พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว # จุฬามณี (ลิขสิทธิ์ สนพ.มายดรีม)
เรื่องย่อ พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว

เป็นเรื่องราว ของ มาลี สาวน้อยวัย 20 ปี ลูกกำพร้าพ่อซึ่งเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง มาลี กับแม่และน้องชาย มารุต อาศัอยู่กับญาติห่าง ๆ ข้างพ่อ ซึ่งทำรีสอร์ตและการท่องเที่ยงท้องถิ่นอยู่ที่อุ้มผาง..

วันหนึ่ง กลยุทธและคณะไปเที่ยวล่องแก่งน้ำตกทีลอซู แล้ว เขาชอบมาลีจึงสานความสัมพันธ์ ส่วนมาลีนั้น เจอลูกทัวร์จีบจนชาชิน แต่กลยุทธก็ทำให้มาลีหวั่นใจอยู่ไม่น้อย..

หลังจากคณะของกลยุทธกลับไป..ทางป้า ก็บีบบังคับให้มาลีไปเรียนต่อกรุงเทพฯ พักอยู่กับนันทาลูกสาว เพราะว่าต้องการให้อนันต์ลูกชายของตัวเองแต่งงานกับคนที่รวยกว่า..

มาลีมาอยู่กรุงเทพฯ โดยที่ชัชชัย เพื่อนของนันทา ซึ่งเคยไปหาข้อมูลเขียนหนังสือมารับที่แม่สอด(ชัชชัยอ้างว่ามาธุระแถวนั้นพอดี)..มาลีกับชัชชัยนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมา เพราะตอนที่ชัชชัยมาอยู่อุ้มผางเพื่อหาข้อมูลเขียนสารคดี ตามคำแนะนำของ นันทา (ชัชชัยเป็นเพื่อนกับนันทา) มาลีแกล้งชัชชัยเพราะว่าไม่ชอบผู้ชายไว้ผมยาวกับปากไม่ค่อยดี..

ที่บ้านทาวเฮ้าส์ของนันทานั้นอยู่หมู่บ้านเดียวกับกลยุทธที่มีน้องสาวชื่อกุลกัญญา และช่วงที่ยังไม่ได้เข้าเรียน ต่อที่รามคำแหงมาลีก็ได้คำแนะนำจากศรีวรรณเพื่อนข้างบ้านของนันทาให้ให้ไปทำงานฆ่าเวลาเป็นแม่บ้านบนตึกสูงกลางเมือง มาลีที่อยู่กับนันทาแบบคนใช้ (นันทากดไว้เพราะมาลีมาด้วยทุนของแม่) ที่คิดเบื่อบ้านจึงไปทำงานตามคำแนะนำของศรีวรรณ

และบนตึกสูงนั้น มาลีก็ได้รู้ว่าเธอทำงานในตำแหน่งแม่บ้านซึ่งมีกลยุทธทำงานที่นั่นด้วย และมาลีก็ได้รู้จักสังคมรอบ ๆ ตัวของกลยุทธมากขึ้น มาลีรู้ว่ากลยุทธเป็นที่หมายปรองของรมมณีย์ลูกสาวของเจ้าของประธาน
บริษัทฯ

กลยุทธนั้นอึดอัดกับความรักที่รมณีย์มีให้ เพราะเขาทนกับปากของเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เขาสานความสัมพันธ์กับมาลีมากขึ้น จนกระทั่งรมณีย์ที่เป็นเพื่อนกับชัชชัย ต้องดึงชัชชัยมาช่วยทำให้มาลีกับกลยุทธเข้าใจผิดกัน...

ชัชชัยนั้นชอบมาลีเป็นอย่างมาก เขาพยายามเอาอกเอาใจมาลีสารพัด แต่มาลีคิดว่า ชัชชัยนั้นเป็นคู่รักของนันทา ทำให้มาลีไม่เปิดใจให้ชัยชัย..

และมาลีจะเลือกใครระหว่างกลยุทธกับชัชชัย..

Tags: รักสามเส้า เราสามคน

ตอน: 7.กุลกัญญา

7.

เมื่อมาลีวางโทรศัพท์ลงด้วยความคิดที่ค้างอยู่ในใจ หากตัดสินปัญหาอย่างที่วิจักษ์เสนอ ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร ถ้าเธอเข้ากรุงเทพฯ เธอจะไปเรียนอะไร เธออยากเป็นครู จำเป็นด้วยหรือที่ต้องเข้าไป เรียนที่แม่สอดก็ได้ แต่ลุงต้องการให้เธอไปให้พ้นจากพี่อนันต์ หรือจะรับรักของพี่วิจักษ์ ในขณะที่มาลีครุ่นคิด คนต้นเรื่องก็เดินอาดๆ เข้ามาหา “พี่อนันต์กลับมาทำไม”

“มีเรื่องร้อนใจ”

