จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๓๓

---- แวะคุยกันก่อน ----
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ พอดีมีภารกิจล้างบ้าน
กับเรียนถ่ายรูปทุกวันเลยไม่ว่าง
ยังไงก็อย่าเพิ่งหายไปไหนนะ
จะพยายามเขียนให้จบอีกสองบทจบแล้วคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจด้วยการคอมเม้นนะคะ
อากาศหนาวแล้ว รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
-----------------
บทที่ 33

นักธุรกิจหนุ่มใหญ่คนหนึ่งควงคู่นักแสดงสาวสวยอายุคราวลูกนั่งอยู่ในห้องอาหารนานาชาติมีลูกน้องอีกสองสามคนติดสอยห้อยตามคอยยื่นเอกสารกำหนดการงานวิวาห์และแบบแปลนการออกแบบตกแต่งภายในงาน จำนวนแขก อาหารที่ต้องใช้ในพิธีการทั้งหมดให้กับผู้บริหารใหญ่ของอังคพิมานโฮเต็ลซึ่งรู้จักกับทางฝ่ายว่าที่เจ้าบ่าวในระดับหนึ่งพิจารณาให้คำปรึกษาว่าควรเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนสิ่งใดในงานครั้งนี้บ้าง

ศิระอ่านเอกสารพลางรับฟังความต้องการของลูกค้ารายใหญ่กระเป๋าหนักด้วยรอยยิ้มกว้างแทบไม่มีคำแนะนำใดหลุดจากริมฝีปากนอกไปจากรับปากว่าจะทำทุกอย่างที่อยู่ในแผนงานที่ส่งมาให้ก่อนจะโอนงานไปให้ฝ่ายอื่นรับหน้า ส่วนเขาก็ขอตัวออกจากห้องอาหารเพื่อกลับไปยังห้องทำงานกึ่งบ้านของตัวเอง

ชายหนุ่มก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยด้วยความคิดคำนึงทั้งหมดไปหยุดนิ่งอยู่กับการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับอนาคตของอังคพิมานโฮเต็ล แม้ว่ามลธิกาจะสนับสนุนให้เขาเลือกไม่ขายหุ้นและปล่อยให้ทางครอมเวลนำข้อมูลความผิดทุกอย่างของนางออกประกาศสู่สาธารณชน ทั้งที่การทำเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงที่นอนป่วยอยู่สมควรได้รับ แต่แปลกนักที่เขากลับยังลังเลใจจนไม่กล้าติดต่อกับทางครอมเวลเพื่อยืนยันความคิดที่จะไม่ขายหุ้น

เพราะความลังเลใจนี้เองที่ทำให้ศิระรู้สึกหงุดหงิดตะขิดตะขวงใจจนไม่เป็นอันกินอันนอน ยามว่างจากงานเมื่อไหร่เป็นต้องเหม่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้เสมอจนดูเหมือนสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว

“ คุณศิระคะ ” พนักงานต้อนรับของโรงแรมโบกมือร้องเรียกเจ้านายอยู่นานกว่าที่เขาจะสะดุ้งรู้สึกตัวแล้วหันไปมองถึงรู้ว่ามีคนฝากเอกสารปิดผนึกอย่างดีในซองสีน้ำเงินมาฝากให้ไว้ก่อนหน้าที่เขาจะสนทนากับว่าที่คู่แต่งงานใหม่ไม่กี่นาที

“ คนเอามาส่งเขาบอกไว้หรือเปล่าว่าเอาอะไรมาให้ ”

“ ไม่ได้บอกคะ แต่ดิฉันได้ยินเขาพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า เกมโอเวอร์ ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมเขาพูดแบบนั้น ”

คิ้วเรียวเข้มของผู้บริหารหนุ่มขมวดเข้าหากันหากก็มิได้พูดอะไรกับพนักงานผู้รับเรื่องต่อเพียงแต่เดินต่อไปยังลิฟต์พิเศษของฝ่ายบริหารแต่แล้วก็ต้องชะงักหยุดเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกอดอกดักรอเขาอยู่หน้าลิฟต์

“ นายมาทำอะไรที่นี่ ” ประโยคคำถามหลุดออกไปแทนคำทักทาย

“ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย...ไปคุยกับฉันบนดาดฟ้าของโรงแรมได้ไหม ”

“ ถ้ามีธุระกับฉันทำไมไม่คุยกันในห้องทำงาน หรือนายกลัวว่าในห้องฉันจะมีเครื่องดักฟัง...ฉันให้พนักงานมาเคลียร์ห้องหมดแล้ว แล้วฉันก็คอยเปลี่ยนรหัสคีย์การ์ดทุกวันรับรองว่าไม่มีใครเอาเครื่องดักฟังมาติดได้อีกหรอก ”

“ ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก แต่แค่อยากสูดอากาศระหว่างคุยไปด้วยเท่านั้นเอง ”

ผู้บริหารหนุ่มจ้องมองใบหน้าอันเครียดเคร่งอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนของอีกฝ่ายแล้วนิ่งไปครู่หนึ่งก็ยักไหล่ตอบรับความประสงค์นั้นด้วยการกดนิ้วเรียวลงบนปุ่มเพื่อเรียกลิฟต์มายังชั้นสามสิบแล้วจึงเดินขึ้นบันไดหนีไฟขึ้นไปจนถึงดาดฟ้าซึ่งทางโรงแรมนำพื้นที่ว่างเปล่ามาจัดเป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับเพื่อให้แขกชาวต่างชาติที่อยากหามุมสงบเงียบสามารถมาเดินเล่นพักผ่อน

