ถอดสลักรัก ถอดรหัสใจ
รัก...ที่ฉันคิดว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้จนฉันต้องใส่กลอนล๊อคไว้ในซอกใจกำลังจะถูกไขออกมาอีกครั้ง เมื่อเขา...ผู้เป็นดั่งกุญแจสำคัญได้ทำให้ชีวิตที่ฉันพยายามทำให้เรียบง่ายนั้นยุ่งเหยิง

ฉัน...ซึ่งไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นเหมือนนางเอกในละครที่เกลียดจะต้องพบกับสถานการณ์ที่จะต้องมานั่งคิดว่า นางเอกในละครเขาจะต้องทำอย่างไร...

ใครว่าละครมันน้ำเน่า...เรื่องจริงมันยิ่งกว่าซะอีก เพียงแต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่า ฉัน...จะเป็นนางเอกของใครได้
Tags: กฤษณ์ นางเอก เขม

ตอน: ตอนที่ 6 มือที่สาม? (1)

ตอนที่ 6 มือที่สาม? (1)

เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า ความสุขจะอยู่กับเราได้ไม่นาน เช่นเดียวกันกับความทุกข์ ดังนั้นเราควรเก็บเกี่ยวทุกวินาทีแห่งความสุขให้มากที่สุดและอดทนอยู่กับความทุกข์ รอเวลาให้มันผ่านไปเช่นกัน

ลอยกระทงครั้งนั้นคงเป็นความสุขเรื่องเดียวในความทรงจำของฉันเมื่อฉันนึกย้อนไป แต่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ทีไร มันก็ทำให้เลี่ยงที่จะไม่นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ได้


ฉันแอบเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวันลอยกระทงกับพี่กฤษณ์ไว้เป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของฉัน แต่ในขณะเดียวกัน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเริ่มรู้สึกผิดและอึดอัดกับเอจนทนไม่ไหว

“เข็ม ถามจริงเหอะ แกชอบไอ้เอมันจริงหรือเปล่าวะ” ขวัญโพล่งถามฉันในขณะที่เราอยู่ในห้องเพื่อนั่งอ่านหนังสือทบทวนสิ่งที่เรียนไป ซึ่งก็เป็นขวัญเองที่เป็นโต้โผ เพราะจากการสอบคราวก่อนแสดงให้เห็นว่าการตะบี้ตะบันอ่านหนังสือก่อนแค่ไม่กี่วัน ไม่สามารถทำให้คะแนนมันโผล่พ้นมีนได้ โดยเฉพาะอังกฤษที่ตัดเกรดกับเด็กมนุษย์ อิ้งค์ (English) และฟิสิกส์ตัดรวมกับเด็กคณะแพทย์ฯ

ฉันเงยหน้าจาก Advance Grammar ที่อ่านทบทวนแล้วมองหน้าขวัญ และก็มองเห็นเอ๋วางชีทแล็บเคมีทิ้งทันที

“ทำไมถึงถามอย่างนั้นล่ะ” ฉันนิ่งไปครู่ใหญ่กว่าจะถามไป

“แกคิดว่าพวกชั้นดูไม่ออกหรือไง” สายตาคาดคั้นอย่างจริงจังนั้นทำให้ฉันหลบสายตาก่อนจะวางหนังสือลง แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ไม่รู้ว่ะ ฉันพยายามแล้วนะ พยายามแล้ว” ฉันได้แต่บอกมันไปโดยที่ยังไม่กล้าสบตาด้วยความรู้สึกผิด

“ไมอ่ะแก มันออกจะรักแกขนาดนั้น” เอ๋ถามซึ่งฉันก็ได้แต่เงียบ

“จะทำอะไรก็คิดให้ดีนะ ยังไงมันก็เพื่อน แกคิดเอาเองละกัน” ขวัญบอกและทำให้ฉันยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลงทางอยู่ในเขาวงกตที่มืดมิด


