พื้นที่ชุ่มรัก
เมื่อได้รับคำขาดจากเหล่าคุณปู่คุณตาว่าต้องการเห็นหน้าหลานเขยหลานสะใภ้ก่อนวันเริ่มศักราชใหม่ซึ่งเหลือเวลาอีกครึ่งปี บรรดาหลานๆจึงปวดหัวหนักเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มตามหาหลานเขยหลานสะใภ้ที่จุดไหนของประเทศ และที่สำคัญกว่านั้น...ถ้าหลานคนใดคนหนึ่งทำตามความต้องการของท่านไม่ได้ ทุกคนจะต้องชดใช้ที่ทำให้คุณปู่คุณตาผิดหวังด้วยเงินและทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลที่พอจะทำให้หลานๆสุดที่รักของพวกท่านล้มละลายกันได้ทีเดียว!!
แล้วจะให้บรรดาหลานสุดที่รักทั้ง 5 คนยอมขัดใจคุณปู่คุณตาได้อย่างไร นอกจากต้องก้มหน้ารับคำสั่งอาญาสิทธิ์แต่โดยดี และคงต้องเริ่มปฏิบัติภารกิจอย่างจริงจัง เวลาที่เหลืออยู่คงต้องงัดทุกกลยุทธทุกอย่างขึ้นมาใช้เพราะหลานๆได้ลงมติอย่าง (เกือบ) เป็นเอกฉันท์กันมาแล้วว่างานนี้...แพ้ไม่ได้!
แล้วจะให้บรรดาหลานสุดที่รักทั้ง 5 คนยอมขัดใจคุณปู่คุณตาได้อย่างไร นอกจากต้องก้มหน้ารับคำสั่งอาญาสิทธิ์แต่โดยดี และคงต้องเริ่มปฏิบัติภารกิจอย่างจริงจัง เวลาที่เหลืออยู่คงต้องงัดทุกกลยุทธทุกอย่างขึ้นมาใช้เพราะหลานๆได้ลงมติอย่าง (เกือบ) เป็นเอกฉันท์กันมาแล้วว่างานนี้...แพ้ไม่ได้!
Tags: แผนการ คุณปู่ คุณตา หลาน ความรัก พื้นที่ชุ่มรัก ผลิดอกออกรัก
ตอน: เขตพื้นที่ที่ 1 : ผลิดอก...ออกรัก : ตอนที่ 3
เอาตอนต่อไปมาลงให้แล้วนะคะ ขอลงก่อนวันศุกร์นะคะ อิอิ
ใครชอบไม่ชอบยังไงบอกได้นะคะ คนเขียนตาดำๆคนนี้จะได้เอาไปปรับปรุงค่ะ
ขอบคุณที่คนที่เข้ามาอ่านนะคะ ยิ่งเมนท์และกดไลค์ปอแก้วดีใจมากเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจ...เจอกันตอนหน้าค่ะ ไม่แน่ใจว่าจะพุธหรือศุกร์หน้าดีแต่จะมายาวๆเลยจ้า
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 3 : อดีตที่ลบเลือน (2)
ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือในห้องแถวริมถนนซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของบริษัทคือจุดหมายปลายทางของชิษวัศ ดวงตากลมโตของมุกตาภามองคนเป็นเจ้านายกับร้านก๋วยเตี๋ยวสลับกันไปมา ไม่อยากจะเชื่อเสียเท่าไหร่ว่าคนอย่างคุณชิษวัศเลือกที่จะมากินอะไรอย่างนี้ นึกว่าจะต้องเป็นร้านบนห้างหรูๆติดแอร์เย็นๆเสียอีก แต่พอมาเจออย่างนี้เธอเองก็ผิดคาดไปเหมือนกัน
“คุณกินได้ไหม หรือว่าอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก เลยกินอะไรแบบนี้ไม่ได้” คำดูถูกนั้นทำเอามุกตาภาเชิดหน้าขึ้นอย่างเสียไม่ได้ เชิดแล้วไม่พอยังสะบัดหน้าให้อีกฝ่ายแถมยังก้าวเดินเข้าไปในร้านโดยไม่รอคนที่พามาอีกต่างหาก หญิงสาวจัดการเลือกที่นั่งเองเสร็จสรรพไม่รอการตัดสินใจของคนเป็นเจ้านาย และเมื่อเด็กของร้านคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับกระดาษจดรายการอาหาร มุกตาภาจึงชิงสั่งทั้งน้ำดื่มและก๋วยเตี๋ยวขึ้นก่อนเพื่อให้คนที่ดูถูกเธอได้รู้ว่าถึงเธอจะโตมาที่เมืองนอกเมืองนาแต่เธอก็ถูกสอนมาอย่างติดดิน อย่าว่าแต่ร้านแค่นี้เลย ร้านอะไรเธอก็กินได้ทั้งนั้นขอแค่อร่อยก็พอ
เมื่อเห็นผู้ช่วยสาวสั่งเสร็จชิษวัศจึงสั่งของตัวเองบ้าง ปกติชายหนุ่มมักจะมากินที่ร้านนี้อาทิตย์นึงอย่างน้อยสองครั้งเพราะติดใจในรสชาติของก๋วยเตี๋ยวน้ำตกของที่นี่ แม้จะเป็นแค่ร้านในห้องแถวเล็กๆและไม่ได้หรูหราอะไร แต่รสชาติของก๋วยเตี๋ยวกลับอร่อยกว่าบางร้านที่ตั้งในห้างดังๆเสียด้วยซ้ำ ถึงจะร้อนเพราะในร้านมีแค่พัดลมแต่ก็ถือว่าคุ้มถ้าจะได้กินอะไรอร่อยๆสักหนึ่งมื้อ ความจริงวันนี้ที่เขาเลือกร้านนี้สำหรับมื้อกลางวันก็เพื่อจะทดสอบแม่ผู้ช่วยสาวคนใหม่คนนี้ด้วยว่าเธอเป็นคนอย่างไร เพราะจากรู้มามุกตาภาเติบโตอยู่ที่เมืองนอก บางทีเธออาจจะเป็นคุณหนูที่ไม่เคยเจอความลำบาก เป็นไข่ในหินที่มีพ่อแม่คอยทะนุถนอมเอาอกเอาใจ แต่พอเห็นเธอเดินเข้ามานั่งในร้านและสั่งอาหารอย่างทะมัดทะแมงโดยไม่มีทีท่ารังเกียจ ชิษวัศกลับรู้สึกชื่นชมความไม่ถือตัวและไม่เรื่องมากของเธอ เพราะปกติผู้หญิงที่เขาเคยเจอแต่ละคนพวกเธอไม่เคยที่จะตอบรับเลยเวลาที่เขาจะพาเธอมาร้านแบบนี้ ทุกคนล้วนปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันหมดด้วยเหตุผลที่ว่า...ร้อนและสกปรก
“ผมนึกว่าคุณจะนั่งกินร้านแบบนี้ไม่ได้” ชายหนุ่มแกล้งสบประมาทอีกครั้งเพราะอยากรู้ว่ามุกตาภาจะแก้กับคำสบประมาทนั้นเช่นไร
ร่างบางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่กำลังมีความสุขกับน้ำกระเจี๊ยบชะงักทันที ดวงตากลมโตตวัดมองคนที่สบประมาทเธอสองครั้งติดๆอย่างไม่พอใจ
“คุณดูถูกฉันสองครั้งติดแล้วนะ” น้ำเสียงหวานบ่งบอกถึงความไม่พอใจชัดเจน หากชิษวัศไม่ใส่ใจเพราะยังต้องการที่จะทดสอบเธอต่อ
“คุณโตที่ต่างประเทศ”
“ถ้าคุณจะตัดสินคนเพียงแค่ข้อมูลที่คุณรู้มาโดยไม่เคยได้สัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงของคนๆนั้น ฉันจะจำไว้ว่าตัวเองมีเจ้านายแบบนั้น”
แทนที่จะโมโหกับคำตอบที่ออกแนวประชดประชันกันเสียมากกว่าแต่ชิษวัศกลับยิ้มและหัวเราะขึ้นมาเบาๆ รอยยิ้มที่สลายอารมณ์โมโหของมุกตาภาจนหมดสิ้น รอยยิ้มที่เธอคิดถึงมาตลอดสิบกว่าปี รอยยิ้มของพี่อาร์ม แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเขาจำเธอได้ จะดีกว่านี้ถ้าเขายิ้มอย่างนี้ให้กับเธอและเรียกเธอว่า ‘หนูมุก’ อย่างเช่นวันวาน
“งั้นผมคงต้องสัมผัสกับตัวตนของคุณถึงจะรู้ใช่ไหมว่าคุณเป็นคนยังไง” ชิษวัศพูดพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ไม่รู้ว่าทำไมเวลาเห็นผู้หญิงคนนี้โกรธยิ่งอยากแกล้ง แล้วยิ่งเห็นเวลาเธอตกใจจนเผลอทำตาโตเขากลับยิ่งชอบใจ
...เธอน่ารักจริงๆ...
