พื้นที่ชุ่มรัก
เมื่อได้รับคำขาดจากเหล่าคุณปู่คุณตาว่าต้องการเห็นหน้าหลานเขยหลานสะใภ้ก่อนวันเริ่มศักราชใหม่ซึ่งเหลือเวลาอีกครึ่งปี บรรดาหลานๆจึงปวดหัวหนักเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มตามหาหลานเขยหลานสะใภ้ที่จุดไหนของประเทศ และที่สำคัญกว่านั้น...ถ้าหลานคนใดคนหนึ่งทำตามความต้องการของท่านไม่ได้ ทุกคนจะต้องชดใช้ที่ทำให้คุณปู่คุณตาผิดหวังด้วยเงินและทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลที่พอจะทำให้หลานๆสุดที่รักของพวกท่านล้มละลายกันได้ทีเดียว!!

แล้วจะให้บรรดาหลานสุดที่รักทั้ง 5 คนยอมขัดใจคุณปู่คุณตาได้อย่างไร นอกจากต้องก้มหน้ารับคำสั่งอาญาสิทธิ์แต่โดยดี และคงต้องเริ่มปฏิบัติภารกิจอย่างจริงจัง เวลาที่เหลืออยู่คงต้องงัดทุกกลยุทธทุกอย่างขึ้นมาใช้เพราะหลานๆได้ลงมติอย่าง (เกือบ) เป็นเอกฉันท์กันมาแล้วว่างานนี้...แพ้ไม่ได้!
Tags: แผนการ คุณปู่ คุณตา หลาน ความรัก พื้นที่ชุ่มรัก ผลิดอกออกรัก

ตอน: เขตพื้นที่ที่ 1 : ผลิดอก...ออกรัก : ตอนที่ 5

วันศุกร์แล้วค่ะ ปอแก้วเลยเข็นตอนใหม่มาลง

ตอนนี้พี่อาร์มเริ่มน่ารักขึ้นมาบ้างเล็กน้อยให้หนูมุกพอกระชุ่มกระชวย ฮ่าๆ

แต่ไม่รู้ว่าตอนหน้าจะเป็นยังไงค่ะ ช่วยลุ้นและติดตามกันด้วยนะคะ :)

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน ทิ้งคอมเมนท์และกดไลค์ไว้เป็นกำลังใจนะคะ

ขอบคุณจริงๆค่ะ :) เจอกันตอนหน้าอาจจะเร็วกว่าวันศุกร์นะคะ แต่ไม่ช้ากว่าแน่นอนจ้า...

------------------------------------------------------------------------------------------------------



ตอนที่ 5: นนทรีต้นเดิม (1)



ราวครึ่งเดือนแล้วที่มุกตาภาทำงานในฐานะผู้ช่วยของชิษวัศ แม้จะไม่อยากเชื่อว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้โดยที่ชิษวัศยังไม่มีวี่แววที่จะจำเธอได้คือความจริง แต่มุกตาภาก็ยังไม่ยอมแพ้เมื่อเห็นเค้าลางว่าชิษวัศเริ่มที่จะเย็นชาใส่เธอน้อยลงและหันมาพูดดีกับเธอมากขึ้น ตลอดเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ที่สำคัญๆคงไม่พ้นเรื่องที่เกิดหลังจากอาหารมื้อแรกที่อารัทธ์เลี้ยงต้อนรับเธอ เรื่องที่พอฟังจากปากของนิชิตาจนเธอถึงกับร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจด้วยไม่คิดว่าอารัทธ์จะกล้าทำอย่างนี้กับเพื่อนของเธอ แต่มีสิ่งหนึ่งที่มุกตาภาแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นอารัทธ์กลับคอยวนเวียนอยู่ใกล้เพื่อนเธอตลอดเวลา แม้ทุกครั้งจะโดนนิชิตาว่าเสียๆหายๆตามติดด้วยการทรมาทรกรรมต่างๆนานาก็ตาม

ทางฝั่งชิษวัศเองก็พอรู้เรื่องระหว่างอารัทธ์กับนิชิตามาบ้างและจัดการถามรายละเอียดเรื่องราวทั้งหมดจากอารัทธ์มาเรียบร้อย คำตอบที่ได้รับในตอนแรกทำให้ชิษวัศเบาใจอย่างประหลาดเมื่อเพื่อนสนิทตอบว่าเริ่มถูกใจอาจารย์สาวอย่างนิชิตาเข้าจริงๆ แต่พอมีอีกประโยคหนึ่งพ่วงเข้ามาชิษวัศแทบอยากจะฝากจระเข้ฟาดหางไว้เป็นของขวัญบนก้านคอมันเสียอีกหนึ่งที่

‘...แต่ฉันก็ยังชอบน้องมุกว่ะ สรุปว่าฉันจีบสองคนเลยก็แล้วกัน’

คำตอบของอารัทธ์เมื่อคราวนั้นแทบจะได้หมัดของชิษวัศไปกิน ดีที่ชายหนุ่มยั้งไว้ได้ทัน เตือนสติตัวเองได้ถูกต้องถูกเวลาว่าอารัทธ์คือเพื่อน และเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำร้ายร่างกายใคร เพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็นเพียงแค่เจ้านายของมุกตาภาเท่านั้น ไม่ใช่คนรักที่จะมีสิทธิ์หึงหวง แม้ใจจริงจะเป็นห่วงเธอมากก็ตาม ที่ทำได้คงจะมีแค่คำเตือนว่าทั้งมุกตาภาและนิชิตาเป็นเพื่อนสนิทกัน จะทำอะไรก็ขอให้คิดให้ดี

หลังจากรู้เรื่องราวทั้งหมดจากอารัทธ์ ชิษวัศจึงพยายามที่จะตั้งป้อมกับมุกตาภาน้อยลง อย่างน้อยก็หวังว่าเธออาจจะมองเขาในแง่ดีขึ้นกว่าเดิมบ้าง และเมื่อชิษวัศทลายเกราะน้ำแข็งที่เคลือบไว้ลง ชายหนุ่มจึงสนิทสนมกับผู้ช่วยสาวอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งบางคราชิษวัศเผลอใจคิดกับเธอออกนอกลู่นอกทางเกินกว่าเจ้านายกับลูกน้องจนต้องย้ำเตือนตัวเองแทบทุกวันว่าอย่าได้เผลอไผลไปกับรอยยิ้มหวานนั่นเชียว ไม่อย่างนั้นแกได้ถอนตัวไม่ขึ้นแน่นอนชิษวัศ!!