และยิ่งมืดมิดมากขึ้นเมื่อเรื่องที่ฉันลอยกระทงกับพี่กฤษณ์ส่งไปถึงคณะเภสัชฯ หลังจากนั้นทุกคนก็คงจะรู้ว่า “ข่าวลือ” และ “เรื่องจริง” มันพิสูจน์ความต่างกันได้ยากมาก

“อีกแล้วนะ แกเห็นป่ะ เด็กเภสัชฯ มองเราอีกแล้วว่ะ” เอ๋บ่นเบา ๆ ฉันได้แต่นึกขอโทษในใจ เป็นเพราะฉันเองที่ทำให้ถูกมองแบบนั้น

ใช่แล้ว โลกนี้ไม่ได้มีแต่ฉันและพี่กฤษณ์สองคน เรื่องในคืนลอยกระทงย่อมมีคนพบเห็นเป็น “เรื่องเล่า” ไปถึงหูพี่เกดอยู่แล้ว และดูเหมือนว่าฉันก็ได้ยิน “เรื่องเล่า” มาเหมือนกันว่า “เรื่องเล่า” ของฉันทำให้พี่กฤษณ์และพี่เกดทะเลาะกันจนกลายเป็นว่าฉันเป็นมือที่สามที่กำลังจะสอยพี่กฤษณ์กลับคณะตัวเอง โชคดีที่คณะของฉันมีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ และผู้ชายพวกนี้ก็ไม่ค่อยสนใจพวก “เรื่องเล่า” พวกนี้นัก จริง ๆ มันก็มีบ้าง แต่พวกนั้นก็แค่รับฟัง ไม่ได้ใช้สายตาประณาม เหมือนที่เด็กเภสัชฯ พวกนี้กำลังทำอยู่

“สนไรวะ” แน่นอนเจ้าแม่ของเรา ขวัญนั่นเอง มันหันมาสบตาฉันด้วยสายตาที่เหมือนจะถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่าซึ่งฉันก็ส่งยิ้มขอบคุณไปให้ ดูเหมือนว่าความเป็นเพื่อนของเรามันมากซะจนไม่ต้องพูดก็สามารถสื่อความหมายกันได้ละ โชคดีจริง ๆ ที่มีเพื่อนดี ๆ ดังนั้นฉันก็ต้องทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีด้วยใช่ไหม

“รีบ ๆ เหอะเอ๋ เดี๋ยวกดสเลอปี้ให้” อีกหนึ่งวิชาที่ฉันได้เรียนรู้จากรั้วมหาวิทยาลัยคือวิชากวาดให้เรียบ เวลากดสเลอปี้ที่เซเว่นก็ต้องกดให้สูงที่สุด เวลาไปกินพิซซ่าซึ่งมีสลัดบาร์ก็ต้องตักมาให้มากที่สุดในครั้งเดียวซึ่งฉันก็มีฝีมือมากที่สุดในกลุ่ม อืม...ไม่ใช่งกนะ แค่อยากใช้เงินให้คุ้มค่าน่ะ

“แล้วเอว่าไงมั้งอ่ะ เรื่องนี้ มันรู้ยัง” เอ๋ถามหลังจากโฮกสเลอปี้ที่ฉันเซ่น

“ไม่รู้” ฉันได้แต่ส่ายหน้าและไหล่ลู่ลงมาเล็กน้อย

“เดี๋ยวมันก็รู้ คุยกับมันดี ๆ ละกัน” ขวัญตบหลังฉัน เหมือนให้กำลังใจ


แต่เอก็ไม่เห็นถามฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย หรือเขาจะยังไม่รู้ ฉันควรชิงบอกเขาด้วยตัวเองก่อนที่เขาจะรู้เรื่องนี้ดีไหมนะ ฉันได้แต่คิด เพราะจริง ๆ แล้ว สุดท้ายฉันก็ยังไม่รู้จะจัดการอะไร ๆ เกี่ยวกับเอจริง ๆ เขายังคงทำตัวเหมือนเดิมคือ...ทำตัวเหมือนเป็นแฟนของฉันเหมือนเดิม เอ๊ะ! หรือจริง ๆ แล้วตอนนี้ฉันเป็นแฟนของเอจริง ๆ นะ

กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่งรอใคร ในขณะที่ฉันก็ยังทำตัวสับสน ค้างคากับเรื่องของเอ ซึ่งขวัญมันก็ได้แต่ปลงกับสภาพของฉันเมื่อมีใครแซวฉันกับเอ หรือตอนที่เออยู่กับฉัน มันมักจะช่วยเปลี่ยนเรื่องชิ่งให้หรือกัดเอ (หมายถึงแขวะ แซวเล็ก ๆ น้อย ๆ พอแสบ ๆ คัน ๆ) เพื่อเบี่ยงประเด็น
แต่ฉันก็ไม่สามารถหนีปัญหาไปได้ตลอดหรอก จริงไหม...


“เข็ม เย็นนี้ว่างหรือเปล่า” เอถามหลังจากที่พวกเราเพิ่งส่งควิซย่อยแคลคูลัส ในขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆ โอดครวญถึงความมั่วของตัวเอง

“หา เอ่อ..อืม..ก็ว่าง เอมีอะไรเหรอ” ตอนแรกฉันกะจะรีบชิ่งอยู่เหมือนกันแต่ก็กลัวเอจะเสียใจ

“งั้นเดี๋ยวเราไปส่งนะ” เอบอกกับฉันและก็หันไปบอกกับเพื่อน ๆ ของฉันว่าเขาจะเป็นคนไปส่งฉันที่หอพักเอง เพราะปกติฉันจะกลับกับขวัญและเอ๋

ขวัญมองฉันอย่างมีความหมาย ฉันได้แต่แอบกลืนน้ำลายเพราะรู้สึกคอแห้งขึ้นมากะทันหัน

ฉันนั่งขยับตัวอย่างอืดอัดบนรถของเอ เขาขับรถพาฉันไปทางหลังมอ ซึ่งเป็นคลองริมสวนหย่อม มหาวิทยาลัยของฉันมีคลองล้อมรอบ เป็นอาณากั้นนอกจากรั้วของมหาวิทยาลัย

เมื่อเอจอดรถและนิ่งอยู่อย่างนั้นฉันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหมือนผู้ร้ายกำลังโดนสอบสวนความผิดและรู้ว่าจะต้องโทษอย่างแน่นอน เมื่อยังไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากปากของทั้งฉันและเอก็ยิ่งทำให้ฉันอึดอัดมากขึ้น ดีที่ยังมีเสียงเพลงเบา ๆ จากเครื่องเสียงบนรถ แต่ในที่สุดที่เป็นฉันที่ทนไม่ไหว เอาวะ!

“เอ่อ...เอมีอะไรหรือเปล่า” เออ ถามไปได้ไงวะ ต้องเป็นฉันไม่ใช่เหรอที่ต้อง “พูด” แต่เมื่อหันไปฉันก็เจอกับช่อดอกกุหลายสดสีแดงเข้มอยู่ตรงหน้าทำให้ฉันเอ๋อไปเลย กุหลายช่อนั้นถูกวางบนมือฉันที่เอเป็นคนยกมารองรับไว้ทำให้ฉันรู้สึกตัวและจะกระตุกมือแต่มือใหญ่ของเขาไม่ยอมปล่อย

“มันอะไรอ่ะ” ฉันถามโง่ๆ ออกไปอีกแล้ว ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามันคือกุหลาบ

“วันนี้วันวาเลนไทน์นะ” เอบอกเสียงนุ่ม ซึ่งมือของเขาที่ยังจับมือฉันไว้นั่นส่งความร้อนมาถึงใจฉัน เปล่าหรอก ไม่ใช่ความรู้สึกแบบที่ฉันมีเหมือนตอนพี่กฤษณ์ แต่เป็นความร้อนที่ทำให้ใจฉันร้อนรน อยากหลีกหนีออกไปจากสภาวะนี้

