กลรัก สลับหัวใจ
เมื่อเพื่อนสาวจอมยุ่ง จับผลัดจับพลูให้เธอนัดไปดูตัวกับคาสโนว่าหนุ่มแลกกับค่าจ้างหนึ่งหมื่น ม่านนทีจึงยอมเซย์เยส แปลงร่างเป็นนางซินวางแผนตัดสัมพันธ์แทนเพื่อนสาวเสียดิบดี แต่ที่ไหนได้เขาทั้งหล่อ เท่ แถมยังมีรอยยิ้มบาดใจ ทำเอาเธอชักหวั่นไหวซะแล้วสิ
Tags: รักโรแมนติก,รักหวานๆ,รักใส ๆ

ตอน: ตอนที่ 25 ร่วมแรงร่วมใจ

บทที่ 25
ร่วมแรงร่วมใจ

“พวกเรา จัดการรื้อถอนให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่เศษไม้ชิ้นเดียว”

ภายในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ้านร่มเกล้า จู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ได้รับคำสั่งจากตัวแทนบริษัทเงินกู้รายใหญ่ ให้พาคนงานจำนวนหนึ่งพร้อมด้วยเครื่องมือรื้อถอน เข้ามาทำการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างออกไปจากที่ดินแถวนั้น เพื่อเตรียมการก่อสร้างอาคารสามชั้นขึ้นมาแทนที่

“เดี๋ยวก่อน นั่นพวกคุณคิดจะทำอะไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ครูวิภาวิ่งหน้าตาตื่นออกมาห้ามปราม ขณะที่พวกเด็ก ๆ ได้แต่แอบดูอยู่ข้างในด้วยความหวาดกลัว

“หลีกไป อย่ามาเกะกะขวางทาง วันนี้พวกเราจะมารื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินตรงนี้ให้หมด จะได้เริ่มลงมือก่อสร้างอาคารหลังใหม่เสียที”

อีกฝ่ายขู่ตะคอกเสียงดัง ทำท่าจะเดินเลี่ยงเข้าไปข้างในแต่ถูกพี่เลี้ยงเด็กวัยกลางคนวิ่งเข้าไปขวาง

“อย่านะ เห็นแก่พวกเด็ก ๆ เถอะ อย่ารื้อสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นี่เลยพ่อคุณ ขอเวลาพวกเรารวบรวมเงินอีกหน่อยไม่ได้หรือ” ครูวิภาร้องขอ

“เอ๊ะ ยายแก่นี่พูดไม่รู้เรื่อง บอกแล้วไงว่าให้รีบเก็บข้าวของออกไปยังจะมาขวางทางอยู่ได้ อยากเจ็บตัวหรือยังไง”

ไม่พูดเปล่าแต่ชายผิวคล้ำยังออกแรงผลักครูวิภาจนล้มลงไปกับพื้นอีกด้วย ยังผลให้พวกเด็ก ๆ ที่เห็นเหตุการณ์ส่งเสียงร้องไห้ดังระงม ก่อนพากันวิ่งกรูออกมากอดครูพี่เลี้ยงด้วยความโกลาหล

“ถอยไป ไอ้พวกเด็กเหลือขอ”

พลันรถยนต์สีดำ ก็แล่นเข้ามาจอดเทียบข้างประตูรั้วอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เตชิตจะเปิดประตูเดินตรงดิ่งเข้าไปหาพวกมันโดยมีม่านนทีลงจากรถและวิ่งตามเข้าไปติด ๆ ใบหน้าคมคายฉายแววกรุ่นโกรธ ขณะเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อชายร่างใหญ่ให้หันกลับมา

“พวกแกนั่นแหละที่ต้องหลีกไป”

ผัวะ

ขาดคำร่างสูงก็เหวี่ยงหมัดเข้าใส่ใบหน้าของมันเต็มแรง จนอีกฝ่ายกระเด็นล้มลงไปกองอยู่บนพื้นดิน เตชิตสูดลมหายใจลึกพลางระงับความโกรธเอาไว้เต็มที่ เหตุผลที่เขามาวันนี้ก็เพื่อนำเช็คมาส่งคืนให้แก่ครูวิภา หาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกนายทุนหน้าเลือดจะกล้าส่งคนเข้ามาชิงรื้อถอนอาคารเสียก่อน

