จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...
ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน
ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น
" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”
ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน
ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น
" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 31
---- แวะคุยกันก่อน ----
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
ตอนหน้าไขหมดทุกอย่างแล้วนะเจ้า
เดี๋ยวมาดูว่าลุงแกคิดอะไร
ถึงจะพรากผัวพรากเมีย TT_TT
จะรีบปั่นจ๊ะ ไปแล้วนะคะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นด้วยนะ
-------------------
บทที่ 31
ภาพเหมือนลายเส้นดินสอผ่านการเก็บรักษามากว่าสามสิบปีจนทำให้กระดาษขาวแปรเป็นเหลืองถูกวางลงบนแผ่นกระใสก่อนจะถูกหนังสือนิตยสารเล่มหนึ่งทับลงไปและเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถูกปุ่มสีเทาบนเครื่องสแกนเนอร์หัวสแกนจึงขยับเคลื่อนเริ่มจากหัวกระดาษไปยังส่วนท้ายก่อให้เกิดแสงสว่างจ้าไม่เกินนาทีก็ดับลง
ทายาทวิสุทธิ์สุนทรกอดอกมองภาพวาดที่ปรากฏบนหน้าจอแล็บท็อปครู่หนึ่งก็หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องที่ใช้นอกเหนือจากคนในตระกูลครอมเวลออกมากดต่อสายไปหาใครคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปครึ่งโลก
ชายหนุ่มรูปงามเจ้าของเรือนผมสีทองจ้องข้อมูลที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าเสื้อสูทที่ถอดพาดไว้บนเก้าอี้ดังขึ้นก็ล้วงมือลงไปกดรับสายโดยที่ยังไม่ละสายตาจากงานตรงหน้า แต่เพียงได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยทักทายมาให้ทราบตัวผู้โทรก็ย่นหน้าผากด้วยความประหลาดใจ
“ พอล ” โคลินหลุดคำนั้นเป็นประโยคแรกแล้วทักทายกลับไปด้วยน้ำเสียงติดตลกแม้ว่าจะคิดสงสัยถึงการติดต่อมาของญาติหนุ่มที่ได้ชื่อว่า ไม่เคยติดต่อใครในครอมเวลในเวลาปฏิบัติงาน
“ ว่างหรือเปล่า ฉันมีอะไรอยากให้ช่วยหน่อย ”
“ ใจคอจะโทรมาใช้งานอย่างเดียวเลยหรือไง ไม่เจอกันตั้งหลายเดือน แทนที่จะถามไถ่สารทุกข์ฉันหน่อยก็ไม่ได้ ”
“ ไม่เห็นต้องถาม ฟังจากเสียงฉันก็รู้ว่านายสบายดี ”
“ นายนี่ยังเย็นชาเหมือนเดิมเลยนะ ” เขาว่าพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี “ มีอะไรจะใช้ก็ว่ามา แต่ถ้านานเกินสิบนาทีไม่ได้ล่ะ ฉันมีประชุมตอนสาย ”
“ ฉันอยากให้นายช่วยดูรูปวาดของผู้ชายคนหนึ่งให้ฉันหน่อย ”
“ รูปเป้าหมายของงานใหม่หรือเปล่า จะให้ดูอย่างเดียว หรือจะให้หาข้อมูลของคนในรูปด้วย ถ้าเป็นอย่างหลัง นายต้องโทรไปทีมข้อมูลของนายไม่ใช่ฉัน ”
“ เปล่า คนที่ฉันอยากให้นายดูภาพ ฉันจำได้เลาๆว่าน่าจะเป็นพี่ชายของปู่ แต่ฉันจำชื่อไม่ได้ ก็เลยอยากให้นายช่วยบอกหน่อยว่าคนในภาพเป็นใคร ”
“ งั้นก็ส่งเข้าเมล์ฉันมาเลย เดี๋ยวได้รับแล้วจะตอบให้ ” เจ้าของห้องผู้รับหน้าที่ถืออำนาจควบคุมกิจการสื่อทุกอย่างรวมถึงการสร้างภาพลักษณ์และข่าวให้ครอมเวลกลายเป็นที่สนใจต่อหน้าสาธารณชนบอก
“ นายพอจะมีเมล์อื่นที่ไม่ใช่เมล์ของครอมเวลหรือเปล่า ”
“ มี เป็นอีเมล์ที่ฉันใช้แจกสาว ว่าแต่นายถามทำไม ”
“ เพราะเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับงาน ฉันแค่อยากรู้ส่วนตัวเลยไม่อยากใช้อีเมล์ครอมเวลส่งหรือรับเมล์อะไรพวกนี้ ” ปลายสายเลือกสนทนาโดยใช้น้ำเสียงเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายเช่นทุกครา แกล้งทำเหมือนสิ่งที่ส่งไปไม่มีความสำคัญเพื่อไม่ให้ปู่นอกสายเลือดไม่จับสังเกตความเคลื่อนไหวของเขา
“ เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ฉันรู้ว่านายมีเมล์ไว้ส่งเรื่องไร้สาระอะไรอื่นด้วย ” อีกฝ่ายว่าสะกดชื่ออีเมล์นอกให้ ปลายทางที่รออยู่กรอกตามคำบอกแล้วจัดการกดส่งภาพที่สแกนส่งไปให้อย่างรวดเร็ว
โคลินพินิจพิจารณาภาพวาดราวกับจะหาผู้เป็นต้นแบบอยู่หลายนาทีกว่าจะลุกจากเก้าอี้ไปยังตู้เก็บเอกสารสำคัญ ค้นเอาหนังสือเก็บรวบรวมประวัติและภาพบุคคลในตระกูลครอมเวลตั้งแต่ต้นกำเนิดจนถึงปัจจุบันซึ่งคอยด์เป็นคนสั่งผลิตและแจกจ่ายแก่ทุกคนในตระกูลก่อนหน้าจะรู้จักกับพอลมาพลิกดูรายชื่อในหมวดตัวอักษรซีอยู่ครู่หนึ่งก็เดินกลับมานั่งใหม่
“ คนในภาพที่นายให้ฉันดู คือ ปู่โครว์เป็นพี่ชายของปู่อย่างที่นายว่าแหละ ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่าคนในเป็นพี่ชายปู่ ”
“ ก็เห็นมีข้อความของปู่เขียนไว้ก็เลยเดาๆเอาว่าคนในภาพน่าจะมีความสำคัญบางอย่าง แต่แปลกนะ เขาเป็นคนของครอมเวล ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ”
“ จะไปเห็นหน้าได้ยังไง ปู่โครว์นะเสียไปตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีที่แล้วก่อนนายจะมาอยู่กับเราซะอีก ”
“ ท่านเสียได้ยังไง ”
“ ตอนที่ท่านเสียฉันก็ยังเด็กอยู่นะ แต่ได้ยินจากพ่อบอกว่า มีคนเห็นท่านวิ่งตามผู้หญิงคนหนึ่งแล้วท่านก็เลยโดนรถชนตายคาที่ ”
“ อย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยยินใครพูดถึงท่านหรือผลงานทางธุรกิจของท่านเลย ”
“ เพราะท่านไม่ใช่นักธุรกิจ แต่เป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ท่านเป็นคนวางระบบบำบัดน้ำเสีย จำกัดปริมาณสารพิษที่โรงงานในเครือของครอมเวลปล่อย ดูแลสารเคมีทั้งหลายให้ทำอันตรายต่อโลกน้อยที่สุดนะ ความจริงท่านควรจะได้เป็นนายใหญ่ของครอมเวลแต่ท่านไม่รับปู่คอยด์ก็เลยได้ขึ้นมาแทน ”
“ เออ นายพอจะส่งประวัติของปู่โครว์มาให้ฉันหน่อยได้หรือเปล่า ”
“ ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้นะ เพราะฉันต้องไปประชุมแล้ว ไว้ตอนเย็นฉันจะส่งไปให้แล้วกัน ” เพียงปลายทางขอตัวไปทำหน้าที่ของตนเอง การบอกขอบคุณและอำลาก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย
หลังวางสายนิ้วเรียวก็กดต่อหมายเลขใหม่ คราวนี้เลือกจะโทรหาทีมงานฝ่ายข้อมูลของตนเองให้ส่งข้อมูลการทำธุรกิจของครอมเวลในไทย ข้อมูลเกี่ยวกับอังคพิมานโฮเต็ลตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง รวมทั้งหาประวัติและข่าวทุกอย่างของคนในครอบครัวอังคพิมานและตัวของโคร์ว ครอมเวลทั้งหมดที่หาได้มาทางอีเมล์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความพยายามค้นหาความจริงที่เชื่อมโยงระหว่างครอมเวลเข้ากับอังคพิมานทำให้ภาควัฒน์เชื่อว่า ผู้ที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของมลธิกาและเป็นต้นตอของเรื่องราวร้ายหลายอย่างของอังคพิมานในขณะนี้ คือ คอยด์ ครอมเวลแน่ และเชื่ออีกว่าทั้งศศิวิมลและศิระต่างก็สืบเชื้อสายจากครอมเวลมาเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขายังไม่อาจปักใจได้ว่าทั้งสองจะมีผู้ให้กำเนิดต่างกันในเมื่อคำว่าจัดฉากที่เขียนไว้หลังภาพยังติดค้างให้คิดสงสัยว่า ระหว่างการปลอมผลดีเอ็นเอกับการใช้ภาพวาดที่มีประโยคเหล่านั้นมาหย่อนไว้ อย่างไหนกันแน่คือความจริง หรือการจัดฉากที่ว่าอาจหมายถึงเรื่องอื่น
นายใหญ่แห่งครอมเวลไม่ใช่คนประเภทที่จะอ่านให้ลึกถึงก้นบึ้งของความคิดได้โดยง่าย จากประสบการณ์ที่ได้อยู่ใกล้ชิดมาทำให้ทราบดีเลยว่า การวางกับดักลวงล่อให้เหยื่อตกหลุมพรางที่ตัวเองดักไว้เป็นงานง่ายสำหรับคอยด์เพียงใด ดังนั้นทุกอย่างจะกระจ่างชัดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขาได้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของเล็กและใหญ่อีกหนรวมทั้งหากวันไหนเขาได้เอกสารทั้งหมดที่ขอจากฝ่ายข้อมูลมาก็เท่านั้น
ชายหนุ่มหยิบภาพวาดออกจากเครื่องสแกนมาพลิกดูข้อความด้านหลังอีกครั้งพลางถอนหายใจให้กับอดีตอันซับซ้อนที่ส่งผลสะท้อนถึงคนรุ่นปัจจุบันก่อนจะหยิบทุกอย่างที่ใช้ในการทำงานลงในลิ้นชักแล้วจึงกดสวิตช์ดับไฟทุกดวงในห้องเพื่อกลับไปในห้องนอนอีกครั้ง
คนตัวใหญ่เปิดประตูเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวังเพราะไม่อยากให้มีเสียงใดรบกวนการนอนของผู้ที่อยู่ในห้อง แต่เมื่อเข้าไปในห้องแทนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ในความมืดกลับมีแสงจากพระจันทร์สาดผ่านกระจกเข้ามา...ความสว่างของมันทำให้เขามองเห็นคนที่สมควรจะหลับกำลังนั่งกอดผ้าห่มทอดสายตาไปทางปลายเตียงอยู่ก็รู้สึกแปลกใจ
“ เล็กตื่นแล้วเหรอคะ ” เสียงทุ้มนุ่มนั้นดังมาจากข้างหูทำให้หญิงสาวละสายตาจากปลายเตียงกลับมาที่ใบหน้าของผู้เป็นสามีที่ตามมานั่งอยู่ข้างๆ
“ พี่ภาคไปไหนมาเหรอคะ ”
“ ไปที่ห้องทำงานมานะคะ พอดีเพิ่งนึกได้ว่าลืมของไว้ พี่เห็นเล็กหลับอยู่ก็เลยไม่ได้บอก ว่าแต่เล็กเถอะคะ ตื่นขึ้นมาทำไม หรือว่าเห็นพี่ไม่อยู่ก็เลยไม่ยอมนอนต่อคะ ” เขาเอ่ยถามพร้อมดึงร่างบางให้มาอยู่ในอ้อมแขนพลางจูบเบาลงบนไหล่เปลือยเปล่าอย่างรักใคร่ ทว่าคนตัวเล็กกลับยังนั่งนิ่งราวกับคนที่ยังมีบางสิ่งคั่งค้างในใจ
“ เมื่อกี้เล็กฝันว่าแม่มาหา พอสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็เลยนอนไม่หลับนะคะ ”
“ แม่มินของเล็กมาเข้าฝันว่ายังไงค่ะ ถึงทำให้เล็กของพี่นอนไม่หลับได้ ”
“ แม่มาลาเล็กนะคะ แม่บอกกับเล็กว่า ตอนนี้แม่ไม่อะไรต้องห่วงเล็กแล้ว มันก็ถึงเวลาที่แม่จะต้องไปในที่ของแม่ซะที แล้วแม่ก็บอกให้เล็กอภัยให้ทุกคนที่ทำร้ายเราสามแม่ลูก เพราะ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเป็นผลจากความอ่อนแอของคนเรา ที่ยอมปล่อยให้ด้านมืดในจิตใจครอบงำจนยอมทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตนเองต้องการ และตอนนี้พวกเขาก็กำลังชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่แล้ว แม่ไม่อยากให้เล็กเอาเรื่องพวกนี้มาทำให้ความสุขของเล็กลดลง ”