ในที่สุดฉันก็เบี่ยงมือออกจากความร้อนนั้นได้ตอนที่ยกช่อดอกกุหลาบทำท่าเหมือนจะสูดดม แต่เปล่าเลย ฉันแค่ไม่อยากให้เอเห็นสีหน้าของฉันตอนนี้ ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้สีหน้าตัวเองเป็นแบบไหน แต่เมื่อฉันไม่ใช่นักแสดงซึ่งสามารถปั้นหน้าได้ ความรู้สึกของฉันคงแสดงออกทางสีหน้าแน่นอนและฉันก็ยังไม่อยากให้เอเห็นตอนนี้ ขอคุยก่อน

“ขอบใจเอ จริง ๆ ไม่ต้องให้ก็ได้นะ เปลืองเปล่า ๆ “ ฉันพยายามส่งยิ้มที่ฉันคิดว่าพยายามปั้นมาอย่างสุดฤทธิ์ แต่ก็แค่นิด ๆ

“ยังมีอีกอย่าง เข็มหลับตาก่อนได้หรือเปล่า” หา! หลับตาทำไม ฉันได้แต่ตระหนก

“หะ อะไรนะ เอ่อ...ไม่ดีมั้ง” ฉันอึกอัก

เอมองหน้าอีกครั้งแล้วก็ยิ้ม

“งั้นไม่ต้องหลับตาก็ได้” ฉันสบายใจได้แค่วินาทีเท่านั่นแหละมั้ง ตอนที่เอโน้มตัวเข้ามา ซึ่งนับว่าโชคดีที่ปฏิกิริยาของฉันเร็วกว่าปกติ (ที่เคยเป็น) เมื่อฉันยกมือมากั้นเขาไว้ได้ทัน

“เอ จะทำอะไรอ่ะ” ฉันร้องออกมาอย่างตระหนก

เอชะงักกับท่าทางของฉันแล้วก็ถอนใจเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นสิ่งนั้นมาตรงหน้าฉัน มันคือสร้อยที่มีจี้เป็นคริสตัลใสรูปหัวใจสีชมพู ฉันจ้องมันอยู่พักนึงก่อนจะกลืนน้ำลายเมื่อรู้สึกคอแห้งอีกแล้ว ฉันคงต้องพูดแล้ว

“เอ่อ เอ เข็มว่าเราต้องคุยกันจริง ๆ ซักทีละ” แปลกแฮะ เมื่อฉันเริ่มพูด ฉันก็รู้สึกสงบมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ เพราะฉันมีเรื่องที่ต้องคุยกับเอให้ได้ เอเอียงหน้าเล็กน้อยแต่ยังคงยิ้มให้ฉัน

“เข็ม...เข็มขอโทษนะเอ ที่ปล่อยให้มันนานขนาดนี้ แต่เอ...เข็มว่าตอนนี้เรายังเป็นเพื่อนกันใช่ไหม” ฉันหยุดเพื่อสบตากับเขา รอยยิ้มหายไปแล้ว แต่เอยังคงนิ่ง

“เข็ม...ไม่ได้คิดกับเอเกินเพื่อนนะ เข็มขอโทษถ้าหากเข็มทำให้เอเข้าใจผิด คือ...เข็มไม่ได้ชอบเอแบบ...แบบที่เป็นแฟนกันน่ะ เอเป็นเพื่อนนะ” ฉันพยายามอธิบายให้เอเข้าใจ และพยายามเลือกใช้คำพูดที่มันดูรุนแรงน้อยที่สุด

“เพราะเข็มชอบพี่กฤษณ์เหรอ” คำพูดของเอทำให้ฉันชะงักไปพักนึง และฉันก็ได้แต่เงียบ เพราะฉันไม่อยากโกหกและไม่อยากพูดออกมาให้เอเสียใจ

“ใข่ไหม เพราะเข็มชอบพี่กฤษณ์เหรอ ถึงได้ไปลอยกระทงด้วยกัน” ฉันว่าเอเสียงดังมากขึ้นกว่าเดิมนะ

