น้ำค้างกลางจันทร์
ความลับสำคัญที่เธอไม่อาจบอกใครๆ
มันชื่นฉ่ำอยู่เหมือนน้ำค้างกลางดวงใจ
แม้ในความเป็นจริงจะแห้งเหือดหาย
แต่เธอก็ยังเฝ้าติดตามหา
แล้ววันนี้
วันที่ต้นธารแห่งหยาดน้ำค้างนั้นหวนคืนมา
เขาจะรู้สึกกับเธอ
เหมือนอย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอีกหรือไม่
มันชื่นฉ่ำอยู่เหมือนน้ำค้างกลางดวงใจ
แม้ในความเป็นจริงจะแห้งเหือดหาย
แต่เธอก็ยังเฝ้าติดตามหา
แล้ววันนี้
วันที่ต้นธารแห่งหยาดน้ำค้างนั้นหวนคืนมา
เขาจะรู้สึกกับเธอ
เหมือนอย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอีกหรือไม่
Tags: น้ำค้าง กลางจันทร์ รัก โรแมนติต ดราม่า นิยายน่าอ่าน เรื่องดีๆ พิศวาส ซ่อนเร้น
ตอน: บทที่ ๐๕
อินทุอรก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ใช่เขาแน่แล้วที่มองมา เธอนิ่งอั้นและประสานสายตา ในใจยังได้ยินเสียงเขาตะโกนก้องดัง เวียนวนด้วยถ้อยคำ
คิดถึง... คิดถึง... คิดถึง... ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทั้งที่จริง... เขายังไม่ไหวติง ไม่เคลื่อนขยับแม้กระทั่งแรงรับส่งของลมหายใจ
และ... พร้อมกับที่ทั้งโลกราวหยุดนิ่งไปชั่วกัลป์
ความเคลื่อนไหวทั้งปวง เหลืออยู่แต่ในความครุ่นคิด
ล้านภาพฝันสาดสายความทรงจำ ประดังประเดเข้ามาในรอยใจ
...เขา ไม่ได้เหยียบย่ำหรือย่ำยี ...หรือมิใช่
แล้วร่างเปล่าในเช้าวันนั้น ในเช้าอันเงียบงันและแสนเหงานั่นเล่า...
ใคร... ใครเป็นคน... ปลด... เปลื้อง... ให้เธอเปล่าเปลือย
ไม่ใช่เขาหรอกหรือ ที่หลีกหาย และปล่อยให้เธอเดียวดาย คล้ายอาการตกค้างอยู่กลางดิน แล้วถูกทิ้งให้แห้งแล้ง ปราศจากน้ำค้างชโลมริน จนทั่วทั้งผิวเนื้อของหัวใจแตกระแหง เป็นร่องรอยปริแยกและบอบช้ำ
จากคืนนั้นในวันเก่า... จนวันนี้ด้วยซ้ำ
ที่หัวใจดวงนี้ถูกกระทำย่ำยี... ขืนข่มให้ช้ำชอก โดยที่ตัวคนกระทำ อาจไม่เคยรู้สึกรู้สา หรือรับรู้อะไรด้วยเลย
...คนข้างหลังผลักดันเข้ามาเมื่อเธอหยุด!
มนุษย์เพศผู้สองตัว ที่มีมรรยาทอันแสนทราม ตามติดเธอออกมาด้วย มันรุนด้านหลังด้วยสิ่งไรก็ป่วยการจะคาดคิด ครั้นจะยืนฝืน ทนขืนอยู่กับความแข็งขันของมันนั้น ก็คงจะยิ่งเปลืองเนื้อเปลืองตัว
อินทุอรจำเป็นต้องขยับ เคลื่อนตัวต่อไปข้างหน้า
แต่...
นั่นไง... เขาขยับตาม เขาเดินตามมาแล้ว เบียดแทรกคนนั้นคนนี้มาแล้ว คงสังเกตเห็นกระมัง ว่าเธอกำลังถูกรุกไล่ลวนลาม จึงได้คิดติดตามมาให้ความช่วยเหลือ
“จะกลับหรือครับ กลับยังไง ให้เราไปส่งเอาไหม”
“ออกมารอเพื่อนหรือครับ ให้เรารอเป็นเพื่อนนะครับ”
อินทุอรพอจะจับใจความคำพูดหว่านล้อมจากสองชาย ผู้ที่ฉายชัดในแววตาว่าหื่นกระหายกามาขนาดไหน ได้เพียงแค่นั้น แล้วก็หมดความสนใจ ด้วยว่าเมื่อมาถึงระเบียงหน้าร้าน ก็ไม่เห็นเขาตามออกมา จนเธอต้องหันกลับไปหา ขณะที่ในใจยังตั้งคำถามกับตนเอง
“หรือจะย้อนกลับเข้าไป พูดคุยให้แน่ชัด ให้สมกับการรอคอย ทำความรู้จักกันอีกครั้ง ในเวลาที่สติยังสมบูรณ์พร้อมอยู่ตอนนี้”
แต่เสียงน่ารำคาญก็ยังสอดแทรกเข้ามาอีก
“ไปนั่งรอในร้านก็ดีนะครับ เดี๋ยวพวกเรานั่งเป็นเพื่อน หรือจะย้ายโต๊ะ... เปลี่ยนทำเล...”
