เพื่อนกันวันสุดท้าย
เธอ...สาวทอมมาดหลุดผู้สับสนทางเพศ
เขา...คนที่เป็นเพศอะไรก็ได้เพื่อเธอ
และ
เธอ...เพื่อนสนิทคิด(ไม่)ซื่อ
เขา...เพื่อนชายนายแสนซื่อ(บื้อ)
Tags: เพื่อนกันวันสุดท้าย เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ เพื่อนสนิท รักเพื่อน เพื่อนรัก วินธัย ภัทรนรินทร์ ต้นน้ำ ศวิตา

ตอน: 5. ก็ผู้ชายเหมือนกัน

แอบแวบพาภัทรกับผองเพื่อนสนิท(คิดไม่ซื่อ)มาส่งรับควันหลงสงกรานต์ค่ะ

สวัสดีวันสงกรานต์ค่ะ (ช้าไปหน่อยนะเนี่ย อิอิ)
ใครที่กำลังจะเดินทางกลับมาทำงานก็ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ
ขอให้เป็นปีใหม่ไทยที่มีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาตลอดทั้งปีค่ะ แล้วก็อย่าลืมติดตามนิยายของเจ้าชายน้อยไปทั้งปีด้วยน้าาา

ไม่ฝอยมากแล้ว ไปอ่านนิยายกันค่ะ

===========================

ตอบเม้นต์ค่า

คุณ an-o --- ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีให้กับเสมอจ้า ปล.ตาต้นน้ำเนี่ยทึ่มได้มากกว่านี้อีกนะ จะบอกให้ 555

คุณชลวารี --- ดีใจค่ะที่คุณๆ ชอบกัน เป็นความสุขเล็กๆ ของคนเขียนค่ะ จะพยายามมาต่อเรื่อยๆ แล้วกันนะคะตามแต่สังขารจะอำนวย เอิ๊กส์...

คุณsongsee --- ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่หล่อเลี้ยงกันมาค้าบ มีแรงขึ้นีกเยอะเลย ฮึบๆๆ ^^

คุณmottanoy --- สองสไตล์ค่ะ แล้วแต่คนชอบ แต่ถ้าชอบทั้งสองคู่ก็จะดีใจมากๆ ค่ะ ติชมได้เสมอนะคะ

คุณroseolar --- นี่พี่แอบฉวยเอาช่วงสงกรานต์มาลงนิยาย เดี๋ยวกลับไปวันจันทร์ก็เหลืออีกแค่สามอาทิตย์จะสอบแว้ววว กลัววว 555 (แต่ยังกล้าแวบมานะเอ้า!)

คุณหมู้หมู --- ชอบป้ายไฟๆ (เป็นเอามากค่ะคนเขียน 555) ขอบคุณงามๆ สำหรับกำลังใจดีๆ จากคนอ่านที่น่ารักค่ะ

============================

5.

สัญญาณสายซ้อนดังขึ้น ศวิตาเอาโทรศัพท์ที่แนบหูออกเพื่อดูว่าใครกันที่โทรมายามวิกาลแบบนี้ เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ใครอื่น จึงตัดสินใจตัดสายไปก่อนจะกลับมาคุยกับคนปัจจุบันอีกครั้ง

“ค่ะ ว่าไงนะคะภาส” ภาสกร ผู้ชายที่เธอคบนานที่สุดเอ่ยเสียงคล้ายน้อยใจที่เธอไม่สนใจฟัง “วีต้าก็แค่คิดอะไรเพลินๆ น่ะค่ะ ภาสโกรธหรอคะ เอ๋...จะทำยังไงดีน้าถึงจะหายโกรธ”

สาวสวยอ้อนเบาๆ จนคนปลายสายอารมณ์ดี ก่อนจะรู้สึกว่าการสนทนาที่น่าเบื่อนี้ควรจะจบลงได้แล้ว

“ภาสขา เดี๋ยววีต้าไปอาบน้ำก่อนนะ วันนี้ร้อนมากๆ เลย นะคะ...อย่างอแงสิคะ แล้วค่อยคุยกันนะคะที่รัก”

ต่อรองอยู่นานกว่าภาสกรจะยอมวางสาย ศวิตามองเครื่องมือสื่อสารแล้วเบ้ปากใส่ เห็นท่าว่าควรจะสลัดภาสกรทิ้งเสียที เพราะเขาเริ่มทำตัวติดเธอแจมากขึ้นทุกวันจนน่ารำคาญ ดีที่ยังไม่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ไม่อย่างนั้นคงได้เลิกกันเร็วขึ้นแน่ๆ

“ฮัลโหล...ว่าไงต้น” ศวิตากรอกเสียงไปตามสาย “โทษทีนะเมื่อกี้ติดสาย”

“อืม...แค่จะโทรมาบอกว่าฉันโทรไปโหมไฟให้ไอ้ภัทรมันมาแล้วนะ”

“โหมไฟ?”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้มันคงต้องวิ่งโร่ไปให้ไอ้วินตั้งแต่เช้านั่นแหละ บอกสายของเธอคอยดูให้ดีก็แล้วกัน”

หญิงสาวหัวเราะกับคำคล้ายประชดนั่น “แน่นอน สายฉันหูตากว้างไกลเสมอ”

“ขอให้มันจริง”

“ต้น...” ศวิตาเรียกอย่างไม่แน่ใจ “...แกโอเคมั้ย”

“เรื่องที่ไอ้ภัทรมันจะเป็นผู้หญิงน่ะหรอ” อีกฝ่ายต่อให้อย่างรู้ใจ “ก็มันเป็นผู้หญิงอยู่แล้วนี่ ก็ควรจะทำอะไรให้มันดูเป็นผู้หญิงซะบ้าง”

“อ๋อ...”

“แล้วนี่กำลังจะนอนหรือยัง” ต้นน้ำถาม

“ฮื่อ อาบน้ำก่อน”

“ยังไม่ได้อาบน้ำหรอ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วนะวีต้า เดี๋ยวได้ไม่สบายกันพอดี” ชายหนุ่มบ่นอุบเหมือนพ่อแก่ “...รีบไปอาบน้ำเถอะไป แล้วไม่ต้องสระผมนะเดี๋ยวแห้งไม่ทันนอน”

ศวิตาอมยิ้ม อยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับต้นน้ำให้มากกว่านี้ แต่ก็รู้ดีถึงความห่วงใยของเขา และต้นน้ำต้องไม่มีทางอยู่คุยกับเธอต่อแน่ๆ ตราบใดที่เธอยังไม่อาบน้ำ

“งั้นแค่นี้นะ หลับฝันดีล่ะ” ต้นน้ำบอก

“เหมือนกัน ต้น...” หล่อนเรียกแล้วเอ่ยเสียงหวาน “อย่าลืมฝันถึงฉันนะ”

หญิงสาวหัวเราะร่วนเมื่อต้นน้ำดูจะช๊อคไป การหยอกหนุ่มแว่นที่เพื่อนๆ ว่ากันว่าเรียบร้อยแสนทึ่มแต่ปากจัดนั้นเป็นของสนุกสำหรับศวิตามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งถ้าได้ภัทรนรินทร์มาผสมโรงด้วยก็ยิ่งสนุกมากขึ้นเท่านั้น

นึกมาถึงตรงนี้ก็อดคิดถึงภัทรนรินทร์ไม่ได้ หลังจากเรียนจบแทบจะไม่ได้เจอกันพักใหญ่ เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ ทั้งที่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเธอกับภัทรนรินทร์ถือเป็นคู่ซี้ปาท๋องโก๋เรียกได้ว่ามีเธอที่ไหนก็มีภัทรนรินทร์ที่นั่น จนชาวบ้านเอาไปนินทาว่าเป็นทอมดี้กันหมดแล้ว

