เพื่อนกันวันสุดท้าย
เธอ...สาวทอมมาดหลุดผู้สับสนทางเพศ
เขา...คนที่เป็นเพศอะไรก็ได้เพื่อเธอ
และ
เธอ...เพื่อนสนิทคิด(ไม่)ซื่อ
เขา...เพื่อนชายนายแสนซื่อ(บื้อ)
Tags: เพื่อนกันวันสุดท้าย เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ เพื่อนสนิท รักเพื่อน เพื่อนรัก วินธัย ภัทรนรินทร์ ต้นน้ำ ศวิตา

ตอน: 6. ยากที่จะเข้าใจ

เม้าท์มอยกันเถิดค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนที่ทิ้งไว้ตั้งสามอาทิตย์ ให้หลายคนหมดธูปไปก็หลายดอกในการจุดเรียก และใช้ถ่านไปมากกับป้ายไฟ (ที่จะถูกยึดคืน 555)

แหมมมม ไม่ได้อยากหายไปเลยนะ ความจริงอยากมาลงนิยายให้มากๆ แต่มันไม่ไหวจริงๆ ค่ะ เรียนเหนื่อยมากๆ บางวันกลับมาจากเวรไม่อาบน้ำ นอนหลับเป็นตาย มันสุดยอดจริงๆ ค่ะ สูตินรีเวช (กดไลท์แรงๆ)

วันนี้ก็เพิ่งสอบเสร็จตัวที่สาม (หลังจากมีการหลั่งน้ำตาให้กับสองตัวที่แล้ว 555) ก็เลยได้ฤกษ์ที่สัญญากับคุณผู้อ่านที่น่ารักทุกคนไว้ว่าวันนี้จะมาลงตอนต่อไปให้ได้อ่านกัน...เค้ามาตรงเวลาน้าาาา อิอิ

โอ้ววว ลืมไปอีกเรื่อง ผลสอบเอ็นท์(ดูสิ เรียกแบบเก่าอยู่เลยแสดงอายุมากๆ ฉัน - -") ดีใจกับน้องๆ ที่ก้าวผ่านความฝันมาอีกขึ้นหนึ่งแล้วนะคะ พยายามต่อไปล่ะ ส่วนคนที่ไม่ได้อย่างที่ใจคิดก็คิดให้ดีนะ จะเรียนๆ ไป จะซิ่วหรือจะยังไงก็คิดให้รอบคอบนะคะ จะบอกว่าไม่ต้องเสียใจมันคงทำได้ยาก แต่เอาเป็นว่าเก็บไว้เป็นแรงกระตุ้นจุดไฟในตัวเองให้มีมากขึ้นกว่านี้อีกแล้วกันนะคะ อย่าลืมว่านี่ไม่ใช่ความสำเร็จในชีวิตที่แท้จริงหรอกนะจ๊ะ

เม้าท์นานเกิ๊นแล้ว ไปอ่านเรื่องวุ่นวายของนายวิน ยัยภัทร และต้นน้ำกับวีต้าคนสวยกันดีกว่าเน้อ
-------------------------------------------------------------------------

คุณ roseolar --- เป็นไงบ้างน้องฝ้าย ทำข้อสอบได้มั้ยอ่ะ พี่ก็สอบลองเคสไปแล้ว และสอบลง(ไป)กองแล้วด้วย บ้าดีเดือดโดยแท้ค่ะคุณน้อง เดี๋ยวได้พักสักสองวันจะไปขึ้นเด็กต่อแล้ว สนุกสนานพอกัน เฮ้อ ชีวิต 555 ขอบคุณสำหรับป้ายไฟ น้องสาวน่ารักเสมอ อิอิ เป็นกำลังใจให้สอบผ่านคะแนนดีเว่อร์ๆ นะจ๊ะ แม้ว่าจะไม่ใช่ข้อสอบเรื่องเพื่อนกันวันสุดท้ายก็ตามที โฮะๆ