ศศิวิมลเล่าถึงคำพูดของมารดาที่จดจำได้จากในความฝันที่คล้ายความจริงให้แก่ผู้เป็นสามีฟังด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ เพราะแบบนี้เหรอคะเล็กถึงนอนไม่หลับ ” เขากระซิบถามค่อยๆกุมมืออันเย็นเฉียบของคนตัวเล็กไว้ “ นี่ พี่จะบอกอะไรให้นะคะ ถ้าหากว่าความฝันนี้ของเล็กเป็นจริง แสดงว่าแม่มินของเล็กเห็นว่าพี่พึ่งพาได้ และที่ท่านบอกให้เล็กให้อภัยก็คงเพราะไม่อยากให้เล็กมีอะไรติดค้างกับเขาอีก แม่ของเล็กกำลังจะมีความสุข เล็กควรจะดีใจไม่ใช่เหรอคะ ”
“ เล็กไม่ได้นอนไม่หลับเพราะคิดมากเรื่องที่แม่มาลาหรอกคะ ”
“ อ้าว ถ้าเล็กไม่คิดมากเรื่องแม่แล้วคิดเรื่องอะไรล่ะคะ ”
“ ก่อนที่แม่จะหายไป แม่พูดถึงพ่อที่แท้จริงของเล็ก แม่บอกว่า พ่อของเล็กรักเล็กมาก ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นจากการกระทำของเขาต่อจากนี้ ขอให้เล็กรู้ไว้เถอะว่าเขาไม่ได้มีเจตนาทำร้ายเล็กเลย เขาก็แค่อยากอยู่กับเล็กเท่านั้น...เล็กไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆแม่ถึงพูดอย่างนั้นขึ้นมา ในเมื่อเล็กกับพี่ใหญ่ยังไม่รู้เลยว่า ใครเป็นพ่อที่แท้จริงของเราสองคนและเขาก็คงไม่รู้จักเรา แล้วเขาจะอยากอยู่กับเล็กได้ยังไง ”
ชายหนุ่มชะงักริมฝีปากที่เหยียดกว้างลงแทบจะในทันทีที่ได้ยินหญิงสาวกล่าวถึงคำพูดของผู้เป็นแม่ที่กล่าวถึงชายผู้ให้กำเนิดก็อดรู้สึกกังวลใจไม่ได้
“ แล้วเล็กไม่เคยคิดอยากรู้บ้างเหรอคะว่าพ่อที่แท้จริงของเล็กเป็นใคร ”
“ ไม่รู้สิคะ แต่เล็กคิดว่า เล็กคงทำใจรู้จักกับผู้ชายที่ทำกับแม่กับพี่ใหญ่แบบนั้นไม่ได้หรอกคะ ”
“ ถ้าสมมุติว่า วันหนึ่งเล็กรู้ความจริงที่ว่าพ่อของเล็กไม่ได้คิดทิ้งใหญ่หรือทำร้ายแม่เล็ก ถ้าเขาอยากรู้จักเล็ก อยากพบ อยากให้เล็กไปอยู่กับเขาด้วย เล็กจะว่ายังไงคะ ”
“ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เล็กคงทำได้แค่ยอมให้เขาพบ แต่ถ้าจะให้เล็กไปอยู่กับเขา คงเป็นไปไม่ได้หรอกคะ ในเมื่อเล็กยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนยังไง อีกอย่างตอนนี้เล็กก็ไม่ใช่ผู้หญิงตัวคนเดียวอีกแล้ว เพราะเล็กมีพี่ภาค มีทุกคนที่นี่ เล็กถือว่าตัวเองเป็นวิสุทธิ์สุนทรเต็มตัว แล้วให้เล็กไปจากที่นี่ได้ยังไง ” หล่อนบอกความรู้สึกเอนศีรษะพิงกับแผงอกแน่นหนาของชายผู้ที่ได้ฝากชีวิตไว้
เมื่อพูดถึงการจากลาทำให้ภาควัฒน์ที่นั่งฟังอยู่ถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น...ความรักความผู้พันที่เขามีต่อศศิวิมลนั้นมากมายเสียจนการพรากจากกลายเป็นความหวาดหวั่นที่สุดในชีวิต
“ เล็กอย่าคิดมากเลยค่ะ บางอย่างในความฝันก็เชื่อถือไม่ได้หรอก พี่ว่าเล็กนอนเถอะนะคะ ” เขาว่าแล้วประคองร่างบางให้ล้มลงนอนหนุนแขนตามเดิมท่ามกลางแสงจันทร์ดวงงามที่ส่องสว่าง
ชายหนุ่มเฝ้ามองใบหน้าของผู้เป็นที่รักในยามนิทราพลางไล้นิ้วไปตามพวงแก้มนวลอย่างหวงแหน ภายในใจเต็มตื้นไปด้วยความเจ็บปวดเหลือคณาที่ตนเองปล่อยให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวชักพาให้เขาผู้นั้นเข้ามาสู่อังคพิมานได้โดยง่าย และหากมีโอกาสย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งต่างๆในชีวิตได้ การเป็นคนในตระกูลครอมเวลคือสิ่งที่เขาอยากแก้ไขที่สุดในเวลานี้
*************************************
บรรยากาศในห้องทำงานของประธานกรรมบริหารสูงสุดของอังคพิมานโฮเต็ลตลอดอาทิตย์เต็มไปด้วยความตึงเครียด ทันทีที่เคลียร์งานทุกอย่างรวมถึงตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขงบประมาณในการก่อสร้างโรงแรมสาขาที่ภูเก็ตเสร็จสิ้น ศิระหยิบแฟ้มทั้งหมดไปวางไว้บนโต๊ะของเลขานุการหน้าห้องจากนั้นก็ฝากเรื่องให้แจ้งให้เลื่อนนัดหมายทั้งหมดไปในช่วงบ่ายทั้งหมดแล้วจึงขับรถออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปที่ทำการบริษัทโชเนนฟาวทันที
ภาควัฒน์ปิดการประชุมเรื่องแผนโฆษณาและประชาสัมพันธ์ที่มีแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่เข้าร่วมด้วยเรียบร้อยก็กลับเข้ามานั่งเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องทำงานเพื่ออ่านเรื่องราวทั้งหมดในบันทึกความผิดของมลธิกาในระหว่างรอโหลดไฟล์ข้อมูลที่ทางทีมงานเพิ่งส่งมาให้
เสียงเอะอะหน้าห้องทำงานทำให้ผู้บริหารหนุ่มละสายตาจากตัวอักษรในสมุดแล้วเงยหน้าจากสิ่งที่ทำอยู่ไปตามต้นเสียง ทันใดนั้นประตูก็เปิดพรวดพร้อมกับร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มลูกครึ่งรูปงามก็ปรากฏตัวขึ้นโดยมีชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่ามากพยายามกันไม่ให้เขาเข้ามาข้างใน
“ กูมีเรื่องต้องคุยกับมึง ” อีกฝ่ายตะโกนประโยคนั้นผ่านเข้ามา มือไม้ถลกแขนเสื้อเชิ้ตทั้งสองไปไว้เหนือศอกพร้อมประจันกำลังกับคนในห้องเต็มที่
“ จะให้ผมเรียกตำรวจมาลากเขาไปไหมครับ ” เลขานุการหนุ่มถามความคิดเห็น
“ ไม่ต้องครับ ปล่อยให้เขาเข้ามาเถอะ ” เจ้าของห้องบอกเพียงเท่านั้นก็โบกมือเป็นสัญญาณให้ออกไป เลขานุการส่วนตัวของเขาก็ขยับถอยไปอย่างเสียมิได้แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพัง
พลันหลังบานประตูปิดลงเพียงลุกจากเก้าอี้มาหา ผู้บุกรุกก็เหวี่ยงหมัดข้างซ้ายเข้าใส่แก้มของคนตัวใหญ่เต็มแรง แม้ร่างจะทรงตัวอยู่มั่นคงแต่ใบหน้าก็สะบัดหันไปตามทิศทางที่ถูกกระทำ
“ นี่สำหรับน้องสาวกู ” เขาตะคอกสนั่นห้องแล้วสวนหมัดข้างขวาตามไป “ แล้วนี้สำหรับที่มึงทำกับธุรกิจของครอบครัวกู ”
คนถูกทำร้ายแทนที่จะโต้ตอบเหมือนทุกทีกลับเพียงแค่ยกหลังมือเช็ดเลือดที่กลบตรงมุมปาก ใช้สายตาคมจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความเย็นชาด้วยคะเนไว้แล้วว่า ยังไงตัวตนความเป็นครอมเวลก็ต้องถูกเปิดเผย
“ อยากจะต่อยกูอีกก็เอา ต่อยกูให้สมกับสิ่งที่กูทำ ให้กูรู้ว่าสมควรเจ็บแค่ไหนถึงจะพอกับที่กูทำให้เล็กเจ็บ ”
ความโกรธทำให้ฝ่ายลงมือก่อนที่เกือบจะตามเข้าไปซ้ำหยุดชะงักแทบจะในทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น และยิ่งสบสายตาอันเฉยชาของคนตรงข้ามก็เห็นถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนลึกอยู่ภายในก็ทำให้มือที่กำแน่นคลายลง
“ กูรู้แล้วว่าตอนนี้มึงเป็นใคร รู้ด้วยว่ามึงจงใจมาหลอกพวกกูยังไง แต่กูเห็นแก่ที่มึงรักน้องสาวกู กูจะไม่ทำอะไรมึง ขอแค่มึงเล่าทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับครอมเวลและอังคพิมานโฮเต็ลมา กูจะถือว่า เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ”
เมื่อถูกยื่นข้อเสนอมาทายาทวิสุทธิ์สุนทรก็ถอนหายใจแล้วจึงผายมือเชิญให้ศัตรูคู่อาฆาตของตนเองนั่งลงก่อนจะเริ่มเล่าถึงการใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐเพียงลำพัง การเข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลครอมเวล กระทั่งถึงภารกิจอันยากลำบากทั้งหลายที่ทำให้นายใหญ่แห่งครอมเวลวางเขาให้กลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อ
“ ตอนที่ปู่มาที่นี่ ฉันบอกท่านไปว่า ฉันจะไม่ยอมรับตำแหน่งแล้วก็จะไม่เป็นคนของครอมเวลอีกแล้ว แต่ก็อย่างที่บอก เมื่อหลวมตัวเข้ามาแล้วการจะออกไปมันไม่ง่าย ท่านก็เลยยื่นข้อเสนอให้ฉันไปทำงานที่รัสเซียให้เสร็จซะก่อนแล้วท่านถึงจะยอมปล่อยฉันกับเล็กไป ”
ศิระเม้มริมฝีปากทอดสายตามองไปยังภาพถ่ายของภาคพันธ์ที่แขวนประดับในห้องทำงานด้วยความละอายใจที่ตนเองมีส่วนทำให้ภาควัฒน์ตัดสินใจทิ้งวิสุทธิ์สุนทร...ความจริงตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันไม่ใช่เพราะความหวงน้องอย่างลึกซึ้งเท่านั้นหรอกที่ทำให้เขายอมกลายเป็นคนร้ายกาจ แต่ความอิจฉาริษยาที่เห็นศัตรูมีครอบครัวสมบูรณ์พร้อม ต้องการอะไรก็ได้ไปเสียทุกอย่างด้วยต่างหากที่ทำให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนั้น
“ ฉันขอโทษ ” คนตัวเล็กกว่าเปิดปากบอกด้วยความรู้สึกผิดอย่างที่สุด
“ ขอโทษสำหรับอะไร ”
“ สำหรับทุกอย่างที่ฉันทำให้นายต้องไปอยู่กับพวกนั้น ”
“ ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันไม่อยากถือสาสิ่งที่ผ่านมาแล้ว อีกอย่างฉันควรจะขอบใจนายด้วยซ้ำ ที่ทำให้ฉันรู้ว่า เล็กสำคัญกับชีวิตฉันมากขนาดไหน ”
“ แล้วนายจะทำยังไงต่อไป ”
“ ฉันต้องรอดกลับมาหาเล็กให้ได้ก็แค่นั้นเอง ” เจ้าของห้องบอกอย่างมุ่งมันแล้วจึงเปลี่ยนมาถามถึงผลที่ได้จากการเจรจาหาทางให้อังคพิมานโฮเต็ลรอดพ้นจากการเทคโอเวอร์ของครอมเวล
“ รู้ไหมว่า ทางนั้นเขาอยากได้อะไรจากฉันเพื่อแลกกับที่จะยกหุ้นทั้งหมดคืนให้ ”
“ อะไร ”
“ เขาอยากให้ฉันเปลี่ยนนามสกุลเป็นครอมเวล เขาขู่ว่าถ้าฉันไม่ทำตามเขาจะแฉเรื่องเสื่อมเสียทั้งหมดของอังคพิมาน...อีกไม่กี่วันฉันต้องให้คำตอบเขาแล้ว ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง ” เขาพูดพลางถอนหายใจหนักใช้เวลานั่งอยู่ด้วยกันสักพักก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อในที่สุด
“ ฉันมีนัดกับลูกค้าตอนบ่าย ยังไงคงต้องกลับก่อน ”
“ ไปเถอะ ” คนตัวใหญ่ตอบพร้อมตบบ่าของอีกฝ่ายแทนคำอำลาโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตว่าปลายนิ้วแข็งหยิบเอาเส้นผมที่ติดอยู่ออกมาด้วยและทันทีที่ผู้มาเยือนจากไปผมเส้นนั้นก็ถูกเก็บลงในซองพลาสติกใบเล็กเป็นอย่างดีด้วยหวังจะนำมันมาใช้ในการพิสูจน์ดีเอ็นเอ
ทายาทวิสุทธิ์สุนทรกลับมานั่งบนเก้าอี้ตามเดิมก่อนจะเหลือบเห็นว่ามีอีเมล์ใหม่ถูกส่งมาหาก็รีบเปิดโหลดไฟล์ทั้งหมดจัดการปริ้นท์ใส่กระดาษออกมานั่งอ่านประกอบไปกับเอกสารฉบับเก่าที่มีรวมถึงการนำเรื่องราวในบันทึกของมลธิกามาจดแบ่งช่วงเวลาที่เกิดเรื่องขึ้นเพื่อง่ายต่อการสืบหา...ใช้เวลาปะติดปะต่อทุกอย่างเหมือนชิ้นจิ๊กซอว์อยู่หลายชั่วโมงกว่าที่ความลับจะถูกไขออกมาให้ภาควัฒน์ตกใจ
“ นี่มัน... ” เขาหลุดพูดเพียงเท่านั้นก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ โกยเอกสารทั้งหมดเก็บลงในลิ้นชักแล้ววิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะฝากฝังสิ่งใดกับเลขานุการเช่นที่ทำมาตลอดเพราะใจจดจ่ออยู่เพียงแค่ต้องพบกับนายใหญ่แห่งครอมเวลให้ได้เดี๋ยวนั้น...