อินทุอรไม่ใส่ใจจะฟัง ทว่าก็ต้องสะดุดกึก เพราะอีกคำที่ตามมา
“พวกเรามีเงินนะครับ ถ้าคุณกำลัง... แบบว่า... ต้องการ...”
“ใช่สิ...” เธอจำเป็นต้องตอบโต้ไปเสียบ้างแล้ว “...คนอย่างพวกคุณก็คงได้แต่ใช้เงินซื้อผู้หญิงสินะ นอกจากตอนที่รวมหัวกันรุมล้อมขืนใจคนอื่น เวลามากันเป็นหมู่ๆ นี่น่ะ”
ทว่าการกระแทกกลับไปตรงๆ ด้วยการกระทบกระเทียบเปรียบเปรยดังนี้ กลับไม่ทำให้สองคนสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด หรือกระทั่งเขาจะมีท่าทางรับรู้รับทราบก็หาไม่
อีกทั้งยังคล้ายจะเข้าตำรา ยิ่งด่าว่าเหมือนยิ่งยั่วยุ เพราะทั้งคู่ขยับใกล้เข้ามา จนได้กลิ่นสุราคลุ้งออกจากลมหายใจ จนคนที่แสนรำคาญ อยากจะกรี๊ดไล่ให้รู้แล้วรู้รอด
“พวกคุณเมาแล้ว กลับไปพักผ่อนกันเถอะค่ะ”
เมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล ก็จำใจต้องลองใช้ไม้อ่อนสักครั้ง
โธ่... ในเวลาคับขันขนาดนี้ เขาหายหน้าไปไหนเสียอีกเล่า
ใจหนึ่งของอินทุอรนั้นแสนหวาดหวั่น ทั้งกังวลกับพฤติกรรมต่ำทรามต่างๆ ที่ไม่รู้ว่าสองคนนี้จะออกลายเพิ่มขึ้นอีกเมื่อไหร่
ทางอีกใจก็ห่วงพะวง ยังไม่ได้พูดคุยกันสักคำ หากเธอคิดจะตัดปัญหา หนีหายไปเสียจากตรงนี้ อีกเมื่อไหร่กันเล่า จะได้กลับมาพบเจอ
สายเรียกเข้าสั่นครืดๆ อยู่ในกระเป๋า อินทุอรรีบคว้าโทรศัพท์ ขึ้นมากดรับ
“หลิว... ฉัน...”
คนรับสายรีบกรอกเสียงลงไป แล้วก็ได้แต่หยุดคำไว้แค่นั้น
ลลิตาโทร.เข้ามาครั้งหนึ่งแล้ว ว่าขอกลับไปตั้งหลักรอที่รถ เพราะนายภาคอะไรของหล่อนก็ดันนั่งอยู่ในร้านนี้เหมือนกัน
ที่โทร.มาครั้งนี้ ก็เพื่อจะเร่งให้เธอรีบตามออกมาเพื่อถอยทัพ
เพื่อนเอ๋ย... จะให้กลับไปตอนนี้ได้อย่างไร... ในเมื่อ...
เขาของฉันก็ยังอยู่ในร้านนี้เช่นกัน
แต่แสนรำคาญสองตัวป่วนนี่จับใจ โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะทำกับเรือดไรเห็บหมัดพวกนี้อย่างไรดี
“หลิว ฉัน... ฉันจะทำยังไง คือ มีผู้ชายสองคนตามฉันออกมา”
แล้วอินทุอรก็ยิ้มออก เมื่อเพื่อนรักตอบกลับ เป็นหนสว่างอันชื่นใจ
“ก็ถ่ายรูปมันไว้สิ ใช้มือถือของเธอนั่นละ ไอ้พวกนี้มันกลัวถูกโพสรูปประจานลงเวปยังกะหมาจรจัดกลัวเทศบาล”
“งั้นแค่นี้ก่อนนะหลิว เดี๋ยวฉันจะรีบตามไป”
โชคดีที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ของอินทุอรก็ทันสมัยพอ และสองคนที่ยังตามราวีก่อกวนอยู่ไม่เลิกรา ก็ยังเห็นได้ชัดๆ ว่ารุ่นที่ใช้นี้ สามารถออนไลน์แล้วโพสรูปถ่ายล่าสุด เพื่อบ่งบอกสถานการณ์ใดๆ ก็ตามของตนเอง ได้ทันที
อยู่ๆ เหยื่ออันโอชะของจิ้งจอกราตรี ก็มีเขี้ยวงางอกออกมาจนต้องใจหาย ยิ่งพออินทุอรเงื้อง่าทำท่าจะถ่ายรูปใบหน้าสองคนนี้ให้ชัดๆ พวกเขาก็หลบกันวุ่นวาย
“ได้ผล...”
อินทุอรร้องลิงโลดอยู่ในใจ
แต่... ก็เพียงแค่อึดใจเดียว เพราะยังไม่ทันจะได้ภาพที่ดีพอ จิ้งจอกกระหายเหยื่อก็ตั้งหลักได้ เปลี่ยนจากท่าทางกรุ้มกริ่มมาเป็นอาฆาตมาดร้ายได้ในนาทีต่อมา และดูเหมือนพร้อมจะคุกคามรุนแรงได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ความยั้งคิด
คนเกือบจะได้เปรียบอยู่แล้วต้องหันรีหันขวาง ท่ามกลางผู้คนมากมายกลับรู้สึกคล้ายว่าโดดเดี่ยว ไม่มีเลยสักคนที่จะแลเหลียวเรื่องราวของเธอในขณะนี้อย่างจริงจัง
แต่... นั่นไง...
