ต้องชะตารัก By ณพรชล
ความรักของมนุษย์เราจะมั่นคงสักแค่ไหนกันนะ
หากว่าคนที่เรารักที่สุดกลับจำเรื่องราวระหว่างกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เราควรจะทำอย่างไรดี
ทำทุกวิถีทางให้เธอจำได้
ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป
หรือ สร้างความทรงจำใหม่ให้กับเธอ
ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร
"ผมไม่รู้ว่าสำหรับพี่ต้นแล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดี หรือ แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ แต่ในความรู้สึกของผมปลายข้าวไม่ใช่แค่ความหลง ไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ หรือแม้แต่ความสงสารใดๆ แต่ปลายข้าวคือความรัก ชีวิต และจิตใจของผม เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมรู้ในทันทีว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าผมยังเด็กเกินไป แต่ตอนนี้ผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าปลายข้าวยังเป็น ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม คือคนที่ผมอยากมีอนาคตร่วมกับเธอและไม่มีใครสามารถแทนที่เธอได้ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ปลายข้าวอยู่ใกล้ๆ เคียงข้างผมได้โดยไม่ให้เธอเสียหายหรือมีใครมาครหา"
หากว่าคนที่เรารักที่สุดกลับจำเรื่องราวระหว่างกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เราควรจะทำอย่างไรดี
ทำทุกวิถีทางให้เธอจำได้
ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป
หรือ สร้างความทรงจำใหม่ให้กับเธอ
ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร
"ผมไม่รู้ว่าสำหรับพี่ต้นแล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดี หรือ แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ แต่ในความรู้สึกของผมปลายข้าวไม่ใช่แค่ความหลง ไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ หรือแม้แต่ความสงสารใดๆ แต่ปลายข้าวคือความรัก ชีวิต และจิตใจของผม เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมรู้ในทันทีว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าผมยังเด็กเกินไป แต่ตอนนี้ผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าปลายข้าวยังเป็น ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม คือคนที่ผมอยากมีอนาคตร่วมกับเธอและไม่มีใครสามารถแทนที่เธอได้ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ปลายข้าวอยู่ใกล้ๆ เคียงข้างผมได้โดยไม่ให้เธอเสียหายหรือมีใครมาครหา"
Tags: พี่สกาย ปลายข้าว
ตอน: ตอนที่ 5
ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ
ด้วยรักและจุ๊บๆ^^
ปอรินทร์
5.
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้วที่ทุกเที่ยงจะมีชายหนุ่มปริศนาคนหนึ่งมายืนคอยหญิงสาวที่เป็นขวัญใจของหนุ่มๆ ในบริษัทที่ล็อบบี้ทุกวัน ซึ่งข่าวนี้ก็ทำให้เหล่าบรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลายในบริษัทต่างอกหักกันเป็นทิวแถว และข่าวนี้ก็เข้าหูหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากสัมมนา
“กลับมาแล้วหรือจ๊ะน้ำตาล เอ...ว่าแต่ที่กลับมาเนี่ย กลับมาเพราะสัมมนาเสร็จแล้วหรือกลับมาเพราะข่าวของเพื่อนเอ่ย” แก้วเพื่อนในแผนกแกล้งแซวมทันทีที่เห็นนวลตาเข้ามาทำงานที่บริษัทหลังจากกลับจากสัมมนา ถึงแม้บางคำจะแสลงหูไปหน่อยแต่ก็รู้ว่าเพื่อนสาวคนนี้มีความจริงใจส่งมาให้เสมอ
“ข่าวอะไรเหรอแก้ว” นวลตาขมวดคิ้วอย่างสงสัยในคำถามนั้น
“ก็ข่าวของปลายเพื่อนน้ำตาลไง ตาลไม่อยู่สามสี่วันมีชายหนุ่มรูปหล่อพาไปทานข้าวด้วยทุกวันเลยนะ”
“จริงเหรอแก้ว แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใคร กล้ามากที่แอบมาจีบปลายตอนน้ำตาลไม่อยู่”
“น่าเป็นหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงใหม่ล่ะมั้ง เพราะนอกจากท่านประธานคนใหม่แล้วเห็นว่ายังมีหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงอีกคนที่เพิ่งเข้ามาทำงาน แล้วที่สำคัญหล่อมากๆ หล่อกว่าพวกผู้ชายในในบริษัทเราหลายขุมเลยแหละ แก้วเห็นแล้วยังแอบกรี๊ดเลยนะ แต่ว่า...” แก้วพูดด้วยใบหน้าเคลิ้มฝัน
“แต่อะไรเหรอแก้ว” นวลตาถามขึ้นทันควัน
“แก้วว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาคุ้นๆ นะคล้ายใครสักคนที่แก้วรู้จัก แต่แก้วจำไม่ได้ว่าเป็นใคร” แก้วตอบ
“ขอบใจมากนะแก้วที่เล่าฟัง” นวลตาบอกก่อนจะเริ่มลงมือทำงาน แต่ยังเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ นายเด็กใหม่ นายแน่มาก ที่กล้ามาจีบเพื่อนฉัน งั้นลองเจอบททดสอบของชั้นดูหน่อยสิว่าจะผ่านไปได้สักกี่น้ำ
ส่วนหญิงสาวที่เป็นหัวข้อข่าวก็ยังคงออกอาการเขินทุกครั้งที่กายนภัสนิ์แสดงท่าทีเอาใจใส่ แม้ผ่านมาหลายวันแล้วก็ตาม วันนี้ก็เช่นกัน ขณะที่เธอกำลังหอบแฟ้มงานมาให้ภาวิณี กายนภัสนิ์ซึ่งเดินสวนกันบริเวณทางเดินของชั้นสามสิบแปดก็อาสาถือแฟ้มให้จนถึงจุดหมายแล้วเดินมาส่งเธอถึงโต๊ะทำงาน แม้ก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานก็ยังย้ำถึงนัดหมายของเขาและเธอในตอนเที่ยง พอคล้อยหลังกายนภัสนิ์ไปได้สักพักร่างบางก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งด้วยความประหลาดใจปนดีใจที่เห็นเพื่อนรักหอบของฝากมาวางไว้บนโต๊ะทำงานของเธอ
“ของฝากจากระยอง ฮิ” นวลตาพูด ’ฮิ’ ลงท้ายตามแบบภาษาท้องถิ่นของระยองด้วยความทะเล้น ทำให้คนที่ได้ของฝากอดขำไม่ได้
“น้ำตาล! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย เมื่อคืนยังโทรคุยกันอยู่เลยไม่ยอมบอกปลายเลยนะ”
“ก็กะว่าจะมาเซอร์ไพรส์ปลายไง” นวลตาตอบอย่างกวนๆ แต่ธัญพัชรกลับรู้สึกว่าเพื่อนรักดูแปลกๆ ถึงแม้จะดูยิ้มแย้มเหมือนปกติ แต่รอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา แล้วยังมีรอยแดงจางๆ ที่ตรงต้นคอนั้นอีก ถ้าไม่สังเกตจริงๆ ก็คงจะไม่เห็น เพื่อนรักเธอคนนี้เป็นอะไรไปนะ...
“เห็นว่าใกล้เที่ยงแล้วเลยมาชวนไปกินข้าวน่ะ ไปกันเลยไหม”
“ไปสิ เดี๋ยวปลายเก็บของก่อน รู้ไหมมีคนอยากเจอน้ำตาลด้วยนะ” ธัญพัชรบอกอย่างกระตือรือร้นโดยเก็บสงสัยเอาไว้ในใจเพราะเชื่อว่าสักวันหนึ่งนวลตาคงจะบอกเธอเองเพราะเธอทั้งสองคนไม่มีความลับอะไรกันเพียงแต่ว่าอีกฝ่ายจะบอกช้าหรือเร็วเท่านั้น ส่วนนวลตามองท่าทีของเพื่อนสาวก็แอบเขม่นคนที่อยากเจอเธออยู่ในใจ หน็อย! ริอ่านมาจีบเพื่อนฉัน แล้วยังอยากเจอฉันอีกใช่ไหม ได้! เดี๋ยวเจอแน่ สองสาวเดินคู่กันมาด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งเตรียมการที่จะแผลงฤทธ์กับคนที่บังอาจมาจีบเพื่อนรักเต็มที่ ขณะที่อีกคนดีใจที่อย่างน้อยมื้อนี้มีเพื่อนรักอย่างนวลตามาร่วมด้วยคงทำให้เธอหายขัดเขินลงบ้าง ดังนั้นเมื่อทั้งสองมาถึงล็อบบี้ก็เห็นชายหนุ่มที่อยู่ในความคิดยืนหันหลังคุยกับใครคนหนึ่ง
“นั่นไงน้ำตาล คนที่ใส่สูทสีดำน่ะ” ปลายบอกพลางชี้ไปทางคนที่แม้จะเห็นแต่เพียงด้านหลังแต่ธัญพัชรก็จำได้ดีว่าวันนี้เขามาในรูปลักษณ์ที่แปลกตาจากวันก่อนๆ ปกติเขามักจะใส่แค่เสื้อเชิ้ตธรรมดา แต่วันนี้เขากลับใส่สูทมาเต็มยศแม้จะสงสัยอยู่ลึกๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอย่างที่ใจคิด เพราะเมื่อตอนเช้าเธอได้คุยกับเขาแค่ไม่กี่คำก็มีโทรศัพท์เข้ามาตลอด
“คนที่ยืนหันหลังให้เราน่ะเหรอปลาย” เพื่อนสาวข้างกายพยักหน้าตอบ ส่วนคนที่ถูกเอ่ยถึงนั่นรู้สึกว่ากำลังถูกมองก็เลยลองหันกลับดูก็พบว่าหญิงสาวที่เขารอมาแล้วพร้อมด้วยเพื่อนสนิทของเธอจึงหันไปพูดกับคนที่ยืนตรงหน้าเพียงสองสามคำแล้วเขาก็เดินเข้ามาหาทั้งสอง
“สวัสดีครับน้องปลาย น้องน้ำตาล” กายนภัสนิ์ทักทายสองสาว โดยที่คนหนึ่งยิ้มรับบางๆ พร้อมรอยแดงๆ บนใบหน้าทำให้เขารู้สึกอยากจะคว้าร่างบางนั้นมากอดให้สมรัก ส่วนอีกคนนั้นทำให้เขาต้องพยายามกลั่นหัวเราะอย่างสุดฤทธิ์ เพราะเธอคนนั้นทำหน้าราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน
“สะ..สวัสดีค่ะ พะ...พี่สกาย” เมื่อเธอเห็นใบหน้าของคนที่เธอคิดว่าจะมาจีบเพื่อนสนิท เธอก็ถึงกับผงะเพราะไม่คิดว่าจะเป็นคนที่ทำให้เธอต้องคอยกันท่าบรรดาชายหนุ่มทั้งหลายที่มารุมจีบเพื่อนสาวของเธอ จนใครหลายๆ คนต่างคิดว่าเธอเป็นคู่เลสเบี้ยนกันไปแล้ว...