หญิงสาวหัวเราะให้กับความคิดของตัวเอง พลางนึกย้อนกลับไปวันที่เพื่อนทั้งสี่คนไปรวมตัวกันที่คอนโดของต้นน้ำ





‘โกรธหรอ?’ ศวิตาถามคนที่ยืนหันหลังให้ที่ตรงระเบียง หลังจากที่ภัทรนรินทร์ช่วยทำเธอได้ดูซีรี่เกาหลีที่ชื่นชอบได้แล้ว ดูเหมือนว่าต้นน้ำจะหายตัวเข้าห้องไป และเธอไม่คิดว่าเขาจะโกรธขนาดนี้ ‘...ต้น’

มือเรียวรั้งเพื่อนสนิทไว้ ต้นน้ำปลดมือเธอออกช้าๆ ก่อนจะถามว่า ‘ไอ้ภัทรล่ะ’

‘อาบน้ำ’ เธอตอบ ‘นี่...แกไม่ได้โกรธฉันจริงๆ ใช่มั้ย’ ต้นน้ำไม่ตอบ แต่ศวิตากลับบอกด้วยสายตาแพรวพราว ‘งั้นฉันมีวิธีสนุกๆ ทำให้แกหายโกรธ’

หญิงสาวยื่นหน้ามากระซิบป้องปากกับต้นน้ำอย่างออกอรรถรสกับความคิดใหม่ที่แสนจะบรรเจิด จนชายหนุ่มต้องร้องลั่น

‘ห๊า! ตลกแล้ววีต้า จะให้ไอ้ภัทรไปเป็นผู้หญิง เห็นดาวตอนกลางวันจะง่ายกว่ามั้ย’ ต้นน้ำร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินแผนการของเพื่อนสาว ‘เอาเถอะๆ ฉันไม่โกรธเธอแล้วล่ะ เลิกคิดอะไรประหลาดๆ เถอะ’

‘ไม่เอาอ่ะ ความคิดของฉันออกจะดี อย่างน้อยฉันจะได้ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ แล้วอีกอย่าง’

‘อีกอย่างอะไร?’

‘ไม่มีอะไรหรอก’ สาวสวยบอกเลี่ยง ‘หรือว่านายไม่อยากให้ภัทรเป็นผู้หญิง’

‘ไม่ใช่อย่างนั้น’

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนไหววูบ ก่อนจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วจนต้นน้ำไม่ทันสังเกตเห็น ศวิตายิ้ม ก่อนจะเอ่ย ‘งั้นสรุปว่าตกลงช่วยฉันนะ โอเค งั้นเดี๋ยวฉันเข้าไปก่อน แกยืนรอตรงนี้แหละเดี๋ยวภัทรก็ออกมา’





ศวิตาถอนหายใจ มือเรียวแตะฟองสบู่ในอ่างอาบน้ำอย่างเหม่อลอย ทุกอย่างดูจะไปได้ดีในช่วงเริ่มต้น แต่กลับผิดไปจากที่เธอคิดไว้เมื่อภัทรนรินทร์แนะนำวินธัยในฐานะ ‘แฟน’ ที่เป็นผู้ชายคนแรก ไม่ใช่คนที่เธอคิดไว้

ผู้ชายคนแรกของภัทรนรินทร์ไม่ใช่ ‘ต้นน้ำ’ อย่างที่หวังไว้

หล่อนสังเกตและสะดุดตากับความสนิทสนมและความห่วงใยที่เหมือนจะมากกว่าเพื่อนจะมีให้กันของต้นน้ำและภัทรนรินทร์ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เข้ามหาวิทยาลัย ทำให้แปลกใจที่ต้นน้ำไม่หยิบฉวยโอกาสที่เธอหยิบยื่นให้ในวันนั้นมาเป็นของตัวเอง และแปลกใจมากขึ้นเมื่อวินธัยดูจะไม่ปฏิเสธอะไรสักนิด แม้ดวงตาสีดำสนิทของคนพูดน้อยจะปกปิดอะไรได้หลายอย่าง แต่สัญชาตญาณบางอย่างบอกว่าคนพูดน้อยแอบซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้อย่างแนบเนียน แม้ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่ก็แน่ใจได้ว่าไม่ได้เพิ่งเกิดแน่ๆ

ตอนนี้กลับเป็นเธอเองที่เริ่มกลัวใจ และสงสารต้นน้ำเป็นที่สุด เพราะถ้าเขาชอบภัทรนรินทร์จริง นั่นก็ยิ่งกลายเป็นว่าเธอทำให้ชายหนุ่มต้องเจ็บปวด

ศวิตาเม้มปากแน่นคล้ายสะกดความรู้สึกบางอย่าง ก่อนจะสลัดความคิดในหัวทิ้งไปแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดฝักบัวเพื่อชำระล้างร่างกาย แต่ไม่ลืมหยิบหมวกคลุมผมมาใส่ไม่ให้ผมเปียกอย่างที่ใครบางคนบอก





ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อคอเต่าสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงแสลคสีเทาสวมทับด้วยสูทสีเดียวกับกางเกงกำลังก้าวอาดๆ ไปยังลิฟต์ผู้บริหารของ ‘เดอะรอยัล’

ภัทรนรินทร์มองพนักงานที่ซุบซิบพลางเหล่มาที่เธอ แล้วก้มมองสารรูปตัวเอง รู้อยู่หรอกว่าชุดที่ใส่มันไม่ได้หวานจ๋อย แต่มองอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ชายเหมือนเก่าสักนิด

นึกว่าชินแล้วแท้ๆ เพราะสองวันที่ผ่านมาเธอเข้าบริษัทตัวเองตลอด และก็โดนแบบนี้ เผลอๆ จะหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ เพราะพนักงานทุกคนรู้จักเธอ แต่จะทำอย่างไรได้ วันแรกหลังจากได้ไอ้ชุดพวกนี้มาหม่าม้าก็คะยั้นคะยอหว่านล้อมอย่างหนัก เรียกได้ว่าถ้าเอาชุดเก่าไปเผาได้คงทำไปแล้ว แต่ที่ทำได้ก็เพียงแค่ขนชุดทำงานเดิมออกไปหมดตู้อ้างว่าให้เด็กเอาไปแช่น้ำยาขจัดคราบ

Big washing day หม่าม้าว่าอย่างงั้น?

จนกระทั่งวันนี้เจ้าเสื้อผ้าพวกนั้นมันก็ยังคงแช่อยู่อย่างนั้น และถ้าเดาไม่ผิดคงต้องผ่านอีกหลายกระบวนการกว่าจะกลับมาสู่อ้อมกอดเจ้าของอย่างเธอ

เธอถอนหายใจขำๆ กับความพยายามของมารดา เอาเถอะอย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ต้องเข้าบริษัทตัวเอง อยู่ที่นี่ คงจะมีพนักงานไม่มากนักจำเธอได้ แต่ที่กลัวกลับไม่ใช่คนเหล่านี้ แต่เป็นคนที่นั่งอยู่บนชั้นสูงสุดนั่นต่างหาก

อุตส่าห์หลบหน้ามาได้ตั้งสองวันแล้วเชียว!

