ต้องชะตารัก By ณพรชล
ความรักของมนุษย์เราจะมั่นคงสักแค่ไหนกันนะ

หากว่าคนที่เรารักที่สุดกลับจำเรื่องราวระหว่างกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เราควรจะทำอย่างไรดี

ทำทุกวิถีทางให้เธอจำได้

ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป

หรือ สร้างความทรงจำใหม่ให้กับเธอ

ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร

"ผมไม่รู้ว่าสำหรับพี่ต้นแล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดี หรือ แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ แต่ในความรู้สึกของผมปลายข้าวไม่ใช่แค่ความหลง ไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ หรือแม้แต่ความสงสารใดๆ แต่ปลายข้าวคือความรัก ชีวิต และจิตใจของผม เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมรู้ในทันทีว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าผมยังเด็กเกินไป แต่ตอนนี้ผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าปลายข้าวยังเป็น ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม คือคนที่ผมอยากมีอนาคตร่วมกับเธอและไม่มีใครสามารถแทนที่เธอได้ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ปลายข้าวอยู่ใกล้ๆ เคียงข้างผมได้โดยไม่ให้เธอเสียหายหรือมีใครมาครหา"
Tags: พี่สกาย ปลายข้าว

ตอน: ตอนที่ 6

ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ
ด้วยรักและจุ๊บๆ ^^
ปอรินทร์

6.

ร่างสูงของผู้เป็นลูกชายเดินเข้ามาเพียงคนเดียวไร้เงาหญิงสาวนามว่าธัญพัชรเดินเคียงข้าง ทั้งที่ก่อนจะพากันหายไปทั้งคู่นั้น คุณจักรินทร์ยังเห็นผู้เป็นลูกชายเดินเข้าไปหาหญิงสาวแล้วก็พากันหายออกไปจากงานจนเขาต้องให้พลไปตาม

“แล้วหนูปลายกับเพื่อนเขาล่ะลูก ทำไมไม่เข้างานมาพร้อมกันกับเรา” คุณยุพเรศเอ่ยถามขึ้น

“คือ...พอดีว่าพี่สาวของน้องปลายกำลังจะคลอดลูกน่ะครับ เธอเลยขอกลับไปดูแล ส่วนน้องน้ำตาลไปเข้าห้องน้ำครับอีกสักพักคงจะเข้ามาในงาน” กายนภัสนิ์ตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก

“แล้วแกจะมาทำหน้าเป็นหมาหง่อยทำไมกันเจ้าสกาย เดี๋ยวสองสามวันหนูปลายเขาก็จะมาทำหน้าที่เลขาให้แกอยู่แล้ว หรือไม่พรุ่งนี้แกก็ไปเยี่ยมพี่สาวเขาก็ได้” คุณจักรินทร์อดหมั่นไส้ ’อาการ’ ของลูกชายไม่ได้

“โธ่! พ่อครับ..”

“พอได้แล้วค่ะ! ทั้งพ่อทั้งลูกเลย จะมาต่อปากต่อคำอะไรกันตรงนี้คะ มีอะไรค่อยไปเคลียร์กันที่บ้านสิ โน่น!พิธีกรเชิญคุณกับลูกขึ้นไปเวทีแล้วนะคะ”คุณยุพเรศเอ่ยเสียงเข้ม ทำให้ ’พ่อลูกจอมหาเรื่อง’ กลายเป็น ‘ท่านประธานและว่าที่ท่านประธาน’ บริษัทเจเอ็นกรุ๊ปในทันที

เสียงโทรศัพท์ของกายนภัสนิ์ดังขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจบนเวทีเพียงไม่นาน กายนภัสนิ์รับโทรศัทพ์เพียงไม่นานสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปจากที่ดูเศร้ากลับกลายเป็นยิ้มระรื่น จนคุณจักรินท์และคุณยุพเรศมองอาการของผู้เป็นลูกชายอย่างสงสัย



ร่างบางระหงหอบของพะรุงพะรังเดินเข้ามาในโรงพยาบาล พบว่ามีชายหนุ่มร่างสูงที่เธอคุ้นหน้าเป็นอย่างดียืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล

“สวัสดีค่ะพี่สกาย มาทำอะไรที่โรงพยาบาลค่ะเนี่ย”