มาลีหันซ้ายหันขวาด้วยเป็นเวลาโพล้เพล้แถมอยู่ตรงนี้กันตามลำพัง ถ้าป้ามาเห็นจะไม่สบายใจได้ ดีไม่ดีคิดว่าเธอมีเยื่อใยจนต้องโทรไปบอกให้ลูกชายเขารู้เสียด้วยซ้ำ

“ไปคุยกันในบ้านดีกว่าที่โรงอาหารก็ได้” มาลีไม่อยากอยู่ตามลำพังกับเขา

“ตรงนี้แหละ”

มาลีทำท่าจะผละออกไป แต่เขาดึงแขนมาลีไว้ มาลีหันมาเผชิญหน้ารู้ว่าอารมณ์เขาในเวลานี้คงกรุ่นได้ที่เหมือนกัน

“พี่กำลังจะแต่งงานกับคุณรุ่งทิพย์นะคะ”

“พี่ไม่ได้รักเขา พี่รักมาลี มาลีก็รู้นี่”

“แต่มาลีไม่ได้รักพี่ พี่ก็รู้” มาลีเถียงเสียงดัง

“พี่ไม่เชื่อ มาลีรักพี่ แต่มาลีกลัวพ่อกับแม่พี่” พูดจบเขาก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดต่อว่า “ถ้ามาลีบอกรักพี่คำเดียว พ่อแม่พี่ก็ขัดขวางพี่ไม่ได้”

“เราพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วพี่อนันต์ มาลีไม่เคยรักพี่ พี่ได้ยินไหม”

ท้ายประโยคนั้นเธอไม่ได้ตั้งใจยั่ว เพียงแต่เธอต้องการให้เขาได้สติ ดูเหมือนเขาจะโกรธจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ อนันต์หันมาเผชิญหน้ากับมาลีแววตาของเขาขมึงทีเดียว มาลีผงะไปสองก้าวแล้วเขาก็ปรี่เข้าหาเธอ พร้อมกับจับที่ต้นแขนทั้งสองข้างไว้

“พี่รักมาลี มาลีได้ยินไหม พี่ไม่ยอมให้มาลีไปอยู่ที่ไหนทั้งนั้น มาลีจะต้องอยู่ที่นี่ อยู่เพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่าพี่รักมาลี”

เขาพูดพลางเขย่าตัวเธอ

“ปล่อย” มาลีลดน้ำเสียงเพื่อไม่ปลุกอารมณ์โกรธของเขา เขาปล่อยตัวเธอด้วยกิริยาฮึดฮัด

“โธ่เว้ย ทำไมมันเป็นอย่างนี้นะ” ว่าแล้วเขาก็สะบัดมือทั้งสองข้างแล้วก็เกาหัวอย่างคิดไม่ตก

“มาลีขอตัวก่อนแล้วกัน” พูดจบมาลีก็เดินออกมาจากบริเวณริมลำธาร เมื่อเดินขึ้นมาได้สักสิบเมตร มาลีก็มองเห็นว่าบนชานเรือนหลังใหญ่นั้นมีสายตาของป้ายืนมองเธออยู่ มาลีรีบหลบสายตาก่อนจะเลี่ยงสู่เรือนหลังเล็กที่เธอและคนงานพักอาศัย


“ผมไม่แต่งกับคุณรุ่งทิพย์อะไรนั่นเด็ดขาด”

“เพราะอะไร เค้าไม่ดีตรงไหน”

“ไม่ดีตรงไหน เพื่อนผมที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ บอกว่า เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีนัก อย่างงี้แล้วแม่ยังอยากได้เธอมาเป็นสะใภ้อีกเหรอ”

“แม่อยากให้ทองกับทองมาร่วมกัน แกเข้าใจไหม”

“ที่เรามี ถ้าทำดีๆ มันก็ถือว่ามีมากกว่าคนที่นี่อยู่แล้วนะแม่” อนันต์ยังเถียงอย่างใส่อารมณ์

“ไม่รู้ล่ะ แม่พูดได้คำเดียวว่า ถ้าไม่ใช่รุ่งทิพย์ ก็ต้องหาฐานะให้เทียบเท่า”

“แม่พูดอย่างนี้มาลีก็หมดสิทธิ์นะซิ”

“คิดเองได้นี่”

“ผมไม่แต่ง”

“มาลีมันก็ไม่เอาแกหรอก มันก็บอกแกแล้วนี่ว่าไม่ได้รักแก”

“ถ้าแม่ส่งมาลีไปที่โน่นผมก็จะตามไป แม่อยากเสียเงินเสียทองหรืออย่างไร”

“ถ้าแกตามมาลีมันไปแกกับฉันก็ขาดกัน”

คนเป็นแม่ยื่นคำขาด ลูกชายถอนหายใจดังเฮือกก่อนจะลุกขึ้น

“แกจะไปไหน”

“ไปหาเพื่อน”

“เจริญล่ะแก ทำไมดื้อด้านนัก”

“ก็ยังใช้เงินน้อยกว่านันทาแล้วกัน” ลูกชายพาดพิงถึงน้องสาวคนไกล


เมื่อทะเลาะกับลูกชายจนรู้สึกเครียดแล้ว นางจำปีก็กดโทรศัพท์หาลูกสาวคนเล็ก

“มีอะไรหรือแม่”