คุณ Pat --- ก่อนอื่น อิจฉาไอคอนเลยค่ะ น่ารักจัง ขโมยได้ป่ะ 555 ขอบคุณสำหรับการติดตามและคอมเม้นต์นะคะ รักน้อยๆ แต่รักนานๆ นะคะ (กรั่กๆๆ)

คุณ sai --- ผ่านวิกฤตมาได้แล้วค่ะ (แต่เดี๋ยวไปเจอวิกฤตใหม่ แงงงง) แต่แวะเอามาให้อ่านกันก่อนจ้า ไม่เจอกันตั้งสามอาทิตย์คิดถึงคนเขียนล่ะซี้ (ช่างกล้าาาา)

คุณ หมู้หมู --- กรี๊ดดด อย่าเพิ่งถอดป้ายไฟเค้าาาาาา T^T มาแล้วจ้า ตามการจุดธูปเรียก แหม แบบว่าเพิ่งสอบเสร็จเมื่อเย็นก็รีบมาต่อเลยน้าาาาาา

คุณ mottanoy --- ตอบคำถามของคุณมดตะนอยไปที่กระทู้ที่แล้ว แต่เดี๋ยวกลัวไม่เห็น เลยขอยกมาตอบที่นี่อีกครั้งจ้า ที่ถามว่า "สงสัยว่าเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งนานทำไม่ไม่รู้จักพ่อแม่ภัทรเลยเหรอคะ แล้วแม่ก็ทำกับข้าวเก่งปานนั้นเป็นเราจะมาขลุกทุกอาทิตย์เลย" ตอบจ้า "ปกติแก๊งนี้เขาจะชอบไปขลุกอยู่ที่คอนโดของนายต้นน้ำกันค่ะ แต่ก็เคยมาบ้านภัทรบ้าง ซึ่งป๋ากับหม่าม้าจะจำต้นน้ำกับศวิตาได้มากกว่าเพราะคุยเก่งกว่า" แต่ว่าคนเขียนคงต้องไปแก้ซะหน่อย เพราะมันเหมือนเพิ่งเจอกันครั้งแรกใช่ไหมคะ งืมๆๆ อันนี้เป็นความเลินเล่อของเจ้าชายน้อยเองค่ะ ขอบคุณคุณmottanoyมากๆ นะคะ ^0^ หวังว่าจะอภัยให้ความก๊งของปริ๊นซ์ แล้วช่วยหาจุดแก้ไขกันต่อไปเน้ออออ

คุณ chat --- น่ารักเนี่ย คนเขียนใช่ป่าวคะ 555 (ช่วงนี้ภูมิต้านทานความกระดากใจลดลงอย่างฮวบฮาบ วะฮะฮ่า)

คุณ anOO --- นายวินเขาจะค่อยๆ เปิดเผยความน่ารัก น่าฟัด (อะจึ๋ยยย) ออกมาทีละติ๊ดส์์ พอๆ กับที่ยัยภัทรยังงงๆ สับสนใจความรู้สึกตัวเอง (หัวช้านั่นเอง) และก็พอๆ กับที่ต้นน้ำและวีต้าอะไรยังไงกันอยู่ (เอ๊ะ! อะไรยังไง งง 55 อยากรู้ต้องติดตาม อิอิ)


------------------------------------------------------------------------

6.

ร่างโปร่งของภัทรนรินทร์ที่อยู่ในชุดที่ยังสร้างเสียงฮือฮาให้พนักงานเดินออกมาจากห้องบิดา พลันก้มลงมองแฟ้มที่เซ็นอนุมัติแล้วด้วยมือคุณพจน์เองด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้

หลังจากวันศุกร์ที่ผ่านมา นี่ก็เกือบจะครบอาทิตย์แล้วที่เธอไม่ได้เจอวินธัย แม้อีกฝ่ายจะตื้อมารับเธอไปทำงานเพราะไอ้แก่ยังอยู่ในอู่ แต่เป็นเธอเองที่ไล่เขาเพราะไม่อยากให้มาเสียเวลา อีกอย่างเธอรอไปพร้อมป๋าก็ได้

ตั้งอาทิตย์หนึ่ง...