ทั้งที่คิดพร่ำบอกตัวเองอย่างหนักแต่เหตุการณ์ที่ถูกเรียกประชุมนัดพิเศษระหว่างหลานๆและคุณปู่แฝดเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ทำให้ชิษวัศกลับมาเครียดเหมือนเดิมจนอยากจะกลืนน้ำลายตัวเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด จัดการจับมุกตาภามาเป็นหลานสะใภ้คนโตของตตินรากรณ์เสียเลย เพราะเขาก็ชอบเธอมากถูกใจเธอที่สุดอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าเธออยู่ใน ‘ข้อต้องห้ามของชิษวัศ’ ป่านนี้เขาพาเธอไปอวดโฉมให้คุณปู่แฝดได้ชมก่อนเป็นคนแรกไปแล้ว จะได้ไม่ต้องมานั่งเครียดอยู่อย่างนี้ ยิ่งมองคนที่นั่งอยู่ภายในห้องเดียวกันก็ยิ่งเครียด เธอจะรู้บ้างไหมว่าเขาเริ่มอยากที่จะแหก ‘ข้อต้องห้ามของชิษวัศ’ วันละสามเวลาหลังอาหาร!

ที่สำคัญดูจากการรวมตัวของหลานๆนัดล่าสุด ถ้าเขาเป็นคนแรกที่ได้หลานสะใภ้ไปอวดคุณปู่ทั้งสองมันคงก็ดีไม่น้อย ดูจากลาดเลาของแต่ละคน สถานการณ์คงไม่ต่างกันมากนัก แม้เรศิกานต์จะมีคนที่คบหาด้วย แต่น้องสาวของเขาคงยังไม่มั่นใจที่จะพามาแนะนำให้คุณปู่รันและคุณปู่รินได้รับรู้ ส่วนอีกสามคนที่เหลือดูจากท่าทางก็ไม่มีวี่แววเช่นกัน ชิษวัศจึงอยากจะกระตุ้นน้องๆด้วยการทำภารกิจสำเร็จเป็นคนแรก พวกนั้นจะได้รู้สึกว่าถ้าพี่ชายอย่างเขาทำได้ น้องๆที่เหลือก็ต้องทำได้เช่นกัน ไม่งั้นหมากกระดานนี้คงได้แพ้ยกกระดาน แต่ก็คงทำได้แค่คิดเมื่อชิษวัศเองก็ยังหาทางออกให้ตนเองไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อดี เจอผู้หญิงที่ถูกใจแต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เพราะสำหรับชิษวัศกฎก็คือกฎ ข้อห้ามก็คือสิ่งที่เขาไม่สมควรจะละเมิด ยิ่งข้อห้ามนั้นเป็นข้อห้ามที่สร้างขึ้นด้วยวาจาของตนเองด้วยแล้วยิ่งไม่สมควรที่จะกระทำ

...มันหงุดหงิดโว้ย...

มุกตาภามองคนที่จู่ๆก็ยกมือสองข้างขึ้นกุมขมับ สังเกตเห็นมาพักใหญ่แล้วว่าชิษวัศมีท่าทางแปลกๆ เหมือนกับมีปัญหาหนักอกโดยที่เจ้าตัวยังหาทางออกไม่ได้ ยิ่งเห็นใบคิ้วเข้มขมวดชิด เห็นใบหน้าที่เคยผ่องใสกลับหมองคล้ำเธอยิ่งรู้สึกเป็นห่วง พักนี้มุกตาภารู้สึกว่าชิษวัศแลดูอ่อนเพลียคล้ายคนนอนไม่เต็มอิ่มพักผ่อนไม่เพียงพอ ปัญหาอะไรกันหนอที่พี่อาร์มคนเก่งของเธอถึงกับหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ เป็นไปได้เธออยากจะช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของเขามาบ้างแม้เพียงนิดหน่อยก็ยังดี

หากไม่ทันได้ถามไถ่โทรศัพท์มือถือของชิษวัศก็ส่งเสียงร้องขึ้นมาร้อนถึงเจ้าของเครื่องต้องรับสายอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเบอร์ที่แสดงผ่านหน้าจอว่าเป็นเบอร์ของบ้านสวนที่อยุธยา ซึ่งถ้าไม่มีเหตุจำเป็นร้ายแรงจริงๆ ‘ลุงชิดกับป้าชื่น’ คงไม่โทรเข้าหาเขาโดยตรง แล้วก็จริงดังคาดเมื่อน้ำเสียงร้อนรนที่ส่งผ่านมาตามเครือข่ายไร้สายเพื่อบอกเขาว่าลุงชมป่วยหนักแต่ดื้อดึงไม่ยอมให้ป้าชื่นพาไปโรงพยาบาล ชิษวัศจึงสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดให้ป้าชื่นพาสามีคู่ทุกข์คู่ยากไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ ถ้าลุงชมไม่ยอมให้บอกไปว่าเป็นคำสั่งของ ‘คุณอาร์ม’ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายชิษวัศบอกป้าชื่นว่าไม่ต้องเป็นห่วงเขาจะลงไปจัดการเอง

หลังจากวางสายชิษวัศจัดการอ่านเอกสารที่คั่งค้างอย่างรวดเร็ว ดีที่วันนี้วันนี้ไม่มีประชุมผู้บริหารโครงการจึงไม่น่าหนักใจนักถ้าเขาจะเบี้ยวงานสักวันสองวันเพื่อลงไปจัดการเรื่องลุงชมที่อยุธยา ฝ่ายมุกตาภาที่มองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจนักเมื่อเห็นว่าจู่ๆชิษวัศก็ทำงานทุกอย่างด้วยความรีบร้อนราวกับว่าเขากำลังจะรีบไปไหน เธอจึงตัดใจรวบรวมความกล้าที่มีทั้งหมดถามความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจออกไป

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” คำถามของมุกตาภาเบี่ยงเบนความสนใจของชิษวัศจากเอกสารตรงหน้าที่ต้องสะสางให้เสร็จภายในครึ่งชั่วโมงนี้ไม่น้อย ดวงตาสีนิลมองสบไปยังผู้ช่วยสาวที่ตั้งคำถาม

“ลุงที่ดูแลบ้านสวนให้ผมป่วย ผมว่าจะไปดูแกเสียหน่อย” คนที่ได้รับฟังคำตอบจากชิษวัศตกใจไม่น้อย แม้จะไม่ได้เจอลุงชิดกับป้าชื่นนานพอๆกับที่เธอไม่ได้เจอชิษวัศ แต่มุกตาภาก็ยังจำผู้อาวุโสทั้งสองได้ดีเพราะเมื่อก่อนตอนที่เธอมาเล่นที่บ้านสวนของชิษวัศทุกๆปิดเทอมลุงชิดกับป้าชื่นใจดีกับเธอมาก ยิ่งพอรู้ว่าลุงชิดป่วยเธอก็อดเป็นห่วงไปด้วยไม่ได้

“ฉันไปเป็นเพื่อนไหมคะ” ข้อเสนอของมุกตาภาทำเอาชิษวัศมองเธอกลับด้วยความตกใจไม่น้อย พอเห็นอย่างนั้นคนที่เสนอในสิ่งที่หัวใจเรียกร้องจึงต้องรีบอธิบายเป็นพัลวัน

“ก็คุณขับรถคนเดียวทั้งๆที่ใจร้อนอย่างนี้คงไม่ค่อยดีใช่ไหมคะ แล้วฉันก็เป็นผู้ช่วยคุณด้วย อาจจะ...พอช่วยอะไรได้บ้าง” คำอธิบายของมุกตาภาแม้จะฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ในความเห็นของชิษวัศ แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกดีไม่น้อยที่มีเธอคอยเป็นห่วงเป็นใยแม้ปากเธอจะบอกว่ามันเป็นแค่เพียงหน้าที่ก็ตาม

“ขอบคุณครับ” คำขอบคุณที่กล่าวออกมาทำให้หัวใจอีกดวงหนึ่งพองโต ดีใจเหลือเกินที่ชิษวัศยอมที่จะให้เธอช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของเขา จะในฐานะอะไรก็ช่างเธอไม่สนใจ ขอแค่เพียงเธอได้ทำเพื่อที่จะได้พี่อาร์มคนเดิมคืนกลับมาเธอก็ยินดี













Lexus LS460L สีดำปราบมุ่งหน้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาหรือที่คนส่วนมากเรียกว่า ‘เมืองกรุงเก่า’ เนื่องจากเคยเป็นอดีตเมืองหลวงของประเทศไทยมาถึง 417 ปี ถูกสถาปนาเป็นเมืองหลวงเมื่อปี พ.ศ. 1893 โดยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 มีกษัตริย์ปกครองทั้งครองทั้งหมด 33 พระองค์จาก 5 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์สุโขทัย ราชวงศ์ปราสาททอง และราชวงศ์บ้านพลูหลวง ซึ่งนับเป็นราชธานีที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย แม้เวลาจะผ่านไปนานกว่า 700 ปีแต่คนรุ่นหลังก็ยังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่สืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ความภาคภูมิใจที่บรรพบุรุษต่อสู้ยืนหยัดเพื่อรักษาแผ่นดินเกิดล้วนยังคงติดตรึงอยู่ในจิตวิญาณของคนไทยทุกคน

มุกตาภาเลื่อนสายตามองสู่ภายนอก สิบกว่าปีที่เธอไม่เคยได้กลับมาที่แห่งนี้ทำให้ทุกอย่างแลดูแปลกตา ตึกรามบ้านช่องที่เพิ่มมากขึ้น ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนนิคมอุตสาหกรรม แม้ตอนเธอยังเด็กทุกอย่างที่กล่าวมาล้วนจะมีหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่มากจนผิดหูผิดตาขนาดนี้ อยุธยาที่เธอกลับมาเยือนอีกครั้งดูครึกครื้นจนผิดหูผิดตา

ชิษวัศใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งจากกรุงเทพมหานครถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากการที่แอบสังเกตจึงพบว่าชายหนุ่มสันทัดในเรื่องของเส้นทางไม่น้อย ยามเมื่อรถแล่นเข้าสู่ตัวเมืองเขากลับไม่มีท่าทีไม่มั่นใจในเส้นทางเลยแม้แต่น้อย ชิษวัศยังคงตัดสินใจได้เด็ดขาดว่าตนเองควรมุ่งไปในทิศทางไหน ไม่นานนักทั้งเขาและเธอก็มาถึงจุดหมายซึ่งก็คือโรงพยาบาลประจำจังหวัด ชิษวัศบอกให้มุกตาภารออยู่ในรถหากเธอปฏิเสธพร้อมยังยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าขอไปด้วย คร้านจะเถียงกันให้เสียเวลา ชิษวัศจึงพยักหน้ารับการตัดสินใจของเธอก่อนจะมุ่งหน้าสู่ห้องฉุกเฉิน

เนื่องจากเคยพาลุงชิดมารักษาตัวที่นี่หลายครั้งชิษวัศจึงพอจำทางได้เลยเสียเวลาไม่มากนักก่อนจะพบกับป้าชื่นที่นั่งหน้าเสียอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน

“คุณอาร์ม” ผู้สูงวัยโผเข้ากอดผู้มาใหม่อย่างหาที่พึ่ง หยาดน้ำตาไหลรินมาจากใบหน้าเหี่ยวย่นคร้ามแดด กลัวเหลือเกินว่าสามีคู่ทุกข์คู่ยากจะเป็นอะไรไป

“ทำใจดีๆไว้ครับป้า ลุงชิดไม่เป็นอะไรหรอกครับ” ชิษวัศปลอบโยนผู้สูงวัยในอ้อมแขน จังหวะเดียวกันกับที่คุณหมอออกมาจากห้องฉุกเฉินพอดีชายหนุ่มจึงรีบเดินไปถามอาการลุงชิดพร้อมกันกับป้าชื่น

คุณหมอในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้ามาอธิบายถึงอาการและบอกว่าลุงชิดมีอาการถุงน้ำดีอักเสบพร้อมขอความยินยอมให้ผ่าตัดจากญาติของคนไข้ เนื่องจากถ้าปล่อยไว้ผนังถุงน้ำดีอาจจะเน่า ทำให้มีการติดเชื้อรุนแรงและถุงน้ำดีมีโอกาสที่จะทะลุได้มากขึ้น การผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกจึงเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง ซึ่งชิษวัศก็ตอบรับแต่โดยดีพร้อมกับถามย้ำในความปลอดภัยของลุงชิดซึ่งคุณหมอก็ยิ้มและบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าลุงชิดจะไม่เป็นอะไร

แม้จะบอกให้ป้าชื่นกลับไปพักที่บ้านแต่ป้าแกก็ไม่ยอมดึงดันจะเฝ้าสามีคู่ทุกข์คู่ยากที่คุณหมอนักผ่าตัดพรุ่งนี้แต่วันนี้ต้องแอดมิดที่โรงพยาบาลก่อน ชิษวัศจัดการเดินเรื่องของห้องพักไว้เรียบร้อยซึ่งเป็นห้องพิเศษเพื่อป้าชื่นจะได้ดูแลลุงชิดได้สะดวกยิ่งขึ้นก่อนจะหันมาบอกอีกหนึ่งสาวที่ตามมาด้วยว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

“แล้วจะไปไหนต่อคะ” มุกตาภาถามต่อเมื่อเห็นว่าชิษวัศจัดการกับธุระตรงนี้เรียบร้อย

“ไปซื้อเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวให้คุณ” คำตอบของชิษวัศสร้างคำถามเกิดขึ้นมากมายในหัวของมุกตาภา

“ซื้อให้ฉันทำไมคะ”

“เราจะกลับกรุงเทพฯเช้าวันมะรืน คุณไม่ได้เอาอะไรมาเลยไม่ใช่หรือ” คำตอบของชิษวัศทำเอามุกตาภาตะลึงงันเพราะก่อนหน้าที่จะมาหรือระหว่างที่มาที่นี่ชิษวัศไม่ได้บอกเธอเลยว่าจะอยู่ค้างคืน

“แล้วที่พัก...” เธอถามเสียงเบาแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าจะเป็นที่ไหนได้ถ้าไม่ใช่บ้านสวนริมแม่น้ำของชิษวัศบ้านที่ติดกับบ้านสวนของเธอ!

“บ้านผม” แล้วก็เป็นดั่งที่หญิงสาวคาด แม้มุกตาภาจะอยากให้ชิษวัศจำเธอได้ แต่เธอก็ยังไม่ได้คิดว่าถ้าเขาและเธออยู่ในสถานที่ที่เคยมีความทรงจำด้วยกันแล้วเธอสมควรจะทำตัวเช่นไรเพื่อไม่ให้เขาสงสัยในอาการประดักประเดิดของเธอ และที่สำคัญเธอต้องแสดงละครให้เนียนที่สุดว่าเธอไม่เคยไปบ้านสวนของเขามาก่อนแม้ความจริงเธอจะจำรายละเอียดทุกอย่างได้ก็ตาม

ชิษวัศพาเธอมาซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตลาดเจ้าพรหม โดยข้าวของเครื่องใช้ของเธอทั้งหมดถูกจ่ายผ่านทางบัตรเครดิตของเขา มุกตาภาเลือกซื้อเพียงของใช้และเสื้อผ้าที่จำเป็นสำหรับการค้างแรมสองคืนกับอีกหนึ่งวัน ก่อนจะเดินตามชิษวัศลงมาด้านล่างซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อช่วยเจ้านายของเธอเลือกซื้อของสดจำพวกหมูและผักเนื่องจากผู้ชายตัวโตคนนี้เสนอที่จะทำอาหารเย็นกินเองโดยโยนหน้าที่มาให้เธอทำ

“คุณทำได้แน่นะ” เขาถามย้ำเธออีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่มุกตาภาก็ขี้เกียจจะนับ รู้แต่ว่าเขาถามเธอก่อนทุกครั้งที่เธอจะหยิบของลงรถเข็น

“ถ้ากลัวจะกินไม่ได้แล้วคุณจะให้ฉันทำทำไม” เธอว่าพลางหยิบผักกาดขาวใส่รถเข็น

“ก็ผมอยากกินฝีมือคุณ” ชิษวัศพูดหน้าตาย ไม่สนใจอีกคนที่นิ่งงันไปด้วยความเหวอก่อนจะหยิบตั้งโอ๋มัดนึกขึ้นมาถามแม่ครัวจำเป็น

“ใส่นี่มั้ย” มุกตาภาดึงมัดตั้งโอ๋ในมือของชิษวัศออกก่อนจะนำกลับไปวางไว้ที่เดิม

“ถ้าฉันทำกินคนเดียวจะใส่ค่ะ แต่คุณไม่ชอบกินจะใส่ทำไม” บอกพร้อมกับเลือกแครอทที่อยู่ในล็อคถัดไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่าตัวเองพลาดไปอีกแล้ว

“นี่ก็คุณภัทรบอกอีกหรือ” ชิษวัศถามโดยอ้างอิงถึงผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่มุกตาภาเคยเอามาแก้ตัวเมื่อเรื่องถั่วลิสงคราวที่แล้ว

“ค่ะ” ตอบโดยไม่สนใจสายตาสงสัยแกมจับผิดที่มองมา ดวงตากลมโตเสมองไปยังเนื้อหมูที่แพ็คไว้อย่างดีก่อนจะทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย

“คุณจะกินแค่ต้มจืดใช่ไหม ฉันจะได้ซื้อหมูไปเท่านี้”

คนถูกถามพยักหน้า เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามหาเรื่องอื่นเข้ามาแทนทีชิษวัศจึงไม่อยากที่จะเซ้าซี้ไปให้มากความ เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าเธอโกหก เรื่องที่เขาชอบกินอะไรหรือไม่ชอบกินอะไรไม่มีทางที่ธีรภัทรจะมารู้ได้แน่ เรื่องคราวก่อนว่าทำให้สงสัยแล้วมาคราวนี้กลับทำให้เขาสงสัยยิ่งกว่า มุกตาภาเป็นใครกัน ทำไมเธอถึงได้รู้เรื่องเขาดีขนาดนี้ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

...หรือจะเคย...

