จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 32

----- แวะคุยกันก่อน ----
บทนี้นานเพราะค่อนข้างยากในการอธิบาย
แต่บทหน้าจะไม่นานขนาดนี้นะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกับเม้น อีกไม่กี่บทจบแล้ว
เรื่องหน้าเจออเล็กซิสนะคะ
--------------
บทที่ 32

บทเพลงล่องลอยจากหีบไม้ใบสวยขับกล่อมให้บรรยากาศในห้องสูทราคาแพงอบอวลด้วยความหมองเศร้าอยู่เป็นเวลานาน หากเมื่อลานที่ไขไว้หยุดเคลื่อนไหวก็พาเอาความเงียบเหงาสู่หัวใจของบุรุษสูงวัยผู้เป็นเจ้าของห้องซึ่งนัยน์ตาคมจดนิ่งยังรูปถ่ายใบหนึ่งในมือ

หญิงสาวร่างบางสวมโค้ดตัวยาวสีน้ำตาลอ่อนถูกชายหนุ่มชาวตะวันตกกอดไว้ด้วยแขนแข็งแรงยกสูงจากพื้น...ใบหน้าอาบรอยยิ้มแห่งความสุขของคนทั้งคู่เปล่งประกายท่ามกลางแสงไฟอันสว่างสวยยามค่ำคืนนั้นชวนให้หวนรำลึกถึงครั้งแรกที่ทั้งสองได้ประสบพบหน้า

ใต้ชายคาของร้านอาหารไทยที่อยู่ห่างจากบริษัทการลงทุนสินทรัพย์ของครอมเวลไปไม่กี่ช่วงตึก ตั้งแต่เวลาบ่ายสามโมงถึงสามทุ่มจะมีบริการสาวงามลออคอยบริการเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มให้ลูกค้าอย่างขยันขันแข็งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสดใสแทบทุกวัน

แม้จะมีธุระยุ่งยากจากการงานมากมายเท่าใด หากถึงเวลาเขาก็มักจะทิ้งทุกอย่างรีบร้อนกลับมายังร้านแห่งนี้เพียงเพื่อจะได้มีโอกาสเห็นหน้าหรือสนทนากันบ้างแม้จะเพียงสองสามคำก็สร้างความสุขให้เขาไม่มากก็น้อย และความอ่อนโยนมองโลกในแง่ดีเสมอต้นเสมอปลายของหล่อนได้ล่อหลอมนักธุรกิจเลือดเย็นคนหนึ่งให้กลายเป็นคนนุ่มนวลอ่อนโยนอย่างน่าเหลือเชื่อ

ช่วงเริ่มต้นสานความสัมพันธ์เขารู้เพียงว่าหล่อนเป็นนักเรียนทุนจากประเทศไทยที่มาทำงานพิเศษเพิ่มก็เพื่อจะหารายได้ไปเลี้ยงดูลูกชายที่เกิดมาได้กว่าสามปี แต่เมื่อได้ทราบประวัติความลึกลงไปจึงรู้ว่า หล่อนเป็นลูกสาวของตระกูลอังคพิมานซึ่งเสียสละ คนตราหน้าแทนพี่สาวตัวเองด้วยการรับเลี้ยงดูเด็กชายตัวน้อยที่มีศักดิ์เป็นหลานของเขายิ่งทำให้ความรู้สึกประทับใจเพิ่มพูน

ความดีของหล่อนเป็นที่ประจักษ์ชัด...ทั้งที่รู้แน่แก่ใจว่าหญิงที่รักเป็นคนเช่นไร แต่ในคราววิกฤตที่ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งสำคัญหัวใจเขากลับคลอนแคลนไปตามภาพลวงที่ผู้อื่นสร้างจนต้องสูญเสียความรักบริสุทธิ์เดียวที่เคยได้รับไป

คำขออนุญาตจากบอดี้การ์ดร่างใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นทำให้นายใหญ่แห่งครอมเวลละสายตาจากรูปที่เฝ้ามองขึ้นมาหาต้นเสียง...ฝ่ายที่เข้ามารบกวนเห็นดังนั้นจึงเริ่มรายงานให้ทราบว่า ข้อมูลทั้งหมดที่หลานชายนอกสายเลือดร้องขอได้ส่งไปถึงเป็นที่เรียบร้อย

“ เดี๋ยวพอลคงจะมาที่นี่ ช่วยโทรหารูมเซอร์วิสสั่งชาเอิร์ลเกรย์กับสโคนมาให้พอลเขาหน่อยแล้วกันนะ ” คนเป็นนายเอ่ยต่อลูกน้องที่ก้มศีรษะรับคำสั่งแทนการตอบรับแล้วผละจากไปปล่อยให้ชายชราเก็บรูปคู่ระหว่างตนกับมินดาราที่เหลือรอดจากการทำลายเพียงใบเดียวลงในหีบไม้

คอยด์เหลือบดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาก่อนจะป่ายมือไปบนลำคอดึงเอาสายสร้อยที่ห้อยไว้ด้วยแหวนเพชรวงหนึ่งขึ้นมาประทับรอยจูบพลางอธิษฐานต่อสตรีผู้เป็นที่รักยิ่งให้แผนการที่ตระเตรียมไว้ลุล่วงไปอย่างที่ใจปรารถนาอยู่เพียงครู่ ชายหนุ่มที่เขาเฝ้าคอยอยู่ก็โผล่พรวดจากบานประตูเข้ามาท่ามกลางกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เหลียวยังผู้บุกรุกแทบเป็นตาเดียว

ผู้รับหน้าที่อารักขาแลดวงตาคมไร้แววอารมณ์ที่กวาดมายังพวกตน แม้นใบหน้าได้รูปนั้นจะสงบนิ่ง หากสัญชาตญาณกลับสัมผัสได้ถึงความเหี้ยมเกรียมปราศจากความเป็นมิตรที่แฝงอยู่ภายในจึงพากันขยับตัวเตรียมพร้อมรับการต่อสู้จากอีกฝ่ายอย่างเต็มกำลัง

ภาควัฒน์เหยียดริมฝีปากหยันด้วยรู้ดีว่าคนเหล่านี้หาได้มีใครฝีมือเทียบเทียมจะต่อกรกับตนจึงเลือกก้าวต่อไป แต่เมื่อใครคนหนึ่งในนั้นกระโจนมาขวางแขนกำยำก็จับอีกฝ่ายหักแขนทุ่มลงกระแทกพื้นเต็มแรงจนเครื่องเรือนใกล้ตัวสั่นไหวพลางปรายหางตาดูว่ามีใครจะเข้ามาอีกหรือไม่

“ ถอยไปเถอะ...พอลเขาไม่ทำอะไรฉันหรอก ” ชายชราปรามพร้อมเอนหลังพิงพนัก ปล่อยให้หลานชายย่างสามขุมเข้ามาหาทั้งที่รู้ดีว่าข้อมูลความจริงที่ฝากผ่านทีมงานส่งไปให้อาจเป็นมูลเหตุให้บาดหมางกันหนักหนากว่าเดิมก็ไม่ทำให้รู้สึกทุกข์กังวลแต่อย่างใด