สวรรค์ทรงโปรด!
คุณพระคุณเจ้าช่างเมตตาไม่ทอดทิ้ง...
ก็นั่นอย่างไรเล่า เป็นเขา... เขาออกมาแล้ว ออกมาพร้อมกับพนักงานเสิร์ฟคนเดิมคนหนึ่ง กับอีกสองคนที่รูปร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบเดียวกันกับคนแรกที่นำเธอไปเข้าโต๊ะ
“สาวสวยคนนั้นน่าจะถูกก่อกวน”
ที่จริงอินทุอรไม่ได้ยินหรอกว่า เขาบอกอะไรกับบริกรคนเก่าแก่ แต่ที่เดาได้อย่างนั้น ก็เพราะพอกระซิบกันเสร็จสรรพ คนร่างใหญ่ทั้งสองก็เดินเข้ามาประกบจิ้งจอกราตรีทั้งสองตัว ส่วนอีกคนก็เดินเข้ามาหาเธอ
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”
อินทุอรได้แต่อึกอัก ทำตัวไม่ถูกว่า เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว ควรจะต้องพูดจาออกไปในทำนองไหน ขณะที่สายตาก็ยังเฝ้าพะวง... เวียนมอง...
เจ้าชายขี่ม้าขาว... ที่กำลังก้าวผ่าน...
เดินเลยลงบันไดหน้าร้านไปโน่นแล้ว...
อรุณรุ่งเรื่อรางขึ้นคาตา อินทุอรยังหลับไม่ลงตั้งแต่กลับมา จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังค้างคา ทั้งในสองหน่วยตาและในความรู้สึก
ดูเถอะเขาจากไปไม่ไยดี ทั้งที่สถานการณ์ยุ่งยากยังไม่คลี่คลาย
และก็... เพื่อนตัวดีก็หนีหาย...
เธอต้องกลับมาอย่างรวดร้าว
อะไรก็ไม่เท่าเรื่องที่ ลลิตาโทร.เข้ามาอีกครั้ง บอกให้แยกย้าย กลับสู่ที่ตั้งแบบตัวใครตัวมัน เพราะหล่อนก็กำลังจะเอาตัวไม่รอดอยู่เหมือนกัน
ตอนนั้นจิ้งจอกสองตัวนั่นยังเอะอะ กล่าวหาว่าเธอชวนพวกมันออกมา แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจไม่สมยอม
เสียงหมาทุเรศครวญครางเพราะคันขี้เรื้อน ยังน่าฟังกว่าคำพูดจากปากของสองคนนั่นเป็นไหนๆ
แต่กว่าจะหลุดพ้นมาได้ เพื่อนที่เคยคิดว่าเป็นเพื่อนร่วมตาย... ก็หายลับ
จนกระทั่งเช้านี้ ที่ราวกับว่าประสาทสั่งการจะแข็งค้าง
ขณะกำลังเติมกาแฟให้ตัวเอง ทั้งที่ปกติจะรับแค่โกโก้ร้อนกับขนมธัญพืชสองสามชิ้น ลลิตาก็โผล่เข้ามาถึงตัว
“จ๊ะเอ๋ยัยอินทุ์ เมื่อคืนเป็นไงบ้างล่ะเธอ”
หล่อนระรื่นมาจากด้านหลัง แต่พอเห็นหน้าตาของเพื่อนสนิท ก็ถึงกับผงะ
“ต๊าย! ทำไมมันเลอะเทอะเกรอะกรังหยั่งงี้ล่ะคะคุณนาย”
ลลิตาต้องอุทานอัปมงคลแต่เช้าตรู่ เพราะสภาพของเพื่อนดูเหมือนจะทรุดโทรมเกินบรรเทา
อินทุอรยังนิ่ง รู้ดีว่าตน “เขรอะ” ขนาดไหนในตอนนี้
ตั้งแต่กลับมา ได้แค่เปลี่ยนชุด ล้างหน้า... แบบแค่ได้ตัวรู้ว่าได้ล้าง แล้วก็ ยังไม่ได้ชำเลืองเงาของตนเองในกระจกบานใดอีกเลย
“ไป ไป ขึ้นไปล้างหน้าล้างตา เรื่องมีเรื่องต้องคุยกันยาวเลยนะเนี่ย”
แต่อินทุอรทำเหมือนไม่รับรู้ ว่าลลิตากำลังมาพูดคุยอยู่ตรงหน้า
“โธ่... เธอจ๋า... เมื่อคืนฉันก็เกือบเอาตัวไม่รอด รู้ไหมว่าคุณภาคของฉันนั่นน่ะ ไม่รู้โผล่มาจากไหน หรือว่าตามมาตั้งแต่ในร้านก็ไม่รู้ อยู่ๆ ก็โผล่มาที่ข้างกระจกรถ ฉันก็เลยต้องบอกไปว่าแค่มาส่งเพื่อน แล้วก็เผ่น...”