จู่ๆสมองของชิษวัศก็เกิดความคิดนี้ขึ้นมา หรือเขาจะเคยรู้จักเธอ แต่ก็ไม่น่าที่จะจำไม่ได้เสียขนาดนี้ ที่สำคัญดูจากคำแก้ต่างที่โกหกนั่น ชิษวัศมั่นใจว่ามุกตาภาต้องรู้จักเขามาก่อนแน่ ที่ไม่เข้าใจก็คือทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกว่าเธอรู้จักเขามาก่อนและทำไม...ต้องแกล้งทำเป็นว่าไม่เคยรู้จักกัน












บ้านเรือนไทยใต้ถุนสูงยังคงสภาพเหมือนเมื่อครั้งวันวานไม่ผิดเพี้ยน ไม้ยืนต้นสูงใหญ่ที่ส่วนมากจะเป็นไม้ผลอย่างมะม่วงถูกปลูกไว้อย่างร่มรื่น ต้นนนทรีต้นใหญ่ยืนต้นเด่นตระหง่านอยู่ริมศาลาท่าน้ำทำให้ชวนคิดถึงวันเวลาเก่าๆที่ผันผ่านมาเนิ่นนาน มุกตาภาย่างก้าวเข้าไปใกล้นนทรีต้นใหญ่ที่แตกกิ่งก้านสาขาให้ความร่มเย็น ว่ากันว่านนทรีมีความทรหดอดทนให้สีเขียวได้แม้ในยามแล้ง มีอายุยืนยาวนาน ใบเขียวตลอดทั้งปี ทนทานในทุกสภาพอากาศ นนทรีต้นนี้หยัดยืนสูงตระหง่านทนแดดทนลมมานานฉันใด หัวใจของเธอก็จะยังคงหนักแน่นและรักชิษวัศเพียงแค่คนเดียวฉันนั้น...ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

“คุณครับ จะยืนชมต้นไม้อีกนานไหม ช่วยกันบ้างสิ” น้ำเสียงทุ้มแว่วมาจากใต้ถุนเรือนปลุกคนที่กำลังอยู่ภายในภวังค์ของตัวเองให้หลุดออกสู่โลกของความเป็นจริง มุกตาภาจึงรีบกุลีกุจอวิ่งไปช่วยคนที่กำลังถือของพะรุงพะรัง ด้วยความรีบร้อนจึงทำให้หญิงสาวไม่ทันระวังจึงสะดุดกับรากของนนทรีต้นใหญ่จนล้มคะมำ เหตุการณ์ที่ช่างเหมือนกับเมื่อครั้งยังเยาว์วัยไม่ผิดเพี้ยน

ชิษวัศทิ้งถุงที่ถือเต็มมือลงกลับพื้นโดยไม่แม้จะสนใจว่าของข้างในจะเป็นเช่นไร ร่างสูงสาวเท้าเข้าประชิดตัวมุกตาภาอย่างรวดเร็ว สำรวจคนที่ล้มไปต่อหน้าต่อตาด้วยความเป็นห่วงไม่ปิดบังจนพบว่าหัวเข่าข้างขวาของเธอมีแผลถลอกหนังกำพร้าหลุดจนเห็นเนื้อสีขาวข้างในและเลือดออกไม่น้อยเลย

“วิ่งอีท่าไหน ทำไมไม่ระวังเลย” น้ำเสียงที่ดุทำเอาคนเจ็บเริ่มใจแป้ว สงสัยงานนี้เธอคงโดนชิษวัศบ่นยาวอีกตามเคย

“อย่าทำให้ผมเป็นห่วงนักจะได้ไหม” พูดพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวมาซับเลือดที่ไหลออกจากหัวเข่าของมุกตาภาอย่างแผ่วเบา และเมื่อเห็นอีกฝ่ายกระตุกหัวเข่าพร้อมร้องขึ้นมาเบาๆชิษวัศก็ถึงกับชะงัก

“เจ็บมากมั้ย”

“นิดหน่อยค่ะ” มุกตาภาตอบ ความจริงเธอเจ็บมากแต่ทุกอย่างดูเหมือนจะเบาบางลงเมื่อมีชิษวัศอยู่ข้างกายเช่นเดียวกับเมื่อก่อน ต่อให้เธอวิ่งเล่นจนเจ็บตัวแค่ไหน ถ้ามีพี่อาร์มอยู่ข้างๆคอยเป่ามนต์วิเศษลงบนแผลเธอ ต่อให้แผลแค่ไหนเธอก็ไม่เจ็บทั้งนั้น

ชิษวัศค่อยๆซับเลือดที่ไหลออกมาอีกครั้ง ไม่สนใจว่าผ้าเช็ดหน้าของตัวเองจะมีสีแดงฉานแต่งแต้ม ชายหนุ่มก้มลงเป่าแผลที่หัวเข่าของมุกตาภาเบาๆ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำของตัวเองทำให้หัวใจของอีกคนพองโตด้วยความสุขใจ มุกตาภามองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ยิ่งมาอยู่ในสถานที่แห่งความทรงจำอย่างนี้ทำให้รู้สึกว่ามีอณูแห่งความสุขลอยอยู่เต็มรอบตัวเธอ

“คุณอาร์ม” เสียงเรียกของมุกตาภาเรียกให้คนที่ง่วนอยู่กับบาดแผลของเธอเงยหน้าขึ้นมามอง

“เจ็บหรือ” ชิษวัศถามอีกครั้งหากคนเจ็บกลับส่ายหน้าปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม

“เลือดหยุดแล้วนะคะ” เมื่อถูกทักชิษวัศจึงได้ทันสังเกตว่าเลือดที่หัวเข่าของมุกตาภานั้นหยุดแล้วจริงๆ ผ้าเช็ดหน้าที่ทำหน้าที่ซับบาดแผลถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นผ้าพันแผลไปเมื่อชายหนุ่มจัดการคลี่ผ้าเช็ดหน้าออกก่อนจะพันรอบหัวเข่าของเธอ

