ต้องชะตารัก By ณพรชล
ความรักของมนุษย์เราจะมั่นคงสักแค่ไหนกันนะ

หากว่าคนที่เรารักที่สุดกลับจำเรื่องราวระหว่างกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เราควรจะทำอย่างไรดี

ทำทุกวิถีทางให้เธอจำได้

ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป

หรือ สร้างความทรงจำใหม่ให้กับเธอ

ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร

"ผมไม่รู้ว่าสำหรับพี่ต้นแล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดี หรือ แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ แต่ในความรู้สึกของผมปลายข้าวไม่ใช่แค่ความหลง ไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ หรือแม้แต่ความสงสารใดๆ แต่ปลายข้าวคือความรัก ชีวิต และจิตใจของผม เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมรู้ในทันทีว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าผมยังเด็กเกินไป แต่ตอนนี้ผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าปลายข้าวยังเป็น ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม คือคนที่ผมอยากมีอนาคตร่วมกับเธอและไม่มีใครสามารถแทนที่เธอได้ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ปลายข้าวอยู่ใกล้ๆ เคียงข้างผมได้โดยไม่ให้เธอเสียหายหรือมีใครมาครหา"
Tags: พี่สกาย ปลายข้าว

ตอน: ตอนที่ 4

ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ
ด้วยรักและจุ๊บๆ ^^
ปอรินทร์

4.

ภาวิณีขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นว่าร่างบางที่เดินหอบแฟ้มเข้ามาวางบนโต๊ะของเธอตั้งแต่เมื่อช่วงสายมีสีหน้าที่ต่างจากตอนที่เดินออกไปอย่างเห็นได้ชัด ทำงานไปก็ยิ้มไป แถมบางครั้งยังนั่งเหม่อ ทำให้ภาวิณีอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ช่วยคนเก่งของเธอเป็นอะไร

"ปลาย...ปลาย...ธัญพัชร!” ร่างบางเจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้ง เมื่อถูกเรียกด้วยเสียงที่ไม่เบานัก ทำให้คนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปมาถึงกับหันมอง

“คะ! พี่ภามีอะไรหรือเปล่าคะ เรียกปลายซะเสียงดังเชียว”

“วันนี้ปลายเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นเหม่อตลอดเลย”

“เอ่อ...ปลายคงกังวลเรื่องพี่ต้นน่ะคะ ช่วงนี้พี่ต้นใกล้คลอดแล้ว ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน พี่ไมล์ก็ต้องไปทำธุระที่ต่างประเทศอีก ปลายก็เลยเป็นห่วงน่ะค่ะ” ธัญพัชรตอบ

“อืม...พี่แค่เป็นห่วง นึกว่าเป็นอะไรหรือเปล่า งั้นปลายก็ทำงานต่อไปเถอะพี่ไม่กวนแล้ว” ภาวิณีพูดจบก็เดินจากไป ทิ้งให้ร่างบางที่นั่งอยู่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ที่เธอบอกภาวิณีไปนั้นมีความจริงเพียงครึ่งเดียว ความจริงแล้วถึงแม้ว่าธัญกาญจน์จะครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที แต่พี่สาวของเธอก็ยังมีนมรุ้งอยู่เป็นเพื่อนที่บ้านอยู่แล้ว แต่เรื่องที่ทำให้เธอถึงกับออกอาการเช่นนี้ได้คงหนี้ไม่พ้นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้...



“พ...พี่สกาย” เสียงที่หลุดรอดออกจากปากของธัญพัชรนั้นไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบเลยแม้แต่น้อย ซึ่งชายหนุ่มผู้ที่เป็นเจ้าของชื่อนั้นตอนนี้ได้เข้ามาอยู่ในลิฟต์ตัวเดียวกับเธอแล้วนั้นก็มีอาการไหววูบไปเพียงเล็กน้อยแล้วกลับมาเป็นปกติซึ่งคนที่อยู่ในสภาวะอึ้งอยู่ตอนนี้คงไม่ได้สังเกตเป็นแน่