“พี่แกนะซิ มันรวนแม่ยกใหญ่เลย” แล้วนางก็เล่ารายละเอียดทั้งหมดให้คนปลายสายฟัง

“เอามาลีมันไปอยู่กับแกสักพัก”

“แม่จะทุ่มเงินให้มันเรียนเลยเหรอ มันหลายตังค์นะแม่ ค่าครองชีพที่นี่มันไม่ได้เหมือนบ้านเรานะ”

“รู้ สมัยเธอเรียนก็ใช้เงินน้อยเสียเมื่อไหร่”

“ให้เรียนรามแล้วกันนะแม่ ค่าเรียนถูก แถมทำงานด้วยเรียนไปด้วยได้ เผื่อมันเรียนไม่จบมีผัวไปก่อนเราก็ไม่ต้องส่งเสียมันไงดีไหม”

“ก็คิดอย่างนั้นแหละ ตกลงจะให้มาลีมันไปเลยใช่ไหม หากอนันต์มันบ้าตามไปจริงๆ ล่ะ”

“เขาเจอกับยายรุ่งทิพย์นั่นหรือยัง”

“บอกว่าเคยเห็นแล้วในตลาด”

“ผู้หญิงไม่สวยหรือแม่”

“ก็พอดูได้ แต่มันสวยน้อยกว่ามาลีจริงๆ ตัวเตี้ยๆ ล่ำๆ แต่แต่งตัวเก่งแบบคนในเมือง”

“แล้วเขาไม่มีคนอื่นมาแล้วหรือแม่ แม่อยากได้ลูกสะใภ้ที่มันประวัติไม่สวยเหรอ”

“ลูกสาวคนเดียวนะแก พ่อแม่เขามาลงทุนทำรีสอร์ตที่นี่ แถมยังสวนส้มอีกหลายสิบไร่นี่ก็จะชวนกันหุ้นทำน้ำดื่มอีก กิจการทางนั้นก็มีหุ้นส่วนอีกมากมาย”

“แล้วทำไมลูกสาวเขายอมย้ายไปอยู่ที่นั่นละแม่”

“ก็เขามีกันแค่นั้นไง พ่อแม่เขาชอบที่นี่ก็คงไม่อยากขัดใจกัน เอานะ แม่จะส่งมาลีไปให้เร็วที่สุดแล้วกัน ดูแลมันด้วยนะ อย่างไรมันก็ทำประโยชน์ให้เราไว้ไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกัน”

“รู้ว่าแม่รักมัน แต่ไม่ต้องไปยกอะไรให้มันล่ะแค่ให้เรียนก็พอแล้วนะแม่”
วางโทรศัพท์ลง นางจำปีถอนหายใจออกมา นันทาคงไม่ได้กลับมาอยู่ที่บ้านอีกแล้ว ไปเรียนอยู่ที่นั่น คงได้สามีที่มีคุณวุฒิใกล้เคียงกัน

นางคิดผิดหรือเปล่านะ ถ้าได้รุ่งทิพย์มาเป็นสะใภ้แก่เฒ่าไป หากแม่สะใภ้มันไม่ดูแล แต่ถ้าเป็นมาลีนางมั่นใจว่ามาลีจะไม่ทอดทิ้งนางอย่างเด็ดขาด เด็กคนนี้มีความกตัญญูกตเวที แต่อีกนั่นแหละ เรื่องที่กังวลมันยังมาไม่ถึง อีกตั้งกี่สิบปีก็ไม่รู้ ตอนนั้นอาจจะได้พึ่งพาหลานหญิงหรือชายที่จะเกิดขึ้นมา

เมื่อนึกถึงแต่ประโยชน์ด้านเงินๆ ทองๆ แล้ว นางก็ให้สาวใช้ชาวพม่าไปร้องเรียกมาลีและแม่ของหล่อนให้มาหา มาลีพยายามปั้นหน้าให้ปกติที่ทั้งในใจนั้นร้อนรุ่มเต็มกำลัง

“มะลิเธอรู้แล้วใช่ไหมเรื่องที่ฉันจะส่งมาลีให้ไปอยู่กับนันทา แล้วเรียนต่อปริญญาตรีที่นั่น”

“รู้แล้วพี่”

นางมะลิตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่สุด แม้จะดีใจกับลูกสาวแต่ก็อดใจหายไม่ได้ เคยอยู่ด้วยกันมา มาลีถือว่าเป็นลูกคู่ทุกข์คู่ยากทีเดียว แต่นางจะรั้งลูกสาวไว้อย่างไร ถ้ามาลีไปแล้วได้ดีกว่าอยู่ที่นี่ก็น่าส่งเสริม

“คงให้ไปในวันสองวันนี้แหละ จะให้นั่งรถไปลงที่แม่สอดต่อรถเข้ากรุงเทพฯ แล้วให้นันทาไปรับที่หมอชิต”

“ให้ไปคนเดียวหรือพี่”