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะครูวิภา” ม่านนทีรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างครูพี้เลี้ยงเด็กร่างท้วมด้วยความเป็นห่วง

“หนูน้ำ”

“พี่น้ำ ช่วยพวกเราด้วย ฮือ” เด็กตัวเล็ก ๆ วิ่งกรูเข้ามากอดเธอด้วยความหวาดกลัว ยังผลให้หญิงสาวสะท้อนในอกอย่างบอกไม่ถูก

“พาพวกเด็ก ๆ เข้าไปข้างในก่อนเถอะค่ะครู ส่วนทางนี้ปล่อยให้น้ำกับคุณเตชิตจัดการเอง”

“แต่ว่าพวกมันตั้งใจจะมารื้อถอนวันนี้แล้ว โธ่เอ๋ย”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ น้ำไม่ยอมให้พวกมันทำได้แน่”

ดังนั้นครูวิภาจึงพาพวกเด็ก ๆ กลับเข้าในด้านในอาคาร คอยแอบดูสถานการณ์เผชิญหน้าระหว่างเตชิตและกลุ่มผู้รื้อถอนด้วยความเป็นห่วง หลังจากที่เปิดฉากลงไม้ลงมือกันไปรอบหนึ่ง ชายผิวคล้ำหน้าตาเหยเกก็พยุงตัวลุกขึ้นแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ชายหนุ่มด้วยความแค้น

“แกเป็นใคร อูย..กล้าดียังไงถึงมาทำอวดเก่ง อยากตายนักเรอะ” มันตะโกนลั่น ทำท่าจะถลาเข้าใส่พร้อมกับค้อนในมือ

“หยุดก่อน”

เสียงตะโกนห้าม ดังมาจากชายร่างเล็กแต่งกายภูมิฐานอีกคน ที่กำลังเปิดประตูเดินลงมาจากรถ ส่งผลให้ฝ่ามือที่กำลังล้วงจะเอาวัตถุสีดำใต้อกเสื้อขึ้นมาป้องกันตัวหยุดชะงักลง

“คุณพายับ”

“ใจเย็น ๆ ค่อยพูดค่อยจากันสิ ใช้แต่กำลังจะไปรู้เรื่องอะไร” ชายที่อีกฝ่ายเรียกว่า ‘พายับ’ หรือตัวแทนบริษัทกล่าวตำหนิ พร้อมกับชำเลืองมองลอดแว่นตาไปยังเตชิต ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

“คุณเป็นใครไม่ทราบ รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังขัดขวางงานของผมอยู่” น้ำเสียงดูแคลนไม่ปิดบัง

เตชิตกระตุกรอยยิ้มบนเรียวปาก จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาที่ไม่แตกต่างกัน

“สั่งให้คนบุกรุกที่คนอื่น ยังกล้าเรียกว่าเป็นงานอีกหรือ” เขาเอ่ยเสียงหยัน

“ทำเป็นปากดีไป ที่ตรงนี้เป็นของบริษัทเจ้านายผมหมดแล้ว พวกคุณต่างหากที่เป็นฝ่ายบุกรุกเข้ามา ขอเตือนให้รีบย้ายข้าวของออกไป ก่อนที่คนของผมจะลงทุนรื้อถอนอาคารซ่อมซ่อหลังนี้จะดีกว่า”

ม่านนทีที่อดรนทนไม่ไหว ตะโกนเถียงขึ้นทันที

“ไม่จริง ที่ตรงนี้ครูวิภาได้รับบริจาคมาจากเจ้าของคนเดิมตั้งนานแล้วต่างหาก”

“เรื่องนั้นผมเกรงว่าพวกคุณ จะเป็นฝ่ายกุเรื่องขึ้นมาเองต่างหากล่ะ”