ภัทรนรินทร์เบ้ปาก ถ้าไม่ติดว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ที่เธอนัดกับป๋ากับหม่าม้าไว้ว่าจะพาวินธัยไปพบ จ้างให้สิบต้นน้ำมาพูดก็อย่าหวังว่าเธอจะเปลี่ยนใจ

หญิงสาวคิดอย่างเข่นเขี้ยวเพื่อนสนิทที่โทรมาหาเมื่อคืน

‘ไอ้ลูกหมา’ ต้นน้ำทักมาคำแรก

‘แกว่าใคร เดี๋ยวปากแตกหรอก’

‘คิดหรอว่าฉันจะกลัว ก็แกไม่รักษาสัญญา ก็ต้องเป็นไอ้ลูกหมาสิวะ’ เพื่อนสนิทย้ำคำได้อย่างน่าโมโห

‘ใครว่าฉันไม่รักษาสัญญา วันนั้นแกก็เห็นแล้วนี่ว่าฉันหาแฟนได้แล้ว’

‘แกอย่ามาเนียน ทั้งฉันกับวีต้ารู้อยู่เต็มอกว่าไม่แคล้วแกต้องบังคับขู่เข็ญไอ้วินมาแน่ๆ หรือจะเถียงว่าไม่จริง’ มันดักคอ

‘ก็แล้วทำไม ไม่ได้มีในสัญญานี่ว่าบีบคอบังคับไม่ได้’

‘ใช่! ไม่มีในข้อบังคับ แต่แกเข้าใจคำว่าแฟนมั้ยไอ้ภัทร’

‘นั่นฉันต้องถามแกหรือเปล่าไอ้ต้น’ ภัทรนรินทร์ย้อนคนไม่เคยมีแฟน

‘เฮอะ! ถ้าแกรู้จริง แกคงไม่ปล่อยให้แฟนของแกมีผู้หญิงคนอื่นมาคอยพยาบาลตอนไม่สบายใช่มั้ยล่ะ’

‘ใครไม่สบาย’ ภัทรนรินทร์ละล่ำละลัก รู้จักกันมาสี่ปีแทบไม่เคยเห็นวินธัยไม่สบายสักครั้ง

‘ก็แฟนแกไง’ ต้นน้ำว่า ก่อนจะตัดบท ‘จะโทรมาบอกแค่นี้แหละ รบกวนช่วยไปทำหน้าที่แฟนด้วยนะไอ้ภัทร ไม่งั้นได้เป็นไอ้ลูกหมาสมใจแน่ๆ’

เพราะเหตุนี้คนที่กลัวว่าจะเป็น ‘ไอ้ลูกหมา’ ถึงต้องถ่อมาถึงเดอะรอยัล ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่ได้ห่วงวินธัยสักนิด ไม่เลยจริงๆ

“คุณภัทร! เป็นไงมาไงคะเนี่ย” ชนิสาเลขาหน้าห้องวินธัยลุกขึ้นราวติดสปริง ภัทรนรินทร์มองสายตาเธอขำๆ รู้อยู่หรอกว่าถ้าไม่ติดว่าเป็นแขกของวินธัย ชนิสาอาจถามเธอด้วยคำว่า ‘ผีบ้าอะไรเข้าสิงคะ?’

“วินมีแขกหรือเปล่าฮะ”

“ไม่ค่ะไม่”

“แล้วเมื่อวานมันมาทำงานหรือเปล่าฮะ?”

เลขาสาวขมวดคิ้ว ทำให้ภัทรนรินท์รู้คำตอบชัดเจน ร่างสูงโปร่งผลักประตูเข้าไป ทั้งที่ในใจยังต่อว่าคนในห้องไม่ขาด

...ไอ้คนบ้างาน ไอ้งกเงิน ไม่สบายแล้วยังไม่เจียม ทำงานหามรุ่งหามค่ำ...





วินธัยเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร ดวงตาเรียบเฉยฉายประกายพึงพอใจอย่างที่น้อยครั้งจะมีเมื่อเห็นการแต่งกายของคนที่หายหน้าไป แต่ไม่เคยหายไปจากความคิดเขาสักวินาทีเดียว

คนที่หลบลี้หนีหน้าไปสองวันเดินดุ่มๆ เข้ามาหน้าบอกบุญไม่รับ พร้อมกับมือที่ดูเหมือนพร้อมจะประทุษร้ายเขาทุกเมื่อ

“เฮ้ย!” ภัทรนรินทร์ร้อง เพราะรีบเดินขาเลยขวิดกันวุ่น เกือบคะมำลงพื้น

“กรี๊ด!!!”

เสียงแปดหลอดดังสะท้านห้อง จนภัทรนรินทร์ต้องยกมือขึ้นปิดหู มองไปเห็นกัญญารัตน์ คู่กรณีสาวสวยคนเดิมแล้วก็ต้องสงสัยว่าบ้านเจ้าหล่อนเป็นโรงแรมหรือห้องเก็บเสียงกันแน่ ถึงได้แหกปากไม่สนใจชาวบ้านแบบนี้

“วินบอกมานะนี่มันอะไรกัน ตกลงคุณกับกระเทยนี่เป็นอย่างที่ใครๆ เขาลือกันจริงใช่มั้ย”
กระเทย!!! ภัทรนรินทร์ร้องลั่นในใจ มือเอื้อมไปหยิกสีข้างของวินธัยที่กำลังจะตอบสาวสวยกลับไป คำว่า ‘กระเทย’ มันจุดชนวนจนเธออยากจะฆ่าคนสวยเป็นครั้งแรกของชีวิต

กว่าจะรู้ตัวร่างโปร่งของภัทรนรินทร์ก็ขยับมานั่งบนที่วางแขนของวินธัยเสียแล้ว แขนเรียวกอดอก เชิดหน้าขึ้นอย่างถือสิทธิ์ นัยน์ตาฉายแววเป็นต่อ ยั่วให้อีกฝ่ายเต้นเร่า “แล้วคุณคิดว่าเราเป็นอะไรกันล่ะ”

“วิน! บอกเกรทสิคะว่ามันไม่จริง”

“บอกเขาไปสิว่าเราเป็นอะไรกัน” ภัทรนรินทร์บอกแกมขู่ เท้าขวาวางอยู่บนรองเท้าหนังมันปลาบของเพื่อน พร้อมเหยียบให้มิดถ้าคำตอบไม่น่าพอใจ

“เอ่อ...”

“ไม่จริงใช่มั้ยคะ? วินไม่ได้เป็นแฟนยัยกระเทยนี่ใช่มั้ย บอกเกรทสิว่าคุณชอบผู้หญิง ไม่จริงใช่มั้ยคะวิน”

“เหอะ!” ภัทรนรินทร์พ่นลมออกมาหยันๆ ก่อนจะเกทับ “จะบอกให้นะ ผู้หญิงอย่างเธอวินก็คบไว้แค่เวลาออกสังคม แต่ลับหลังเธอเขาก็มาหาฉัน แล้วเราก็มีความสุขกันทุกคืนอย่างที่เธอคิดไม่ถึงเลยล่ะ”

“ภัทร!/กรี๊ดดด”

เสียงดุของวินธัยถูกกลบมิดด้วยเสียงความถี่สูงจนกลัวกระจกจะแตก ร่างอวบอิ่มของกัญญารัตน์เดินปึงๆ ออกไปปิดประตูดังโครม สวนกับชนิสาที่วิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์และอ้าปากกับภาพเจ้านายและเพื่อน

“ค...คือๆ สาแค่จะมาบอกว่าอีกสิบนาทีจะมีประชุม ขอตัวก่อนนะคะ”