ผู้เป็นแม่เริ่มกังวล ก็มาลีนั้นไปไกลสุดอย่างมากก็แค่ในตัวจังหวัดเท่านั้นเอง แล้วนี่ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ตามลำพัง

“ขอให้ฉันไปส่งได้ไหม”

“ไม่ต้องหรอกแม่ หนูไปได้” มาลีรีบตัดบท

“มาลีเธอเข้าใจป้านะ มะลิเธอเข้าใจฉันนะ” นางจำปีพูดตามตรงสองแม่ลูกพยักหน้า

“ไหนๆ ก็พูดแล้ว ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่อยู่ที่นู่น ในเบื้องต้นฉันจะให้มาลีใช้เดือนละ 4,000 บาท เพราะว่าอาศัยอยู่กับนันทา น้ำ-ไฟไม่ต้องเสีย แล้วนันทาเองก็พักอยู่ไม่ไกลจากรามคำแหงมากนัก ค่ารถคงไม่เท่าไหร่ ตั้งใจเรียนให้จบโดยเร็ว อยากเป็นครูไม่ใช่รึ ถ้าอยากเป็นครูก็เรียนทางด้านศึกษาศาสตร์ มีโอกาสจะได้ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเรา”

เมื่อได้ฝังแผนชีวิตของเธอผ่านปากผู้เป็นป้าสะใภ้ มาลีรู้สึกว่าชีวิตนี้มีความหวังขึ้น เมื่อหมดเรื่อง มาลีกับแม่ยกมือขอบคุณแล้วเลี่ยงออกไป


เมื่ออยู่กันตามลำพังแม่ลูก นางมะลิก็หันมาหาลูกสาว

“แม่ขอโทษนะมาลี”

“เรื่องอะไรแม่” มาลีทำหน้าแปลกใจ

“แม่ไม่สามารถปกป้องลูกของแม่ได้นะซิ”

“แม่อยู่ที่นี่ได้นะ ถ้าไม่ไหวแม่ก็กลับไปอยู่ที่บ้านของเรานะแม่”

นางมะลินั้นมีบ้านไม้หลังใหญ่อยู่ที่หมู่บ้านแม่กลองเก่า เมื่อสามีตายจึงได้มาทำงานที่นี่ บ้านหลังนั้นจึงปิดไว้ นานๆ จึงจะกลับไปเก็บกวาด หากกลับไปอยู่ที่นั่น ไม่ทำงานที่นี่ก็คงรับจ้างทำไร่เล็กๆ น้อยๆ ไปวันๆ งานตากแดดอย่างนั้น อยู่ที่นี่มีกินครบสามมื้อจะหนักหน่อยก็ช่วงเสาร์อาทิตย์ เมื่อนึกถึงข้อดีแล้ว ความอดทนจึงแล่นเข้ามา

“ไม่เป็นไรหรอกมาลีอยู่ที่นี่ก็ดีกว่าอยู่บ้านเรา หนูเถอะไปอยู่ที่นู่นแม่เป็นห่วงนะ”

“ในป่ายังอยู่ได้ แล้วป่าคอนกรีตมาลีจะอยู่ไม่ได้หรือแม่”

“มันไม่เหมือนกัน คนที่โน่นเขาร้อยเล่ห์เขาไม่ได้พูดกันตรงๆ อย่างบ้านเรานะมาลี”

“หนูจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดแล้วกันแม่ ถ้ามีทางขยับขยายหนูก็จะพาน้องกับแม่ไปอยู่ด้วยกันนะ อยู่กันลำพังแม่ลูก ไม่ต้องไปอาศัยใครให้เจ็บช้ำน้ำใจ”

พูดยังไม่ทันจบ ความน้อยเนื้อต่ำใจก็แล่นจากทรวงอกตีขึ้นที่ลูกนัยน์ตาจนน้ำตาไหลพรากออกมา

เมื่อลูกสาวร้องไห้ คนเป็นแม่ก็ร้องไห้เช่นกัน

“หนูเป็นผู้หญิงแม่จึงเป็นห่วง ดูแลตัวเองให้ดีนะ อย่าไปหลงคารมใครเขา คุณค่าของเราต้องรักษาไว้ให้ดี ผู้ชายหน้าตาดีๆ ใช่ว่านิสัยจะดีนะลูก ระวังใจไว้ เผื่อใจไว้ นึกถึงแม่ให้มากๆ”

เมื่อได้ยินมาลีกอดแม่ร้องไห้จนแน่น เธอรู้ว่าแม่อยากเตือนเธอให้มาก แต่แม่ก็เกรงใจและให้เกียรติเธอ


“เฮ้ยไอ้จักษ์ จักษ์”

เสียงตะโกนเรียกทำให้วิจักษ์ต้องหยุดรถมอเตอร์ไซค์ที่กำลังวิ่งผ่านร้านค้าเพื่อที่จะไปหามาลี

“นัน มึงมีอะไร”

วิจักษ์ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปหาเพื่อนที่นั่งดื่มเบียร์ด้วยมาดอาเสี่ย