เฮ้ย! จะไปคิดอย่างนั้นทำไมเล่า

ดวงตาเรียวกลอกตาขึ้นมองเพดาน ปากเรียวขมุบขมิบด่าตัวเองในใจ...ต้องบอกว่าเธอไม่ได้เจอศวิตากับต้นน้ำด้วยต่างหากล่ะอันที่จริง

เพราะรู้ว่าต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ ตอนนี้เธอไม่ใช่นักศึกษาฝึกงาน แม้จะไม่ได้รับตำแหน่งใหญ่ๆ ในบอร์ดบริหารเหมือนเพื่อนสนิททั้งสาม แต่งานแรกที่อยู่ในมือก็ถือเป็นสิ่งที่เรียกความน่าเชื่อถือให้ภัทรนรินทร์ไม่ใช่เด็กเส้นอย่างที่ใครอาจปรามาสไว้ตั้งแต่เห็นนามสกุลของเธอ

แต่งานที่อยู่ในมือมันไม่ใช่งานโดยตรงของเธอหรอก แค่อาสาป๋าไปทำให้ เพราะไม่อยากนั่งอยู่แต่ในบริษัทเลยต้องหาลู่ทางออกไปข้างนอกบ้าง และถ้าเทียบในหมู่เพื่อนทั้งสามคนแล้ว บริษัทที่ทำเกี่ยวกับเรื่องโรงแรมของวินธัยก็ดูจะเข้าท่ามากที่สุด

พอนึกถึงวินธัยก็คล้ายว่าความรู้สึกคืนนั้นจะย้อนเข้ามาในความทรงจำ เธอไม่ได้โง่ขนาดที่ปฏิเสธความรู้สึกประหลาดของตัวเอง แต่ก็ไม่ฉลาดพอจะรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่

และที่ยังสงสัยก็คงไม่พ้นปัญหาที่ว่า ทำไมดวงตาดุๆ ของวินธัย หรือ ท่าทางอบอุ่นเหมือนพ่อของเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งสี่ปี ทั้งที่ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ใจกลับบอกว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ตัวเธอเองที่เปลี่ยนไป

ภัทรนรินทร์รีบล้วงเอามือถือที่อยู่ในกางเกงออกมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้า ก่อนจะผิดหวังอย่างไม่รู้ตัวเมื่อชื่อที่ขึ้นไม่ใช่คนที่หวังไว้

“ว่าไงไอ้ก้อง” เธอกรอกเสียงไปตามสาย ทักทาย ‘ก้องภพ’ เพื่อนคู่หูเวลาออกค่าย ที่ไม่มีค่ายไหนที่มันไปแล้วเธอไม่ไป “...หายหัวไปเลย”

“น้อยๆ หน่อย พูดอย่างกับฉันไปติดหนี้แกน่ะไอ้ภัทร” ชายหนุ่มโวยวายกลับมาไม่จริงจังนัก “ว่างมั้ยแก?”

“ก็คุยได้”

“แหมๆๆ เดี๋ยวนี้เขาเป็นผู้บริหารแล้วธุรกิจรัดตัวเลยนะ” เพื่อนแซว

“บ้านแกสิ ฉันมันพนักงานกินเงือนเดือน ไม่เหมือนสามคนนั้นหรอก”
ดูเหมือนก้องภพจะนึกถึง ‘สามคนนั้น’ ออก เลยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบไปในตัว

“ก็สบายดีกันหมดแหละ แล้วกลุ่มแกล่ะ”

“กลุ่มฉันมันชายโสด ก็ต้องสบายอยู่แล้วล่ะ”

“ชายโฉดล่ะสิไม่ว่า”

“น้อยๆ หน่อยไอ้เพื่อนรัก” ก้องภพแกล้งว่าเสียงขุ่น ก่อนจะปรับอารมณ์กลับมายอกย้อน “ว่าแต่ได้ข่าวมาว่าโดนหญิงตบเรอะ”

“ไอ้...” ภัทรนรินทร์เค้นเสียง ถึงอยากด่าก้องภพแค่ไหน แต่ก็รู้ดีว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอยั่วขึ้นมากเท่านั้น “หน้าไหนมันปากมอม”

“มอมขนาดนี้จะมีใครอีก”

เธอถอนหายใจพรืด อยากเอาขี้เถ้ามายัดปากคนที่กำลังหัวเราะอย่างสะใจอยู่ตอนนี้เสียจริง...ฮึ่ม!