‘น้องน้ำตาลช่วยอะไรพี่อย่างหนึ่งได้ไหมครับ’ กายนภัสนิ์เอ่ยกับเธอเมื่อหลายปีก่อน
‘พี่สกายจะให้น้ำตาลช่วยเรื่องอะไรคะ ถ้าช่วยได้น้ำตาลจะช่วย’
‘น้ำตาลช่วยดูแลปลายด้วยนะ อย่าให้ใครมาเกาะแกะปลาย เพราะต่อไปพี่คงจะไม่ได้เจอปลายอีกนาน’
‘แต่...’
‘นะครับน้องน้ำตาล พี่ขอร้อง พี่ฝากน้องน้ำตาลดูแลแค่ชั่วคราวเท่านั้น แล้วพี่จะกลับมีดูแลน้องปลายด้วยตัวของพี่เองตลอดชีวิต’
‘ก็ได้ค่ะ แต่พี่ต้องสัญญานะคะ ว่าถ้าถึงวันนั้นพี่จะต้องไม่ทำให้เพื่อนที่น้ำตาลรักมากที่สุดต้องเสียใจ’
‘พี่สัญญาครับ’ เธอลังเลในตอนแรก แต่เมื่อเห็นสีหน้าแล้วแววตาที่จริงจังส่งผ่านมาทำให้เธอมั่นใจว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเธอคนนี้จะไม่มีวันทำให้เพื่อนรักของเธอต้องใจในวันข้างหน้าเป็นแน่...
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับน้องน้ำตาล ว่าแต่วันนี้เราจะไปกินอะไรกันดี”
“วันนี้ปลายคิดไม่ออกค่ะ ก็เลยชวนน้ำตาลมาด้วย เผื่อจะนึกหาร้านที่อร่อยๆ ได้มากกว่าปลาย น้ำตาลช่วยปลายคิดหน่อยสิว่ากลางวันนี้เราจะไปกินอะไรกันดี” ธัญพัชรเอ่ยเสียงใสคลายความขัดเขินลงไปได้มากเมื่ออาหารมื้อนี้มีบุคคลที่สามอย่างนวลตาร่วมด้วย
“อืม...มีเจ้ามือเลี้ยงอย่างนี้เดี๋ยวน้ำตาลพาไปเอง” นวลตารับคำทันที แล้วทั้งสามก็พากันไปขึ้นรถเพื่อไปร้านอาหาร
“พี่สกายคะ น้ำตาลขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”นวลตาถามขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมื่อธัญพัชรขอออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก
“ได้สิครับ น้องน้ำตาลมีอะไรหรือเปล่า” กายนภัสนิ์ตอบด้วยท่าทีสบายๆ
“พี่สกายทำงานตำแหน่งอะไรหรือคะ” จบคำถามของนวลตา ท่าทีของกายนภัสนิ์ก็เปลี่ยนไป
“เอ่อ...”
“พี่สกายไม่ได้เป็นหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่พี่สกายคือท่านประธานกรรมการผู้บริหาร เจเอ็นกรุ๊ป ใช่ไหมค่ะ” เมื่อเห็นกายนภัสนิ์เงียบไป นวลตาถามต่อทันทีเพื่อความแน่ใจอะไรบางอย่าง
“ใช่ครับ! พี่ไม่ได้เป็นหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุง” กายนภัสนิ์ตอบเมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับแล้ว
“แล้วพี่สกายคิดจริงจังกับปลายมากแค่ไหนค่ะ”
“พี่คงตอบน้องน้ำตาลไม่ได้ว่าพี่จริงจังแค่ไหน เพียงแต่พี่อยากให้น้องน้ำตาลรู้เอาไว้ว่าไม่ว่าจะเป็นเมื่อตอนมัธยม ตอนอยู่มหา’ลัย หรือแม้กระทั่งตอนนี้ ไม่ว่าเวลามันจะผ่านไปนานกี่ปีแล้วก็ตามความรู้สึกที่พี่มีต่อน้องปลายไม่เคยลดลงเลยแม้แต่น้อยมันมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน ถึงแม้ว่าน้องปลายจะลืมเรื่องของเราลืมความรู้สึกที่มีให้กันไปแล้วก็ตาม แต่พี่จะพยายามครับน้องน้ำตาล พี่จะพยายามทำให้น้องปลายรักพี่อีกครั้งให้ได้ แล้วครั้งนี้พี่จะไม่ยอมให้น้องปลายลืมมันไปได้อีก”
ประโยคที่ยาวเหยียดแต่แต็มไปด้วยความหนักแน่ ถึงแม้จะมีบางประโยคที่เอ่ยออกมาอย่างเบาบางตามอามรณ์ที่หวั่นไหวอยู่ภายในใจ แต่ทุกคำที่พูดออกมาล้วนกลั่นกรองออกมาจากจิตใจของชายตรงหน้าทั้งสิ้น ทำให้นวลตาสบายใจขึ้นที่เพื่อนรักของเธอไม่ได้มีแต่โชคร้ายเข้ามาในชีวิต แต่เพื่อนรักของเธอช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้หัวใจของผู้ชายที่มีความรักมั่นคงไม่หวั่นไหวกับสิ่งใดไว้ในครอบครอง
“งั้นพี่สกายก็อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้นะคะ ว่าจะไม่ทำให้เพื่อนที่น้ำตาลรักที่สุดต้องเสียใจ” เธอย้ำสัญญากับคนตรงหน้าอีกครั้ง
“ถ้าพี่ทำให้น้องปลายเสียใจเมื่อไหร่ น้องน้ำตาลมาเอาเลือดออกจากหัวของพี่ได้เลยครับ” กายนภัสนิ์ตอบอย่างมั่นใจเป็นที่สุด คราวนี้นวลตาค่อยยิ้มออก เมื่อได้ฟังคำสัญญาที่เธอรู้ว่ามันจะไม่ใช่เพียงแค่ลมปากแน่ เท่านี้เธอก็คงจะหมดห่วงเรื่องของธัญพัชรได้แล้ว เหลือเพียงแต่เรื่องของตัวเองแล้วสินะตอนนี้...
“ว่าแต่... น้องน้ำตาลรู้ได้ยังไงครับว่าพี่ไม่ใช่หัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุง” กายนภัสนิ์ถามอย่างสงสัย เพราะเรื่องที่เขาเข้ามาทำงานที่นี่ในตำแหน่งอะไรนั้นมีเพียงพ่อของเขาและภาวิณีซึ่งเป็นเลขานุกริณีเท่านั้นที่ทราบ
“ก็น้ำตาลเป็นคนพาคุณกริชกมลหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงไปที่ฝ่ายบุคคลตอนที่เขาเพิ่งเข้ามาทำงานน่ะสิคะ” นวลตาตอบ ทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าถึงบางอ้อ
“มิน่าล่ะ! น้องน้ำตาลรู้ว่าพี่เป็นใคร”
“แล้วเมื่อไหร่พี่สกายจะบอกเรื่องนี้กับปลายคะ”
“คงอีกไม่นานหรอกครับน้องน้ำตาล”
“มาแล้วค่ะ ขอโทษทีนะคะที่ทำให้พี่สกายกับน้ำตาลต้องรอ ” ร่างบางที่เป็นหัวข้อสนทนาก่อนหน้าเดินเข้ามาพร้อยรอยยิ้มหวานๆ ที่ทำให้คนมองทั้งคู่แทบอยากจะดึงเจ้าของรอยยิ้มนั้นเขาไปกอดด้วยความรักถึงแม้จะต่างรูปแบบกันก็ตาม
ข่าวที่นวลตาไปกินข้าวพร้อมธัญพัชรและชายหนุ่มปริศนาเป็นที่ฮือฮาของคนในบริษัทเป็นอย่างมาก ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวกับไปลามทุ่ง เพียงแค่ช่วงเวลาพักกลางวันแทบจะทุกคนในบริษัทต่างก็รู้เรื่องแล้ว ว่านวลตาคงจะไปถล่มชายหนุ่มปริศนาคนนั้นเรียบร้อยแล้ว วันพรุ่งนี้ชายหนุ่มปริศนาคนนั้นก็คงจะหลุดจากวงโคจรของสองสาวเหมือนหนุ่มๆ ในบริษัทที่เคยจีบธัญพัชรไปอีกราย
“สงสารผู้ชายคนนั้นเนอะ อุตส่าห์เทียวไล้เทียวขื่อปลายมาเกือบอาทิตย์ สุดท้ายก็คงหลุดวงโคจรไปเหมือนคนอื่นๆ อีกตามเคย” สาวแผนกประชาสัมพันธ์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นในวันต่อมาขณะเตรียมตัวไปกินข้าวกลางวัน
“จริง! ไม่รู้ยัยน้ำตาลจะหวงอะไรนักหนา ผู้ชายก็ออกจะหล่อ” สาวแผนกบัญชีอีกคนเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“ใช่ๆ เสียดายแทนปลายเลยเนอะเธอ ผู้ชายคนนั้นก็หล่อกระชากใจขนาดนั้น ถ้าอกหักขึ้นมาฉันจะรีบไปดามหัวใจทันทีเลย” สาวแผนกการตลาดเอ่ยด้วยสายตาเคลิ้มฝัน ขณะที่ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกันทุกคน
“แต่ท่าทางพวกเธอคงจะฝันสลายกันเสียแล้วล่ะ” จู่ๆ ประชาสัมพันธ์สาวก็เอ่ยขึ้น หยุดอาการเคลิ้มฝันของเพื่อนๆ ในทันที
“อ้าวทำไมล่ะ” สาวคนหนึ่งถามขึ้น ประชาสัมพันธ์สาวไม่ตอบเพียงแต่บุ้ยใบ้ให้ทุกคนหลังไปมองข้างหลัง
“เฮ้ย! เป็นไปได้ยังไง สุดหล่อกระชากใจของฉันยังพาปลายไปทานข้าวได้อีกหรือเนี่ย ขนาดโดนยัยน้ำตาลถล่มเมื่อวาน” สาวแผนกการตลาดเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น เมื่อพบว่าบุคคลที่อยู่ในหัวข้อสนทนาเพิ่งเดินผ่านพวกเธอไป
“นั่นสิ! เป็นไปได้ยังไงกัน”
“แต่ก็เป็นไปแล้วนี่จ๊ะ” เสียงของนวลตาดังขึ้นอยู่ข้างหลัง ทำให้สี่สาวถึงกับสะดุ้ง
“อะ...อ้าว! น้ำตาล กะ...กินข้าวกลางวันหรือยังจ๊ะ ไปกินด้วยกันไหม” ประชาสัมพันธ์สาวสติก่อนจึงกล่าวทักทายออกไป
“ไม่เป็นไรจ๊ะ ฉันไม่กวนพวกเธอดีกว่า เดี๋ยวฉันคงหาอะไรกินที่ห้องอาหาร” นวลตาปฏิเสธเสียงนิ่ม
“แล้วน้ำตาลไม่ไปกินข้าวกับปลายหรือจ๊ะ ปกติเห็นไปกินด้วยกันทุกวัน” สาวคนหนึ่งติดสินใจถามในสิ่งที่อยากรู้ทันที ทำให้อีกสามสาวที่เหลือแอบกลั้นหายใจเลยทีเดียว
“อ๋อ! เรื่องนี้เองสินะ...” นวลตายิ้มเย็น ยิ่งทำให้สี่สาวเสียวสันหลังวาบเพราะเธอมักจะเห็นนวลตาในลุคสาวห้าวจอมลุยไม่ยอมคน มากกว่ามาดนิ่งๆ แบบนี้ “พอดีว่าฉันไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอระหว่างปลายกับแฟนเขาน่ะ”
“หา! ปลายกับแฟน” สี่สาวอุทานพร้อมกัน ไม่น่าเชื่อว่าธัญพัชรจะมีแฟนแล้ว
“ไม่ต้องหาหรอก แฟนปลายเขาไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่ก่อนปลายเข้ามาทำงานที่นี่ เขาเพิ่งกลับมาเมื่อไม่นานนี้เอง พวกเธอก็เลยไม่เคยเจอน่ะสิ แล้วก็ช่วยไปกระจายข่าวให้ถูกต้องด้วยนะจ๊ะว่าที่ฉันคอยกันบรรดาผู้ชายทั้งหลายออกจากปลาย ไม่ใช่เพราะว่าฉันเป็นทอมหรือเลสเบี้ยนอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่เป็นเพราะฉันไม่อยากให้ไอ้พวกหนุ่มๆ ทั้งหลายต้องหวังอะไรลมๆ แล้งๆ กับคนที่มีเจ้าของแล้วอย่างปลาย แล้วอีกอย่างปลายกับแฟนเขารักกันมาก แล้วก็รอกันมานานแล้วด้วย เพราะฉะนั้นอย่าไปยุ่งกับเขาสองคนเลย” นวลตาดูนาฬิกาข้อมือปรากฏว่าเลยเวลาพักเที่ยงมานานแล้ว “เอาเป็นว่าเข้าใจกันตามนี้ก็แล้วกันนะ งั้นฉันไปหาอะไรกินก่อนแล้วกัน อ่อ! อย่าลืมกระจายข่าวให้ถูกด้วยนะจ๊ะ ฉันไปล่ะ” นวลตาบอกแล้วเดินจากไป ทิ้งให้สี่สาวยืนอึ้งกับข่าวที่ได้รับ
“ปลายเดี๋ยววันนี้เลิกงานแล้วอย่าเพิ่งรีบกลับนะ ตอนเย็นจะมีงานแถลงข่าวผลประกอบการประจำไตรมาสแรก แล้วก็งานเลี้ยงต้อนรับท่านประธานคนใหม่นะ” ภาวิณีเดินมาบอกธัญพัชรที่โต๊ะทำงานในตอนบ่ายของวันสุดท้ายในการทำงานของสัปดาห์นี้
“ได้ค่ะพี่ภา แล้วปลายต้องทำอะไรบ้างคะ” หญิงสาวถามพร้อมความกังวลที่เริ่มก่อตัวขึ้น เพราะเธอรู้ว่าหลังจากวันนี้ไปเธอจะไม่มีภาวิณีคอยให้คำปรึกษาและไม่ใช่ผู่ช่วยเลขาฯ เหมือนสี่ปีที่ผ่านมา แต่เธอจะเป็นเลขาณุการิณีเต็มตัว
“ปลายไม่ต้องทำอะไรในงานเลยจ๊ะ แค่ไปร่วมงานอย่างเดียวในฐานะเลขาของท่านประธานคนใหม่ ไม่ต้องกังวลหรอกนะปลาย ท่านไม่ดุหรอกนะ ใจดีจะตาย เพียงแต่ว่าเวลาทำงานท่านค่อนข้างจริงจังก็เท่านั้น ปลายเป็นตัวของตัวเองน่ะดีที่สุดแล้ว” ภาวิณีตอบเมื่อเห็นสายตาที่มีร่องรอยของความกังวลของหญิงสาวตรงหน้าเธอจึงเอ่ยปลอบใจหญิงสาว
“ค่ะพี่ภา ปลายขอบคุณพี่ภามากๆ เลยนะคะ ที่คอยสอนแล้วก็ให้คำแนะนำปลายในเรื่องต่างๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา” ธัญพัชรเอ่ยขอบคุณเสียงสั่น
“ไม่เป็นไรจ๊ะปลาย อย่าร้องไห้สิพี่ก็ไม่ได้หายไปไหนเสียหน่อย ปลายมีปัญหาอะไรก็โทรปรึกษาพี่ได้ตลอดเวลาอยู่แล้วนี่จ๊ะ เอ้า! รีบทำงานเข้านะจ๊ะ จะได้มีเวลาเตรียมตัวไปงาน” ภาวิณีบอกก่อนที่จะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตนเองซึ่งอีกไม่นานเธอคงต้องย้ายไปนั่งแทน ความกังวลต่างๆ ที่มีคลายลงไปได้มากเมื่อได้ฟังคำปลอบใจจากภาวิณี ธัญพัชรจึงเริ่มทำงานอีกครั้งโดยปราศจากความกังวล
สาวร่างบางสองคนเดินก้าวเข้ามาในเลี้ยงแถลงข่าวผลประกอบการประจำไตรมาสแรกพร้อมทั้งเปิดตัวประธานกรรมการผู้บริหารคนใหม่ด้วยท่วงท่าสง่าสร้างความสนใจให้กับแขกที่มารวมงาน แต่ภายใต้ท่าทีที่สง่างามราวนางพญานั้นซุกซ่อนความตื่นเต้นของสองสาวไว้
“น้ำตาลว่าตอนงานแต่งพี่ไมล์ใหญ่แล้วนะ งานนี้ใหญ่กว่าอีกนะปลาย” หญิงสาวที่อยู่ในชุดเดรสเกาะอกสีเขียวอ่อนทิ้งชายพลิ้วยาวเสมอเข่าเอ่ยขึ้น
“เอาไงดีล่ะน้ำตาล ปลายกลัวจะทำอะไรเปิ่นๆ ให้เจ้านายต้องอายจังเลย” ธัญพัชรเอ่ยอย่างประหม่า หญิงสาวมาในชุดเดรสสายเดี่ยวสีชมพูหวานที่ไล่เฉดสีจากเข้มไปอ่อนทิ้งชายด้านหน้าที่ยาวแค่เข่าส่วนด้านหลังก็ยาวไล่ระดับไปจนถึงครึ่งน่อง
“ปลายอย่าคิดมากน่า เอาเป็นว่าทำตัวสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง อย่างน้อยคนที่มาในงานส่วนใหญ่ก็คนในบริษัททั้งนั้นแหละ” นวลตาพยายามปลอบใจให้เพื่อนหายประหม่า เมื่อหันไปดูรอบๆ งานก็พบเพื่อนๆ ที่ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกันหลายคนรวมทั้งสื่อมวลชนและบริษัทที่เป็นคู่ค้ากับเจเอ็นกรุ๊ป จนเธอไปสะดุดเข้ากับสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองเธอและเพื่อนตาไม่กะพริบนัยน์ตาสีเขียวอมเทาที่เปล่งประกายเจิดจ้าราวกับเปลวไฟที่พร้อมจะดึงดูดให้เธอเข้าไปหาเหมือนเหล่าแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ซึ่งในตอนนี้แววตานั้นเหมือนหมายมั่นอะไรสักอย่างจนเธอต้องรีบหลบสายตานั้นในทันที เมื่อหันไปอีกด้านหนึ่งก็พบว่ากายนภัสนิ์เดินตรงมาหาเธอและเพื่อนสาวอย่างรวดเร็ว เธอถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างไม่ทราบสาเหตุ...