ชายหัวเถิกส่งเสียงหัวเราะ พร้อมกับล้วงหยิบเอาแผ่นสัญญาออกมาแสดง

“ดูนี่ซะก่อนคุณผู้หญิง สัญญาฉบับนี้ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า เจ้าของที่ดินติดหนี้บริษัทอยู่เป็นจำนวนเงินกว่าหนึ่งล้านสองแสนบาท แถมยังเป็นวันสุดท้าย สำหรับการส่งใช้หนี้อีกด้วย แล้วจะมาหาว่าพวกผมโกงได้ยังไง”

ม่านนทีเม้มปากแน่น สองหูได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันจากกลุ่มชายผู้รับจ้างรื้อถอนดังอื้ออึง หลังจากอ่านข้อความในแผ่นสัญญาจนเป็นที่เข้าใจเรียบร้อยแล้ว ชายใส่แว่นตาคนเดิมก็ประกาศให้ลูกน้องเดินหน้าทำตามหน้าที่ต่อทันที

“พวกเราไม่ต้องไปสนใจ เข้าไปรื้อถอนได้เลย”

แต่เตชิตไม่ยอมให้ทำได้ง่าย ๆ ร่างสูงก้าวเท้าขึ้นมาขวาง พลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทหยิบเอาแผ่นกระดาษขนาดกว้างเท่าฝ่ามือออกมาชูให้อีกฝ่ายเห็นเต็มสองตา ทันทีที่อีกฝ่ายมองลอดแว่นตาออกมาเห็นตัวเลขที่ระบุอยู่บนกระดาษ ก็มีอันต้องเปลี่ยนสีหน้าด้วยความคาดไม่ถึง

“หนึ่งล้านสองแสนบาท”

“ใช่” เตชิตเอ่ยเสียงห้วนจัด ดวงตาเป็นประกายกรุ่นโกรธไม่ปิดบัง “หนี้สินทั้งหมดที่ติดค้างบริษัทพวกคุณเอาไว้ ผมนำมาคืนให้ภายในวันนี้เรียบร้อยแล้ว”

คำประกาศที่ชัดถ้อยชัดคำ สร้างความประหลาดใจให้แก่กลุ่มผู้บุกรุกอย่างคาดไม่ถึง ต่างฝ่ายต่างหันไปมองหน้ากันราวกับจะถามว่าเอายังไงต่อ ครูวิภากับพวกเด็ก ๆ ที่แอบดูเหตุการณ์อยู่ภายในอาคาร ต่างส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความยินดีจนน้ำตาแทบไหล ม่านนทีหันไปยิ้มให้แก่ครูพี่เลี้ยงร่างท้วมพร้อมกับพยักหน้าช้า ๆ ตรงกันข้ามกับชายร่างเล็กที่อึ้งจัด ทั้งเสียหน้าและผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก

“คุณกำลังล้อผมเล่นอยู่ใช่ไหม” ตัวแทนบริษัทคำรามรอดไรฟัน คิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ จะมีเจ้าบุญทุ่มเสนอตัวชดใช้หนี้แทนชาวบ้านตาดำ ๆ

“ผมพูดจริงทำจริง คราวนี้คุณควรสั่งลูกน้องให้ออกไปจากที่ตรงนี้ได้แล้ว”

เตชิตกล่าวเสียงราบเรียบ หากแต่จริงจังเสียจนอีกฝ่ายไม่กล้าดูถูก อันที่จริงจำนวนหนี้สินที่กู้ยืมไปไม่ใช่ประเด็นหลักที่บริษัทส่งตัวแทนมาที่นี่หรอก หากแต่เป็นเพราะรู้ดีว่าที่ดินผืนนี้มีมูลค่ามากกว่านั้นหลายเท่านัก ชายสวมแว่นตาจึงออกอาการไม่พอใจอย่างหนัก จนถึงขั้นคิดหาทางเลี่ยงขึ้นมาดื้อ ๆ

“อา เสียใจด้วยนะ เพราะดูเหมือนว่าคุณจะมาช้ากว่ากำหนดไปหนึ่งวัน เพราะเรื่องทั้งหมดทางบริษัทเราได้ดำเนินการทางกฎหมายไปเรียบร้อยแล้ว”