สองบุรุษต่างวัยสบสายตาท่ามกลางความเงียบเนิ่นนานกว่าจะถูกพนักงานรูมเซอร์วิสขัดจังหวะด้วยการเข็นรถนำชาเอิร์ลเกรย์ในกากระเบื้องเนื้อดีลายสวยพร้อมกับชุดถ้วยชาเปล่าและขนมสโคนมาส่งถึงในหน้าประตูโล่งที่เชื่อมจากห้องรับแขกมายังห้องนอน

“ นั่งลงก่อนสิ ” ผู้มากวัยกว่าผายมือเชิญให้นั่ง แต่เมื่อคนตรงหน้ายังเฉยจึงต้องสำทับไปใหม่ “ ดูท่ายังไงเราคงมีเรื่องต้องคุยกันยาว น่าจะนั่งจิบชาไปคุยกันไปไม่ดีกว่าเหรอ ”

ชายหนุ่มสูดลมหายใจหนักจ้องคนพูดเขม็งแต่สุดท้ายก็ยอมนั่ง...เจ้าของห้องยิ้มละไมแล้วลุกจากเก้าอี้เดินไปยังรถเข็น...มือใหญ่จับหูการินน้ำชาลงในถ้วยกระเบื้องลายดอกไม้สีหวานอย่างอ้อยอิ่งคล้ายต้องการประวิงเวลาการพบปะให้ยืดยาวออกไป

“ ชิมขนมของที่นี่สักชิ้นสิ จะได้รู้ว่าอร่อยหรือเปล่า ” เสียงทุ้มทรงพลังดังขึ้นทันทีที่ชาหอมกรุ่นวางลงบนโต๊ะพร้อมกับจานใส่ขนมสโคนสีสวยก่อนที่คนเสิร์ฟจะทรุดลงนั่ง

“ อยากรู้อะไรก็ถามมาสิ ” เอ่ยถามพร้อมยกชาขึ้นสูดกลิ่นแล้วละเลียดจิบ

“ ผมรู้ว่าปู่ต้องรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังทำอะไร แล้วทำไมถึงยังส่งข้อมูลพวกนั้นมา ” ผู้มาเยือนเปิดบทสนทนาด้วยประโยคคำถามแทนที่จะทักทายด้วยมารยาทเหมือนทุกครา

“ ก็ในเมื่อเรายังไม่บรรลุข้อตกลงเรื่องออกจากตระกูลก็ถือว่าเรายังเป็นคนของครอมเวล เพราะฉะนั้นปู่ก็ควรจะให้ข้อมูลทั้งหมดที่เราต้องการไปไม่ใช่เหรอ ”

“ ให้ทั้งที่ปู่ก็รู้ว่า ผมกำลังล้วงความลับของครอมเวลเพื่อช่วยอังคพิมานอย่างนั้นนะเหรอครับ ” เขาหยุดพูดพลางส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ บอกผมมาตามตรงเถอะ...ปู่ตั้งใจให้ผมรู้เรื่องนี้เพื่ออะไรกันแน่ ”

“ ก่อนจะให้ปู่บอกอะไร ทำไมเราไม่บอกปู่มาก่อนล่ะว่ารู้อะไรมาบ้าง ” ชายชราว่าเหลือบดวงตาคมกริบมาอย่างมีเลศนัย

อีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็เม้มริมฝีปากแน่น...การที่ปู่ยอมส่งเอกสารหลายอย่างเกี่ยวกับการทำธุรกิจของครอมเวลในไทยย้อนหลังไปสามสิบกว่าปีก่อนทำให้เขาทราบว่า ครั้งหนึ่งอังคพิมานโฮเต็ลเคยบริหารงานผิดพลาดจนเกือบล้มละลายแต่ธุรกิจกลับฟื้นตัวมาได้เป็นผลพ่วงมาจากที่ครอมเวลเห็นช่องทางเก็งกำไรเข้าไปกว้านซื้อหุ้นจนกลายเป็นเจ้าของใหญ่ไปเสียเอง

“ ผมรู้ว่าปู่เคยเป็นเจ้าของที่นี่ แล้วก็รู้ด้วยว่าปู่เคยให้ปู่โครว์มาวางระบบการทำงานให้ที่นี่อยู่พักหนึ่ง ท่านอยู่ช่วยบริหารจนผลประกอบการของที่นี่ดีขึ้น แต่หลังจากนั้นประมาณปีเดียวปู่ก็โอนหุ้นให้อังคพิมานครั้งแรกสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วอีกสี่ปีต่อมาปู่จะโอนหุ้นที่มีอยู่อีกเจ็ดสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ให้ไปอีก...เรื่องนี้แหละที่ทำให้ผมไม่เข้าใจว่าทำไมปู่ถึงยอมยกหุ้นให้กับอังคพิมานจนหมด เพราะปกติปู่ไม่มีทางยอมทำอะไรที่ไม่ให้ผลตอบแทนกับตัวเอง ”

“ แล้วยังไงต่อ ”

“ ในเอกสารที่ผมได้มาไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไมปู่ถึงโอนหุ้นให้อังคพิมานไปฟรีๆ ผมเลยเอาบันทึกของป้ามลมาอ่านอย่างละเอียด เทียบช่วงเวลาดูถึงรู้ว่า ครั้งแรกที่มีการโอนหุ้นเป็นช่วงหลังจากที่ปู่มีความสัมพันธ์กับป้ามล และถ้าจะให้เดา ปู่คงใช้หุ้นนี้เป็นค่าปิดปากไม่ให้ป้ามลอ้างสิทธิ์ความรับผิดชอบจากปู่สินะครับ ”

ชายชรามิได้ตอบคำถามยังคงจมจ่อมกับการจิบชาเหมือนไม่ได้ฟัง แต่คนพูดรู้ดีว่าทุกคำของเขาถูกนำไปขบคิด

“ การโอนหุ้นครั้งที่สองตามบันทึกของป้ามลบอกไว้ว่า ปู่โอนให้เป็นค่าสินสอดของน้ามิน...ผมไม่รู้ว่าปู่รู้จักกับน้ามินตอนไหน แต่ผมไม่เชื่อว่าปู่จะทุ่มเงินไปกับเรื่องการแต่งงานอะไรนั้นหรอก ความจริงที่ปู่มาสู่ขอน้ามินก็คงหวังจะเอาตัวลูกชายที่เกิดกับป้ามลไปอยู่กับตัวเองมากกว่า หรือจะพูดให้ถูกหุ้นนั้นคงเป็นค่าตัวของศิระใช่ไหมล่ะครับ ”

คอยด์วางชาที่เหลือเพียงก้นถ้วยลงบนจานกระเบื้องตรงมุมปากเหยียดออกเล็กน้อยราวกับรอยแสยะของปีศาจก่อนจะเหลือบสบนัยน์ตาคมกล้าอันแข็งกระด้างของหลานชายไว้

“ แล้วยังไงอีกล่ะ ” ถามไปด้วยรู้ว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่อีกฝ่ายยังไม่เอ่ยออกมา