“แต่เธอไม่รับโทรศัพท์อีกเลย”
เสียงเย็นเยียบของคนยังไม่ได้นอน เพิ่งเอ่ยออกมาเป็นคำแรก
“ก็... หลังจากนั้นน่ะ มัน... แบบว่า... เออน่ะ ขึ้นไปข้างบนกันก่อนดีกว่าไหมล่ะ ฉันว่าเธอไปอาบน้ำอาบท่า ล้างหน้าล้างตาซะหน่อยดีกว่า อย่ามายืนเป็นผีบ้านอยู่อย่างนี้เลย เดี๋ยวคุณน้าผีเรือนข้างบนลงมาเห็นเข้าจะต๊กกะใจ”
พูดพลาง ลลิตาก็ปลดถ้วยกาแฟออกจากมือเพื่อน แล้วรุนหลังให้นำขึ้นไปข้างบน
“ทิ้งกันอีกแล้วนะหลิว”
อินทุอรยอมให้เพื่อนตามมาจนถึงในห้อง ก่อนจะตั้งคำถามร้ายแรงอันนี้
“เรื่องมันยาวน่ะ ยาวมากจริงๆ นะอินทุ์ ที่มาหาเธอแต่เช้านี่ก็เพราะเป็นห่วง”
“ห่วงว่าอะไรล่ะ ในเมื่อฉันกลับมาถึงบ้านนี่แล้ว”
“ก็ถึงหมดห่วงไปเปลาะนึงไงเล่า ที่ฉันทำท่าระริกระรื่นอยู่นี่ ไม่ใช่เพราะเห็นว่าเธอปลอดภัยดีหรอกรึ”
“ฉันจะอาบน้ำ เธอลงไปรอข้างล่างเถอะ เดี๋ยวตามลงไป”
อินทุอรยังขุ่นมัวเกินกว่าจะรับฟังเหตุผลหว่านล้อมใดๆ จึงต้องตัดบท หยุดอารมณ์ที่กรุ่นๆ ของตนเองเอาไว้ก่อน
“รอบนนี้ไม่ได้เรอะ เผื่อเธอเผลอหลับ ฉันก็รอเงกไปสิ”
แทนที่จะได้รับการตอบคำ ลลิตาก็มีอันต้องล่าถอย เพราะสายตาที่ขับไล่ให้ลงไปเสียโดยไว
“งั้นไปรอที่เฉลียงเล็กนะ จะได้คุยกันเงียบๆ”
ก่อนออกพ้นประตู หล่อนจึงต้องนัดแนะ พร้อมกับส่งสายตาสำนึกผิดไปให้อีกที
เฉลียงเล็กที่ว่า หมายถึงส่วนระเบียงอีกฟากหนึ่งของตัวเรือนใหญ่ เป็นเฉลียงฝั่งตะวันตก ที่ปกติจะใช้สำหรับนั่งรับลมในยามเย็นย่ำ
ด้วยความคุ้นเคยกับบ้านนี้มานาน เหล่าคนรับใช้จึงไม่แปลกใจที่เห็นหล่อนแต่เช้า ลลิตาย้อนกลับไปตรงระเบียงใหญ่ที่สำหรับตั้งมือเช้าเป็นประจำ เพื่อเตรียมโกโก้ร้อนให้เพื่อน และน้ำส้มคั้นสดให้ตนเอง พร้อมกับขนมปังโฮลวีทราดน้ำผึ้งอีกสามแผ่น จัดการใส่ถาดแล้วบริการตนเอง ด้วยการยกกลับมาทางฝั่งเฉลียงเล็กเสร็จสรรพ
ระหว่างผ่านโถงรับแขกอันกว้างขวางกลางตัวเรือน หล่อนยังเห็นว่ามีรถหรูหราคันหนึ่งผ่านประตูใหญ่เข้ามาแต่ไกล ยังแปลกใจว่า ใครจะมีธุระอะไรกับคนบ้านนี้ได้เช้าขนาดนี้ นอกจากตนเอง
อีกครู่ใหญ่ จนโกโก้ร้อนเปลี่ยนเป็นเย็นชืด กว่าที่อินทุอรจะตามลงมาสมทบ ดวงตานั้นยังอิดโรย แต่ดวงหน้าแลดูแจ่มใสขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ด่างเป็นคราบเหมือนเมื่อแรกเจอ
“เมื่อคืนฉันก็เจอเขาแล้วละ...”