“น้องปลาย... ทำงานที่นี่เหรอครับ” กายนภัสนิ์ถามขึ้นหลังจากเงียบกันอยู่พักใหญ่เพราะในลิฟท์ตัวนี้มีเพียงเขาและธัญพัชรอยู่กันแค่สองคน เขาลอบสังเกตหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมยาวสลวยถึงกลางหลัง ดวงตากลมโตสีนิลที่มีเปล่งประการาวกับมีดาวนับล้านอยู่ในดวงตา คิ้งโก่งได้รูป จมูกโด่งอย่างเป็นธรรมชาติ เรียวปากอิ่มสีแดงสดที่เคลือบเพียงลิปกลอสกันปากแห้ง ทุกสิ่งที่เมื่อหลายปีก่อนเป็นอย่างไรปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง

“คะ...ค่ะ ปลายทำงานที่นี่มาสี่ปี่แล้วค่ะ แล้วพี่สกายล่ะคะ ทำงานที่นี่เหมือนกันหรือคะ” ธัญพัชรตอบแล้วถามในคราวเดียวกัน

“เอ่อ...พี่เพิ่งมาทำงานที่นี่วันแรกน่ะ พี่ดีใจจังเลยที่ได้เจอน้องปลายที่นี่” กายนภัสนิ์เผลอพูดความในใจออกไปทำให้ร่างบางที่ยืนอยู่ข้างกายหันมามองอย่างสงสัยพร้อมทั้งรอยจุดแดงๆ ที่แก้มทั้งสองข้าง

“อ๋อ! พี่หมายถึงพี่ดีใจที่ได้เจอน้องร่วมสถาบันน่ะ พี่ไม่ได้เจอเพื่อนร่วมสถาบันหรือคนรู้จักมาหลายปีแล้ว” กายนภัสนิ์ไขความกระจ่างให้หญิงสาวข้างกาย ทำให้รอยจุดแดงๆ บนใบหน้าค่อยจางลงแต่กลายเป็นคิ้วขมวดแทน

“อ้าว! ทำไมเหรอคะ”

“ก็พี่... / ติ๊ง!” กายนภัสนิ์ยังไม่ทันพูดอะไรเสียงลิฟท์ก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าถึงชั้นสามสิบแปดแล้ว

“เอ่อ...ปลายคงต้องไปแล้วค่ะพี่สกาย ปลายต้องไปส่งเอกสารที่แผนกการตลาดค่ะ ปลายก็ดีใจนะคะที่ได้เจอพี่ร่วมสถาบันเหมือนกัน” ธัญพัชรเอ่ยจบก็เดินออกจากลิฟท์ แต่เมื่อเธอก้าวไปได้เพียงสามก้าวก็ต้องหยุดชะงักกับเสียงเรียกของคนที่อยู่ในลิฟท์

“เดี๋ยวครับน้องปลาย!”

“พะ...พี่สกายมีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอหันกลับมาก็พบว่าคนที่อยู่ข้างในเอามือมาดันประตูลิฟท์ไว้เพื่อไม่ให้ปิด

“เอ่อ...กลางวันนี้น้องปลายว่างไหมครับ” กายนภัสนิ์ถามขึ้น

“วะ...ว่างค่ะ พี่สกายมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ไปกินข้าวกลางวันกับพี่นะครับ” คำชวนสั้นๆ ง่ายๆ แต่ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นแรงหนักกว่าเก่าจนแทบจะกระเด็นหลุดออกมาจากอก ความร้อนแล่นมาจุกอยู่บนใบหน้านวล ธัญพัชรเงียบไปอยู่นาน จนทำให้คนที่รอคำตอบนั้นถึงกับใจแป่วลงไป แต่แล้วหัวใจของเขาก็ค่อยๆ พองโตขึ้นจนคับอกเมื่อได้ยินคำตอบจากริมฝีปากอิ่ม

“ค่ะ...”