“ ปู่จำได้หรือเปล่าว่าทิ้งอะไรไว้ในห้องป้ามล ” พูดขึ้นพร้อมหยิบภาพเหมือนของโครว์ ครอมเวลที่พับหลายทบจากกระเป๋าเสื้อโยนลงบนโต๊ะ “ ปู่พูดถึงเรื่องจัดฉาก ผมเลยพยายามหาให้ได้ว่าปู่จัดฉากอะไรอยู่แล้วบังเอิญตอนที่ผมเรียบเรียงเรื่องราวกับเวลาในบันทึกของป้า ผมถึงรู้ว่าก่อนที่ปู่จะโอนหุ้นให้อังคพิมานครั้งที่สอง น้ามินไม่ยอมเจอหน้าปู่อีก ปู่ก็เลยขอให้ป้ามลช่วยแลกกับการที่ป้ามลจะได้เป็นเจ้าของอังคพิมานโฮเต็ล...หลังจากที่ปู่ได้เจอน้ามิน ป้ามลเขียนไว้ว่า ปู่เข้ามากล่อมให้พ่อของป้ามลเปลี่ยนพินัยกรรมยกเฉพาะหุ้นของอังคพิมานโฮเต็ลให้ป้ามล และก่อนที่พ่อของป้ามลจะเสีย ป้ามลมีโอกาสเห็นพินัยกรรมฉบับใหม่ที่มีปู่ลงชื่อเป็นพยานด้วย ” เขาเล่ายาวมาถึงตรงนั้นก็หยุดสูดลมหายใจพร้อมเฝ้าสังเกตสีหน้าของผู้มากวัยที่นั่งกินสโคนโดยไม่สะทกสะท้านต่อเรื่องราวเหล่านั้นแม้แต่น้อย

“ ต่อสิ ” เมื่อผู้พูดหยุดเสียงคนที่ชิมสโคนทั้งชิ้นก็ร้องเร่งให้เล่าต่อ

“ ตามบันทึกป้ามลเขียนว่าได้หลอกน้องให้ไปหาคนงานในบ้านพักแล้วก็ขังไว้ด้วยกันจนเช้าเพื่อให้ปู่เข้าใจผิด หลังจากนั้นมาพินัยกรรมสองฉบับนั้นก็หายไป และนั่นทำให้ป้ามลกลัวว่าถ้าทรัพย์สินต้องถูกดำเนินการโดยศาล หุ้นของอังคพิมานโฮเต็ลจะถูกแบ่งไปทำให้ป้ามลตัดสินใจปลอมพินัยกรรมและเอกสารมอบฉันทะพวกนั้นขึ้นมา ทั้งที่ความจริงแล้วถ้าพินัยกรรมฉบับนั้นยังอยู่ ป้ามลก็จะเป็นเจ้าของอังคพิมานโฮเต็ลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ”

“ แล้ว... ”

“ ปู่คิดว่าน้ามินหลอกปู่ก็เลยคิดจะเอาคืนด้วยการเก็บพินัยกรรมสองฉบับไว้กับตัว ให้ป้ามลขุดหลุมฝังตัวเองด้วยการปลอมเอกสาร จากนั้นปู่ก็รอเวลาแล้ววางแผนให้ผมเข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของอังคพิมานโฮเต็ลพอสบโอกาสก็นำเรื่องเสียหายพวกนั้นมาใช้ทำลายทุกคนในอังคพิมาน ”

คนตัวใหญ่เท้าแขนทั้งสองข้างพลางโน้มตัวขยับใกล้คู่สนทนาด้วยแววตาอันเยียบเย็นแล้วจึงสรุปเรื่องราวทุกอย่าง

“ ส่วนเรื่องผลดีเอ็นเอ ความจริงทั้งศิระและศศิวิมลก็เป็นลูกของปู่ด้วยกันทั้งคู่ แต่การที่ปู่เอาภาพของปู่โครว์ไปแล้วสร้างเรื่องว่า ศิระไม่ใช่ลูกของตัวเองแต่เป็นลูกของพี่ชาย ก็แค่ต้องการซ้ำเติมอาการป่วยของป้ามลก็เท่านั้นเอง ”

นายใหญ่แห่งครอมเวลรับฟังการปะติดปะต่อเรื่องราวของชายหนุ่มก่อนจะหลุดหัวเราะเบาในลำคอที่ยากจะบอกว่าเกิดจากความพึงใจหรือสมเพชกันแน่

“ ที่รู้มีเท่านี้ใช่ไหม ” เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงพอใจอยู่ในที

“ ปู่ทำร้ายที่นี่มามากพอแล้ว ตอนนี้ปู่ก็รู้แล้วว่าภรรยาผมกับพี่ชายของเธอเป็นลูกของปู่ด้วยกันทุกคู่แต่ปู่ก็ยังไม่หยุดแก้แค้น ผมถามจริงๆเถอะ ปู่ต้องการอะไรจากคนที่นี่อีก ถ้าอยากได้ตัวใหญ่กับเล็กไปอยู่ด้วยไม่เห็นจำเป็นต้องใช้วิธีบีบพวกเขาอย่างนี้เลย ”

พอถูกย้อนถามฝ่ายที่แทบไม่พูดอะไรเลยตลอดการสนทนาก็เอ่ยบางคำที่ทำให้คนพูดสะอึก

“ แล้วใครบอกเราล่ะว่าปู่อยากให้สองคนนั้นมาอยู่ด้วย...คิดหรือว่าเรื่องลูกจะทำให้ปู่เปลี่ยนใจไม่เอาอังคพิมานโฮเต็ลคืน เราก็รู้ไม่ใช่หรือพอลว่าตอนนี้สำหรับปู่เรื่องผลประโยชน์มาก่อนเป็นอันดับแรก...เหตุผลที่ปู่ยังดำเนินการตามแผนแบบเดิมก็เพราะวิธีนี้สามารถทำให้ปู่ได้คืนทั้งกิจการและตัวทายาททางธุรกิจของตัวเองก็เท่านั้นเอง ”

“ ปู่หมายความว่ายังไงครับ ”

“ ก็หมายความว่า ปู่จะหยุดคุกคามทุกคนในอังคพิมานแล้วจะคืนพินัยกรรมทั้งสองฉบับรวมทั้งหุ้นคืนทั้งหมดก็ต่อเมื่อเรายอมกลับไปเป็นพอล ครอมเวล เป็นหลานชายคนเดิมที่ไม่มีหัวใจรักให้ผู้หญิงคนไหนแม้แต่เด็กคนนั้นด้วย ”

ชายชราเหยียดยิ้มมากด้วยเล่ห์เหลี่ยมให้...วินาทีนั้นภาควัฒน์รู้สึกเหมือนในหัวสมองว่างเปล่า มือเรียวใหญ่ยกลูบปากด้วยคาดไม่ถึงว่าสิ่งที่ผู้มีพระคุณปรารถนาหาใช่การได้ตัวลูกคืน หากแต่เป็นการนำตัวเขากลับไปขึ้นดำรงตำแหน่งนายผู้คุมบังเหียนใหญ่ของครอมเวล