จู่ๆสมองก็เกิดความคิดแว่บขึ้นมาจนเจ้าตัวต้องรีบสลัดมันออกไป แม้จะยอมรับว่าชอบเธอและถูกใจแต่จะไม่มีวันปล่อยให้แม่เด็กคนนี้มามีอำนาจมากไปกว่านี้เด็ดขาด เขาต้องชอบเธอในกรอบที่กางกั้นเอาไว้ ห้ามให้เกินออกไป และอย่าให้มากจนแปรเปลี่ยนเป็นคำว่ารัก เธอเด็กเกินไป จำไว้ชิษวัศ...เธอเด็กเกินไปสำหรับนาย
“ฉันทำงานกับคุณทุกวันอยู่แล้ว เดี๋ยวคุณก็รู้จักฉันมากขึ้นเอง” มุกตาภาตอบเบาๆ ไม่ยอมสบตาดวงตาคู่คมจึงแกล้งหันมาสนใจกับน้ำกระเจี๊ยบของตัวเองต่อ พอดีกับที่เด็กของร้านนำก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟ ต่างคนจึงต่างง่วนอยู่กับการใส่นู่นเติมนี่เพื่อปรุงให้รสชาติของก๋วยเตี๋ยวถูกปาก แต่มุกตาภาคงโชคร้ายไปหน่อยเพราะพริกป่นที่เธอกำลังตักดันเป็นจังหวะพอดีกับที่พัดลมส่ายมาจนเศษพริกเล็กๆปลิวเข้าตาเธอจนเจ้าตัวร้องขึ้นมาพร้อมยกมือขึ้นขยี้ด้วยความเคยชิน ร้อนถึงชิษวัศที่ต้องรีบเอื้อมมือไปหยุดการกระทำของเธอ ขืนปล่อยให้ขยี้ต่อไปอย่างนี้แทนที่จะหายแต่ตาเธอจะอักเสบเสียก่อน
“เลิกขยี้ซะ เดี๋ยวผมพาคุณไปล้างตาที่ห้องน้ำ” บอกพร้อมกับกระตุกร่างบางที่หลับตาปี๋เพราะความแสบให้ลุกขึ้นตาม มุกตาภาจับแขนแข็งแรงไว้แน่น ขยับชิดร่างสูงเพราะกลัวจะเดินไปเตะโต๊ะในร้านก่อนจะค่อยๆก้าวตามร่างสูงของชิษวัศไป
มือบางถูกพามาให้สัมผัสกับสายน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกบริเวณอ่างล้างหน้า มุกตาภาจึงจัดการวักน้ำมาล้างบริเวณดวงตาโดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าเครื่องสำอางที่แต่งมาจะเปรอะเปื้อนอย่างไร ตอนนี้เธอสนเพียงอย่างเดียวว่าทำอย่างไรให้ตาเธอหายแสบไวๆก็พอ
พักหนึ่งกว่าจะรู้สึกว่าอาการจะทุเลาขึ้นแต่ดวงตากลมโตก็ยังเปิดสนิทได้ไม่เหมือนเดิม เวลานี้ดวงหน้าหวานไม่มีแม้เครื่องสำอางแต่งแต้มเพราะเจ้าตัวได้จัดการล้างออก แม้จะไม่หมดจดแต่คงดีกว่าออกไปทั้งๆที่มาสคาร่าเยิ้มแน่ๆ
“เป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงของคนข้างตัวถามอย่างเอื้ออาทร ดูจากอาการของเธอน่ากลัวจะแสบไม่เบา
“ยังแสบนิดๆค่ะ”
“ผมขอดูหน่อย” ชิษวัศถือวิสาสะหมุนร่างบางเข้าหาตัวเอง มือเรียวสวยราวกับผู้หญิงทั้งสองข้างเอื้อมขึ้นมาแตะบริเวณรอบดวงตาคู่โตอย่างเบามือ มุกตาภารับรู้ได้ถึงลงหายใจอุ่นๆที่รวยรินรดอยู่บนหน้าผาก หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำที่จู่ๆก็ได้ใกล้ชิดในสถานการณ์เช่นนี้ ความห่วงใยของชิษวัศทำให้เธอกระหวัดนึกถึงเมื่อครั้งยังเด็กที่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยถามไถ่ด้วยความห่วงใยด้วยน้ำเสียงเช่นนี้กับเธอ
‘หนูมุกเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมครับ’ เด็กชายชิษวัศในวัยเก้าขวบเอ่ยถามหนูน้อยตัวป้อมที่วิ่งเข้ามากอดเอวตนเองแน่น
‘พี่อาร์มจ๋า มุกเจ็บแขน’ เด็กหญิงร้องจ้า แขนยังคงกอดคนเป็นพี่ชายแน่น
‘ขอพี่ดูหน่อยนะครับ’ เด็กชายดันร่างจ้อยให้ออกจากตัวก่อนจะเอื้อมมือไปจับแขนเล็กๆนั้นมาดูจนพบกับรอยข่วนยาวรอยหนึ่งจนเลือดออกซิบๆ เมื่อเห็นดังนั้นชิษวัศจึงล้วงมือเข้าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดในกระเป๋ากางเกงก่อนจะซับเลือดที่ไหลนั้นอย่างแผ่วเบาพร้อมกับคำปลอบโยน
‘ไม่เจ็บแล้วนะครับ หนูมุกของพี่อาร์ม’
ชิษวัศสำรวจดวงตาคู่สวยอย่างเบามือ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดขึ้นมาช่วยซับน้ำที่เกาะพราวใบหน้าสวยหวานแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อร่างของมุกตาภาผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง คิ้วเข้มพาดเฉียงบนใบหน้าคมสันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย คิดเองเออเองว่าเธอคงรังเกียจผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ของเขา
“ผ้าเช็ดหน้าผมสะอาด รับรองได้” ชายหนุ่มพูดเสียงเย็น มองร่างบางที่กำลังมองมายังตนเองด้วยสายตาหวาดระแวงด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ นี่เธอคงมองเขาเป็นผู้ชายที่ไว้ใจไม่ได้ไปแล้วใช่ไหมนี่
หากความจริงที่มุกตาภาขยับหนีเพียงเพราะอารมณ์ตกใจที่จู่ๆชิษวัศผู้แสนอ่อนโยนในอดีตก็กลับมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ทั้งสายตา น้ำเสียง และการกระทำ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปเมื่อครั้งยังเป็นแค่เด็กหญิงมุกตาภาอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าผู้ช่วยสาวไม่มีท่าทีปฏิเสธความหวังดีของตนเองแล้ว ชิษวัศจึงค่อยๆซับหยดน้ำให้หมดจากใบหน้าอย่างแผ่วเบา โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตาที่เธอขยี้เสียจนแดง
“ยังแสบอยู่ไหม” เขาถามเบาๆ มือก็ยังคงซับน้ำบนดวงหน้าหวานจนเริ่มที่จะแห้ง
“เคืองนิดหน่อยค่ะ” มุกตาภาเองก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาไม่แพ้กัน
“ฉัน...เช็ดเอง” ก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้าผืนขาวออกจากมือของชิษวัศโดยไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต การกระทำนั้นของมุกตาภาทำเอาเจ้าของผ้าเช็ดหน้าออกอาการเก้อไม่น้อย เพิ่งจะมารู้สึกตัวอีกทีว่าตนเองทำเกินหน้าที่ของเจ้านายไปแล้ว ร่างสูงจึงหมุนตัวและรีบเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเดิมอย่างรวดเร็วทิ้งให้อีกคนยืนมองด้วยความไม่เข้าใจ
...เป็นอะไรไปอีกนะ จู่ๆก็เดินออกไปไม่พูดไม่จา หรือเขา...โกรธเธออีกแล้ว...
มุกตาภามองผ้าเช็ดหน้าสีขาวในมือที่ชื้นนิดๆ ชิษวัศยังคงชอบใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ถึงเรื่องราวในอดีตจะเกิดขึ้นเมื่อครั้งเธอยังเป็นเด็กแต่น่าแปลกที่หญิงสาวกลับจำรายละเอียดเกี่ยวกับชิษวัศได้เป็นอย่างดีว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เมื่อครั้งยังเด็ก มุกตาภาเกิดและโตที่อยุธยา หญิงสาวต้องอยู่กับมารดาและพี่ชายเพียงสามคนเนื่องจากบิดานั้นต้องทำงานเทียวไปเทียวมาในต่างประเทศต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นในทุกๆปิดเทอมเธอจะได้เจอพี่อาร์มที่บ้านสวนของมารดาที่อยุธยาเพราะชิษวัศเองก็จะมาเที่ยวเล่นที่บ้านสวนของครอบครัวที่อยู่ติดกันกับบ้านเธอเช่นกัน สัญญาระหว่างหนูมุกตัวน้อยและพี่อาร์มที่จะมาเจอกันใต้ต้นนนทรีต้นใหญ่ในทุกๆปิดเทอม เธอยังจำมันได้ขึ้นใจ
‘สัญญากับหนูมุกนะคะพี่อาร์ม ว่าพี่อาร์มจะมาหาหนูมุกทุกๆปิดเทอม’ นิ้วก้อยสั้นป้อมชูขึ้นเพื่อขอเกี่ยวก้อยสัญญา
‘สัญญาครับ’ เด็กชายตัวโตกว่ายื่นนิ้วก้อยมากระกวัดรัดกับนิ้วสั้นป้อม รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งไปให้แม่หนูน้อยร่างเล็กและเธอก็ยิ้มกลับมาจนตาเล็กหยี
แต่ทำไมตอนนี้...บางครั้งชิษวัศก็แสดงท่าทีอ่อนโยนกับเธอ ทว่าบางทีเขากลับทำเย็นชาใส่จนเธอจับทิศทางอารมณ์ของเขาไม่ทัน และแทบจะเตรียมตั้งรับคนที่อารมณ์แปรปรวนอย่างนั้นไม่ได้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนเขาไม่ได้เป็นคนอย่างนี้แม้แต่น้อย หรือบางทีอาจเป็นเพราะว่าเวลาเปลี่ยน นิสัยใจคอของคนเราก็เลยเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ทำไมเล่าหนอ...หัวใจของเธอถึงไม่เคยแปรเปลี่ยนไปจากผู้ชายคนนี้เลยมุกตาภา
ร่างบางระหงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะตัวเดิมเมื่ออาการแสบตาทุเลาเบาบางลง มุกตาภามองคนที่กำลังกินก๋วยเตี๋ยวโดยไม่แม้แต่จะสนใจผู้ร่วมโต๊ะอย่างเธอด้วยอารมณ์น้อยใจ แต่ก็เลือกที่จะเงียบและอยู่กับเจ้าก๋วยเตี๋ยวน้ำตกตรงหน้าของตัวเอง
“อย่าขยี้” น้ำเสียงดุๆที่ปรามขึ้นมาทำเอาคนที่กำลังขยี้ตาข้างที่เคืองชะงัก แปลกใจไม่น้อยที่เขาก็ยังสนใจเธอ