“เอาน่า...รสชาติของชีวิตนะนั่น”

“มันเล่าอะไรให้แกฟังอีกหรือเปล่า?”

“จะเล่าอะไร? นอกจากที่แกหน้าแดงเป็นรอยนิ้วครบห้านิ้วแล้ว ยังจะมีอะไรให้เล่าอีกวะ หรือแกยังมีความลับอะไรฮะ คายออกมาให้หมดเลยนะเว้ย”

ภัทรนรินทร์ระบายลมหายใจเบาๆ แล้วด่าก้องภพในใจ...ใครจะโง่เล่าให้ฟังวะ

“แล้วนี่แกโทรมามีไร” หล่อนเปลี่ยนเรื่อง

“อย่านึกนะว่าไม่รู้ว่าแกกำลังจะเปลี่ยนเรื่อง แต่ก็เอาเถอะ เจอกันค่อยเค้นยังไม่สาย” เขาบอก “ตามประสากลุ่มชายโฉด เอ๊ย! โสด ทำงานมาหลายเดือนไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน เลยว่าจะจัดทริปไปทะเลว่ะ...สนใจเปล่า?”

“ก็ดี วันไหนล่ะ”

“วันหยุดอาทิตย์หน้าไง ยาวอยู่นะรวมชดเชยด้วย แต่ไม่รู้ว่าพวกท่านผู้บริหารจะไปได้มั้ยขอรับ”

“เออๆๆ เดี๋ยวฉันดูก่อน แล้วจะถามพวกนั้นให้ ไม่เกินสองวันจะโทรไปบอก” ภัทรนรินทร์ว่า “...สรุปมีแต่กลุ่มแกใช่มั้ย? ไปไหนนะ”

“ยังไม่รู้ว่ะ แกมีที่ไหนเสนอมั้ยล่ะ”

“ไม่อ่ะ ยังไงก็ได้ แค่ได้นอนเล่นสบายๆ ก็พอแล้ว”

“อันนั้นน่ะของตาย” ปลายสายหัวเราะกับสไตล์การเที่ยวของเขาและภัทรนรินทร์ที่ไม่ต่างกัน “งั้นแค่นี้ล่ะ โทรในเวลางานเดี๋ยวโดนเด้ง...ฝากชวนไอ้ต้น ไอ้วิน แล้วก็วีต้าคนสวยของฉันด้วยนะ”

“ทะลึ่งนะ” เธอด่าก่อนจะรับคำเบาๆ แล้วเตรียมตัวฝ่าการจราจรที่ติดขัดกลับบ้านพร้อมท้องที่ร้องโครกครากแล้วในตอนนี้

...แล้วไอ้คนบ้างานจะได้กินข้าวหรือยังนะ?





“ฮัลโหลค่ะ ว่าไงคะที่รัก”

เสียงฉอเลาะของศวิตาทำให้เจ้าของห้องทำงานตัวจริงได้แต่เงี่ยหูฟัง แต่ดวงตายังไม่เคลื่อนไปจากงานตรงหน้าทั้งที่รู้ตัวว่าไม่มีสมาธิเอาเสียเลย

วันนี้ศวิตาเกาะติดเขาแจเพราะบังเอิญไปเจอกันที่ห้างเดิม เขาไปพบลูกค้าในขณะที่เพื่อนสนิทไปสปาตัวหลังเลิกงาน และแม้ตอนนี้จะค่ำแล้ว แต่เจ้าหล่อนก็ยังนั่งเล่นอยู่ในห้องทำงานของเขาโดยอ้างว่าขี้เกียจกลับบ้านไปเจอพ่อกับอีหนูคนใหม่

“อ๊ะดินเนอร์พรุ่งนี้หรอคะ ตายจริงวีต้าไม่ว่างพอดีเลยมีนัดกับลูกค้า เอาเป็นมะรืนได้มั้ยคะ”

เหอะ!