“ แต่ปู่บอกผมเองว่า ถ้าผมรับข้อเสนอทำงานที่รัสเซียให้ ปู่จะปล่อยผมกับเล็กไปไม่ใช่เหรอครับ ”

“ ปู่ก็ไม่ได้ผิดสัญญานี้ เพียงแต่ข้อเสนอนั้นมันไม่ได้รวมถึงความปลอดภัยของธุรกิจกับคนอื่นในอังคพิมานนี้ ”

ผู้อ่อนวัยกว่าขบกรามแน่นจนคางขึ้นรูปเป็นแนว เคยคิดอยู่แล้วว่าการตอบรับข้อเสนอของคอยด์ในครั้งนั้นมันง่ายเกินไป แต่ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะเลือดเย็นขนาดใช้ความปลอดภัยของคนที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเป็นเครื่องมือในการขุดหลุมพรากดักเขา

...ทั้งที่ควรจะรู้ว่า คนอย่างคอยด์ ครอมเวลไม่มีวันทำสิ่งใดนอกเหนือจากผลประโยชน์ ทั้งที่รู้อย่างนั้นแต่ก็ยังหลงคิดว่า เขาอาจจะเหลือความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง

“ ผมบอกปู่ไปแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าผมทำลายจุดอ่อนเดียวที่มีไม่ได้ แล้วปู่ก็เป็นคนพูดเองว่า การทำลายจุดอ่อนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่จะขึ้นเป็นใหญ่ ในเมื่อผมทำลายจุดอ่อนไม่ได้ผมก็ไม่ควรเป็นนายใหญ่ของครอมเวล ”

“ มันก็จริงนะที่ว่าการทำลายจุดอ่อนมันสำคัญ แต่ถ้าจุดอ่อนนั้นมันไม่ถูกเผยแพร่ไปสู่คนอื่นปู่ก็ไม่ถือว่ามันจะเป็นอุปสรรคอะไรนักหรอก ” เจ้าของห้องว่าพลางหัวเราะก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกบอดี้การ์ดคนหนึ่งให้รินชามาเพิ่ม

“ แล้วถ้าผมปฏิเสธล่ะ ” เขาจ้องพร้อมลูบมือไปบนเสื้อสูทคลำปืนกระบอกสวยที่ซ่อนอยู่ภายในไปมา

“ ถ้าปฏิเสธทุกอย่างก็คงยุติไม่ได้ และถ้าเราคิดว่าการฆ่าปู่เป็นวิธีเดียวที่จะหยุดทุกอย่างก็ขอบอกให้รู้เลยว่าคิดผิด เมื่อไหร่ก็ตามที่ปู่เป็นอะไรไป ทางครอมเวลคนอื่นคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ต่อให้มีฝีมือมากขนาดไหน แต่ถ้าตกอยู่ในตำแหน่งผู้ถูกล่าย่อมไม่มีทางรอดไปได้นาน คิดดูสิว่า แค่นี้เด็กคนนั้นก็มีชีวิตน่าเศร้าอยู่แล้ว ถ้าชีวิตที่เหลือต้องทนอยู่กับการหนีไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย เด็กคนนั้นจะทนได้นานแค่ไหนกันเชียว ”

ทุกถ้อยคำที่คอยด์กล่าวอย่างเนิบช้าช่างหยาบกระด้างปราศจากแววปรานีหรือเพียงข่มขู่ให้กลัวไปเรื่อยทำเอาคนฟังเผลอกัดริมฝีปากจนเลือดซิบ นึกชิงชังตัวเองที่ขลาดเขลาขนาดยอมเป็นเบี้ยให้คนตรงหน้าเลือกใช้และกำลังจะทำให้ผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าสิ่งใดเดือดร้อนจากสิ่งที่เขาเลือกเป็นในอดีต

การได้เห็นคนที่รักทุกข์ทรมานไปกับตัวเองไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการจะเห็น และหากจำเป็นต้องเลือกเพื่อให้ศศิวิมลยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นปกติ เขาก็พร้อมจะเสียสละแม้จะต้องตกนรกหมกไหม้ในขุมนรกไหนหรือต้องเจ็บปวดจากการไม่ได้พบกันอีกตลอดไป

“ ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่า ถ้าผมกลับไปเป็นคนของครอมเวลแล้วปู่จะเลิกคุกคามครอบครัวของเล็กจริงๆ ”

“ เราก็รู้นี้ว่า ถ้าปู่ตัดสินใจยื่นข้อเสนออะไรไปกับใคร ถ้าอีกฝ่ายรับข้อเสนอและทำตามเงื่อนไขได้ ปู่ก็พร้อมจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้เสมอ ”

ภาควัฒน์เม้มริมฝีปากแน่นให้กับทางที่ไม่อาจเลือกได้เอง มันเป็นการยากเหลือเกินที่จะทำใจไม่ให้ปวดร้าวกับสิ่งที่ตนเองต้องรับผิดชอบและช่วงเวลานั้นเองที่ภาพใบหน้าอันหมองเศร้าของศศิวิมลก็ลอยมากระทบให้ทั้งกายรู้สึกเหมือนถูกใครเอาไฟลนให้ปวดแสบปวดร้อน

แม้จะทรมานถึงเพียงนั้นทว่าสุดท้ายก็จำใจข่มทุกความรู้สึกที่ตีประดังให้หัวใจจุกแน่นก่อนจะลุกจากเก้าอี้มองชายที่หยิบยื่นข้อเสนอแห่งการพรากจากมาให้

“ ถ้าผมยอมรับข้อเสนอ ผมจะเหลือเวลาเป็นภาควัฒน์อีกนานแค่ไหนครับ ”

นายใหญ่แห่งครอมเวลยิ้มแทนคำตอบก่อนจะดีดนิ้วเรียกบอดี้การ์ดให้นำตั๋วเครื่องบินมาส่งให้...วันเวลาที่ปรากฏบอกให้รู้ตัวตนของภาควัฒน์จะสิ้นสุดลงในอีกสองวันข้างหน้า

“ ไปถึงที่นั้นเมื่อไหร่ เราจะไม่พูดถึงผู้ชายที่ชื่อภาควัฒน์อีก เขาคนนั้นจะไม่มีตัวจนสำหรับเราหรือว่าใครอีกต่อไป เข้าใจที่พูดใช่ไหม ”

“ ครับ ” เขาตอบรับสั้นเก็บตั๋วเครื่องบินมากำแน่นพยายามอย่างหนักเพื่อสะกดกลั้นความทรมานที่ท่วมท้นไว้ใต้ความเฉยชาแล้วหมุนตัวก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ

คอยด์แลร่างสูงใหญ่ที่ใกล้จะคล้อยหายจากสายตาก่อนจะเอนหลังวางศีรษะลงบนขอบพนักเก้าอี้ ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูปิดท่าทางดุดันทรงอำนาจที่แสดงเมื่อครู่ลอกหลุดไปคล้ายคราบของแมลง ความกังวลและอ่อนล้าปรากฏเป็นรูปรอยทั่วใบหน้า