“มากินเป็นเพื่อนกูหน่อย”

เจ้าของร้านที่คุ้นเคยกันส่งแก้วมาให้ อนันต์รินเบียร์ให้จนฟองเกือบจะล้นจากแก้ว วิจักษ์ยกขึ้นจิบพอประมาณ เพราะรู้กำลังตัวเองว่ากินเบียร์ได้มากน้อยแค่ไหน

“จะไปไหน” อนันต์เริ่มชวนคุย วิจักษ์อึ้งไปครู่ด้วยรู้ว่าถ้าตอบไป คู่สนทนาจะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน

“ไปหามาลีใช่ไหม” อนันต์เดาคำตอบ วิจักษ์พยักหน้า

“รู้หรือยังว่ามาลีจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ” อนันต์ถามซ้ำ

“รู้แล้ว คุยกันทางโทรศัพท์”

อนันต์พูดเพื่อให้อีกฝ่ายได้คิดเองว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับมาลีนั้นไปไกลถึงเพียงไหน อนันต์ชักสีหน้านิดหนึ่งเมื่อได้ยิน

“กูรักของกูมึงก็รู้” อนันต์พูดตามตรง

“กูก็รู้ว่ามาลีไม่ได้รักมึง” วิจักษ์พูดตามตรงบ้าง แต่อนันต์ถอนหายใจออกมาแล้วก็ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มอีก

“แห้วทั้งคู่” อนันต์พูดแล้วก็หัวเราะแบบปลงตก

“มึงไม่ไปสอบปลัดอย่างที่ตั้งใจหรือ” วิจักษ์เปลี่ยนเรื่องคุย

“พ่อแม่อยากให้ดูแลกิจการที่บ้าน เพราะนันทาก็คงไม่กลับมาอยู่ที่นี่อีกแล้ว ซวยเลยกู”

“อยู่แล้วมีทุกอย่างพร้อมก็น่าอยู่นะ แต่กูอยู่แล้วไม่มีอะไร”

“มึงก็มีที่ดินตั้งหลายไร่นี่”

“มีแต่ที่ดินไม่มีทุนก็ทำอะไรไม่ได้ ทำไร่ฝนดีก็ได้ ฝนแล้งก็ตายห่าหมด”

“ไม่ไปหาเรียนต่อหรือทำงานในเมือง”

เมื่อได้ยินคำถามตาของวิจักษ์เริ่มเป็นประกายขึ้นมา

“มันหลายปีแล้วนะที่หยุดไป”

“ความรู้มันไม่จบไม่สิ้นหรอกวิจักษ์ หาโอกาสให้ตัวเองซิ แต่ก็อะนะ กูไง อุตส่าห์ไปเล่าเรียนจนจบตรี เพื่อนๆ กูเข้ากรุงเทพฯ กันไปแล้ว แต่กูต้องกลับมาอยู่บ้านป่า แล้วก็ต้องรับผิดชอบกิจการ แถมต้องแต่งงานกับคนที่กูไม่ได้รักอีก คิดแล้วเครียดว่ะ”

“ผู้หญิงเขาก็รวยนะมึง”

“เงินมันทำให้คนเป็นสุขกูเข้าใจ แต่ผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างมาลีนะมึง”

วิจักษ์หันซ้ายหันขวากลัวใครมาได้ยินแล้วจะมีปัญหากันในภายหลัง

“มึงจะพูดทำไม ต่อไปเขาจะมาเป็นเมียมึงนะ สมัยนี้เขาไม่ถือสากันแล้ว แล้วมึงแน่ใจได้ไงว่าเขาไม่ดี”

“คนในเมืองใจง่ายกันจะตาย แค่แม่สอดที่กูเรียนก็ไม่รู้กี่คู่ต่อกี่คู่แล้ว กูหรอกที่รักมาลีก็เลยไม่อยากมีใครติดตัว”

“มึงก็ไม่บริสุทธิ์แล้วมึงจะไปเกณฑ์ให้ใครเขาบริสุทธิ์ได้ไงวะ ทางที่ดีมึงเงียบเถอะ เรื่องนี้พูดไปก็เปล่าประโยชน์” พูดจบวิจักษ์ก็ตัดสินใจยกแก้วเบียร์ดื่มจนหมดแก้วแล้วก็ลุกขึ้นอย่างไม่เกรงใจอนันต์

“มึงจะไปไหน”

“ขอตัวไปหามาลีก่อนว่ะ”

วิจักษ์เดินออกจากโต๊ะไปที่มอเตอร์ไซค์ของตน โดยไม่ได้สนใจคำสบถที่อนันต์ตะโกนตามหลัง


เสียงรถมอเตอร์ไซค์มาหยุดแล้วดับเครื่องที่หน้าบ้าน ทำให้มารุตต้องเปิดหน้าต่างออกมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นใครเด็กชายจึงตะโกนบอกพี่สาวของตน มาลีซึ่งกำลังเก็บผ้าลงกระเป๋าจึงต้องลุกขึ้นแล้วเดินลงบันไดมาหา “มาทำไมมืดค่ำอันตราย”