“ก็มันเคือง” เธอเถียง ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่ง มือบางยังคงขยี้ตาต่อไปจนชิษวัศเป็นฝ่ายที่ทนไม่ได้เสียเอง ชายหนุ่มเอื้อมมือมาจับข้อมือของอีกฝ่ายก่อนจะรั้งมันให้ห่างจากดวงตาที่เริ่มจะแดงมากกว่าเดิม
“เคืองก็ต้องทน หรืออยากจะขยี้จนตาบอดก็เชิญ” ชิษวัศว่าเด็กดื้อเสียอีกทีก่อนจะปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ พูดก็พูดแล้ว เตือนก็เตือนแล้ว ถ้าเธอจะไม่ฟังมันก็เรื่องของเธอ เขาทำได้ดีที่สุดเท่านี้
มุกตาภาหน้าง้ำเมื่อโดนดุเข้าอีกครั้ง แต่เธอกลับไม่ขยี้ตาอีกแม้ว่าจะรู้สึกเคืองมากเท่าใด หญิงสาวพยายามเบี่ยงเบนความสนใจอาการเคืองตามาอยู่กับก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยตรงหน้า ชิษวัศมองผู้หญิงที่นั่งฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้มนิดหนึ่งโดยที่ไม่ให้คนอีกฝั่งหนึ่งได้เห็น พอใจที่แม่เด็กดื้อยอมฟังคำสั่งของเขาเสียที เพราะขืนปล่อยให้เธอขยี้ตาไปอย่างนี้มีหวังได้กลายเป็นตาอักเสบกันบ้าง ถ้าเป็นอย่างนั้นมีหวังพนักงานทั้งบริษัทได้พูดกันปากต่อปากว่าเขาใช้งานผู้ช่วยคนใหม่ขนาดหนักจนถึงขั้นต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ขืนเป็นอย่างนั้นก็เสียภาพพจน์ชิษวัศเจ้านายผู้แสนดีกันพอดี
อาหารมื้อกลางวันเสร็จสิ้นลงเมื่อเจ้านายอย่างชิษวัศจัดการจ่ายเงินค่าอาหารทั้งหมด มุกตาภาเดินตามร่างสูงออกจากร้านแต่ก็ต้องชะงักไปชั่วครูเมื่อเห็นลุงคนหนึ่งกำลังเข็นรถขายไอศกรีมตักซึ่งเธอเดาว่าน่าจะเป็นไอศกรีมกะทิสด ด้วยความนึกอยากร่างบางสะกิดคนร่างสูงและบอกสั้นๆว่าให้รอเธอครู่หนึ่งก่อนจะรีบวิ่งไปเรียกคุณลุงคนขายไอศกรีมก่อนที่คุณลุงคนขายจะเข็นห่างไปไกล
ชิษวัศมองคนที่กำลังซื้อไอศกรีมอย่างความชำนาญด้วยรอยยิ้ม หากพอมุกตาภาหันกลับมาพร้อมไอศกรีมสองถ้วยชายหนุ่มจึงรีบเก็บรอยยิ้มนั้นเสีย ดวงตาสีนิลมองถ้วยไอศกรีมที่เธอยื่นให้และยื่นมือเพื่อรับมันมาเมื่อเธอพูดว่าเป็นของหวานตอบแทนมื้อกลางวันที่เขาเลี้ยงเธอ
“ไอติมตักข้างถนน หวังว่าจะกินได้นะคะ” เธอย้อนนิ่มๆ เอร็ดอร่อยกับไอศกรีมตักรสกะทิโรยหน้าด้วยถั่วลิสง
“ทำไมของคุณเป็นถั่วลิสง” ชายหนุ่มถาม ไม่สนใจแล้วว่าจะถูกเธอย้อนว่าอะไร เพราะตอนนี้แปลกใจมากกว่า เขาเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าไอศกรีมที่เธอซื้อมา ถ้วยหนึ่งโรยด้วยถั่วลิสงซึ่งเธอได้เลือกเป็นเจ้าของ ส่วนอีกถ้วยหนึ่งโรยด้วยถั่วเหลืองซึ่งเธอเลือกที่จะให้กับเขา
“ก็คุณอาร์มไม่กินถั่วลิสงนี่คะ” เธอตอบตักไอศกรีมเข้าปากอีกหนึ่งคำ รสชาติหวานหอมของกะทิกับความเย็นของไอศกรีมทำให้รู้สึกดีไม่น้อยกับสภาพอากาศที่ร้อนแบบนี้ของประเทศไทย
คำตอบของมุกตาทำเอาชิษวัศแปลกใจมากยิ่งขึ้น เธอรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่กินถั่วลิสง ทั้งๆที่เขาและเธอเพิ่งจะรู้จักกันอย่างเป็นทางการวันนี้เป็นวันแรก...ช่างน่าแปลกเสียจริง
เมื่อเห็นว่าชิษวัศยังคงมองมาที่ตนเองด้วยแววตาสงสัย มุกตาภาจึงรู้ตัวว่าได้พลาดไปเสียแล้ว เขาคงกำลังสงสัยว่าเธอรู้เรื่องที่เขาไม่กินถั่วลิสงได้อย่างไร ทั้งที่เขาเองก็ไม่เคยบอก และที่สำคัญ...สำหรับชิษวัศเธอเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงวันเดียวแต่เธอกลับรู้ว่าเขาไม่ชอบกินอะไร ซึ่งมัน...แปลกเกินไป
“คุณภัทรเคยบอกฉันไว้น่ะค่ะ” เธออ้างถึงผู้จัดการฝ่ายบุคคลก่อนจะรีบเดินกลับไปยังบริษัทซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งโดยหารู้ไม่ว่าคำแก้ตัวของเธอทำให้คนที่กำลังสงสัยนั้นจับโกหกเธอได้เต็มๆ
“เธอโกหกทำไม หรือเธอกำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่...มุกตาภา” ชิษวัศพูดกับตัวเองหลังจากร่างบางระหงเดินห่างออกไปไกล ชายหนุ่มมั่นใจว่าเรื่องที่ตนเองไม่กินถั่วลิสงธีรภัทรไม่มีทางที่จะรู้แน่ๆ คนที่รู้เรื่องนี้มีแต่คนในครอบครัวและเพื่อนสนิทอย่างอารัทธ์เท่านั้น แม้แต่ผู้หญิงที่เขาเคยทั้งคบทั้งควงมุกคนล้วนไม่เคยรู้ แต่ทำไมผู้ช่วยคนใหม่คนนี้ของเขาถึงได้รู้เรื่องนี้ได้ ดวงตาคู่คมจ้องมองถ้วยไอศกรีมในมือโดยมีคำถามๆหนึ่งดังก้องอยู่ในหัว
...เธอเป็นใครกันแน่...
ล่วงเข้าเวลาบ่ายคล้อย มุกตาภายังคงนั่งอ่านทำความเข้าใจกับเอกสารต่างๆที่กองสูงเต็มโต๊ะทำงาน แม้จะรู้สึกท้อแต่คนอย่างเธอไม่มีทางถอยเด็ดขาด เธอตัดสินใจแล้วว่าเธอจะเข้ามาทำงานที่นี่ ตัดสินใจด้วยความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวไปแล้วว่าเธอจะทำให้ชิษวัศจำเธอให้ได้โดยที่เขาจะต้องจำเธอได้ด้วยตัวของเขาเอง ไม่ใช่เธอและใครมาบอกทั้งนั้น
“คุณอาร์มคะ” น้ำเสียงหวานเอ่ยเรียกผู้เป็นเจ้าของห้อง ชิษวัศละสายตาจากงานตรงหน้ามาสนใจเจ้าของเสียงนั้น
“มีอะไร” หากน้ำเสียงที่ถามกลับไปก็ยังคงเป็นน้ำเสียงที่นิ่งเรียบตามเคย
“ผ้าเช็ดหน้าของคุณ ไว้ฉันจะซักมาคืนนะคะ แต่ถ้าคุณรังเกียจ...”
“ผมไม่ได้รังเกียจ กรุณาอย่าคิดไปเอง” ชิษวัศสวนขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มพอๆกับแววตาที่ส่งไป จนคนที่ถูกกล่าวหาว่า ‘คิดไปเอง’ ทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย ริมฝีปากบางบ่นขมุบขมิบกับตัวเองเบาๆ
“ชอบมาว่าแต่คนอื่น ตัวเองก็ชอบคิดไปเองเหมือนกันนั่นแหละ”
“ผมไม่ได้ชอบคิดไปเอง ผมแค่คิดเผื่อล่วงหน้า” มุกตาภารู้ว่าตนเองพลาดไปเสียแล้วเมื่อโดนชิษวัศแก้ตัวกับข้อกล่าวหาของเธอกลับมาโดยที่สายตายังคงจดจ่อกับเอกสารสลับกับหน้าจอคอมพิวเตอร์
มุกตาภามองเจ้านายของตนเองอย่างนึกหมั่นไส้กับคำแก้ตัวคำนั้น หญิงสาวแอบแลบลิ้นใส่อีกฝ่ายด้วยใบหน้าทะเล้น หากชิษวัศเหมือนจะรู้ตัวจึงเงยหน้าขึ้นมาจนคนที่แอบทำต้องรีบเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก้มหน้าก้มตาสนใจกับกองเอกสารของตนเองต่อไป แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกลับไปสนใจงานของตนเองตามเดิม เธอจึงจัดการต่อว่าเขาแบบไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเสียอีกหนึ่งที ด้วยการทำปากพะงาบๆคำว่า... ‘คนบ้า’ โดยหารู้ไม่ว่าชิษวัศนั้นเห็นหมดทุกอย่างที่เธอได้ทำผ่านระบบวงจรปิดที่เขาเปิดดูผ่านระบบคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ทั้งใบหน้าที่งอง้ำ ใบหน้าที่กำลังแลบลิ้นใส่เขาด้วยความทะเล้น แถมด้วยคำต่อว่านั่นอีกหนึ่งคำ...คนบ้า
...ยัยเด็กบ้าเอ๊ย...
แฟ้มเอกสารรายงานการประชุมถูกปิดลงพร้อมกับเวลาเลิกงาน ดวงตาคู่สวยเหลือบมองผู้เป็นเจ้านายนิดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาก็กำลังเตรียมตัวกลับเช่นกันเธอจึงจัดการเก็บเอกสารของเธอบ้าง กลัวว่าถ้าขืนเธอกลับก่อน ไม่รู้ว่าจะโดนชิษวัศต่อว่าต่อขานอย่างไรอีก แม้มันจะเป็นเวลาเลิกงานของเธอแล้วก็ตาม
“เย็นนี้คุณว่างไหม” จู่ๆชิษวัศก็ถามขึ้น ทำเอาอีกหนึ่งสาวที่อยู่ในห้องเดียวกันตั้งตัวไม่ถูกไปเลยทีเดียว
“ก็...นัดกับเพื่อนไว้ตอนหนึ่งทุ่มคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ชิษวัศหรี่ตามองร่างบางเมื่อได้ยินคำตอบของเธอ...นัดกับเพื่อนไว้หรือ
“เพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย” ไวเท่าความคิด ชิษวัศโพล่งคำถามที่ผุดขึ้นในใจออกมาอย่างรวดเร็วจนเจ้าตัวก็ยังคาดไม่ถึงทีเดียวว่าจะพูดอะไรออกไปอย่างนี้ พูดดอกไปก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตาย จะไปสนใจทำไมว่าเธอจะไปกับเพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย นั่นมันเรื่องของเธอ แกจะไปสนใจทำไมชิษวัศ ท่องเข้าไว้ แกไม่นิยมเด็ก ไม่นิยม!!