ในยามนั้นไม่มีใครรู้ว่าชายชราคิดเห็นเป็นเช่นไร แต่ในสายตาของชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่โดยรอบซึ่งเฝ้ามองกลับมาล้วนรู้สึกถึงความรวดร้าวที่เข้าครอบคลุมผู้เป็นนายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ครั้งสุดท้ายจริงๆ ” เขาหลุดรำพึงแล้วจึงปิดเปลือกตาลงช้าๆ

...ความสุขเดียวที่เขาอยากเรียกกลับคืนมาอาจต้องแลกกับความเกลียดชัง แต่หากมันจะเหนี่ยวนำให้ลูกมาอยู่กับเขาได้ต่อให้ต้องหลอกลวงคนทั้งโลกหรือต้องกลายเป็นคนชั่วโฉดเขาก็จะยอมรับมันอย่างไม่มีเงื่อนไข...
*************************************

จานผลไม้สีสวยถูกวางลงบนโต๊ะรถเข็นตรงหน้าของหญิงวัยกลางคนในชุดคนไข้ที่นั่งพิงหลังกับหมอนนุ่มอยู่บนเตียง ดวงตาล้าระโหยจับนิ่งยังริ้วขาวบนท้องฟ้าที่ทอดเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา

มลธิกามักใช้เวลาหลังจากตื่นนอนหมดไปกับการเฝ้ามองสรรพสิ่งภายนอกเพื่อหวนไห้ถึงอดีตหนหลัง ยังคงจำได้แม่นยำถึงครั้งแรกที่พ่อประกาศให้รู้ว่าพ่อกำลังจะล้มละลาย ในวันนั้นเหมือนโลกทั้งใบของหล่อนมันถล่มลงมาทับให้หายใจไม่ออก นางพยายามอย่างหนักเพื่อจะกอบกู้อังคพิมานโฮเต็ลกลับมา

นางยังจำครั้งแรกที่พบกับโครว์ ครอมเวลได้...ผู้ชายต่างชาติเป็นสุภาพบุรุษเต็มตัวคนนั้นคอยดูแลนางเป็นอย่างดี แต่เพราะเขาไม่ใช่คนที่กุมชะตาของอังคพิมานโฮเต็ลในเวลานั้นอย่างแท้จริงทำให้นางหลอกใช้ความรักที่เขามีให้เป็นสะพานทอดไปใครอีกคนที่มีสิทธิ์ช่วยให้ธุรกิจที่เสียไปกลับคืนมาได้

คอยด์เป็นเพียงคนเดียวที่นางเชื่อว่า หากได้ร่วมหอลงโลงกับเขาธุรกิจของตระกูลจะไม่มีวันไปไหนไกลจากมือ ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่มีท่าทีสนใจตัวเองแต่ใจเจ้ากรรมกลับหลงใหลปรารถนาจะได้ตัวเขาถึงขั้นนัดเข้ามาพบถึงห้องส่วนตัว เพียงเห็นเขาปรากฏตัวตรงบานประตูท่ามกลางไฟที่ดับสนิทนางก็ดีใจโผเข้ากอดเขา

รสสัมผัสอันนุ่มนวลจากริมฝีปากและเรือนกายสูงใหญ่นั้นทำให้มลธิกาเผลอไผลว่าเขาคงมีใจให้บ้าง หากในเช้าวันใหม่นั้นความอ่อนโยนในยามค่ำคืนกลับเหือดหายเมื่อเขาโยนคำถามว่าต้องการเงินเท่าไหร่เพื่อให้นางเก็บเรื่องความสัมพันธ์นี้ไว้และเลิกยุ่งกับพี่ชายของเขาอย่างถาวร

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางถูกกระทำเหมือนตัวเองเป็นโสเภณีที่เร่ขายความสาวแลกกับเศษเงินของผู้อื่น ทว่าเมื่อมันเป็นทางเลือกเดียวที่จะเรียกคืนบ้างส่วนของธุรกิจกลับมา นางจึงใช้มันต่อรองขอหุ้นจากเขา พอถึงคราวที่รู้ตัวว่าตั้งท้องอุตส่าห์หอบไปหาไกลถึงต่างแดนเพื่อทวงถามความรับผิดชอบ กลับมีเพียงลูกเท่านั้นที่เขาต้องการ

เพราะรู้ว่าหากยกลูกให้เขาชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีวันได้พบกับเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเองอีก เพราะความกลัวทำให้ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครสุดท้ายเลยต้องบากหน้าไปหาน้องให้ช่วย...น้องก็วางแผนให้หมดตั้งแต่อ้างกับพ่อว่ามาเรียนคอร์สสั้นที่นั้น หลอกกระทั่งเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลให้นางสวมรอยเป็นน้องเพื่อที่คลอดออกมาน้องจะได้เป็นคนรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

ด้วยใจหวั่นว่าการโกหกเรื่องทำแท้งจะหลอกฝ่ายนั้นไม่สำเร็จ อีกทั้งโครว์ก็คอยตามตื้อพยายามอ้างตัวว่าเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับนางในคืนนั้นแทนน้องชายและพร้อมจะรับผิดชอบดูแลนางรวมถึงลูก เพื่อที่จะไม่ต้องถูกพรากลูกไปทำให้นางตัดสินใจทิ้งลูกไว้กับน้องไว้ถึงสามปีเต็ม

มินดาราเสียสละทุกอย่างเพื่อนาง หากในวันที่รู้ว่าผู้ชายที่นางทั้งรักทั้งแค้นมาขอเข้าพบพ่อเพื่อสู่ขอน้องไปเป็นภรรยา ความริษยาก็แทงทะลุหัวใจให้คิดแค้นมองข้ามความดีทุกประการที่น้องมี ยิ่งรู้ว่าพ่อจะยกอังคพิมานโฮเต็ลให้กับน้องเป็นคนดูแลเกือบทั้งหมดเป็นสาเหตุให้นางทำทุกอย่างเพื่อผลักน้องจากถนนสายกุหลาบให้ร่วงสู่ก้นหุบเหว...เลวถึงขั้นป้ายสีน้องให้ตกเป็นจำเลยโดยไม่เคยหยิบยื่นความช่วยเหลือ แม้ในวันที่น้องจากไปเหลือทายาทไว้ให้ดูแลนางก็ทำเหมือนศศิวิมลเป็นเพียงนกในกรงที่มีชีวิตอย่างที่นางต้องการเท่านั้น

“ คุณผู้หญิงทานยาค่ะ ” เสียงเม็ดยากระทบกับแก้วพลาสติกผสมกับเสียงเรียกของสมพรทำให้นางหลุดจากภวังค์พินหน้าจากบานหน้าต่างกลับไปหาต้นเสียง

“ ขอบใจนะ ” นางเอ่ยเบาแล้วเทยาในแก้วลงลำคอตามด้วยน้ำ

นักกายภาพบำบัดผลักประตูเข้ามาในห้องเพื่อตรวจดูการทำงานของกล้ามเนื้อของคนไข้ สักพักจิตแพทย์ที่ถูกนายแพทย์ผู้ทำการรักษาส่งมาให้คอยดูแลเรื่องสภาวะทางใจก็เข้ามาหาพูดคุยสอบถามหาความผิดปกติแต่พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มแย้มเป็นปกติดีก็เบาใจถึงขั้นเอ่ยปากชมญาติที่มีความพยายามดีจนทำให้คนไข้มีอาการกระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ คนไข้มีกำลังใจดี ร่างกายก็ฟื้นตัวเร็ว อีกไม่นานหมอว่า คนไข้น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะคะ ”