“อ้าว! สวัสดีครับ พอดีพี่มาเยี่ยมพี่ต้นน่ะครับ แล้วน้องน้ำตาลล่ะครับมาทำอะไร มาครับน้องน้ำตาลเดี๋ยวพี่ช่วยถือของให้” กายนภัสนิ์ทักทายพลางเอื้อมมาหยิบข้าวของจากมือของนวลตามาถือเอง คาดว่าหญิงสาวก็คงจะมาเยี่ยมคนคนเดียวกัน แล้วก็เป็นไปตามคาด

“น้ำตาลก็มาเยี่ยมพี่ต้นเหมือนกันค่ะ น้ำตาลว่าจะมาดูหน้าหลายเสียหน่อย เมื่อวานกว่าจะเสร็จงานก็ดึกมากแล้ว เลยรวบยอดมาเยี่ยมวันนี้แต่เช้าเลยก็แล้วกัน แล้วพี่สกายรู้ห้องหรือยังคะ เดี๋ยวน้ำตาลพาไปก็ได้ค่ะ” น้ำตาลว่าแล้วก้าวเดินนำชายหนุ่มไปยังแผนกสูตินารีเวชโดยมีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองตาไม่กระพริบ

เสียงร้องของทารกตัวน้อยดังลั่นจนออกมานอกห้อง เมื่อทั้งสองเปิดประตูเข้าไปก็พบกับภาพที่กายนภัสนิ์อยากให้เกิดขึ้นกับตนเองเสียเหลือเกิน เมื่อหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจกำลังอุ้มทารกน้อยแนบอกพลางกล่อมเจ้าตัวเล็กให้เงียบโดยไว ถ้าหากว่าเจ้าตัวเล็กที่หญิงสาวอุ้มอยู่เป็นลูกของเขาและเธอมันคงจะดีไม่น้อย

“โอ๋ๆ น้องพีทคนเก่งของน้าปลาย เงียบนะลูก คุณพ่อกำลังพาคุณแม่ไปเข้าห้องน้ำอยู่นะครับ เงียบก่อนนะลูก โอ๋ๆ”

“น้องพีทเป็นอะไรเหรอปลาย ร้องซะลั่นห้องเลย เสียงงี้ดังออกไปนอกห้องเชียว” นวลตาบอกพลางวางข้างของที่อยู่ในมือบนโต๊ะ

“อ้าว! น้ำตาลมาแล้วเหรอจ๊ะ เอ่อ...สวัสดีค่ะพี่สกาย สงสัยน้องพีทคงจะหิวนมแล้วล่ะ แต่พี่ไมล์เพิ่งพาพี่ต้นไปเข้าห้องน้ำน่ะ โอ๋ๆ คนเก่งของน้าไม่ร้องนะลูก” ธัญพัชรเอ่ยทักผู้มาใหม่ทั้งสอง แล้วก้มลงปลอบเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขน ไม่นานประตูในห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมทั้งคุณพ่อป้ายแดงกำลังอุ้มคุณแม่มือใหม่ที่กำลังอายม้วนเมื่อรู้ว่าในห้องพักฟื้นผู้ป่วยนั้นไม่ได้มีเพียงแค่น้องสาวของเธอและสามี

“พี่ไมล์มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย ไหนว่ากว่าจะประชุมเสร็จก็อีกตั้งสามสี่วันไงคะ” นวลตาถามขึ้นทันที

“พี่เพิ่งบินกลับมาถึงเมื่อคืนน่ะ” พันไมล์บอกก่อนที่จะวางร่างของภรรยาบนเตียงผู้ป่วยอย่างนุ่มนวล

“พี่ไมล์ พี่ต้นค่ะ นี่คือพี่สกายเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัยแล้วก็...”นวลตาพูดยังไม่ทันจบดีกายนภัสนิ์ก็รีบขึ้นมาเสียก่อน

“แล้วก็เป็นเพื่อนร่วมงานน่ะครับ พอดีว่าผมทราบจากน้องปลายมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ ว่าพี่ต้นเข้าโรงพยาบาล ตั้งใจว่าจะมาเยี่ยมพี่ต้นตั้งแต่เมื่อคืนพร้อมน้องปลายแล้วแต่พอดีว่าผมติดธุระสำคัญก็เลยมาเยี่ยมพี่ต้นวันนี้แทนน่ะครับ”

