ถอดสลักรัก ถอดรหัสใจ
รัก...ที่ฉันคิดว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้จนฉันต้องใส่กลอนล๊อคไว้ในซอกใจกำลังจะถูกไขออกมาอีกครั้ง เมื่อเขา...ผู้เป็นดั่งกุญแจสำคัญได้ทำให้ชีวิตที่ฉันพยายามทำให้เรียบง่ายนั้นยุ่งเหยิง

ฉัน...ซึ่งไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นเหมือนนางเอกในละครที่เกลียดจะต้องพบกับสถานการณ์ที่จะต้องมานั่งคิดว่า นางเอกในละครเขาจะต้องทำอย่างไร...

ใครว่าละครมันน้ำเน่า...เรื่องจริงมันยิ่งกว่าซะอีก เพียงแต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่า ฉัน...จะเป็นนางเอกของใครได้
Tags: กฤษณ์ นางเอก เขม

ตอน: ตอนที่ 5 กระทงหลงเธอ

ตอนที่ 5 กระทงหลงเธอ
บรรยากาศการเตรียมงานลอยกระทงที่มหาวิทยาลัยคึกคัก ทั้งการจัดร้านของเด็กคณะต่าง ๆการทำกระทงของแต่ละคณะเพื่อส่งเข้าประกวด กิจกรรมต่าง ๆ ของทางมหาวิทยาลัยที่น่าจะทำให้ฉันรู้สึกสนุกและตื่นเต้นแต่...

“เป็นอะไรไปคะคุณน้อง อย่าทำหน้าบูดอย่างนั้นนะคะต๊าย ตาย เดี๋ยวริ้วรอยถามหานะคะเนี่ย อย่าได้ประมาท ถึงคุณน้องจะยังเด็ก ผิวยังยองใยก็ต้องรู้จักดูแลใบหน้าอันเป็นส่วนสำคัญของสุภาพสตรีอย่างเรา ๆ นะค๊า แม้ว่าคุณน้องจะมีหน่มน๊มไว้ดึงดูดแล้วก็ตาม ใบหน้าก็เป็นสิ่งสำคัญนะคะ” เสียงของพี่ช่างแต่งหน้าที่รับงานมาเพื่อแต่งหน้าและแต่งตัวให้ฉัน ที่เป็นตัวแทนของเด็กปีหนึ่งคณะเราส่งเข้าประกวดนางนพมาศของมหาวิทยาลัยพล่ามผ่านหัวไปมายิ่งทำให้ฉันหมดอาลัยตายอยาก

ฉันไม่ได้สวยถึงขนาดที่จะต้องเป็นตัวแทนประกวดนางนพมาศอะไรอย่างนั้น แต่บังเอิญว่า เดียร์ สาวสวยที่ได้รับการคัดเลือกติดธุระสำคัญกับทางบ้านกระทันหัน (แบบที่ว่ากลับบ้านไปแล้วถึงได้โทรมาบอกรุ่นพี่ที่เตรียมงาน) ทำให้พวกพี่ ๆ หัวปั่นวุ่นวายกันใหญ่ในการหาตัวแทนสำรองเพื่อส่งเข้าประกวด ซึ่งอันที่จริงก็น่าจะมีอีกหลายคนเข้าตากรรมการนะ อย่างเช่น เชอร์รี่ สาวหมวย สวย เอ๊กซ์ เด็กเซคซี หรือจะเป็นหนิง เด็กเซคเอ แต่รุ่นพี่บอกว่าต้องการคนที่มีความสามารถพิเศษไปเก็บคะแนนจากคณะกรรมการด้วย เพราะปีนี้รุ่นพี่คาดหวังว่าคณะของเราจะได้ตำแหน่งบ้างเพื่อลบคำสบประมาทว่าสาวคณะวิศวะ “เถื่อน” เหมือน ๆ กับพวกผู้ชาย

และก็เป็นขวัญตา เพื่อนที่น่ารักของฉันอีกเช่นเคยที่นำเสนอชื่อฉันพร้อมทั้งบรรยายสรรพคุณ ความสามารถพิเศษของฉัน

“แกก็ฟ้อนเล็บดิ ชั้นยังไม่เคยเห็น เอาเว้ย เพื่อคณะของเรา” มันบอกว่าอย่างนั้น

“ไม่เอา คนอื่นก็มีอีกเยอะ เชอร์รี่ไง” ฉันเถียง

“ยัยนั่นมันจะทำอะไรเป็น วัน ๆ เอาแต่อ่อยผู้ชาย สมองก็กลวงซะอย่าง เอาน่า ชั้นไม่ค่อยชอบมันด้วย หมั่นไส้ว่ะ ไม่รู้แหละ ชั้นบอกชื่อแกกับพี่สาไปแล้ว ตกลงตามนั้น เดี๋ยวพาเข้าผับ” คิดว่ารางวัลแค่นั้นฉันจะสนรึ ฉันเคยบอกกับมันว่าอยากลองไปเที่ยวผับดูเพราะไม่เคยไป แหง...ล่ะ อายุไม่ถึงและก็ไม่รู้จะไปกับใครนิ แต่ก็นั่นแหละ ถ้าฉันคัดค้านได้ฉันคงไม่ต้องมานั่งให้ช่างเขาแต่งหน้าอยู่อย่างนี้หรอก

“แหม...คุณน้องนี่แต่งหน้าขึ้นนะคะนี่ ดูสิ เหมือนเจ้าแสนฝางเลยนะคะเนี่ย หุหุ” พูดจริงหรือเปล่านั่น

“อ่ะเสร็จละ คุณน้องเม้มปากนิดนึงค่ะ ไหนลองยิ้มแบบที่คุณพี่สอนหน่อยสิคะ ยิ้มนิด ๆ ตาจิกด้วยค่ะ นั่นแหละค่ะ แล้วอย่ายิ้มค้างไว้นาน ๆ นะคะ หมั่นเม้มริมฝีปากบ้าง เดี๋ยวเหงือกแห้งแล้วมันจะหุบยิ้มลำบาก เอาล่ะ ไหนยืนขึ้นหน่อยสิคะเดี๋ยวคุณพี่ขอเช็คเครื่องแต่งตัวหน่อยนะคะ” พี่เจนนี่ หยิบ ๆ จับ ๆ แถว ๆ ผ้าคาดอกของฉัน