ต้นน้ำสบถเบาๆ เพิ่งจะรู้ว่าคนที่โทรมานัดดินเนอร์ศวิตาคนที่แล้วเป็นลูกค้า และคิดว่าถ้ามีสายที่สามโทรเข้ามา ปลายสายของศวิตาในขณะนี้ก็คงเป็น ‘ลูกค้า’ ของวันมะรืนด้วยกระมัง!

“ได้ค่ะ...สำหรับอาร์ท วีต้าว่างเสมอ แต่ตอนนี้ต้องรีบไปเคลียร์งานก่อนนะคะ จะได้มีเวลาไปดินเนอร์กับอาร์ท”

“จะได้มีเวลาไปดินเนอร์กับอาร์ท” ต้นน้ำล้อเสียงเล็กเสียงน้อย เมื่อเพื่อนสนิทวางสายแล้ว

ศวิตาค้อนขวับ “อย่างกับกระเทย”

“ใครจะไปทำได้ดูดีอย่างเธอเล่า” ต้นน้ำว่า “ทำไมไม่นัดมันวันนี้ซะก็หมดเรื่อง”

“ทำไม...แกเบื่อฉันหรือไง”

คำถามจริงจังจากศวิตานั้นทำให้ต้นน้ำหลบตา ความเงียบเข้าครอบคลุมในขณะที่ความมืดจากภายนอกกำลังมาเยือนอย่างเต็มตัว ต้นน้ำจึงเอ่ยขึ้นทั้งที่สายตาไม่ละไปจากกระจกใส

“มืดค่ำแล้วจะได้ไปหาข้าวกิน มีใครอีกหลายคนรอเธอให้ไปกินข้าวด้วยไม่ใช่หรือไง ฉันเองก็ยังไม่รู้จะทำงานเสร็จเมื่อไหร่”

ไม่มีเสียงตอบรับ ร่างระหงลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วก้าวฉับๆ ออกไปข้างนอก ทิ้งให้คนในห้องใจหาย

เขารู้ว่าตัวเองใจร้ายที่พูดไปอย่างนั้น แต่มันคือความห่วงใยเดียวที่จะมอบให้ได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากออกไปกินข้าวกับเธอ แต่เพราะงานที่เร่งเข้ามาพอดีทำให้คืนนี้คงต้องอยู่ยาว เผลอๆ อาจต้องย้ายสำมะโนครัวมานอนที่โซฟาก็เป็นได้ จึงไม่อยากให้เธอรอเก้อ

ต้นน้ำวางปากกาในมือลง เอนหลังพิงพนัก หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า





ในขณะเดียวกันที่โรงแรมเดอะรอยัล ‘คนบ้างาน’ ที่สายตาคมกล้ายังจับจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ใจกลับไม่ได้อยู่กับงานตรงหน้าอย่างวินธัยค่อยๆ พ่นลมหายใจออกมา เมื่อสักครู่ที่เขารับโทรศัพท์จากศวิตาที่โทรมาถามเรื่องไปเที่ยวกับกลุ่มของก้องภพ น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังคล้ายกับว่าโกรธใครมา แต่เขาอาจจะคิดไปเองเพราะพอลองฟังอีกทีมันก็ดูจะปกติดี