“นั่นมันเป็นเรื่องบังเอิญ เข็มไม่ได้นัดจะไปลอยกระทงกับพี่กฤษณ์นะ” ฉันอธิบาย

“แต่เข็มชอบพี่กฤษณ์ใช่ไหม” เอพูดแทรกทันที ซึ่งฉันได้แต่เงียบ

“ทำไมล่ะเข็ม เข็มไม่เคยชอบเอเลยเหรอ” คำถามของเอทำให้ฉันลำบากใจที่จะตอบจริง ๆ ฉันรู้ว่าฉันผิดที่ทำเหมือนให้ท่า (หรือเปล่า) จนทำให้ใคร ๆ เขาคิดกัน ฉันเลี่ยงโดยหันไปมองนอกตัวรถ และคิดจะออกจากบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้เลยยกมือข้างที่ว่างจะปลดล๊อคประตู แต่แทบจะทันทีที่ฉันจะปลดล็อคฉันก็รู้สึกเหมือนถูกกระชากจากด้านหลัง ทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมด

“ตอบคำถามเอมาก่อน” ฉันได้ยินคำถามแล้ว แต่ฉันยังไม่รู้ว่าจะต้องตอบก่อนหรือเปล่า เพราะเอในตอนนี้ดูน่ากลัวมาก ฉันรู้สึกได้ถึงสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้นในหัว

“เอ ขอเข็มออกไปก่อนนะ ปล่อยเข็มก่อน” ฉันพยายามทำเสียงให้นิ่งทั้ง ๆ ที่ใจฉันมันไม่ได้นิ่งอย่าง เหมือนมีเสียงกลองและหวอเตือนภัยสลับกันดังในหัว

“เอ ปล่อยเข็มก่อน “ ฉันบอกเขาอีกครั้ง

“ทำไมล่ะเข็ม เข็มไม่ชอบเอเลยเหรอ” เหมือนเอจะดึงตัวฉันเข้าไปอีกนิด เพราะฉันรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างใบหน้าเรามันน้อยลง

“ไม่ ไม่ใช่ไม่ชอบ เอ เอปล่อยเข็มก่อนเถอะ เราคุยกันข้างนอกดีกว่านะ” ให้ตายเหอะ อันตรายแล้ว

“เข็มตอบเอมาก่อน ไม่งั้นก็ไม่อยู่ด้วยกันที่นี่แหละ” ไม่นะ ไม่อยู่ ฉันว่าคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว ฉันต้องชิ่งแล้ว แต่จะทำยังไงดี ฉันกลอกตาคิดพร้อมทั้งพยายามสลัดมือออกจากมือของเขาอย่างแรง แต่ก็ยังไม่หลุด

“ปล่อยนะเอ” ฉันเพิ่มน้ำเสียงให้เข้มขึ้นมากกว่านี้แต่ก็ยังคงไร้ผล

“พูดสิเข็ม ตอบคำถามเอ” เสียงของเอยิ่งเข้มกว่า

“ไม่” ฉันดิ้นและพยายามฟาดเขาด้วยช่อกุหลาบที่ยังอยู่ในมือ ซึ่งได้ผล เอปล่อยมือฉันข้างนึงเพราะจะจัดการกับช่อกุหลาบนั่นและโยนลงไปด้านหลังเบาะแล้วก็รวบมือฉันไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ให้ตายเหอะ ทำไมมือผู้ชายมันใหญ่กันจังวะ วันนี้ฉันดันเลือกใส่กระโปรงทรงสอบเพราะมีควิซทั้ง ๆ ที่ปกติชุดนักศึกษาฉันจะใส่พลีทยาว มันทำให้ฉันขยับตัวได้ลำบากและกำลังเสียเปรียบอยู่อย่างนี้

“อย่านะเอ จะทำอะไร” ฉันกรีดร้องเมื่อดึงฉันเข้าไปใกล้และโน้มตัวเข้ามา ฉันเบี่ยงหน้าหลบและได้แต่นึกด่าตัวเองว่าทำไมฉันถึงต้องตามเขามา เอคนนี้ไม่ใช่คนที่ฉันรู้จัก เขาน่ากลัวฉันพยายามเอามือที่ถูกรวบยกขึ้นมาดันหน้าเขาไว้แต่ก็ถูกเขากระชากเบี่ยงไป ฉันทำอะไรไปบ้างไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันต้องหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ ลมหายใจอุ่นร้อนของเอเป่าผิวแก้มและไล่ตามริมฝีปากที่เบี่ยงหนี ฉันได้แต่กรีดร้องอยู่ในคอเมื่อรู้ว่าเอจะทำอะไร เขาจะจูบฉันใช่ไหมหรือเขาจะทำอะไร แต่ ฉันหลับตาและเม้มปากแน่นเมื่อถูกมืออีกข้างของเอรั้งไว้ที่ท้ายทอยด้านหลังบังคับให้หันหน้ามา น้ำตาฉันไหลออกมาเมื่อไหร่ไม่รู้ ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขา ใครก็ได้ช่วยด้วย