ศศิวิมลยิ้มอ่อนแทนการรับคำของจิตแพทย์สาว เหลือบมองไปยังผู้เป็นป้าที่นั่งสนทนากับสมพรถึงในเรื่องในบ้านครู่หนึ่งก็กลับไปนั่งถักผ้าพันคอบนโซฟาดังเดิม

“ คุณเล็กค่ะ พี่สมจะขอออกไปส่งธนาณัติให้พ่อแม่พี่ที่ต่างจังหวัดหน่อย ยังไงรบกวนคุณเล็กดูแลคุณผู้หญิงไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่สมจะรีบกลับมา ”

หญิงสาวพยักหน้ารับคำหยิบไหมพรมที่ถักค้างอยู่ลุกจากโซฟาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำเอาแต่นั่งถักผ้าพันคอต่อไปเรื่อยเช่นเดียวกับคนป่วยที่คอยแต่เขี่ยผลไม้ไปมาอยู่ในจาน...ต่างฝ่ายต่างทนอยู่ในสภาวะน่ากระอักกระอ่วนใจเช่นนั้นนานหลายนาทีกว่าที่ฝ่ายหนึ่งจะตัดสินใจพูดทำลายความเงียบ

“ ถ้าเล็กลำบากใจที่ต้องอยู่ในห้องกับแม่สองคน หนูออกไปนั่งข้างนอกรอจนสมกลับมาค่อยเข้ามาใหม่ก็ได้ ”

“ ไม่เป็นไรคะ ห้องพิเศษควรมีคนดูแล ” หล่อนบอกด้วยน้ำเสียงหวานไร้แววประชดประชันหรือเดียดฉันท์ราวกับไม่เหลือตะกอนความเจ็บแค้นอยู่ในใจ

มลธิกาปรายมองดวงหน้านวลหมดจดของหลานสาวที่ไม่ปรากฏความรู้สึกใดก็เม้มริมฝีปากแน่น...ยังมีหลายสิ่งในใจที่อยากจะกล่าวขออภัยจากคนข้างตัวแต่ก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะเอ่ย ทำได้เพียงปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไป ทว่าในวันนี้นางตัดสินใจที่จะพูดอย่างที่คิดไว้เสียที

“ แม่ขอโทษนะ ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่แม่ทำลงไป...แม่รู้ว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่จะขอให้เล็กอภัยให้กับผู้หญิงเห็นแก่ตัวอย่างแม่ เล็กจะโกรธจะเกลียดหรืออยากจะพูดไม่ดีกับแม่ก็ทำเถอะนะ อย่าเก็บความรู้สึกพวกนั้นไว้ในใจ แสดงออกมาเถอะเพราะมันเป็นสิ่งที่แม่สมควรได้รับอยู่แล้ว ” นางเอ่ยด้วยสุ้มเสียงเรียบเรื่อยเหมือนไม่อนาทรร้อนใจในผลกรรมของตนเองอีกแล้ว

คนตัวเล็กแลเสี้ยวหน้าด้านข้างของผู้เป็นป้าที่ยอมจำนนต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเองในอดีต แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ลึกลงไปภายในก็ยังสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ยังคงวนเวียนอยู่ไม่รู้คลายและมันจะไม่สูญสลายไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ

แม่ใหญ่รู้ไหมคะว่า ตลอดเวลาที่เล็กอยู่กับแม่ แม่มักจะลืมตัวเล่าเรื่องของแม่ใหญ่ให้ฟังอยู่บ่อยๆ ทุกครั้งที่แม่พูดถึงพี่สาวไม่เคยมีเรื่องไม่ดีหลุดออกมากเลยสักครั้ง ทั้งที่ถูกทำร้ายหนักขนาดนั้นแต่ตอนที่แม่ใกล้จะเสีย แม่ก็ยังบอกเล็กกับพี่ใหญ่ให้รักแม่ใหญ่เหมือนกับที่รักแม่ ”

คนบนเตียงรับฟังคำจากหลานสาวด้วยความขมขื่นพร้อมกับน้ำตาที่ขังขอบก็รื้นลงมาอาบสองแก้มในนาทีนั้นนางทำได้เพียงเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นรอยน้ำตา

“ มันเป็นเรื่องยากจริงๆคะที่เราจะให้อภัยใครสักคนที่ทำร้ายเราได้อย่างร้ายกาจขนาดนั้น แต่สำหรับแม่เล็กเชื่อค่ะว่าแม่จะให้อภัยในสิ่งที่แม่ใหญ่ทำได้ ส่วนตัวเล็กเอง เล็กก็ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์อะไรที่จะถือโทษโกรธแม่ใหญ่ไปเพื่ออะไรในเมื่อตอนนี้แม่ใหญ่ก็ได้รับผลจากสิ่งที่ทำมันก็น่าจะพอแล้ว ”

ถึงไม่มีคำให้อภัยหลุดจากริมฝีปากแต่สำหรับผู้ที่ทนอยู่กับชนักติดหลังมานานหลายสิบปีเพียงเท่านั้นก็เพียงพอจะสร้างรอยยิ้มให้ระบายบนใบหน้าทั้งที่มีน้ำตาได้

เสียงเคาะประตูตรงหน้าห้องพร้อมกับร่างของชายสูงวัยสวมชุดสูทสีน้ำเงินที่เปิดเข้ามาทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ลุกจากเก้าอี้ตั้งท่าจะเลี่ยงออกไปข้างนอกเพื่อให้แขกได้มีโอกาสอยู่กับผู้เป็นป้าตามลำพัง

“ สวัสดีค่ะคุณลุง มาเยี่ยมแม่ใหญ่เหรอคะ ” หล่อนทักทายพร้อมยกมือไหว้ห่างจากประตูห้องไปไม่กี่ก้าว

“ จ้ะ แล้วนี้หนูถักผ้าพันคอให้ลุงอยู่เหรอจ๊ะ ” เขาร้องถามเมื่อเห็นว่าในมือเรียวเล็กนั้นมีผ้าพันคอที่ถักค้างอยู่

“ ค่ะ พอดีเฝ้าไข้แม่ใหญ่ว่างๆก็เลยเอามาถักจะได้ไม่เสียเวลา คิดว่าอีกสองสามวันก็น่าจะเสร็จแล้วล่ะค่ะ ”

“ ลุงก็อยากได้ผ้าพันคอจากมือหนูเหมือนกัน เสียดายที่พรุ่งนี้ลุงต้องบินกลับอเมริกาแล้ว ”

“ จะกลับแล้วเหรอคะ...ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรคะ เดี๋ยวเล็กถักเสร็จเมื่อไหร่ เล็กจะส่งไปให้ตามที่อยู่ในนามบัตรนะคะ ”