ภัทรนรินทร์มองเลขาหน้าห้องเพื่อนงงๆ ก่อนจะหันกลับมามองตัวเองแล้วพบว่าแทบจะนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกับวินธัย ร่างโปร่งผลักร่างใหญ่กว่าแล้วกระโดดผลุงออกมา

วินธัยส่งสายตาดุๆ ให้เพื่อนที่ส่งสายตาไม่ชอบใจมาให้ เขาไม่เข้าใจว่าภัทรนรินทร์โกรธอะไรเขา

“ทำไมพูดอย่างนั้นภัทร” เขาถามเสียงดุ

“กลัวยัยปากแดงคิดว่าแกเป็นเก้งล่ะสิ”

วินธัยส่ายหน้า มุมปากกระตุกยิ้ม นัยน์ตาพราวระยับ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกดีแค่ไหนที่เห็นภัทรนรินทร์ในโหมดนี้

หากเขาจะเข้าข้างตัวเองว่าหล่อน ‘หึง’ จะได้ไหมนะ

“กลัวคนแถวนี้ถูกมองเป็นกระเทยมากกว่า”

ภัทรนรินทร์ทุบไหล่กว้างไปเต็มแรง ดวงตากลมถลึงตาดุๆ “ฉันเป็นทอม ไม่ใช่กระเทย ไม่ใช่ตุ๊ดแบบนายด้วย”

ชายหนุ่มเจ้าของห้องเลิกคิ้ว แววตาที่มองมาไม่ล้อเล่นอย่างเคย ร่างสูงใหญ่หยัดตัวขึ้นจากเก้าอี้เผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทที่ยืนพิงขอบโต๊ะอย่างยียวน เสียงนุ่มแต่เรียบตามสไตล์เอ่ยขึ้น “ผู้ชายเขาไม่ชอบถูกผู้หญิงเรียกว่าตุ๊ดหรอกนะภัทร”

“ฉันจะเรียก” หญิงสาวเถียงยียวน ดวงตากลมเป็นประกายสนุกสมใจที่ยั่วคนพูดน้อยได้สำเร็จ ลืมเรื่องคืนนั้นที่ทำให้เจ้าตัวไม่กล้าโผล่หน้ามาหาวินธัยไปเสียสนิท “...อีกอย่างฉันเป็นทอม ส่วนนาย เฮ้ย!”

เสียงใสอุทานพลางเอนตัวหนีเมื่อร่างสูงกว่าโน้มตัวมาใกล้ มือใหญ่เท้าที่ขอบโต๊ะกักขังเธอไว้

“ออกไปไกลๆ เลยไอ้บ้า” ขนลุก...คำหลังต่อเองในใจ

“ทำไมล่ะก็ผู้ชายเหมือนกัน” คนพูดน้อยย้อนถามนิ่งๆ แต่ดวงตาไม่นิ่งอย่างคำพูด

“เอ๊ะ!” คนอยากเป็นผู้ชายชักสีหน้า บอกไม่ถูกว่าทำไมใจมันหวิวๆ ชอบกล วินธัยเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะถอยออกห่าง เพราะรู้สึกว่าล้ำเส้นไปไกลแล้ว

“ไหนไอ้ต้นว่านายไม่สบาย” หล่อนเปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนที่ยืนไปเป็นอีกฝากของโต๊ะ ไม่ไยต่อสายตาล้อเลียนของอีกฝ่าย รู้แต่ว่าจังหวะหัวใจเต้นช้าลงจนเกือบเป็นปกติ

แต่ถามอออกไปแล้วก็ยังคันปากยิกๆ อยากถามต่อว่า...ไหนว่ามีพยาบาลพิเศษคอยดูแล

“ฉัน?” วินธัยชี้ที่ตัวเองอย่างงงๆ

“สรุปว่านายสบายดีงั้นสิ” ภัทรนรินทร์ถามรวนๆ “งั้นฉันก็โดนไอ้ต้นหลอกแค่นี้แหละ...”

“เธอห่วงฉัน”

“แค่จะมาดูว่าตายหรือยัง จะได้พาไปเผาผี”

วินธัยขมวดคิ้วกับคำพูดกระโชกโฮกฮากหาความเป็นสุภาพสตรีไม่เจอ ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาทันคว้าข้อมือบางของคนที่จะเดินหนี “จะไปไหน?”

“กลับ”

“ชุดสวย”

“ไม่ต้องมาแซว” ภัทรนรินทร์ว่ากลบเกลื่อนก่อนชักมือออก กอดอกหันหน้ามาคุย “แล้วก็ห้ามโกรธฉันเรื่องยัยงิ้วหน้าขาวปากแดงของนายด้วย ใครใช้ให้หล่อนมาหาว่าฉันเป็นกระเทยล่ะ...ขำอะไร”

วินธัยพยายามกลั้นหัวเราะ แล้วถามสั้นๆ “โกรธหรอ?”

“เป็นใครใครก็โกรธ ลองมาโดนบ้างมั้ยล่ะ”

“งั้นฉันมีวิธี สนใจมั้ย?”

“อะไร” เธอถามเสียงห้วน อารมณ์ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติดีนัก อาจเพราะช่วงนี้เลือดจะไปลมจะมาพอดี แต่ก็ต้องเสมองไปทางอื่นเพราะแววตาพราวระยับของคนพูดน้อย แล้วแทบอยากจะตะบันหน้าหล่อสักทีเมื่อวินธัยบอกว่า...

“ก็เป็นผู้หญิงเสียทีสิ”





...ก็เป็นผู้หญิงเสียทีสิ...

...ก็เป็นผู้หญิงเสียทีสิ...

...ก็เป็นผู้หญิงเสียทีสิ...

เสียงนุ่มๆ สะท้อนก้องในหูของภัทรนรินทร์ด้วยความเร็วสูง วินธัยออกไปแล้วทั้งที่เธอยังยืนอยู่ที่เดิม กับประโยคเดิมที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในความคิด และสุดท้ายก็หาข้อสรุปให้ความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้

วินธัยมันบ้า...บ้าชัดๆ

นี่คงจะเห็นเธอยอมแต่งตัวด้วยชุดบ้าๆ นี่แล้วคงจะหาเรื่องแซวให้ได้อาย แก้แค้นที่เธอชอบล้อว่ามันเป็นพวกอนุรักษ์ไม้ป่า(เดียวกัน)แน่ๆ

เสียงประตูดังขึ้น ภัทรนรินทร์พร้อมจะหันกลับไปทำร้ายร่างกายเจ้าของห้อง แต่ทว่าคนที่โผล่หน้าเข้ามากลับเป็นเลขาของวินธัย

“เอ่อ...คุณภัทรคะ เจ้านายฝากมาบอกว่าให้รอกลับพร้อมกัน” ชนิสาพูดอ้อมแอ้ม อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมแขกของเจ้านายถึงหน้าตาไม่สบอารมณ์ สวนทางกับเจ้านายของเธอที่ดูจะอารมณ์ดีผิดปกติ “...คุณภัทรจะรับโกโก้ร้อนเหมือนเดิมมั้ยคะ”

“ไม่เป็นไรฮะคุณสา ไปประชุมเถอะ” เธอบอก ก่อนจะถามต่อเมื่อนึกขึ้นได้ “ประชุมนานมั้ยฮะ?”