ทั้งคู่ก้าวเท้าไปตามทางเดินอิฐมอญต่างฝ่ายต่างเงียบงันไม่พูดจากระทั่งมาถึงกอดอกมะลิที่ชูช่อออกดอกขาวสะพรั่งเต็มพุ่มผู้ที่เรียกร้องจะคุยกันที่นี่ก็หยุดเท้าพร้อมยื่นแขนออกไปช้อนดอกมะลิขึ้นมาในอุ้งมืออย่างรักใคร่ทะนุถนอมดังกับได้จับมือของหญิงสาวผู้เป็นที่รักอย่างไรอย่างนั้น

“ นายยังคิดกับเล็กมากกว่าพี่น้องอยู่หรือเปล่า ” อยู่ๆคนที่จมจ่อมอยู่กับความงามของพรรณไม้ก็เอ่ยถามถึงความรู้สึกเบื้องลึกในหัวใจที่คนฟังเคยพยายามเก็บซ่อนไว้

คนตัวสูงชำเลืองมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้าเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวเองว่า นับจากอังคพิมานต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายหลายอย่างความรู้สึกพิศวาสในเชิงชู้สาวที่เคยมีต่อน้องเนิ่นนานนั้นกลับมลายหายไป

“ พูดกันตามตรง ตั้งแต่อังคพิมานมีเรื่อง ฉันก็เริ่มเข้าใจอะไรหลายอย่างในชีวิตมากขึ้น แปลกนะทั้งที่เมื่อก่อนฉันเหมือนคนบ้าที่พยายามวิ่งหนีความรู้สึกพวกนั้น แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่เคยคิดถึงเล็กในแง่นั้นอีกเลย อาจเพราะฉันมีหลายเรื่องต้องคิด ความรู้สึกฟุ้งซ่านมันก็เลยหายไป ” เขาพูดเรียบเรื่อยเหมือนคนที่ไม่รู้สึกอันใดกับบ่วงบาปที่เคยพันธนาการตนเองจนหายใจไม่ออก

คนถามพยักหน้าแทนการตอบรับเฝ้ามองดอกมะลิงามพิสุทธิ์ทั้งช่อด้วยแววตาที่ไร้ประกายดังกับชีวิตหาได้มีความรื่นรมย์ใดเหลืออยู่ก่อนจะหยิบเอาจดหมายที่สอดอยู่ในซองสีขาวอบกลิ่นดอกกุหลาบหันกลับมาส่งให้

“ ฉันอยากฝากจดหมายฉบับนี้ไว้กับนาย วันไหนที่ฉันไม่อยู่ที่นี่แล้ว...ฉันอยากให้นายเปิดอ่านและขอร้องให้นายทำตามที่ฉันเขียนไว้จะได้ไหม ” เขาพูดฝากฝังด้วยน้ำเสียงที่เศร้ารันทดหนักหนาเสียจนคนที่ยื่นมือไปรับจดหมายฉบับนั้นมาไว้กับตัวรู้สึกแปลกใจ หากเมื่อหวนคิดถึงวันที่ได้เปิดใจสนทนากันก็จำได้ว่าอีกฝ่ายมีงานที่ต้องทำเพื่อปลดตัวเองเป็นอิสระจากร่มเงาของครอม เวลก็คลายใจสงสัยไปในระดับหนึ่ง

“ ทางครอมเวลเขาเร่งนายให้ไปทำงานชิ้นสุดท้ายแล้วใช่ไหม ” ศิระถามกลับเพียงเห็นคนตรงข้ามเพียงยิ้มอ่อนก็เข้าใจไปเองว่าเป็นการตอบรับจึงเอ่ยต่อ “ ถ้าจะฝากให้ฉันดูแลเล็กกับโชเนนฟาวในช่วงที่นายไม่อยู่ นายพูดปากเปล่าก็ได้ไม่เห็นจะต้องมีจดหมายอะไรเลย ”

“ มันมีรายละเอียดหลายอย่างที่ฉันพูดอย่างเดียวไม่หมด เอาเป็นว่านายจะรับปากตามที่ฉันขอไปได้หรือเปล่า ”

“ ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ยังไงเล็กก็เป็นน้องสาวฉัน...เวลาที่นายไม่อยู่ ฉันก็ต้องดูแลน้องแทนนายอยู่แล้ว...นายแค่พยายามรอดกลับมาหาเล็กให้ได้ก็พอ เรื่องอื่นระหว่างนั้นฉันจะดูแลแทนนายให้เอง ”

“ ขอบคุณนะ ” คนตัวใหญ่กว่ากล่าวสั้นพร้อมแย้มริมฝีปากกว้างทว่าแววตาที่สะท้อนภาพของคู่สนทนากับฉายชัดถึงความเจ็บปวดที่มิอาจเก็บซ่อนไว้มิดเม้มเฉกทุกคราที่พบกัน

“ นายเป็นอะไรหรือเปล่า ” แม้จะเคยเป็นศัตรูกันมานานและความสัมพันธ์ก็หาใช่จะสนิทแนบแน่นกัน ทว่าในนาทีที่เห็นความทรมานจากคนตรงหน้าทำให้มีความห่วงใยเกิดขึ้น

ภาควัฒน์มิได้ตอบสนองต่อคำถามทางวาจาเพียงแค่แย้มริมฝีปากหยักบางกว้างที่ไม่อาจประเมินได้ว่าเป็นความรู้สึกพึงพอใจ หากก็ไม่ทันได้ซักไซ้ไล่เรียงให้หายสงสัยอีกฝ่ายก็ตัดบทขอตัวลาแล้วย่างเท้าออกไปข้างหน้าก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูทางหนีไฟที่ทอดลงไปถึงชั้นล่างเพื่อแหงนหน้าพลางยกฝ่ามือหมายจะคว้าริ้วเมฆที่ระบายเป็นสายบนท้องฟ้าให้ได้สักหนึ่งกำมือแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า