มุกตาภาเองก็แสดงออกว่าเธอไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ชิษวัศกำลังล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเธอ...อีกครั้ง
“เรื่องส่วนตัวนะคะ ว่าแต่คุณมีอะไรหรือเปล่า” เธอไม่ตอบคำถามของเขา และยังคงย้ำเขาด้วยคำถามเดิม แต่เธอก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบจากคำถามของเธออยู่ดี เมื่อชิษวัศตั้งคำถามถามเธอกลับว่าเธอนัดกับเพื่อนที่ไหน และเพื่อเป็นการตัดปัญหาเธอจึงบอกชื่อห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านราชประสงค์ เพราะไม่อยากที่จะต้องต่อความยาวสาวความยืด ตอบคำถามเขาให้เสร็จไปจะได้จบๆกันเสียที
หากทุกอย่างก็หาได้เป็นอย่างที่มุกตาภาคิดไม่ เมื่อชิษวัศสั่งงานกลางอากาศจนหญิงสาวแทบจะทรุดลงกับโต๊ะทำงานเมื่อเขาสั่งให้เธอไปร้านเพชรที่เขาร่วมหุ้นเปิดกับเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งซึ่งบังเอิญเสียเหลือเกินว่าตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่เดียวกับที่เธอนัดเพื่อนไว้ โดยอธิบายเพิ่มเติมเสียด้วยว่าเป็นหนึ่งในหน้าที่การเป็นผู้ช่วยของเขา แม้เธอจะเถียงว่าเธอทำงานในฐานะการเป็นผู้ช่วยที่บริษัทนี้เท่านั้น ไม่ได้เป็นผู้ช่วยในธุรกิจที่เขาต้องเข้าไปดูแล แต่เมื่อถูกตอกกลับด้วยเรื่องสัญญาว่าจ้างที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเธอจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของชิษวัศในทุกงานที่เขามอบหมายโดยอยู่ในขอบเขตการบริหารงานของตระกูล ‘ตตินรากรณ์’ มุกตาภาก็ไม่รู้ว่าจะเถียงต่อไปว่าอย่างไร เพราะสัญญาใบนั้นเธออ่านอย่างละเอียดรอบคอบและลงชื่อยินยอมที่จะทำตามด้วยตัวของเธอเองไม่ได้มีใครไปบังคับเธอเลยแม้แต่น้อย
“ช่วยผมดูแลร้านเพชร ไม่ยากนักหรอก ที่ร้านมีผู้จัดการร้านอยู่แล้ว ผมแค่อยากให้คุณดูเรื่องบัญชี” ชิษวัศบอก มือหนึ่งปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ลงก่อนจะหยิบเสื้อสูทสีดำขึ้นมาสวม
“แล้วคุณไม่มีคนทำบัญชีให้หรือไง ทำไมต้องให้ฉันไปดูด้วย”
“มี แต่ผมอยากให้คุณช่วยตรวจสอบอีกรอบหนึ่ง ถึงจะไม่ได้จบบัญชีแต่ก็จบเศรษฐศาสตร์มาไม่ใช่หรือ แค่นี้ผมว่าคุณน่าจะทำได้นะ หรือว่าผมประเมินคุณสูงเกินไป” ชายหนุ่มกล่าวยิ้มๆ ยอมรับว่าตั้งใจที่จะกวนโมโหอีกฝ่าย แล้วดูเหมือนจะได้ผลดีเสียด้วยเมื่อเห็นว่ามุกตาภาเชิดหน้าขึ้น ดวงตากลมโตคู่นั้นมีแววตาโกรธกรุ่น ริมฝีบางบางเม้มแน่น คงจะกำลังโมโหที่โดนเขาสบประมาทเข้าให้อีกครั้ง
“เจอกันที่ร้านเลยแล้วกันนะคะ...คุณชิษวัศ!” เธอบอก ปลายน้ำเสียงสะบัดขึ้นเล็กน้อยยามเมื่อเอ่ยชื่อของเจ้านายหนุ่ม มุกตาภากวาดของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว หอบแฟ้มที่ต้องเอาไปศึกษาต่อที่บ้านกลับไปด้วยอีกสองสามแฟ้มก่อนจะเดินลิ่วออกจากห้องไป แต่ก็ยังไม่วายชะโงกหน้ามาเตือนคนที่ยังไม่ออกจากห้องทำงานเสียอีกต่างหาก
“หวังว่าจะไม่สายนะคะ คุณเจ้านาย” บอกไว้แค่นั้นแล้วก็สะบัดหน้าจากไป ชิษวัศส่ายหน้ากับการกระทำเหล่านั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เด็กหนอเด็ก...แบบนี้อย่างไรเล่าเขาถึงได้ประกาศไว้ว่าจะไม่คบผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าตัวเองเด็ดขาด อย่างน้อยชายหนุ่มก็คิดมาเสมอว่าการคบผู้หญิงที่อายุใกล้เคียงกันจะทำให้เข้าใจซึ่งกันและกันได้มากกว่าที่จะคบผู้หญิงที่อายุต่างกันมากเกินไป เพราะเขาไม่อยากที่จะต้องมาคอยปวดหัวตามง้องอนแม่เด็กเอาแต่ใจที่ชอบใช้อารมณ์มาก่อนเหตุผล แถมต่อมความอดทนยังอยู่เสียต่ำ ยั่วนิดยั่วหน่อยก็โมโห ผู้หญิงประเภทนี้...ชิษวัศให้ความคิดเห็นไว้ว่าไม่เหมาะกับตัวเองอย่างที่สุด และที่สำคัญ...ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการที่จะพาไปพบคุณปู่รันและคุณปู่รินในฐานะ...หลานสะใภ้
พอคิดมาถึงเรื่องนี้ ชิษวัศก็รู้สึกทุกทีว่าเหมือนมีก้อนหินมาวางไว้บนอก มันรู้สึกเหมือนว่าออกซิเจนกำลังจะหมดโลก เหมือนตนเองกำลังจะขาดใจตายในไม่ช้า ปัญหาการหาหลานสะใภ้ให้คุณปู่ทั้งสองยังคงเป็นปัญหาที่ชายหนุ่มขบคิดหาทางยังไงก็ยังหาทางไม่ออก ยิ่งพอนึกถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียถ้าทำตามความต้องการของคุณปู่ไม่สำเร็จด้วยแล้ว ชิษวัศแทบอยากจะบ้าวันละสามเวลาหลังอาหาร ยิ่งถ้าบรรดาน้องๆต่างพาหลานเขยหลานสะใภ้มาให้คุณปู่คู่แฝดได้ชมกันหมดแล้วเกิดเขาหาไม่ได้อยู่คนเดียว ในฐานะที่เป็นหลานชายคนโตของตระกูล มีหวังได้ขายหน้าตาย ทั้งภูมิรพีและกันตวิชญ์คงได้ดูถูกเป็นแน่ว่าพี่อาร์ม...ไร้น้ำยา
...ถ้าเป็นแบบนั้น ให้ตายยังไงก็รับไม่ได้ ไม่-มี-ทาง!!!...
ไม่ทันที่จะได้ปวดหัวภารกิจของคุณปู่แฝดต่อ โทรศัพท์ที่ทั้งสั่นและส่งเสียงร้องได้ดึงความสนใจของชิษวัศกลับมา ชายหนุ่มมองโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน แค่เห็นเพียงเสี้ยวหน้าที่แสดงบนหน้าจอ ชิษวัศก็รู้ได้ทันทีว่าใครโทรมา แม้จะไม่อยากรับแต่ก็ต้องรับเพราะถ้าคิดในแง่ดี บางทีอารัทธ์อาจจะโทรมาเรื่องงาน ซึ่งความเป็นไปได้มีน้อยมากจนเกือบเป็นศูนย์
“มีอะไร” ชิษวัศกรอกเสียงไปตามสายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ อารัทธ์มักโทรมาผิดที่ผิดเวลาเสมอ ยิ่งช่วงนี้ไม่รู้ว่าเจ้าเพื่อนบ้ามันนึกครึ้มอะไร ชอบโทรมาตอนที่เขากำลังเครียดๆอยู่พอดี
“โห...ถามซะเสียงอาฆาตเชียว ฉันเพื่อนแกนะโว้ย ไม่ใช้ศัตรูแต่ชาติปางก่อน” ปลายสายแซวมาด้วยน้ำเสียงทะเล้นตามนิสัย
“ขอประเด็นเลยไอ้อาร์ท”
“วันนี้เข้าร้านหรือเปล่าวะ”
“เข้า”
“เออ งั้นแค่นี้ล่ะ เจอกันที่ร้าน” แล้วปลายสายก็ตัดไป ไม่ได้สนใจเลยว่าคนอีกฝั่งหนึ่งจะมีอาการเช่นไร ชิษวัศมองโทรศัพท์ในมือด้วยอาการค้างนิ่งอยู่กับที่ไปครู่หนึ่ง นานทีปีหนที่อารัทธ์จะเข้าไปดูร้านที่มันเองก็มีหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง แล้วทำไมวันนี้ผีอะไรเข้าสิงถึงทำให้คนอย่างอารัทธ์เข้าร้านได้ แถมยังเข้าไปในวันที่เขากำลังจะพามุกตาภาไปเรียนรู้งานที่ร้านเสียด้วย มันจะบังเอิญไปไหม ขืนอารัทธ์รู้ว่าผู้ช่วยคนใหม่ของเขาเป็นสาวชุดเหลืองในคืนนั้นไม่รู้ว่ามันจะคิดทำอะไรแผลงๆอีกหรือเปล่า เขาล่ะกลัวใจมันจริงๆ
...เอาวะ! อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไปแก้สถานการณ์เอาดาบหน้าก็แล้วกัน!!...