กายนภัสนิ์นั้นคอยสอดส่องสายตาที่ประตูทางเข้างานแทบจะตลอดเวลาตั้งแต่เขามาถึงงาน ด้วยรอว่าเมื่อไหร่เลขาณุการิณีคนใหม่ของเขาจะมาสักที จนคนเป็นพ่ออดไม่ได้ที่จะเอ่ยล้อเลียนผู้เป็นบุตรชาย
“คอจะยาวเป็นยีราฟแล้วเจ้าสกาย เดี๋ยวอีกสักพักเลขาแกก็มาเองแหละ”
“ก็ผมใจร้อนนี่ครับ อยากเจอหน้าน้องปลายเร็วๆ ไม่ได้เจอกันตั้งวันหนึ่งคิดถึงจะแย่”
“นี่! น้อยๆ หน่อยเจ้าสกาย ทีเมื่อก่อนรอมาได้ตั้งกี่ปีแกยังรอมาได้เลย แค่สองวันทำเป็นจะตาย”
“โธ่! พ่อครับ ก็เมื่อก่อนกับตอนนี้เหมือนกันที่ไหนล่ะครับ ก็ตอนนั้นน้องปลายเธอยังเด็กอยู่นะครับ ยังเรียนหนังสืออยู่เลย ผมถึงไม่ผลีผลามทำอะไรไงครับ รอให้เธอโตจนเรียนจบก่อน ผมถึงจะทำอะไรๆ ให้มันถูกต้องโดยที่เธอไม่เสียหายไงครับ”ชายหนุ่มแกล้งโอดครวญ
“เออ! แกมันลูกผู้ชายตัวจริงโดยไม่ต้องพึ่งกระทิงแดง” คุณจักรินท์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวผู้เป็นลูกชาย จนผู้เป็นภรรยาที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างสองหนุ่มต่างวัยอมยิ้มกับอาการของพ่อลูกคู่นี้ไม่ได้ แต่ลึกๆ ในใจก็อดรู้สึกภูมิใจในตัวลูกชายไม่ได้ที่ทำอะไรนึกถึงความเหมาะสมในกาลเทศะและชื่อเสียงของฝ่ายหญิง
“พอเลยทั้งคู่ คุณก็เลิกแซวลูกได้แล้วค่ะ แค่นี้ลูกก็แทบจะดิ้นได้อยู่แล้ว ส่วนสกายก็เหมือนกันนะลูกเก็บอาการหน่อยก็ได้นะจะได้ไม่เสียชื่อผู้บริหารมือทองที่ใครๆ ก็ต้องการตัว ทำตัวลุกลี้ลุกลนอย่างนี้ใครเข้าจะนับถือ” คุณยุพเรศเอ่ยปรามสองหนุ่มจึงเงียบลองได้ สายตาก็เลือบไปเห็นร่างบางของคนที่ถูกพาดเพิงเมื่อครู่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่บริเวณหน้างานกับเพื่อนของเธอ คุณยุพเรศยังไม่เคยเห็นธัญพัชรจริงๆ เลยสักครั้ง เคยเห็นแต่รูปที่กายนภัสนิ์ผู้เป็นลูกชายใส่กรอบเอาไว้ที่หัวเตียงคู่กับรูปเธอ สามีและน้องสาวเท่านั้น
“เอ...แม่ว่าใครบางคนที่ลูกมองหาอยู่คงจะมาแล้วล่ะมั้ง” คุณยุพเรศเอ่ยขึ้นลอยๆ ทำให้ผู้เป็นลูกชายหันไปมองที่บริเวณประตูทางเข้างานทันทีก็พบหญิงสาวที่เขารออยู่มาถึงงานแล้ว
“งั้นผมไปหาเธอก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมา” กายนภัสนิ์บอก ก่อนที่จะรีบก้าวไปยังทิศทางที่หญิงสาวยืนอยู่แต่ยังไม่เท่าหัวใจที่โล้ดแล่นไปหาหญิงสาวตั้งแต่แรกเห็นแล้ว
“แหม! เจ้าลูกชายคนนี้เห็นผู้หญิงหน่อยไม่ได้ รีบวิ่งเข้าหาเลย” คุณจักรินทร์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแขวะลูกชายอย่างอารมณ์ดี อย่างที่ไม่เคยมีใครยกเว้นครอบครัวจะได้เห็น
“คุณนี่ก็จริงๆ เลย ไปว่าลูกแบบนั้นได้ยังไงกันคะ สกายเขาโตจนจะสามสิบอยู่อีกไม่กี่ปีแล้วนะคะ อีกอย่างฉันก็เห็นว่านอกจากแม่กับน้องสาว ฉันก็เห็นสกายมองผู้หญิงคนอื่นอยู่แค่คนเดียว” คุณยุพเรศแก้ต่างให้ลูกชาย เพราะเธอรู้ดีว่าลูกชายคนเดียวของเธอคนนี้ ไม่เคยมองหญิงสาวคนไหนเลยทั้งทีบรรดาหญิงสาวทั้งหลายต่างก็ทอดสะพานให้เต็มที จะมีก็แต่คนที่เขากำลังเดินเข้าไปหานั่นแหละที่ไม่เคยทอดสะพานให้เลย แต่เขาก็ยินดีที่จะสร้างสะพานข้ามไปหาหรือไม่ก็ว่ายน้ำเข้าไปหาเอง...
“อ้าว! พี่สกายสวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันหลายวันเลยนะคะ” นวลตาเอ่ยทักทายกายนภัสนิ์ทันทีเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเดินเข้ามาหาเธอทั้งสอง
“สวัสดีค่ะพี่สกาย” หญิงสาวอีกคนทักทายเพียงสั้นๆ
“สวัสดีครับน้องน้ำตาล น้องปลาย” กายนภัสนิ์ยิ้มรับคำทักทาย
“เอ่อ...น้ำตาลขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ส่วนหญิงสาวอีกคนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มอึมครึม เธอจึงรีบปลีกตัวออกมาทันที ถึงจะดูเหมือนทิ้งเพื่อนก็เถอะ แต่เธออยากให้ทั้งสองได้คุยกันตามลำพังกันมากกว่าที่จะมีเธอเป็นก้างขวางคออยู่ตลอดงาน
“เราออกไปสูดอากาศข้างนอกกันไหมครับ” กายนภัสนิ์เอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบกันทั้งสองฝ่ายอยู่นาน จนสุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นก่อน เมื่อเห็นอาการแปลกๆ ของหญิงสาวตรงหน้า
“อะ...เอ่อ...ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบรับแทบจะทันที เพราะเธออึดอัดกับสายตาที่หลายๆ คนจ้องมองเธอนับตั้งแต่เธอเดินเข้ามาในงาน เธอไม่เคยออกงานสังคมเลย แม้แต่งานแต่งงานของพี่สาวเธอก็ตาม เมื่อทั้งสองเดินมาจนถึงบริเวณที่ถูกจัดเป็นสวนหย่อมร่างบางที่อยู่ข้างกายก็เปลี่ยนไปทันที
“เฮ้อ! ค่อยยังชั่ว ปลายค่อยรู้สึกหายใจได้สะดวกหน่อย ดีจังเลยนะคะที่ได้เจอพี่สกาย ถ้าปลายไม่เจอพี่สกายนะคะสงสัยคงต้องยืนเกร็งอยู่ตรงนั้นอีกนาน” หญิงสาวหันมาส่งยิ้มหวาน ทำเอาคนที่ได้รับรอยยิ้มนั้นถึงกับตาพร่าไปชั่วขณะ
“น้องปลายไม่ชอบงานเลี้ยงหรือครับ” กายนภัสนิ์ถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าหญิงสาวที่อยู่ข้างกายนั้นแตกต่างกับเมื่อตอนที่อยู่ในงานโดยสิ้นเชิง
“ใช่ค่ะ ปลายไม่ค่อยมางานเลี้ยงอย่างนี้เลย มันทำให้ปลายอึดอัด แล้วยิ่งวันนี้ปลายต้องมาเจอกับท่านประธานคนใหม่ที่ปลายต้องไปเป็นเลขาให้เขา แถมปลายก็ยังไม่เคยเจอหน้าเขาเลยสักครั้งแต่ต้องมาทำงานด้วยกันพี่ภาก็บอกว่าเขาดุมาก ปลายก็ยิ่งเกร็งหนักกว่าเดิมอีกเสียอีก” เมื่อฟังสิ่งที่หญิงสาวข้างกายพูด ชายหนุ่มอึกอักที่จะพูดต่อ
“น้องปลายครับคือพี่...” กายนภัสนิ์พูดได้เพียงเท่านี้ เสียงโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวข้างกายก็ดังขึ้นเสียก่อน เขาจึงเปิดโอกาสให้หญิงสาวได้คุยโทรศัพท์ แต่น้ำเสียงและท่าทางตกใจของหญิงสาวเรียกความสนใจเขาในทันที
“อะไรนะคะ! แล้วทำไมพี่ไมล์ถึงยังมาไม่ถึงสักทีคะ...งั้นนมรุ้งรีบพาต้นจ๋าไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเลยนะคะ เดี๋ยวปลายจะรีบตามไปค่ะ” ธัญพัชรวางสายอย่างกระวนกระวายใจ เมื่อแม่นมโทรมาบอกว่าธัญกาญจน์ผู้เป็นพี่สาวกำลังคลอดแล้ว แต่ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากนมรุ้งกับลูกๆ ส่วนพันไมล์สามีของพี่สาวก็ยังไม่กลับจากประชุมที่สิงคโปร์เลย
“น้องปลายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มตรงหน้าถามอย่างเป็นห่วง
“ต้นจ๋าค่ะ! ต้นจ๋ากำลังจะคลอด แต่ติดต่อพี่ไมล์ไม่ได้เลยโทรมาหาปลาย ตอนนี้นมรุ้งกำลังพาต้นจ๋าไปโรงพยาบาล ปลายต้องรีบไปค่ะ” หญิงสาวบอกด้วยความกังวลใจ
“โรงพยาบาลไหนครับน้องปลาย เดี๋ยวพี่พาไป” เมื่อทราบว่าหญิงสาวจะไปโรงพยาบาลไหน กายนภัสนิ์ไม่รอช้า รีบคว้ามือเรียวเล็กให้เดินตามตนเองไปทันที
“นายครับ!” เสียงนั้นทำให้ทั้งสองชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวต่อทันที
“มีอะไรหรือ พล!” กายนภัสนิ์หันกลับมาถามเสียงเรียบ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่กล้าพูดอะไรต่อเมื่อเจอกายนภัสนิ์ถามด้วยประโยคนี้ แต่ใช้ไม่ได้กับพล
“เอ่อ...คุณท่านกับคุณผู้หญิงให้มาตามครับ” พลตอบอย่างไม่หลบสายตา ด้วยความที่เขาโตมาพร้อมกับกายนภัสนิ์ จนเรียกได้ว่ากายนภัสนิ์เป็นเจ้านายที่เขาจะยอมตายถวายหัว และเป็นทั้งเพื่อนที่พร้อมจะเตือนสติเมื่อเห็นว่าเพื่อนทำผิดพลาด
“กลับไปบอกพ่อกับแม่ว่า เราขอเวลาสองชั้วโมงแล้วเราจะรีบกลับเข้างาน แต่ตอนนี้เรากำลังรีบ” กายนภัสนิ์บอกก่อนจะก้าวเดินต่อไปโดยไม่สนใจคำพูดของพลเลยสักนิด
“แต่คุณท่านบอกว่าถึงเวลาที่นายจะต้องทำตามสัญญาแล้วนะครับ” ร่างสูงชะงักทันทีเมื่อพลพูดจบ สีหน้าและแววตามีความลังเลอยู่ไม่น้อย สุดท้ายร่างสูงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันกลับมามองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“น้องปลายครับ...เดี๋ยวพี่จะให้คนของพี่ขับรถไปส่งน้องปลายที่โรงพยาบาลนะครับ” ชายหนุ่มบอกหญิงสาวที่อยู่ข้างกายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่สกายทำธุระของพี่ให้เสร็จเถอะค่ะ ปลายไปแท็กซี่เองก็ได้ อย่าลำบากเลยค่ะ” แม้จะยังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่หญิงสาวก็ยังเป็นห่วงการทำงานของกายนภัสนิ์
“ขึ้นแท็กซี่คนเดียวอันตรายนะครับ ให้คนของพี่ไปส่งเถอะครับน้องปลาย พี่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง พล! ขับรถไปส่งคุณธัญพัชรที่โรงพยาบาล...ด้วยนะ จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา พี่คงต้องไปทำธุระก่อนนะครับ แล้วพี่จะไปเยี่ยมต้นจ๋าของน้องปลายนะครับ” กายนภัสนิ์หันกลับมาสั่งลูกน้องเสียงเรียบ ก่อนจะกล่าวลาหญิงสาวอย่างอาวรณ์ แล้วเดินกลับเข้าไปงาน
“เชิญครับคุณธัญพัชร ตอนนี้รถอยู่ที่ล็อบบี้แล้วครับ” พลบอกพลางเดินนำหน้าหญิงสาวไปยังที่ที่เขาจอดรถไว้ เพื่อพาหญิงสาวไปยังจุดหมายที่ต้องการอย่างปลอดภัยและเพื่อความสบายใจของใครอีกหลายๆ คน
ด้วยรักและจุ๊บๆ^^
ปอรินทร์
5.