วิจักษ์ที่อยู่ในชุดกางเกงลายพรางของกรมป่าไม้ สวมเสื้อกันหนาวสีดำทับเสื้อยืดคอกลมถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูก แต่เมื่อเขาตั้งใจมาแล้ว เขาก็ต้องพูด “คิดถึงมาลีนะซิ”

“บ้าแล้ว”

พูดแล้วมาลีก็เดินเลี่ยงนำวิจักษ์ไปยังขอนไม้ที่วางไว้กลางสนาม วิจักษ์ตามไปนั่งบนขอนตรงกันข้าม มาลีถอนหายใจออกมา “มีไรอีก”

“จะเข้ากรุงเทพฯ เมื่อไหร่”

“ทำไม” มาลีถามเสียงห้วน

“มาลีจะไปทำอะไร”

“ไปเรียนหนังสือ ป้าอยากให้มีความรู้มากกว่ามอหก”

หญิงสาวเลี่ยงที่จะเล่าเรื่องฐานะและความเหมาะสมคู่ควรกับลูกชายเจ้าของบ้าน เพราะถ้าเป็นประเด็นนั้น วิจักษ์ก็จะต้องพูดเรื่องขอเธอแต่งงานแน่นอน เมื่อมาลีพูดแบบนั้น วิจักษ์ที่ตั้งใจมาพูดเรื่องนั้นจึงหมดคำพูดต่อ เขาถอนหายใจออกมา

“พี่คงคิดถึงมาลี”

มาลีมองใบหน้าได้รูปจมูกที่โด่งเป็นสันระหว่างดวงตายาวรีใต้คิ้วที่คมเข้มของเขา วิจักษ์จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีทีเดียว แต่ทำไมเธอจึงไม่ได้คิดเป็นอื่นกับเขาเลย ความรู้สึกกับพี่อนันต์เป็นอย่างไรกับวิจักษ์ก็เป็นอย่างนั้น

“มาลีก็คงคิดถึงที่นี่” มาลีเลี่ยงคำว่าเป็นแค่เฉพาะตัวเขา

“มาลีเรื่องที่พี่ได้พูดไว้ก่อนที่จะมาหานี่ล่ะ”

มาลีเมินหน้าไปอีกทางทันที

“พี่วิจักษ์มาลีเองก็แค่สิบเก้าย่างยี่สิบ ภาระทางแม่ทางน้องก็ต้องอีกนาน ถ้ามาลีมีลูกมีผัวตอนนี้มันก็เหมือนเตี้ยอุ้มค่อม”


“เพราะพี่มันจนใช่ไหม”

วิจักษ์ย้ำความคิดเดิม มาลีถอนหายใจออกมาหรือว่าเป็นด้วยเหตุผลนั้น แต่มันก็ไม่ใช่ ไม่รักก็คือไม่ได้รัก ไม่มีอะไรเลย

“เราพูดกันเรื่องนี้กี่ครั้งแล้วพี่ ถ้าไม่มีอะไรนอกจากจะคุยเรื่องนี้แล้วมาลีจะได้ขอตัว”

“อย่าเพิ่งไป” เขาลุกขึ้นมาดึงแขนมาลีไว้ มาลีหันมามองหน้าเห็นแววตาของเขาแล้วหล่อนก็รู้สึกสงสารขึ้นมาเหมือนกัน

“พี่จะรอมาลีอยู่ที่นี่นะ ถ้ามีปัญหาอะไรที่โน่น พี่อยากให้มาลีรู้ว่า ยังมีคนอุ้มผางรอมาลีกลับมา”

“พี่วิจักษ์” มาลีอุทานชื่อเขาแผ่วเบา

“พี่รักมาลีมากนะ รักมาตั้งแต่เรียนหนังสือ”

วิจักษ์ถือโอกาสสารภาพความในใจ มาลีก้มหน้า แล้วเดินเลี่ยงไปยังบ้านพักของตน


คืนนั้นมาลีนอนไม่หลับ เมื่อปัญหามันรุมเร้า มาลีจึงตัดสินใจให้ป้าจำปีโทรไปหาพี่นันทาว่าตนจะเดินทางในวันมะรืน โดยในตอนเย็นพรุ่งนี้เธอจะเดินทางไปยังแม่สอด นอนพักที่บ้านญาติหนึ่งคืน แล้วรุ่งขึ้นก็จะต่อรถเข้ากรุงเทพฯ ให้นันทาไปรับเธอที่หมอชิตในเวลาบ่าย

เมื่อนันทารู้แผนการนั้นแล้วตอบตกลงกลับมา มาลีจึงเร่งมือเก็บข้าวของ แต่ระหว่างนั้นเธอก็มองโทรศัพท์อยู่เรื่อยๆ ป่านนี้คณะของวรรณาคงถึงกรุงเทพฯ กันแล้ว