“ลุกไหวไหม” ถามขึ้นมาอย่างห่วงใย มุกตาภาตอบแทนความห่วงใยนั้นด้วยรอยยิ้มหวานพร้อมกับการพยักหน้ารับ หากชิษวัศกลับไม่วางใจชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไปเพื่อเป็นหลักให้เธอให้เกาะกุม มุกตาภาเอื้อมมือไปจับก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น เหลือบตามองยังข้าวของที่กองอยู่กับพื้นอย่างรู้สึกผิด ช่วยก็ไม่ได้ช่วยแถมยังทำตัวให้เป็นภาระของเขาอีกต่างหาก เธอนี่มันแย่จริงๆ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมถือเอง” ชิษวัศเองก็พอดูออกว่าสาวข้างตัวคงกำลังรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องเป็นภาระ ทว่าเขาเองไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย มุกตาภาไม่ใช่ภาระของเขา ไม่ใช่...สักนิดเดียว

ชิษวัศย้อนกลับมาเก็บข้าวของที่กองทิ้งไว้กับพื้นเมื่อเห็นว่าคนบาดเจ็บสามารถยืนได้อย่างมั่นคง ข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือชิษวัศยิ่งทำให้มุกตาภาอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง แต่เมื่อมีน้ำเสียงยืนยันมาว่าเขาสามารถที่จะถือทั้งหมดเองได้ เธอจึงทำได้แต่ยืนมองตาปริบๆ ก่อนจะเดินตามร่างสูงขึ้นบนเรือนหลังเดิมที่เธอไม่เคยได้มานับสิบปีแต่ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิม

บ้านสวนของชิษวัศเป็นเรือนไทยขนาดใหญ่ มีจำนวนเรือนหลายหลังรวมอยู่เป็นหมู่ สภาพตัวเรือนยังอยู่ในสภาพดี คงเป็นเพราะมีคนคอยดูแลอย่างลุงชิดและป้าชื่น มุกตาภาทรุดตัวลงนั่งที่หอนั่งซึ่งมีลักษณะเป็นเรือนโถงมีสามช่องเสา ในอดีตมักใช้เป็นที่สำหรับจัดงานหรือนั่งเล่นพักผ่อนแต่ปัจจุบันเจ้าของบ้านจัดการดัดแปลงหอนั่งให้เป็นที่นั่งสำหรับเวลารับประทานอาหารของครอบครัว ซึ่งมีโต๊ะไม้มะค่าตัวใหญ่ตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง รอบๆมีเบาะสำหรับนั่งพื้นวางไว้ครบสี่ด้าน สายลมโชยอ่อนพัดผมยาวสวยปลิวมาปรกหน้าจนเจ้าตัวต้องเหน็บไว้ข้างหู ชิษวัศวางของทั้งหมดไว้ข้างตัวเธอก่อนจะเดินสำรวจรอบบ้านและจัดแจงไขกุญแจเปิดประตูเรือนนอนซึ่งเป็นห้องนอนใหญ่ ตามด้วยเรือนลูกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งปกติจะถูกจัดไว้เพื่อรับรองแขก

ชายหนุ่มจัดการแยกของใช้ส่วนตัวของมุกตาภาออกจากของสดที่ซื้อมาสำหรับอาหารมื้อเย็นก่อนจะยื่นให้หญิงสาวพร้อมบอกว่าให้เธอนำไปเก็บไว้ในห้อง เรื่องเครื่องเรือนห้องหับไม่ต้องเป็นห่วงเพราะป้าชื่นทำความสะอาดบ้านนี้เหมือนกับว่ามีคนอยู่ทุกวัน มุกตาภารับถุงกระดาษมาแต่โดยดี หากยังไม่วายจะปรายตามองไปยังของสดที่อยู่อีกกองหนึ่ง

“ผมทำเอง” พ่อครัวคนเก่งอาสา แต่มุกตาภาไม่เชื่อในน้ำคำของเขาเสียเท่าไหร่ เท่าที่เคยแอบฟังมารดาตนเองคุยกับมารดาของชิษวัศ ผู้ชายคนนี้แค่ล้างจานยังทำจานแตกเลยสาอะไรจะเข้าครัวทำกับข้าว ขืนปล่อยให้เขาทำเรือนไทยหลังนี้คงได้ไหม้จนเหลือแต่ตอตะโกกันพอดี

“ทำเป็นหรือคะ” เธอแกล้งถาม ทั้งที่รู้ในคำตอบดีกว่าใคร

“ก็...” อีกฝ่ายพูดตะกุกตะกัก “คงไม่ยากหรอก คุณไปพักเถอะ” แถมยังไม่วายไล่อีกคนอีกต่างหาก มุกตาภาอมยิ้มกับการกระทำนั้น ซึ้งใจก็ซึ้งใจอยู่ที่เขาเป็นห่วงเธอ แต่ถ้าจะให้เธอคอยลุ้นการทำกับข้าวของเขาเธอคงไม่ไหวเหมือนกัน

“งั้นคุณรออยู่ตรงนี้เลยค่ะ เดี๋ยวฉันเอาของไปเก็บแล้วจะเข้าครัวทำเอง”

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่ค่ะ เรือนไทยสวยๆอย่างนี้คุณคงไม่อยากทำให้มันเหลือแต่เสาเรือนเพราะมือคุณเองหรอกนะคะ”

เจอแบบนี้ชิษวัศก็ไม่เห็นลู่ทางจะเถียงต่อ นึกสภาพตัวเองเข้าครัวทำอาหารโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าจะเปิดเตาแก๊สอย่างไรไม่ออก นึกออกอยู่อย่างหนึ่งคือเรือนไทยที่ได้เป็นมรดกมาจากคุณปู่รินคงได้สาบสูญก็ครานี้

หลังจากที่เก็บของเรียบร้อยมุกตาภาจึงออกมาจากห้องแต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าเจ้าของบ้านดักรอเธออยู่พร้อมกับยื่น พลาสเตอร์ยามาให้ เธอยื่นมือไปรับเอื้อนเอ่ยคำว่า ‘ขอบคุณ’ เบาๆ จัดแจงปลดผ้าพันแผลที่ดัดแปลงมาจากผ้าเช็ดหน้าของชิษวัศออกก่อนจะติดพลาสเตอร์ยาแทนที่เป็นการชั่วคราว ไว้หลังชำระร่างกายแล้วค่อยทำแผลอีกที