“งั้นเดี๋ยวตอนเที่ยงพี่รออยู่ที่ล็อบบี้นะครับ” กายนภัสนิ์บอกพลางปล่อยมือออกจากประตูลิฟท์ ประตูลิฟท์จึงค่อยๆ ปิดตัวลง ทิ้งให้คนที่อยู่หน้าลิฟท์ยืนหน้าแดงเป็นลูกตำลึงอยู่อย่างนั้นอย่างไม่เข้าใจตัวเองเอาเสียเลยว่าเป็นอะไร กับรุ่นพี่คนอื่นๆ ที่เธอไม่สนิทกัน เธอจะเว้นระยะห่างในการคุยค่อนข้างมากพอสมควรแต่การคุยก็ไม่ได้สะดุดหรือตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด แต่กับกายนภัสนิ์เธอกลับมีอาการแปลกๆ ตลอดเวลา แค่เขาพูดเพียงไม่กี่ประโยคเธอกลับใจสั่น ไม่กล้าสบตา ไม่กล้าพูดด้วย ทั้งๆ ที่เธอแทบจะไม่รู้จักอะไรที่เกี่ยวกับเขามากไปกว่าพี่น้องร่วมสถาบัน...



ส่วนคนที่ตกอยู่ในห้วงความคิดของหญิงสาวนั้น กำลังเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดี เมื่อเดินมาถึงห้องที่ติดป้ายว่า ‘ประธานกรรมการผู้บริหาร’ ก็เห็นว่าคุณภาวิณีนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าห้อง จึงยกมือไหว้พร้อมส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจให้กับเลขานุการิณีวัยกลางคนที่ทำงานมากับผู้เป็นบิดามาสิบกว่าปี

“สวัสดีครับอาภา”

“สวัสดีค่ะคุณกายนภัสนิ์ ไม่ได้เจอตั้งหลายปีเลยนะคะ ดิฉันดีใจนะคะที่คุณกายนภัสนิ์กลับมาช่วยงานคุณท่าน” คนที่ได้รับรอยยิ้มนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเคารพนอบน้อมอย่างคนมีศักดิ์ต่ำกว่า

“อย่าเรียกผมอย่างนั้นเลยครับอาภา ผมก็ยังเป็นสกายคนเดิมของอาภานะครับ เพราฉะนั้นอาภาไม่ต้องเรียกชื่อเต็มของผมขนาดนั้นหรอกครับ”

“ก็ได้ค่ะคุณสกาย...มาหาท่านประธานหรือคะ ตอนนี้ท่านกำลังเซ็นเอกสารอยู่ด้านในน่ะคะ ท่านบอกว่าถ้าคุณมาแล้วให้เข้าไปพบท่านได้เลยค่ะ” ภาวิณีตอบด้วยความเอ็นดู เธอเห็นกายนภัสนิ์มาตั้งแต่ยังเล็ก คุณจักรินทร์มักจะพาคุณยุพเรศผู้เป็นภรรยาและเด็กชายกายนภัสนิ์มาทำงานด้วยเป็นประจำ เด็กชายกายนภัสนิ์ในวัยสี่ขวบนั้นเป็นที่เอ็นดูและรักใคร่ในหมู่พนักงานมากโดยเฉพาะเธอ กายนภัสนิ์มักจะมาเล่นด้วยทุกครั้งและมักจะมีดอกไม้จากสวนหรือขนมชิ้นเล็กๆ มาฝากเธอเสมอ

‘กายเอาดอกไม้มาให้อาภาคับ พ่อกับแม่บอกกายว่าอาภาทำงานเยอะมากเพื่อกายกับครอบครัว เพราะฉะนั้นกายต้องไม่ดื้อแล้วก็รักอาภาให้มากๆ คับ’ คำตอบที่ได้เมื่อถามก็ทำให้ผู้ฟังน้ำตาซึมทุกครั้งที่ได้ยิน กายนภัสนิ์ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ยังคงเป็นที่รักและเอ็นดูเสมอในสายตาเธอ



เสียงเคาะประตูสองสามครั้งตามมาด้วยเสียงเปิดประตูแผ่วเบา ทำให้ผู้ที่กำลังนั่งขมักเขม่นอยู่กับกองเอกสารต้องเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่แล้วรอยยิ้มที่ไม่ค่อยปรากฎบ่อยนักก็จุดขึ้นที่มุมปาก