สัมผัสร้อนนั่นเริ่มที่หางตา ปัดลงตามแก้มไล่มาจนถืงมุมปากที่ฉันเม้มไว้แน่น

“เอชอบเข็มมากนะ เข็มเป็นแฟนเอนะ” คำพูดของเขาทำให้ฉันขนลุก ฉันพยายามดิ้นอีกครั้ง

“อย่าดิ้นสิเข็ม แค่จูบ ให้เอนะ” ฉันเริ่มหมดหวังและได้ และน้ำตาไหล ช่วยด้วย ขอให้มีปาฏิหาริย์ด้วยเถอะ ใครก็ได้ช่วยที

และจะด้วยบุญเก่าของฉันหรืออะไรก็ตาม มีเสียงแตรรถดังขึ้นซึ่งทำให้เอหยุดแป๊ปนึงและฉันก็ฉวยโอกาสนี้สะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมและลนลานออกมาจากรถและวิ่งไปที่รถคันนั้นซึ่งฉันยังไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร แต่ขอให้พ้นจากเอไปก่อน ฉันได้ยินเสียงปิดประตูรถและเสียงตะโกนเรียกของเอทำให้ฉันหันไปมองและก็โง่สะดุดขาตัวเองล้ม

ฉันพยายามลุกขึ้นและฉันรู้สึกถืงแรงโอบกอดทำให้ฉันตระหนกและกรีดร้อง

“ไม่นะ ปล่อย! “ ฉันดิ้นหนีและทุบตีมั่วไปหมด

“เข็ม เข็ม พี่เอง” เสียงนี้ ฉันลืมตาขึ้นและพบว่าเป็นพี่กฤษณ์ ทำให้ฉันหยุดมือ แต่เมื่อเสียงของเอที่ใกล้เข้ามาทำให้ฉันตระหนกและแทบเรียกว่ากระโจนเข้าอ้อมกอดนั้นอีก (ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นก็กอดแล้วนะ)

“เข็ม กลับมาพูดกันก่อน” ยังมีอะไรจะต้องพูดอีกเรอะ ฉันได้แต่ตัวสั่นและส่ายหน้าปฏิเสธ ฉันรู้สึกว่าพี่กฤษณ์คลายอ้อมกอดเปลี่ยนเป็นโอบไหล่ฉันแทน ฉันยังรู้สึกกลัวจึงหลบไปด้านหลัง

“คงไม่ต้องพูดกันแล้วมั้งครับ น้องกลับไปเถอะ” พี่กฤษณ์บอกกับเอ ฉันว่าน้ำเสียงพี่กฤษณ์ดูเคร่งเครียด

“ไม่เกี่ยวกับพี่ ผมกับเข็มมีเรื่องต้องคุยกันสองคน” เอเถียง

พี่กฤษณ์หันมามองฉันซึ่งฉันยังคงส่ายหน้าทั้งที่น้ำตายังไหล

“พี่ว่าน้องกลับไปก่อนเถอะ”

เอเดินเข้ามาเหมือนจะหาเรื่องทำให้ฉันกลัวและบีบมือพี่กฤษณ์ไว้แน่น แต่เขาก็หยุดเมื่อมีเสียงรถแล่นเข้ามาใกล้และเหมือนคนขับจะลดหน้าต่างออกมาเพื่อดูสถานการณ์ พี่กฤษณ์ประคองฉันขึ้นรถและขับออกมาซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเขาขับไปไหนและจอดรถเมื่อไหร่เพราะฉันได้ปิดหน้าร้องไห้