“ก็ไหนเมื่อกี้คุณบอกว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย ของการส่งใช้หนี้สินคืนยังไงล่ะ” ม่านนทีอุทานอย่างตกใจ

“ใช่ครับผมไม่เถียง” อีกฝ่ายทำทีเป็นขยับกรอบแว่นตา ก่อนจะหยิบเอาแผ่นสัญญาขึ้นมากางดูชัด ๆ อีกครั้งหนึ่ง “แต่ในสัญญาระบุเอาไว้ว่าไม่เกินช่วงเวลาเช้าของวันนี้ แต่ตอนนี้มันเลยเวลาเกือบเที่ยงวันมาแล้ว ดังนั้นผมขออนุญาตไม่รับเช็คก็แล้วกัน”

คำแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ของตัวแทนบริษัท สร้างความโกรธและตกใจให้แก่ทางม่านนทีและครูวิภาเป็นอย่างมาก เตชิตไม่แสดงอาการท่าทีใด ๆ มีเพียงดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคมจัดเท่านั้นที่จับจ้องใบหน้าของคู่สนทนาอย่างนึกเหยียดหยัน

“กะแล้วว่าพวกคุณจะต้องมาไม้นี้” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเย็นชา

“ธุรกิจมันก็แบบนี้แหละครับ ใครเล่าจะยอมโง่ลงทุนโดยไม่คิดถึงผลกำไรเอาไว้เลย”

ม่านนทีโกรธจนตัวสั่น ทั้งคำพูดและวาจาของตัวแทนบริษัทเงินกู้หน้าเลือด ล้วนแสดงออกถึงความไร้มนุษยธรรมเสียจนเธอกับพวกเด็ก ๆ ทนไม่ไหว ในที่สุดครูวิภาก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้ เดินออกมาจากประตูอาคารตะโกนด่าทอ น้ำตาไหลพรากด้วยความอัดอั้นตันใจ

“ไอ้พวกไร้มนุษยธรรม ไสหัวออกไปให้พ้นนะ”

“ครูคะ”

ม่านนทีอุทานอย่างตกใจ เมื่อครูวิภาสิ้นความอดทนก้มลงหยิบฉวยก้อนหินขึ้นมาปาเข้าใส่กลุ่มชายฉกรรจ์อย่างไม่คิดเกรงกลัว เมื่อพวกเด็ก ๆ เห็นดังนั้นก็พากันวิ่งกรูออกมาช่วยกันหยิบฉวยก้อนหินระดมปาใส่พวกมันเป็นการใหญ่

“ทำอะไรวะ ไอ้พวกเด็กเหลือขอ” ชายร่างใหญ่คำรามอย่างเดือดดาล แต่ไม่กล้าถลันเข้าไปใกล้เนื่องจากเตชิตยืนขวางอยู่

“ผู้ใหญ่ใจร้าย ฮือ ๆ”

เสียงร้องไห้ดังเซ็งแซ่ไปถึงหูคนในชุมชน พวกผู้ใหญ่และคนอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็ชักชวนกันมามุงดูเหตุการณ์ที่หน้าประตูรั้ว ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มชายฉกรรจ์ที่รุมรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าชนิดสาดเสียเทเสีย กระทั่งคนในชุมชนเข้ามารวมตัวกันมากขึ้นเป็นจำนวนหลายสิบ สร้างความหวั่นวิตกให้แก่กลุ่มคนงานจนทำอะไรไม่ถูก

“ไอ้พวกหน้าไม่อาย รังแกได้แม้กระทั่งเด็กไม่มีทางสู้” ใครคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง พร้อมกับขว้างก้อนหินเข้าใส่

“ใช่ ไปให้พ้นเลยไป”

“โอ้ย อะไรกัน”

ชายหัวเถิกยกมือขึ้นกุมหลังศีรษะ หันไปสบถด้วยความโกรธ แต่ยังไม่ทันได้ตอบโต้ก้อนหินขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ จนถึงขนาดใหญ่เท่ากำปั้น ก็พร้อมใจกันปลิวเข้าใส่พวกมันราวกับห่าฝนท่ามกลางเสียงตะโกนด่าทอของคนในชุมชน เตชิตเห็นดังนั้นจึงรีบบอกให้ม่านนทีพาครูวิภากับพวกเด็ก ๆ เข้าไปซ่อนข้างในอาคาร ปล่อยให้พวกคนงานรื้อถอนถูกรุมประชาทัณฑ์ตามยถากรรมที่ตนควรได้รับ

“สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นของพวกเรา พวกแกไม่มีสิทธิ์”

“ไสหัวไปเลย ไอ้พวกนายทุนใจดำ”

คลื่นกระแสความโกรธแค้นของชาวชุมชนร่มเกล้าที่ร่วมแรงร่วมใจกัน ส่งผลให้กลุ่มคนงานต้านทานไม่อยู่ ถอยทัพกลับขึ้นไปยังรถหกล้อที่จอดรออยู่พร้อมกับอุปกรณ์รื้อถอนอย่างไม่มีทางเลือก มีเพียงตัวแทนบริษัทค้าปลีกรายใหญ่เท่านั้น ที่ยังคงกัดฟันรับมือกับห่าก้อนหินที่ปลิวเข้าใส่อย่างไม่ยอมจำนน

“ไอ้พวกบ้า คอยดูเถอะฉันจะแจ้งตำรวจให้จับขังคุกให้หมดเลย”

“แกนั่นแหละ เข้าตะรางไปซะ”

ขาดคำชาวบ้านก็ทำท่าจะลุกฮือเข้ามาลากคอออกไป เตชิตจึงต้องรีบเข้าไปขวางพร้อมกับยื่นคำขาดให้แก่อีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย

“เลือกเอาว่าจะรับเช็ค หรือจะกลับไปตัวเปล่าทั้งที่ไม่ได้อะไรเลย”

“...บัดซบ”

ชายคนดังกล่าวถลึงตาลอดแว่นด้วยความแค้น กัดฟันรับเช็คมูลค่าหนึ่งล้านสองแสนบาทออกจากมือของเตชิตอย่างอับจนหนทาง กึ่งวิ่งกึ่งเดินฝ่าดงหินออกไปจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยความชอกช้ำขึ้นไปนั่งบนรถ แบกรับความอับอายกลับไปยังบริษัท โดยสาบานว่าจะไม่ยอมเหยียบย่างกลับเข้ามาในชุมชนอีกเลยชั่วชีวิต

ภาพความร่วมแรงร่วมใจกันปกป้องสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของชาวชุมชนร่มเกล้า สร้างความตื้นตันใจให้แก่ครูวิภาและม่านนทีเป็นอย่างมาก ดวงตากลมโตร้อนผ่าวพูดอะไรไม่ออก หันไปกอดครูพี่เลี้ยงวัยกลางคนด้วยความปลาบปลื้มยินดี ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของพวกเด็ก ๆ

“ดีใจด้วยนะคะครูวิภา ในที่สุดพวกเราก็ได้ที่ดินผืนนี้กลับมาแล้ว” ม่านนทีเอ่ยยิ้มทั้งน้ำตา ไม่เคยรู้สึกดีใจขนาดนี้มาก่อนในชีวิต

“เป็นเพราะหนูกับคุณเตชิตแท้ ๆ ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์ช่วยพวกเราเอาไว้”

“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ เป็นเพราะคนในชุมชนเราร่วมแรงร่วมใจขับไล่คนพวกนั้นออกไปต่างหาก”

เตชิตเดินเข้ามายืนเคียงคู่กับม่านนที เพื่อช่วยยืนยันคำพูดนั้น

“ใช่แล้วครับ”

ไม่กี่วินาทีต่อมาชาวชุมชนร่มเกล้า ก็พากันเดินเข้ามาแสดงความยินดีและความเห็นอกเห็นใจครูพี่เลี้ยงวัยกลางคนด้วยน้ำใจอันเต็มเปี่ยม ทั้งไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบและเรื่องราวความเป็นมา ราวกับเป็นเครื่องตอกย้ำคำพูดของพวกเขาทั้งสอง ภาพความประทับใจตรงหน้าทำให้ม่านนทีตื้นตันใจ เสียจนห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เตชิตจึงเอื้อมมือไปบีบฝ่ามือบางเบา ๆ