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้วที่ทุกเที่ยงจะมีชายหนุ่มปริศนาคนหนึ่งมายืนคอยหญิงสาวที่เป็นขวัญใจของหนุ่มๆ ในบริษัทที่ล็อบบี้ทุกวัน ซึ่งข่าวนี้ก็ทำให้เหล่าบรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลายในบริษัทต่างอกหักกันเป็นทิวแถว และข่าวนี้ก็เข้าหูหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากสัมมนา
“กลับมาแล้วหรือจ๊ะน้ำตาล เอ...ว่าแต่ที่กลับมาเนี่ย กลับมาเพราะสัมมนาเสร็จแล้วหรือกลับมาเพราะข่าวของเพื่อนเอ่ย” แก้วเพื่อนในแผนกแกล้งแซวมทันทีที่เห็นนวลตาเข้ามาทำงานที่บริษัทหลังจากกลับจากสัมมนา ถึงแม้บางคำจะแสลงหูไปหน่อยแต่ก็รู้ว่าเพื่อนสาวคนนี้มีความจริงใจส่งมาให้เสมอ
“ข่าวอะไรเหรอแก้ว” นวลตาขมวดคิ้วอย่างสงสัยในคำถามนั้น
“ก็ข่าวของปลายเพื่อนน้ำตาลไง ตาลไม่อยู่สามสี่วันมีชายหนุ่มรูปหล่อพาไปทานข้าวด้วยทุกวันเลยนะ”
“จริงเหรอแก้ว แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใคร กล้ามากที่แอบมาจีบปลายตอนน้ำตาลไม่อยู่”
“น่าเป็นหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงใหม่ล่ะมั้ง เพราะนอกจากท่านประธานคนใหม่แล้วเห็นว่ายังมีหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงอีกคนที่เพิ่งเข้ามาทำงาน แล้วที่สำคัญหล่อมากๆ หล่อกว่าพวกผู้ชายในในบริษัทเราหลายขุมเลยแหละ แก้วเห็นแล้วยังแอบกรี๊ดเลยนะ แต่ว่า...” แก้วพูดด้วยใบหน้าเคลิ้มฝัน
“แต่อะไรเหรอแก้ว” นวลตาถามขึ้นทันควัน
“แก้วว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาคุ้นๆ นะคล้ายใครสักคนที่แก้วรู้จัก แต่แก้วจำไม่ได้ว่าเป็นใคร” แก้วตอบ
“ขอบใจมากนะแก้วที่เล่าฟัง” นวลตาบอกก่อนจะเริ่มลงมือทำงาน แต่ยังเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ นายเด็กใหม่ นายแน่มาก ที่กล้ามาจีบเพื่อนฉัน งั้นลองเจอบททดสอบของชั้นดูหน่อยสิว่าจะผ่านไปได้สักกี่น้ำ
ส่วนหญิงสาวที่เป็นหัวข้อข่าวก็ยังคงออกอาการเขินทุกครั้งที่กายนภัสนิ์แสดงท่าทีเอาใจใส่ แม้ผ่านมาหลายวันแล้วก็ตาม วันนี้ก็เช่นกัน ขณะที่เธอกำลังหอบแฟ้มงานมาให้ภาวิณี กายนภัสนิ์ซึ่งเดินสวนกันบริเวณทางเดินของชั้นสามสิบแปดก็อาสาถือแฟ้มให้จนถึงจุดหมายแล้วเดินมาส่งเธอถึงโต๊ะทำงาน แม้ก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานก็ยังย้ำถึงนัดหมายของเขาและเธอในตอนเที่ยง พอคล้อยหลังกายนภัสนิ์ไปได้สักพักร่างบางก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งด้วยความประหลาดใจปนดีใจที่เห็นเพื่อนรักหอบของฝากมาวางไว้บนโต๊ะทำงานของเธอ
“ของฝากจากระยอง ฮิ” นวลตาพูด ’ฮิ’ ลงท้ายตามแบบภาษาท้องถิ่นของระยองด้วยความทะเล้น ทำให้คนที่ได้ของฝากอดขำไม่ได้
“น้ำตาล! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย เมื่อคืนยังโทรคุยกันอยู่เลยไม่ยอมบอกปลายเลยนะ”
“ก็กะว่าจะมาเซอร์ไพรส์ปลายไง” นวลตาตอบอย่างกวนๆ แต่ธัญพัชรกลับรู้สึกว่าเพื่อนรักดูแปลกๆ ถึงแม้จะดูยิ้มแย้มเหมือนปกติ แต่รอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา แล้วยังมีรอยแดงจางๆ ที่ตรงต้นคอนั้นอีก ถ้าไม่สังเกตจริงๆ ก็คงจะไม่เห็น เพื่อนรักเธอคนนี้เป็นอะไรไปนะ...
“เห็นว่าใกล้เที่ยงแล้วเลยมาชวนไปกินข้าวน่ะ ไปกันเลยไหม”
“ไปสิ เดี๋ยวปลายเก็บของก่อน รู้ไหมมีคนอยากเจอน้ำตาลด้วยนะ” ธัญพัชรบอกอย่างกระตือรือร้นโดยเก็บสงสัยเอาไว้ในใจเพราะเชื่อว่าสักวันหนึ่งนวลตาคงจะบอกเธอเองเพราะเธอทั้งสองคนไม่มีความลับอะไรกันเพียงแต่ว่าอีกฝ่ายจะบอกช้าหรือเร็วเท่านั้น ส่วนนวลตามองท่าทีของเพื่อนสาวก็แอบเขม่นคนที่อยากเจอเธออยู่ในใจ หน็อย! ริอ่านมาจีบเพื่อนฉัน แล้วยังอยากเจอฉันอีกใช่ไหม ได้! เดี๋ยวเจอแน่ สองสาวเดินคู่กันมาด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งเตรียมการที่จะแผลงฤทธ์กับคนที่บังอาจมาจีบเพื่อนรักเต็มที่ ขณะที่อีกคนดีใจที่อย่างน้อยมื้อนี้มีเพื่อนรักอย่างนวลตามาร่วมด้วยคงทำให้เธอหายขัดเขินลงบ้าง ดังนั้นเมื่อทั้งสองมาถึงล็อบบี้ก็เห็นชายหนุ่มที่อยู่ในความคิดยืนหันหลังคุยกับใครคนหนึ่ง
“นั่นไงน้ำตาล คนที่ใส่สูทสีดำน่ะ” ปลายบอกพลางชี้ไปทางคนที่แม้จะเห็นแต่เพียงด้านหลังแต่ธัญพัชรก็จำได้ดีว่าวันนี้เขามาในรูปลักษณ์ที่แปลกตาจากวันก่อนๆ ปกติเขามักจะใส่แค่เสื้อเชิ้ตธรรมดา แต่วันนี้เขากลับใส่สูทมาเต็มยศแม้จะสงสัยอยู่ลึกๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอย่างที่ใจคิด เพราะเมื่อตอนเช้าเธอได้คุยกับเขาแค่ไม่กี่คำก็มีโทรศัพท์เข้ามาตลอด
“คนที่ยืนหันหลังให้เราน่ะเหรอปลาย” เพื่อนสาวข้างกายพยักหน้าตอบ ส่วนคนที่ถูกเอ่ยถึงนั่นรู้สึกว่ากำลังถูกมองก็เลยลองหันกลับดูก็พบว่าหญิงสาวที่เขารอมาแล้วพร้อมด้วยเพื่อนสนิทของเธอจึงหันไปพูดกับคนที่ยืนตรงหน้าเพียงสองสามคำแล้วเขาก็เดินเข้ามาหาทั้งสอง
“สวัสดีครับน้องปลาย น้องน้ำตาล” กายนภัสนิ์ทักทายสองสาว โดยที่คนหนึ่งยิ้มรับบางๆ พร้อมรอยแดงๆ บนใบหน้าทำให้เขารู้สึกอยากจะคว้าร่างบางนั้นมากอดให้สมรัก ส่วนอีกคนนั้นทำให้เขาต้องพยายามกลั่นหัวเราะอย่างสุดฤทธิ์ เพราะเธอคนนั้นทำหน้าราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน
“สะ..สวัสดีค่ะ พะ...พี่สกาย” เมื่อเธอเห็นใบหน้าของคนที่เธอคิดว่าจะมาจีบเพื่อนสนิท เธอก็ถึงกับผงะเพราะไม่คิดว่าจะเป็นคนที่ทำให้เธอต้องคอยกันท่าบรรดาชายหนุ่มทั้งหลายที่มารุมจีบเพื่อนสาวของเธอ จนใครหลายๆ คนต่างคิดว่าเธอเป็นคู่เลสเบี้ยนกันไปแล้ว...
‘น้องน้ำตาลช่วยอะไรพี่อย่างหนึ่งได้ไหมครับ’ กายนภัสนิ์เอ่ยกับเธอเมื่อหลายปีก่อน
‘พี่สกายจะให้น้ำตาลช่วยเรื่องอะไรคะ ถ้าช่วยได้น้ำตาลจะช่วย’
‘น้ำตาลช่วยดูแลปลายด้วยนะ อย่าให้ใครมาเกาะแกะปลาย เพราะต่อไปพี่คงจะไม่ได้เจอปลายอีกนาน’
‘แต่...’