...จากวันนี้ไปความรักของเขาก็คงเหมือนเมฆที่แม้นจะมองเห็นได้หากก็ไม่มีวันจะเอื้อมมือถึง...
**********************

หลังจากรับบัตรจอดรถบุคคลภายนอกจากพนักงานรักษาความปลอดภัยรถเก๋งญี่ปุ่มใหม่เอี่ยมก็แล่นเลยป้อมยามเข้ามาถึงบริเวณหน้าอาคารฝ่ายสำนักงานของบริษัทโชเนนฟาว แต่ไม่ทันที่รถจะเคลื่อนไปเสียบในช่องว่างของลานจอดรถด้านหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับก็ปลดเข็มขัดนิรภัยเปิดประตูลงจากรถกึ่งวิ่งกึ่งผ่านประตูกระจกอัตโนมัติเข้าไปโดยไม่ฟังเสียงจากสารถีที่ชะโงกหน้าออกมาร้องเรียกไว้แม้แต่น้อย

ศศิวิมลก้าวเท้าไปในลิฟต์อย่างรีบร้อนทันทีที่ประตูเปิดกดหมายเลขชั้นที่ต้องการ ดวงตาจดจ้องอยู่ตรงหน้าจอที่แสดงหมายเลขที่กำลังเคลื่อนไปด้านบนก่อนจะก้าวออกจากลิฟต์เดินไปตามทางกระทั่งเห็นประตูห้องที่มีป้ายตำแหน่งประธานกรรมการบริหารติดอยู่

“ คุณภาควัฒน์อยู่ไหมคะ ” หล่อนร้องถามกับชายหนุ่มที่นั่งประจำตรงโต๊ะทำงานหน้าห้อง...คนที่ก้มหน้าก้มตายุ่งอยู่กับกองเอกสารจึงเงยหน้ามองและเพียงเห็นใบหน้าของผู้มาติดต่อเขาก็มีท่าทีนิ่งไปชั่วอึดใจจึงตอบคำถาม

“ ตอนนี้คุณภาควัฒน์ไม่อยู่ครับ ”

“ ไปไหนทราบไหมคะ ”

“ ไม่ทราบเหมือนกันครับ ตอนท่านออกไปก็ไม่ได้ฝากอะไรไว้นะครับ ยังไงคุณจะรอท่านในห้องหรือเปล่าครับ ผมจะได้เปิดประตูให้ ”

“ เข้าไปรอข้างในได้เหรอคะ ” คนตัวเล็กเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจที่เลขานุการหนุ่มผู้นั้นยอมเชิญคนที่ไม่รู้จักเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านายแต่หล่อนก็พยักหน้ารับและเดินตามเข้าไปภายในห้องทำงานกว้างขวางที่จัดวางเฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่สั่งทำเข้าชุดกับสีโทนน้ำตาลอ่อนที่ฉาบผนัง ข้าวของส่วนใหญ่ถูกจัดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบจะมีก็เพียงบนโต๊ะทำงานที่กองเต็มไปด้วยเอกสาร

“ คุณศศวิมลจะรับชาหรือกาแฟดีครับ ” คำเรียกขานชื่อพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างนอบน้อมนั้นสร้างความประหลาดใจให้แก่คนที่ตามหลังเข้ามา

“ คุณรู้จักดิฉันด้วยเหรอคะ ”

“ ครับ...ไม่ได้มีแค่มีผมนะครับที่รู้จัก คนทั้งบริษัททั้งโรงงานก็รู้จักคุณด้วยกันทั้งนั้นแหละ ”

“ ทำไมถึงรู้ล่ะคะ ”

“ ก็คุณภาควัฒน์นะเวลาผมเอาเอกสารมาให้หรือท่านลงไปคุมงานชอบเอารูปคุณมาให้ผมกับพนักงานคนอื่นดูอยู่เรื่อย แถมยังเล่าให้ฟังตลอดเลยว่าคุณเป็นภรรยาที่ดีมาก ปกติเวลาทำงานท่านค่อนข้างจะขรึมแต่เวลาที่ท่านพูดถึงคุณทีไหร่ท่านจะยิ้มมีความสุขมากจนผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีโอกาสได้พบภรรยาที่ทำให้ท่านกลายเป็นคนอ่อนโยนได้ถึงขนาดนั้นก็คงจะดี ”

“ หรือคะ ” หล่อนเม้มริมฝีปากแน่นให้กับเรื่องเล่าของอีกฝ่ายก่อนจะปฏิเสธเรื่องเครื่องดื่มและขอตัวอยู่ในห้องตามลำพัง

หญิงสาวเดินสำรวจห้องทีละก้าวอย่างละเอียดลออทุกตารางนิ้ว ดวงตาหวานอมโศกแลภาพเหมือนในกรอบทองของภาคพันธ์อันเป็นสิ่งเดียวที่ประดับไว้ในห้องแล้วจึงมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะทำงาน

มือเรียวขาวรวบเก็บเอกสารภาษาอังกฤษที่วางระเกะระกะกับสมุดบันทึกของมลธิกาไว้ตรงมุมหนึ่งของโต๊ะจึงมีโอกาสได้เห็นรูปคู่ระหว่างตนเองกับสามีในวัยเด็กติดอยู่ใต้แผ่นกระจกบ่งบอกถึงความผูกพันที่รัดร้อยกันไว้เนิ่นนานชวนให้น้ำตาจากความเศร้ารื้นขังขอบพร้อมลากเก้าอี้มาทรุดลงนั่งเหมือนคนหมดแรง ในเวลาที่รู้เรื่องราวกระจ่างชัดในหัวใจ แต่หล่อนกลับเหมือนคนมืดแปดด้านที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้การพรากจากกันไม่เกิดขึ้น