“ว่าไง! ด็อกเตอร์กายนภัสนิ์ กลับมาคราวนี้อารมณ์ดีเชียวนะ”

กายนภัสนิ์คลี่ยิ้มบางเบาให้กับผู้เป็นบิดาก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

“ผมเดินหาแรงบันดาลใจในการทำงานอยู่ครับ”

“แล้วเจอไหมล่ะ เจ้าแรงบันดาลใจที่ว่า”

กายนภัสนิ์ไม่ตอบเพียงแต่อมยิ้ม แล้วเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานฝั่งตรงข้ามกับบิดา

“พ่อครับ ผมจะมาทวงเลขาของผมคืน”

“คุณภาน่ะเหรอ ก็เอาไปสิพ่อยกให้ เพราะยังไงแกก็ต้องมาทำงานแทนพ่ออยู่แล้ว” คุณจักรินทร์แกล้งทำเป็นไม่รู้ความนัย

“โธ่! พ่อครับ ผมไม่ได้หมายถึงอาภาสักหน่อย” กายนภัสนิ์ทำหน้าห่อเหี่ยวลงไปถนัด

“แล้วแกหมายถึงใครล่ะ”

“ผม...ผมหมายถึงธัญพัชรต่างหากล่ะครับ” เพียงเท่านี้คุณจักรินทร์ก็ถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

“พ่อก็นึกว่าแกจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วซะอีก”

“ไม่ครับ เรื่องนี้ผมไม่มีวันลืมเด็ดขาด”

“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพ่อตามคุณภามาเลยแล้วกัน” คุณจักรินทร์กำลังจะเอื้อมมือไปกดอินเตอร์คอม แต่กายนภัสนิ์ร้องห้ามเสียงก่อน

“อย่าเพิ่งครับพ่อ”

“ทำไมล่ะ เมื่อกี้ยังทำเป็นใจร้อนมาทวงกับพ่ออยู่เลย”

“เอ่อ...ผมยังไม่อยากเปิดเผยตัวตอนนี้ ผมอยากเรียนรู้งานพร้อมกับเรียนรู้เลขาของผมแบบเงียบๆ ไปก่อน”

“เอางั้นหรือ?”

“ครับ” กายนภัสนิ์คิดว่าในเมื่ออีกสองอาทิตย์ทางบริษัทก็จะจัดงานแถลงข่าวผลประกอบการประจำไตรมาสพร้อมทั้งเลี้ยงต้อนรับเขาอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะแสดงตัวในตอนนี้

“ใกล้เที่ยงแล้ว วันนี้อยู่กินข้าวพร้อมพ่อเลยก็แล้วกัน พ่อจะได้ให้คุณภาสั่งมาเผื่อเลย”

“เห็นทีวันนี้คงไม่ได้ครับพ่อ” กายนภัสนิ์เอ่ยปฏิเสธอย่างนิ่มนวลแต่มุมปากจุดรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วร่างสูงก็ลุกขึ้นเดินไปที่ประตู หันมาพูดกับผู้เป็นบิดาก่อนจะออกจากห้องไป

“เพราะวันนี้ผมมีนัดกับแรงบันดาลใจของผม”



“ปลาย! เที่ยงนี้ไปกินก๋วยเตี๋ยวตรงปากซอยกันไหม” เสียงที่ดังขึ้นอยู่ด้านหน้าทำให้ธัญพัชรเงยหน้าจากกองเอกสารเห็นว่า สาวร่างตุ้ยนุ้ยนามสุชาดา โผล่หัวออกมาจากพาร์ทิชั่นด้านหน้าของเธอ

“อ่ะ...เอ่อ...คงต้องเป็นวันหลังแล้วล่ะคะพี่สุ วันนี้ปลายมีนัดแล้วค่ะ” สาวร่างบางอ้อมแอ้มตอบ