‘นะครับน้องน้ำตาล พี่ขอร้อง พี่ฝากน้องน้ำตาลดูแลแค่ชั่วคราวเท่านั้น แล้วพี่จะกลับมีดูแลน้องปลายด้วยตัวของพี่เองตลอดชีวิต’
‘ก็ได้ค่ะ แต่พี่ต้องสัญญานะคะ ว่าถ้าถึงวันนั้นพี่จะต้องไม่ทำให้เพื่อนที่น้ำตาลรักมากที่สุดต้องเสียใจ’
‘พี่สัญญาครับ’ เธอลังเลในตอนแรก แต่เมื่อเห็นสีหน้าแล้วแววตาที่จริงจังส่งผ่านมาทำให้เธอมั่นใจว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเธอคนนี้จะไม่มีวันทำให้เพื่อนรักของเธอต้องใจในวันข้างหน้าเป็นแน่...
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับน้องน้ำตาล ว่าแต่วันนี้เราจะไปกินอะไรกันดี”
“วันนี้ปลายคิดไม่ออกค่ะ ก็เลยชวนน้ำตาลมาด้วย เผื่อจะนึกหาร้านที่อร่อยๆ ได้มากกว่าปลาย น้ำตาลช่วยปลายคิดหน่อยสิว่ากลางวันนี้เราจะไปกินอะไรกันดี” ธัญพัชรเอ่ยเสียงใสคลายความขัดเขินลงไปได้มากเมื่ออาหารมื้อนี้มีบุคคลที่สามอย่างนวลตาร่วมด้วย
“อืม...มีเจ้ามือเลี้ยงอย่างนี้เดี๋ยวน้ำตาลพาไปเอง” นวลตารับคำทันที แล้วทั้งสามก็พากันไปขึ้นรถเพื่อไปร้านอาหาร
“พี่สกายคะ น้ำตาลขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”นวลตาถามขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมื่อธัญพัชรขอออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก
“ได้สิครับ น้องน้ำตาลมีอะไรหรือเปล่า” กายนภัสนิ์ตอบด้วยท่าทีสบายๆ
“พี่สกายทำงานตำแหน่งอะไรหรือคะ” จบคำถามของนวลตา ท่าทีของกายนภัสนิ์ก็เปลี่ยนไป
“เอ่อ...”
“พี่สกายไม่ได้เป็นหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่พี่สกายคือท่านประธานกรรมการผู้บริหาร เจเอ็นกรุ๊ป ใช่ไหมค่ะ” เมื่อเห็นกายนภัสนิ์เงียบไป นวลตาถามต่อทันทีเพื่อความแน่ใจอะไรบางอย่าง
“ใช่ครับ! พี่ไม่ได้เป็นหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุง” กายนภัสนิ์ตอบเมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับแล้ว
“แล้วพี่สกายคิดจริงจังกับปลายมากแค่ไหนค่ะ”
“พี่คงตอบน้องน้ำตาลไม่ได้ว่าพี่จริงจังแค่ไหน เพียงแต่พี่อยากให้น้องน้ำตาลรู้เอาไว้ว่าไม่ว่าจะเป็นเมื่อตอนมัธยม ตอนอยู่มหา’ลัย หรือแม้กระทั่งตอนนี้ ไม่ว่าเวลามันจะผ่านไปนานกี่ปีแล้วก็ตามความรู้สึกที่พี่มีต่อน้องปลายไม่เคยลดลงเลยแม้แต่น้อยมันมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน ถึงแม้ว่าน้องปลายจะลืมเรื่องของเราลืมความรู้สึกที่มีให้กันไปแล้วก็ตาม แต่พี่จะพยายามครับน้องน้ำตาล พี่จะพยายามทำให้น้องปลายรักพี่อีกครั้งให้ได้ แล้วครั้งนี้พี่จะไม่ยอมให้น้องปลายลืมมันไปได้อีก”
ประโยคที่ยาวเหยียดแต่แต็มไปด้วยความหนักแน่ ถึงแม้จะมีบางประโยคที่เอ่ยออกมาอย่างเบาบางตามอามรณ์ที่หวั่นไหวอยู่ภายในใจ แต่ทุกคำที่พูดออกมาล้วนกลั่นกรองออกมาจากจิตใจของชายตรงหน้าทั้งสิ้น ทำให้นวลตาสบายใจขึ้นที่เพื่อนรักของเธอไม่ได้มีแต่โชคร้ายเข้ามาในชีวิต แต่เพื่อนรักของเธอช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้หัวใจของผู้ชายที่มีความรักมั่นคงไม่หวั่นไหวกับสิ่งใดไว้ในครอบครอง
“งั้นพี่สกายก็อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้นะคะ ว่าจะไม่ทำให้เพื่อนที่น้ำตาลรักที่สุดต้องเสียใจ” เธอย้ำสัญญากับคนตรงหน้าอีกครั้ง
“ถ้าพี่ทำให้น้องปลายเสียใจเมื่อไหร่ น้องน้ำตาลมาเอาเลือดออกจากหัวของพี่ได้เลยครับ” กายนภัสนิ์ตอบอย่างมั่นใจเป็นที่สุด คราวนี้นวลตาค่อยยิ้มออก เมื่อได้ฟังคำสัญญาที่เธอรู้ว่ามันจะไม่ใช่เพียงแค่ลมปากแน่ เท่านี้เธอก็คงจะหมดห่วงเรื่องของธัญพัชรได้แล้ว เหลือเพียงแต่เรื่องของตัวเองแล้วสินะตอนนี้...
“ว่าแต่... น้องน้ำตาลรู้ได้ยังไงครับว่าพี่ไม่ใช่หัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุง” กายนภัสนิ์ถามอย่างสงสัย เพราะเรื่องที่เขาเข้ามาทำงานที่นี่ในตำแหน่งอะไรนั้นมีเพียงพ่อของเขาและภาวิณีซึ่งเป็นเลขานุกริณีเท่านั้นที่ทราบ
“ก็น้ำตาลเป็นคนพาคุณกริชกมลหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงไปที่ฝ่ายบุคคลตอนที่เขาเพิ่งเข้ามาทำงานน่ะสิคะ” นวลตาตอบ ทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าถึงบางอ้อ
“มิน่าล่ะ! น้องน้ำตาลรู้ว่าพี่เป็นใคร”
“แล้วเมื่อไหร่พี่สกายจะบอกเรื่องนี้กับปลายคะ”
“คงอีกไม่นานหรอกครับน้องน้ำตาล”
“มาแล้วค่ะ ขอโทษทีนะคะที่ทำให้พี่สกายกับน้ำตาลต้องรอ ” ร่างบางที่เป็นหัวข้อสนทนาก่อนหน้าเดินเข้ามาพร้อยรอยยิ้มหวานๆ ที่ทำให้คนมองทั้งคู่แทบอยากจะดึงเจ้าของรอยยิ้มนั้นเขาไปกอดด้วยความรักถึงแม้จะต่างรูปแบบกันก็ตาม
ข่าวที่นวลตาไปกินข้าวพร้อมธัญพัชรและชายหนุ่มปริศนาเป็นที่ฮือฮาของคนในบริษัทเป็นอย่างมาก ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวกับไปลามทุ่ง เพียงแค่ช่วงเวลาพักกลางวันแทบจะทุกคนในบริษัทต่างก็รู้เรื่องแล้ว ว่านวลตาคงจะไปถล่มชายหนุ่มปริศนาคนนั้นเรียบร้อยแล้ว วันพรุ่งนี้ชายหนุ่มปริศนาคนนั้นก็คงจะหลุดจากวงโคจรของสองสาวเหมือนหนุ่มๆ ในบริษัทที่เคยจีบธัญพัชรไปอีกราย
“สงสารผู้ชายคนนั้นเนอะ อุตส่าห์เทียวไล้เทียวขื่อปลายมาเกือบอาทิตย์ สุดท้ายก็คงหลุดวงโคจรไปเหมือนคนอื่นๆ อีกตามเคย” สาวแผนกประชาสัมพันธ์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นในวันต่อมาขณะเตรียมตัวไปกินข้าวกลางวัน
“จริง! ไม่รู้ยัยน้ำตาลจะหวงอะไรนักหนา ผู้ชายก็ออกจะหล่อ” สาวแผนกบัญชีอีกคนเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“ใช่ๆ เสียดายแทนปลายเลยเนอะเธอ ผู้ชายคนนั้นก็หล่อกระชากใจขนาดนั้น ถ้าอกหักขึ้นมาฉันจะรีบไปดามหัวใจทันทีเลย” สาวแผนกการตลาดเอ่ยด้วยสายตาเคลิ้มฝัน ขณะที่ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกันทุกคน
“แต่ท่าทางพวกเธอคงจะฝันสลายกันเสียแล้วล่ะ” จู่ๆ ประชาสัมพันธ์สาวก็เอ่ยขึ้น หยุดอาการเคลิ้มฝันของเพื่อนๆ ในทันที
“อ้าวทำไมล่ะ” สาวคนหนึ่งถามขึ้น ประชาสัมพันธ์สาวไม่ตอบเพียงแต่บุ้ยใบ้ให้ทุกคนหลังไปมองข้างหลัง
“เฮ้ย! เป็นไปได้ยังไง สุดหล่อกระชากใจของฉันยังพาปลายไปทานข้าวได้อีกหรือเนี่ย ขนาดโดนยัยน้ำตาลถล่มเมื่อวาน” สาวแผนกการตลาดเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น เมื่อพบว่าบุคคลที่อยู่ในหัวข้อสนทนาเพิ่งเดินผ่านพวกเธอไป
“นั่นสิ! เป็นไปได้ยังไงกัน”
“แต่ก็เป็นไปแล้วนี่จ๊ะ” เสียงของนวลตาดังขึ้นอยู่ข้างหลัง ทำให้สี่สาวถึงกับสะดุ้ง
“อะ...อ้าว! น้ำตาล กะ...กินข้าวกลางวันหรือยังจ๊ะ ไปกินด้วยกันไหม” ประชาสัมพันธ์สาวสติก่อนจึงกล่าวทักทายออกไป
“ไม่เป็นไรจ๊ะ ฉันไม่กวนพวกเธอดีกว่า เดี๋ยวฉันคงหาอะไรกินที่ห้องอาหาร” นวลตาปฏิเสธเสียงนิ่ม
“แล้วน้ำตาลไม่ไปกินข้าวกับปลายหรือจ๊ะ ปกติเห็นไปกินด้วยกันทุกวัน” สาวคนหนึ่งติดสินใจถามในสิ่งที่อยากรู้ทันที ทำให้อีกสามสาวที่เหลือแอบกลั้นหายใจเลยทีเดียว
“อ๋อ! เรื่องนี้เองสินะ...” นวลตายิ้มเย็น ยิ่งทำให้สี่สาวเสียวสันหลังวาบเพราะเธอมักจะเห็นนวลตาในลุคสาวห้าวจอมลุยไม่ยอมคน มากกว่ามาดนิ่งๆ แบบนี้ “พอดีว่าฉันไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอระหว่างปลายกับแฟนเขาน่ะ”
“หา! ปลายกับแฟน” สี่สาวอุทานพร้อมกัน ไม่น่าเชื่อว่าธัญพัชรจะมีแฟนแล้ว