“คงประมาณสองชั่วโมงแหละค่ะ” เลขาสาวรายงานก่อนรีบกำชับ “แต่เจ้านายสั่งมาว่าให้คุณภัทรรอนะคะ เห็นว่าจะคุยเรื่องงานด้วย”

“อ๋อ...” ภัทรนรินทร์รับคำ ก่อนจะเดินไปหยิบแล๊ปท๊อปมาทำงาน แต่เสียงของเลขาสาวทำให้เธอหันกลับไปตามเสียงเรียก

“คือสาแค่อยากจะบอกว่า...คุณภัทรแต่งตัวแบบนี้ก็ดูดีไปอีกแบบนะคะ”

ภัทรนรินทร์ส่ายหัวจนแทบเหมือนสะบัด...ไอ้อีกแบบที่ชนิสาว่าคงไม่พ้นแบบไม่ปกติล่ะสิ แต่จะค้านก็ไม่ทันเพราะสาวเจ้าปิดประตูหายจ๋อมไปเสียแล้ว คนที่ ‘ดูดี’ แบบแปลกๆ จึงได้แต่หยิบงานออกมาทำรอเจ้าของห้องเสร็จจากประชุมเท่านั้น

วินธัยเดินออกจากห้องประชุม พลางมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าเลยกำหนดสองชั่วโมงของการประชุมมาเท่าตัวแล้ว ใจคิดถึงคนที่นั่งรออยู่ที่ห้อง ความจริงเขาคิดว่าจะทานข้าวกลางวันกับเธอ แต่เพราะการประชุมที่ยืดเยื้อทำให้ต้องสั่งให้เลขาไปบอกแม่บ้านให้ซื้อข้าวเจ้าที่ภัทรนรินทร์ชอบมาให้ทานแก้หิวไปก่อน





ชายหนุ่มผลักประตูห้องทำงาน ปล่อยให้ชนิสานำแฟ้มไปวางไว้บนโต๊ะ สายตามองไปที่โต๊ะรับแขกก่อนจะปรี่เข้าไปเมื่อเห็นว่าเพื่อนนั่งกุมท้อง เหงื่อผุดพราย ใบหน้าซีดเซียว

“ภัทร!” ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างเพื่อน มือใหญ่ลูบไหล่บางเบาๆ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อให้ ก่อนถามเสียงรัว “เป็นอะไร ปวดท้องหิวข้าวหรือเปล่า”

ภัทรนรินทร์ส่ายหน้า แต่เจ็บเกินกว่าจะอ้าปากพูดได้

วินธัยมองไปยังกล่องข้าวที่ยังอยู่ในสภาพไม่พร่องไปสักนิด แล้วหันมาทำตาดุใส่เธอ “ทำไมไม่กินข้าว เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะขึ้นมาทำยังไง”

“คุณสา...” ภัทรนรินทร์เรียกเลขาสาวที่ทำหน้าตื่นอยู่เบาๆ ขี้เกียจสนใจคนที่นั่งเทศน์เธออยู่ตอนนี้ เพราะอธิบายไปก็ไม่เข้าใจ “ภัทรขอ...พอนแสตนหน่อยได้มั้ยฮะ”

“อ๋อ...” เลขาสาวมีสีหน้าเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จนเจ้านายต้องหันไปถาม

“อะไรน่ะคุณสา”

“เดี๋ยวสาไปหยิบยาให้คุณภัทรก่อนดีกว่าค่ะ แล้วเจ้านายค่อยถามคุณภัทรเองแล้วกันนะคะ”

วินธัยขมวดคิ้ว อยากจะถามภัทรนรินทร์และบังคับเธอกินข้าวซะ แต่ก็ใจอ่อนเกินกว่าจะดุคนที่นั่งกุมท้องหน้าซีดตอนนี้ได้ ทำได้แค่เพียงบีบมืออีกข้างที่หญิงสาวไม่ได้กุมท้องอย่างให้กำลังใจ และลูบศีรษะทุยอย่างปลอบโยน

เฮ้อ...น่าสงสารขนาดนี้ใครจะไปดุลง





หลังจากที่ภัทรนรินทร์ทานยาที่ชนิสาหามาให้แล้ว อาการเริ่มดีขึ้นจนเกือบจะเป็นปกติ แต่ยังไม่ยอมทานข้าวที่วินธัยคะยั้นคะยอให้เสียที จนชายหนุ่มเริ่มหัวเสีย

“ทำไมต้องอดข้าวล่ะภัทร”

“ไม่ได้อด” คนที่เริ่มลุกขึ้นเก็บของเตรียมตัวจะกลับบ้านเถียง “แค่ไม่อยากกินไอ้นี่วันนี้” เธอหมายถึงข้าวผัดทะเลที่คนของเขาซื้อมาให้ วินธัยไม่เข้าใจว่าเหตุใดภัทรนรินทร์ถึงดูรวนเขาแบบนี้

“แล้วอยากกินอะไรล่ะหืม?” เสียงทุ้มพยายามทอดเสียงนุ่ม ไม่อยากดุคนไม่สบาย มือใหญ่เอื้อมไปหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊คและเอกสารในมือเพื่อนสนิทไว้แทน “ทับทิมกรอบเจ้าเดิมมั้ย?”

“ฮื่อ...” ภัทรนรินทร์ส่ายหน้าตอบ ก่อนจะยกมือถือขึ้นกรอกเสียงออดอ้อนลงไปไม่อายเจ้าของห้อง “หม่าม้า...วันนี้ภัทรอยากกินผัดเปรี้ยวหวาน ผักกาดดองผัดไข่ แล้วก็มะม่วงเปรี้ยวๆ อีกแล้ว หม่าม้าทำให้ภัทรนะคะ

ชายหนุ่มเจ้าของห้องมองเพื่อนที่พร้อมจะกลับไปเป็นเด็กตลอดเวลาขำๆ ยิ่งคำลงท้ายที่ไม่ต่างกับเด็กผู้หญิงของภัทรนรินทร์ เรียกสายตาเอ็นดูของเขาได้อีกมาก

“ค่ะหม่าม้า ภัทรจะรีบกลับเลยค่ะ ไม่ลืมค่ะไม่ลืม ค่ะๆ รักหม่าม้าที่สุด”

“วันนี้อยากกินข้าวบ้านหรือ?”

“อืม” เธอตอบก่อนจะหยิบกล่องข้าวที่เขาซื้อมาให้ “ไม่ใช่ไม่อยากกินนะ”

“แล้วทำไม...” เขาทำท่าจะวกกลับมาถามถึงสาเหตุที่ทำให้คนเก่งของเพื่อนๆ ต้องนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดปวดท้องอย่างนี้ได้ แต่ถูกภัทรนรินทร์ขัดอย่างรู้ทัน

“เรื่องของคนบังเอิญมีรังไข่ บอกไปก็ไม่รู้จัก” เธอบอกอุบอิบ ก่อนจะดุนหลังคนตัวโตที่ถือของเธอเต็มมือให้เดินออกไปนอกห้อง “...รีบไปเหอะน่า หิวจะตายอยู่แล้ว นายเองก็ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงเหมือนกันไม่ใช่หรือไง”

“นั่งรถฉันไป ไม่ต้องขับเองหรอก”

“ถึงขับไหวก็ขับไม่ได้ เพราะไอ้แก่ไปนอนเล่นที่อู่แล้ว”





“หม่าม้า...ภัทรกลับมาแล้วค่ะ”

เสียงใสร้องเรียกมารดาลั่นบ้าน วินธัยมองคนที่ตอนนี้ไม่ยอมให้เขาถือของให้สักชิ้นโดยอ้างว่าหายปวดท้องแล้ว แต่เขาก็ยังสังเกตว่ามือเรียวยังเผลอกุมท้องบ่อยๆ ยามเผลอ