อินทุอรเอ่ยออกมาเรียบๆ หลังจากยกถ้วยโกโก้ขึ้นจิบ
ลลิตาจึงจ้องหน้าคนพูดอย่างสงสัยใครรู้เต็มที่
“ไปเปลี่ยนโกโก้ให้หน่อยสิ”
แต่สิ่งที่รอฟังกลับเป็นคำสั่งที่เหมือนแกล้ง เพราะคนสั่งยิ้มๆ พร้อมกับยกคิ้วให้ข้างหนึ่ง
“ค่ะ... สุดแต่คุณหญิงท่านจะบัญชา อิฉันมันคนผิด ผิดจนไม่รู้จะไถ่โทษไถ่บาปยังไงได้แล้ว... นอกจาก... ไปรินโกโก้ร้อนๆ ให้เพื่อนสาวสักแก้วนึง แล้วเธอจะหายโกรธ หยั่งงั้น ชิมิ ชิมิ”
อารมณ์ของอินทุอรคงชื่นขึ้นบ้างแล้ว ลลิตาจึงพยายามสานต่อให้บรรยากาศการสนทนากลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง
หล่อนลุกไปอย่างว่าง่าย โดยมีอินทุอรแลตามไปอย่างปลงๆ
ถ้ายอมรับข้อบกพร่องของเพื่อนไม่ได้ จะคบหาเป็นเพื่อนกินเพื่อนตายกันไปทำไมเล่า ในเมื่อตนเองก็อยู่รอดปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นการหาเรื่องใส่ตัวอีกต่างหาก เผลอๆ ลลิตาอาจกลับเป็นฝ่ายต้องพลอยลำบากเสียด้วยซ้ำ ในเหตุการณ์เมื่อคืน
พอคิดได้ดังนี้ อินทุอรก็สบายใจขึ้นอีกมาก รื่นรมย์ขึ้นพอที่จะลุกไปชมน้ำค้างตามปลายใบ ของพลูด่างต้นใหญ่ที่ลงรากอยู่กับดิน แล้วเลื้อยเลาะชูใบขึ้นมาจนถึงราวระเบียง
ต้นไม้ใบหญ้าของตัวเรือนด้านนี้ยังสดกลิ่น อากาศชื้นชวนชื่นและนวลตา เงาของตัวเรือนหลังใหญ่ ช่วยทอนแสงให้กระจ่างทั่ว แต่ไม่ถึงกับประประกายให้กลับปลายของหยาดน้ำค้างที่เริ่มระเหยหาย
พอเพลินตาก็เพลินใจ ทุกข์โศกและความรวดร้าวก็เริ่มคลี่คลาย อินทุอรถอยกลับมานั่งลงบนโซฟาหวาย ที่มีพนักขนาดใหญ่และจนสูงเลยศีรษะขึ้นไปมากกว่าตอนยืน เธอค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนเบาะผ้าฝ้ายพิมพ์ลายดอกไม้สีสด อันทอดไว้พร้อมกับหมอนอิงสีพื้น แกมสลับกับใบที่มีรูปดอกไม้เป็นลายเดียวกับเบาะนุ่ม
ยังไม่ทันได้เอนหลังลงในท่าสบาย ลลิตาก็เดินหน้าบึ้งตึงกลับมา
กระแทกตัวนั่งลงข้างเพื่อน ก่อนจะปั้นสีหน้าบูดบึ้งต่อไป
“ไหนโกโก้ล่ะหลิว”
คำถามนี้เจือความแปลกใจอยู่ไม่น้อย
“เดี๋ยวพี่พันธ์เอามาให้”
คำตอบห้วนสั้น ยิ่งทำให้ประหลาดใจ
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น หรือว่าถูกคุณน้าเหน็บมาให้อีก”
“หยั่งคุณนายโสภาน่ะเรอะ นังหลิวคนนี้มันจะหงอให้”
“นั่นน่ะสิ ถึงงงไง เช้าๆ อย่างนี้ใครจะทำให้เธออารมณ์บูดได้ หรือว่าน้องพิมพิ์”
“ก็ไม่เชิง...”
“อย่ามาท่ามากได้ไหมหลิว จะอะไรยังไงก็ว่ามาเถอะน่า ตอนนี้น่ะ เรื่องของฉันต่างหากล่ะที่น่ากลุ้ม”
อินทุอรต้องแกล้งรำคาญ เพราะท่าทางปั้นปึ่งของเพื่อนยังไม่คลี่คลาย
“ตอนนี้น่ะ เรื่องของฉันกลุ้มกว่าแน่ๆ”
“เอ๊ะ! เธอนี่ยังไง จะพูดอะไรก็ไม่พูด”
“ก็จะไม่พูดน่ะสิ เอาไว้ให้พี่ชายที่แสนดีของเธอ เล่าให้ฟังเอาเองก็แล้วกัน... แต่เธอฟังแล้วก็นิ่งๆ ไว้ก่อนนะ อย่าเพิ่งพูดอะไรออกไป”
“ทำไมล่ะ”
“เออน่ะ... ฟังเฉยๆ ก็แล้วกัน ไว้ฉันจะเป็นคนซักไซ้ไล่เรียงให้เอง”
“มันจะมีลับลมคมในอะไรกันนักหนา”
ยังไม่จบคำท้ายดี ตอนที่พันธกานต์โผล่พ้นมุมเชิงบันไดหลังออกมา ลลิตาจึงต้องรีบส่งสัญญาณด้วยหางตา ให้อินทุอรรู้ว่า ต้องเริ่มสงบปาก เงียบ แล้วเริ่มฟัง ณ บัดนี้
“ใครหรือคะพี่พันธ์ ไปมาหาสู่กันในวันหยุดตั้งแต่ตอนเช้าๆ ขนาดนี้”
ลลิตาตั้งคำถาม ตอนที่ยื่นมือไปรับโกโก้ร้อนถ้วยใหม่ ที่คนช่วยนำมาเสิร์ฟ ตั้งใจจะยื่นให้อินทุอร
“เพื่อนคุณแม่กับลูกชายเขาน่ะ เห็นว่าจะไปธุระที่วัดไหนกันก็ไม่รู้”
คำตอบไม่เต็มเสียงนัก ขณะสบสายตากับน้องสาวต่างบิดามารดา เพราะประโยคหลังที่พันธกานต์เอ่ยออกมา คือเรื่องของเธอโดยตรง
“หลิวนึกว่าจะมาขายขนมจีบกะยัยอินทุ์”
ลลิตายังหยอก กลบเกลื่อนสีหน้าบึ้งตึงเมื่อครู่ได้แนบเนียนนัก
“คู่แม่ลูกเขามาเรื่องธุระฤกษ์ยามของอินทุ์ จะมาขายขนมจีบได้ยังไงล่ะ”