ทว่าในนาทีที่กำลังจะสิ้นหวังก็เหมือนมีบางอย่างให้ฉุกคิด หล่อนเอากระเป๋าสะพายมาวางบนหน้าตักหยิบเอากระเป๋าสตางค์ออกมาเปิดค้นนามบัตรสีทองที่เคยได้รับมาแล้วใช้โทรศัพท์มือถือกดหมายเลขที่ปรากฏอยู่บนนั้นโทรออกไปเป็นเวลาเดียวกันกับที่หญิงสาวมัดผมม้าสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวลายแมวสีดำตะกายมาถึงชั้นบนสุด

ความร้อนใจที่เห็นเพื่อนกระโจนออกจากรถทำให้รสาอดทนรอลิฟต์ไม่ไหวเลยจำใจวิ่งขึ้นบันไดทำให้พอเดินมาถึงโต๊ะของเลขานุการหน้าห้องได้ก็ถึงกับแทบทรุดลงไปกองกับพื้น

“ เมื่อกี้มีผู้หญิงตัวเล็กๆขึ้นมาที่นี่หรือเปล่าคะ ” หล่อนถามพลางหอบหายใจหนัก หากไม่ทันได้รับคำตอบบานประตูที่ปิดสนิทอยู่ก็เปิดออกเผยให้เห็นคนตัวเล็กที่กำลังเดินออกมาหล่อนจึงผละไปหาอย่างรวดเร็ว

“ เล็กมีเรื่องอะไรกับคุณภาคเขาหรือยังไงถึงได้รีบร้อนขึ้นมาไม่รอเราแบบนี้ ”

อีกฝ่ายปรายตามองเพื่อนสนิทมีรอยยิ้มบางระบายบนใบหน้า

“ สาขับรถพาเราไปกรมการกงสุลหน่อยได้ไหม ”

“ เล็กจะไปทำอะไรที่กรมการกงสุล ” คนตัวสูงกว่าว่าพร้อมเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย

“ สาไปส่งเราได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้เราจะเรียกแท็กซี่ไป ”

“ ไปส่งนะได้ แต่เล็กจะไปทำอะไรที่กรมกงสุล คนที่ไปที่นั่นส่วนใหญ่เขาไปทำหนังสือเดินทางนะ ”

ศศิวิมลไม่ตอบเพียงแต่ทอดสายตาออกไปยังภาพเบื้องนอกกระจกบานใสพลางสูดลมหายใจลึก...ดวงหน้าหวานอมโศกเรียบเฉยแลว่างเปล่า หากในแววตากลับมีประกายความมุ่งมั่นหนักหนาอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน...
*****************************

ประตูม้วนเหล็กที่ใช้ปิดศาลาสำหรับใช้สวดอภิธรรมศพถูกสัปปะเหร่อดันขึ้นกระทบกับราวด้านบนอย่างแรงจนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อลำแสงสว่างจากเบื้องนอกสามารถส่องถึงทุกอย่างภายในนั้นให้พ้นจากความมืด

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ถอดรองเท้าหนังมันปลาบไว้ตรงขั้นบันไดก่อนจะตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าหีบศพทองในสีขาวซึ่งแกะลายพิกุลและเทพพนมไว้อย่างสวยงามถัดออกไปไม่ใกล้มีรูปถ่ายของสตรีวัยกลางคนตั้งอยู่

ภาควัฒน์ลูบมือใหญ่ไปตามลายแกะสลักนูนต่ำอย่างแผ่วเบาราวกับจะซับเอาไอละมุนที่อาจหลงเหลือจากมารดา...นัยน์ตาคมกล้าที่เคยเย็นเยือกดุจภูเขาน้ำแข็งนั้นกลับเหลือเพียงความหม่นหมอง

ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเขาเคยคิดเสมอว่าการมีอยู่หรือจากไปของคนในวิสุทธิ์สุนทรหาได้มีผลกระทบใดกับตนเอง เพราะรอยแผลจากพ่อที่คอยกดดันเขาในทุกด้านหรือจากแม่ที่ตระเวนออกช่วยเหลือสังคมมากกว่าให้ความสำคัญกับเขาได้กัดกินลึกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ หากในเวลานี้เขากลับรู้สึกละอายใจที่ไม่อาจอยู่ร่วมส่งวิญญาณแม่ไปสู่สุขคติในวันเผาได้

“ ผมขอโทษที่อยู่จนถึงวันเผาแม่ไม่ได้...ขอโทษที่ผมคิดโกรธพ่อกับแม่ทำให้ตัดสินใจผิดพลาดจนทำให้คนที่ผมรักต้องเดือดร้อน ผมมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบและปกป้องคนที่ผมรัก แม่รู้ใช่ไหมครับว่าเล็กสำคัญกับผมมาก ผมทนเห็นเล็กมีชีวิตที่ต้องหนีไปตลอดชีวิตไม่ได้ ผมคิดว่าแม่คงเข้าใจผมใช่ไหมครับ ” เขาเอ่ยถามแล้วทรุดลงนั่งกับพื้นที่ปูพรมสีน้ำเงินก่อนจะเงยหน้ามองไปยังรูปถ่ายของอรพิณที่ยังคงแย้มริมฝีปากกว้าง

คนเป็นลูกใช้เวลานั่งอยู่กับร่างไร้วิญญาณของมารดาอยู่นานเป็นชั่วโมงกว่าจะข่มใจกราบลาเป็นครั้งสุดท้ายจึงบ่ายหน้าเดินไปยังป่าช้าท้ายวัดตามหาอัฐิที่มีชื่อและรูปถ่ายขนาดเล็กของบิดาประทับ คล้องพวงมาลัยดอกมะลิที่พกมาในกระเป๋าเสื้อลงบนยอดอัฐิแล้วพนมมือไหว้