**********************************************
หลังจากทราบว่า ภาควัฒน์มีความสัมพันธ์ใดกับทางตระกูลครอมเวลก็ทำให้รสาถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ นึกกลัวอยู่ตลอดเวลาว่า ผู้ชายที่หลอกคนอื่นได้ง่ายดายขนาดนั้นอาจมีแผนหลอกอะไรเพื่อนตนเองอีก ถึงแม้ศิระจะย้ำกับหล่อนว่าจะเป็นคนจัดการกับเรื่องนี้เอง ทว่าความห่วงใยทำให้หล่อนต้องมาหาเพื่อนถึงโรงพยาบาลจนได้
หญิงสาวหิ้วกระเช้าอาหารเสริมเข้ามาในห้อง แต่เพียงได้เห็นสภาพอันผ่ายผอมอิดโรยขอคนป่วยที่ถูกจับมัดแขนและขาไว้กับเตียงอย่างแน่นหนาแม้ในยามหลับก็รู้สึกตกใจถึงขั้นต้องหันไปถาม หากไม่ทันได้รับคำตอบศศิวมลที่เปิดประตูออกจากห้องน้ำพอเห็นว่าใครมาก็รีบเข้าไปหาจับไม้จับมือด้วยความคิดถึงเป็นการใหญ่
“ สาเป็นยังไงบ้าง ไม่เจอสาตั้งหลายวัน ที่ร้านเป็นยังไงบ้างคงจะงานยุ่งมากใช่ไหม ”
“ งานที่ร้านก็ยุ่งเหมือนทุกวันแหละจ๊ะ ส่วนตัวสาเองตอนนี้ชีวิตก็เรื่อยๆเหมือนเดิม ว่าแต่ นี่แม่ใหญ่เขาเป็นอะไรเหรอ ทำไมถึงโดนมัดแบบนั้น ” หล่อนย่นหน้าผากในท้ายประโยค
“ เห็นพี่สมบอกว่า แม่ใหญ่อาละวาดตั้งแต่เห็นภาพวาดผู้ชายคนหนึ่งเข้า คุณหมอกลัวว่า แม่ใหญ่จะทำร้ายตัวเองก็เลยต้องมัดไว้กับเตียงแบบนั้น ”
“ ภาพวาด ภาพใครเหรอ ” ความสงสัยเกิดในใจทันที
“ เล็กก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นภาพใคร รู้แต่ว่าน่าจะเป็นคนต่างชาติ ”
“ แล้วตอนนี้ภาพนั้นไปอยู่ไหนแล้วล่ะ ”
“ เล็กให้ภาคพี่เอาไปทิ้งแล้วล่ะจ๊ะ ”
เพียงได้ยินชื่อ ความคิดที่ว่า สามีของเพื่อนอาจกำลังหาทางหลอกล่อใช้เพื่อนเป็นเครื่องมือ ใจก็หวังจะเตือนให้รู้ตัว แต่การพูดไปตรงๆก็เกรงว่าจะไม่เชื่อเลยคิดอุบายเตือนกันทางอ้อมจึงแกล้งทำเป็นอยากดื่มกาแฟแล้วชวนเพื่อนให้ลงไปที่ร้านข้างล่างด้วยกัน
เจ้าของร้านอาหารสาวยืนสั่งคาปูชิโนเย็นตรงหน้าเคาน์เตอร์ พอดีสายตาเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่ทางร้านวางไว้ให้อ่านก็หยิบติดมือมาที่โต๊ะ ทำทีเป็นอ่านข่าวสักพักก็เริ่มเปิดบทสนทนาด้วยการพูดถึงเรื่องย่อละครที่ลงไว้ในหนังสือพิมพ์
“ สาไม่เข้าใจเลยว่าทำไม ผู้จัดการละครทำชอบทำละครประเภท พระเอกมีความแค้นกับครอบครัวนางเอก ก็เลยจับนางเอกไปขัง ไปทรมานสารพัด พอนางรู้ว่าตัวเองถูกใช้เป็นเครื่องมือแก้แค้นแทนที่จะเกลียดพระเอกที่ทำแบบนั้น พอพระเอกบอกสำนึกผิดขอคืนดีนิดเดียว นางเอกก็คืนดีง่ายๆ ปล่อยพระรองที่ทำดีมาแทบตายให้โดดเดี่ยว สาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนางเอกถึงยังรักคนไม่ดีแบบนั้นได้ ” คนตัวสูงกว่าพูดใส่อารมณ์เกรี้ยวกราดเต็มที่กับเรื่องที่กำลังพูดถึง ทำให้คนตัวเล็กกว่าที่นั่งฟังอยู่หลุดยิ้มขำ
“ ท่าทางสาจะอินกับละครเรื่องนี้มากนะ ถ้าไม่หยุดดูสักพักสงสัยเล็กว่า สาต้องเอาอะไรปาใส่ทีวีเวลาพระเอกออกมาแน่เลย ” เพราะคิดเพียงเพื่อนติดละครมากไปจึงไม่สงสัยในสิ่งที่จุดประสงค์ที่เหลือบแฝงอยู่
“ เป็นเล็ก เล็กจะไม่โมโหเหรอ พระเอกเลวจะตาย นางเอกโดนขังก็ยังบ้ารักมันอยู่ได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าสมมุติสาให้เล็กเป็นนางเอกละครเรื่องนี้ แล้วให้คุณภาคเป็นพระเอก ที่แกล้งแต่งงานกับเล็ก ทำดีกับเล็กเพื่อหวังผลประโยชน์ เขามองเล็กเหมือนนกในกรงขัง แล้ววันหนึ่งเล็กรู้ความจริงว่าเขา หลอกเล็ก เล็กจะยังรักคุณภาคอยู่หรือเปล่า ”
การแทนบทบาทสมมุติให้กับคนทั้งสองเป็นแผนที่หญิงสาวมัดหางม้าหวังจะใช้ในการเตือนให้เพื่อนระวังตัว แต่อีกฝ่ายกลับมองหน้าของเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“สาเคยเห็นนักโทษที่ถูกตีตรวนในคุกใช่ไหม หลายคนที่อยู่ในนั้นรู้สึกทุกข์ทรมาน แต่ก็มีอีกหลายที่มีความสุขกับการอยู่ในแล้วสารู้ไหมว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้น ”
“ คงเพราะพวกนั้นเดินเข้าเดินออกคุกเป็นประจำก็เลยไม่คิดอะไรล่ะมั่ง ”
“ ไม่ใช่หรอก ความจริงเพราะพวกเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองถูกขังต่างหาก คนเรานะต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็น อิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับนางเอกคนนั้น ถ้าเมื่อไหร่ที่หัวใจของคนเราถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อใครสักคนหนึ่งมัดแน่นอยู่แล้ว แม้จะรู้ว่าควรหนี แต่เท้าของพวกเขาก็จะก้าวไปไม่พ้นใจที่ถูกกักขังไว้ ”
“ ทั้งที่ผู้ชายคนนั้นแกล้งทำดีเพื่อหวังหลอกใช้อย่างนั้นนะเหรอ ”
“ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ...สาคงไม่เข้าใจสิ่งที่เล็กพูดหรอก เพราะสายังไม่เคยมีความรัก แต่เมื่อไหร่ที่สารักใครสักคน สาจะรู้ว่า บางครั้งมันไม่เหตุผลหรอกว่าทำไมเราถึงรัก ถึงจะต้องเจ็บปวดขนาดไหม สาก็จะพร้อมยอมรับมัน ”
คำตอบของเพื่อนทำให้คนที่มุ่งมาดว่าจะช่วยทำให้เพื่อนระแวดระวังตัวบ้างได้บ้างถึงกับกุมขมับด้วยไม่คิดว่า เพื่อนจะภักดีในตัวผู้ชายคนนั้นมากถึงเพียงนี้
“ โอ๊ย เล็ก...อย่ามองพี่ภาคเขาดีเหมือนเทวดาขนาดนั้นสิ บางทีเขาอาจมีอะไรที่เล็กไม่รู้ซ่อนอยู่ก็ได้ ”
“ ทำไมล่ะ สาไปรู้อะไรมาเหรอ ถึงได้พูดกับเล็กแบบนี้ ” ฝ่ายที่ถูกถามมาโดยตลอดถามกลับ ทำเอาคนที่โวยวายเสียงดังเริ่มรู้สึกตัวว่าแสดงออกโจ่งแจ้งเกิดไปก็หลุดยิ้มแห้งๆ
“ ก็ไม่มีอะไรหรอก...สาแค่คิดว่า คนเราทุกคนก็มีด้านมืดด้วยกันทั้งนั้น สาเลยไม่อยากให้เล็กมองผู้ชายที่เล็กรักดีเกินไป ”
“ ถ้าเล็กคิดว่าจะอยู่กับใครสักคนไปตลอดชีวิต เล็กจะไม่ฝืนให้เขาปรับตัวแต่จะยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น คนเรามีด้านมืดมีความลับกันทั้งนั้น ถ้าเรายอมรับและไม่ขุดคุ้ยมาทำร้ายกัน เราก็จะอยู่ด้วยกันไปอย่างมีความสุข ”
รสาพ่นลมหายใจผ่านริมฝีปากให้กับถ้อยคำของเพื่อนรัก หมดปัญญาจะพูดเตือนให้เพื่อนระวังเลยได้แต่ถอนหายใจ นั่งจิบกาแฟของตนเองไปโดยที่ตลอดเวลาที่อยู่ตรงนั้น ไม่มีใครยกบทสนทนาเกี่ยวกับละครเรื่องนั้นขึ้นมาพูดกันอีกเลย
ขณะที่สองสาวอยู่ด้วยกันที่ชั้นล่าง ทายาทอังคพิมานก็เดินเข้ามาในโรงพยาบาลเพื่อไปพบกับอดีตผู้บริหารสูงสุดของอังคพิมานโฮเต็ลเพื่อแจ้งให้ทราบว่า การกระทำอันเสื่อมเสียของผู้ที่เขาเคยเชื่อว่าเป็นป้ากำลังทำให้ธุรกิจของครอบครัวเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
มลธิกากระพริบตามองฝ้าเพดานนานหลายนาทีกว่าจะมองภาพทุกอย่างได้ชัดเจนพร้อมอาการปวดศีรษะอย่างหนักคล้ายถูกของหนักทับสมองจนชา พอขยับแขนจะยกมาคลึงขมับก็เพิ่งรู้ว่าร่างของนางถูกมัดตรึงกับเตียงก็ตระหนกส่งเสียงแหบเรียกสมพรที่คอยมาเฝ้าไข้ให้มาช่วยแกะเชือกออก
“ ฉันเป็นอะไรไปสม ทำไมฉันถึงถูกมัดแบบนี้ ” นางเอ่ยถามพร้อมกับสำรวจดูรอยถลอกแดงเต็มลำแขนทั้งสองข้าง