“งั้นก็น้องสาวคุณ น้องพิมพิกาตาหวาน”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรับประทานแห้วเป็นมื้อเช้า เพราะน้องพิมพิ์ไม่ได้กลับ โทร.มาบอกว่าจะค้างที่คอนโด”
พันธกานต์ก็ยังจับไม่ได้ว่า ทำไมลลิตาคุยวกเวียนอยู่แต่เรื่องนี้
“ไม่คุ้นเลยค่ะพี่พันธ์ เพื่อนใหม่คุณน้าหรือคะ”
“อือ เห็นคุณแม่ว่าชื่อแวววิไล ใช่ไหมอินทุ์ คนเดียวกันกะที่พูดถึงเมื่อวานนั่นละ ส่วนลูกชาย เมื่อกี้ได้ยินเขาแนะนำกันแว่วๆ ว่าชื่อภาคๆ อะไรสักอย่าง”
เพราะคำว่า “ภาคๆ...” นั่นแล้ว ทำที่ให้อินทุอรเกือบสะดุ้ง แต่เพื่อนสนิทเลื่อนมือมาแตะที่หลังมือเป็นการสติได้ทันท่วงที
“หล่อไหมล่ะคะ ยังโสดหรือเปล่า เผื่อน้องพิมพิ์ไม่สน หลิวจะได้ยื่นใบสมัคร”
อินทุอรค่อยๆ ลำดับความ อาการปั้นปึ่งบูดบึ้ง กับลับลมคมในที่ลลิตา พยายามบอกให้เธอต้องแค่ฟังเฉยๆ ทำให้พอจะเดาออก...
...อะไรมันจะจุดไต้ตำตอได้ขนาดนี้...
เธอได้แต่ครางอยู่ในใจ ขณะที่กำลังตั้งอกตั้งใจดูต่อไป ว่าหน้าซื่อๆ เสียงใสๆ ของเพื่อน จะพาบทสนทนาเรื่องนี้ไปลงเอยอย่างไร
แต่พันธกานต์กลับนิ่งไป จนลลิตาต้องกระเซ้าต่อ โดยที่อินทุอรยังพยายามตามฟัง ว่าจะมีวี่แววรันทดหดหู่ระโหยหา ออกมาจากเพื่อนบ้างหรือไม่
“หรือจะให้หลิวเฝ้าคานทองอยู่คนเดียวล่ะค่ะ ยัยอินทุ์ก็จะได้ตบได้แต่งอยู่รอมร่อ รายเกือบสุดท้ายด้วยซ้ำในรุ่นๆ ที่เรียนมาด้วยกัน ถ้าคุณภาคอะไรนั่นเค้ารูปหล่อ พ่อรวยจริงอะไรจริง หลิวก็ต้องลองกันสักตั้งสองตั้งละค่ะ”
ประโยคยืดยาวนี้ ทำให้พันธกานต์ต้องจ้องหน้าลลิตาเขม็ง
อินทุอรเห็นอาการนั่นได้ชัดแจ้ง เพราะพี่ชาย... ลูกติดของคุณน้าโสภาพรรณ ภรรยาใหม่ของคุณพ่อ นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม
“แล้วจะชวนกันไปไหนหรืออินทุ์ ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม”
พันธกานต์คงอึดอัด กับเรื่องที่ลลิตาพยายามวกวนอยู่นี่ จนสุดจะทนแล้วกระมัง จึงเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน
“อินทุ์ว่าจะอยู่บ้านพักผ่อนน่ะค่ะ”
คนตอบ ตอบไปตามเจตนาจริงแท้ของตนเอง
“แล้วหลิวล่ะ”
“ก็แค่ผ่านมา เลยแวะมาเท่านั้นละค่ะ ทำไมคะ... จะไล่กันแล้ว...”
“พี่หมายความว่า พี่จะออกไปข้างนอกเหมือนกัน เผื่อจะได้ช่วยไปส่ง”
“หลิวขับรถมาเอง ไม่ต้องลำบากพี่พันธ์หรอกน่ะ”
ยิ่งฟัง อินทุอรก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ ไม่เข้าใจว่าเหตุไร ยามเอ่ยถึง “นายภาค” ที่เมื่อวานเธอกับลลิตายังคุยกัน ว่าหล่อนอยากจะจริงจังกับเขาจริงๆ น้ำเสียงของเพื่อนสนิทกลับรื่นเริง แต่พอพูดถึงเรื่องไปนั่นมานี่ธรรมดาๆ กลายเป็นเหมือนว่าหล่อนกำลังกระเง้ากระงอดตัดพ้อ
“หรือพี่พันธ์จะออกไปด้วยกัน ก็ดีนะคะ ช่วยชาติประหยัดพลังงาน”
น้ำเสียงนี้ประชดเต็มที่ แต่คนฟังเพียงแค่ทำสีหน้านิ่งๆ กันทั้งคู่
แล้วก็เหมือนลลิตาจะเบรกเสีย จึงหยุดไม่อยู่อีกต่อไป
“ทำไมล่ะคะ พี่พันธ์ก็โสด หลิวก็ยังไม่มีใคร เผื่อไปนั่งรถกินลมชมวิวกันสักรอบสองรอบ อาจจะเกิดปิ๊งปั๊งกันขึ้นมาบ้าง จะได้จัดงานแต่งให้มันพร้อมกันทั้งสามคู่ไปเลย ไม่ดีหรือคะ”
“เธอพูดอะไรน่ะหลิว”
คำหลังๆ ที่เริ่มกระแทกกระทั้นของเพื่อน ทำให้อินทุอรต้องพูดขึ้นบ้าง
“ก็หรือไม่จริง เธอก็กำลังจะแต่งกะนายปริยัติอะไรนั่นอยู่วันสองวันนี่แล้ว ส่วนยัยพิมพิ์ก็คงไม่แคล้วอีหรอบเดียวกันกะเธอนั่นละ คือคุณนายน้าของเธอก็จัดการให้เสร็จสรรพ นี่คงนัดแนะกันให้มาดูตัว”
“เพ้อเจ้อน่ะหลิว แล้วก็ไม่สุภาพเลยนะที่เรียกคุณน้ากะน้องพิมพิ์อย่างนั้น”
“เธอจะมาเดือดร้อนอะไร เขานั่งอยู่นี่ทั้งคน แม่เขาน้องเขาเอง เขายังไม่เดือดร้อน”
อินทุอรก็เลยพลอยถูกเหวี่ยงไปอีกคน
“ก็นั่นละ แล้วเธอจะมาเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรด้ว...ย...”