“ต่อไปนี้คงไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว”

ม่านนทีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“ค่ะ” เธอเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เมื่อแน่ใจว่าอนาคตของสถานเลี้ยงเด็กพร้า ได้รับการปกป้องจากผู้คนในชุมชนแห่งนี้เรียบร้อยแล้ว

ทั้งคู่หันไปมองตาซึ่งกันและกันอย่างอบอุ่น สำหรับม่านนทีความรู้สึกที่เธอมีต่อเตชิตมั่นคงเกินกว่าที่จะมีช่องว่างเว้นเหลือให้ความหวาดระแวงได้อีก ตราบใดที่ยังมีมือคู่นี้เกาะกุมอยู่เคียงข้าง ต่อให้มีอุปสรรคหนักหนาผ่านเข้ามาในชีวิต เธอก็ไม่หวั่นวิตกต่อสิ่งใด ๆ อีกแล้ว

ฟ้าหลังฝนมักจะสดใสสวยงามอยู่เสมอ ยกเว้นก็เพียงแต่โคลนเปียก ๆ ที่สร้างความรำคาญให้บ้างเป็นบางครั้ง เช่นเดียวกับที่พวกสองกำลังเผชิญอยู่ เมื่อจู่ ๆ มาลัยก็เดินแหวกผู้คนตรงดิ่งเข้ามาใกล้ พร้อมทั้งถือวิสาสะตอนที่ทุกคนกำลังดีใจ โผตัวเข้ากอดแขนเตชิตราวกับเป็นเทพบุตรก็ไม่ปาน

***************

จบกำลังสวย
ตัวมารมาขวางซะงั้น ^ ^’’






เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ย. 2554, 12:42:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ย. 2554, 12:42:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 2472





<< ตอนที่ 24 เงื่อนไขของความรัก   ตอนที่ 26 พรหมลิขิต >>
anOO 24 พ.ย. 2554, 15:00:31 น.
ยัยมาลัยนี่ตามมาเจ๋อได้ตลอดทุกงานเลยนะ


nunoi 24 พ.ย. 2554, 17:46:39 น.
อยากตบยัยมาลัยจริงๆ


Zephyr 24 พ.ย. 2554, 19:30:56 น.
อ๊ายยยยยยยยยยยยยย เอายายมาลัยไปเก็บในหลุมได้แล้ว จะขึ้นมาไมเนี่ย เสียหมดเลย ตอนเค้าสู้กันเธอไปอยู่ไหน ตอนจบจะมาเป็นนางเอกเหรอ อย่าบ้านะ ยายบรรลัย


Pat 24 พ.ย. 2554, 21:54:55 น.
หน้าตาเฉยเลยนะมาลัย หนูน้ำจัดการเลย มาทางไหนให้กลับไปทางนั้นเลย


pattisa 24 พ.ย. 2554, 22:33:35 น.
อ๊ายยย เพิ่งขอฉากตบยัยมาลัยตอนที่เเล้วเอง ไม่ต้องใช้คำพูดล่ะ ให้น้ำตบมาลัยไปเลยยย โอ๊ยยย หมันไส้


violette 25 พ.ย. 2554, 00:49:11 น.
ยัยมาลัยนี่น่าตบจริงๆพอๆกับยัยแววดาวเล้ยย
คู่นี้อย่างน้อยก็เข้าใจกันแล้วบ้าง
ไม่เหมือนปิ่นแก้วกับนายราเมศ ฮ่าๆ อีกนาน (ใช่ป่าวคะ


เบลินญา 25 พ.ย. 2554, 09:10:29 น.
ตอนหน้า รอลุ้นค่ะ ว่าเตชิต จะปราบมาลัยยังไงดี
มาลัยเอ๋ย...กลายเป็นบรรลัย ไปซะแระ ^^''


ameerahTaec 25 พ.ย. 2554, 09:12:42 น.
อยากให้น้ำตอกกลับยัยมาลัยบ้าง บอกไปเลยคุณเตชิตของฉัน อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account