----------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนหน้าตัววุ่นจะโผล่แล้วนะคะ ฮ่าๆๆๆ
ตอบเมนท์จ้า...
roseolar : ท่าทางจะรอดยากค่ะ ฮ่าๆ เอามาลงให้ก่อนวันศุกร์นะคะ พอดีว่าปอแก้วกำลังว่าง ฮา...ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ
anOO : เก๊กได้ไม่นาน เดี๋ยวก็หลุดค่ะ ก็ชอบเด็กแรกพบซะขนาดน้านนนน
Amata : ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ :)
violette : เขาจะค่อยๆหวานนะคะ ฟอร์มพ่อคุณเขาเยอะ ฮ่าๆ
nunoi : ตอนต่อไปมาแล้วค่ะ ชอบไม่ชอบยังไงบอกได้นะคะ พี่อาร์มเริ่มจะทำคะแนนจากคนอ่านแล้ว เย้ๆ
ใครชอบไม่ชอบยังไงบอกได้นะคะ คนเขียนตาดำๆคนนี้จะได้เอาไปปรับปรุงค่ะ
ขอบคุณที่คนที่เข้ามาอ่านนะคะ ยิ่งเมนท์และกดไลค์ปอแก้วดีใจมากเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจ...เจอกันตอนหน้าค่ะ ไม่แน่ใจว่าจะพุธหรือศุกร์หน้าดีแต่จะมายาวๆเลยจ้า
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 3 : อดีตที่ลบเลือน (2)
ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือในห้องแถวริมถนนซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของบริษัทคือจุดหมายปลายทางของชิษวัศ ดวงตากลมโตของมุกตาภามองคนเป็นเจ้านายกับร้านก๋วยเตี๋ยวสลับกันไปมา ไม่อยากจะเชื่อเสียเท่าไหร่ว่าคนอย่างคุณชิษวัศเลือกที่จะมากินอะไรอย่างนี้ นึกว่าจะต้องเป็นร้านบนห้างหรูๆติดแอร์เย็นๆเสียอีก แต่พอมาเจออย่างนี้เธอเองก็ผิดคาดไปเหมือนกัน
“คุณกินได้ไหม หรือว่าอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก เลยกินอะไรแบบนี้ไม่ได้” คำดูถูกนั้นทำเอามุกตาภาเชิดหน้าขึ้นอย่างเสียไม่ได้ เชิดแล้วไม่พอยังสะบัดหน้าให้อีกฝ่ายแถมยังก้าวเดินเข้าไปในร้านโดยไม่รอคนที่พามาอีกต่างหาก หญิงสาวจัดการเลือกที่นั่งเองเสร็จสรรพไม่รอการตัดสินใจของคนเป็นเจ้านาย และเมื่อเด็กของร้านคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับกระดาษจดรายการอาหาร มุกตาภาจึงชิงสั่งทั้งน้ำดื่มและก๋วยเตี๋ยวขึ้นก่อนเพื่อให้คนที่ดูถูกเธอได้รู้ว่าถึงเธอจะโตมาที่เมืองนอกเมืองนาแต่เธอก็ถูกสอนมาอย่างติดดิน อย่าว่าแต่ร้านแค่นี้เลย ร้านอะไรเธอก็กินได้ทั้งนั้นขอแค่อร่อยก็พอ
เมื่อเห็นผู้ช่วยสาวสั่งเสร็จชิษวัศจึงสั่งของตัวเองบ้าง ปกติชายหนุ่มมักจะมากินที่ร้านนี้อาทิตย์นึงอย่างน้อยสองครั้งเพราะติดใจในรสชาติของก๋วยเตี๋ยวน้ำตกของที่นี่ แม้จะเป็นแค่ร้านในห้องแถวเล็กๆและไม่ได้หรูหราอะไร แต่รสชาติของก๋วยเตี๋ยวกลับอร่อยกว่าบางร้านที่ตั้งในห้างดังๆเสียด้วยซ้ำ ถึงจะร้อนเพราะในร้านมีแค่พัดลมแต่ก็ถือว่าคุ้มถ้าจะได้กินอะไรอร่อยๆสักหนึ่งมื้อ ความจริงวันนี้ที่เขาเลือกร้านนี้สำหรับมื้อกลางวันก็เพื่อจะทดสอบแม่ผู้ช่วยสาวคนใหม่คนนี้ด้วยว่าเธอเป็นคนอย่างไร เพราะจากรู้มามุกตาภาเติบโตอยู่ที่เมืองนอก บางทีเธออาจจะเป็นคุณหนูที่ไม่เคยเจอความลำบาก เป็นไข่ในหินที่มีพ่อแม่คอยทะนุถนอมเอาอกเอาใจ แต่พอเห็นเธอเดินเข้ามานั่งในร้านและสั่งอาหารอย่างทะมัดทะแมงโดยไม่มีทีท่ารังเกียจ ชิษวัศกลับรู้สึกชื่นชมความไม่ถือตัวและไม่เรื่องมากของเธอ เพราะปกติผู้หญิงที่เขาเคยเจอแต่ละคนพวกเธอไม่เคยที่จะตอบรับเลยเวลาที่เขาจะพาเธอมาร้านแบบนี้ ทุกคนล้วนปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันหมดด้วยเหตุผลที่ว่า...ร้อนและสกปรก
“ผมนึกว่าคุณจะนั่งกินร้านแบบนี้ไม่ได้” ชายหนุ่มแกล้งสบประมาทอีกครั้งเพราะอยากรู้ว่ามุกตาภาจะแก้กับคำสบประมาทนั้นเช่นไร
ร่างบางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่กำลังมีความสุขกับน้ำกระเจี๊ยบชะงักทันที ดวงตากลมโตตวัดมองคนที่สบประมาทเธอสองครั้งติดๆอย่างไม่พอใจ
“คุณดูถูกฉันสองครั้งติดแล้วนะ” น้ำเสียงหวานบ่งบอกถึงความไม่พอใจชัดเจน หากชิษวัศไม่ใส่ใจเพราะยังต้องการที่จะทดสอบเธอต่อ
“คุณโตที่ต่างประเทศ”
“ถ้าคุณจะตัดสินคนเพียงแค่ข้อมูลที่คุณรู้มาโดยไม่เคยได้สัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงของคนๆนั้น ฉันจะจำไว้ว่าตัวเองมีเจ้านายแบบนั้น”
แทนที่จะโมโหกับคำตอบที่ออกแนวประชดประชันกันเสียมากกว่าแต่ชิษวัศกลับยิ้มและหัวเราะขึ้นมาเบาๆ รอยยิ้มที่สลายอารมณ์โมโหของมุกตาภาจนหมดสิ้น รอยยิ้มที่เธอคิดถึงมาตลอดสิบกว่าปี รอยยิ้มของพี่อาร์ม แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเขาจำเธอได้ จะดีกว่านี้ถ้าเขายิ้มอย่างนี้ให้กับเธอและเรียกเธอว่า ‘หนูมุก’ อย่างเช่นวันวาน
“งั้นผมคงต้องสัมผัสกับตัวตนของคุณถึงจะรู้ใช่ไหมว่าคุณเป็นคนยังไง” ชิษวัศพูดพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ไม่รู้ว่าทำไมเวลาเห็นผู้หญิงคนนี้โกรธยิ่งอยากแกล้ง แล้วยิ่งเห็นเวลาเธอตกใจจนเผลอทำตาโตเขากลับยิ่งชอบใจ
...เธอน่ารักจริงๆ...
จู่ๆสมองก็เกิดความคิดแว่บขึ้นมาจนเจ้าตัวต้องรีบสลัดมันออกไป แม้จะยอมรับว่าชอบเธอและถูกใจแต่จะไม่มีวันปล่อยให้แม่เด็กคนนี้มามีอำนาจมากไปกว่านี้เด็ดขาด เขาต้องชอบเธอในกรอบที่กางกั้นเอาไว้ ห้ามให้เกินออกไป และอย่าให้มากจนแปรเปลี่ยนเป็นคำว่ารัก เธอเด็กเกินไป จำไว้ชิษวัศ...เธอเด็กเกินไปสำหรับนาย
“ฉันทำงานกับคุณทุกวันอยู่แล้ว เดี๋ยวคุณก็รู้จักฉันมากขึ้นเอง” มุกตาภาตอบเบาๆ ไม่ยอมสบตาดวงตาคู่คมจึงแกล้งหันมาสนใจกับน้ำกระเจี๊ยบของตัวเองต่อ พอดีกับที่เด็กของร้านนำก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟ ต่างคนจึงต่างง่วนอยู่กับการใส่นู่นเติมนี่เพื่อปรุงให้รสชาติของก๋วยเตี๋ยวถูกปาก แต่มุกตาภาคงโชคร้ายไปหน่อยเพราะพริกป่นที่เธอกำลังตักดันเป็นจังหวะพอดีกับที่พัดลมส่ายมาจนเศษพริกเล็กๆปลิวเข้าตาเธอจนเจ้าตัวร้องขึ้นมาพร้อมยกมือขึ้นขยี้ด้วยความเคยชิน ร้อนถึงชิษวัศที่ต้องรีบเอื้อมมือไปหยุดการกระทำของเธอ ขืนปล่อยให้ขยี้ต่อไปอย่างนี้แทนที่จะหายแต่ตาเธอจะอักเสบเสียก่อน
“เลิกขยี้ซะ เดี๋ยวผมพาคุณไปล้างตาที่ห้องน้ำ” บอกพร้อมกับกระตุกร่างบางที่หลับตาปี๋เพราะความแสบให้ลุกขึ้นตาม มุกตาภาจับแขนแข็งแรงไว้แน่น ขยับชิดร่างสูงเพราะกลัวจะเดินไปเตะโต๊ะในร้านก่อนจะค่อยๆก้าวตามร่างสูงของชิษวัศไป
มือบางถูกพามาให้สัมผัสกับสายน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกบริเวณอ่างล้างหน้า มุกตาภาจึงจัดการวักน้ำมาล้างบริเวณดวงตาโดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าเครื่องสำอางที่แต่งมาจะเปรอะเปื้อนอย่างไร ตอนนี้เธอสนเพียงอย่างเดียวว่าทำอย่างไรให้ตาเธอหายแสบไวๆก็พอ
พักหนึ่งกว่าจะรู้สึกว่าอาการจะทุเลาขึ้นแต่ดวงตากลมโตก็ยังเปิดสนิทได้ไม่เหมือนเดิม เวลานี้ดวงหน้าหวานไม่มีแม้เครื่องสำอางแต่งแต้มเพราะเจ้าตัวได้จัดการล้างออก แม้จะไม่หมดจดแต่คงดีกว่าออกไปทั้งๆที่มาสคาร่าเยิ้มแน่ๆ
“เป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงของคนข้างตัวถามอย่างเอื้ออาทร ดูจากอาการของเธอน่ากลัวจะแสบไม่เบา
“ยังแสบนิดๆค่ะ”
“ผมขอดูหน่อย” ชิษวัศถือวิสาสะหมุนร่างบางเข้าหาตัวเอง มือเรียวสวยราวกับผู้หญิงทั้งสองข้างเอื้อมขึ้นมาแตะบริเวณรอบดวงตาคู่โตอย่างเบามือ มุกตาภารับรู้ได้ถึงลงหายใจอุ่นๆที่รวยรินรดอยู่บนหน้าผาก หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำที่จู่ๆก็ได้ใกล้ชิดในสถานการณ์เช่นนี้ ความห่วงใยของชิษวัศทำให้เธอกระหวัดนึกถึงเมื่อครั้งยังเด็กที่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยถามไถ่ด้วยความห่วงใยด้วยน้ำเสียงเช่นนี้กับเธอ
‘หนูมุกเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมครับ’ เด็กชายชิษวัศในวัยเก้าขวบเอ่ยถามหนูน้อยตัวป้อมที่วิ่งเข้ามากอดเอวตนเองแน่น
‘พี่อาร์มจ๋า มุกเจ็บแขน’ เด็กหญิงร้องจ้า แขนยังคงกอดคนเป็นพี่ชายแน่น
‘ขอพี่ดูหน่อยนะครับ’ เด็กชายดันร่างจ้อยให้ออกจากตัวก่อนจะเอื้อมมือไปจับแขนเล็กๆนั้นมาดูจนพบกับรอยข่วนยาวรอยหนึ่งจนเลือดออกซิบๆ เมื่อเห็นดังนั้นชิษวัศจึงล้วงมือเข้าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดในกระเป๋ากางเกงก่อนจะซับเลือดที่ไหลนั้นอย่างแผ่วเบาพร้อมกับคำปลอบโยน
‘ไม่เจ็บแล้วนะครับ หนูมุกของพี่อาร์ม’
ชิษวัศสำรวจดวงตาคู่สวยอย่างเบามือ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดขึ้นมาช่วยซับน้ำที่เกาะพราวใบหน้าสวยหวานแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อร่างของมุกตาภาผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง คิ้วเข้มพาดเฉียงบนใบหน้าคมสันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย คิดเองเออเองว่าเธอคงรังเกียจผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ของเขา
“ผ้าเช็ดหน้าผมสะอาด รับรองได้” ชายหนุ่มพูดเสียงเย็น มองร่างบางที่กำลังมองมายังตนเองด้วยสายตาหวาดระแวงด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ นี่เธอคงมองเขาเป็นผู้ชายที่ไว้ใจไม่ได้ไปแล้วใช่ไหมนี่
หากความจริงที่มุกตาภาขยับหนีเพียงเพราะอารมณ์ตกใจที่จู่ๆชิษวัศผู้แสนอ่อนโยนในอดีตก็กลับมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ทั้งสายตา น้ำเสียง และการกระทำ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปเมื่อครั้งยังเป็นแค่เด็กหญิงมุกตาภาอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าผู้ช่วยสาวไม่มีท่าทีปฏิเสธความหวังดีของตนเองแล้ว ชิษวัศจึงค่อยๆซับหยดน้ำให้หมดจากใบหน้าอย่างแผ่วเบา โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตาที่เธอขยี้เสียจนแดง
“ยังแสบอยู่ไหม” เขาถามเบาๆ มือก็ยังคงซับน้ำบนดวงหน้าหวานจนเริ่มที่จะแห้ง
“เคืองนิดหน่อยค่ะ” มุกตาภาเองก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาไม่แพ้กัน
“ฉัน...เช็ดเอง” ก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้าผืนขาวออกจากมือของชิษวัศโดยไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต การกระทำนั้นของมุกตาภาทำเอาเจ้าของผ้าเช็ดหน้าออกอาการเก้อไม่น้อย เพิ่งจะมารู้สึกตัวอีกทีว่าตนเองทำเกินหน้าที่ของเจ้านายไปแล้ว ร่างสูงจึงหมุนตัวและรีบเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเดิมอย่างรวดเร็วทิ้งให้อีกคนยืนมองด้วยความไม่เข้าใจ
...เป็นอะไรไปอีกนะ จู่ๆก็เดินออกไปไม่พูดไม่จา หรือเขา...โกรธเธออีกแล้ว...
มุกตาภามองผ้าเช็ดหน้าสีขาวในมือที่ชื้นนิดๆ ชิษวัศยังคงชอบใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ถึงเรื่องราวในอดีตจะเกิดขึ้นเมื่อครั้งเธอยังเป็นเด็กแต่น่าแปลกที่หญิงสาวกลับจำรายละเอียดเกี่ยวกับชิษวัศได้เป็นอย่างดีว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เมื่อครั้งยังเด็ก มุกตาภาเกิดและโตที่อยุธยา หญิงสาวต้องอยู่กับมารดาและพี่ชายเพียงสามคนเนื่องจากบิดานั้นต้องทำงานเทียวไปเทียวมาในต่างประเทศต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นในทุกๆปิดเทอมเธอจะได้เจอพี่อาร์มที่บ้านสวนของมารดาที่อยุธยาเพราะชิษวัศเองก็จะมาเที่ยวเล่นที่บ้านสวนของครอบครัวที่อยู่ติดกันกับบ้านเธอเช่นกัน สัญญาระหว่างหนูมุกตัวน้อยและพี่อาร์มที่จะมาเจอกันใต้ต้นนนทรีต้นใหญ่ในทุกๆปิดเทอม เธอยังจำมันได้ขึ้นใจ
‘สัญญากับหนูมุกนะคะพี่อาร์ม ว่าพี่อาร์มจะมาหาหนูมุกทุกๆปิดเทอม’ นิ้วก้อยสั้นป้อมชูขึ้นเพื่อขอเกี่ยวก้อยสัญญา
‘สัญญาครับ’ เด็กชายตัวโตกว่ายื่นนิ้วก้อยมากระกวัดรัดกับนิ้วสั้นป้อม รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งไปให้แม่หนูน้อยร่างเล็กและเธอก็ยิ้มกลับมาจนตาเล็กหยี
แต่ทำไมตอนนี้...บางครั้งชิษวัศก็แสดงท่าทีอ่อนโยนกับเธอ ทว่าบางทีเขากลับทำเย็นชาใส่จนเธอจับทิศทางอารมณ์ของเขาไม่ทัน และแทบจะเตรียมตั้งรับคนที่อารมณ์แปรปรวนอย่างนั้นไม่ได้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนเขาไม่ได้เป็นคนอย่างนี้แม้แต่น้อย หรือบางทีอาจเป็นเพราะว่าเวลาเปลี่ยน นิสัยใจคอของคนเราก็เลยเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ทำไมเล่าหนอ...หัวใจของเธอถึงไม่เคยแปรเปลี่ยนไปจากผู้ชายคนนี้เลยมุกตาภา
ร่างบางระหงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะตัวเดิมเมื่ออาการแสบตาทุเลาเบาบางลง มุกตาภามองคนที่กำลังกินก๋วยเตี๋ยวโดยไม่แม้แต่จะสนใจผู้ร่วมโต๊ะอย่างเธอด้วยอารมณ์น้อยใจ แต่ก็เลือกที่จะเงียบและอยู่กับเจ้าก๋วยเตี๋ยวน้ำตกตรงหน้าของตัวเอง
“อย่าขยี้” น้ำเสียงดุๆที่ปรามขึ้นมาทำเอาคนที่กำลังขยี้ตาข้างที่เคืองชะงัก แปลกใจไม่น้อยที่เขาก็ยังสนใจเธอ
“ก็มันเคือง” เธอเถียง ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่ง มือบางยังคงขยี้ตาต่อไปจนชิษวัศเป็นฝ่ายที่ทนไม่ได้เสียเอง ชายหนุ่มเอื้อมมือมาจับข้อมือของอีกฝ่ายก่อนจะรั้งมันให้ห่างจากดวงตาที่เริ่มจะแดงมากกว่าเดิม
“เคืองก็ต้องทน หรืออยากจะขยี้จนตาบอดก็เชิญ” ชิษวัศว่าเด็กดื้อเสียอีกทีก่อนจะปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ พูดก็พูดแล้ว เตือนก็เตือนแล้ว ถ้าเธอจะไม่ฟังมันก็เรื่องของเธอ เขาทำได้ดีที่สุดเท่านี้
มุกตาภาหน้าง้ำเมื่อโดนดุเข้าอีกครั้ง แต่เธอกลับไม่ขยี้ตาอีกแม้ว่าจะรู้สึกเคืองมากเท่าใด หญิงสาวพยายามเบี่ยงเบนความสนใจอาการเคืองตามาอยู่กับก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยตรงหน้า ชิษวัศมองผู้หญิงที่นั่งฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้มนิดหนึ่งโดยที่ไม่ให้คนอีกฝั่งหนึ่งได้เห็น พอใจที่แม่เด็กดื้อยอมฟังคำสั่งของเขาเสียที เพราะขืนปล่อยให้เธอขยี้ตาไปอย่างนี้มีหวังได้กลายเป็นตาอักเสบกันบ้าง ถ้าเป็นอย่างนั้นมีหวังพนักงานทั้งบริษัทได้พูดกันปากต่อปากว่าเขาใช้งานผู้ช่วยคนใหม่ขนาดหนักจนถึงขั้นต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ขืนเป็นอย่างนั้นก็เสียภาพพจน์ชิษวัศเจ้านายผู้แสนดีกันพอดี
อาหารมื้อกลางวันเสร็จสิ้นลงเมื่อเจ้านายอย่างชิษวัศจัดการจ่ายเงินค่าอาหารทั้งหมด มุกตาภาเดินตามร่างสูงออกจากร้านแต่ก็ต้องชะงักไปชั่วครูเมื่อเห็นลุงคนหนึ่งกำลังเข็นรถขายไอศกรีมตักซึ่งเธอเดาว่าน่าจะเป็นไอศกรีมกะทิสด ด้วยความนึกอยากร่างบางสะกิดคนร่างสูงและบอกสั้นๆว่าให้รอเธอครู่หนึ่งก่อนจะรีบวิ่งไปเรียกคุณลุงคนขายไอศกรีมก่อนที่คุณลุงคนขายจะเข็นห่างไปไกล
ชิษวัศมองคนที่กำลังซื้อไอศกรีมอย่างความชำนาญด้วยรอยยิ้ม หากพอมุกตาภาหันกลับมาพร้อมไอศกรีมสองถ้วยชายหนุ่มจึงรีบเก็บรอยยิ้มนั้นเสีย ดวงตาสีนิลมองถ้วยไอศกรีมที่เธอยื่นให้และยื่นมือเพื่อรับมันมาเมื่อเธอพูดว่าเป็นของหวานตอบแทนมื้อกลางวันที่เขาเลี้ยงเธอ
“ไอติมตักข้างถนน หวังว่าจะกินได้นะคะ” เธอย้อนนิ่มๆ เอร็ดอร่อยกับไอศกรีมตักรสกะทิโรยหน้าด้วยถั่วลิสง
“ทำไมของคุณเป็นถั่วลิสง” ชายหนุ่มถาม ไม่สนใจแล้วว่าจะถูกเธอย้อนว่าอะไร เพราะตอนนี้แปลกใจมากกว่า เขาเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าไอศกรีมที่เธอซื้อมา ถ้วยหนึ่งโรยด้วยถั่วลิสงซึ่งเธอได้เลือกเป็นเจ้าของ ส่วนอีกถ้วยหนึ่งโรยด้วยถั่วเหลืองซึ่งเธอเลือกที่จะให้กับเขา
“ก็คุณอาร์มไม่กินถั่วลิสงนี่คะ” เธอตอบตักไอศกรีมเข้าปากอีกหนึ่งคำ รสชาติหวานหอมของกะทิกับความเย็นของไอศกรีมทำให้รู้สึกดีไม่น้อยกับสภาพอากาศที่ร้อนแบบนี้ของประเทศไทย
คำตอบของมุกตาทำเอาชิษวัศแปลกใจมากยิ่งขึ้น เธอรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่กินถั่วลิสง ทั้งๆที่เขาและเธอเพิ่งจะรู้จักกันอย่างเป็นทางการวันนี้เป็นวันแรก...ช่างน่าแปลกเสียจริง
เมื่อเห็นว่าชิษวัศยังคงมองมาที่ตนเองด้วยแววตาสงสัย มุกตาภาจึงรู้ตัวว่าได้พลาดไปเสียแล้ว เขาคงกำลังสงสัยว่าเธอรู้เรื่องที่เขาไม่กินถั่วลิสงได้อย่างไร ทั้งที่เขาเองก็ไม่เคยบอก และที่สำคัญ...สำหรับชิษวัศเธอเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงวันเดียวแต่เธอกลับรู้ว่าเขาไม่ชอบกินอะไร ซึ่งมัน...แปลกเกินไป
“คุณภัทรเคยบอกฉันไว้น่ะค่ะ” เธออ้างถึงผู้จัดการฝ่ายบุคคลก่อนจะรีบเดินกลับไปยังบริษัทซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งโดยหารู้ไม่ว่าคำแก้ตัวของเธอทำให้คนที่กำลังสงสัยนั้นจับโกหกเธอได้เต็มๆ
“เธอโกหกทำไม หรือเธอกำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่...มุกตาภา” ชิษวัศพูดกับตัวเองหลังจากร่างบางระหงเดินห่างออกไปไกล ชายหนุ่มมั่นใจว่าเรื่องที่ตนเองไม่กินถั่วลิสงธีรภัทรไม่มีทางที่จะรู้แน่ๆ คนที่รู้เรื่องนี้มีแต่คนในครอบครัวและเพื่อนสนิทอย่างอารัทธ์เท่านั้น แม้แต่ผู้หญิงที่เขาเคยทั้งคบทั้งควงมุกคนล้วนไม่เคยรู้ แต่ทำไมผู้ช่วยคนใหม่คนนี้ของเขาถึงได้รู้เรื่องนี้ได้ ดวงตาคู่คมจ้องมองถ้วยไอศกรีมในมือโดยมีคำถามๆหนึ่งดังก้องอยู่ในหัว
...เธอเป็นใครกันแน่...
ล่วงเข้าเวลาบ่ายคล้อย มุกตาภายังคงนั่งอ่านทำความเข้าใจกับเอกสารต่างๆที่กองสูงเต็มโต๊ะทำงาน แม้จะรู้สึกท้อแต่คนอย่างเธอไม่มีทางถอยเด็ดขาด เธอตัดสินใจแล้วว่าเธอจะเข้ามาทำงานที่นี่ ตัดสินใจด้วยความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวไปแล้วว่าเธอจะทำให้ชิษวัศจำเธอให้ได้โดยที่เขาจะต้องจำเธอได้ด้วยตัวของเขาเอง ไม่ใช่เธอและใครมาบอกทั้งนั้น
“คุณอาร์มคะ” น้ำเสียงหวานเอ่ยเรียกผู้เป็นเจ้าของห้อง ชิษวัศละสายตาจากงานตรงหน้ามาสนใจเจ้าของเสียงนั้น
“มีอะไร” หากน้ำเสียงที่ถามกลับไปก็ยังคงเป็นน้ำเสียงที่นิ่งเรียบตามเคย
“ผ้าเช็ดหน้าของคุณ ไว้ฉันจะซักมาคืนนะคะ แต่ถ้าคุณรังเกียจ...”
“ผมไม่ได้รังเกียจ กรุณาอย่าคิดไปเอง” ชิษวัศสวนขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มพอๆกับแววตาที่ส่งไป จนคนที่ถูกกล่าวหาว่า ‘คิดไปเอง’ ทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย ริมฝีปากบางบ่นขมุบขมิบกับตัวเองเบาๆ
“ชอบมาว่าแต่คนอื่น ตัวเองก็ชอบคิดไปเองเหมือนกันนั่นแหละ”
“ผมไม่ได้ชอบคิดไปเอง ผมแค่คิดเผื่อล่วงหน้า” มุกตาภารู้ว่าตนเองพลาดไปเสียแล้วเมื่อโดนชิษวัศแก้ตัวกับข้อกล่าวหาของเธอกลับมาโดยที่สายตายังคงจดจ่อกับเอกสารสลับกับหน้าจอคอมพิวเตอร์
มุกตาภามองเจ้านายของตนเองอย่างนึกหมั่นไส้กับคำแก้ตัวคำนั้น หญิงสาวแอบแลบลิ้นใส่อีกฝ่ายด้วยใบหน้าทะเล้น หากชิษวัศเหมือนจะรู้ตัวจึงเงยหน้าขึ้นมาจนคนที่แอบทำต้องรีบเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก้มหน้าก้มตาสนใจกับกองเอกสารของตนเองต่อไป แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกลับไปสนใจงานของตนเองตามเดิม เธอจึงจัดการต่อว่าเขาแบบไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเสียอีกหนึ่งที ด้วยการทำปากพะงาบๆคำว่า... ‘คนบ้า’ โดยหารู้ไม่ว่าชิษวัศนั้นเห็นหมดทุกอย่างที่เธอได้ทำผ่านระบบวงจรปิดที่เขาเปิดดูผ่านระบบคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ทั้งใบหน้าที่งอง้ำ ใบหน้าที่กำลังแลบลิ้นใส่เขาด้วยความทะเล้น แถมด้วยคำต่อว่านั่นอีกหนึ่งคำ...คนบ้า
...ยัยเด็กบ้าเอ๊ย...
แฟ้มเอกสารรายงานการประชุมถูกปิดลงพร้อมกับเวลาเลิกงาน ดวงตาคู่สวยเหลือบมองผู้เป็นเจ้านายนิดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาก็กำลังเตรียมตัวกลับเช่นกันเธอจึงจัดการเก็บเอกสารของเธอบ้าง กลัวว่าถ้าขืนเธอกลับก่อน ไม่รู้ว่าจะโดนชิษวัศต่อว่าต่อขานอย่างไรอีก แม้มันจะเป็นเวลาเลิกงานของเธอแล้วก็ตาม
“เย็นนี้คุณว่างไหม” จู่ๆชิษวัศก็ถามขึ้น ทำเอาอีกหนึ่งสาวที่อยู่ในห้องเดียวกันตั้งตัวไม่ถูกไปเลยทีเดียว
“ก็...นัดกับเพื่อนไว้ตอนหนึ่งทุ่มคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ชิษวัศหรี่ตามองร่างบางเมื่อได้ยินคำตอบของเธอ...นัดกับเพื่อนไว้หรือ
“เพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย” ไวเท่าความคิด ชิษวัศโพล่งคำถามที่ผุดขึ้นในใจออกมาอย่างรวดเร็วจนเจ้าตัวก็ยังคาดไม่ถึงทีเดียวว่าจะพูดอะไรออกไปอย่างนี้ พูดดอกไปก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตาย จะไปสนใจทำไมว่าเธอจะไปกับเพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย นั่นมันเรื่องของเธอ แกจะไปสนใจทำไมชิษวัศ ท่องเข้าไว้ แกไม่นิยมเด็ก ไม่นิยม!!
มุกตาภาเองก็แสดงออกว่าเธอไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ชิษวัศกำลังล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเธอ...อีกครั้ง
“เรื่องส่วนตัวนะคะ ว่าแต่คุณมีอะไรหรือเปล่า” เธอไม่ตอบคำถามของเขา และยังคงย้ำเขาด้วยคำถามเดิม แต่เธอก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบจากคำถามของเธออยู่ดี เมื่อชิษวัศตั้งคำถามถามเธอกลับว่าเธอนัดกับเพื่อนที่ไหน และเพื่อเป็นการตัดปัญหาเธอจึงบอกชื่อห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านราชประสงค์ เพราะไม่อยากที่จะต้องต่อความยาวสาวความยืด ตอบคำถามเขาให้เสร็จไปจะได้จบๆกันเสียที
หากทุกอย่างก็หาได้เป็นอย่างที่มุกตาภาคิดไม่ เมื่อชิษวัศสั่งงานกลางอากาศจนหญิงสาวแทบจะทรุดลงกับโต๊ะทำงานเมื่อเขาสั่งให้เธอไปร้านเพชรที่เขาร่วมหุ้นเปิดกับเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งซึ่งบังเอิญเสียเหลือเกินว่าตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่เดียวกับที่เธอนัดเพื่อนไว้ โดยอธิบายเพิ่มเติมเสียด้วยว่าเป็นหนึ่งในหน้าที่การเป็นผู้ช่วยของเขา แม้เธอจะเถียงว่าเธอทำงานในฐานะการเป็นผู้ช่วยที่บริษัทนี้เท่านั้น ไม่ได้เป็นผู้ช่วยในธุรกิจที่เขาต้องเข้าไปดูแล แต่เมื่อถูกตอกกลับด้วยเรื่องสัญญาว่าจ้างที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเธอจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของชิษวัศในทุกงานที่เขามอบหมายโดยอยู่ในขอบเขตการบริหารงานของตระกูล ‘ตตินรากรณ์’ มุกตาภาก็ไม่รู้ว่าจะเถียงต่อไปว่าอย่างไร เพราะสัญญาใบนั้นเธออ่านอย่างละเอียดรอบคอบและลงชื่อยินยอมที่จะทำตามด้วยตัวของเธอเองไม่ได้มีใครไปบังคับเธอเลยแม้แต่น้อย
“ช่วยผมดูแลร้านเพชร ไม่ยากนักหรอก ที่ร้านมีผู้จัดการร้านอยู่แล้ว ผมแค่อยากให้คุณดูเรื่องบัญชี” ชิษวัศบอก มือหนึ่งปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ลงก่อนจะหยิบเสื้อสูทสีดำขึ้นมาสวม
“แล้วคุณไม่มีคนทำบัญชีให้หรือไง ทำไมต้องให้ฉันไปดูด้วย”
“มี แต่ผมอยากให้คุณช่วยตรวจสอบอีกรอบหนึ่ง ถึงจะไม่ได้จบบัญชีแต่ก็จบเศรษฐศาสตร์มาไม่ใช่หรือ แค่นี้ผมว่าคุณน่าจะทำได้นะ หรือว่าผมประเมินคุณสูงเกินไป” ชายหนุ่มกล่าวยิ้มๆ ยอมรับว่าตั้งใจที่จะกวนโมโหอีกฝ่าย แล้วดูเหมือนจะได้ผลดีเสียด้วยเมื่อเห็นว่ามุกตาภาเชิดหน้าขึ้น ดวงตากลมโตคู่นั้นมีแววตาโกรธกรุ่น ริมฝีบางบางเม้มแน่น คงจะกำลังโมโหที่โดนเขาสบประมาทเข้าให้อีกครั้ง
“เจอกันที่ร้านเลยแล้วกันนะคะ...คุณชิษวัศ!” เธอบอก ปลายน้ำเสียงสะบัดขึ้นเล็กน้อยยามเมื่อเอ่ยชื่อของเจ้านายหนุ่ม มุกตาภากวาดของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว หอบแฟ้มที่ต้องเอาไปศึกษาต่อที่บ้านกลับไปด้วยอีกสองสามแฟ้มก่อนจะเดินลิ่วออกจากห้องไป แต่ก็ยังไม่วายชะโงกหน้ามาเตือนคนที่ยังไม่ออกจากห้องทำงานเสียอีกต่างหาก
“หวังว่าจะไม่สายนะคะ คุณเจ้านาย” บอกไว้แค่นั้นแล้วก็สะบัดหน้าจากไป ชิษวัศส่ายหน้ากับการกระทำเหล่านั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เด็กหนอเด็ก...แบบนี้อย่างไรเล่าเขาถึงได้ประกาศไว้ว่าจะไม่คบผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าตัวเองเด็ดขาด อย่างน้อยชายหนุ่มก็คิดมาเสมอว่าการคบผู้หญิงที่อายุใกล้เคียงกันจะทำให้เข้าใจซึ่งกันและกันได้มากกว่าที่จะคบผู้หญิงที่อายุต่างกันมากเกินไป เพราะเขาไม่อยากที่จะต้องมาคอยปวดหัวตามง้องอนแม่เด็กเอาแต่ใจที่ชอบใช้อารมณ์มาก่อนเหตุผล แถมต่อมความอดทนยังอยู่เสียต่ำ ยั่วนิดยั่วหน่อยก็โมโห ผู้หญิงประเภทนี้...ชิษวัศให้ความคิดเห็นไว้ว่าไม่เหมาะกับตัวเองอย่างที่สุด และที่สำคัญ...ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการที่จะพาไปพบคุณปู่รันและคุณปู่รินในฐานะ...หลานสะใภ้
พอคิดมาถึงเรื่องนี้ ชิษวัศก็รู้สึกทุกทีว่าเหมือนมีก้อนหินมาวางไว้บนอก มันรู้สึกเหมือนว่าออกซิเจนกำลังจะหมดโลก เหมือนตนเองกำลังจะขาดใจตายในไม่ช้า ปัญหาการหาหลานสะใภ้ให้คุณปู่ทั้งสองยังคงเป็นปัญหาที่ชายหนุ่มขบคิดหาทางยังไงก็ยังหาทางไม่ออก ยิ่งพอนึกถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียถ้าทำตามความต้องการของคุณปู่ไม่สำเร็จด้วยแล้ว ชิษวัศแทบอยากจะบ้าวันละสามเวลาหลังอาหาร ยิ่งถ้าบรรดาน้องๆต่างพาหลานเขยหลานสะใภ้มาให้คุณปู่คู่แฝดได้ชมกันหมดแล้วเกิดเขาหาไม่ได้อยู่คนเดียว ในฐานะที่เป็นหลานชายคนโตของตระกูล มีหวังได้ขายหน้าตาย ทั้งภูมิรพีและกันตวิชญ์คงได้ดูถูกเป็นแน่ว่าพี่อาร์ม...ไร้น้ำยา
...ถ้าเป็นแบบนั้น ให้ตายยังไงก็รับไม่ได้ ไม่-มี-ทาง!!!...
ไม่ทันที่จะได้ปวดหัวภารกิจของคุณปู่แฝดต่อ โทรศัพท์ที่ทั้งสั่นและส่งเสียงร้องได้ดึงความสนใจของชิษวัศกลับมา ชายหนุ่มมองโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน แค่เห็นเพียงเสี้ยวหน้าที่แสดงบนหน้าจอ ชิษวัศก็รู้ได้ทันทีว่าใครโทรมา แม้จะไม่อยากรับแต่ก็ต้องรับเพราะถ้าคิดในแง่ดี บางทีอารัทธ์อาจจะโทรมาเรื่องงาน ซึ่งความเป็นไปได้มีน้อยมากจนเกือบเป็นศูนย์
“มีอะไร” ชิษวัศกรอกเสียงไปตามสายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ อารัทธ์มักโทรมาผิดที่ผิดเวลาเสมอ ยิ่งช่วงนี้ไม่รู้ว่าเจ้าเพื่อนบ้ามันนึกครึ้มอะไร ชอบโทรมาตอนที่เขากำลังเครียดๆอยู่พอดี
“โห...ถามซะเสียงอาฆาตเชียว ฉันเพื่อนแกนะโว้ย ไม่ใช้ศัตรูแต่ชาติปางก่อน” ปลายสายแซวมาด้วยน้ำเสียงทะเล้นตามนิสัย
“ขอประเด็นเลยไอ้อาร์ท”
“วันนี้เข้าร้านหรือเปล่าวะ”
“เข้า”
“เออ งั้นแค่นี้ล่ะ เจอกันที่ร้าน” แล้วปลายสายก็ตัดไป ไม่ได้สนใจเลยว่าคนอีกฝั่งหนึ่งจะมีอาการเช่นไร ชิษวัศมองโทรศัพท์ในมือด้วยอาการค้างนิ่งอยู่กับที่ไปครู่หนึ่ง นานทีปีหนที่อารัทธ์จะเข้าไปดูร้านที่มันเองก็มีหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง แล้วทำไมวันนี้ผีอะไรเข้าสิงถึงทำให้คนอย่างอารัทธ์เข้าร้านได้ แถมยังเข้าไปในวันที่เขากำลังจะพามุกตาภาไปเรียนรู้งานที่ร้านเสียด้วย มันจะบังเอิญไปไหม ขืนอารัทธ์รู้ว่าผู้ช่วยคนใหม่ของเขาเป็นสาวชุดเหลืองในคืนนั้นไม่รู้ว่ามันจะคิดทำอะไรแผลงๆอีกหรือเปล่า เขาล่ะกลัวใจมันจริงๆ
...เอาวะ! อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไปแก้สถานการณ์เอาดาบหน้าก็แล้วกัน!!...
----------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนหน้าตัววุ่นจะโผล่แล้วนะคะ ฮ่าๆๆๆ
ตอบเมนท์จ้า...
roseolar : ท่าทางจะรอดยากค่ะ ฮ่าๆ เอามาลงให้ก่อนวันศุกร์นะคะ พอดีว่าปอแก้วกำลังว่าง ฮา...ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ
anOO : เก๊กได้ไม่นาน เดี๋ยวก็หลุดค่ะ ก็ชอบเด็กแรกพบซะขนาดน้านนนน
Amata : ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ :)
violette : เขาจะค่อยๆหวานนะคะ ฟอร์มพ่อคุณเขาเยอะ ฮ่าๆ
nunoi : ตอนต่อไปมาแล้วค่ะ ชอบไม่ชอบยังไงบอกได้นะคะ พี่อาร์มเริ่มจะทำคะแนนจากคนอ่านแล้ว เย้ๆ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ธ.ค. 2554, 20:18:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ธ.ค. 2554, 20:42:38 น.
จำนวนการเข้าชม : 2006
<< เขตพื้นที่ที่ 1 : ผลิดอก...ออกรัก : ตอนที่ 2 | เขตพื้นที่ที่ 1 : ผลิดอก...ออกรัก : ตอนที่ 4 >> |

violette 8 ธ.ค. 2554, 22:00:16 น.
กลัวชอบเด็กอะไรจะขนาดน้านนนนนน อิอิ
กลัวชอบเด็กอะไรจะขนาดน้านนนนนน อิอิ

Amata 9 ธ.ค. 2554, 08:55:42 น.
แล้วจะคอยดูว่าอาร์มคุงจะกลืนน้ำลายตัวเองเมื่อได๋ ^^
แล้วจะคอยดูว่าอาร์มคุงจะกลืนน้ำลายตัวเองเมื่อได๋ ^^

WallyValent 9 ธ.ค. 2554, 09:01:39 น.
หึหึ จะรอดเหรอพี่อาร์ม xD
หึหึ จะรอดเหรอพี่อาร์ม xD

roseolar 9 ธ.ค. 2554, 11:55:56 น.
พี่อาร์มน่ารักอะ แหมแหม ทำเป็นปากแข็ง แอบเป็นห่วงเค้าอยู่เหมือนกันแหละ อิอิ
พี่อาร์มน่ารักอะ แหมแหม ทำเป็นปากแข็ง แอบเป็นห่วงเค้าอยู่เหมือนกันแหละ อิอิ


tutas 12 ธ.ค. 2554, 15:57:55 น.
ไปถึงร้านเมื่อไหร่โดนคุณอาร์ทกัดแน่เลยพี่อาร์มเอ้ยย ลุ้นๆๆๆ จะเป็นยังต่อน้า ^__^
ไปถึงร้านเมื่อไหร่โดนคุณอาร์ทกัดแน่เลยพี่อาร์มเอ้ยย ลุ้นๆๆๆ จะเป็นยังต่อน้า ^__^

ryoku 12 ธ.ค. 2554, 21:09:14 น.
พึ่งได้เข้ามา แหะๆ รอไปนานๆอ่านทีเดียวเลยแล้วกันอย่างนี้ ><"~
ปอแก้วสู้ๆนะจ๊ะ :] ไว้มาเล่นโฟโต้ชอปกันใหม่ อิอิ
พึ่งได้เข้ามา แหะๆ รอไปนานๆอ่านทีเดียวเลยแล้วกันอย่างนี้ ><"~
ปอแก้วสู้ๆนะจ๊ะ :] ไว้มาเล่นโฟโต้ชอปกันใหม่ อิอิ