“อืม! ขอบคุณนะที่มาเยี่ยมว่าแต่นายสบายดีใช่ไหม พี่เห็นหายเงียบไปนานเลย” พันไมล์ชวนชายหนุ่มที่มาใหม่ตรงหน้าคุยกันอย่าสนุกสนาน ส่วนผู้เป็นภรรยาก็รับเด็กชายพิริยากร หรือน้องพีทลูกชายตัวน้อยมาจากน้องสาวได้ก็รีบให้ลูกน้อยดูดนมจากอกโดยหันหลังให้กับทุกคนในห้อง เสียงของหนูน้อยจึงเงียบลง จวบจนเมื่อนางพยาบาลเข้ามานำตัวน้องพีทที่ดื่มนมจนอิ่มแล้วไปไว้ในห้องเด็กอ่อน

“น้ำตาลกับปลายไปซื้อของให้พี่ไมล์หน่อยสิ” ธัญกาญจน์เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ต้นจ๋าจะให้ปลายไปซื้ออะไรเหรอคะ” ผู้เป็นน้องสาวถามอย่างสงสัย ธัญกาญจน์มองหน้าสามีเพียงชั่วครู่ สามีก็เอ่ยแทนในทันทีราวกับรู้ความหมายของแววตานั้น

“อ๋อ! พี่จดรายการไว้ให้แล้ว พอดีพี่รีบบินกลับมาเลยลืมเอาของบางอย่างกลับมาด้วยนะ เดี๋ยวพี่ไปหยิบให้นะ” พันไมล์เดินไปหยิบกระดาษแล้วก็เขียนอะไรยุกยิกอีกสองสามตัวแล้วเอายัดใส่มือนวลตาทันที “ไม่ต้องรีบกลับนะ ค่อยๆ เลือกซื้อก็ได้” พันไมล์ไม่ปล่อยให้สองสาวได้มีเวลาสงสัยนานนัก เขาก็รีบจัดการให้ทั้งคู่ออกจากห้องพักผู้ป่วยในทันที

“แม่ต้น เดี๋ยวพ่อออกไปโทรศัพท์สั่งงานลูกน้องก่อนนะ” พันไมล์เอ่ยก่อนจะเดินออกจากห้องไป ตอนนี้ในห้องจึงเหลือแค่ธัญกาจน์กับกายนภัสนิ์เพียงสองคนเท่านั้น

“ฉันพอรู้เรื่องราวระหว่าคุณกับปลายข้าวมาบ้างแล้วจากน้ำตาล แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากของคุณมากกว่าค่ะ คุณกายนภัสนิ์” ธัญกาญจน์เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน

“ครับ” กายนภัสนิ์ตอยรับสั้นๆ เขาเริ่มรับรู้ถึงบรรยากาศอึมครึมตั้งแต่ที่ธัญกาญจน์ ‘ไล่’ สองสาวออกจากห้องแล้ว

“คุณรู้จักปลายข้าวมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ธัญกาญจน์เริ่มถามคำถามแรกทั้นที

“ผมรู้จักน้องปลายมาตั้งแต่สมัยที่เรียนมัธยมครับ”

“ทำไมคุณถึงรักปลายข้าว” คำถามสั้นๆ ง่ายๆ ทำเอากายนภัสนิ์อื้งไปชั่วขณะ

“เอ่อ...”

“คุณจริงใจกับปลายข้าวมากขนาดไหน”

“...”

“คุณแน่ใจหรือ ว่ามันคือความรักไม่ใช่แค่ความหลง ความสงสารหรือความผูกพันธ์แบบเด็กๆ”

“...”

“คุณคิดว่าจะดูแลปลายข้าวได้ดีไหม คุณจะใส่ใจปลายข้าวแค่ไหน แล้วอนาคตคุณจะหายออกไปจากชีวิตของปลายข้าวไปอีกหรือเปล่า” ธัญกาญจน์รั่วคำถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบ

“ผมไม่รู้ว่าสำหรับพี่ต้นแล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดี หรือ แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ แต่ในความรู้สึกของผมปลายข้าวไม่ใช่แค่ความหลง ไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ หรือแม้แต่ความสงสารใดๆ แต่ปลายข้าวคือความรัก ชีวิต และจิตใจของผม เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมรู้ในทันทีว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าผมยังเด็กเกินไป แต่ตอนนี้ผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าปลายข้าวคือ ‘คนที่ใช่’ คือคนที่ผมอยากมีอนาคตร่วมกับเธอและไม่มีใครสามารถแทนที่เธอได้ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ปลายข้าวอยู่ใกล้ๆ เคียงข้างผมได้โดยไม่ให้เธอเสียหายหรือมีใครมาครหา”

กายนภัสนิ์พูดทุกคำที่เอ่ยออกมาล้วนกลั่นกรองมาจากหัวใจด้วยหวังว่าพี่สาวของคนที่เขารักจะรับรู้และเข้าใจในความรู้สึกที่เขามีให้กับธัญพัชรว่ามันไม่ใช่ความรักที่ฉาบฉวย แต่มันคือความรักที่มั่นคงไม่ไหวเอนต่อสิ่งใด

“รักทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณไม่เคยมีตัวตนในความทรงจำของปลายข้าวเลยแม้แต่น้อยน่ะหรือ คุณจะยังรักปลายข้าวอยู่อีกหรือถ้าหากเธอไม่มีคุณอยูในเศษเสี้ยวของความทรงจำเลย”

“หมายความว่าอย่างไรครับพี่ต้น” กายนภัสนิ์ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย

“ปลายข้าวได้รับอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน ทำให้เธอสูญเสียความทรงจำ ปลายข้าวจำคนรอบข้างในตอนนั้น ไม่ได้ แม้แต่พ่อตัวเอง แต่กลับจำฉันที่เพิ่งกลับจากเรียนต่อได้เพียงคนเดียว หมอบอกว่าปลายข้าวสูญเสียความทรงจำเพียงแค่บางส่วน อาจต้องเวลาในการฟื้นฟูความทรงจำ บางคนใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือนก็จำได้ บางคนใช้เวลาเป็นสิบปี หรือไม่...ก็อาจจะจำไม่ได้เลยตลอดชีวิต ฉันเลยเป็นคนดูแลปลายข้าวานับแต่นั้น ทุกครั้งที่ฉันพยายามรื้อฟื้นความทรงจำต่างๆ ให้ปลายข้าว เธอจะปวดหัวจนฉันทรมานไปด้วยจนฉันไม่กล้าพูดอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องในอดีตอีก เมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้วคุณยังจะรักปลายข้าวอยู่อีกหรือ”

ธัญกาญจน์พรั่งพรูทุกสิ่งออกมาทั้งน้ำตา เพราะเรื่องราวในอดีตทำให้เธอได้แต่โทษตัวเองมาตลอด ถ้าเธอไม่ละเลยความรู้สึกของผู้เป็นน้องสาว เรื่องร้ายๆ คงไม่เกิดขึ้นกับน้องสาวคนเดียวของเธอแบบนี้ ส่วนกายนภัสนิ์นั้นเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับท่าทีของธัญพัชรที่แสดงออกมาเหมือนไม่รู้จักเขา

“ผม...ผมคงบอกพี่ต้นได้เพียงว่า...ไม่ว่าปลายข้าวจะลืมผมไปอีกสักกี่ครั้ง ผมก็จะพยายามทำให้เธอจำผมให้ได้ทุกครั้ง พี่ต้นจะเชื่อผมหรือไม่ก็ตาม ผมยินดีให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกสิ่งทุกคำพูดของผมครับ” เพราะน้ำเสียงและสายตาที่แน่วแน่มั่นคงไม่หวั่นไหวกับสิ่งใดของกายนภัสนิ์ ทำให้ธัญกาญจน์เริ่มเชื่อว่าคนตรงหน้า ‘ทำได้จริงอย่างที่พูดไว้’

“งั้นก็ขอให้ทำได้อย่างที่พูดไว้ก็แล้วกัน”



ส่วนสองสาวที่โดน ’ไล่’ ออกมาจากห้องแบบ ‘ไม่รู้ตัวนั้น’ ก็ได้แต่ไปซื้อของให้พันไมล์อย่างอดสงสัยไม่ได้ เพราะของที่พันไมล์ให้มาซื้อนั้น แค่โทรศัพท์บอกให้ที่บ้านเอามาให้ก็ได้แล้ว แต่อะไรก็ไม่น่าสงสัยเท่าโน้ตตอนท้ายของกระดาษที่ว่า ‘ไม่ต้องรีบกลับมาหรอกนะ ไปเดินเล่นกันสักชั่วโมงก็ได้นะ’

“น้ำตาล! ปลายว่ามันแปลกๆ นะ” ธัญพัชรเอ่ยขึ้นในที่สุด หลังจากเดินซื้อของมาได้สักพัก