ที่คำท้ายต้องลากทิ้ง แล้วหมดคำเอาดื้อๆ ก็เพราะลลิตาตวัดตามาจ้องหน้าคนพูดเขม็ง
ซ้ำร้าย... บรรยากาศที่กรุ่นไอระอุอย่างแปลกประหลาด ก็ยิ่งโหมความร้อนให้ยิ่งขึ้นไปอีก ตอนที่พิมพิกาค่อยย่องผ่านหลังบ้านเข้ามา
“ไหนว่าค้างคอนโดไงพิมพิ์”
พี่ชายแท้ๆ เอ่ยถาม ด้วยคงหวังจะให้สถานการณ์ของตนดีขึ้นบ้าง ด้วยการเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาไปทางน้องสาว
“คุณแม่น่ะสิคะ บอกว่าต้องกลับมาให้ได้ มีคนมารอพบ อะไรกันนักกันหนาก็ไม่รู้คุณแม่เนี่ย”
พิมพิกาก็มีท่าทางอิดโรย แต่เครื่องหน้ายังแต่งเต็ม มีเพียงชุดที่สวมใส่เท่านั้น ที่ดูเหมือนเพิ่งลุกจากที่นอน
“ก็ดีแล้วนี่คะ แต่งหน้ามาครบ ขึ้นไปเปลี่ยนผ้าเสียหน่อย เดี๋ยวก็ลงมากราบว่าที่คุณแม่สามีได้แล้วละมั้ง”
ลลิตาเลยยิ่งเหวี่ยงหนัก แต่คนอย่างพิมพิกาหรือจะยอม
“เอ๊ะ! จะมาแดกดันอะไรกันตั้งแต่เช้าคะพี่หลิว หรือว่าที่แล่นมาตั้งแต่ตะวันยังไม่ทันได้ขึ้นมาแยงก้นใครได้นี่ ก็เพราะอยากจะมาเกาะหัวกะไดชะเง้อชะแง้และเล็มรอเลียพี่พันธ์ของหนูล่ะ ถ้าคันนักก็ยืนหันบั้นท้ายให้แดดซะให้สิ้นเรื่องสิคะ จะได้หายคัน”
ระหว่างถ้อยคำผันผวนในช่วงท้ายๆ มือหนึ่งพิมพิกายังเท้าสะเอว ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ยกขึ้นแสร้งเช็ดริมฝีปาก เป็นเชิงให้คนถูกโวย รู้จักซับน้ำลายที่ไหลย้อยของตัวเองเสียบ้าง
“จะบอกซะก่อนนะว่า อย่ามาก้าวก่ายเรื่องของหนู หนูมีปัญญาหาเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาจับผูกมัดกับใคร เหมือนกับคนอื่นๆ”
สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่ เมื่อทั้งงวงทั้งงาเริ่มฟาดมาทางอินทุอรอีกคน
“พอแล้วพิมพิ์ ไปขึ้นบ้านกันเถอะ พี่กำลังจะขึ้นไปพอดี ใจเย็นๆ ไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อน”
พันธกานต์ต้องลุกขึ้น เอาตัวบังสายตาหยามเหยียดชิงชังของน้องสาว กางกั้นไว้เสียจากอีกสองคนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม
“หลิวรอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวพี่ขอติดรถไปด้วย...”
เขาโอบไหล่พาน้องสาวก้าวเท้าจนเกือบจะพ้นระเบียงเข้าไปแล้ว ตอนที่หันมาพูดกับลลิตา
จนสองพี่น้องลับตัวไปอีกเป็นครู่ สองคนที่นั่งเคียงกันอยู่ตรงนี้ ก็ยังไม่รู้จะเริ่มพูดจาแก่กันด้วยเรื่องอะไรก่อนหลัง
ในท่ามกลางความตึงเครียดที่ผ่านมา อินทุอรลืมสังเกตว่า พันธกานต์ไม่ได้ออกปากปกป้องลลิตาเลยสักนิดจากคำพูดร้ายๆ ของพิมพิกา ส่วนตนเองนั้นช่างเถิด น้องสาวคนเล็กของบ้าน ก็เป็นอย่างนี้อยู่เสมอๆ จนตัวเธอเลิกถือสาหาความอะไรไปนานแล้ว
“ยัยพิมพิ์มันร้ายนัก”
ในที่สุดลลิตาก็พึมพำออกมาได้บ้าง
“ก็เธอไปยั่วเขา... ก่อน...”