คอยด์พยักรับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างเอ็นดูคนตรงหน้าลูบมือไปตามลวดลายของไหมพรมสีเขียวขี้ม้าอยู่นานก่อนจะหลุดถามถึงการไปเที่ยวต่างประเทศ

“ เล็กไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศหรอกคะ แค่ในเมืองไทยเองยังไม่ค่อยได้เที่ยวเลย ”

“ อ้าวอย่างนั้นเหรอ ลุงเห็นสามีหนูเขาเป็นนักธุรกิจ นึกว่าเวลาเขาไปทำงานที่เมืองนอกเขาจะพาหนูไปด้วยซะอีก อย่างนี้หนูก็ไม่มีพาสปอร์ตหรือวีซ่าเข้าสหรัฐด้วยสินะ ” เขาลูบคางทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อ “ อย่าหาว่าลุงยุ่งเลยนะ แต่หนูน่าจะทำพาสปอร์ตกับวีซ่าเข้าสหรัฐไว้นะ เวลาที่สามีหนูเขาต้องไปทำงานที่เมืองนอกหรือในสหรัฐนานๆ ถ้ามีพาสปอร์ตกับวีซ่าไว้เกิดมีอะไรฉุกละหุกขึ้นมาจะได้เดินทางสะดวก ”

“เล็กไม่คิดว่าพี่ภาคจะไปทำงานที่เมืองนอกนานถึงขนาดจะต้องตามไปอยู่ด้วยหรอกคะ ”

“ แต่ลุงว่าหนูควรทำไว้นะ เดี๋ยวนี้ใช้เวลาไม่กี่วันก็ได้แล้ว เก็บไว้เถอะ ยังไงวันหนึ่งหนูต้องได้ใช้แน่ เชื่อลุงเถอะ ”

“ ค่ะ ” คนตัวเล็กพยักหน้ารับคำแล้วจึงออกจากห้องปล่อยให้ชายสูงวัยเข้าไปพบกับคนป่วยที่ยังนั่งปาดน้ำตาโดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครเข้ามาหาตนเอง ในวินาทีที่เงยหน้ามาเห็นเขาริมฝีปากที่เหยียดอยู่ก็หุบลงอย่างรวดเร็ว

“ คุณมาที่นี่ทำไมอีก ” นางร้องถามเสียงสั่นมือทั้งสองข้างกำแน่น “ ถ้าคิดจะมาข่มขู่ ขอบอกไว้เลยว่าฉันไม่กลัว ถึงคุณจะเอาเรื่องที่ฉันปลอมเอกสารไปแฉหรือดำเนินคดีก็ตามใจ ยังไงฉันก็ไม่มีวันให้ตาใหญ่ขายหุ้นพวกนั้นกับคุณเด็ดขาด ”

“ สบายใจได้ ผมไม่ได้มาที่นี่เพราะเรื่องนั้นหรอก ”

“ ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้แล้วคุณจะมาทำไม อ้อ หรือว่าคุณจะหาเรื่องทำให้ฉันสับสนเรื่องสายเลือดของตาใหญ่กับเล็กอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่าพยายามเลย ยังไงคุณก็หนีผลดีเอ็นเอไปไม่ได้หรอก ”

“ ผมไม่ได้มาที่นี่เพราะเรื่องหุ้นของอังคพิมานโฮเต็ลหรือเรื่องของเด็กสองคนนั้นหรอก...ผมแค่มาลาเท่านั้นเอง ”

มลธิกาขมวดคิ้วในทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายบอกจุดประสงค์ที่มาพบหน้ากันในวันนี้...ถ้อยคำแปลกแปร่งนั้นทำให้นางหวาดระแวงว่าจะถูกลวงหลอกอีก หากเมื่อลองคิดอีกทีก็ตกใจถึงกับยกมือกุมหน้าอก

“ มาลา...อย่าบอกนะว่า ตาใหญ่ยอมรับข้อเสนอของคุณแล้ว ”

“ ไม่ใช่ศิระหรอกที่รับข้อเสนอของคุณ แต่เป็นหลานเขยของคุณต่างหากที่ยอมรับ ”

“ คุณหมายความว่ายังไง...ตาภาคมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย ” ร้องถามเริ่มรู้สึกสับสนจนปวดศีรษะแต่ผู้มาเยี่ยมเยือนกลับแลดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“ คุณคงไม่รู้สินะว่าภาควัฒน์เป็นคนของครอมเวล...ผมส่งเข้ามาที่นี่เพื่อเทคโอเวอร์กิจการของคุณโดยเฉพาะ...แต่เขาหลงรักหลานสาวของคุณมากเกินไปก็เลยไม่ยอมทำงานให้ผมอีก ถึงขั้นยอมให้ผมส่งเขาไปทำงานเสี่ยงอันตรายถึงรัสเซียเพื่อปกป้องผู้หญิงที่ตัวเองรัก คุณต้องขอบใจหลานสาวคุณนะที่หาสามีดีขนาดที่ยอมทำได้ทุกอย่างแม้แต่ยกอิสรภาพให้กับผมแลกกับการที่ภรรยาตัวเองกับอังคพิมานจะไม่ถูกผมเอามายำจนเละ ”

“ นี่คุณจะบอกฉันว่า ตาภาคเป็นคนของคุณอย่างนั้นเหรอ ”

“ จะเรียกให้ถูกต้องบอกว่า เขาเป็นทายาททางธุรกิจของครอมเวลด้วยถึงจะถูก...ผมเกือบจะเสียมือดีของตัวเองไปแล้ว โชคดีที่เขารักหลานสาวคุณมาก พอเอาความปลอดภัยของหลานคุณมาต่อรองเขาก็ยอมกลับมาเป็นคนของผมแทบจะทันทีเลย ”

“ คุณ...คุณมันเลว แค่คุณปฏิเสธไม่ยอมรับตาใหญ่ว่าเป็นลูกแล้วโยนไปให้พี่ชายตัวเองรับผิดชอบก็แย่พออยู่แล้ว คุณยังมีหน้าเอาลูกสาวตัวเองมาต่อรองหาผลประโยชน์อีกเหรอ ถ้าคุณเกลียดฉันนัก ทำไมไม่ฆ่าฉันซะเลยล่ะ จะหลอกใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือไปทำไม ” นางตะคอกใส่อย่างโกรธเกรี้ยว

“ เพราะการฆ่าแบบนั้นมันง่ายเกินไป ต้องปล่อยให้จมอยู่กับความทรมานมันดีกว่ากันเยอะ ” เขาว่าแล้วลุกจากเก้าอี้ล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อสูทแล้วหยิบเอาจดหมายในซองสีขาวสามฉบับกับเอกสารอีกแผ่นหนึ่งวางลงบนพื้นที่ว่างของเตียง

“ ก่อนที่ผมจะกลับ มีบางอย่างที่ผมอยากให้คุณรู้...รับรองว่าทุกอย่างที่ผมให้คุณครั้งนี้เป็นของจริงๆ ไม่ได้ถูกผมสวมรอยเปลี่ยนผลเหมือนครั้งก่อนๆ อ่านดูแล้วอย่าตกใจจนสลบไปอีกล่ะ ”