ความสนใจของเขาหมดไป เมื่อร่างเล็กบอบบางของสตรีที่ดูอ่อนกว่าวัยที่ควรจะเป็นเคลื่อนตัวออกมาจากมุมที่คงจะเป็นห้องครัว ที่เอวมีผ้ากันเปื้อนผูกอยู่ ใบหน้าที่มีเชื้อสายคนจีนจนดูออกยิ้มให้เขา

รู้จักกับภัทรนรินทร์มาสี่ปี แต่เขากลับมาบ้านเธอไม่บ่อยเท่าคนอื่นๆ เพราะบิดาชอบให้เขาเข้าไปเรียนรู้งานวันหยุด เวลาที่เหลือเสาร์อาทิตย์จึงมีไม่มากนัก จะได้นั่งคุยกับเพื่อนก็เป็นคืนวันธรรมดาที่คอนโดมิเนียมของต้นน้ำเท่านั้น

คุณรินฤดีรับไหว้แขกของลูกสาวก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้ นัยน์ตาพราวเป็นประกายราวกับได้ของถูกใจ ทำให้ชายหนุ่มรู้แล้วว่าภัทรนรินทร์ได้มาจากใคร

“อ่า...นี่หรอชายหนุ่มผู้โชคดีของหม่าม้า แหม หล่อจริงๆ เลยน้า” นางชม “...ลูกหม่าม้านี่ตาถึงจริงๆ”

“หม่าม้า...” คนตาถึงลากเสียงยาว แม้จะขัดเขินกับคำเรียกที่มารดาใช้เรียกเพื่อนต่อหน้า แต่ร่างโปร่งก็สวมกอดเอวมารดาแทนและพยายามดึงท่านออกห่างวินธัย “หม่าม้า...ป๋าล่ะคะ?”

“อีกเดี๋ยวคงกลับแหละจ๊ะ เอ๋...ภัทร ดึงหม่าม้าออกมาทำไมลูก ปล่อยเลยนะเด็กคนนี้ หม่าม้าจะคุยกับเอ้อ...ดูสิคนแก่หลงๆ ลืมๆ ว่าแต่ชื่ออะไรนะจ๊ะพ่อชายหนุ่มผู้โชคดีของหม่าม้า”

“วินครับ วินธัย”

“จ๊ะ...วิน” คุณรินฤดียิ้มหวาน ก่อนถามตรงประเด็น “มาเป็นลูกเขยหม่าม้ามั้ย?”

“หม่าม้า!”

“ไฮ้! อยู่ใกล้แค่นี้จะตะโกนเสียงดังทำไมล่ะลูก” มารดาแกล้งเอ็ด นึกสนุกที่เห็นแก้มใสของลูกสาวมีเลือดฝาด แม้น้อยนิดแต่ก็ยังสังเกตได้ ก่อนจะโบกมือไล่ “...ไปๆ ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อน เสร็จแล้วป๋าคงมาพอดีแหละ”

“แต่...”

“หม่าม้าชักสงสัยแล้วนะ ที่อ้อนอยู่อย่างนี้นี่หวงวินเขาหรือเปล่าจ๊ะ?”
สิ้นคำแซวของคุณผู้หญิงของบ้าน วินธัยก็ได้แต่หัวเราะในลำคอตาพราว มองคนที่คว้าของวิ่งตึงตังขึ้นไปข้างบน ก่อนจะหันกลับมายังผู้สูงวัยกว่าที่ยิ้มในตามองเขาอยู่ก่อนแล้ว

“วินไปนั่งรอหม่าม้าในห้องรับแขกก่อนะลูก เดี๋ยวหม่าม้าตามไป แป๊บนึงนะจ๊ะ”

“ครับ เอ้อ...เหมือนว่าภัทรจะปวดท้องมาก ผมคิดว่าอาจจะหิวข้าว”

นางยิ้มให้แววตาเป็นห่วงเป็นใยของอีกฝ่าย แม้จะพูดน้อยไปหน่อยแต่ท่าทางบุคลิกดีดูไม่ใช่พวกหลุกหลิก สายตาแน่วแน่ของผู้ชายคนนี้สื่อความรู้สึกออกมาให้คนผ่านโลกมาก่อนอ่านได้ง่าย แต่คงจะไม่ใช่กับลูกสาวของนางแน่ๆ “เป็นธรรมดาของเขาล่ะลูกคนนี้ ยังเหลือความเป็นผู้หญิงให้หม่าม้าใจชื้นก็แค่นี้ล่ะ วินไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะจ๊ะ เป็นอย่างนี้ทุกเดือนแหละ เดี๋ยวก็หาย”

“ครับ” รับคำทั้งที่ยังไม่ได้รับความกระจ่างมากนัก แต่ก็หมายมาดว่าจะต้องรู้ให้ได้

คุณรินฤดีมองตามร่างสูงใหญ่ของคนที่นางหมายมั่นปั้นมือว่าจะขอมาเป็นลูกเขยให้ได้ ใบหน้าหล่อเหลาของวินธัยผสมผสานระหว่างความเป็นไทยและจีนอย่างลงตัว

โหงวเฮ้งก็ดี...อย่างนี้หม่าม้าชอบ





“กลับมาแล้วหรอคะคุณ”

วินธัยมองตามเสียงเรียกของคุณรินฤดี แล้วยกมือทำความเคารพผู้ที่เข้ามาใหม่ ชายรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมคายแต่ผิวขาวหยวกบอกชัดว่ามีเชื้อจีน ริมฝีปากบางไร้รอยยิ้มทำให้ไม่ต่างกับเสือยิ้มยาก ซึ่งถ้าตัดเรื่องความยิ้มยากออกไปก็คล้ายกับว่าเขาเห็นต้นแบบใบหน้าของภัทรนรินทร์อย่างจัง

“วินลูก...นี่ป๋าของภัทร” คุณรินฤดีแนะนำ ก่อนจะหันไปทางสามี “คุณคะ นี่วินชายหนุ่มผู้โชคดีของเรายังไงล่ะคะ”

จบคำแนะนำ วินธัยก็สรุปกับตัวเองได้เลยว่าภัทรนรินทร์ถอดแบบบิดามาอย่างไม่ผิดเพี้ยน เมื่อหนุ่มใหญ่คลี่ยิ้มนัยตาพราวพร้อมเสียงหัวเราะ “นี่น่ะหรอชายหนุ่มผู้โชคดีของเธอ”

ภรรยายิ้มพลางหัวเราะคิกคัก ในชณะที่ ‘ชายหนุ่มผู้โชคดี’ อยากจะกรอกตาขึ้นฟ้า แล้วแก้คำพูดที่ว่าภัทรนรินทร์เหมือนบิดาแค่หน้าตา แต่นิสัยแบบนี้น่ะลอกทั้งบิดามารดามาทั้งดุ้นชัดๆ!!

แต่ก่อนที่เขาจะเจอความเหมือนมากกว่านี้ ร่างโปร่งของเพื่อนสนิทที่เปลี่ยนไปเป็นชุดอยู่บ้านสบายๆ ก็วิ่งตึงๆ ลงมาเสียก่อน ภัทรนรินทร์กอดเอวห่วงยางของบิดาแล้วหอมแก้มซ้ายขวา

“ป๋า...กลับมาแล้วหรอคะ ไปกินข้าวกัน”

“นี่ใจคอจะไม่ถามว่าป๋าเหนื่อยมั้ย รถติดหรือเปล่าสักนิดเลยใช่มั้ย” คนเป็นพ่อหยอก ก่อนจะยีผมซอยสั้นของลูกสาวพลางถาม “หิวมากหรือลูก”

“ค่ะ” ภัทรนรินทร์ตอบเสียงดังชัดถ้อยชัดคำ เรียกเสียงหัวเราะของมารดากับบิดา

คุณพจน์ยื่นของให้เด็กรับใช้เอาไปเก็บ ก่อนจะโอบไหล่ลูกสาว แล้วหันไปบอก ‘ชายหนุ่มผู้โชคดี’ ว่า

“ไปกินข้าวกันก่อน เรื่องงานไว้ทีหลัง”





บรรยากาศบนโต๊ะอาหารครื้นเครงไปด้วยเสียงหัวเราะของสามคนครอบครัว วินธัยนั่งมองภาพแห่งความสุขอย่างนึกถึงความหลัง ช่วงเวลาที่มารดายังมีชีวิตอยู่เขาเองก็มีความสุขไม่ต่างจากนี้ เสียแต่ว่าตอนนี้ผู้หญิงที่รักเขามากคนนั้นจากไปไกลแสนไกลเสียแล้ว

“วิน...อาหารไม่ถูกปากหรือลูก?” คุณรินฤดีถาม

“เปล่าครับคุณน้า”

“อ๊ะ! เรียกหม่าม้าสิจ๊ะ แล้วก็เรียกป๋าเหมือนภัทรนี่ล่ะ” นางพูดก่อนหลิ่วตาให้สามีและลูกสาว “เพื่อนภัทรก็เรียกอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ”

“ครับหม่าม้า”

“อย่างนี้สิถึงจะน่ารัก” นางชม แล้วหันไปหาลูกสาว “ภัทร...ตักผัดเปรี้ยวหวานให้วินสิลูก บริการหน่อยคนเก่ง”

“ตักไม่ถึงหรอ” ภัทรนรินทร์ถาม ไม่ได้ตั้งใจจะรวน แต่รู้สึกว่ากับข้าวที่มารดาพูดถึงมันอยู่ใกล้วินธัยมากกว่าเธอเสียอีก

คุณรินฤดีขมวดคิ้ว ก่อนถาม “ภัทรทำไมพูดกับวินไม่มีหางเสียงเลยล่ะลูก”

“ก็วินไม่ใช่ผู้หลักผู้ใหญ่อย่างที่หม่าม้าสอนนี่คะ” ลูกสาวตอบเสียงซื่อ “หรือถ้าอยากเป็น ภัทรพูดก็ได้นะ”

“เอาน่าคุณ...” ประมุขของบ้านเอ่ย “เพื่อนกันไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างก็คงจะชินแล้วใช่มั้ย...วิน?”

“ครับ”

“จ๊ะๆ สองพ่อลูกให้ท้ายกันเข้าไป ตามใจกันทุกอย่าง ดูสิยัยภัทรถึงออกมาเป็นทอมบอยอย่างนี้” นางว่างอนๆ แล้วหันไปถามวินธัยที่แทบสำลักข้าวเมื่อฟังคำถามจบ “วินจีบตัวแสบของหม่าม้ายังไงน่ะ เล่าให้ฟังหน่อยสิ”

“แค่กๆ” ภัทรนรินทร์เองก็ยังสำลัก ก่อนจะไอโขกๆ แล้วหันมาตอบมารดา “หม่าม้า ภัทรกับวินเป็นเพื่อนกันนะ เพื่อนสนิทด้วย” ตอกย้ำสถานภาพเสร็จสรรพ

“สนิทสิยิ่งดี” คราวนี้คนเป็นพ่อร่วมผสมโรง หักหลังลูกสาวหน้าตาเฉย “ตอนป๋าจีบหม่าม้านะ ก็ทำตัวเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงนี่ล่ะ ปล่อยให้หม่าม้ามีกิ๊กไปก่อน สุดท้ายก็กลับมาตายรัง สมัยก่อนนา...หม่าม้าภัทรเจ้าชู้ใช่ย่อยนะจะบอกให้”

ชายหนุ่มผู้เป็นแขกอมยิ้มกับการเอาภรรยามาเผาของเจ้าของบ้าน โดยที่ภรรยาไม่ว่าอะไร มิหนำซ้ำยังหัวเราะครื้นเครงเสียด้วย นัยน์ตาสีดำสนิทเผลอไปสบตาเพื่อนสนิทที่บอกเป็นเชิงว่าห้ามพูดอะไรทั้งนั้น

“จ้า...หม่าม้าเจ้าชู้ แต่ตอนนี้หม่าม้าว่าคุณสามีที่แสนดีรีบๆ ทานให้เสร็จแล้วจะได้ทานผลไม้ต่อ อย่าปล่อยให้วินของหม่าม้าต้องนั่งรอคุยธุระนานเลย กลับดึกเดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วง”

“เพื่อนภัทรเป็นผู้ชายนะหม่าม้าไม่ใช่กระเทย”

“ว้าย!” มารดาร้อง เอามือทาบอก “ก็ไม่ใช่น่ะซี อย่าพูดอย่างนี้อีกนะ หม่าม้าหัวใจจะวาย”

ภัทรนรินทร์หัวเราะ ก่อนจะหันมาส่งสายตาแพรวพราวให้เพื่อนสนิทที่อยากจะส่ายหน้าแล้วจับมาตีเสียให้เข็ด โทษฐานที่ชอบหาว่าเขาเป็นเก้งกวางบ้างล่ะ ตุ๊ดกระเทยบ้างล่ะ พ่อแก่บ้างล่ะ จนคนไม่รู้จักกันก็เกือบเชื่อไปแล้วหลายคน

แต่สุดท้ายวินธัยก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะก่อนจะมองกลับด้วยแววตาที่บอกได้ว่า ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ’ ซึ่งเพื่อนสนิทกลับหัวเราะไม่ใส่ใจเสียอย่างนั้น





เวลาล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืน กว่าที่วินธัยจะเอ่ยลาโดยอ้างว่าไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของผู้ใหญ่ทั้งสอง ทั้งที่ภัทรนรินทร์เองก็เห็นว่าคนที่ชวนวินธัยนั่งจิบเหล้าคุยเรื่องธุรกิจน่ะพ่อของเธอเอง ส่วนมารดาก็เป็นภรรยาที่ดีคอยหากับแกล้มมาบริการแบบไม่มีวันหมด

มีแต่เธอเท่านั้นที่ต้องคอยขัดให้เพื่อนสนิทได้กลับบ้านเสียที ไม่รู้จะคุยกันถูกคอไปถึงไหน เธอเองก็เรียนมาเหมือนวินธัยแต่ทำไมบิดาถึงไม่อยากจะคุยกับเธอเหมือนอย่างที่คุยกับชายหนุ่มบ้าง

ภัทรนรินทร์คิดอย่างอิจฉาแกมหมั่นไส้เล็กๆ

“คิดอะไรอยู่?”

เสียงทุ้มยังเหมือนเดิมแม้จะจิบเหล้าไปกับบิดาเธอไม่น้อย วินธัยมองคนที่กำลังเปิดประตูบ้านให้เขา สีหน้าครุ่นคิดของเธอทำให้อดถามออกไปไม่ได้

“มากวนหรือเปล่า”

“เปล่านี่” เธอตอบ “ป๋ากับหม่าม้าชอบนายจะตาย เมื่อกี้ยังบอกอยู่เลยว่าถ้าว่างก็ให้มาอีกไม่ใช่หรอ”

“แล้วมาอีกได้มั้ย?”