“ ก็คุณผู้หญิงสลบไป พอตื่นมาก็อาละวาดทำร้ายตัวเองใหญ่ คุณหมอก็เลยต้องสั่งให้มัดไว้นะคะ ”
“ อะไรนะ ฉันทำร้ายตัวเองเหรอ...ทำไมฉันจำไม่ได้เลยล่ะ ” นางรำพึงแล้วนึกขึ้นได้ว่ามีสิ่งสำคัญต้องเก็บก่อนใครจะเห็นจึงหันรีหันขวางมองหากระปุกอาหารเสริมกับภาพวาดที่ได้รับมา เมื่อไม่เห็นก็หันไปถามอีก แต่สมพรก็ไม่ทันได้ขยับปากบอก ทันใดนั้นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง
ศิระเดินมาที่เตียงด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้ลึกลงไปในใจความรู้สึกเจ็บปวดจะยังคงอยู่ หากก็คลายลงไปบ้างจึงทำให้การปั้นหน้าวางเฉยไม่ใช่เรื่องยากเกินไปอีกแล้วสำหรับเขา
คนป่วยทอดสายตามองไปยังทายาทเพียงคนเดียวของตนเองเงียบๆด้วยความดีใจ ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่า เขาไม่ได้มาเยี่ยมตน แต่เพียงได้เห็นหน้าก็พอจะทำให้คนที่ทุกข์ทนอยู่กับความผิดบาปมากว่าค่อนชีวิตมีความสุขได้ไม่มากก็น้อย
ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันท่ามกลางความเงียบอยู่หลายอึดใจกว่าที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นสนทนาขึ้น
“ ที่ผมมาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับอังคพิมานโฮเต็ลต้องบอกให้คุณรู้ ”
นางหลุบตาลงมองมือทั้งสองข้างที่ประสานกันบนหน้าตัก...การเห็นลูกในระยะประชิดทำให้ความรู้สึกผิดทั้งหลายก่อขึ้นในใจให้หัวใจเจ็บปวดเสียจนกลัวว่าจะเผลอแสดงความอ่อนแอออกมาอีก
“ ตอนนี้ผู้ถือหุ้นใหญ่ของอังคพิมานโฮเต็ล ไม่ใช่คนในอังคพิมานอีกแล้ว ” เขาพูดแล้วเงียบไปนานกว่าจะเอ่ยต่อ “ ผมไม่รู้ว่าคุณรู้จักกลุ่มธุรกิจครอมเวลหรือเปล่า แต่กลุ่มธุรกิจนี้เขาเข้ามากว้านซื้อหุ้นของอังคพิมานโฮเต็ลไปห้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์แล้ว คุณรู้ไหมว่า เขาต้องการให้ผมขายหุ้นทั้งหมดที่ผมมีให้กับเขาเพื่อแลกกับที่จะไม่เปิดโปงความผิดของคุณ ”
คนบนเตียงรับฟังคำพูดของอีกฝ่ายด้วยท่าทางสงบนิ่งพร้อมเอนหลังลงกับหมอนใบใหญ่ที่สมพรวางไว้ให้ใช้พิงไม่ให้เมื่อยพลางหวนคิดถึงภาพความทรงจำในอดีต เมื่อครั้งที่รู้จักกับชายหนุ่มในภาพวาดเป็นครั้งแรกในหอประชุมของมหาวิทยาลัย...ความสุภาพอ่อนโยนของเขาทำให้หล่อนประทับใจ ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นพี่ชายคอยด์ ครอมเวลซึ่งเวลานั้นเป็นที่ปรึกษาให้กับอังคพิมานโฮเต็ลซึ่งมีอิทธิพลกับการตัดสินใจทุกอย่างของพ่อ ทำให้หล่อนคิดใช้เขาเป็นสะพานไปสู่ความยิ่งใหญ่
นางยังจำได้ดีถึงวันที่เขามาหาพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่เพื่อขอรับผิดชอบในการกระทำของตนเองและอ้างสิทธิ์ในความเป็นพ่อและสามีขอให้นางแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกัน...คำพูดของเขาเคยทำให้นางหวั่นไหวแต่เมื่อผลตรวจดีเอ็นเอออกมาว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ทำให้นางปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างไร้เยื่อใยแล้วเดินหน้าทำตามความปรารถนาของตนเองต่อจนได้เก้าอี้ประธานกรรมการบริหารสูงสุด
หากตอนนั้นนางยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อสร้างครอบครัวกับเขา ถ้าเพียงวันนั้นนางให้ความรักของเขาเข้ามาในใจ...ทุกคนก็คงไม่ต้องมีชีวิตที่เจ็บปวดเช่นนี้
“ เขายื่นข้อเสนอมาแค่นั้นเหรอ ” หลังจากไม่พูดอะไรเป็นเวลานานนางก็หลุดถามออกมา
“ เปล่า...เขายังยื่นมาอีกข้อ เขาบอกว่าจะคืนหุ้นที่ถืออยู่ในผม ขอแค่ผมยอมเปลี่ยนนามสกุลเป็นครอมเวลแล้วไปอยู่กับพวกเขาที่อเมริกา ข้อเสนอนี้แหละที่ทำให้ผมอยากรู้ว่า ครอมเวลเคยเกี่ยวข้องอะไรกับอังคพิมานหรือเปล่า ”
เพียงได้ยินคำที่ถาม คนป่วยก็ปรายตามองไปทางผู้พูดพร้อมสูดลมหายใจก่อนจะเบือนหน้ามองผ่านกระจกไปยังแผ่นฟ้าสีครามด้วยแววตาหม่นเศร้า...หากจะต้องบอกเรื่องชาติกำเนิดเพื่อให้ลูกมีรอยแผลเป็นในใจอีก นางก็ขอเป็นฝ่ายเก็บความจริงไว้ให้ความเจ็บช้ำกัดกร่อนหัวใจนางแต่เพียงผู้เดียว
“ ทางนั้นคงพูดเพื่อบีบให้ขายหุ้นไปอย่างนั้นแหละ ถ้าทางนั้นคิดจะใช้ความผิดของแม่บีบให้ใหญ่ขายหุ้น ใหญ่ก็ปล่อยให้เขาทำไป ยังไงเสียถ้าเรายังไม่ยอมขายหุ้นทั้งหมด ถึงจะไม่มีอำนาจการตัดสินใจเหนือกว่าแต่เรายังมีสิทธิ์ตรวจสอบการทำงานของเขาได้ ”
“ คุณไม่กลัวเหรอว่าเรื่องนี้จะทำให้คุณติดคุก ” เขาจงใจหยัน แต่แทนที่คนป่วยจะเครียดกลับมีรอยยิ้มออกมาให้เห็น
“ การรักษาธุรกิจของครอบครัวไว้มันสำคัญกว่าการติดคุกตั้งเยอะ ถึงยังไงความผิดของแม่ก็เป็นเรื่องจริง ถ้าจะต้องถูกตราหน้าหรือติดคุกเพื่อชดใช้ความผิดมันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ อีกอย่างถึงตอนนี้อังคพิมานจะไม่ได้ถือหุ้นใหญ่แต่ก็ยังมีหุ้นอยู่ สักวันหนึ่งแม่เชื่อว่า ใหญ่จะใช้ความสามารถเอามันกลับมาได้ ”
ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนต่อการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทำให้ศิระที่เคยเห็นคนบนเตียงร้องไห้คร่ำครวญเมื่อถูกตอกย้ำความผิดอยู่ตลอดขมวดคิ้วเพราะคาดไม่ถึงว่า ผู้หญิงคนนี้จะยอมรับความจริงโดยดุษฎี แต่ถึงอย่างนั้นอคติในใจที่มีก็ทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย
“ ถ้าคุณคิดได้อย่างนั้นก็ดี เพราะมันคือสิ่งที่คุณสมควรได้รับตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ” กล่าวทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็หมุนตัวเตรียมกลับ แต่ก่อนจะเดินไปถึงหน้าประตู เขาก็ได้ยินเสียงจากผู้ให้กำเนิดเอ่ยบางสิ่งที่ทำให้เขาถึงกับชะงัก
“ แม่รู้ว่าใหญ่คงไม่มีวันให้อภัยแม่ ใหญ่คงคิดว่าไม่มีหัวใจถึงทำเรื่องแบบนั้นลงไป แต่แม่อยากให้ใหญ่รู้ว่า ในชีวิตนี้สิ่งที่แม่เสียใจที่สุดคือการทิ้งใหญ่ไป ”
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากพยายามข่มใจไม่ให้อ่อนแอไปตามคำไม่กี่คำของผู้หญิงใจร้ายแล้วจึงเปิดประตูออกจากห้องไปเหมือนเสียงที่ได้ยินเป็นอากาศธาตุ
มลธิกาเฝ้ามองร่างสูงของทายาทเพียงคนเดียวก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆ ปล่อยให้น้ำตารินลงมาอาบสองแก้ม...ในก้นบึ้งของหัวใจที่นางแอบซ่อนไว้ไม่ยอมให้ใครรู้ยังมีเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้นางตัดสินใจทิ้งลูกไป
เป็นเหตุผลจากหัวอกคนเป็นแม่ที่หวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาว่า วันหนึ่งหากฝ่ายนั้นรู้ความจริงลูกจะถูกพรากไปตลอดกาลจึงต้องทำตัวเป็นผู้หญิงใจร้ายที่ทิ้งลูกอย่างไม่ไยดีได้ลงคอ และ การยอมถูกประนามหยาดเหยียดจากคนภายนอกและสายเลือดเป็นสิ่งเดียวที่นางจะทำเพื่อมิให้ลูกถูกพรากไป แม้ว่ามือจะเอื้อมไปสัมผัสไม่ได้ ขอเพียงยังมองเห็นความเป็นไปของเขาได้ ก็ถือเป็นความสุขที่สุดในชีวิตของคนบาปอย่างนางแล้ว...