คนป่วยยื่นมือไปหยิบข้าวของเหล่านั้นขึ้นมาจึงเห็นจ่าหน้าของจดหมายฉบับแรกเป็นจดหมายจากโรงพยาบาลเดียวกันกับที่นางเคยส่งผมของลูกกับหลานไปตรวจหาดีเอ็นเอ อีกฉบับหนึ่งนั้นเป็นจ่าหน้าซองเป็นจดหมายจากโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งในประเทศไทย แต่ที่ทำให้นางมือไม้สั่นจนทำจดหมายร่วงหลุดจากมือก็เมื่อได้เห็นเอกสารของอังคพิมานโฮเต็ลที่ให้คนภายนอกลงบันทึกพร้อมลายเซ็นต์ทุกครั้งที่มาขอเข้าพบกับแขกของโรงแรม และในวันที่นางนัดให้คอยด์ออกมาพบ ช่วงเวลานัดหมายนั้นกลับมีเพียงรายชื่อของโครว์ ครอมเวลปรากฏอยู่ก่อนหน้าที่คอยด์จะมาลงชื่อในตอนเช้า

ความข้องใจทำให้นางคว้าจดหมายออกมาดู...ผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอของโรงพยาบาลที่นางเลือกให้ตรวจรายงานให้ทราบว่า ทั้งศิระและศศิวิมลมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดกันก็จริงหากก็ไม่มากพอที่จะมีพ่อหรือแม่ร่วมอุทรณ์เดียวกัน ส่วนอีกฉบับเป็นผลตรวจดีเอ็นเอระหว่างคอยด์กับศศิวิมลที่บอกชัดว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกันชัดเจน

“ ขอโทษนะที่ผมเปลี่ยนผลดีเอ็นเอ ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าคุณจะตรวจหาความเหมือนของเด็กสองคนนั้นไปทำไม ก็เลยเล่นกลเปลี่ยนผลนิดหน่อย ตอนนี้ผมรู้เรื่องที่คุณหลอกผมแล้ว ถึงเพิ่งรู้ว่าการเปลี่ยนผลมันทำให้คุณกลายเป็นคนเลวในสายตาคนอื่นมากขนาดไหน อ้อ มีเรื่องหนึ่งที่ผมยังไม่ได้บอกความจริงกับคุณ...เรื่องพินัยกรรมที่หายไปนะ มันไม่ได้อยู่กับผมแล้วเพราะพี่ชายผมเขาขโมยไปคงตั้งใจว่าจะเอาไปให้คุณ แต่คุณก็หนีจนเขาถูกรถชนตาย แต่ก็เอาเถอะตอนนี้พินัยกรรมพวกนั้นมันก็ไม่สำคัญอะไรกับคุณแล้ว จะมีหรือไม่มีก็ไม่ต่างกันนักหรอก ”

นายใหญ่แห่งครอมเวลว่ายังคงยิ้มแย้มทอดมองนายหญิงแห่งอังคพิมานที่เหมือนคนหูอื้อตาลาย...ทั้งคู่สนใจกับความเป็นไปในห้องมากเสียจนไม่ทันสังเกตเห็นบานประตูที่แง้มปิดลง

ศศิวิมลพิงหลังกับบานประตูหน้าห้องของมลธิกาในมือกำโทรศัพท์มือถือที่ลืมไว้ตรงอ่างน้ำแน่นด้วยใบหน้าซีดเซียวไม่ต่างจากแผ่นกระดาษ นัยน์ตาหวานอมโศกกับริมฝีปากอิ่มสั่นระริกคล้ายกับเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญน่าตื่นกลัวมาก็ไม่ปาน...อาการวิงเวียนเข้าเล่นงานจนแข้งขาอ่อนแรงและก่อนที่ร่างบางจะทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น รสาที่แวะมาหาเห็นเข้าก็รีบปราดไปรับพาประคองมานั่งบนเก้าอี้รีบหาหยูกยามาให้เพื่อนสูดดม

“ เล็ก...เล็กเป็นอะไรไป เล็กได้ยินเราไหม ”

หญิงสาวหันไปมองต้นเสียงพลางกระพริบตาถี่ก่อนจะเอื้อมมือไปขยุ้มเสื้อเชิ้ตของเพื่อนไว้แน่น

“ สา...สาพาเล็กไปหาพี่ภาคหน่อยได้ไหม ช่วยพาเล็กไปหาพี่ภาคหน่อย พาเล็กไปที เล็กต้องเจอพี่ภาคเดี๋ยวนี้ ต้องเจอ ” หล่อนร้องเพ้อออกมาเหมือนคนไม่มีสติ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำตาหยาดลงมารดพ่วงแก้ม ในนาทีนั้นใจมุ่งอยู่กับผู้เป็นสามีเท่านั้น

รสาเห็นอาการของเพื่อนก็ได้แต่พยักหน้ารับคำประคองศศิวิมลออกจากโรงพยาบาลมาได้ก็หยิบกุญแจรถกระบะมากดปุ่มปลดล็อกระบบรักษาความปลอดภัยเปิดประตูดันเพื่อนให้เข้าไปข้างในถึงวิ่งอ้อมรถกระโดดขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับ...ไม่รู้ว่าเพื่อนจะไปหาสามีถึงที่ทำงานทำไมแต่ก็สตาร์ทรถเหยียบคันเร่งไปตามความประสงค์ของเพื่อนทั้งที่ไม่รู้อย่างนั้น...




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ย. 2554, 06:31:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ย. 2554, 06:31:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 2534





<< บทที่ 31   บทที่ ๓๓ >>
คิมหันตุ์ 29 พ.ย. 2554, 09:12:38 น.
อ๋าาาาสงสารเล็กน่ะ คุณภาคด้วย จะทำอย่างไรดีน้อ


saralun 29 พ.ย. 2554, 09:20:32 น.
ลุ้น ๆ


violette 29 พ.ย. 2554, 11:08:55 น.
โอย กระจ่างซักทีเรื่องเล็กกับพี่ใหญ่ สรุปว่าก็เป็นคนละพ่อแม่จริงๆสินะคะ เฮ่อ กว่าจะคลี่คลาย
แต่เรื่องของภาคกับเล็กนี่สิ นายคอยด์นี่จะเห็นแก่ตัวไปถึงไหนนะ


jink 29 พ.ย. 2554, 11:42:23 น.
เพิ่งเข้ามาอ่านตอนแรกสนุกดีอ้ะ เดี๋ยวขอย้อนกลับไปอ่านตอนแรกๆ ก่อนนะคะ


Edelweiss 29 พ.ย. 2554, 13:33:34 น.
คอยด์โหดสะใจดี แต่ก็สงสารทั้งเล็กทั้งภาคนะเนี่ย


anOO 29 พ.ย. 2554, 16:58:38 น.
เฮ้อ!!! เล็กรู้เรื่องหมดแล้วอ่ะ จะทำยังไงต่อไปล่ะเนี้ย
แอบคิดไปเองว่าตาลุงคอยด์ อาจมีแผนสำรองที่จะไม่ทำให้ใครเจ็บนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account