ทีแรกอินทุอรก็หมายจะหยอกให้เพื่อนหลุดจากอาการนิ่งๆ งันๆ แต่พอหันกลับไปเห็น ก็มีอันต้องล้มเลิกความตั้งใจ
ด้วยว่าลลิตาน้ำตาพราก เปียกแก้มไปหมดแล้วทั้งสองข้าง โดยคนที่ได้แต่ตะลึงมอง ไม่มีทางรู้เลยว่า เพราะคำพูดจาตรงใด หรือเรื่องราวตรงไหน ที่ทำให้คนอย่างเพื่อนสนิทของเธอ ถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“อะไร ทำไม เกิดอะไรขึ้นล่ะหลิว...”
อินทุอรก็ทำอะไรไม่ถูก ตาสว่างขึ้นอีกไม่รู้ตั้งกี่เท่า
“เธอรู้ไหม ถ้าฉันวิ่งออกไปยืนประกาศตัวต่อหน้าคุณภาคนั่นได้ ฉันก็จะทำ”
แต่คนฟังก็ยังงง ว่าหล่อนหมายความถึงอะไร
“ทำไมล่ะ ถ้าคบหากันอยู่ จะเป็นไรไป”
“ก็บอกแล้ว ถ้าทำได้ก็ทำไปแล้ว แต่เรื่องมันยาว แล้วก็ยุ่งยาก”
ราวกับจะตัดความเศร้าโศกทั้งปวงออกไปได้ในนาทีที่เพิ่งถัดมานี้เอง ลลิตาจึงเริ่มหยิบกระดาษเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา แล้วก็ทำท่าเหมือนจะเลิกพูดจาอะไรอีกตลอดไป
โกโก้ร้อนอีกแก้วเริ่มชืด แต่อินทุอรก็ยังยกขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
ในอีกไม่ถึงห้านาทีต่อมา พันธกานต์จึงลงมาในชุดที่พร้อมจะออกนอกบ้านในวันสบายๆ เขายังแลดูหนุ่มแน่น น่ามองทั้งรูปร่างหน้าตา ความเรียบเนี้ยบที่ปรากฏ แน่นอนว่าหากผู้หญิงคนไหนได้เห็น ก็เป็นต้องใจอ่อน
แต่ลลิตานั่งเฉย ไม่ยินดียินร้ายกับการหอมฟุ้งลงมาของพี่ชายเพื่อน
“นึกว่าจะไม่รอ”
พันธกานต์ทำเหมือนจะปลอบคนยังหน้างอ ด้วยคำถามที่คล้ายว่าหากลลิตาชิงกลับไปเสียก่อน แล้วเขาจะไม่มีโอกาสออกไปไหนๆ ได้อีกเลย
“ไปกันหรือยังครับ หรือจะให้พี่ขับ มา...”
คำถามหลัง ส่งออกมาพร้อมการแบมือรอรับ
ลลิตานิ่งอยู่อีกอึดใจ ก่อนจะค่อยล้วงพวงกุญแจรถยนต์ออกมายื่นให้
แต่คนรับไม่ได้จับเพียงกุญแจ กลับช่วยดึงมือหล่อน ฉุดให้ลุกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
“ออกทางหลังบ้าน แล้วค่อยอ้อมไปดีกว่า พี่ไม่อยากให้คุณแม่ถามมากเรื่อง”
สี่ห้าประโยคก็แล้ว ลลิตาก็ยังไม่ตอบคำใด แต่หล่อนก็ยินดีลุกขึ้น และคล้อยตาม หันมาพยักหน้าให้เธอนิดหนึ่ง เป็นทำนองกล่าวลา ก่อนจะเดินตามพันธกานต์ลัดลงบันไดหลังออกไปเงียบๆ
อินทุอรต้องระบายลมหายใจออกมาอีกยืดยาว ยังพยายามจับต้นชนปลายอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ พร้อมกำลังหาทางเดินเลี่ยงห้องโถงใหญ่เพื่อกลับขึ้นไปชั้นบน
แล้วก็โล่งใจเมื่อไม่เห็นใครในห้องโถงรับแขกนั้น เพราะไม่อยากให้คุณโสภาพรรณกล่าวหาได้ว่าเสนอหน้าลงมาทำไม ในเวลาจวนแจจะได้คลุมถุงชนกันอีกคู่อยู่อย่างนี้
ไม่รู้ว่าพากันเดินไปชมสวนอยู่มุมไหน แต่ก็คิดว่าดีแล้วที่ไม่ได้เจอ
ก็เธอยังมีเรื่องของเขาคนนั้นให้ครุ่นคิดอยู่หนักหนา...
แค่นั้นมันก็ยุ่งยากมากเกินไปแล้ว...
****************
นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 เม.ย. 2554, 21:44:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 เม.ย. 2554, 21:44:56 น.
จำนวนการเข้าชม : 1921
<< บทที่ ๐๔ | บทที่ ๐๐๖ >> |
แพม 12 พ.ค. 2554, 17:31:04 น.
เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด!
เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด!