รักแท้...แม้ไม่ใกล้ชิด
สายป่านสาวน้อยจอมโก๊ะที่ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองชอบใครสักที ทั้งที่ก็มีคนเข้ามามากมาย ก็ใช่สิในหัวใจของเธอมีพี่วินอยู่แล้วตั้งแต่แรกเห็น แต่เรื่องราวกับไม่เป็นอย่างที่เธอคิด เมื่อมีอีกคนทำให้ความรักของเธอต้องสั่นคลอน เธอจะทำอย่างไร อยากตัดใจ แต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จสักที
วิทวิน หนุ่มมาดนิ่งรุ่นพี่ที่โรงเรียนของสายป่าน เขามอบหัวใจดวงนี้ให้เธอตั้งแต่วันแรกที่เห็นหน้า เมื่อหอบความกล้าทั้งหมดไปบอกเธอว่าชอบ แต่เอกลับวิ่งหนีเสียดื้อๆ แต่หลายอย่างทำให้เขารอ รอ และรอ เมื่อวันหนึ่งเดินทางมาถึง เขาได้เจอเธอในที่ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ และเป็นวันที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง เขาจะทำอย่างไรเพื่อตามทวงหัวใจที่ควรจะเป็นของเขากลับคืนมา


ตามเป็นกำลังใจให้คู่รัก คู่นี้กันนะคะ ใน รักแท้จะไม่แพ้ใกล้ชิด

^^ เป็นกำลังใจให้คนเขียน ทุกคอมเม้นจะเป็นแนวทางและกำลังใจในการเขียนงานของผู้เขียนต่อไป