ลูกชายยืนอยู่ต่อหน้าอัฐิของพ่อเพื่อสารภาพถึงความผิดของตนที่ใช้อารมณ์เลือกตัดขาดจากตระกูลตัวเอง กระทั่งถึงเรื่องที่ชักพาครอมเวลมาทำร้ายครอบครัวอังคพิมานและคนที่รัก

“ ผมขอโทษที่ทำตามความต้องการของพ่อไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าเล็กจะทำหน้าที่นั้นแทนผมได้ เพราะฉะนั้นพ่อไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีใครสืบทอดกิจการของเราต่อนะครับ ” เขาเอ่ยกับอัฐิของภาคพันธ์เหมือนกำลังสนทนากับผู้มีชีวิตแล้วถอยหลังมาดูใบหน้าอันขึงขังจริงจังของพ่อในรูปถ่ายสักครู่ถึงทรุดตัวลงก้มกราบกับพื้นดินปนทรายเพื่ออำลาจากจึงค่อยเดินกลับมาเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ

คนตัวใหญ่ซบหน้าลงกับพวงมาลัยเหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอก...ยังไม่รู้เลยว่าจะจัดการอย่างไรให้ศศิวิมลบอบช้ำกับเรื่องนี้ให้น้อยที่สุดได้แต่ใคร่ครวญถึงเรื่องนี้อยู่นานกว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็เกือบจะห้าโมงเย็นจึงตัดสินใจขับรถไปยังโรงพยาบาลที่เพื่อนสนิทของแม่พักรักษาตัว

ชายหนุ่มเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปภายในห้องพักกลับพบเพียงสมพรนั่งดูโทรทัศน์เฝ้าคนป่วยอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง

“ เล็กไปไหนครับพี่สม ”

“ ไม่รู้เหมือนกันคะคุณภาค พอดีพี่สมออกไปส่งธนาณัติกลับมาอีกทีก็ไม่เห็นคุณเล็กแล้ว คุณผู้หญิงเธอก็หลับอยู่เลยไม่รู้จะถามกับใคร ” หล่อนบอกและด้วยเสียงสนทนาของคนทั้งสองนี่เองที่ปลุกให้มลธิกาตื่นจากนิทราเหลือบมองชายหนุ่มที่คุ้นเคยกันดีอยู่จึงกวักมือเรียกสมพรให้ปรับหัวเตียงให้สูงขึ้น

“ มาหาเล็กเหรอภาค ” นางถามพลางยกมือรับไหว้ สมพรจึงใช้โอกาสนี้ขอตัวลงไปหาซื้อของกินข้างล่าง

“ ครับ...ไม่ทราบว่าป้ามลรู้หรือเปล่าว่าเล็กเขาไปไหน ”

“ เล็กเขาหายไปตั้งแต่ตอนที่มีแขกมาเยี่ยมป้า...ภาคคงรู้ใช่ไหมว่าใครมาหาป้าวันนี้ ” แววตาและสุ้มเสียงของคนป่วยที่มองชายตรงหน้ามีความหมายบางประการคล้ายกับจะบอกใบ้เป็นนัยว่าคนทีกล่าวถึงคือใคร จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “ ป้ารู้เรื่องทุกอย่างตอนเราอยู่เมืองนอกกับข้อตกลงที่เราทำไว้กับทางนั้นหมดแล้ว และป้าอยากให้ภาคล้มเลิกความคิดจะเสียสละตัวเองเพื่อช่วยอังคพิมาน ไม่มีความจำเป็นที่ภาคต้องทำแบบนั้น เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความผิดของป้ามาตั้งแต่แรก ถ้ามีใครจะต้องรับผิดชอบก็ต้องเป็นป้าคนเดียว ”

คนอ่อนเยาว์สบสายตากับผู้มากวัยกว่าพลางเหยียดมุมปากราวกับจะเยาะน้ำคำของคนป่วย

“ ป้ามลเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับ ผมไม่ได้ทำเรื่องนี้เพื่อช่วยป้ามลหรืออังคพิมานโฮเต็ลเลย ”

“ ภาคทำเรื่องนี้เพราะเล็กเขา แต่ภาคคิดบ้างหรือเปล่าว่าเล็กจะรู้สึกยังไงที่รู้ว่าภาคตัดสินใจทำอย่างนี้ ผู้ชายคนนั้นถนัดใช้ความอ่อนแอของคนอื่นมาหาประโยชน์ก็จริง แต่ถ้าเราไม่คล้อยตามข้อเสนอแล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นก็พอ ”

“ ป้าก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอครับว่าผมเป็นใคร และทางนั่นต้องการอะไรจากสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมด ทั้งป้าและผมก็รู้ว่าถ้าเขาต้องการอะไรเขาสามารถทำได้ทุกอย่างแม้แต่การฆ่า ผมไม่ต้องการให้เล็กรู้ว่าเขามีชาติกำเนิดยังไงอีกแล้ว และผมไม่อยากให้เขาฉุดเล็กลงมาอยู่กับชีวิตที่มีแต่ความเสี่ยงไม่ได้...ป้ามลอาจจะคิดว่าปัดเรื่องนี้ไปให้พ้นตัวเหมือนที่ป้าชอบทำมาตลอดก็น่าจะพอ แต่สำหรับผม ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่การได้เห็นคนที่เรารักมีความสุขกับชีวิตที่เป็นปกติมันย่อมดีกว่าการอยู่ด้วยโดยมีแต่ความทุกข์ ”

มลธิกาเม้มริมฝีปากแน่นกับความเด็ดเดี่ยวของคนที่นางเห็นเป็นหลานชวนให้ในอกกลัดหนอง อยากจะก้มหน้ารับความผิดเพื่อให้แผลในอกถูกแทงให้แตกสลาย ทว่าสุดท้ายกลับกลายเป็นคนอื่นมารับไปแบก

“ ในเมื่อเล็กไม่อยู่ที่นี่ ยังไงผมคงต้องขอลากลับก่อนนะครับ ” เขาตัดบทด้วยการไหว้ลาแล้วหันหลังเดินออกไปทิ้งให้คนป่วยนั่งอยู่บนเตียงกับความทรมานที่ไม่อาจรู้ว่าจะมอดไหม้สิ้นจากใจไปเมื่อไหร่

ชายหนุ่มก้าวออกมาทรุดลงนั่งกับม้านั่งหน้าห้องด้วยความรู้สึกมากมายระคนกันจนสับสนก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรหาภรรยา แม้จะติดแต่เจ้าของเครื่องกลับไม่รับสายจึงเปลี่ยนเป้าหมายโทรกลับไปที่บ้านแทนก็วางใจเมื่อรู้ว่าคนที่เขาตั้งใจมารับกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว

“ เล็กเขากลับบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ”

“ ก่อนคุณภาคโทรมาประมาณชั่วโมงได้ค่ะ ตอนคุณเล็กเธอกลับเข้ามายายก็ถามอยู่ว่าทำไมไม่รอคุณภาค เธอก็ไม่พูดอะไรเอาแต่ยิ้ม นี่ยายก็เห็นเธอหายเข้าไปในห้องทำงานคุณภาคตั้งนานป่านนี้ยังไม่ออกมาเลย ”

เพียงฟังปลายสายพูดก็บังเกิดความสงสัยจนทำให้คิ้วเรียวหนาขมวด รู้สึกสังหรณ์ใจว่าเรื่องที่เขาเก็บซ่อนไว้อาจล่วงรู้ไปถึงหญิงสาวแล้วก็ลุกพรวดจากเก้าอี้รีบวิ่งลงบันไดขับรถจากลานจอดเหยียบคันเร่งจนมิดเพียงเพื่อจะกลับให้ถึงบ้านเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ท้องถนนในเวลาเลิกงานกลับไม่อำนวยทำให้กว่าจะมาถึงปลายทางฟ้าก็ใกล้มืดเต็มที

ภาควัฒน์เดินเข้าในบ้านยินเสียงบรรดาคนรับใช้เก่าแก่สนทนาระคนไปกับเสียงทำอาหารก็ไม่ได้หยุดทักทายแต่รีบกระโจนขึ้นบันไดไปยังหน้าห้องทำงานของตนเองแล้วเปิดพรวดเข้าไปแทนที่จะเห็นในห้องเปิดไฟสว่างกลับพบว่าไฟถูกปิดมืดจะมีก็เพียงแสงจากโคมไฟบนยอดเสาในสวนด้านนอกที่ส่องพอให้เห็นเรือนร่างของหญิงสาวสลัวลาง

วินาทีที่ย่างเท้าไปข้างหน้าห่างจากประตูไปเล็กน้อยคนที่ยืนกอดอกหันหน้าทอดสายตาไปยังท้องฟ้าตรงหน้าต่างก็เอ่ยบางประโยคที่ทำให้เขาแทบลืมหายใจ

“ เล็กควรเรียกคุณว่าภาควัฒน์หรือพอล ครอมเวลดีคะ ” เสียงหวานที่เอ่ยถามมีแววกระด้างแข็ง

ชายหนุ่มนิ่งคล้ายตกใจที่หญิงสาวล่วงรู้ถึงตัวตนอีกคนที่เขาเก็บซ่อนไว้แต่ก็ไม่ทำอะไรมากไปกว่าสูดลมหายใจ...แทบไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเรื่องนี้คงหลุดลอดมาถึงหูตอนที่คอยด์ไปพบมลธิกาที่โรงพยาบาลแน่

“ คุณใจร้ายมากนะคะที่คิดใช้เล็กเป็นเครื่องมือเพื่อความสำเร็จของตัวเอง ” คำกล่าวตำหนิเสียดแทงตัดขั้วหัวใจของคนที่เฝ้ามองแผ่นหลังบางในความลางเลือนให้ร้าวระบม ตระหนักรู้ได้ถึงความผิดหวังที่เจืออยู่ในน้ำเสียงของหญิงสาวที่เขารักปานดวงใจ

“ พี่ก็เคยบอกเล็กแล้วไม่ใช่เหรอคะ ว่าพี่ไม่ใช่คนดี ” คำที่กล่าวจากริมฝีปากหยักบางเบาราวเสียงกระซิบ

“ รู้ไหมคะว่าเล็กเกลียดคนโกหก ” หล่อนพูดเสียงแข็งยังคงไม่ยอมหันกลับมาประจันหน้าคู่สนทนา

“ พี่รู้ค่ะ และตอนนี้พี่ก็กำลังกลายเป็นคนโกหกที่เล็กเกลียดแล้วใช่ไหมคะ ” เขาเงียบเสียงพลางก้มหน้ามองพื้น ระยะห่างระหว่างกันทำให้แทบมองไม่เห็นอะไรแม้จะมีแสงสลัวจากด้านนอกแต่ความละอายที่เกาะกินใจก็ทำให้ไม่อาจสู้หน้า พยายามสูดลมหายใจและเอ่ยคำที่สร้างความทรมานใจทีละคำ “ ถ้าเล็กเกลียดพี่แล้วก็ดีเหมือนกัน วันไหนที่พี่ไม่อยู่ เล็กจะได้ลืมพี่ง่ายขึ้น ”

เพราะเข้าใจเอาเองว่า หากหัวใจถูกความชิงชังแทนที่ความผูกพันที่มีต่อกันย่อมทำให้ความทรงจำอันเกี่ยวพันกันจางหายได้ไม่อยาก ทว่าในขณะที่เขาปิดเปลือกตาอันเหนื่อยล้าด้วยยอมจำนนกับการต้องกลายเป็นคนที่ถูกเกลียด บนอกแข็งกลับถูกกำปั้นกระหนำเข้าใส่นับครั้งไม่ถ้วน

ชายหนุ่มหลุดอุทานพร้อมลืมตาขึ้นมาด้วยอารามตกใจก็เห็นคนตัวเล็กกำหมัดทุบถ่องใส่อย่างไม่ปราณี

“ ทำไมพี่ภาคถึงชอบบอกให้เล็กลืมพี่คะ พี่ภาคคิดเหรอคะว่า การที่เราเกลียดใครสักคนหนึ่งแล้วจะสามารถลืมเขาคนนั้นได้ พี่ภาครู้ไหมคะว่าความจริงแล้ว ตราบใดที่หัวใจของเรายังมีรักและเกลียดชัง ตราบนั้นความทรงจำที่สุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเหมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนทุกแห่งชั่วนิรันดร์ แล้วพี่ยังคิดอีกเหรอคะว่าถ้าเกลียดกันจะลืมกันได้ ” หญิงสาวร้องถามรัวเร็วยังคงทุบตีอกอันแข็งแกร่งของคนที่ยังยืนนิ่งยอมเป็นฝ่ายถูกทำร้ายโดยดุษฎี

“ พี่ภาคไม่เคยเปลี่ยนเลย ยังคงเป็นคนที่คอยแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว ทำไมถึงชอบตัดสินใจคนเดียว พี่ภาครู้ได้ยังไงว่าเล็กต้องการอะไร เล็กจะอยู่อย่างมีความสุขทั้งที่ไม่มีพี่ได้ยังไง ”

ศศิวิมลเอ่ยถามทำนบน้ำตาที่กลั้นไว้บัดนี้ไหลรินอาบสองแก้มดุจสายน้ำ ไหล่บางไหวโอนไปตามแรงสะอื้น ส่วนมือที่กำแน่นทั้งสองก็อ่อนแรงเกินกว่าจะขยับจึงวางนิ่งอยู่บนลำตัว มิอาจห้ามเสียงในลำคอที่ครวญร้องเฉกเดียวกับสัตว์ที่ถูกโบกตีรุนแรงเจียนตาย

ชายหนุ่มกัดริมฝีปากแรงจนเลือดซิบ แม้จะมองไม่เห็นดวงหน้าแต่ก็รับรู้ได้ถึงความทรมานที่คนตรงหน้าประสบ...อานุภาพของมันร้ายแรงสะเทือนลึกทั่วทั้งร่างให้ปวดปลาบเสียยิ่งกว่าการทำร้ายใดที่เคยถูกกระทำ ลำแขนอุ่นดึงรั้งร่างบางไว้ในอ้อมแขนรับรู้ถึงหยดน้ำอุ่นที่หยาดรดบนเสื้อเชิ้ตจนเปียกชุ่มแล้วเหมือนจะขาดใจตามไปด้วย

“ พี่ขอโทษคะคนดี...พี่ขอโทษที่ทำให้เล็กเจ็บปวด แต่พี่ทนไม่ได้หรอกคะที่จะเห็นเล็กต้องอยู่กับชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา ถึงวันนี้เล็กอาจจะทนกับการหนีได้แต่การต้องหนีไปตลอดชีวิตมันเลวร้ายมาก วันหนึ่งเมื่อทุกอย่างมันถึงขีดสุด เล็กอาจจะขอให้พี่เอาชีวิตเล็กไป แล้วเล็กคิดเหรอคะว่าพี่จะทำได้ เพราะฉะนั้นทางเดียวที่พี่จะมั่นใจว่าเล็กจะไม่ถูกใครทำร้ายก็คือการรับข้อเสนอของเขา ”

“ แต่พี่ภาคสัญญากับเล็กแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าจะไม่ทิ้งเล็กไปไหนอีก ทำไมถึงผิดสัญญากับเล็กล่ะคะ ” ถ้อยความที่ทวงถามคำมั่นระหว่างกันสร้างความรวดร้าวอยู่ในใจของคนทั้งคู่

“ พี่ขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ แต่ถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ขอให้เล็กจำไว้ว่า ทุกลมหายใจของพี่ต่อจากนี้ไปพี่จะ คิดถึงครั้งแรกที่เราได้พบกัน เพลงแรกที่เราเล่นด้วยกัน วันเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน พี่จะมีชีวิตอยู่เพื่อคิดถึงเล็กจนวันสุดท้ายของชีวิตพี่ เล็กจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่พี่รัก ”

ภาควัฒน์รำพันเสียงสั่นซบหน้าลงบนเรือนผมนุ่มสูดกลิ่นหอมไว้ลึกล้ำราวกับจะตรึงไว้มิให้จางหายกว่าจะละถอยห่าง ใช้ฝ่ามืออุ่นประคองดวงหน้านวลพลางจูบซับน้ำตาที่อาบท้นทั่วหน้าอย่างอ่อนโยนทั้งที่ในอกรู้สึกทรมานเหมือนถูกของหนักบีบรัดกายใหญ่ไว้จนเกือบแตกสลายแล้วกอดประโลมคนตัวเล็กแนบแน่นเนิ่นนาน