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
ตอนหน้าไขหมดทุกอย่างแล้วนะเจ้า
เดี๋ยวมาดูว่าลุงแกคิดอะไร
ถึงจะพรากผัวพรากเมีย TT_TT
จะรีบปั่นจ๊ะ ไปแล้วนะคะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นด้วยนะ
-------------------
บทที่ 31
ภาพเหมือนลายเส้นดินสอผ่านการเก็บรักษามากว่าสามสิบปีจนทำให้กระดาษขาวแปรเป็นเหลืองถูกวางลงบนแผ่นกระใสก่อนจะถูกหนังสือนิตยสารเล่มหนึ่งทับลงไปและเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถูกปุ่มสีเทาบนเครื่องสแกนเนอร์หัวสแกนจึงขยับเคลื่อนเริ่มจากหัวกระดาษไปยังส่วนท้ายก่อให้เกิดแสงสว่างจ้าไม่เกินนาทีก็ดับลง
ทายาทวิสุทธิ์สุนทรกอดอกมองภาพวาดที่ปรากฏบนหน้าจอแล็บท็อปครู่หนึ่งก็หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องที่ใช้นอกเหนือจากคนในตระกูลครอมเวลออกมากดต่อสายไปหาใครคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปครึ่งโลก
ชายหนุ่มรูปงามเจ้าของเรือนผมสีทองจ้องข้อมูลที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าเสื้อสูทที่ถอดพาดไว้บนเก้าอี้ดังขึ้นก็ล้วงมือลงไปกดรับสายโดยที่ยังไม่ละสายตาจากงานตรงหน้า แต่เพียงได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยทักทายมาให้ทราบตัวผู้โทรก็ย่นหน้าผากด้วยความประหลาดใจ
“ พอล ” โคลินหลุดคำนั้นเป็นประโยคแรกแล้วทักทายกลับไปด้วยน้ำเสียงติดตลกแม้ว่าจะคิดสงสัยถึงการติดต่อมาของญาติหนุ่มที่ได้ชื่อว่า ไม่เคยติดต่อใครในครอมเวลในเวลาปฏิบัติงาน
“ ว่างหรือเปล่า ฉันมีอะไรอยากให้ช่วยหน่อย ”
“ ใจคอจะโทรมาใช้งานอย่างเดียวเลยหรือไง ไม่เจอกันตั้งหลายเดือน แทนที่จะถามไถ่สารทุกข์ฉันหน่อยก็ไม่ได้ ”
“ ไม่เห็นต้องถาม ฟังจากเสียงฉันก็รู้ว่านายสบายดี ”
“ นายนี่ยังเย็นชาเหมือนเดิมเลยนะ ” เขาว่าพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี “ มีอะไรจะใช้ก็ว่ามา แต่ถ้านานเกินสิบนาทีไม่ได้ล่ะ ฉันมีประชุมตอนสาย ”
“ ฉันอยากให้นายช่วยดูรูปวาดของผู้ชายคนหนึ่งให้ฉันหน่อย ”
“ รูปเป้าหมายของงานใหม่หรือเปล่า จะให้ดูอย่างเดียว หรือจะให้หาข้อมูลของคนในรูปด้วย ถ้าเป็นอย่างหลัง นายต้องโทรไปทีมข้อมูลของนายไม่ใช่ฉัน ”
“ เปล่า คนที่ฉันอยากให้นายดูภาพ ฉันจำได้เลาๆว่าน่าจะเป็นพี่ชายของปู่ แต่ฉันจำชื่อไม่ได้ ก็เลยอยากให้นายช่วยบอกหน่อยว่าคนในภาพเป็นใคร ”
“ งั้นก็ส่งเข้าเมล์ฉันมาเลย เดี๋ยวได้รับแล้วจะตอบให้ ” เจ้าของห้องผู้รับหน้าที่ถืออำนาจควบคุมกิจการสื่อทุกอย่างรวมถึงการสร้างภาพลักษณ์และข่าวให้ครอมเวลกลายเป็นที่สนใจต่อหน้าสาธารณชนบอก
“ นายพอจะมีเมล์อื่นที่ไม่ใช่เมล์ของครอมเวลหรือเปล่า ”
“ มี เป็นอีเมล์ที่ฉันใช้แจกสาว ว่าแต่นายถามทำไม ”
“ เพราะเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับงาน ฉันแค่อยากรู้ส่วนตัวเลยไม่อยากใช้อีเมล์ครอมเวลส่งหรือรับเมล์อะไรพวกนี้ ” ปลายสายเลือกสนทนาโดยใช้น้ำเสียงเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายเช่นทุกครา แกล้งทำเหมือนสิ่งที่ส่งไปไม่มีความสำคัญเพื่อไม่ให้ปู่นอกสายเลือดไม่จับสังเกตความเคลื่อนไหวของเขา
“ เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ฉันรู้ว่านายมีเมล์ไว้ส่งเรื่องไร้สาระอะไรอื่นด้วย ” อีกฝ่ายว่าสะกดชื่ออีเมล์นอกให้ ปลายทางที่รออยู่กรอกตามคำบอกแล้วจัดการกดส่งภาพที่สแกนส่งไปให้อย่างรวดเร็ว
โคลินพินิจพิจารณาภาพวาดราวกับจะหาผู้เป็นต้นแบบอยู่หลายนาทีกว่าจะลุกจากเก้าอี้ไปยังตู้เก็บเอกสารสำคัญ ค้นเอาหนังสือเก็บรวบรวมประวัติและภาพบุคคลในตระกูลครอมเวลตั้งแต่ต้นกำเนิดจนถึงปัจจุบันซึ่งคอยด์เป็นคนสั่งผลิตและแจกจ่ายแก่ทุกคนในตระกูลก่อนหน้าจะรู้จักกับพอลมาพลิกดูรายชื่อในหมวดตัวอักษรซีอยู่ครู่หนึ่งก็เดินกลับมานั่งใหม่
“ คนในภาพที่นายให้ฉันดู คือ ปู่โครว์เป็นพี่ชายของปู่อย่างที่นายว่าแหละ ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่าคนในเป็นพี่ชายปู่ ”
“ ก็เห็นมีข้อความของปู่เขียนไว้ก็เลยเดาๆเอาว่าคนในภาพน่าจะมีความสำคัญบางอย่าง แต่แปลกนะ เขาเป็นคนของครอมเวล ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ”
“ จะไปเห็นหน้าได้ยังไง ปู่โครว์นะเสียไปตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีที่แล้วก่อนนายจะมาอยู่กับเราซะอีก ”
“ ท่านเสียได้ยังไง ”
“ ตอนที่ท่านเสียฉันก็ยังเด็กอยู่นะ แต่ได้ยินจากพ่อบอกว่า มีคนเห็นท่านวิ่งตามผู้หญิงคนหนึ่งแล้วท่านก็เลยโดนรถชนตายคาที่ ”
“ อย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยยินใครพูดถึงท่านหรือผลงานทางธุรกิจของท่านเลย ”
“ เพราะท่านไม่ใช่นักธุรกิจ แต่เป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ท่านเป็นคนวางระบบบำบัดน้ำเสีย จำกัดปริมาณสารพิษที่โรงงานในเครือของครอมเวลปล่อย ดูแลสารเคมีทั้งหลายให้ทำอันตรายต่อโลกน้อยที่สุดนะ ความจริงท่านควรจะได้เป็นนายใหญ่ของครอมเวลแต่ท่านไม่รับปู่คอยด์ก็เลยได้ขึ้นมาแทน ”
“ เออ นายพอจะส่งประวัติของปู่โครว์มาให้ฉันหน่อยได้หรือเปล่า ”
“ ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้นะ เพราะฉันต้องไปประชุมแล้ว ไว้ตอนเย็นฉันจะส่งไปให้แล้วกัน ” เพียงปลายทางขอตัวไปทำหน้าที่ของตนเอง การบอกขอบคุณและอำลาก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย
หลังวางสายนิ้วเรียวก็กดต่อหมายเลขใหม่ คราวนี้เลือกจะโทรหาทีมงานฝ่ายข้อมูลของตนเองให้ส่งข้อมูลการทำธุรกิจของครอมเวลในไทย ข้อมูลเกี่ยวกับอังคพิมานโฮเต็ลตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง รวมทั้งหาประวัติและข่าวทุกอย่างของคนในครอบครัวอังคพิมานและตัวของโคร์ว ครอมเวลทั้งหมดที่หาได้มาทางอีเมล์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความพยายามค้นหาความจริงที่เชื่อมโยงระหว่างครอมเวลเข้ากับอังคพิมานทำให้ภาควัฒน์เชื่อว่า ผู้ที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของมลธิกาและเป็นต้นตอของเรื่องราวร้ายหลายอย่างของอังคพิมานในขณะนี้ คือ คอยด์ ครอมเวลแน่ และเชื่ออีกว่าทั้งศศิวิมลและศิระต่างก็สืบเชื้อสายจากครอมเวลมาเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขายังไม่อาจปักใจได้ว่าทั้งสองจะมีผู้ให้กำเนิดต่างกันในเมื่อคำว่าจัดฉากที่เขียนไว้หลังภาพยังติดค้างให้คิดสงสัยว่า ระหว่างการปลอมผลดีเอ็นเอกับการใช้ภาพวาดที่มีประโยคเหล่านั้นมาหย่อนไว้ อย่างไหนกันแน่คือความจริง หรือการจัดฉากที่ว่าอาจหมายถึงเรื่องอื่น
นายใหญ่แห่งครอมเวลไม่ใช่คนประเภทที่จะอ่านให้ลึกถึงก้นบึ้งของความคิดได้โดยง่าย จากประสบการณ์ที่ได้อยู่ใกล้ชิดมาทำให้ทราบดีเลยว่า การวางกับดักลวงล่อให้เหยื่อตกหลุมพรางที่ตัวเองดักไว้เป็นงานง่ายสำหรับคอยด์เพียงใด ดังนั้นทุกอย่างจะกระจ่างชัดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขาได้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของเล็กและใหญ่อีกหนรวมทั้งหากวันไหนเขาได้เอกสารทั้งหมดที่ขอจากฝ่ายข้อมูลมาก็เท่านั้น
ชายหนุ่มหยิบภาพวาดออกจากเครื่องสแกนมาพลิกดูข้อความด้านหลังอีกครั้งพลางถอนหายใจให้กับอดีตอันซับซ้อนที่ส่งผลสะท้อนถึงคนรุ่นปัจจุบันก่อนจะหยิบทุกอย่างที่ใช้ในการทำงานลงในลิ้นชักแล้วจึงกดสวิตช์ดับไฟทุกดวงในห้องเพื่อกลับไปในห้องนอนอีกครั้ง
คนตัวใหญ่เปิดประตูเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวังเพราะไม่อยากให้มีเสียงใดรบกวนการนอนของผู้ที่อยู่ในห้อง แต่เมื่อเข้าไปในห้องแทนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ในความมืดกลับมีแสงจากพระจันทร์สาดผ่านกระจกเข้ามา...ความสว่างของมันทำให้เขามองเห็นคนที่สมควรจะหลับกำลังนั่งกอดผ้าห่มทอดสายตาไปทางปลายเตียงอยู่ก็รู้สึกแปลกใจ
“ เล็กตื่นแล้วเหรอคะ ” เสียงทุ้มนุ่มนั้นดังมาจากข้างหูทำให้หญิงสาวละสายตาจากปลายเตียงกลับมาที่ใบหน้าของผู้เป็นสามีที่ตามมานั่งอยู่ข้างๆ
“ พี่ภาคไปไหนมาเหรอคะ ”
“ ไปที่ห้องทำงานมานะคะ พอดีเพิ่งนึกได้ว่าลืมของไว้ พี่เห็นเล็กหลับอยู่ก็เลยไม่ได้บอก ว่าแต่เล็กเถอะคะ ตื่นขึ้นมาทำไม หรือว่าเห็นพี่ไม่อยู่ก็เลยไม่ยอมนอนต่อคะ ” เขาเอ่ยถามพร้อมดึงร่างบางให้มาอยู่ในอ้อมแขนพลางจูบเบาลงบนไหล่เปลือยเปล่าอย่างรักใคร่ ทว่าคนตัวเล็กกลับยังนั่งนิ่งราวกับคนที่ยังมีบางสิ่งคั่งค้างในใจ
“ เมื่อกี้เล็กฝันว่าแม่มาหา พอสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็เลยนอนไม่หลับนะคะ ”
“ แม่มินของเล็กมาเข้าฝันว่ายังไงค่ะ ถึงทำให้เล็กของพี่นอนไม่หลับได้ ”
“ แม่มาลาเล็กนะคะ แม่บอกกับเล็กว่า ตอนนี้แม่ไม่อะไรต้องห่วงเล็กแล้ว มันก็ถึงเวลาที่แม่จะต้องไปในที่ของแม่ซะที แล้วแม่ก็บอกให้เล็กอภัยให้ทุกคนที่ทำร้ายเราสามแม่ลูก เพราะ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเป็นผลจากความอ่อนแอของคนเรา ที่ยอมปล่อยให้ด้านมืดในจิตใจครอบงำจนยอมทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตนเองต้องการ และตอนนี้พวกเขาก็กำลังชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่แล้ว แม่ไม่อยากให้เล็กเอาเรื่องพวกนี้มาทำให้ความสุขของเล็กลดลง ”
ศศิวิมลเล่าถึงคำพูดของมารดาที่จดจำได้จากในความฝันที่คล้ายความจริงให้แก่ผู้เป็นสามีฟังด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ เพราะแบบนี้เหรอคะเล็กถึงนอนไม่หลับ ” เขากระซิบถามค่อยๆกุมมืออันเย็นเฉียบของคนตัวเล็กไว้ “ นี่ พี่จะบอกอะไรให้นะคะ ถ้าหากว่าความฝันนี้ของเล็กเป็นจริง แสดงว่าแม่มินของเล็กเห็นว่าพี่พึ่งพาได้ และที่ท่านบอกให้เล็กให้อภัยก็คงเพราะไม่อยากให้เล็กมีอะไรติดค้างกับเขาอีก แม่ของเล็กกำลังจะมีความสุข เล็กควรจะดีใจไม่ใช่เหรอคะ ”
“ เล็กไม่ได้นอนไม่หลับเพราะคิดมากเรื่องที่แม่มาลาหรอกคะ ”
“ อ้าว ถ้าเล็กไม่คิดมากเรื่องแม่แล้วคิดเรื่องอะไรล่ะคะ ”
“ ก่อนที่แม่จะหายไป แม่พูดถึงพ่อที่แท้จริงของเล็ก แม่บอกว่า พ่อของเล็กรักเล็กมาก ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นจากการกระทำของเขาต่อจากนี้ ขอให้เล็กรู้ไว้เถอะว่าเขาไม่ได้มีเจตนาทำร้ายเล็กเลย เขาก็แค่อยากอยู่กับเล็กเท่านั้น...เล็กไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆแม่ถึงพูดอย่างนั้นขึ้นมา ในเมื่อเล็กกับพี่ใหญ่ยังไม่รู้เลยว่า ใครเป็นพ่อที่แท้จริงของเราสองคนและเขาก็คงไม่รู้จักเรา แล้วเขาจะอยากอยู่กับเล็กได้ยังไง ”
ชายหนุ่มชะงักริมฝีปากที่เหยียดกว้างลงแทบจะในทันทีที่ได้ยินหญิงสาวกล่าวถึงคำพูดของผู้เป็นแม่ที่กล่าวถึงชายผู้ให้กำเนิดก็อดรู้สึกกังวลใจไม่ได้
“ แล้วเล็กไม่เคยคิดอยากรู้บ้างเหรอคะว่าพ่อที่แท้จริงของเล็กเป็นใคร ”
“ ไม่รู้สิคะ แต่เล็กคิดว่า เล็กคงทำใจรู้จักกับผู้ชายที่ทำกับแม่กับพี่ใหญ่แบบนั้นไม่ได้หรอกคะ ”
“ ถ้าสมมุติว่า วันหนึ่งเล็กรู้ความจริงที่ว่าพ่อของเล็กไม่ได้คิดทิ้งใหญ่หรือทำร้ายแม่เล็ก ถ้าเขาอยากรู้จักเล็ก อยากพบ อยากให้เล็กไปอยู่กับเขาด้วย เล็กจะว่ายังไงคะ ”
“ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เล็กคงทำได้แค่ยอมให้เขาพบ แต่ถ้าจะให้เล็กไปอยู่กับเขา คงเป็นไปไม่ได้หรอกคะ ในเมื่อเล็กยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนยังไง อีกอย่างตอนนี้เล็กก็ไม่ใช่ผู้หญิงตัวคนเดียวอีกแล้ว เพราะเล็กมีพี่ภาค มีทุกคนที่นี่ เล็กถือว่าตัวเองเป็นวิสุทธิ์สุนทรเต็มตัว แล้วให้เล็กไปจากที่นี่ได้ยังไง ” หล่อนบอกความรู้สึกเอนศีรษะพิงกับแผงอกแน่นหนาของชายผู้ที่ได้ฝากชีวิตไว้
เมื่อพูดถึงการจากลาทำให้ภาควัฒน์ที่นั่งฟังอยู่ถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น...ความรักความผู้พันที่เขามีต่อศศิวิมลนั้นมากมายเสียจนการพรากจากกลายเป็นความหวาดหวั่นที่สุดในชีวิต
“ เล็กอย่าคิดมากเลยค่ะ บางอย่างในความฝันก็เชื่อถือไม่ได้หรอก พี่ว่าเล็กนอนเถอะนะคะ ” เขาว่าแล้วประคองร่างบางให้ล้มลงนอนหนุนแขนตามเดิมท่ามกลางแสงจันทร์ดวงงามที่ส่องสว่าง
ชายหนุ่มเฝ้ามองใบหน้าของผู้เป็นที่รักในยามนิทราพลางไล้นิ้วไปตามพวงแก้มนวลอย่างหวงแหน ภายในใจเต็มตื้นไปด้วยความเจ็บปวดเหลือคณาที่ตนเองปล่อยให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวชักพาให้เขาผู้นั้นเข้ามาสู่อังคพิมานได้โดยง่าย และหากมีโอกาสย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งต่างๆในชีวิตได้ การเป็นคนในตระกูลครอมเวลคือสิ่งที่เขาอยากแก้ไขที่สุดในเวลานี้
*************************************
บรรยากาศในห้องทำงานของประธานกรรมบริหารสูงสุดของอังคพิมานโฮเต็ลตลอดอาทิตย์เต็มไปด้วยความตึงเครียด ทันทีที่เคลียร์งานทุกอย่างรวมถึงตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขงบประมาณในการก่อสร้างโรงแรมสาขาที่ภูเก็ตเสร็จสิ้น ศิระหยิบแฟ้มทั้งหมดไปวางไว้บนโต๊ะของเลขานุการหน้าห้องจากนั้นก็ฝากเรื่องให้แจ้งให้เลื่อนนัดหมายทั้งหมดไปในช่วงบ่ายทั้งหมดแล้วจึงขับรถออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปที่ทำการบริษัทโชเนนฟาวทันที
ภาควัฒน์ปิดการประชุมเรื่องแผนโฆษณาและประชาสัมพันธ์ที่มีแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่เข้าร่วมด้วยเรียบร้อยก็กลับเข้ามานั่งเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องทำงานเพื่ออ่านเรื่องราวทั้งหมดในบันทึกความผิดของมลธิกาในระหว่างรอโหลดไฟล์ข้อมูลที่ทางทีมงานเพิ่งส่งมาให้
เสียงเอะอะหน้าห้องทำงานทำให้ผู้บริหารหนุ่มละสายตาจากตัวอักษรในสมุดแล้วเงยหน้าจากสิ่งที่ทำอยู่ไปตามต้นเสียง ทันใดนั้นประตูก็เปิดพรวดพร้อมกับร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มลูกครึ่งรูปงามก็ปรากฏตัวขึ้นโดยมีชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่ามากพยายามกันไม่ให้เขาเข้ามาข้างใน
“ กูมีเรื่องต้องคุยกับมึง ” อีกฝ่ายตะโกนประโยคนั้นผ่านเข้ามา มือไม้ถลกแขนเสื้อเชิ้ตทั้งสองไปไว้เหนือศอกพร้อมประจันกำลังกับคนในห้องเต็มที่
“ จะให้ผมเรียกตำรวจมาลากเขาไปไหมครับ ” เลขานุการหนุ่มถามความคิดเห็น
“ ไม่ต้องครับ ปล่อยให้เขาเข้ามาเถอะ ” เจ้าของห้องบอกเพียงเท่านั้นก็โบกมือเป็นสัญญาณให้ออกไป เลขานุการส่วนตัวของเขาก็ขยับถอยไปอย่างเสียมิได้แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพัง
พลันหลังบานประตูปิดลงเพียงลุกจากเก้าอี้มาหา ผู้บุกรุกก็เหวี่ยงหมัดข้างซ้ายเข้าใส่แก้มของคนตัวใหญ่เต็มแรง แม้ร่างจะทรงตัวอยู่มั่นคงแต่ใบหน้าก็สะบัดหันไปตามทิศทางที่ถูกกระทำ
“ นี่สำหรับน้องสาวกู ” เขาตะคอกสนั่นห้องแล้วสวนหมัดข้างขวาตามไป “ แล้วนี้สำหรับที่มึงทำกับธุรกิจของครอบครัวกู ”
คนถูกทำร้ายแทนที่จะโต้ตอบเหมือนทุกทีกลับเพียงแค่ยกหลังมือเช็ดเลือดที่กลบตรงมุมปาก ใช้สายตาคมจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความเย็นชาด้วยคะเนไว้แล้วว่า ยังไงตัวตนความเป็นครอมเวลก็ต้องถูกเปิดเผย
“ อยากจะต่อยกูอีกก็เอา ต่อยกูให้สมกับสิ่งที่กูทำ ให้กูรู้ว่าสมควรเจ็บแค่ไหนถึงจะพอกับที่กูทำให้เล็กเจ็บ ”
ความโกรธทำให้ฝ่ายลงมือก่อนที่เกือบจะตามเข้าไปซ้ำหยุดชะงักแทบจะในทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น และยิ่งสบสายตาอันเฉยชาของคนตรงข้ามก็เห็นถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนลึกอยู่ภายในก็ทำให้มือที่กำแน่นคลายลง
“ กูรู้แล้วว่าตอนนี้มึงเป็นใคร รู้ด้วยว่ามึงจงใจมาหลอกพวกกูยังไง แต่กูเห็นแก่ที่มึงรักน้องสาวกู กูจะไม่ทำอะไรมึง ขอแค่มึงเล่าทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับครอมเวลและอังคพิมานโฮเต็ลมา กูจะถือว่า เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ”
เมื่อถูกยื่นข้อเสนอมาทายาทวิสุทธิ์สุนทรก็ถอนหายใจแล้วจึงผายมือเชิญให้ศัตรูคู่อาฆาตของตนเองนั่งลงก่อนจะเริ่มเล่าถึงการใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐเพียงลำพัง การเข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลครอมเวล กระทั่งถึงภารกิจอันยากลำบากทั้งหลายที่ทำให้นายใหญ่แห่งครอมเวลวางเขาให้กลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อ
“ ตอนที่ปู่มาที่นี่ ฉันบอกท่านไปว่า ฉันจะไม่ยอมรับตำแหน่งแล้วก็จะไม่เป็นคนของครอมเวลอีกแล้ว แต่ก็อย่างที่บอก เมื่อหลวมตัวเข้ามาแล้วการจะออกไปมันไม่ง่าย ท่านก็เลยยื่นข้อเสนอให้ฉันไปทำงานที่รัสเซียให้เสร็จซะก่อนแล้วท่านถึงจะยอมปล่อยฉันกับเล็กไป ”
ศิระเม้มริมฝีปากทอดสายตามองไปยังภาพถ่ายของภาคพันธ์ที่แขวนประดับในห้องทำงานด้วยความละอายใจที่ตนเองมีส่วนทำให้ภาควัฒน์ตัดสินใจทิ้งวิสุทธิ์สุนทร...ความจริงตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันไม่ใช่เพราะความหวงน้องอย่างลึกซึ้งเท่านั้นหรอกที่ทำให้เขายอมกลายเป็นคนร้ายกาจ แต่ความอิจฉาริษยาที่เห็นศัตรูมีครอบครัวสมบูรณ์พร้อม ต้องการอะไรก็ได้ไปเสียทุกอย่างด้วยต่างหากที่ทำให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนั้น
“ ฉันขอโทษ ” คนตัวเล็กกว่าเปิดปากบอกด้วยความรู้สึกผิดอย่างที่สุด
“ ขอโทษสำหรับอะไร ”
“ สำหรับทุกอย่างที่ฉันทำให้นายต้องไปอยู่กับพวกนั้น ”
“ ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันไม่อยากถือสาสิ่งที่ผ่านมาแล้ว อีกอย่างฉันควรจะขอบใจนายด้วยซ้ำ ที่ทำให้ฉันรู้ว่า เล็กสำคัญกับชีวิตฉันมากขนาดไหน ”
“ แล้วนายจะทำยังไงต่อไป ”
“ ฉันต้องรอดกลับมาหาเล็กให้ได้ก็แค่นั้นเอง ” เจ้าของห้องบอกอย่างมุ่งมันแล้วจึงเปลี่ยนมาถามถึงผลที่ได้จากการเจรจาหาทางให้อังคพิมานโฮเต็ลรอดพ้นจากการเทคโอเวอร์ของครอมเวล
“ รู้ไหมว่า ทางนั้นเขาอยากได้อะไรจากฉันเพื่อแลกกับที่จะยกหุ้นทั้งหมดคืนให้ ”
“ อะไร ”
“ เขาอยากให้ฉันเปลี่ยนนามสกุลเป็นครอมเวล เขาขู่ว่าถ้าฉันไม่ทำตามเขาจะแฉเรื่องเสื่อมเสียทั้งหมดของอังคพิมาน...อีกไม่กี่วันฉันต้องให้คำตอบเขาแล้ว ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง ” เขาพูดพลางถอนหายใจหนักใช้เวลานั่งอยู่ด้วยกันสักพักก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อในที่สุด
“ ฉันมีนัดกับลูกค้าตอนบ่าย ยังไงคงต้องกลับก่อน ”
“ ไปเถอะ ” คนตัวใหญ่ตอบพร้อมตบบ่าของอีกฝ่ายแทนคำอำลาโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตว่าปลายนิ้วแข็งหยิบเอาเส้นผมที่ติดอยู่ออกมาด้วยและทันทีที่ผู้มาเยือนจากไปผมเส้นนั้นก็ถูกเก็บลงในซองพลาสติกใบเล็กเป็นอย่างดีด้วยหวังจะนำมันมาใช้ในการพิสูจน์ดีเอ็นเอ
ทายาทวิสุทธิ์สุนทรกลับมานั่งบนเก้าอี้ตามเดิมก่อนจะเหลือบเห็นว่ามีอีเมล์ใหม่ถูกส่งมาหาก็รีบเปิดโหลดไฟล์ทั้งหมดจัดการปริ้นท์ใส่กระดาษออกมานั่งอ่านประกอบไปกับเอกสารฉบับเก่าที่มีรวมถึงการนำเรื่องราวในบันทึกของมลธิกามาจดแบ่งช่วงเวลาที่เกิดเรื่องขึ้นเพื่อง่ายต่อการสืบหา...ใช้เวลาปะติดปะต่อทุกอย่างเหมือนชิ้นจิ๊กซอว์อยู่หลายชั่วโมงกว่าที่ความลับจะถูกไขออกมาให้ภาควัฒน์ตกใจ
“ นี่มัน... ” เขาหลุดพูดเพียงเท่านั้นก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ โกยเอกสารทั้งหมดเก็บลงในลิ้นชักแล้ววิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะฝากฝังสิ่งใดกับเลขานุการเช่นที่ทำมาตลอดเพราะใจจดจ่ออยู่เพียงแค่ต้องพบกับนายใหญ่แห่งครอมเวลให้ได้เดี๋ยวนั้น...
**********************************************
หลังจากทราบว่า ภาควัฒน์มีความสัมพันธ์ใดกับทางตระกูลครอมเวลก็ทำให้รสาถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ นึกกลัวอยู่ตลอดเวลาว่า ผู้ชายที่หลอกคนอื่นได้ง่ายดายขนาดนั้นอาจมีแผนหลอกอะไรเพื่อนตนเองอีก ถึงแม้ศิระจะย้ำกับหล่อนว่าจะเป็นคนจัดการกับเรื่องนี้เอง ทว่าความห่วงใยทำให้หล่อนต้องมาหาเพื่อนถึงโรงพยาบาลจนได้
หญิงสาวหิ้วกระเช้าอาหารเสริมเข้ามาในห้อง แต่เพียงได้เห็นสภาพอันผ่ายผอมอิดโรยขอคนป่วยที่ถูกจับมัดแขนและขาไว้กับเตียงอย่างแน่นหนาแม้ในยามหลับก็รู้สึกตกใจถึงขั้นต้องหันไปถาม หากไม่ทันได้รับคำตอบศศิวมลที่เปิดประตูออกจากห้องน้ำพอเห็นว่าใครมาก็รีบเข้าไปหาจับไม้จับมือด้วยความคิดถึงเป็นการใหญ่
“ สาเป็นยังไงบ้าง ไม่เจอสาตั้งหลายวัน ที่ร้านเป็นยังไงบ้างคงจะงานยุ่งมากใช่ไหม ”
“ งานที่ร้านก็ยุ่งเหมือนทุกวันแหละจ๊ะ ส่วนตัวสาเองตอนนี้ชีวิตก็เรื่อยๆเหมือนเดิม ว่าแต่ นี่แม่ใหญ่เขาเป็นอะไรเหรอ ทำไมถึงโดนมัดแบบนั้น ” หล่อนย่นหน้าผากในท้ายประโยค
“ เห็นพี่สมบอกว่า แม่ใหญ่อาละวาดตั้งแต่เห็นภาพวาดผู้ชายคนหนึ่งเข้า คุณหมอกลัวว่า แม่ใหญ่จะทำร้ายตัวเองก็เลยต้องมัดไว้กับเตียงแบบนั้น ”
“ ภาพวาด ภาพใครเหรอ ” ความสงสัยเกิดในใจทันที
“ เล็กก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นภาพใคร รู้แต่ว่าน่าจะเป็นคนต่างชาติ ”
“ แล้วตอนนี้ภาพนั้นไปอยู่ไหนแล้วล่ะ ”
“ เล็กให้ภาคพี่เอาไปทิ้งแล้วล่ะจ๊ะ ”
เพียงได้ยินชื่อ ความคิดที่ว่า สามีของเพื่อนอาจกำลังหาทางหลอกล่อใช้เพื่อนเป็นเครื่องมือ ใจก็หวังจะเตือนให้รู้ตัว แต่การพูดไปตรงๆก็เกรงว่าจะไม่เชื่อเลยคิดอุบายเตือนกันทางอ้อมจึงแกล้งทำเป็นอยากดื่มกาแฟแล้วชวนเพื่อนให้ลงไปที่ร้านข้างล่างด้วยกัน
เจ้าของร้านอาหารสาวยืนสั่งคาปูชิโนเย็นตรงหน้าเคาน์เตอร์ พอดีสายตาเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่ทางร้านวางไว้ให้อ่านก็หยิบติดมือมาที่โต๊ะ ทำทีเป็นอ่านข่าวสักพักก็เริ่มเปิดบทสนทนาด้วยการพูดถึงเรื่องย่อละครที่ลงไว้ในหนังสือพิมพ์
“ สาไม่เข้าใจเลยว่าทำไม ผู้จัดการละครทำชอบทำละครประเภท พระเอกมีความแค้นกับครอบครัวนางเอก ก็เลยจับนางเอกไปขัง ไปทรมานสารพัด พอนางรู้ว่าตัวเองถูกใช้เป็นเครื่องมือแก้แค้นแทนที่จะเกลียดพระเอกที่ทำแบบนั้น พอพระเอกบอกสำนึกผิดขอคืนดีนิดเดียว นางเอกก็คืนดีง่ายๆ ปล่อยพระรองที่ทำดีมาแทบตายให้โดดเดี่ยว สาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนางเอกถึงยังรักคนไม่ดีแบบนั้นได้ ” คนตัวสูงกว่าพูดใส่อารมณ์เกรี้ยวกราดเต็มที่กับเรื่องที่กำลังพูดถึง ทำให้คนตัวเล็กกว่าที่นั่งฟังอยู่หลุดยิ้มขำ
“ ท่าทางสาจะอินกับละครเรื่องนี้มากนะ ถ้าไม่หยุดดูสักพักสงสัยเล็กว่า สาต้องเอาอะไรปาใส่ทีวีเวลาพระเอกออกมาแน่เลย ” เพราะคิดเพียงเพื่อนติดละครมากไปจึงไม่สงสัยในสิ่งที่จุดประสงค์ที่เหลือบแฝงอยู่
“ เป็นเล็ก เล็กจะไม่โมโหเหรอ พระเอกเลวจะตาย นางเอกโดนขังก็ยังบ้ารักมันอยู่ได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าสมมุติสาให้เล็กเป็นนางเอกละครเรื่องนี้ แล้วให้คุณภาคเป็นพระเอก ที่แกล้งแต่งงานกับเล็ก ทำดีกับเล็กเพื่อหวังผลประโยชน์ เขามองเล็กเหมือนนกในกรงขัง แล้ววันหนึ่งเล็กรู้ความจริงว่าเขา หลอกเล็ก เล็กจะยังรักคุณภาคอยู่หรือเปล่า ”
การแทนบทบาทสมมุติให้กับคนทั้งสองเป็นแผนที่หญิงสาวมัดหางม้าหวังจะใช้ในการเตือนให้เพื่อนระวังตัว แต่อีกฝ่ายกลับมองหน้าของเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“สาเคยเห็นนักโทษที่ถูกตีตรวนในคุกใช่ไหม หลายคนที่อยู่ในนั้นรู้สึกทุกข์ทรมาน แต่ก็มีอีกหลายที่มีความสุขกับการอยู่ในแล้วสารู้ไหมว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้น ”
“ คงเพราะพวกนั้นเดินเข้าเดินออกคุกเป็นประจำก็เลยไม่คิดอะไรล่ะมั่ง ”
“ ไม่ใช่หรอก ความจริงเพราะพวกเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองถูกขังต่างหาก คนเรานะต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็น อิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับนางเอกคนนั้น ถ้าเมื่อไหร่ที่หัวใจของคนเราถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อใครสักคนหนึ่งมัดแน่นอยู่แล้ว แม้จะรู้ว่าควรหนี แต่เท้าของพวกเขาก็จะก้าวไปไม่พ้นใจที่ถูกกักขังไว้ ”
“ ทั้งที่ผู้ชายคนนั้นแกล้งทำดีเพื่อหวังหลอกใช้อย่างนั้นนะเหรอ ”
“ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ...สาคงไม่เข้าใจสิ่งที่เล็กพูดหรอก เพราะสายังไม่เคยมีความรัก แต่เมื่อไหร่ที่สารักใครสักคน สาจะรู้ว่า บางครั้งมันไม่เหตุผลหรอกว่าทำไมเราถึงรัก ถึงจะต้องเจ็บปวดขนาดไหม สาก็จะพร้อมยอมรับมัน ”
คำตอบของเพื่อนทำให้คนที่มุ่งมาดว่าจะช่วยทำให้เพื่อนระแวดระวังตัวบ้างได้บ้างถึงกับกุมขมับด้วยไม่คิดว่า เพื่อนจะภักดีในตัวผู้ชายคนนั้นมากถึงเพียงนี้
“ โอ๊ย เล็ก...อย่ามองพี่ภาคเขาดีเหมือนเทวดาขนาดนั้นสิ บางทีเขาอาจมีอะไรที่เล็กไม่รู้ซ่อนอยู่ก็ได้ ”
“ ทำไมล่ะ สาไปรู้อะไรมาเหรอ ถึงได้พูดกับเล็กแบบนี้ ” ฝ่ายที่ถูกถามมาโดยตลอดถามกลับ ทำเอาคนที่โวยวายเสียงดังเริ่มรู้สึกตัวว่าแสดงออกโจ่งแจ้งเกิดไปก็หลุดยิ้มแห้งๆ
“ ก็ไม่มีอะไรหรอก...สาแค่คิดว่า คนเราทุกคนก็มีด้านมืดด้วยกันทั้งนั้น สาเลยไม่อยากให้เล็กมองผู้ชายที่เล็กรักดีเกินไป ”
“ ถ้าเล็กคิดว่าจะอยู่กับใครสักคนไปตลอดชีวิต เล็กจะไม่ฝืนให้เขาปรับตัวแต่จะยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น คนเรามีด้านมืดมีความลับกันทั้งนั้น ถ้าเรายอมรับและไม่ขุดคุ้ยมาทำร้ายกัน เราก็จะอยู่ด้วยกันไปอย่างมีความสุข ”
รสาพ่นลมหายใจผ่านริมฝีปากให้กับถ้อยคำของเพื่อนรัก หมดปัญญาจะพูดเตือนให้เพื่อนระวังเลยได้แต่ถอนหายใจ นั่งจิบกาแฟของตนเองไปโดยที่ตลอดเวลาที่อยู่ตรงนั้น ไม่มีใครยกบทสนทนาเกี่ยวกับละครเรื่องนั้นขึ้นมาพูดกันอีกเลย
ขณะที่สองสาวอยู่ด้วยกันที่ชั้นล่าง ทายาทอังคพิมานก็เดินเข้ามาในโรงพยาบาลเพื่อไปพบกับอดีตผู้บริหารสูงสุดของอังคพิมานโฮเต็ลเพื่อแจ้งให้ทราบว่า การกระทำอันเสื่อมเสียของผู้ที่เขาเคยเชื่อว่าเป็นป้ากำลังทำให้ธุรกิจของครอบครัวเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
มลธิกากระพริบตามองฝ้าเพดานนานหลายนาทีกว่าจะมองภาพทุกอย่างได้ชัดเจนพร้อมอาการปวดศีรษะอย่างหนักคล้ายถูกของหนักทับสมองจนชา พอขยับแขนจะยกมาคลึงขมับก็เพิ่งรู้ว่าร่างของนางถูกมัดตรึงกับเตียงก็ตระหนกส่งเสียงแหบเรียกสมพรที่คอยมาเฝ้าไข้ให้มาช่วยแกะเชือกออก
“ ฉันเป็นอะไรไปสม ทำไมฉันถึงถูกมัดแบบนี้ ” นางเอ่ยถามพร้อมกับสำรวจดูรอยถลอกแดงเต็มลำแขนทั้งสองข้าง
“ ก็คุณผู้หญิงสลบไป พอตื่นมาก็อาละวาดทำร้ายตัวเองใหญ่ คุณหมอก็เลยต้องสั่งให้มัดไว้นะคะ ”
“ อะไรนะ ฉันทำร้ายตัวเองเหรอ...ทำไมฉันจำไม่ได้เลยล่ะ ” นางรำพึงแล้วนึกขึ้นได้ว่ามีสิ่งสำคัญต้องเก็บก่อนใครจะเห็นจึงหันรีหันขวางมองหากระปุกอาหารเสริมกับภาพวาดที่ได้รับมา เมื่อไม่เห็นก็หันไปถามอีก แต่สมพรก็ไม่ทันได้ขยับปากบอก ทันใดนั้นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง
ศิระเดินมาที่เตียงด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้ลึกลงไปในใจความรู้สึกเจ็บปวดจะยังคงอยู่ หากก็คลายลงไปบ้างจึงทำให้การปั้นหน้าวางเฉยไม่ใช่เรื่องยากเกินไปอีกแล้วสำหรับเขา