นางสาวปลาดาว....
Tags: รักแท้

ตอน: ตอนที่ 5

การเดินทางอีกครั้งที่แตกต่าง ตอนที่เดินทางมาที่นี่ฉันมาพร้อมกับความหวังอย่างเต็มเปลี่ยม แต่การเดินทางไปจากที่นี่ในวันนี้กลับแตกต่าง เมื่อฉันหอบหัวใจที่บอบช้ำจากความผิดหวัง กลับเมืองไทย ฉันไม่ได้โทรบอกยัยเมย์ว่าจะกลับวันนี้ เพราะยังเหลือเวลาก่อนที่จะ present งานอีกตั้งเป็นอาทิตย์ ฉันจึงเลือกที่จะไม่กลับไปสู้หน้ายัยเมย์ เพราะฉะนั้นการกลับบ้านจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับฉันในตอนนี้
รถประจำทางพาฉันมุ่งหน้าจากตัวจังหวัดมุ่งหน้าสู่อำเภอที่ห่างออกไปประมาณ 30 กิโลเมตร สองข้างทางหลายอย่างยังคงเหมือนเดิม ส่วนใหญ่ยังคงเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ ขนาดย่อมสลับกันไป และเป็นสิ่งที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาได้ชื่นชมบรรยากาศแบบคันทรี่ คาวบอย ได้ปีละหลายแสนคนเลยทีเดียว รถประจำทางจอดสนิทที่หน้าฟาร์มขนาดกลางแห่งหนึ่งในขณะที่ฉันยังคงนั่งนิ่ง คิดอะไรเรื่อยเปื่อย
“อ่าว ไม่มีใครลงหรอครับ ฟาร์มชัยบุรินทร์ครับ ไม่มีลูกพี่ไปเลย”
“...........” ฟาร์มชัยบุรินทร์ ชัยบุรินทร์รีสอร์ท ชื่อคุ้นๆ เอ๊ะบ้านฉันนี่
“เดี๋ยวก่อนค่ะ มีค่ะมี”
“โถ่น้อง นั่งใจลอยไปถึงไหน”
“ขอโทษค่ะพี่”
ฉันก้าวลงจากรถประจำทางคันนั้น เป้าหมายคือฟาร์มชัยบุรินทร์ ที่รอคอยฉันอยู่ข้างหน้า เวลาแบบนี้ฉันคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ที่สุด ทำไมนะคนเราเวลาที่มีความสุขไม่เคยนึกถึงบุพการี แต่เวลาทุกข์คนแรกที่นึกถึงกลับเป็นท่านทั้งสองเสมอ ฉันไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือนแล้ว เพราะยุ่งจากการฝึกงาน และทำโปรเจคจบ ที่นี่ดูแตกต่างไปจากการตกแต่งที่เปลี่ยนไป เพราะแม่ของฉันมักจะชอบเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของไร่และรีสอร์ทเสมอ ถึงที่นี่จะไม่ใช่ไร่ขนาดใหญ่เหมือนไร่อื่นๆที่อยู่รอบๆ แต่ที่นี่ก็สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากพอสมควร สมัยก่อนที่ผืนนี้เป็นเพียงทุ่งหญ้าและฟาร์มเลี้ยงโคเนื้อ โคนมของปู่ ที่ทิ้งไว้ให้ลูกหลานสานต่อ แต่ไม่เคยมีใครคิดสนใจ จนกระทั่งพ่อจนเลือกที่จะเกษียนตัวเองออกจางานข้าราชการที่ทำอยู่จึงหันมาจับงานในไร่แบบจริงจัง อีกทั้งแม่ก็พอมีหัวการค้าและความสามารถเฉพาะตัวเรื่องการตกแต่ง จึงคิดว่าทำเลเหมาะแก่การเพิ่มมูลค่าให้กับฟาร์มโคเนื้อ โคนมธรรมดาให้กลายเป็นรีสอร์ทเล็กๆ แต่ร่มรื่น ร่มเย็น ด้วยบรรยากาศแบบธรรมชาติที่สร้างสรรค์โดยแม่ของฉันเอง และรีสอร์ทแห่งนี้ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อรีสอร์ทใหญ่ๆมักเต็มเสมอ เพราะเป็นที่รู้จักมากกว่า และรีสอร์ทเล็กลองลงมาจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และด้วยการบริการและทัศนียภาพที่น่าสนใจทำให้ชัยบุรินทร์รีสอร์ทเป็นที่รู้จักมากขึ้น