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อฉันตั้งสติได้และหายสะอึกก็พบว่าพี่กฤษณ์จอดรถและมองฉันร้องไห้ด้วยความสงบ เขายื่นเสื้อช๊อปให้ฉัน

“กระดุมมันหลุด น้องใส่คลุมไว้เถอะครับ” นั่นทำให้ฉันหันมาสำรวจตัวเองและรู้ว่าฉันคงพบใครในสภาพนี้ไม่ได้ กระดุมเสื้อหลุดไปสองเม็ด กระโปรงขาดที่รอยแหวกจนเกือบถึงโคนขา และฉันก็รู้สึกแสบที่หัวเข่าทั้งสองข้าง ใครที่เจอฉันสภาพนี้คงคิดว่าฉันไปฟัดหรือถูกใครฟัดมาแน่...ซึ่งมันก็ถูก ฉันเห็นพี่กฤษณ์กัดฟันเหมือนโกรธฉันเลยรีบยื่นมือออกไปรับเสื้อช๊อปของเขามาใส่ทับชุดนิสิตซึ่งความยาวของมันก็แทบะคลุมถึงเข่า

“ไปโรงพยาบาลทำแผลหน่อยนะครับ” พี่กฤษณ์ทำท่าจะออกรถแต่ฉันรีบจับแขนเขาไว้ ฉันไม่อยากให้เจอฉันในสภาพนี้และยิ่งไม่อยากไปโรงพยาบาลเพื่อที่จะให้เกิด “เรื่องเล่า” เรื่องใหม่

“ไม่เป็นไรค่ะ เข็มกลับไปทำแผลที่หอก็ได้ค่ะ พาเข็มกลับหอนะคะ” เสียงฉันออกจะแหบ ๆ และขึ้นจมูกเพราะการร้องไห้

พี่กฤษณ์มองหน้าฉันและหันไปทางอื่นก่อนจะถอนหายใจแล้วก็เงียบไปสักพัก

“ก็ได้ครับ”

พี่กฤษณ์พาฉันมาส่งที่หอและพาฉันมาส่งที่ประตูด้านข้างเพราะฉันไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา ฉันพบขวัญและเอ๋รออยู่ซึ่งฉันแทบจะโผเข้าหา แต่ฉันก็ต้องพยายามทำตัวให้เหมือนปกติ

“ขอบคุณนะคะพี่กฤษณ์” ฉันขอบคุณอย่างซึ้งใจ เพราะถ้าพี่กฤษณ์ไม่ผ่านมาช่วย ฉันไม่กล้าคิดต่อเลยว่ามันจะเป็นยังไง

ในขณะที่ฉันหันกลับฉันก็รู้สึกถึงมืออุ่นที่เพียงแตะแผ่วเบาที่ปลายนิ้ว ฉันหันกลับไปอีกครั้งและสบตาพี่กฤษณ์

“ไม่เป็นไรนะ” แค่เสียงนี้ก็ทำให้ฉันต้องกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีก ฉันยิ้มและก้มหัวเล็กน้อยและเดินออกมาหาเพื่อนที่รออยู่

ฉันจับและบีบมือขวัญไว้แน่นซึ่งก็ทำให้ขวัญซึ่งมองฉันอยู่โอบไหล่ฉันไว้แน่นและพาเดินขึ้นหอพร้อมกับเอ๋
ขอบคุณค่ะ พี่กฤษณ์...



ขออภัยที่หายไปนาน แค่ขาด inspiration เอิ๊กส์! คนมันเศร้า



แพม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ม.ค. 2555, 03:55:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ม.ค. 2555, 03:55:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1600





<< ตอนที่ 5 กระทงหลงเธอ   ตอนที่ 7 มือที่สาม? (จบ) >>
FonFonnie 22 ม.ค. 2555, 06:22:11 น.
ลุ้นมาก รออ่านต่อนะคะ


เก่งวิชา 25 ม.ค. 2555, 00:42:53 น.
มาซะที รอซะนานเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account