ภัทรนรินทร์เงยหน้ามองเจ้าของคำถามอย่างหานัยสำคัญของประโยคนั้น แต่คงเป็นเธอเองที่เพ้อเจ้อไปเอง ริมฝีปากเรียวเม้มเบาๆ นัยน์ตาเรียวไหวระริกเพียงแวบเดียว ก่อนจะเสดูนาฬิกาข้อมือ “โห...จะเที่ยงคืนแล้ว ป่านนี้รถคงโล่งแล้วล่ะ ขับปรู๊ดเดียวถึงบ้านแน่ๆ ว่าแต่ไม่เมาใช่มั้ย มึนหรือเปล่า?”

“ไม่หรอก” เขาตอบเบาๆ รู้ดีว่าเมื่อครู่เขาอาจจะรุกมากเกินไปหน่อย แต่อย่างน้อยท่าทางลังเลนั่นทำให้เขาอุปทานไปเองได้ไหมนะว่าบางสิ่งบางอย่างในใจของภัทรนรินทร์อาจเริ่มเปลี่ยนไป และมันอาจมาจากเขา “ปิดบ้านเถอะ”

“ขึ้นรถไปสิ” เธอว่า ก่อนถามย้ำ “แน่ใจนะว่าไหว?”

เขาไม่ตอบอะไร มือแข็งแรงเอื้อมมาปิดประตูบ้านให้ อย่างน้อยเขาก็ขึ้นรถอย่างสบายใจถ้าหญิงสาวอยู่ในรั้วบ้านเรียบร้อยแล้ว

“วิน...” ภัทรนรินทร์เรียก “ขับรถดีๆ ล่ะ ถึงแล้วยิงมาด้วย”

“ได้”

“เอ้อ...” ร่างสูงโปร่งเรียกซ้ำ มือไม้ดูระเกะระกะจนต้องเกาท้ายทอย มืออีกข้างเหวี่ยงกุญแจในนิ้วเป็นวง “ขอบใจนะสำหรับเรื่องงาน แล้วถ้าว่างๆ แวะมานั่งคุยเป็นเพื่อนป๋ากับหม่าม้าบ้างก็ได้”

วินธัยยิ้มออกมาไม่รู้ตัว พลางโคลงศีรษะให้กับคนที่พูดรัวเร็วแล้วชิงเดินหนีเขาเข้าบ้านไปแล้วอย่างไม่รอคำตอบ แต่ไม่ว่าภัทรนรินทร์จะพูดอย่างไร เขาก็รู้ตัวเองดีว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เขาจะมาที่นี่แน่ๆ และมันจะต้องมีรอบสองสามสี่ไปเรื่อยๆ ในระยะเวลาอันใกล้นี้ เขามั่นใจ

=======================================

อ่านจบแล้วมีอะไรอยากเสนอแนะ อยากบ่นคนเขียน อยากจุดธูปหรือเผาพริกเผาเกลือแช่งก็ตามสบายเลยนะคะ (พักนี้ร้อนๆ ใครเล่นของป่ะเนี่ย?!?)

มาเม้าท์กัน อย่าลืมป้ายไฟนะ (ชอบจริงอะไรจริง ก๊ากกกก)

เจอกันตอนหน้าไม่รู้เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ อย่างน้อยสามอาทิตย์ค่ะ (ช่วงวิกฤต โฮะๆ ฮือๆ)



เจ้าชายน้อย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 เม.ย. 2554, 18:40:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 เม.ย. 2554, 09:07:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 2179





<< 4. หว่านเสน่ห์ และ หวั่นไหว   6. ยากที่จะเข้าใจ >>
roseolar 16 เม.ย. 2554, 19:56:05 น.
ตอนนี้น่ารักมวากกกกก แถมยาวเต็มอิ่มจุใจจริงๆ อ่านไปก็แอบอมยิ้มไป แต่สงสารต้นน้ำจังน้า ลุ้นให้สมหวังกับศวิตาเร็วๆนะคะ

ขออวยพรให้พี่สอบผ่านนะคะ สาธุ แล้วอีกสามอาทิตย์จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ อย่าปล่อยให้รอเก้อน้า~

ฝ้ายก็จะสอบแล้วหมือนกัน แถมเป็นอาทิตย์ที่กำลังจะมาเยือนด้วย สอบลองเคสอะค่ะ ดีที่ไม่เก็บคะแนน มีแค่ผ่านกับไม่ผ่านเฉยๆ รู้สึกสมองกลวงมาก เหมือนไม่มีความรู้อะไรเลย ถ้าเปลี่ยนเป็นสอบนิยายเรื่องเพื่อนกันวันสุดท้ายนี่ ฝ้ายอาจจะได้คะแนนเต็มก็ได้น้า ^_^

สุดท้าย...ไม่ลืมป้ายไฟที่ใหญ่และวิบวับกว่าเดิม...เจ้าชายน้อยสู้ๆค่า


Pat 16 เม.ย. 2554, 21:12:18 น.
เรื่องนี้น่ารักดีค่ะ


sai 16 เม.ย. 2554, 22:00:52 น.
อ๊ายยยยย ชอบๆๆๆ แต่ว่า สามอาทิตย์เลยหรอกว่าจะได้ตอนต่อไปอ่ะ แตยังไงก็ขอให้ผ่านวิกฤตไปได้นะค่ะ


หมู้หมู 16 เม.ย. 2554, 22:48:25 น.
ชูป้ายไฟ เอาใจ ไรเตอร์ก่อน

แล้วก็ตะโกนดังๆ ว่า น่ารักอ่ะ....

อีกคู่ ตาต้นน้ำกะยายศวิตา ลุ้นอยู่น้าาา ^^


mottanoy 17 เม.ย. 2554, 01:24:19 น.
สงสัยว่าเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งนานทำไม่ไม่รู้จักพ่อแม่ภัทรเลยเหรอคะ แล้วแม่ก็ทำกับข้าวเก่งปานนั้นเป็นเราจะมาขลุกทุกอาทิตย์เลย


เจ้าชายน้อย 17 เม.ย. 2554, 08:48:37 น.
ตอบคุณmottanoy จ้า
ปกติแก๊งนี้เขาจะชอบไปขลุกอยู่ที่คอนโดของนายต้นน้ำกันค่ะ แต่ก็เคยมาบ้านภัทรบ้าง ซึ่งป๋ากับหม่าม้าจะจำต้นน้ำกับศวิตาได้มากกว่าเพราะคุยเก่งกว่า

แต่ว่าคนเขียนคงต้องไปแก้ซะหน่อย เพราะมันเหมือนเพิ่งเจอกันครั้งแรกใช่ไหมคะ งืมๆๆ อันนี้เป็นความเลินเล่อของเจ้าชายน้อยเองค่ะ ขอบคุณคุณmottanoyมากๆ นะคะ ^0^


chat 17 เม.ย. 2554, 12:32:33 น.
น่ารักมากค่ะ


anOO 17 เม.ย. 2554, 13:49:09 น.
นายวินเนี้ยน่ารักขึ้นทุกวัน
ภัทรเองก็หญิงขึ้นมาทีละนิดแล้วล่ะเนอะ
ว่าแต่วีต้าคิดได้ไงอ่ะ ว่าต้นน้ำชอบภัทร


หมู้หมู 5 พ.ค. 2554, 23:16:08 น.
โอ้ยยย ไรเตอร์จ๋าาาาา หายไปนานไปแล้วน้าาา เค้าคิดถึงอ่ะ... เค้าให้ตะเองอีก อาทิตย์นึงนะ ถ้ายังไม่มา เค้าจะถอดป้ายไฟละนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account