“สวัสดีค่ะ ต้องการที่พักรึเปล่าคะ ชัยบุรินทร์รีสอร์ทยินดีต้อนรับค่ะ” เด็กสาวอายุน่าจะไม่เกิน 18 ในชุดฟอร์มของรีสอร์ทคือเสื้อผ้าฝ้ายแขนสั้นตัวยาวสีขาว กับกางเกงเนื้อผ้าเดียวกันสีเข้มกว่า เป็นสิ่งที่บอกว่าเธอเป็นพนักงานของชัยบุรินทร์รีสอร์ทไม่ใช่พนักงานของไร่ชัยบุรินทร์
“อ่อเปล่าค่ะฉันมาหาคุณแม้นวาดน่ะค่ะ”
“คุณแม้นวาด เจ้าของที่นี่น่ะหรือคะ”
“ค่ะเจ้าของที่นี่ ไม่ทราบว่าท่านอยู่ใช่มั้ยคะ”
“ท่านอยู่ค่ะ แต่ว่า....เอ่อ รอสักครู่นะคะ”
“ค่ะ”
คงไม่แปลกที่เด็กคนนี้จะไม่รู้จักฉันเพราะดูจากหน้าตาแล้ว ฉันไม่คุ้นเหมือนกัน ปกติแล้วคนงานที่นี่มีไม่มาก เพราะพ่อมักจะพูดเสมอว่าเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ พนักงานที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ และฉันก็รู้จักเกือบทุกคน เด็กเด็กคนนี้ฉันมึคุ้นจริงๆ
ฉันเลือกที่จะเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้หวายที่จัดไว้รับรองแขกที่เข้ามาพักที่รีสอร์ท พนักงาน คนเดิมถือแก้วเครื่องดื่มสีม่วงเข้มนั่นคือน้ำองุ่นสดจากไร่แสนอร่อยที่ใครได้ชิมเป็นต้องติดอกติดใจ แก้วนั้นวางลงตรงหน้า พนักงานคนนั้นบอกว่าเดี๋ยวคุณแม้นวาดออกมาพบ ฉันนั่งรอสักพักเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลัง
“สวัสดีค่ะ คุณคงเป็นคนที่ขอพบฉัน”
แม่ทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรแบบรี้กับทุกคนเสมอ แม่คงไม่รู้ว่าเป็นฉัน เพราะไม่คิดว่าฉันจะกลับบ้านช่วงนี้ เพราะฉันบอกกับแม่ไว้ว่าสิ้นเดือนหน้านำเสนอโปรเจคถึงจะกลับบ้าน น้ำตาที่กลั้นไว้นานพลันไหลอาบสองแก้ม ไม่ใช่แค่เพราะเหตุการณ์ที่พึงพบเจอแต่เป็นเพราะฉันคิดถึงเหลือเกินคิดถึงอ้อมกอดของแม่ คิดถึงคำพูดที่คอยแต่ปลอบใจทุกครั้งที่ฉันท้อ และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องการอ้อมกอดนั้น ฉันโผเข้ากอดแม่อย่างเต็มรักด้วยความรู้สึกที่ถาโถม ฉันไม่ได้ยินอะไรอีกเลย ได้ยินแต่เสียงสะอื้นของตัวเอง กับคำถามของแม่ที่เพียรถามว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น
ฉันไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่รู้แต่เพียงว่าตื่นขึ้นมาอีกทีบรรยากาศในห้องก็มืดเสียแล้ว ฉันคงร้องไห้จนหลับไปเหมือนเด็กๆ ตอนนี้แม่คงกำลังรออยู่ว่าฉันจะเล่นอะไรให้แม่ฟังบ้าง ฉันจะบอกได้ยังไงว่าฉันตามไปหาผู้ชายจนถึงเมืองนอก แล้วแถมหอบเอาความเจ็บช้ำใจกลับมาเป็นของฝาก แต่ยังไงแม่ก็ต้องรู้ป่านนี้ยัยเมย์ก็คงจะรู้แล้วด้วยว่าฉันกลับบ้านและคงกำลังรอคำตอบจากฉันอยู่เหมือนกัน