“หือ! อะไรหรือปลาย” นวลตาถามขณะเลือกซื้อครีมอาบน้ำให้ผู้เป็นพี่ชาย

“ก็ต้นจ๋ากับพี่ไมล์น่ะสิแปลก ทำไมต้องให้เราออกมาซื้อของพร้อมกันด้วย แถมของแค่นี้โทรบอกนมรุ้งให้ฝากปลายมาให้ก็ได้ไม่เห็นต้องซื้อเลย น้ำตาลว่าไหม” ธัญพัชรถามพลางหยิบยาสระผมยี่ห้อหนึ่งใส่ตระกร้า

“ไม่รู้สิ น้ำตาลว่าพี่ต้นกะพี่ไมล์คงอยากจะคุยกับพี่สกายตามลำพังล่ะมั้ง” นวลตาตอบพลางหิ้วตะกร้าเดินไปที่จุดชำระเงิน

“แล้วทำไมต้องคุยกันตามลำพังด้วยล่ะ พี่สกายเขาเป็นแค่รุ่นพี่ที่ทำงานเองนะ ปลายว่าไม่น่าจะมีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยกันตามลำพังเลย” ธัญพัชรพูด มือก็ช่วยนวลตาหยิบของออกจากตระกร้าเพื่อชำระเงิน

“ก็...”ยังไม่ทันที่นวลตาจะพูดต่อ ธัญพัชรก็รู้สึกถึงแรงกระแทกจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังซวนเซ ธัญพัชรึงะรีบพยุงร่างของหญิงชรานั้นไว้ก่อนที่จะล้มลงไป

“คุณยายคะ! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ น้ำตาลจ่ายเงินไปก่อนนะ เดี๋ยวปลายพาคุณยายออกไปก่อน” ธัญพัชรบอกแล้วรีบพยุงร่างของหญิงชรานั้นออกจากบริเวณนั้นที่มีคนค่อนข้างพลุพล่าน

“ยายขอบใจหนูมากนะ ที่ช่วยพายายออกมาจากตรงนั้นได้ ถ้าไม่มีหนูป่านนี้ยายคงแย่แน่ๆ เลย” หญิงชราขอบคุณเป็นการใหญ่ หลังจากที่นางได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากหญิงสาวตรงหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะคุณยาย หนูว่าคุณยายไปให้หมอดูอาการหน่อยไหมคะ เดี๋ยวหนูพาไป” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วง

“โอ๊ย! ไม่ต้องหรอกจ๊ะหนู เมื่อกี้ยายแค่ตาลายเพราะคนมันเยอะ แต่ตอนนี้ยายหายดีแล้วล่ะจ๊ะ ขอบใจหนูมากๆ เลยนะจ๊ะ” หญิงชราบอกพลางเอื้อมมาจับมือคนตรงหน้า “เอาอย่างนี้แล้วกันนะ เดี๋ยวยายดูดวงให้หนูเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน”

“เอ่อ...คือ...หนูไม่...”

“ยายไม่คิดตังค์หรอกจ๊ะ หรือถ้าหนูไม่เชื่อ...ฟังเอาไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนี่จ๊ะ” หญิงสาวจนด้วยคำพูดเพราะหญิงชราเล่นดักทางปฏิเสธไว้เสียหมด ธัญพัชรจึงยิ้มรับแบบแกนๆ

“ดวงของหนูเนี่ยแปลกนะ ทุกครั้งที่หนูเสียอะไรบางอย่างไป หนูมักจะได้บางสิ่งบางอย่างทดแทนเสมอ แถมช่วงนี้หนูมีเกณฑ์ที่จะเจอเนื้อคู่เสียด้วยสิ เนื้อคู่ของหนูเป็นคนใกล้ตัว แล้วก็เป็นคนที่ทำทุกอย่างได้เพื่อหนูคนเดียว...”

“คือ...หนู...”

“จำคำยายเอาไว้นะลูก คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอก...”