“ไม่ต้องหาหรอก แฟนปลายเขาไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่ก่อนปลายเข้ามาทำงานที่นี่ เขาเพิ่งกลับมาเมื่อไม่นานนี้เอง พวกเธอก็เลยไม่เคยเจอน่ะสิ แล้วก็ช่วยไปกระจายข่าวให้ถูกต้องด้วยนะจ๊ะว่าที่ฉันคอยกันบรรดาผู้ชายทั้งหลายออกจากปลาย ไม่ใช่เพราะว่าฉันเป็นทอมหรือเลสเบี้ยนอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่เป็นเพราะฉันไม่อยากให้ไอ้พวกหนุ่มๆ ทั้งหลายต้องหวังอะไรลมๆ แล้งๆ กับคนที่มีเจ้าของแล้วอย่างปลาย แล้วอีกอย่างปลายกับแฟนเขารักกันมาก แล้วก็รอกันมานานแล้วด้วย เพราะฉะนั้นอย่าไปยุ่งกับเขาสองคนเลย” นวลตาดูนาฬิกาข้อมือปรากฏว่าเลยเวลาพักเที่ยงมานานแล้ว “เอาเป็นว่าเข้าใจกันตามนี้ก็แล้วกันนะ งั้นฉันไปหาอะไรกินก่อนแล้วกัน อ่อ! อย่าลืมกระจายข่าวให้ถูกด้วยนะจ๊ะ ฉันไปล่ะ” นวลตาบอกแล้วเดินจากไป ทิ้งให้สี่สาวยืนอึ้งกับข่าวที่ได้รับ
“ปลายเดี๋ยววันนี้เลิกงานแล้วอย่าเพิ่งรีบกลับนะ ตอนเย็นจะมีงานแถลงข่าวผลประกอบการประจำไตรมาสแรก แล้วก็งานเลี้ยงต้อนรับท่านประธานคนใหม่นะ” ภาวิณีเดินมาบอกธัญพัชรที่โต๊ะทำงานในตอนบ่ายของวันสุดท้ายในการทำงานของสัปดาห์นี้
“ได้ค่ะพี่ภา แล้วปลายต้องทำอะไรบ้างคะ” หญิงสาวถามพร้อมความกังวลที่เริ่มก่อตัวขึ้น เพราะเธอรู้ว่าหลังจากวันนี้ไปเธอจะไม่มีภาวิณีคอยให้คำปรึกษาและไม่ใช่ผู่ช่วยเลขาฯ เหมือนสี่ปีที่ผ่านมา แต่เธอจะเป็นเลขาณุการิณีเต็มตัว
“ปลายไม่ต้องทำอะไรในงานเลยจ๊ะ แค่ไปร่วมงานอย่างเดียวในฐานะเลขาของท่านประธานคนใหม่ ไม่ต้องกังวลหรอกนะปลาย ท่านไม่ดุหรอกนะ ใจดีจะตาย เพียงแต่ว่าเวลาทำงานท่านค่อนข้างจริงจังก็เท่านั้น ปลายเป็นตัวของตัวเองน่ะดีที่สุดแล้ว” ภาวิณีตอบเมื่อเห็นสายตาที่มีร่องรอยของความกังวลของหญิงสาวตรงหน้าเธอจึงเอ่ยปลอบใจหญิงสาว
“ค่ะพี่ภา ปลายขอบคุณพี่ภามากๆ เลยนะคะ ที่คอยสอนแล้วก็ให้คำแนะนำปลายในเรื่องต่างๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา” ธัญพัชรเอ่ยขอบคุณเสียงสั่น
“ไม่เป็นไรจ๊ะปลาย อย่าร้องไห้สิพี่ก็ไม่ได้หายไปไหนเสียหน่อย ปลายมีปัญหาอะไรก็โทรปรึกษาพี่ได้ตลอดเวลาอยู่แล้วนี่จ๊ะ เอ้า! รีบทำงานเข้านะจ๊ะ จะได้มีเวลาเตรียมตัวไปงาน” ภาวิณีบอกก่อนที่จะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตนเองซึ่งอีกไม่นานเธอคงต้องย้ายไปนั่งแทน ความกังวลต่างๆ ที่มีคลายลงไปได้มากเมื่อได้ฟังคำปลอบใจจากภาวิณี ธัญพัชรจึงเริ่มทำงานอีกครั้งโดยปราศจากความกังวล
สาวร่างบางสองคนเดินก้าวเข้ามาในเลี้ยงแถลงข่าวผลประกอบการประจำไตรมาสแรกพร้อมทั้งเปิดตัวประธานกรรมการผู้บริหารคนใหม่ด้วยท่วงท่าสง่าสร้างความสนใจให้กับแขกที่มารวมงาน แต่ภายใต้ท่าทีที่สง่างามราวนางพญานั้นซุกซ่อนความตื่นเต้นของสองสาวไว้
“น้ำตาลว่าตอนงานแต่งพี่ไมล์ใหญ่แล้วนะ งานนี้ใหญ่กว่าอีกนะปลาย” หญิงสาวที่อยู่ในชุดเดรสเกาะอกสีเขียวอ่อนทิ้งชายพลิ้วยาวเสมอเข่าเอ่ยขึ้น
“เอาไงดีล่ะน้ำตาล ปลายกลัวจะทำอะไรเปิ่นๆ ให้เจ้านายต้องอายจังเลย” ธัญพัชรเอ่ยอย่างประหม่า หญิงสาวมาในชุดเดรสสายเดี่ยวสีชมพูหวานที่ไล่เฉดสีจากเข้มไปอ่อนทิ้งชายด้านหน้าที่ยาวแค่เข่าส่วนด้านหลังก็ยาวไล่ระดับไปจนถึงครึ่งน่อง
“ปลายอย่าคิดมากน่า เอาเป็นว่าทำตัวสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง อย่างน้อยคนที่มาในงานส่วนใหญ่ก็คนในบริษัททั้งนั้นแหละ” นวลตาพยายามปลอบใจให้เพื่อนหายประหม่า เมื่อหันไปดูรอบๆ งานก็พบเพื่อนๆ ที่ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกันหลายคนรวมทั้งสื่อมวลชนและบริษัทที่เป็นคู่ค้ากับเจเอ็นกรุ๊ป จนเธอไปสะดุดเข้ากับสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองเธอและเพื่อนตาไม่กะพริบนัยน์ตาสีเขียวอมเทาที่เปล่งประกายเจิดจ้าราวกับเปลวไฟที่พร้อมจะดึงดูดให้เธอเข้าไปหาเหมือนเหล่าแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ซึ่งในตอนนี้แววตานั้นเหมือนหมายมั่นอะไรสักอย่างจนเธอต้องรีบหลบสายตานั้นในทันที เมื่อหันไปอีกด้านหนึ่งก็พบว่ากายนภัสนิ์เดินตรงมาหาเธอและเพื่อนสาวอย่างรวดเร็ว เธอถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างไม่ทราบสาเหตุ...
กายนภัสนิ์นั้นคอยสอดส่องสายตาที่ประตูทางเข้างานแทบจะตลอดเวลาตั้งแต่เขามาถึงงาน ด้วยรอว่าเมื่อไหร่เลขาณุการิณีคนใหม่ของเขาจะมาสักที จนคนเป็นพ่ออดไม่ได้ที่จะเอ่ยล้อเลียนผู้เป็นบุตรชาย
“คอจะยาวเป็นยีราฟแล้วเจ้าสกาย เดี๋ยวอีกสักพักเลขาแกก็มาเองแหละ”
“ก็ผมใจร้อนนี่ครับ อยากเจอหน้าน้องปลายเร็วๆ ไม่ได้เจอกันตั้งวันหนึ่งคิดถึงจะแย่”
“นี่! น้อยๆ หน่อยเจ้าสกาย ทีเมื่อก่อนรอมาได้ตั้งกี่ปีแกยังรอมาได้เลย แค่สองวันทำเป็นจะตาย”
“โธ่! พ่อครับ ก็เมื่อก่อนกับตอนนี้เหมือนกันที่ไหนล่ะครับ ก็ตอนนั้นน้องปลายเธอยังเด็กอยู่นะครับ ยังเรียนหนังสืออยู่เลย ผมถึงไม่ผลีผลามทำอะไรไงครับ รอให้เธอโตจนเรียนจบก่อน ผมถึงจะทำอะไรๆ ให้มันถูกต้องโดยที่เธอไม่เสียหายไงครับ”ชายหนุ่มแกล้งโอดครวญ
“เออ! แกมันลูกผู้ชายตัวจริงโดยไม่ต้องพึ่งกระทิงแดง” คุณจักรินท์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวผู้เป็นลูกชาย จนผู้เป็นภรรยาที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างสองหนุ่มต่างวัยอมยิ้มกับอาการของพ่อลูกคู่นี้ไม่ได้ แต่ลึกๆ ในใจก็อดรู้สึกภูมิใจในตัวลูกชายไม่ได้ที่ทำอะไรนึกถึงความเหมาะสมในกาลเทศะและชื่อเสียงของฝ่ายหญิง
“พอเลยทั้งคู่ คุณก็เลิกแซวลูกได้แล้วค่ะ แค่นี้ลูกก็แทบจะดิ้นได้อยู่แล้ว ส่วนสกายก็เหมือนกันนะลูกเก็บอาการหน่อยก็ได้นะจะได้ไม่เสียชื่อผู้บริหารมือทองที่ใครๆ ก็ต้องการตัว ทำตัวลุกลี้ลุกลนอย่างนี้ใครเข้าจะนับถือ” คุณยุพเรศเอ่ยปรามสองหนุ่มจึงเงียบลองได้ สายตาก็เลือบไปเห็นร่างบางของคนที่ถูกพาดเพิงเมื่อครู่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่บริเวณหน้างานกับเพื่อนของเธอ คุณยุพเรศยังไม่เคยเห็นธัญพัชรจริงๆ เลยสักครั้ง เคยเห็นแต่รูปที่กายนภัสนิ์ผู้เป็นลูกชายใส่กรอบเอาไว้ที่หัวเตียงคู่กับรูปเธอ สามีและน้องสาวเท่านั้น
“เอ...แม่ว่าใครบางคนที่ลูกมองหาอยู่คงจะมาแล้วล่ะมั้ง” คุณยุพเรศเอ่ยขึ้นลอยๆ ทำให้ผู้เป็นลูกชายหันไปมองที่บริเวณประตูทางเข้างานทันทีก็พบหญิงสาวที่เขารออยู่มาถึงงานแล้ว
“งั้นผมไปหาเธอก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมา” กายนภัสนิ์บอก ก่อนที่จะรีบก้าวไปยังทิศทางที่หญิงสาวยืนอยู่แต่ยังไม่เท่าหัวใจที่โล้ดแล่นไปหาหญิงสาวตั้งแต่แรกเห็นแล้ว
“แหม! เจ้าลูกชายคนนี้เห็นผู้หญิงหน่อยไม่ได้ รีบวิ่งเข้าหาเลย” คุณจักรินทร์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแขวะลูกชายอย่างอารมณ์ดี อย่างที่ไม่เคยมีใครยกเว้นครอบครัวจะได้เห็น
“คุณนี่ก็จริงๆ เลย ไปว่าลูกแบบนั้นได้ยังไงกันคะ สกายเขาโตจนจะสามสิบอยู่อีกไม่กี่ปีแล้วนะคะ อีกอย่างฉันก็เห็นว่านอกจากแม่กับน้องสาว ฉันก็เห็นสกายมองผู้หญิงคนอื่นอยู่แค่คนเดียว” คุณยุพเรศแก้ต่างให้ลูกชาย เพราะเธอรู้ดีว่าลูกชายคนเดียวของเธอคนนี้ ไม่เคยมองหญิงสาวคนไหนเลยทั้งทีบรรดาหญิงสาวทั้งหลายต่างก็ทอดสะพานให้เต็มที จะมีก็แต่คนที่เขากำลังเดินเข้าไปหานั่นแหละที่ไม่เคยทอดสะพานให้เลย แต่เขาก็ยินดีที่จะสร้างสะพานข้ามไปหาหรือไม่ก็ว่ายน้ำเข้าไปหาเอง...