Wittawin talk…

จากเหตุการณ์ในวันนั้นทำเอาผมไม่เป็นอันทำงาน ผมไม่รู้ว่าเธอมาที่นี่ได้ยังไง ทั้งที่เมืองไทยกับญี่ปุ่นก็ใช่ว่าใกล้กัน เธอมาแล้วก็ไป ไปแบบที่ผมไม่ได้ตั้งตัว และอธิบายอะไรด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างที่เพื่อนผมว่า มันก็น่าเข้าใจผิดอยู่หรอก วันนั้นผมพึ่งกลับจากการซื้อเสบียงกับริสาเพื่อนคนไทยที่ร่วมทำโปรเจคจบด้วยกัน เพราะกะว่าจะไม่ออกไปไหนเลยตลอดสัปดาห์เพื่อเคลียร์งานให้เสร็จก่อนคริสมาส เพราะผมตั้งใจแล้วว่าจะกลับเมืองไทยก่อนหน้านั้นเพื่อใครบางคน พอกลับมาถึงห้องไอ้เพื่อนตัวดีอีกสามคนก็เล่นเอาผมปวดหัวเพราะมันเล่นเบียร์กระป๋องที่เตรียมไว้ฉลองปิดโปรเจคเมาเละเทะ แถมยังอวกใส่ริสาซะจนเหม็นไปหมดเธอเลยเปลี่ยนใส่เสื้อผมที่ตัวใหญ่กว่าเธอมาก มาใส่แก้ขัดไปก่อน วันนั้นคงเป็นวันซวยของผม นอกจากห้องเละแล้ว ชีวิตรักของผมก็กำลังจะพัง วันนั้นกลิ่งหน้าห้องดังในขณะที่ริสาเอารองเท้าเข้าชั้นพอดีเธอจึงเป็นคนเปิดประตูเพราะคิดว่าเป็นเพื่อนร่วมโปรเจคอีกคน แต่ไม่ใช่ ทันทีที่เปิดประตูทุกอย่างเงียบริสาเงียบ คนที่มาใหม่ก็เงียบ ผมจึงเดินออกไปดูทันเห็นแค่เพียงหลังไวไว ที่เห็นแค่นั้นผมก็จำได้ว่าเป็นใคร ตอนนั้นผมกำลังอึ้งและทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งริสาถามว่าเธอเป็นใคร และบอกว่าเหมือนเธอกำลังจะร้องไห้ เท่านั้นแหละผมวิ่งแบบไม่คิดชีวิต แต่ไม่ทันแล้ว เธอหายไป ไปไหนไม่รู้ ไม่มีใครรู้จักเธอ
หลังจากนั้นโปรเจคของก็เริ่มกร่อยเมื่อผมเอาแต่เงียบ ไม่คิด ไม่ทำ ไม่ร่วมมือ จนเพื่อนหลายคนเริ่มเบื่ออาการแบบนี้ของผม วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่ผมยังคงมีอาการแบบนี้อยู่ นั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ ออนไลน์หน้าเฟสบุค MSN Skype ทุกๆการสื่อสาร แต่ไม่มีวี่แววว่าจะได้เจอเธอในนั้น ผมนั่งอ่านสถานะล่าสุดของเธอ ซึ่งก็คือเมื่อห้าวันที่แล้ว
“รอก่อนนะ japan สายป่านคนนี้จะเอาความรัก ความคิดถึงไปฝาก”
ผมน่าจะได้อ่านสเตตัสนี้ก่อนหน้านี้ ถ้าผมรู้ว่าเธอจะมา ป่านนี้ความหวังที่รอคอยมาตลอดห้าปีคงได้บทสรุปที่น่าพอใจ
“นั่งมองแบบนี้มาสามวันแล้วนะวิน”
“.....อืม”
“กินอะไรหน่อยดีมั้ย”
“ไม่หิวหรอก”
“กินบ้างนะ จะได้มีเรี่ยวมีแรง เธอแค่เข้าใจผิด แค่วินกลับไปอธิบายให้เธอฟังเธอก็จะเข้าใจวินเองนั่นแหละ เชื่อเราสิ”
“เราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ตรงไหน”
“ทำไมต้องหาที่เริ่มต้น แค่วินเอาความจริงผสมรู้สึกทั้งหมดแค่นั้นเอง”
“แต่ว่า....”
“ใช่ตอนนี้มันมีแต่ แต่ที่ว่าก็คือ วินจะกลับได้ยังไงในเมื่อโปรเจคของเรายังไม่จบ”
“ใช่มันยังไม่จบ”
“และมันคงไม่จบถ้าแกอยู่ในสภาพนี้”
“ใช่วิน วินคิดดูสิว่าถ้าวินไม่ลุกขึ้นมา แล้วเมื่อไหร่วินจะได้วิ่งไปหาจุดหมายของวินล่ะจริงมั้ย”
มันก็จริงอย่างที่เพื่อนๆพูดถ้าไม่ลุกแล้วเมื่อไหร่จะถึง จุดหมายของผมไม่ใช่ใกล้ๆแต่มันไกลเหลือเกิน และตอนนี้เธอก็กำลังเข้าใจผมผิด ผมต้องลุกขึ้นมาเพื่อเริ่มต้นออกวิ่งตามหัวใจที่ควรจะเป็นของผมกลับคืนมาให้ได้
ผมเหลือเวลาเพียงแค่สามวันเท่านั้นกับการเคลียร์งานที่ค้างให้จบ ไม่รู้ว่าความคิดหลากหลายมันหลั่งไหลออกมาจากไหน สมองวิ่ง แล่นฉิว ตอนนี้สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่มันจะทำให้ผมได้กลับไปหาเธอเร็วขึ้น