วินธัยเบนความสนใจกลับมาที่เรื่องตัวเอง มันจะงี่เง่าเกินไปไหมนะ ถ้าเขาจะสงสัยว่าเหตุใดภัทรนรินทร์ถึงไม่โทรถามเขาเอง และจะบ้าเกินไปหรือเปล่าที่รู้สึกว่าเจ้าหล่อนหายหน้าหายตา มีเพียงข้อความฝากไว้กับเลขาของเขาว่างานที่ต้องโคกันผ่านการอนุมัติแล้ว

หรือเขาจะเดินเกมส์ผิดที่ ‘รุก’ หล่อนไปวันนั้น

มือใหญ่คลายมือถือในมือออก นิ้วโป้งทำท่าจะกดโทรออกก่อนจะตัดสินใจวางมันลงโต๊ะทำงานเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนกระแสจิตอาจส่งถึงกันได้ เพราะเครื่องมือสื่อสารที่สั่นแบบไม่มีเสียงแสดงชื่อคนที่เขาเพิ่งคิดถึงเมื่อครู่

“...” ชายหนุ่มกดรับสายอย่างรวดเร็ว แต่ไม่รู้จะพูดอะไรดี จนกระทั่งเสียงใสๆ ดังมาถึงเรียกรอยยิ้มตรงมุมปากบนใบหน้าหล่อเหล่าได้

“เป็นใบ้หรือไงรับสายแล้วไม่พูด”

“...”

“ฮัลโหล...อยู่หรือเปล่าน่ะวิน” ภัทรนรินทร์เอามือถือออกจากหูเพื่อดูว่าวินธัยรับสายแล้วจริงๆ “ไม่พูดงั้นจะวางแล้วนะ”

“อืม...”

“อืม นี่คือให้วางเลยใช่มั้ย” หญิงสามถามยียวน ความรู้สึกประหลาดที่ดูจะเป็นแรงผลักดันให้เธอไม่มาเจอหน้ามันเกือบอาทิตย์หายลงไปอย่างรวดเร็ว “...เป็นไรไม่พูด เดี๋ยวน้ำลายก็บูดหรอก”

วินธัยยิ้ม จะให้เขาบอกเธออย่างไรว่าดีใจแค่ไหนที่ปลายสายโทรมา และกลัวจนไม่รู้จะพูดว่าอะไร เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะคำพูดเขาในคืนนั้นหรือเปล่าที่ทำให้เพื่อนสนิทถอยห่างไป “มีอะไรหรือ?”

ปลายสายเงียบไป เพราะตอบไม่ได้จริงๆ ว่ามีธุระอะไร เลยเฉไฉไปว่า “เปล่า...ก็เห็นพักนี้ไม่ค่อยได้เจอพวกแก เลยโทรเรียงตัวเลยเนี่ย”

“อ๋อหรอ”

ภัทรนรินทร์ขบริมฝีปาก รู้สึกไปเองไหมนะว่าเสียงของเพื่อนสนิทดูแปลกไป คล้ายน้อยใจอะไรทำนองนั้น

“แล้วนี่กินข้าวยัง?”

“ยัง”

“อยู่ไหน”

“บริษัท”

“เออ...” เป็นเธอเองที่อ้ำอึ้ง ก่อนจะมองไปเห็นอาหารที่เริ่มลำเลียงลงโต๊ะรอบิดากลับบ้าน แล้วชั่งใจสักครู่ก่อนจะเอ่ยรัวเร็วว่า

“ฉันกำลังจะกินข้าว ตอนนี้รอป๋าอยู่ ถ้าคิดว่ามาทันก็มาแล้วกัน แค่นี้ล่ะ”





แม้ว่าปลายสายจะวางไปทันทีหลังพูดจบ แต่รอยยิ้มกว้างกว่าเดิมที่ยังไม่จางหายทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของวินธัยดูดีขึ้นอีกเป็นกอง จนเลขาหน้าห้องอย่างชนิสาที่เปิดประตูเอาแฟ้มงานมาให้ต้องชะงัก แล้วก็ระล่ำระลักถามเมื่อเห็นเจ้านายหาอะไรบางอย่าง

“เจ้านายหาอะไรคะ?”

วินธัยไม่ตอบ เขาปิดคอมแล้วหยิบกุญแจรถไว้ในมือ ร่างสูงเกินมาตรฐานชายไทยลุกขึ้น ก้าวอาดๆ ผ่านหน้าเลขาไปชนิดที่เรียกไม่ทัน ทิ้งให้ชนิสาโอดครวญกับแฟ้มใหญ่ในอ้อมแขน

“เจ้านายจะไปไหนคะ ไหนบอกจะเซ็นอีกสักแฟ้มสองแฟ้มไง โถ่...ไอ้เรารึก็อุตส่าห์อยู่พิมพ์ โอทีจะได้มั้ยเนี่ย ทิ้งกันได้เจ้านายใจร้าย”





ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เมื่อใบหน้าเขาถูกแตะเบาๆ ต้นน้ำกระพริบตาก่อนจะควานหาแว่นตาตามสัญชาตญาณ เขาว่าตัวเองไม่ได้ถอดมันออกไปนะ

“กินข้าวกัน”

เสียงหวานๆ ของศวิตาทำให้เขาสะบัดศีรษะแรงๆ เพื่อให้รู้ว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป ศวิตาไม่ได้โกรธเขาจนงอนกลับบ้านหรือไปดินเนอร์หรูใต้แสงเทียนกับใครแทนแล้วหรือ?

“วีต้า...” เขาเรียกคล้ายละเมอ มือยังพยายามควานหาแว่นบนโต๊ะแต่ไม่เจอ จนกระทั่งเห็นลางๆ ว่าสิ่งที่ต้องการอยู่ตรงหน้า แต่เขาก็ต้องพลาดเมื่อดูเหมือนแว่นสายตาจะมีปีกบินหนีเขาไป “เอาแว่นฉันคืนมาวีต้า อย่าเล่นอะไรแบบนี้ มันมองไม่เห็น”

“กินข้าวก่อนแล้วจะคืนให้ เกิดคืนให้ตอนนี้แกก็เอาแต่นั่งทำงานแล้วก็ไล่ตะเพิดฉันอีก”

“ฉัน...”

ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร แต่จู่ๆ มือเขาก็ถูกเกาะกุมโดยมือนุ่มของคนที่เขาเฝ้าย้ำมาตลอดว่าเธอเป็นเพื่อนสนิท ร่างสูงลุกขึ้นพยายามดึงมือออก ก่อนที่หัวใจจะหวั่นไหวไปมากกว่านี้

“อย่ามาอวดเก่ง ไม่มีแว่นแล้วจะเดินยังไง” ศวิตาว่า

“ก็คืนแว่นฉันเสียทีสิ”

“ฝันไปเถอะ” หล่อนบอกก่อนจะเชิดหน้าขึ้นแล้วทำท่าจะผละหนีไป ถ้าไม่ติดที่มืออุ่นเอื้อมมากุมไว้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยเสียงอ่อย

“ฉันหิวข้าว”

สาวสวยยิ้มก่อนจะยินยอมจับจูงมือเขาเดินไปที่โซฟา ถึงต้นน้ำจะคุ้นห้องแค่ไหน แต่เมื่อไม่มีแว่นคู่ใจ สายตาที่สั้น 800 ทำให้ขาไม่ต่างจากคนตาบอด ชายหนุ่มยินยอมให้ศวิตานำทางจนมาถึงโซฟา หล่อนไม่คืนแว่นให้เขา แต่กลับยื่นข้าวกล่องมาให้แทน ต้นน้ำรับไว้ก่อนจะถาม

“เมื่อกี้...ไปซื้อข้าวมาหรอ”

“ใช่สิ ร้านขายอาหารตามสั่งข้างๆ บริษัทแกนั่นแหละทำผมฉันเหม็นกลิ่นพริกแกงเป็นบ้า รอก็นาน แถมยัยป้าข้างหลังก็แอบแซงตอนฉันก้มหยิบมือถือด้วย น่าเจ็บใจชะมัด”

เขาฟังคนที่นั่งบนเป็นหมีกินผึ้งยิ้มๆ ก่อนจะพยายามสบตาเพื่อนสนิท ทั้งที่มองไม่ค่อยเห็น “วีต้า...ขอบใจนะ แล้วก็เมื่อกี้ขอโทษด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจ...”