ห้องครัวหรือจะเรียกว่าเรือนครัวของที่นี่ตั้งอยู่ทางด้านหลังเรือนนอนใหญ่ ฝาเป็นไม้ไผ่ขัดแตะเข้ากรอบไม้จริง มีหน้าจั่วเว้นช่องไว้ระบายควันและอากาศซึ่งคนสมัยก่อนจะใช้เตาถ่านหุงหาอาหารจึงมีควันออกมามากผิดกับสมัยนี้ที่เปลี่ยนมาใช้เตาแก๊สเตาไฟฟ้ากันเสียหมด มุกตาภาสำรวจเครื่องครัวของที่นี่มาเรียบร้อยจึงจัดการทำทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล่วเสียจนเจ้าของบ้านที่แอบมองอยู่ด้านนอกยังแปลกใจ มีคนเคยบอกว่าเด็กที่โตมาในต่างบ้านต่างเมืองจะเข้มแข็งและช่วยเหลือตัวเองได้ดีแต่ชิษวัศยังไม่เคยเห็นกับตาว่าจะ ‘ดี’ ได้ขนาดนี้ มุกตาภาทำให้เขาทึ่งในความสามารถของเธออีกแล้ว ท่าทางการปรุงอาหารของเธอไม่มีติดขัดหรือเคอะเขินราวกับว่าการเข้าครัวทำอาหารเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเธอ

หม้อต้มจืดเต้าหู้หมูสับใส่ผักกาดขาวกับแครอทส่งกลิ่นหอมฉุยเตะจมูกจนคนที่รออยู่ด้านนอกเผลอเข้ามา จังหวะเดียวกับที่แม่ครัวหัวป่าก์หมุนตัวออกจากหน้าเตาพอดิบพอดีร่างทั้งสองร่างจึงเกือบจะชนกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ดีที่มุกตาภาชะงักไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นคงได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นกลางครัวเป็นแน่ ถึงจะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหากการที่เธอและเขาต้องอยู่ใกล้กันจนรับรู้ถึงลมหายใจออกอีกฝ่ายอย่างนี้มันก็ไม่ดีกับหัวใจเธอเท่าไรเหมือนกัน แล้วก็เป็นชิษวัศที่เป็นฝ่ายถอยฉากออกไปก่อน แกล้งทำเป็นไม่รู้สึกกับเหตุการณ์เมื่อครู่โดยใช้เรื่องอาหารเป็นข้ออ้างทั้งที่ความจริงปลายจมูกยังได้กลิ่นน้ำอบหอมอ่อนๆจากตัวมุกตาภาอยู่เลย

“กินได้แน่นะ” มุกตาภาหรี่ตามองคน ‘ปากดี’ ที่ยืนเป็นคุณหนูมองนางแจ๋วอย่างเธอเข้าครัวแล้วยังจะมาพูดดีอย่างนี้มันน่านัก!

“ถ้ากินไม่ได้แล้วใครบางคนแถวนี้เดินตามกลิ่นมาทำไมคะ” แม่ครัวจำเป็นสวนกลับจนคนที่เดินตามกลิ่นมาก็ไม่รู้จะเอาสีข้างเข้าถูต่ออย่างไรจึงเสยื่นหน้าเข้าไปใกล้หมอต้มจืดทำจมูกฟุดฟิดๆ

“แต่ก็หอมดี” เพิ่งจะเหน็บแหนมคนทำไปหยกๆแต่พอโดนจับผิดได้ก็รีบเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็วจนคนทำมองด้วยความหมั่นไส้ขึ้นมา

“จะกินเลยไหมล่ะเจ้าคะ ดิฉันจะได้จัดสำรับไปให้ถึงที่” สาบานได้ว่าที่พูดไปนั้นเธอพูดแกมประชด แต่ไม่รู้ว่าอีกคนกะจะแกล้งเธอหรือหารู้ความจริงๆเพราะชิษวัศพยักหน้ารับแถมยังบอกเธอด้วยรอยยิ้มร่าอีกต่างหากว่า ‘เอาสิ...ผมหิวแล้ว’ อย่างนี้จะให้เธอทำอย่างไรได้นอกจากจัดสำรับไปให้คนที่นั่งรอกินแถมยังยิ้มแต้อยู่ที่หอนั่ง

ต้มจืดเต้าหู้หมูสับคือกับข้าวเพียงอย่างเดียวของวันนี้ที่เกิดจากการเข้าครัวอย่างฉุกละหุกของมุกตาภา ทว่ายามหิวแม้จะมีกับข้าวเพียงอย่างเดียวก็ทำให้รู้สึกอร่อยได้ หญิงสาวมองผู้ร่วมโต๊ะอีกคนหนึ่งที่ตั้งหน้าตั้งตากิน วันนี้ชิษวัศคงจะใช้พลังงานไปมากถึงได้หาอะไรเข้าไปทดแทนโดยไม่สนใจใครอย่างนี้ แต่พอเห็นก็อดปลื้มใจไม่ได้เพราะคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการที่ได้เห็นชิษวัศกำลังมีความสุขอยู่กับอาหารที่เธอเป็นคนทำ

เหมือนจะรู้ว่ากำลังมีคนจ้องมองชิษวัศจึงจงใจเงยหน้าขึ้นมาจนได้เห็นรอยยิ้มกว้างของมุกตาภา ทั้งที่เธอเห็นว่าเขารู้ตัวว่าเธอนั่งมองแต่รอยยิ้มก็ยังไม่จางหายไปจากดวงหน้าหวาน ริมฝีปากบางกำลังแย้มยิ้ม ดวงตาคู่โตสวยตรงหน้าก็กำลังยิ้มเช่นกัน แบบนี้น่ะหรือที่เขาเรียกกันว่ายิ้มทั้งปากยิ้มทั้งตา

“นั่งยิ้มทำไม ไม่หิวหรือ” ถามออกไปเพราะอยากเบี่ยงประเด็นให้เธอเลิกยิ้มเลิกจ้องมองมาทางตนเอง ทำแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่อยากกินข้าวกันแล้วพอดี ช่างไม่รู้อะไรเสียจริงแม่เด็กน้อย