Mayawee talk…

ฉันยังงงไม่หาย ที่เมื่อวันก่อนแม่ของยัยป่านโทรหาฉัน และสาดคำถามสารพัดที่ฉันก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง แม่ถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับป่าน ฉันจะรู้ได้ยังไง ล่าสุดที่เจอกัน คือวันที่ไปส่งที่สนามบิน ทำไมป่านร้องไห้ ฉันก็อยากบอกแม่เหลือเกินว่าหนูก็รู้ไม่มากไปกว่าแม่หรอกค่ะ แต่ที่รู้มากกว่าคือยัยป่านไปญี่ปุ่นด้วยเงินเก็บของตัวเอง โดยที่ไม่ได้บอกใครนอกจากหนู และวันนี้อีกคนที่เพียรถามฉันถึงเรื่องของยัยป่านก็คือพี่วิน พี่วินถามว่า ป่านเป็นยังไงบ้าง อยู่ด้วยกันใช่มั้ย พี่อยากคุยกับป่าน ฉันก็อยากให้คุยกัน แต่ตอนนี้ฉันทำอะไรได้ที่ไหนเล่า นอกจากรอฟังข่าว รอการติดต่อกลับมาของยัยป่าน เพราะฉันคงตามยัยป่านกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้ โปรเจคฉันยังไม่เสร็จ อีกอย่างฉันก็สมัครทำงานต่อที่บริษัทที่มาฝึกงานทำให้ช่วงนี้อยู่แบบเหมือนทดลองงาน
กรี๊ด...............เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันที่หลายคนบอกว่าสมควรเปลี่ยนอย่างยิ่ง ดังขึ้นแทรกกลางความเงียบของฉัน หน้าจอโชว์หลาว่าเป็นยัยสายป่านโทรเข้ามา
“ป่านแกโอเคใช่มั้ย”ทันทีที่กดรับ ยังไม่ทันที่ฝ่ายนั้นจะพูดอะไรมาฉันก็สวนถามไปทันทีด้วยความเป็นห่วง
“ฉันโอเคแล้ว”
“แน่ใจนะ วันก่อนแม่โทรมาถามเรื่องแกกับฉันใหญ่เลย”
“แน่ใจ แม่รู้แล้วล่ะฉันเล่าแล้ว อาทิตย์นำเสนอโปรเจคฉันถึงจะกลับนะ ฉันจะกลับไปให้แกเลี้ยงข้าวอย่าลืมสัญญาล่ะ”
“นี่ตกลงว่าฉันต้องเลี้ยงข้าวแกใช่มั้ย”
“ใช่แกต้องเลี้ยงข้าวฉันแล้วล่ะ” น้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่ายัยป่านยังไม่ค่อยโอเคอย่างที่ปากพูด แต่ฉันเชื่อว่ายัยป่านเข้มแข็งเสมอ และเรื่องที่เกิดขึ้นคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่นอน ไม่ใช่ว่าฉันเข้าข้างใครแต่ฉันคิดอย่างนั้นเพราะลางสังหาร และความรู้สึกล้วนๆ



นางสาวปลาดาว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 พ.ย. 2554, 14:05:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 พ.ย. 2554, 14:05:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1575





<< ตอนที่ 4   ตอนที่ 6 >>
นางสาวปลาดาว 8 พ.ย. 2554, 14:05:47 น.
ฝากด้วยนะคะ


anOO 8 พ.ย. 2554, 18:37:46 น.
เข้าใจผิดกันจริงๆ ด้วย


ไม้เอก 9 พ.ย. 2554, 13:16:20 น.
นู๋ป่านมันเป็นเพียงเข้าใจผิดเท่านั้นเอง :)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account