ท่ามกลางความมืดมิดแห่งราตรีกาลอันหนาวเหน็บขณะที่ทั้งโลกถูกครอบคลุมด้วยความเงียบสงัดจนได้ยินกระทั่งเสียงเคลื่อนของเข็มวินาที ทายาทวิสุทธิ์สุนทรเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาในห้องทำงานก็รู้ว่าใกล้เวลาต้องพรากจากจึงช้อนร่างของศศิวิมลที่นั่งหลับซบอยู่ในอ้อมแขนเขาบนพื้นอุ้มพาไปวางไว้บนเตียงนุ่มในห้องนอน

ชายหนุ่มผลัดเสื้อกับกางเกงเป็นชุดใหม่ หยิบกระเป๋าเป้สัมภาระที่บรรจุเพียงจดหมายกับข้าวของสำคัญบางชิ้นที่มีคุณค่าเกินกว่าจะทิ้งขึ้นหลัง นัยน์ตาคมเหลือบมองเงาหน้าที่สะท้อนผ่านกระจกก็พบบุรุษหนุ่มที่ไร้พลังหมดสิ้นความสุขคนหนึ่งปรากฏอยู่

เขาปิดบานประตูตู้เสื้อผ้าเบาก่อนจะเดินกลับไปยังเตียงนอน ทอดสายตายังใบหน้าที่ถูกแสงจันทร์ด้านนอกสาดกระทบให้เห็นร่องรอยระทมหม่นไหม้ หัวใจที่แตกสลายก็คล้ายถูกใครมาเหยียบขยี้ให้แหลกเป็นขุยผง

ปลายนิ้วเรียวไล้ไปพวงแก้มที่ทิ้งรอยคราบน้ำตาแผ่วเบาทะนุถนอมดังกับจับชิ้นกระเบื้องราคาแพง เฝ้ามองดวงหน้านวลราวกับจะตราตรึงไว้ในดวงจิต มือเรียวเล็กเย็นเฉียบถูกประทับด้วยริมฝีปากหยักบางนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งที่ตระหนักดีว่าใกล้เวลาจากกันแสนไกลถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่อาจลุกไปไหน ในใจภาวนาให้มีวันเวลาเดินช้าลง ขอแค่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันอีกสักหน่อยแม้เพียงครึ่งนาทีก็ยังดี

ทว่าในชีวิตมนุษย์นั้นไม่เคยมีสิ่งใดเป็นไปดั่งที่ใจปรารถนาทุกครา แม้นจะฉุดรั้งอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะยืดเวลาต่อไปได้ สุดท้ายก็จำใจปล่อยมือที่แนบอยู่ตรงข้างแก้มของตนวางลงดังเก่า เฝ้ามองคนรักเป็นครั้งสุดท้ายอย่างโศกอาลัยกล้ำกลืนความขมขื่นแน่นอก ทุกอย่างก้าวที่เดินไปคล้ายเหล็กถ่วงไว้ให้ย่างไปข้างหน้าอย่างยากเย็นและเมื่อถึงบานประตูเขาก็หันกลับมามองคนบนเตียงเป็นครั้งสุดท้ายจึงกลั้นใจเดินจากไปด้วยความเจ็บปวดเหลือคณาโดยไม่ทันรู้ว่า คนบนเตียงลืมตาโพล่งแสนเศร้าอยู่ในความมืด

ทันทีที่ประตูปิดลงคนที่แสร้งหลับก็ลุกเปลี่ยนอิริยาบถจากนอนมานั่งตรงขอบเตียงปิดลิ้นชักหยิบเอากระดาษใบยาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมาดูหมายเลขที่ประทับอยู่

หากมีสิ่งใดช่วยให้ทั้งสองได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่งได้ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับผู้ทรงอำนาจไร้หัวใจคนใดก็ตามหล่อนพร้อมจะทำโดยไม่อิดออด

“ พี่ทำทุกอย่างเพื่อเล็กมามากแล้ว คราวนี้เล็กจะทำเพื่อพี่บ้าง ”

ศศิวิมลรำพึงเอนหลังพิงกับหัวเตียงทองเหลืองผินหน้าไปยังหน้าต่างมองพระจันทร์เสี้ยวที่ลอยสูงอยู่กลางเวหาพลางลูบมือไปลูบเตียงที่ครั้งหนึ่งเคยมีร่างสูงใหญ่ของชายที่หล่อนรักนอนเคียงใกล้รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว แม้นจะทุกข์หนักหนา หากในดวงตาหวานอมโศกกลับมีประกายความหวังเจิดจ้าหล่อเลี้ยงให้อดทนอยู่รอจนถึงวันที่จะได้พบกันอีก...



ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ธ.ค. 2554, 04:33:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ธ.ค. 2554, 04:33:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 2119





<< บทที่ 32   บทที่ ๓๔ >>
คิมหันตุ์ 13 ธ.ค. 2554, 12:07:06 น.
อีกสองตอนหรือคะ. มารอตอนที่เหลือจ้า


Auuuu 13 ธ.ค. 2554, 12:51:49 น.
ลุ้นๆๆๆ


anOO 13 ธ.ค. 2554, 13:26:59 น.
เล็กคิดจะทำอะไรเนี้ย


violette 13 ธ.ค. 2554, 15:40:11 น.
โอ้ยยย ลุ้นจนจะหยุดหายใจ(ตามเคย)แล้วค่า


น้องแสตมป์ 13 ธ.ค. 2554, 19:00:19 น.
เล็กจะตามไปอยู่เมืองนอกด้วยเหรอ


Edelweiss 14 ธ.ค. 2554, 20:58:38 น.
ชอบเล็กเวอร์ชั่นนี้จริง ๆ


konhin 17 ธ.ค. 2554, 02:25:37 น.
สู้ๆ หนูเล็กทำได้


อริสา 18 ธ.ค. 2554, 07:50:41 น.
เศร้าแทน แต่เอาใจช่วยหนูเล็กกะพี่ภาคค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account