ฉันแต่งชุดแบบล้านนา เป็นผ้าคาดอกผ้าไหมสีออกแดงเลือดนกกับผ้าถุงยกดอกสีทองพื้นสีเข้มแบบเดียวกับที่เคยเห็นในละครเรื่อง ศิลามณี ซึ่งรุ่นพี่คนหนึ่งในคณะมีคนญาติที่ทำงานเกี่ยวกับวงการบันเทิงสรรหามาให้ ข้างในผ้าคาดอกฉันใส่ผ้ายืดเกาะอกเซฟไว้อีกทีเผื่อหลุด แต่ผ้าคาดที่จัดการให้ทำให้ฉันต้องโชว์หน้าท้องนิด ๆ (ตั้งเกือบ 2 นิ้ว!) ฉันก็เลยยังไม่กินข้าวแบบมื้อหลักมาตั้งแต่เช้าหลังจากซ้อมฟ้อนเล็บเสร็จ ซึ่งถึงตอนนี้ฉันก็กินอะไรไม่ลงแล้ว เรื่องชุดไม่เท่าไหร่ แต่หัวนี่สิ หนักมาก! เพราะบรรดาปิ่นทั้งหลายที่ปักมาให้น่าจะเกินกิโลได้นะ ดีนะที่ฉันไม่แสดงฟ้อนสาวไหมซึ่งต้องเอี้ยวซ้ายขวาหน้าหลัง ตัวอ่อนพอ ๆ กับยิมนาสติก ไม่งั้นหัวฉันคงหลุดกลิ้งไปแล้วแน่ ๆ

“เรียบร้อยค่ะ ลองยืนขึ้น หมุนตัวเดินแบบที่คุณพี่สอนให้หน่อยสิคะ” หลักสูตรเร่งรัดในเวลาวันเดียว แทบทำให้ฉันคลั่ง

“อุ้ย! คุณน้องยืดหลังตรงค่ะ คอตรงหลังอย่าโก่ง มีดีโชว์เข้าไว้ค่ะ ไม่ต้องกลัวผ้าคาดหลุดค่ะ ของคุณน้องมีให้ยืด แอ่นอกเข้าไว้ค่ะ เดินช้า ๆ ยิ้มนิด ๆ มือสองข้างเกี่ยวกันหลวมที่บั้นเอว เชิดหน้านิด ๆ อุ้ยเริ่ด! อุ้ยตาย! คุณน้องคะรองเท้า ๆ ลืมใส่รองเท้า”

“อ่า...เดินรองเท้าแบบไม่มีส้นได้ไหมคะ เพราะถึงยังไงตอนรำก็ต้องถอดอยู่ดี” ฉันรีบต่อรองเพราะยังไม่ค่อยชินกับรองเท้าส้นสูงต่อขาราวสี่นิ้ว แค่เดินประคองหัวธรรมดาฉันก็แทบตาย ยังต้องเพิ่มจุดศูนย์ถ่วงให้สูงขึ้นโดยรองเท้าส้นเข็มอีก ฉันต้องล้มแน่ ๆ

“อู้ย....ไม่ได้ค่ะ ต้องเพิ่มความสูงอีกนิดค่ะ จะได้สง่างามสมค่าเจ้านางแห่งเมืองเหนือ ไหนรองเท้าล่ะคะเนี่ย”

อ่า...ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าใครเป็นคนคิดค้นรองเท้าส้นสูงขึ้น โดยเฉพาะส้นเข็ม มันช่างเดินได้ยากลำบาก แต่เอาเถอะ ในเมื่อผู้หญิงเขาใส่กันได้ ฉันก็ต้องใส่ให้ได้

“ดีค่ะ ดี ยิ้มนิด ๆ ดีมากค่ะ รับรองด้วยหัวคุณพี่เลยนะคะ สายสะพายอยู่ไม่ไกลค่ะคุณน้อง” ใครบอกว่าฉันอยากได้ล่ะ

“อุ้ย!”

“ตาย ชะนีแหก! เป็นอะไรไหมคะคุณน้อง” พี่เลี้ยง (ฉันคิดว่าต้องยกตำแหน่งนี้ให้เธอละ)

ฉันตกรองเท้าน่ะ แต่ด้วยสัญชาตญาณขของฉันทำให้ฉันยังรอดอยู่ได้ ข้อเท้าไม่พลิกเหมือนนางเอกละด้วย

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูยังโอเค” ฉันยิ้มแหย ๆ

“โอ๊ย คุณน้องคะ ทำพี่ซะหัวใจแทบวาย อย่าไปตกแบบนี้บนเวทีนะคะ”

“ค่ะ” ฉันจะตอบอะไรได้

“ดีค่ะคุณน้อง ไหนคุณพี่ขอถ่ายรูปเก็บประวัติผลงานใส่แฟ้มก่อนนะคะ อ้าวยิ้มหน่อยค่ะ” พี่ช่างแต่งหน้าถ่ายรูปพร้อมกับฉัน

“สวยค่ะเจ้านาง พร้อมแล้วค่ะ แล้วคุณน้องเตรียมการแสดงความสามารถพิเศษอะไรคะ”

“เอ่อ...ฟ้อนเล็บค่ะ” ฉันเคยเป็นฟ้อนตอนอยู่ที่บ้าน เรียกอีกอย่างว่าฟ้อนครัวตาน เป็นการฟ้อนแห่ในงานบุญต่าง ๆ ท่าฟ้อนเต็มมี 17 ท่า แต่สำหรับการแสดงของฉัน เพื่อความสั้นและกระชับ ฉันตัดท่ารำออกเหลือ 12 ท่าเพื่อให้เหมาะสมสำหรับการแสดงราว 5 - 8 นาที

“อุ้ยดีค่ะ พี่ชอบ เอ...แต่ตอนที่รำน้องหนูคงใช้ผ้าไหมยาวเฟื้อยนั่นคลุมไหล่ไม่ได้นะคะ โอเค เดี๋ยวตอนแสดงคุณพี่เปลี่ยนเป็นสไบให้นะคะ มีติดมาอยู่พอดี” เชื่อแล้วว่าพี่มีหมดทุกอย่าง แม้แต่ปลอกเล็บที่ใช้ในการแสดง พี่เจนนี่ (รุ่นพี่คนหนึ่งเรียกหล่อนว่าเจตน์เลยเกือบถูกเท้าตะปบไปซะ) ก็มี ขนาดว่ามีเวลาแค่วันเดียวเองนะ สงสัยคงมีคลังเยอะ

เมื่อฉันเดินออกไปเพื่อไปจากห้องแต่งตัวที่คณะ (ใช้ตึกเรียนรวมของคณะ) ก็เจอบรรดาเพื่อน ๆ ที่มารอ (ให้กำลังใจ???) ที่นอกห้อง

“แม่เจ้าโว๊ย! เจ้านางออกมาแล้ว เฮ้ย! ไอ้ชิต มึงไปเอาสะเหรี่ยงมาหามเลย เจ้านางเข็มอัปสรจะขึ้น ‘คาน’ แล้วโว๊ย” ไอ้...เพื่อนปากหมา!

“ไอ้เห้อุ๋ย ปากหมามึง” ขอบใจที่ด่ามันให้ขวัญ

“เฮ้ย! สวยจริง ไรจริง เพื่อนตรู จึ๊ ๆ “

“คุณน้อง ๆ ขา พี่ว่ารีบไปเถอะค่ะ ต้องไปรายงานตัวหรือลงทะเบียนก่อนไหมคะเนี่ย เอ้า คุณน้องผู้ชายขา ราชรถของเจ้านาง เอ้ย! แล้วเวทีอยู่ตรงไหนเนี่ย...” อาจมีเสียงวิพากย์วิจารณ์มากกว่านี้ถ้าพี่เจนนี่ไม่ตัดบทก่อน

แต่ก่อนที่ฉันจะได้ไปที่เวที ฉันต้องยืนยิ้มเป็นนางแบบให้พี่ ๆ ในคณะได้ถ่ายรูปกัน ทั้งรูปหมู่ รูปเดี่ยว รูปคู่...แหม...รู้สึกเหมือนเป็นเซเลบเลยแฮะ

“สงสัยหิวข้าวว่ะขวัญ ใจมันสั่น ๆ ยังไงก็ไม่รู้” ฉันกระซิบกับขวัญตอนที่นั่งรถรุ่นพี่คนหนึ่งในคณะมาที่เวที

“เฮ้ย! ยังไม่ได้กินข้าวเหรอวะ หิวป่ะ เดี๋ยวหาไรให้กิน อย่าไปเป็นคาเวทีนะเฟร้ย” ขอบคุณ นี่ห่วงกันจริง ๆ ใช่ไหม

“ทานเบา ๆ เอิ่ม อย่าเพิ่งจัดหนักนะคะคุณน้อง เดี๋ยวพุงป่องแล้วจะไม่สวย แทะโลมเด็ก ๆ เอ้ย! กินขนมหรือผลไม้รองท้องก่อนก็ได้ค่ะ อ๊ะ! อย่าให้ลิปสติกเลอะนะคะ เดี๋ยวปากซีด” ฉันคิดว่าฉันเข้าใจความลำบากของพวกนางงามเดินสายประกวดแล้วล่ะ ลำบากสุด ๆ เพื่อความสวย

ฉันนั่งรออยู่ในรถกับพี่เจนนี่และพี่สาเจ้าของรถหน้าที่ประสานงานตัวแทนประกวด (พี่เลี้ยงตัวจริงของฉัน?) โดยขวัญตาและเอ๋เพื่อนรักไปหาอะไรมาให้ฉันรองท้อง

“แหม ๆ บรรยากาศมหาวิทยาลัยนี่คึกคักดีจังนะคะ มีแต่เด็ก ๆ ฮิฮิ สาพี่ไปเดินเล่นแถวนี้ก่อนนะ รออยู่กับน้องเข็มที่นี่ แป๊บ...” ว่าพลางขยิบตาให้พี่สาซึ่งพี่สาก็คงรู้ดีว่าพี่เจนนี่คงไปแทะโลมเด็ก ๆ (แค่ทางสายตา) เพื่อเติมพลังชีวิต

“โชคดีจริงๆ นะคะที่น้องเข็มช่วยพี่ ไม่งั้นพี่ต้องตายแน่ ๆ เลย น้องเดียร์ดันมีธุระสำคัญที่บ้านซะอย่างนั้น เออ...น้องเข็มเรียนฟ้อนรำนานแล้วเหรอคะ” พี่สาพยายามคุยเพื่อให้ฉันผ่อนคลาย

“เข็มเคยฟ้อนตอนอยู่ที่บ้านน่ะค่ะ เวลามีงานบุญ กฐิน หรือผ้าป่าที่วัด” ฉันหมายถึงเชียงราย บ้านเกิดของฉัน

“อ้อ เขาเรียกว่าช่างฟ้อนใช่ไหมคะ” พี่สาพยักหน้าเข้าใจ

“ค่ะ”

“เอ...แล้วน้องผู้ชายที่เป็นแฟนน้องล่ะคะ อ้อ น้องเอล่ะคะ พี่ไม่เห็นเลย” พี่สาถามถึงเอ โชคดีที่เอมีธุระสำคัญที่บ้าน เขากลับไปได้ 3 วันแล้ว ฉันออกจะดีใจนิด ปนโล่งอก จะได้ไม่ต้องอึดอัดมากกว่านี้

“กลับบ้านค่ะ” ฉันได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆไปให้พี่สา ฉันไม่รู้จะปฏิเสธยังไงว่าเอไม่ใช่แฟนของฉัน ในเมื่อคนอื่นเขาเข้าใจกันไปอย่างนั้นแล้ว ฉันมีแฟนแล้ว...ใช่ไหมนี่

ฉันได้ลูกชิ้นปิ้งกับฝรั่งมาทานประทังชีวิต จากที่ไม่ได้ทานอะไรมากมายนักตั้งแต่เช้า ฉันนั่งกินในรถระหว่างที่นั่งรอพี่เจนนี่ เพราะไม่อยากเป็นเป้าสายตาเกินจำเป็น ไม่ชินน่ะสิ

เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้นจากกระเป๋าโดราเอมอนที่อยู่ในมือเอ๋ (เพราะใส่ทุกอย่างของฉันลงไปในนั้น) ฉันเอื้อมมือไปหยิบ เอน่ะ

“เข็มทำอะไรอยู่ เห็นขวัญบอกว่าเข็มลงประกวดนางนพมาศเหรอ ทำไมไม่บอกเอล่ะ จะได้รีบกลับไปเป็นกำลังใจให้” ฉันว่าพักหลังนี่เอพูดเยอะขึ้นนะ

“อืม...พอดีเดียร์ติดธุระน่ะ ไม่เป็นไรหรอก แล้วเอเสร็จธุระแล้วเหรอ” ฉันพูดเบา ๆ เพราะตอนนี้นอกจากเสียงงานข้างนอกรถ ทุกคนที่นั่งอยู่นี่เงียบกันหมด

“ยังหรอก แต่เอคิดถึงเข็มนะ จะรีบกลับ”

“ไม่ต้องรีบเอ ทำธุระที่บ้านให้เสร็จเถอะ” นะ อย่าเพิ่งรีบกลับเลย อยู่อีกนาน ๆ ก็ได้ อันนี้ไม่ได้พูด แค่คิด

“เฮ้อ อยากกลับไปดูเข็มจัง ถ่ายรูปส่งให้เอหน่อยสิ นะเข็ม” เอ้อ...ทำไงล่ะเนี่ย ไม่เคยเจอบทอ้อนอย่างนี้

“เอ่อ...เอาที่ขวัญแล้วกันนะ เราไม่ชินน่ะ”

“โธ่ เข็ม นะ” เอาเข้าไป นี่ฉันได้ลูกมาคนหนึ่งแล้วใช่ไหม

“อืม...”

“เอจะรอนะ คิดถึงด้วย”

“อืม... เอ เข็มต้องวางสายละนะ”

“จ๊ะ”

ฉันวางสายและยิ้มปลง ๆ ให้กับตัวเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นทั้งขวัญและเอ๋ก็มองฉันอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสายตาที่เหมือนจะรู้ว่าฉันคิดอะไร นี่ท่าทางฉันแสดงออกไปมากอย่างนั้นเลยเหรอ

“มาแล้วค่า น้องเข็ม ป่ะ ออกไปรายงานตัวกันเถอะ” และก็เป็นพี่เจนนี่ที่เข้ามาช่วยเปลี่ยนบรรยากาศ

ฉันเดินหวิว ๆ ไปที่เวทีเพื่อไปรายงานตัวและเตรียมพร้อมสำหรับการประกวด มีผู้เข้าประกวดจากคณะอื่นมารออยู่บ้างแล้วบางส่วน ซึ่งส่วนใหญ่จะแต่งไทยประยุกต์ เยี่ยม ฉันเลยเด่นซะ...ซึ่งฉันไม่ชอบเลย ไม่ต้องมองกันมากขนาดนั้นก็ได้นะ

การประกวดในช่วงแรกจะเป็นการเดินบนเวทีและแนะนำตัวซึ่งฉันก็พยายามทำ(ตามความสามารถ)เต็มที่ เชื่อไหมคะ ว่าตอนอยู่บนเวทีฉันไม่ค่อยได้ยินเสียงอะไรมากนักหรอก นอกจากเสียงวิ้ง ๆ ในหู ไม่รู้คนอื่นเป็นกันอย่างนี้หรือเปล่า ฉันพยายามมองคนด้านล่างเวทีแบบผ่าน ๆ ตามที่พี่เจนนี่สอนเพื่อลดความประหม่า แต่ก็ดูเหมือนไม่ค่อยช่วยอะไรนัก ฉันว่าฉันยิ้มเหมือนคนกำลังจะเป็นลมยังไงอย่างงั้นแหละ

และก็ถึงการแสดงความสามารถ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ฉันได้แสดงคนสุดท้าย ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นเขาแสดงอะไร ฉันได้แต่พยายามตั้งสมาธิ เพื่อจดจำท่วงทำนองและท่ารำเพื่อเตรียมการแสดง ในขณะที่ฉันกำลังจัดปลอกเล็บให้กระชับอยู่ด้านหลังเวที ฉันมีความรู้สึกเหมือนถูกมอง...อันที่จริงก็ถูกมองมาตลอดนะ แต่...ไม่รู้สิ เอาเป็นว่าฉันรู้สึกว่าถูกมองก็แล้วกัน ฉันเลยหันไปหาต้นกำเนิด (แห่งความรู้สึกนั้น) แต่ฉันก็เห็นเพียงเงาด้านหลังที่คุ้นตาหายไปกับฝูงชน ตลอดเวลาการแสดง ฉันมีความรู้สึกอย่างนี้ตลอดเลย แต่ฉันก็คิดว่าฉันทำได้ดีนะ วิญญาณนักแสดงเข้าสิงแล้ว The show must go on

ช่วงสุดท้ายเป็นการตอบคำถามเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ว่าเราจะทำอะไร
“การรักษ์สิ่งแวดล้อมต้องเริ่มที่ใจเราค่ะ เราต้องรู้สึกรักสิ่งแวดล้อมจริง ๆ มาจากจิตสำนึก เพราะเมื่อเรา “รัก” แล้วเราย่อมไม่ “ทำร้าย” ค่ะ” เป็นไง คำตอบฉันดูดีไหม ก็คงถูกใจคณะกรรมการด้วยแหละมั้งคะ ฉันถึงได้สายสะพายมาบนไหล่

“อู้ย...เห็นไหมคะ พี่เจนนี่รับประกันแล้ว ต๊าย ตาย เจ้านางนพมาศ โฮะ ๆ “ พี่เจนนี่หัวเราะอย่างมีความสุขในขณะที่ยืนถ่ายรูปคู่กับฉัน

ฉันกำลังยืนโชว์ถ่ายรูปให้กับนิสิต นักศึกษาทั้งหลายและบุคคลากรที่มาร่วมงานโดยมีพี่เจนนี่ยืนประกบ (ไม่ยอมตกขอบ) ตาของฉันพร่าไปด้วยแสงแฟลซ หูแทบไม่ได้ยินอะไร ฉันได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนระโหย

“พี่เจนนี่คะ เข็มรู้สึกไม่ค่อยดีเลยค่ะ ขอออกไปก่อนได้ไหมคะ” ฉันกระซิบบอกพี่เจนนี่

“อุ้ย! เหรอคะ ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวทางนี้พี่รับหน้าให้เอง”

ฉันยิ้มให้และพยายามเบี่ยงตัวออกไป
“น้อง ๆ คะ คุณพี่ขอตัวนางงามแป๊ปนะคะ ถ่ายรูปพอแล้วนะคะ” เหมือนฉันเป็นดาราที่มีพี่เจนนี่เป็นผู้จัดการเลยแฮะ

พี่เจนนี่พาฉันออกมาหาที่ปลอดคน ซึ่งก็หาได้ยาก จนฉันได้มุมระหว่างสวนข้างลานที่จัดเวทีซึ่งก็ไม่เชิงปลอดคน แต่เอาเป็นว่าปลอดภัยละกัน

“ตาย ๆ หายไปไหนกันหมดเนี่ย” พี่เจนนี่หันซ้ายหันขวา

ฉันพยายามมองหาทั้งขวัญ เอ๋ หรือรถของพี่สา แต่ก็มองไม่ถนัดเพราะสายตายังพร่ากับแสดงแฟลซ พี่เจนนี่พยายามโทรหาพี่สา แต่ดูเหมือนพี่สาจะไม่รับโทรศัพท์ อาจเพราะเสียงดังจากงานก็ได้

“ยัยสานี่ทำไมหล่อนไม่รับโทรศัพท์นะ ฉันอยากจะเกี่ยวเด็กไปลอยกระทงด้วยจะแย่อยู่แล้วนี่” พี่เจนนี่ทั้งบ่น ทั้งกดโทรศัพท์กระหน่ำโทร

“เอ่อ... เข็มรู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะพี่ พี่เจนนี่ไปก่อนก็ได้นะคะ เพื่อนเข็มคงอยู่แถว ๆ นี่แหละค่ะ แล้วเดี๋ยวเข็มเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วเข็มจะโทรไปบอกพี่เจนนี่นะคะ” ฉันพูดอย่างเกรงใจ

“อุ้ย! จะดีเหรอคะคุณน้อง สบายดีแน่นะคะ” พี่เจนนี่ยังลังเล

“ค่ะ พี่เจนนี่ไปก่อนก็ได้ค่ะ ขวัญกับเอ๋คงอยู่แถว ๆ นี้แหละค่ะ เดี๋ยวเข็มตามหาเอง” ฉันพยายามส่งยิ้มให้

ฉันเริ่มมาคิดว่าตัวเองคิดผิดเมื่อเวลาเริ่มผ่านไปนานขึ้น ฉันพยายามตามหาทั้งเพื่อน ทั้งพี่สาแต่ก็ยังไม่เจอ อุปสรรคก็คือฉันต้องยืนถ่ายรูปกับเด็กจากต่างคณะที่มาขอถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ ฉันเริ่มตีวงการค้นหาให้แคบลงเพราะฉันเริ่มเมื่อยเมื่อต้องเดินบนส้นสูงนาน ๆ ในที่สุดฉันก็ต้องลากขามานั่งแหมะที่โต๊ะม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นคูน (ราชพฤกษ์) เฮ่อ...แทนที่จะได้เดินเล่นในงานลอยกระทง หาอะไรกินแล้วก็ไปนอนอุ่นในห้อง ฉันต้องมานั่งใจกล้าท้าลมหนาวรอเพื่อน ฉันมีแค่สะไบเฉียงทับผ้าคาดอก เจริญ!

ฉันพยายามถอดสายสะพายออกอย่างทุลักทุเล อ่า...ฉันไม่อยากเสริมความเด่นด้วยสายสะพายนางนพมาศอยู่กับตัวอย่างนี้หรอกนะ แต่มันถอดยากอ่ะ ตอนแรกฉันพยายามจะแกะตะเข็บออก แต่มันเย็บติดแน่นจริง ๆ ต่อมาฉันก็พยายามถอดออกทางหัว แต่ก็คอยแต่จะติดเครื่องประดับบนหัวฉันอยู่นั่นแหละ ในที่สุดฉันก็ยอมแพ้ และต้องหาทางมองหาเพื่อนในกลุ่มนิสิตที่เดินผ่านไปมาซึ่งค่อนข้างบางตา ฉันเอามือถูไปตามแขนและไหล่เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย

“เธอ เธอ รอใครอยู่เหรอ ให้ช่วยอะไรไหม” เด็กต่างคณะถามฉันอย่างมีน้ำใจ
ฉันยิ้มให้อย่างดีใจเพราะฉันไม่กล้าจะเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือจากใคร (ในสภาพอย่างนี้)

“เอ่อ เรารอเพื่อนอยู่ ชื่อขวัญตัวอวบ ๆ ผิวสองสีผมยาวประนี้ และเอ๋ผมสั้นประมาณไหล่ สูงประมาณนี้” ฉันบรรยายลักษณะของทั้งขวัญและก็เอ๋ให้อย่างละเอียด หวังว่าเธอคนนี้คงช่วยได้นะ

“อืม...เหรอ เดี๋ยวถ้าเราเจอเราจะบอกให้นะ” ขอให้เจอทีนะ ฉันหนาว และก็หิวด้วย

ฉันยังคงนั่งรออย่างมีความหวังอยู่อีกพักใหญ่ ไม่กล้าลุกไปไหนเพราะกลัวว่าขวัญและเอ๋มาจะไม่เจอฉัน ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็นเข้าไปทุกที และคนที่เดินกันไปมาบริเวณนี้ก็น้อยลงทุกที ฉันตัดสินใจย้ายที่เพื่อหาตามหาเพื่อนต่อไป ไม่งั้นฉันก็คงต้องลองเดินตามหาบริเวณที่เปิดร้านของคณะ...ซึ่งอยู่ฝั่งสระอีกราว 500 เมตร

“น้องครับ หาเพื่อนเหรอครับ ให้พี่ไปส่งไหม” อ่า...มาละ สิ่งที่ฉันไม่อยากเจอ ฉันไม่รู้ว่ารุ่นพี่ต่างคณะพวกนี้มีเจตนาดีจริงหรือเปล่า แต่ตอนนี้...ฉันไม่ไว้ใจ

“ไม่เป็นไร พอดีให้เพื่อนไปซื้อน้ำอยู่ตรงนู้นค่ะ นั่นไงคะ” ฉันรีบชี้ไปเรื่อยแล้วรีบเดินหนีออกมาทันที
ฉันเดินทำเหมือนจะไปหาเพื่อนที่บริเวณร้านขายน้ำ แล้วหันไปคุยกับคนขาย

“ขอโทษนะคะ เห็นผู้หญิงสูงประมาณนี้สองคนค่อนข้างอวบ คนนึงผมยาว ผิวสองสีกับอีกคน ผมสั้นยาวประบ่า อยู่แถวนี้ไหมคะ”

“เอ๋ ไม่ค่ะ พี่จำไม่ได้ด้วย คนเยอะน่ะ น้องตามหาใครอยู่เหรอคะ”

“เอ่อ...ตามหาเพื่อนค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ” แล้วฉันก็ลองเดินกลับไปแถวเวที เผื่อจะเจอคนประสานงาน หรือใครก็ตาม ไม่ไหวแล้วฉัน

โชคดีที่ยังมีคนอยู่บริเวณนั้น เพราะทันทีที่ประกวดเสร็จคนก็แทบสลาย ต่างก็ไปลอยกระทง และเดินเที่ยวงาน เป็นกลุ่ม และเป็นคู่ ๆ

“เอ่อ พี่คะ เห็นเด็กคณะวิศวะอยู่แถวนี้บ้างไหมคะ พอดีหนูตามหาเพื่อนอยู่น่ะค่ะ” ฉันเดินเข้าไปถามพี่ที่กำลังม้วนสายไฟอยู่ด้านข้างเวที

“หืม...นั่นหรือเปล่า” พี่คนนั้นมองหน้าฉันและชี้ไปทางด้านหลังของฉัน ซึ่งฉันก็รีบหันไปอย่างดีใจ
และฉันก็พบแล้ว...

เป็นพี่กฤษณ์ที่เดินตรงเข้ามา ถึงตอนนี้ฉันบอกไม่ได้ว่าฉันรู้สึกอะไรบ้าง แต่ที่แน่ ๆ มีความดีใจอยู่ด้วย พี่กฤษณ์ยังใส่เสื้อช็อปทับเสื้อเชิ๊ตสีขาว ดูเหมือนรีบ ๆ พอพี่กฤษณ์เดินเข้ามาก็คว้ามือของฉันให้เดินตามไปทันที ฉันต้องรีบเดินตามให้ทันพี่กฤษณ์ เพราะช่วงความยาวขาที่ต่างกัน และฉัน...อยู่บนส้นสูง ฉันสะดุดอยู่ครั้งหนึ่งและคงทำให้พี่กฤษณ์รู้จึงลดความเร็วลง

พี่กฤษณ์พาฉันมาที่ลานจอดรถ ตลอดเวลาที่เดินมาไม่มีคำพูดสักคำ ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป และความดีใจที่มีในตอนแรกเมื่อได้เจอพี่กฤษณ์เริ่มน้อยลง

“โอ๊ะ โอ๊ย! “ ฉันสะดุดของจริงและจัดหนักเลย ส้นรองเท้าข้างขวามันติดตรงรูหนอนทำให้ข้อเท้าซ้ายฉันพลิก ฉันคิดว่างั้นนะ และฉันก็ลงไปนั่งกองกับพื้นเลย ฉันได้แต่ทำหน้าเหยเก

เข้าใจละว่าทำไมในละครนางเอกมันลุกไม่ขึ้น มันเจ็บแปล็บ ๆ เจ็บจริง ๆ นะ และมันก็ทำให้ฉันสติแตก จิตหลุด ฉันนั่งกุมข้อเท้าซ้ายที่เจ็บเป็นระยะ ๆ และเริ่มร้อนขึ้น น้ำตาฉันเริ่มไหล ทำไมฉันต้องมาประกวดด้วย เพื่อนฉันหายไปไหน ทำไมฉันถึงถูกทิ้ง ทำไมพี่กฤษณ์ไม่พูดอะไร ฉันทำผิดอะไร......เอาเป็นว่า ณ ตอนนั้นฉันว่าฉันคิดไปสารพัดและยิ่งขึ้นมันก็ยิ่งทำให้น้ำตาไหลมากขึ้น ฉันนั่งก้มหน้าพยายามเก็บเสียงและใช้มือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเรื่อย ๆ ไม่สนแล้ว ในที่สุดฉันก็หลุดเสียงสะอื้นออกไป

“อย่าร้อง” มือใหญ่จับมือของฉันที่พยายามปาดน้ำตาออกจากใบหน้าออกแล้วเชยคางฉันขึ้น แต่ยิ่งฉันเห็นหน้าพี่กฤษณ์น้ำตามันก็ยิ่งไหล

“พี่ขอโทษ” ง่ะ มันก็ยังไม่หยุดแหละน้ำตาฉัน เมื่อฉันเริ่มสะอึก พี่กฤษณ์จึงรวบตัวฉันอุ้มขึ้นเพื่อจะเดินไปที่รถ ฉันจำได้ถึงแผงอกใหญ่นั่นได้ดีเชียวแหละ แม้จะยังสะอึกน้ำตาอยู่ด้วย ไหน ๆ ก็มีโอกาสละ ฉันซุกหน้าร้องไห้อย่างไม่แคร์สายตาใครแล้ว

เมื่อพี่กฤษณ์วางฉันลงบนเบาะข้างคนขับและกำลังจะปิดประตูฉันก็กระตุกชายเสื้อพี่กฤษณ์จนทำให้พี่กฤษณ์หันมามอง

“ฮึก รองเท้าค่ะ” ถึงตอนนี้ที่ฉันมานั่งคิดย้อนหลังแล้ว ช่างกล้านะฉัน แต่ตอนนั้นฉันคิดว่าต้องคืนมันให้พี่เจนนี่นิ
พี่กฤษณ์กลับไปเอารองเท้าที่ยังปักอยู่บนรูหนอนตรงฟุตบาทมาให้และกลับมาที่รถ ถึงตอนนี้ฉันก็สะอึกน้อยลงแล้ว แต่...น้ำตาก็ยังไหลอยู่

พี่กฤษณ์เช็ดหน้าฉันด้วยผ้าเช็ดหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน (ฉันเดาว่าคงไม่ใช่ของพี่เกดเพราะมันเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่สีเข้มของผู้ชาย) นั่นทำให้ฉันสงบจิตสงบใจขึ้นได้เยอะ และ...เริ่มรู้สึกกระดาก ฉันจึงคิดจะจับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเอง แต่ก็ยังเผลอไปจับมือใหญ่นั่นอีกจนฉันต้องรีบกระตุกมือตัวเองออกมา พี่กฤษณ์จึงหยุดและวางผ้าเช็ดหน้าในมือฉัน

ผ่านไปพักนึงฉันเริ่มควบคุมสติได้และสามารถหยุดร้องไห้ได้แล้ว แต่ยังมีสะอึกนิด ๆ

“เจ็บมากไหม” พี่กฤษณ์หมายถึงที่ข้อเท้าฉันที่ตอนนี้รู้สึกร้อนผ่าวมาก ๆ

ฉันพยักหน้า แต่เมื่อนึกขึ้นได้ จึงตอบ

“ค่ะ” อ่า...นั่นเสียงฉันเหรอนั่น

“ทนหน่อยนะ เดี๋ยวพี่พาไปหาหมอ”

แล้วพี่กฤษณ์ก็พาฉันมาโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ดีนะที่เป็นตอนกลางคืน ไม่ค่อยมีคนมากนัก ไม่งั้นภาพที่พี่กฤษณ์อุ้มฉันลงจากรถจนมาถึงหน้าทางเข้าที่มีรถเข็นและบุรุษพยาบาลรออยู่คงเป็นที่ฮือฮามาก เพราะพี่กฤษณ์ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครไม่รู้จัก

ตลอดเวลาที่เอ๊กเทิร์นที่เข้าเวรประคบยาและพยาบาลพันข้อเท้าฉัน ฉันพยายามไม่มองใครและทำตัวนิ่ง ๆ จะมีกระตุกก็ตอนที่รุ่นพี่เอ็กเทิร์นคนนั้นแตะ ๆ จับ ๆ ที่ข้อเท้าแล้วถามว่าเจ็บหรือไม่นั่นแหละ ไม่เจ็บแล้วจะมาหาหมอรึ ฮึ

ดีที่พี่กฤษณ์ให้เสื้อช๊อปฉันไว้ใส่คลุมก่อนออกจากรถ ไม่งั้นฉันคงอายมากกว่านี้แน่ ๆ

“ข้อเท้าพลิก หมอประคบยาและพันข้อเท้าไว้ให้แล้ว เดี๋ยวไปรับยาและนวดทุกวันนะครับ เดี๋ยวก็หาย” หน้าตาฉันคงบ่งบอกมากเลยใช่ไหม เลยต้องปลอบกันใหญ่

เมื่อกลับมาที่รถ ท่ามกลางความเงียบของโรงพยาบาล ฉันกำลังคิดว่าจะให้พี่กฤษณ์ไปส่งที่หอ แต่ในขณะที่ฉันกำลังจะอ้าปากทำลายความเงียบ

โครก!

นั่นเสียงท้องร้องของฉันเอง จากความร้อนที่ข้อเท้า ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นที่ใบหน้าฉันแทนละ ไอ้ท้องไม่รักดี!

พี่กฤษณ์พาฉันมาทานข้าวที่ร้านใกล้ ๆ หอของฉัน เป็นเรือนไม้น่ารักสีขาวที่ขายเบเกอร์รี่เป็นและนมปั่นเป็นหลัก แต่ก็มีอาหารตามสั่ง ฉันสั่งข้าวผัดมาทาน และก้มหน้าก้มตาทานไม่กล้ามองหน้าพี่กฤษณ์ที่นั่งมองฉันอยู่ฝั่งตรงข้าม ถึงแม้จะหิวมาก แต่ฉันก็เขินเหมือนกันนะ ถ้าต้องมานั่งกินข้าวโดยมีคนที่ชอบมานั่งตรงหน้าน่ะ

เมื่อกวาดข้าวเม็ดสุดท้ายลงท้องและดื่มน้ำตามแล้ว ฉันก็พูดกับพี่กฤษณ์

“เอ่อ...ขอบคุณที่ช่วยนะคะพี่กฤษณ์” ฉันพูดอ้อมแอ้ม คิดว่าเสียงมันค่อนข้างเบาเลยแหละ

พี่กฤษณ์จ้องหน้าฉันอยู่พักนึงก็ถาม

“แล้วเพื่อนเข็มอยู่ไหนครับ”

“ไม่รู้ค่ะ เอ่อ...เข็มขอยืมโทรศัพท์โทรหาเพื่อนหน่อยได้ไหมคะ” ฉันนึกขึ้นได้

ฉันโทรหาขวัญตาทันทีโดยใช้โทรศัพท์พี่กฤษณ์ ฉันโดนขวัญตาโวยวายอยู่จนหูแทบชาเพราะทางนั้นก็วิ่งวุ่นตามหาฉันเหมือนกัน แต่เมื่อฉันบอกว่าฉันปลอดภัยและอยู่กับใครขวัญก็เงียบไปพักนึง แล้วก็ขอสายพี่กฤษณ์

“เอ่อ ขวัญอยากคุยกับพี่ค่ะ” ฉันยื่นโทรศัพท์ให้พี่กฤษณ์ ฉันไม่รู้ว่าขวัญตาพูดอะไรกับพี่กฤษณ์เพราะฉันได้ยินแต่ “ครับ” “ข้างเวที” “ไม่เป็นไรครับ” พี่กฤษณ์คงรู้ว่าฉันมองอยู่จึงหันหน้ามา และก็เหมือนเคยที่ฉันไม่กล้าสบตาพี่กฤษณ์ได้แต่เสมองไปทางระเบียงร้าน ฉันเห็นคู่รักที่มานั่งทานของว่างกันที่นี่มากมาย เกือบทุกโต๊ะเลย บางคู่ก็พากันเดินออกไปซื้อกระทงเพื่อที่จะไปลอยกันเป็นคู่ ...ฉันอยากลอยมั่งจัง...กับพี่กฤษณ์ แต่...เหอะ เขาก็คงต้องลอยกับพี่เกดล่ะนะ จริงสิ! เมื่อฉันนึกถึงพี่ ฉันก็สงสัยว่าทำไมพี่กฤษณ์ไม่ไปลอยกระทงแล้วสวีทกับพี่เกดล่ะ เจ็บแปล๊บ ๆ อีกละ

เมื่อฉันหันกลับไปดูว่าพี่กฤษณ์คุยหรือยังก็พบว่าพี่กฤษณ์มองมาอยู่ก่อนแล้ว ฉันว่าเกือบทุกคนคงเป็นเหมือนกันใช่ไหม เมื่อต้องตกอยู่ภายใต้สายตาของคนที่ชอบหรือรัก มักจะทำอะไรไม่ถูก ฉันรู้สึกเขินและก็ต้องหลบสายตาพี่กฤษณ์เสไปมองแผงขายกระทงใกล้ ๆ

“อยากลอยกระทงเหรอ” พี่กฤษณ์ถามขึ้นมา

ฉันสะดุ้งและหันไปตอบ

“อ่ะ...” ฉันอึกอัก จะตอบว่าไงล่ะ ฉันอยากตอบตามความจริงนะ แต่ก็เกรงใจน่ะ มันดึกแล้วด้วย

พี่กฤษณ์เงียบไปพักแล้วก็ลุกขึ้น ฉันเอื้อมไปเกาะแขนพี่กฤษณ์ในขณะที่พยายามลากขากลับไป เมื่อเดินผ่านร้านขายกระทง พี่กฤษณ์หยุดเดินและบอกให้ฉันรอ เขาเดินไปซื้อกระทงมาหนึ่งในมือ กระทงเดียว
พี่กฤษณ์พาฉันมามาที่คลองด้านหลังม.ใกล้หอของฉัน ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมนี่ เขาจะลอยกระทงกับฉัน ฉันได้แต่เดินกะเผลกขาตามพี่กฤษณ์

“มาสิ” พี่กฤษณ์ยื่นมาให้ฉันจับขณะที่อยู่ริมคลองที่มีพื้นดินค่อนข้างแน่นพอรับน้ำหนัก 2 คนได้พอสมควร

ฉันรู้สึกเหมือนลอย ๆ ระหว่างที่จับมือพี่กฤษณ์ ทั้งตอนที่พี่กฤษณ์ประคองให้นั่งลง ตอนที่พี่กฤษณ์ให้อธิษฐาน และตอนที่เรา 2 คนประคองกระทงให้ลอยไปตามน้ำในลำคลอง

ฉันจะไม่ลืมงานลอยกระทงในครั้งนี้ไปตลอดชีวิตเลย


จัดหน้ายากมากอ่ะ ดึกแล้วด้วย ฝันดีนะคะ ตาโหลแล้ว



แพม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 พ.ย. 2554, 00:16:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ย. 2554, 12:26:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1847





<< ตอนที่ 4 คนนอกสายตา   ตอนที่ 6 มือที่สาม? (1) >>
ลิขิตรา 10 พ.ย. 2554, 07:29:48 น.
พ...พี่กฤษณ์อ่ะ...ใส่ใจกันแบบนี้มันแปลก ๆ นะคร้า
แล้ว...เงาดำ ๆ ที่แอบมองยายเขมนี่ ใครกันนะ


แว่นใส 10 พ.ย. 2554, 08:39:04 น.
เป็นมดแดงแฝงมะม่วงหรือไงอีตากฤษณ์


yume 10 พ.ย. 2554, 11:49:58 น.
ลอยกระทงอันเดียวกันด้วย กรี๊ดๆๆ ชอบๆ มากๆค่า


เก่งวิชา 18 พ.ย. 2554, 10:12:38 น.
ฮ่าๆๆลอยกระทงเข้าบรรยากาศที่ผ่านมาเลยดิ
ตรูลอยปีนี้กะเพื่อน จ้างเด็กเอาไปลอยเพราะแม่น้ำท่าตะเภามันแห้งงงงงง โคลนทั้งนั้น


เก่งวิชา 28 ธ.ค. 2554, 17:46:16 น.
ดองอีกแล้วนะแก เมื่อไหร่อัพฟระ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account