“นั่นแน่! แอบนัดกับใครกันจ๊ะปลาย” สุชาดาเอ่ยแซว เพราะเธอไม่เคยเห็นรุ่นน้องสาวคนนี้รับนัดใครเลย แม้ว่าหนุ่มๆ ในบริษัทจะเวียนมาขายขนมจีบอยู่บ่อยๆ ก็ตาม แต่ยังไม่มีใครเลยฝ่าด้านรอยยิ้มหวานเย็นที่ไม่ใช้ไอศกรีมหวานเย็นแต่เป็นรถเมล์สายหวานเย็นกับองครักษ์พิทักษ์เพื่อนอย่าง ‘นวลตา’ ไปได้สักคนเลย

“ปลายมีนัดเหรอ เอ...ใช่คนที่อยู่ในลิฟต์หรือเปล่าจ๊ะ” สินีนาถชะโงกหน้าออกมาแซวจากพาทิชั่นที่อยู่ติดกัน ยิ่งทำให้รอยแดงๆ จุดขึ้นที่ใบหน้าของธัญพัชรมากยิ่งขึ้น

“มะ...ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกค่ะพี่นาถ พี่สุ แค่รุ่นพี่ที่มหาลัยเท่านั้นเอง”

“เหรอจ๊ะ งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยกันสองคนก็ได้” สินีนาถเอ่ยพลางเก็บของบนโต๊ะตัวเอง

“งั้นปลายไปก่อนนะคะ วันนี้ขอโทษจริงๆ นะคะ พี่นาถ พี่สุ” ธัญพัชรเก็บข้าวของลงลิ้นชักแล้วจึงคว้ากระเป๋ามาคล้องไหล่

“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ เอาเป็นว่าขอให้มีควาสุขกับมื้อกลางวันก็แล้วกันนะจ๊ะ” สุชาดาอวยพรในตอนท้าย ก่อนที่ทั้งสามจะแยกย้ายกันไปคนละจุดหมาย



ร่างบางยืนรออยู่ที่ล็อบบี้ไม่นานนักชายหนุ่มที่นัดเธอไว้ก็เดินออกมาจากลิฟต์ตรงมาหาเธอทันทีพร้อมรอยยิ้มและแววตาที่เธอไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่ากำลังสื่อถึงอะไร แต่ความรู้สึกบางอย่างภายใต้จิตสำนึกนั้นกลับสั่งการให้จุดสีแดงๆ มาแต่งแต้มอยู่บนใบหน้านวล

“มารอพี่นานหรือยังครับ”

“เอ่อ...ปลายก็เพิ่งมาถึงค่ะ”

“งั้นเราไปกันเลยดีกว่า เดี๋ยวจะกลับมาทำงานไม่ทัน” กายนภัสนิ์บอกพลางคว้ามือของคนตรงหน้าออกเดินไปยังลานจอดรถ ท่ามกลางสายตาใคร่รู้ของผู้คนในบริษัท

“พะ...พี่สกายคะ ปล่อยมือปลายเถอะค่ะ คนมองกันใหญ่แล้ว” ธัญพัชรพยายามดึงมือของตัวเองออก แต่เจ้าของมือแข็งแรงนั้นก็ยังนิ่งไม่สะท้กสะท้านแต่อย่างใด

“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ พี่แค่พาน้องปลายมาที่ลานจอดรถเท่านั้นเอง”

“แต่ปลายว่ามันคงไม่เหมาะนะคะ ที่เราสองคนจะเดินจับเมื่อในที่ทำงานแบบนี้” คำพูดของหญิงสาวทำให้กายนภัสนิ์คิดได้ มันคงไม่เหมาะสมอย่างที่เธอว่าจริงๆ เพราะที่นี่คือที่ทำงาน แล้วอีกอย่างฝ่ายหญิงอาจจะเสียหายได้ ถ้ามีผู้ไม่หวังดีเอาไปพูดในทางที่เสียหาย มือหนาจึงค่อยๆ ปล่อยมือบางลง

“พี่ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ... แล้วกลางวันนี้พี่สกายอยากกินอะไรหรือคะ” ธัญพัชรเอ่ยถามขึ้นเมื่อทั้งสองนั่งอยู่ในรถยุโรปคันหรูราคาเฉียดเลขแปดหลักที่กายนภัสนิ์ได้เป็นของขวัญเรียนจบ