มาลีอยากกดโทรศัพท์ไปหาปลายสายที่ได้ใช้โทรศัพท์ตัวเองโทรเข้ามาหาเธอเมื่อตอนเย็น แต่ก็จำต้องระงับความรู้สึกถวิลหาเขาไว้ เธอเป็นผู้หญิงบ้านป่า เขาเองก็เป็นคนเมืองที่แม่บอกว่าร้อยเล่ห์ แม่เป็นห่วงเธอ เธอจะไม่ทำให้แม่เป็นห่วงเด็ดขาด ถ้าเขาสนใจเธอ หรือมีอยากสานต่อเยื่อใยกับเธอจริงๆ เขาต้องเป็นฝ่ายติดต่อมาหาเธอเอง

มาลีพลิกตัวไปมา ชีวิตของเธอในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร หญิงสาวเริ่มตื่นเต้น แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าควรไปลาญาติข้างพ่อแล้วก็ไปไหว้สาลากระดูกของพ่อที่บ้านเก่า ขอให้วิญญาณของพ่อคุ้มครองลูกสาวคนนี้ ขอให้เธอเจอโอกาสดีๆ พบคนดีๆ ที่จะนำพาชีวิตของเธอให้มีความปกติสุข

มาลีพลิกตัวอีกรอบ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอนั้นบอกให้รู้ว่าเป็นของพี่อนันต์ มาลีรู้ว่าเขาคงจะพร่ำรำพันเรื่องราวในหัวใจ หญิงสาวจึงตัดสินใจปิดโทรศัพท์เสีย เมื่อกดปิดแล้วมาลีก็หลับตาลง ภาพของคุณกลยุทธแล่นฉิวเข้ามาหา


แล้วคนที่มาลีนึกถึงอยู่กรุงเทพฯ ก็ต้องโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงนอนด้วยปลายสายมีเสียงแจ้งกลับมาว่า ‘ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’ ความคิดถึงทำให้เขาอดรนทนต่ออำนาจหัวใจไม่ได้เลย หรือเป็นอย่างที่มาลีว่าไว้ ระยะทางตั้งห้าร้อยกว่ากิโลเมตร ภูเขานับร้อยนับพันลูกมันจะกั้นเขากับเธอไว้จนห่างหายกันไปในที่สุด

กลยุทธคิดว่าเขาคงต้องพยายามทำใจ ทำตัวให้เหมือนเดิมไม่ให้เพื่อนๆ รู้ว่าเขา ‘คลั่ง’ มาลีเด็กบ้านป่าแค่ไหน แล้วทำไมเขาจะต้องไปติดบ่วงเสน่ห์เด็กคนนั้น ทั้งที่ในเมืองเขาได้พบเจอผู้หญิงที่สวยกว่ามาลีตั้งมากมาย

กลยุทธสลัดศีรษะของตน พอดีกับที่น้องสาวเคาะประตูร้องเรียก เขารีบไปเปิดประตูทันที

“มีอะไรหรือกุล” น้องสาวหอบผ้าห่มหอบหมอนมาด้วย

“กุลนอนกับพี่นะ”

“เราโตแล้วนะ”

“แต่กุลรู้สึก”

ความรู้สึกนั้นเขาเข้าใจ ทั้งก่อนและหลังเปลี่ยนไต น้องสาวเขากลัวความตายมาพรากจากกัน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เตรียมใจไว้สำหรับเรื่องนี้แล้ว แต่ถึงกระนั้น ทางใดที่จะทำให้กุลกัญญาอยู่รอดไปด้วยกันนานๆ ทางนั้นเขาจะต้องทำ ค่าใช้จ่ายรายเดือนละเกือบสองหมื่นบาท กับยากดภูมิที่ต้องใช้ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่

ภาระที่หนักอยู่บนบ่าของเขานั้นเองที่ทำให้เขาไม่มีสายตามองใครได้เลย ใครก็ตามที่คิดจะรักและร่วมทางเดินชีวิตกับเขา จะต้องรักและยอมรับภาระที่เขามีต่อน้องสาวได้ด้วย

“สนุกไหมพี่ยุทธ”

“สนุก อยากให้กุลไปด้วย แต่เอาไว้วันหลังเราไปเที่ยวใกล้ๆ กรุงเทพฯ กันนะ”

“ค่ะ” กุลกัญญาล้มตัวลงนอนที่หมอน หญิงสาวนอนมองพี่ชายของตัวเอง

“พี่ยุทธไม่แต่งงานเสียทีละคะ…กุลเป็นภาระให้กับพี่ใช่ไหม”

“เรามีกันแค่สองคนนะกุล ถ้าไม่มีกุลพี่ก็ไม่เหลือใครนะ เพราะฉะนั้นกุลต้องรักษาตัวตามที่หมอบอก ความสุขของพี่คือได้เห็นกุลอยู่กับพี่ทุกๆ วันนะ”

“พี่ยุทธ กุลกลัวตาย” พูดแล้วกุลกัญญาก็ร้องไห้ออกมาอีก กลยุทธจำต้องนั่งลงข้างๆ น้องสาวแล้วลูบที่ศีรษะพลางใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาให้