“อ้าว! พี่สกายสวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันหลายวันเลยนะคะ” นวลตาเอ่ยทักทายกายนภัสนิ์ทันทีเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเดินเข้ามาหาเธอทั้งสอง
“สวัสดีค่ะพี่สกาย” หญิงสาวอีกคนทักทายเพียงสั้นๆ
“สวัสดีครับน้องน้ำตาล น้องปลาย” กายนภัสนิ์ยิ้มรับคำทักทาย
“เอ่อ...น้ำตาลขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ส่วนหญิงสาวอีกคนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มอึมครึม เธอจึงรีบปลีกตัวออกมาทันที ถึงจะดูเหมือนทิ้งเพื่อนก็เถอะ แต่เธออยากให้ทั้งสองได้คุยกันตามลำพังกันมากกว่าที่จะมีเธอเป็นก้างขวางคออยู่ตลอดงาน
“เราออกไปสูดอากาศข้างนอกกันไหมครับ” กายนภัสนิ์เอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบกันทั้งสองฝ่ายอยู่นาน จนสุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นก่อน เมื่อเห็นอาการแปลกๆ ของหญิงสาวตรงหน้า
“อะ...เอ่อ...ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบรับแทบจะทันที เพราะเธออึดอัดกับสายตาที่หลายๆ คนจ้องมองเธอนับตั้งแต่เธอเดินเข้ามาในงาน เธอไม่เคยออกงานสังคมเลย แม้แต่งานแต่งงานของพี่สาวเธอก็ตาม เมื่อทั้งสองเดินมาจนถึงบริเวณที่ถูกจัดเป็นสวนหย่อมร่างบางที่อยู่ข้างกายก็เปลี่ยนไปทันที
“เฮ้อ! ค่อยยังชั่ว ปลายค่อยรู้สึกหายใจได้สะดวกหน่อย ดีจังเลยนะคะที่ได้เจอพี่สกาย ถ้าปลายไม่เจอพี่สกายนะคะสงสัยคงต้องยืนเกร็งอยู่ตรงนั้นอีกนาน” หญิงสาวหันมาส่งยิ้มหวาน ทำเอาคนที่ได้รับรอยยิ้มนั้นถึงกับตาพร่าไปชั่วขณะ
“น้องปลายไม่ชอบงานเลี้ยงหรือครับ” กายนภัสนิ์ถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าหญิงสาวที่อยู่ข้างกายนั้นแตกต่างกับเมื่อตอนที่อยู่ในงานโดยสิ้นเชิง
“ใช่ค่ะ ปลายไม่ค่อยมางานเลี้ยงอย่างนี้เลย มันทำให้ปลายอึดอัด แล้วยิ่งวันนี้ปลายต้องมาเจอกับท่านประธานคนใหม่ที่ปลายต้องไปเป็นเลขาให้เขา แถมปลายก็ยังไม่เคยเจอหน้าเขาเลยสักครั้งแต่ต้องมาทำงานด้วยกันพี่ภาก็บอกว่าเขาดุมาก ปลายก็ยิ่งเกร็งหนักกว่าเดิมอีกเสียอีก” เมื่อฟังสิ่งที่หญิงสาวข้างกายพูด ชายหนุ่มอึกอักที่จะพูดต่อ
“น้องปลายครับคือพี่...” กายนภัสนิ์พูดได้เพียงเท่านี้ เสียงโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวข้างกายก็ดังขึ้นเสียก่อน เขาจึงเปิดโอกาสให้หญิงสาวได้คุยโทรศัพท์ แต่น้ำเสียงและท่าทางตกใจของหญิงสาวเรียกความสนใจเขาในทันที
“อะไรนะคะ! แล้วทำไมพี่ไมล์ถึงยังมาไม่ถึงสักทีคะ...งั้นนมรุ้งรีบพาต้นจ๋าไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเลยนะคะ เดี๋ยวปลายจะรีบตามไปค่ะ” ธัญพัชรวางสายอย่างกระวนกระวายใจ เมื่อแม่นมโทรมาบอกว่าธัญกาญจน์ผู้เป็นพี่สาวกำลังคลอดแล้ว แต่ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากนมรุ้งกับลูกๆ ส่วนพันไมล์สามีของพี่สาวก็ยังไม่กลับจากประชุมที่สิงคโปร์เลย
“น้องปลายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มตรงหน้าถามอย่างเป็นห่วง
“ต้นจ๋าค่ะ! ต้นจ๋ากำลังจะคลอด แต่ติดต่อพี่ไมล์ไม่ได้เลยโทรมาหาปลาย ตอนนี้นมรุ้งกำลังพาต้นจ๋าไปโรงพยาบาล ปลายต้องรีบไปค่ะ” หญิงสาวบอกด้วยความกังวลใจ
“โรงพยาบาลไหนครับน้องปลาย เดี๋ยวพี่พาไป” เมื่อทราบว่าหญิงสาวจะไปโรงพยาบาลไหน กายนภัสนิ์ไม่รอช้า รีบคว้ามือเรียวเล็กให้เดินตามตนเองไปทันที
“นายครับ!” เสียงนั้นทำให้ทั้งสองชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวต่อทันที
“มีอะไรหรือ พล!” กายนภัสนิ์หันกลับมาถามเสียงเรียบ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่กล้าพูดอะไรต่อเมื่อเจอกายนภัสนิ์ถามด้วยประโยคนี้ แต่ใช้ไม่ได้กับพล
“เอ่อ...คุณท่านกับคุณผู้หญิงให้มาตามครับ” พลตอบอย่างไม่หลบสายตา ด้วยความที่เขาโตมาพร้อมกับกายนภัสนิ์ จนเรียกได้ว่ากายนภัสนิ์เป็นเจ้านายที่เขาจะยอมตายถวายหัว และเป็นทั้งเพื่อนที่พร้อมจะเตือนสติเมื่อเห็นว่าเพื่อนทำผิดพลาด
“กลับไปบอกพ่อกับแม่ว่า เราขอเวลาสองชั้วโมงแล้วเราจะรีบกลับเข้างาน แต่ตอนนี้เรากำลังรีบ” กายนภัสนิ์บอกก่อนจะก้าวเดินต่อไปโดยไม่สนใจคำพูดของพลเลยสักนิด
“แต่คุณท่านบอกว่าถึงเวลาที่นายจะต้องทำตามสัญญาแล้วนะครับ” ร่างสูงชะงักทันทีเมื่อพลพูดจบ สีหน้าและแววตามีความลังเลอยู่ไม่น้อย สุดท้ายร่างสูงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันกลับมามองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“น้องปลายครับ...เดี๋ยวพี่จะให้คนของพี่ขับรถไปส่งน้องปลายที่โรงพยาบาลนะครับ” ชายหนุ่มบอกหญิงสาวที่อยู่ข้างกายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่สกายทำธุระของพี่ให้เสร็จเถอะค่ะ ปลายไปแท็กซี่เองก็ได้ อย่าลำบากเลยค่ะ” แม้จะยังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่หญิงสาวก็ยังเป็นห่วงการทำงานของกายนภัสนิ์
“ขึ้นแท็กซี่คนเดียวอันตรายนะครับ ให้คนของพี่ไปส่งเถอะครับน้องปลาย พี่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง พล! ขับรถไปส่งคุณธัญพัชรที่โรงพยาบาล...ด้วยนะ จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา พี่คงต้องไปทำธุระก่อนนะครับ แล้วพี่จะไปเยี่ยมต้นจ๋าของน้องปลายนะครับ” กายนภัสนิ์หันกลับมาสั่งลูกน้องเสียงเรียบ ก่อนจะกล่าวลาหญิงสาวอย่างอาวรณ์ แล้วเดินกลับเข้าไปงาน
“เชิญครับคุณธัญพัชร ตอนนี้รถอยู่ที่ล็อบบี้แล้วครับ” พลบอกพลางเดินนำหน้าหญิงสาวไปยังที่ที่เขาจอดรถไว้ เพื่อพาหญิงสาวไปยังจุดหมายที่ต้องการอย่างปลอดภัยและเพื่อความสบายใจของใครอีกหลายๆ คน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2554, 17:11:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 เม.ย. 2554, 17:11:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 1870
<< ตอนที่ 4 | ตอนที่ 6 >> |