“อะไรก็ได้ครับ แล้วแต่น้องปลายเลย” กายนภัสนิ์ว่าขณะสตาร์ทรถ

“อืม...งั้นปลายมีร้านแนะนำอยู่ร้านหนึ่งค่ะ ปลายกับเพื่อนมากินกันบ่อยค่ะ ไม่ไกลจากบริษัทด้วย” ธัญพัชรคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยบอกชื่อร้านและเส้นทางที่จะไปร้าน เพียงไม่นานรถยนต์คันหรูก็จอดอยู่บริเวณด้านข้างของร้านอาหารแห่งหนึ่ง กายนภัสนิ์เปิดประตูลงจากรถพร้อมๆ กับหญิงสาวก่อนที่จะเดินคู่กันเข้าไปในร้าน บรรยากาศภายในนั้นถึงแม้จะเป็นยามเที่ยงวันที่ลูกค้าแน่นร้าน แต่ก็ยังพอเหลือที่ว่างให้ทั้งสองได้นั่ง

“บังเอิญจังเลยที่มีโต๊ะว่างแถมเป็นโต๊ะที่ปลายกับเพื่อนๆ มานั่งกินกันประจำด้วย” ร่างบางตรงหน้าตอบด้วยท่าทีที่เริ่มผ่อนคลายลง

“จะรับอะไรดีคะ” พนักงานคนหนึ่งยื่นเมนูมาให้ทั้งสอง มีเพียงกายนภัสนิ์เท่านั้นที่เปิดดูรายชื่ออาหารในเมนู

“พี่สกายอยากกินอะไรสั่งเลยนะคะ ร้านนี้อร่อยทุกอย่าง” ธัญพัชรบอก

“อืม...พี่ว่าน้องปลายสั่งดีกว่าครับ เจ้าถิ่นน่าจะรู้ว่าอะไรอร่อย” กายนภัสนิ์สดเมนูลงเพื่อให้เห็นหน้าใสๆ ของหญิงสาว

“งั้นเอาปอเปี๊ยะทอด หมูทอดกระเทียม ไก่ผัดเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ต้มยำทะเล แล้วก็ข้าวเปล่าสองจานจ๊ะ” ธัญพัชรสั่งกับพนักงานโดยไม่ดูเมนูเลยแม้แต่น้อย ทำให้กายนภัสนิ์มองหน้าเธออย่างทึ่งๆ เชื่อแล้วว่าเธอมาที่นี่บ่อยจริง

“พี่เชื่อแล้วล่ะครับ ว่าน้องปลายมาที่นี่บ่อยจริงๆ” กายนภัสนิ์พูดยิ้มๆ ทำให้คนฟังหน้าแดงได้ทันที

“ก็ปลายมากับเพื่อนทุกอาทิตย์เลยนี่คะ มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วค่ะ เคยสั่งมากินกันครบทุกอย่างแล้วด้วย อร่อยทุกอย่างเลย” ร่างบางตอบเพื่อกลบความเขินอาย ส่วนอีกคนก็นั่งพิงพนักเก้าอี้ฟังอย่างสบายๆ ในขณะที่ดวงตาสีควันบุหรี่ก็จับจ้องแต่ใบหน้านวลเพียงอย่างเดียว

“เสียดายจังดายนะคะที่วันนี้น้ำตาลไม่ได้เข้าบริษัท ไม่งั้นคงดีใจแน่ที่ได้เจอพี่สกาย” ธัญพัชรเอ่ยขึ้นเมื่อนึกได้ว่าเพื่อนสาวของเธอสนิทกับชายหนุ่มตรงหน้า

“น้องน้ำตาลก็ทำงานที่นี่ด้วยหรือครับ”

“ค่ะ แต่น้ำตาลทำงานอยู่คนละฝ่ายกับปลาย น้ำตาลอยู่ฝ่ายการตลาดค่ะ แต่วันนี้รู้สึกกว่าน้ำตาลจะต้องไปสัมมนากับเพื่อนในฝ่ายอีกสามคนที่ระยองค่ะเลยไม่ได้เข้าบริษัท”