คนถูกทักผงะไปนิดแต่ก็ยังไม่ยอมหยุดยิ้ม มุกตาภาส่ายหน้าปฏิเสธ ความจริงเธอก็หิว อาจจะหิวมากกว่าชิษวัศด้วยซ้ำ หากพอเห็นภาพของเขาที่ง่วนอยู่กับการกินกับข้าวฝีมือเธอกลับทำให้รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างประหลาด

“อร่อยหรือเปล่าคะ”

“ก็ดีกว่าไม่มีอะไรกิน” คนตัวโตพูดปดเพื่อหวังแกล้งอีกฝ่ายแล้วก็ได้ผลดีเสียด้วยเมื่อดวงหน้าหวานงอง้ำแถมยังทำท่าจะเก็บชามต้มจืดกลางโต๊ะไปทิ้งเสียอีกต่างหาก

“งั้นก็ไม่ต้องกิน” ว่าพร้อมกับชกชามต้มจืดขึ้นแต่ชิษวัศไวพอที่จะตะปบมือเธอและชิงกับข้าวเพียงอย่างเดียวไว้ได้ทัน

“ผมล้อเล่นน่า ขี้น้อยใจจริง”

“คนอุตส่าห์ทำให้กินแล้วยังจะมาพูดดี” มุกตาภาสวนกลับเชิดหน้าใส่อีกฝ่าย

“ผมแค่ล้อเล่นหน่อยเดียว อย่าคิดมากเลยนะครับ มา...กินข้าวกันต่อดีกว่า” ไม่พูดเปล่า...ชิษวัศยังประจบแม่ครัวคนเก่งด้วยการตักต้มจืดให้อีกฝ่ายตบท้ายด้วยรอยยิ้มละมุน เจอแบบนี้มุกตาภาก็หูอื้อตาลายไปได้เหมือนกันเมื่อโดนคนที่มักทำตัวนิ่งเงียบติดไปทางเย็นชาเปลี่ยนนิสัยราวกับหน้ามือเป็นหลังมือมาทำดีใส่ แต่ภายในใจกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด ภายใต้เรือนทรงไทยหลังนี้ เธอรู้สึกราวกับว่า...กำลังได้พี่อาร์มคนเดิมกลับคืนมา


--------------------------------------------------------------------
--------------------------------

ตอนหน้า...พี่อาร์มทำหนูมุกเสียใจอีกแล้ว T T




ตอบเมนท์จ้ะ...


violette : ดีใจที่ชอบนะคะ คู่พี่อาร์ทโผล่มาเมื่อไหร่ ปอแก้วว่าน่ารักตลอดเลยค่ะ อิอิ จะพยายามเข็นคู่พี่อาร์มกับหนูมุกให้น่ารักแข่งนะคะ :)

ปรางขวัญ : ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นค่ะ ดีใจที่ชอบนะคะ :)

dino : ดีใจจังค่ะ นึกว่าจะมีคนเบื่อพี่อาร์มซะแล้ว ฮ่าๆ

anOO : แน่นอนเลยค่ะ แต่ไม่รู้ว่าพี่อาร์มจะปฏิวัติตัวเอง (มากินเด็ก) หรือเปล่านะคะ ฮ่าๆ

roseolar : ปอแก้ววางตัวคู่นี้ให้เป็นคู่เสริมแต่แรกแล้วค่ะ อยากเขียนคู่รักแสบๆกัดๆจิกๆ (ฮ่าๆ) ไม่ยอมกันดูสักคู่ดูบ้าง เอาไว้กระชุ่มกระชวยบรรยากาศอึมครึมๆระหว่างพี่อาร์มและหนูมุกจ้ะ ^^"

Amata : ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่วางไว้ให้ค่ะ

tutas : พี่อาร์มเป็นมนุษย์ที่ปากแข็งมากค่ะ แต่บทจะเปลี่ยนพี่ท่านก็เปลี่ยนแบบว่า...ต้องติดตามค่ะ (ฮ่า...โฆษณาชวนเชื่ออีกแล้ววววว) ส่วนคู่พี่อาร์ทกับหมูหวานรับรองว่ามีให้ติตดามแน่ค่ะ แทรกๆระหว่างคู่หลักเขาล่ะค่ะ ตอนนี้ปอแก้วเริ่มชอบพี่อาร์ทมากกว่าพี่อาร์มแล้วล่ะ ฮ่าๆ

WallyValent : พี่อาร์ทเรียกคะแนนได้เยอะเลยล่ะ ฮ่าๆ ส่วนชื่ออภินันทนาการจาก 'หนูมุก' เขาน่ะ ฮ่าๆ




ปอแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ธ.ค. 2554, 10:36:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ธ.ค. 2554, 10:58:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1872





<< เขตพื้นที่ที่ 1 : ผลิดอก...ออกรัก : ตอนที่ 4   เขตพื้นที่ที่ 1 : ผลิดอก...ออกรัก : ตอนที่ 6 >>
anOO 23 ธ.ค. 2554, 10:55:10 น.
พี่อาร์มอย่าไปคิดอะไรมาก ลองมีแฟนเด็กดูสักครั้ง ไม่เสียหาย


Amata 23 ธ.ค. 2554, 11:48:32 น.
เค้าอุตส่าห์จดจำตัวได้ไม่เคยลืม พี่อาร์มหลงรักและจำได้เมื่อไหร่ละก็...ทิ้งเลย หนูมุก ทิ้ง...ซะให้เข็ด เอาให้น้ำตาเช็ดหัวเข่าวันละสามรอบไปเลย


violette 23 ธ.ค. 2554, 17:32:38 น.
งั้นรออ่านคู่พี่อาร์ทด้วยนะคะ คู่พี่อาร์มนี่เข็นไม่ขึ้นเล้ยยย


ปรางขวัญ 23 ธ.ค. 2554, 18:15:11 น.
ไปบ้านสวนคราวนี้จะช่วยให้พี่อาร์มจำหนูมุกได้มั้ยเนี่ย


roseolar 26 ธ.ค. 2554, 12:16:12 น.
แอบเสียใจไม่มีคู่รอง อยากอ่านคู่รองอะ
แต่ไม่เป็นไร..เพราะคู่พี่อาร์มก็น่ารักใช่เล่นนะเนี่ย ^ ^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account