงครอยด์เป็นคนรักกับมินดาราและพ่อของหนูเล็ก แต่พี่ภาคเกี่ยวยังไงนี่ยังงง
ลุ้นจังค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account