คนป่วยทอดสายตามองไปยังทายาทเพียงคนเดียวของตนเองเงียบๆด้วยความดีใจ ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่า เขาไม่ได้มาเยี่ยมตน แต่เพียงได้เห็นหน้าก็พอจะทำให้คนที่ทุกข์ทนอยู่กับความผิดบาปมากว่าค่อนชีวิตมีความสุขได้ไม่มากก็น้อย
ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันท่ามกลางความเงียบอยู่หลายอึดใจกว่าที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นสนทนาขึ้น
“ ที่ผมมาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับอังคพิมานโฮเต็ลต้องบอกให้คุณรู้ ”
นางหลุบตาลงมองมือทั้งสองข้างที่ประสานกันบนหน้าตัก...การเห็นลูกในระยะประชิดทำให้ความรู้สึกผิดทั้งหลายก่อขึ้นในใจให้หัวใจเจ็บปวดเสียจนกลัวว่าจะเผลอแสดงความอ่อนแอออกมาอีก
“ ตอนนี้ผู้ถือหุ้นใหญ่ของอังคพิมานโฮเต็ล ไม่ใช่คนในอังคพิมานอีกแล้ว ” เขาพูดแล้วเงียบไปนานกว่าจะเอ่ยต่อ “ ผมไม่รู้ว่าคุณรู้จักกลุ่มธุรกิจครอมเวลหรือเปล่า แต่กลุ่มธุรกิจนี้เขาเข้ามากว้านซื้อหุ้นของอังคพิมานโฮเต็ลไปห้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์แล้ว คุณรู้ไหมว่า เขาต้องการให้ผมขายหุ้นทั้งหมดที่ผมมีให้กับเขาเพื่อแลกกับที่จะไม่เปิดโปงความผิดของคุณ ”
คนบนเตียงรับฟังคำพูดของอีกฝ่ายด้วยท่าทางสงบนิ่งพร้อมเอนหลังลงกับหมอนใบใหญ่ที่สมพรวางไว้ให้ใช้พิงไม่ให้เมื่อยพลางหวนคิดถึงภาพความทรงจำในอดีต เมื่อครั้งที่รู้จักกับชายหนุ่มในภาพวาดเป็นครั้งแรกในหอประชุมของมหาวิทยาลัย...ความสุภาพอ่อนโยนของเขาทำให้หล่อนประทับใจ ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นพี่ชายคอยด์ ครอมเวลซึ่งเวลานั้นเป็นที่ปรึกษาให้กับอังคพิมานโฮเต็ลซึ่งมีอิทธิพลกับการตัดสินใจทุกอย่างของพ่อ ทำให้หล่อนคิดใช้เขาเป็นสะพานไปสู่ความยิ่งใหญ่
นางยังจำได้ดีถึงวันที่เขามาหาพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่เพื่อขอรับผิดชอบในการกระทำของตนเองและอ้างสิทธิ์ในความเป็นพ่อและสามีขอให้นางแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกัน...คำพูดของเขาเคยทำให้นางหวั่นไหวแต่เมื่อผลตรวจดีเอ็นเอออกมาว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ทำให้นางปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างไร้เยื่อใยแล้วเดินหน้าทำตามความปรารถนาของตนเองต่อจนได้เก้าอี้ประธานกรรมการบริหารสูงสุด
หากตอนนั้นนางยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อสร้างครอบครัวกับเขา ถ้าเพียงวันนั้นนางให้ความรักของเขาเข้ามาในใจ...ทุกคนก็คงไม่ต้องมีชีวิตที่เจ็บปวดเช่นนี้
“ เขายื่นข้อเสนอมาแค่นั้นเหรอ ” หลังจากไม่พูดอะไรเป็นเวลานานนางก็หลุดถามออกมา
“ เปล่า...เขายังยื่นมาอีกข้อ เขาบอกว่าจะคืนหุ้นที่ถืออยู่ในผม ขอแค่ผมยอมเปลี่ยนนามสกุลเป็นครอมเวลแล้วไปอยู่กับพวกเขาที่อเมริกา ข้อเสนอนี้แหละที่ทำให้ผมอยากรู้ว่า ครอมเวลเคยเกี่ยวข้องอะไรกับอังคพิมานหรือเปล่า ”
เพียงได้ยินคำที่ถาม คนป่วยก็ปรายตามองไปทางผู้พูดพร้อมสูดลมหายใจก่อนจะเบือนหน้ามองผ่านกระจกไปยังแผ่นฟ้าสีครามด้วยแววตาหม่นเศร้า...หากจะต้องบอกเรื่องชาติกำเนิดเพื่อให้ลูกมีรอยแผลเป็นในใจอีก นางก็ขอเป็นฝ่ายเก็บความจริงไว้ให้ความเจ็บช้ำกัดกร่อนหัวใจนางแต่เพียงผู้เดียว
“ ทางนั้นคงพูดเพื่อบีบให้ขายหุ้นไปอย่างนั้นแหละ ถ้าทางนั้นคิดจะใช้ความผิดของแม่บีบให้ใหญ่ขายหุ้น ใหญ่ก็ปล่อยให้เขาทำไป ยังไงเสียถ้าเรายังไม่ยอมขายหุ้นทั้งหมด ถึงจะไม่มีอำนาจการตัดสินใจเหนือกว่าแต่เรายังมีสิทธิ์ตรวจสอบการทำงานของเขาได้ ”
“ คุณไม่กลัวเหรอว่าเรื่องนี้จะทำให้คุณติดคุก ” เขาจงใจหยัน แต่แทนที่คนป่วยจะเครียดกลับมีรอยยิ้มออกมาให้เห็น
“ การรักษาธุรกิจของครอบครัวไว้มันสำคัญกว่าการติดคุกตั้งเยอะ ถึงยังไงความผิดของแม่ก็เป็นเรื่องจริง ถ้าจะต้องถูกตราหน้าหรือติดคุกเพื่อชดใช้ความผิดมันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ อีกอย่างถึงตอนนี้อังคพิมานจะไม่ได้ถือหุ้นใหญ่แต่ก็ยังมีหุ้นอยู่ สักวันหนึ่งแม่เชื่อว่า ใหญ่จะใช้ความสามารถเอามันกลับมาได้ ”
ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนต่อการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทำให้ศิระที่เคยเห็นคนบนเตียงร้องไห้คร่ำครวญเมื่อถูกตอกย้ำความผิดอยู่ตลอดขมวดคิ้วเพราะคาดไม่ถึงว่า ผู้หญิงคนนี้จะยอมรับความจริงโดยดุษฎี แต่ถึงอย่างนั้นอคติในใจที่มีก็ทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย
“ ถ้าคุณคิดได้อย่างนั้นก็ดี เพราะมันคือสิ่งที่คุณสมควรได้รับตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ” กล่าวทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็หมุนตัวเตรียมกลับ แต่ก่อนจะเดินไปถึงหน้าประตู เขาก็ได้ยินเสียงจากผู้ให้กำเนิดเอ่ยบางสิ่งที่ทำให้เขาถึงกับชะงัก
“ แม่รู้ว่าใหญ่คงไม่มีวันให้อภัยแม่ ใหญ่คงคิดว่าไม่มีหัวใจถึงทำเรื่องแบบนั้นลงไป แต่แม่อยากให้ใหญ่รู้ว่า ในชีวิตนี้สิ่งที่แม่เสียใจที่สุดคือการทิ้งใหญ่ไป ”
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากพยายามข่มใจไม่ให้อ่อนแอไปตามคำไม่กี่คำของผู้หญิงใจร้ายแล้วจึงเปิดประตูออกจากห้องไปเหมือนเสียงที่ได้ยินเป็นอากาศธาตุ
มลธิกาเฝ้ามองร่างสูงของทายาทเพียงคนเดียวก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆ ปล่อยให้น้ำตารินลงมาอาบสองแก้ม...ในก้นบึ้งของหัวใจที่นางแอบซ่อนไว้ไม่ยอมให้ใครรู้ยังมีเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้นางตัดสินใจทิ้งลูกไป
เป็นเหตุผลจากหัวอกคนเป็นแม่ที่หวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาว่า วันหนึ่งหากฝ่ายนั้นรู้ความจริงลูกจะถูกพรากไปตลอดกาลจึงต้องทำตัวเป็นผู้หญิงใจร้ายที่ทิ้งลูกอย่างไม่ไยดีได้ลงคอ และ การยอมถูกประนามหยาดเหยียดจากคนภายนอกและสายเลือดเป็นสิ่งเดียวที่นางจะทำเพื่อมิให้ลูกถูกพรากไป แม้ว่ามือจะเอื้อมไปสัมผัสไม่ได้ ขอเพียงยังมองเห็นความเป็นไปของเขาได้ ก็ถือเป็นความสุขที่สุดในชีวิตของคนบาปอย่างนางแล้ว...
ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ย. 2554, 01:39:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 2554, 01:39:30 น.
จำนวนการเข้าชม : 2555
<< บทที่ ๓๐ | บทที่ 32 >> |
violette 16 พ.ย. 2554, 01:53:57 น.
ยังเข้าใจปมไม่หมดอยู่ดีค่า รอตอนหน้าโลด ๆ
ยังเหลือเรื่องของพ่อเล็กกับพ่อพี่ใหญ่ที่ยังสับสนอยู่เลย เฮ่อ เจียเก่งมากค่ะคุณปาณณิศา ปมเรื่องเยอะสนุกสุดๆ
ยังเข้าใจปมไม่หมดอยู่ดีค่า รอตอนหน้าโลด ๆ
ยังเหลือเรื่องของพ่อเล็กกับพ่อพี่ใหญ่ที่ยังสับสนอยู่เลย เฮ่อ เจียเก่งมากค่ะคุณปาณณิศา ปมเรื่องเยอะสนุกสุดๆ
Auuuu 16 พ.ย. 2554, 11:12:33 น.
ไอ๊ย่ะ !!! ลุ้นสุดใจขาดดิ้น
ไอ๊ย่ะ !!! ลุ้นสุดใจขาดดิ้น
คิมหันตุ์ 16 พ.ย. 2554, 11:23:03 น.
มาลุ้นอีกคนจ้า
มาลุ้นอีกคนจ้า
anOO 16 พ.ย. 2554, 12:49:47 น.
พี่ใหญ่เข้าใจพี่ภาคแล้ว เหลือแต่สานี่แหละ อย่าเพิ่งไปใส่ไฟกับเล็กเยอะนะ
มารอลุ้นปมที่เหลือค่ะ อยากรู้จะเหมือนกับที่คิดไว้ไหม
พี่ใหญ่เข้าใจพี่ภาคแล้ว เหลือแต่สานี่แหละ อย่าเพิ่งไปใส่ไฟกับเล็กเยอะนะ
มารอลุ้นปมที่เหลือค่ะ อยากรู้จะเหมือนกับที่คิดไว้ไหม
Edelweiss 16 พ.ย. 2554, 21:43:28 น.
ติดตามค่ะ
ติดตามค่ะ