“แล้วน้องปลายล่ะครับอยู่ฝ่ายไหน” กายนภัสนิ์แสร้งถามทั้งที่รู้เรื่องดีอยู่แล้ว

“ปลายเป็นผู้ช่วยเลขาท่านประธานค่ะ แล้วพี่สกายล่ะคะเพิ่งเข้ามา ทำงานฝ่ายไหนคะ” ร่างบางตอบพร้อมถามกลับในคราวเดียวกัน คนจะตอบนั่นทำท่าทีอึกอักเล็กน้อย

“พี่...”

“อาหารที่สั่งได้แล้วครับ” เสียงของพนักงานที่นำอาหารมาเสิร์ฟนั้นเหมือนระฆังช่วยชีวิตกายนภัสนิ์ไว้ เพราะตอนนี้เขายังไม่อยากจะบอกใครตอนนี้ว่าตนเองนั้นอยู่ในตำแหน่งใดของบริษัทเจเอ็นกรุ๊ป

“พี่สกายลองชิมต้มยำทะเลดูนะคะ อร่อยมากๆ ” ธัญพัชรบอกพลางตักต้มยำทะเลใส่ถ้วยใบเล็กแล้วยื่นให้กายนภัสนิ์อย่างเผลอตัวทำให้รอยแดงที่เพิ่งหายไปจากใบหน้าก็กลับมาอีกครั้ง เธอจึงตักให้ตนเองอีกถ้วยเพื่อกลบความเขิน ทันทีที่ต้มยำทะเลเข้าปากไปในคำแรกก็รู้ถึงรสชาติอันเผ็ดร้อนและความเปรี้ยวที่เป็นตัวชูโรงให้กับอาหารจานนี้

“อืม...อร่อยดีนะครับ พี่ไม่ได้กินอาหารรสจัดอย่างนี้มาหลายปีแล้ว” กายนภัสนิ์ว่าพลางเช็ดเหงื่อที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า เพราะไม่ได้ลิ้มรสอาหารที่มีรสชาติอย่างนี้มานาน

“เอ่อ...กระดาษทิชชูค่ะ” ธัญพัชรพูดพลางยื่นกระดาษทิชชูให้อย่างเนียมอาย

“ขอบคุณครับ ไม่ได้อยู่เมืองไทยซะนาน คิดถึงอาหารไทยมากๆ เลย น้องปลายไม่ทานหรือครับ พี่เห็นเขี่ยข้าวไปมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” กายนภัสนิ์บอกพลางตักอาหารให้หญิงสาวตรงหน้า แล้วจึงกลับมาจัดการกับต้มยำทะเลของตนเองจนหมดถ้วย

ธัญพัชรพยายามข่มความเขินอายที่เกิดขึ้น หลังจากที่กายนภัสนิ์ตักอาหารให้อยู่นาน จึงตัดสินใจพยายามหาเรื่องที่จะชวนคุย เพียงทำลายบรรยากาศที่ชวนกระดากอายเช่นนี้

“เอ่อ...ที่พี่สกายบอกว่าไม่ได้อยู่เมืองไทย พี่สกายไปไหนมาหรือคะ”

“เอ่อ...พี่ไปเรียนต่อที่อังกฤษมาครับ” กายนภัสนิ์แอบสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายหลังจากตอบคำถาม ก็แปลกใจถึงอาการที่อีกฝ่ายแสดงออกมา

“จริงหรือคะ พี่สกายเก่งจังเลย ได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษด้วย” ธัญพัชรตาโตเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นเพราะอังกฤษคือประเทศในฝันของเธอที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปให้ได้

“ไม่เก่งหรอกครับ ก็แค่พยายามมากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง” กายนภัสนิ์ตอบ แล้วการสนทนาบนโต๊ะอาหารก็มีแต่เรื่องการใช้ชีวิตที่อังกฤษของกายนภัสนิ์เสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะธัญพัชรเอาแต่ถามโน่นถามนี่ไปเรื่อย จนคนตอบอ่อนใจ แต่พอเห็นดวงตาที่เป็นประกายดุจดวงดาวนับล้านนั้นจับจ้องอย่างรอคอยในคำตอบก็อดไม่ได้ที่จะตอบคำถามนั้น