“อ้าว! คุณยายคะ คุณยายหายดีแล้วหรือคะ ทำไมยังไม่พาคุณยายไปหาหมอล่ะ” น้ำตาลรีบเดินหอบของมาพะรุงพะรังเดินมาทางหญิงสาวต่างวัยทันที เมื่อหลุดมาจากฝูงชนแออัดมาได้

“ยายไม่เป็นอะไรแล้วล่ะจ๊ะหนู อย่าไปว่าเพื่อนหนูเลยนะ เนี่ย! ยายกำลังดูดวงให้แม่หนูคนนี้เป็นการตอบแทนอยู่จ๊ะ หนูสนใจจะดูด้วยไหม เดี๋ยวยายดูให้” หญิงชราบอกอย่างใจดี

“เอ่อ...พอดีหนูไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่” นวลตาพยายามปฎิเสธเสียงนิ่ม

“เอาเถอะจ๊ะ ดูไว้ไม่เสียหายหรอกจ๊ะ”

“หนูเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน แม้ว่าหนูจะแสดงออกว่าเข้มแข็ง แต่จริงๆ แล้วหนูไม่ใช่คนเข้มแข็งหรือใจแข็ง อย่างที่แสดงออกมา...จริงไหม” หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่ประโยคต่อมาก็ทำให้เธอตัวชาวาบ

“สิ่งที่หนูสูญเสียไปนั้น ถึงมันไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีก แต่สิ่งที่หนูกำลังจะได้กลับคืนมานั้นมันจะล้ำค่ากว่าทุกสิ่งที่เคยได้มา สุดท้ายก็แล้วกัน ช่วงหนูมีเกณฑ์จะได้เดินทางไกลนะ เตรียมตัวให้ดีนะจ๊ะ...”

“แม่คะ! อยู่ตรงนี้เอง หนูตกใจหมดเลย ตอนที่ไม่เห็นแม่ในร้านน่ะ” หญิงร่างท้วมคนหนึ่งเดินเข้ามาหาหญิงชราพร้อมเด็กชายวัยสิบขวบ

“แม่แค่หน้ามืดตอนไปซื้อขนมให้ไอ้ตัวเล็กมัน แต่พอดีว่าได้แม่หนูสองคนนี้ช่วยเอาไว้เลยดีขึ้นแล้ว” หญิงชราตอบอย่างใจดี

“ป้าขอบใจหนูสองคนมากนะจ๊ะ ที่ช่วยแม่ของป้าเอาไว้”

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ งั้นพวกหนูขอตัวก่อนแล้วกันนะคะ” สองสาวเอ่ยลา แต่ก่อนที่จะเดินจากไปหญิงชราก็พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้นวลตาถึงกับชะงัก

“หนูจ๊ะ อะไรที่เรายิ่งหนีมันก็จะยิ่งเจอนะ...”



หลังจากวันที่กายนภัสนิ์ไปเยี่ยมพี่สาวของเธอที่โรงพยาบาล เธอก็ไม่โอกาสได้เจอกายนภัสนิ์อีก จนกระทั่งวันจันทร์ซึ่งเป็นวันแรกของสัปดาห์และวันแรกของเดือนใหม่ ซึ่งมันคงมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตของหญิงสาวอีก แต่ที่แน่ๆ ในตอนนี้ก็คงจะเป็นหน้าที่ใหม่กับเจ้านายคนใหม่ของเธอ เมื่อวันศุกร์เธอก็มัวแต่กังวลกับอาการของพี่สาวเสียจนไม่ได้เข้าไปร่วมงาน ทั้งๆ ที่รับปากกับภาวิณีไว้แล้ว

“เฮ้อ! จะโดนท่านประธานว่าไหมนะ ที่เมื่อวันศุกร์เราดันไม่ได้เข้าไปในงาน” ธัญพัชรเอ่ยกับตัวเองขณะขึ้นลิฟท์ เมื่อถึงชั้นที่ต้องการก็พบว่าส่วนที่เคยเป็นโต๊ะทำงานของภาวิณี ซึ่งมันน่าจะเป็นโต๊ะทำงานของเธอนั้น กลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งมานั่งอยู่ก่อนแล้ว



ปอรินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2554, 17:20:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 เม.ย. 2554, 16:56:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1951





<< ตอนที่ 5   ตอนที่ 7 >>
ปลาวาฬสีน้ำเงิน 14 เม.ย. 2554, 18:36:46 น.
มาลองดูเนอะ ตอนต่อไป ต่อไป ว่าคุณยายจะดูดวงแม่นป่ะ


ทองหลาง 17 เม.ย. 2554, 08:52:20 น.
อีหนู มีคำตกหล่นหายอยู่นะจ๊ะ...ตรงไหนไม่บอก หาเอง ฮ่าๆๆๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account