“ร้องทำไม วันนี้กุลยังอยู่กับพี่ พี่ก็ยังอยู่ตรงนี้”

“กุลกลัวว่าจะมีใครมาพรากพี่ไปจากกุลด้วย”

“ไม่มีหรอก พี่ยังไม่มีใครหรอก พี่รักกุลนะ นอนเถอะนะ นอนดึกไม่ดี กุลก็รู้ เอ้านอนเดี๋ยวพี่จะเล่านิทานให้ฟัง”

แม้จะอายุสิบเก้าปีแล้วแต่กุลกัญญาก็ยังอยากฟังนิทานที่ชายของตัวเองเล่าเหมือนเมื่อครั้งที่พ่อกับแม่ตายใหม่ๆ ตอนนั้นกุลกัญญาอายุเพียงแค่สิบสองปี เธอเรียนอยู่มัธยมปีที่ 1 แม่มาตายจาก พออีกปี พ่อก็จากไป นิทานที่พ่อกับแม่เคยเล่าให้เธอฟังตั้งแต่เด็กนั้น มันหายไป มีเพียงความเศร้าสร้อยมาเยือนสาวน้อย

กลยุทธที่ตั้งใจเรียนให้จบปริญญาโทต้องชะงักโครงการ แล้วทำงานเพื่อเป็นเสาหลักให้กับน้องสาว ซึ่งต่อมาไม่นานข่าวร้ายระลอกที่สามก็พัดมาทำให้เขาแทบกระอัก

กุลกัญญาเป็นไตวาย โชคดีที่เงินก้อนสุดท้ายจากเงินเก็บและเงินประกันชีวิตของพ่อแม่ มีมากพอทำให้อีกสองปีถัดมากุลกัญญาสามารถเปลี่ยนไตได้ ได้แค่เปลี่ยนไม่ต้องไปล้างไตสัปดาห์ละสองครั้ง แต่ใช่ว่าค่าใช้จ่ายตรงนั้นกับการเฝ้าระวังนาทีแห่งชีวิตจะลดลง

“ไม่เอาเรื่องกระต่ายกับเต่าแล้วฟังมาหลายรอบแล้วนะ” น้องสาวร้องบอกพี่ชาย กลยุทธมองผิวที่เคยขาวกระจ่างใสแล้วหมองคล้ำเพราะฤทธิ์จากโรคร้าย

“พี่ว่าพี่ฟังพล็อตนิยายของกุลดีกว่านะ”

“เรื่องเก่าที่ส่งไปยังไม่รู้ผลเลยพี่” ว่าแล้วกุลกัญญาก็ถอนหายใจออกมา..ทำไมสวรรค์ไม่เข้าข้างเธอบ้างนะ เมื่อตัดอนาคตเธอกับการศึกษาในมหาวิทยาลัย ทำไมเพียงแค่เธออยากแบ่งเบาภาระพี่ชายโดยแค่พัฒนาการจากคนอ่านมาเป็นคนเขียนหนังสือ ทำไม หัวสมองปัญญาของเธอไม่สามารถพาตัวละครให้โลดแล่นถูกใจกองบรรณาธิการนะ หรือเป็นเพราะว่า นิยายรักของเธอแต่งขึ้นจากคนที่ไม่เคยมีความรัก

“กุลต้องไม่ท้อนะ มันยังไม่รู้ผล ใช่ว่ายังไม่เอา แล้วใช่ว่าเรื่องเดียวแล้วจะมาตัดสินชีวิตของกุล กุลต้องสู้”

“กุลจะสู้ กุลสงสารพี่ยุทธ”

“พี่รักกุลนะ มาๆ เล่าให้พี่ฟังดีกว่าว่าต่อไปกุลจะเขียนเรื่องอะไร”

กุลกัญญามองหน้าพี่ชาย แต่ความรู้สึกนั้นวิ่งไปไกลแสนไกล มีไหมใครสักคนที่สามารถรักและอยากให้เธออยู่ในอ้อมแขนก่อนจะลาลับโลกใบนี้ไป ถ้ามี แค่คิดกุลกัญญาก็รู้แล้วว่าผู้อ่านจะต้องเศร้าโศกเสียใจกับโศกนาฏกรรมรักในครั้งนี้แน่นอน



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ย. 2554, 08:17:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ย. 2554, 08:17:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1933





<< 6.“ผู้หญิงเราสำคัญที่สุดก็ตอนนี้แหละลูก"   8.“ยังอารมณ์ร้อนเหมือนเดิม” >>
ป้าพร 24 พ.ย. 2554, 10:21:44 น.
เศร้า...แล้วก็ซึมตามกุลกัญญา


แว่นใส 24 พ.ย. 2554, 11:00:31 น.
เศร้าจริง ๆ ด้วย


เดิมเดิม 24 พ.ย. 2554, 12:26:09 น.
ส่งมาลีมาเป็นเพื่อนน้องกุลหน่อยเถอะ น่าสงสาร


minafiba 24 พ.ย. 2554, 20:30:55 น.
^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account