“อิจฉาพี่สกายจังเลยนะคะ ได้ไปอยู่อังกฤษตั้งหลายปี” ธัญพัชรเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชมปนอิจฉา ขณะเดินทางกลับบริษัท

“ไว้มีโอกาสน้องปลายก็ลองไปดูสิครับ” กายนภัสนิ์บอก สายตาจับจ้องบนท้องถนน เมื่อรถยุโรปคันหรูเลี้ยวเข้าไปจอดภายในตัวอาคารของบริษัท เสียงหวานๆ ก็เอ่ยขึ้นหลังจากกายนภัสนิ์ดับเครื่องยนต์แล้ว

“ขอบคุณนะคะสำหรับอาหารมื้อนี้”

“พี่ขอเปลี่ยนจากคำขอบคุณของน้องปลายเป็นอย่างอื่นได้ไหมครับ”

“อะไรหรือคะ” ธัญพัชรหันมาถามอย่างสงสัย

“เปลี่ยนจากคำขอบคุณมาเป็น...กินข้าวเป็นเพื่อนพี่แบบนี้ทุกวันได้ไหมครับ” กายนภัสนิ์หันมาสบตากับคนข้างๆ สายตาแบบนี้อีกแล้วสายตาที่เธอไม่เคยรู้ถึงความหมายที่ส่งมา สายตานั้นมันทำให้รู้สึกมีความสุขและทรมานไปพร้อมกันอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความสุขที่ส่วนลึกของจิตใจและจิตใต้สำนึกเธอรู้ แต่เธอกลับคิดไม่ออกว่ามันคืออะไร ส่วนความทรมานก็คือเมื่อเธอคิดไม่ออกว่ามันคืออะไรอาการปวดหัวที่หายไปนานก็เริ่มออกฤทธิ์ แต่ก่อนที่อาการปวดหัวจะเป็นหนักไปมากกว่านี้ ธัญพัชรจึงรีบตอบคำถามนั้นโดยไม่เสียเวลาคิด ราวกับว่ามันเป็นคำตอบที่ส่วนลึกในจิตใจโดยไม่ผ่านสมอง


“ได้ค่ะพี่สกาย แต่ตอนนี้ปลายต้องขอตัวก่อนนะคะ” ร่างบางรีบออกจากรถอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนที่อยู่ในรถมองตาอย่างสงสัยในแววตาและการกระทำแบบนั้น ที่ในร้านอาหารก็ครั้งหนึ่ง ก็จะไม่ให้เขาสงสัยได้อย่างไรล่ะ ก็ในเมื่อตั้งแต่ที่เขารู้จักเธอมานาน เขาเพิ่งเคยเห็นมีแววตาเป็นประกายสดใสขนาดนี้เป็นครั้งแรก ไม่ใช่แววตาที่หวานปนโศกอย่างที่แล้วๆ มา แล้วยังจะเมื่อครู่นี้อีกใบหน้าเธอขาวซีดราวกับกระดาษแววตาบ่งบอกถึงความทรมาน เขาต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมหญิงสาวตรงหน้าถึงเปลี่ยนไปแม้ว่าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีก็เถอะ และสิ่งที่ค้างคาใจเขามาตลอดหลายปีมานี้ว่าทำไมเธอถึงจำเรื่องราวระหว่างเธอกับเขาไม่ได้ เธอไม่รู้ความนัยที่เขาสื่อเลยหรือว่าทำไมเขาถึงไปเรียนต่อที่อังกฤษ แล้วแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและคิดถึงที่เขาส่งไปให้เธอในทุกครั้งนั้นทำไมถึงทำให้เธอทรมานนัก เขาทำผิดอะไรหรือเปล่านะ...



ปอรินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2554, 17:08:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 เม.ย. 2554, 17:09:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 1734





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 5 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account