“ช่างมันเถอะ ฉันผิดเองแหละที่มากวนแก ถูกแล้วที่แกจะรำคาญ”

“ฉัน...”

“ต้น...” ศวิตาเรียก เธอชอบเขาตอนที่ไม่ใส่แว่นมากที่สุด ไม่ใช่เพราะใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของเขา แต่เป็นเพราะต้นน้ำที่ไม่มีแว่นจะไม่มีทางมองเห็นสายตาที่เธอใช้ทอดมองเขาตอนนี้ได้เด็ดขาด “แก...รำคาญฉันมากมั้ย”

“วีต้า”

“มากมั้ย?” หล่อนถามย้ำ “ตอบฉันมาตามตรง ฉันจะไม่โกรธและสัญญาว่าจะไม่มากวนแกอีก”

“ไม่นะ” มือใหญ่ผวาตามความเคลื่อนไหวตรงหน้า เขาคว้าได้มือนุ่มก่อนจะดึงมันให้เจ้าของมือนั่งลงเหมือนเดิม “ฉัน...ไม่เคยเบื่อเธอ ไม่เคยและไม่มีวัน”

ปลายประโยคหนักแน่นของต้นน้ำถูกขอบคุณด้วยสัมผัสนุ่มนวลที่ริมฝีปากของเขาทำให้สิ่งที่ควบคุมมาตลอดต้องเตลิด เขาไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะทนให้ใครมาจูบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนๆ นั้นคือผู้หญิงที่ชื่อ...ศวิตา

กล่องข้าวหล่นแหมะลงบนพื้นห้อง แต่เจ้าของห้องไม่สนใจ ปากหยักโค้งสัมผัสปากอิ่มอย่างโหยหา อ้อนวอนอยู่ในที แม้ในใจจะแย้งว่าศวิตาเป็นเพื่อนสนิท

ความรู้สึกปรารถนาสวนทางกับความผิดถูก เมื่อต้นน้ำยังคงลุ่มหลงอยู่กับความหอมหวานตรงหน้า จนกระทั่งหญิงสาวเป็นฝ่ายถอยหนีอย่างมีชั้นเชิง

“วีต้า...” เขาครางเสียงแหบ

“เลิกเล่นเถอะต้น” ศวิตาเอ่ยเสียงเรียบ มือที่สั่นค่อยๆ ติดกระดุมเม็ดบนที่หลุดออกจากรังดุม

นี่ถ้าเธอควบคุมตัวเองไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น เธอปรารถนาเขา แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใจเขาต้องการใคร

หล่อนไม่ต้องการครอบครองเพียงร่างกายของเขา เหมือนที่เขาอาจพ่ายแพ้ต่อร่างอันเย้ายวนของเธอ

“หมายความว่ายังไงวีต้า” ต้นน้ำถามทั้งที่มองไม่เห็น เขาไม่เคยเกลียดความรู้สึกยามไม่มีแว่นขนาดนี้มาก่อน เขาอยากจะยึดศวิตาไว้แล้วถามหล่อนว่ามันหมายความว่าอย่างไร จูบแสนหวานเมื่อครู่มันหมายความว่าอย่างไร!

“ฉันบอกให้แกเลิกเล่นบ้าๆ เสียที เพราะจูบของแกมันเด็กจริงๆ ไอ้ต้น” ศวิตาบอกขณะพยายามยันกายที่อ่อนแรงขึ้น มือเรียวหยิบกระเป๋า แล้วเอ่ยประโยคสุดท้าย

“ฉันขอโทษที่เริ่มก่อน แต่จะไม่โทษว่าตัวเองผิด เพราะฉันเป็นอย่างนี้แหละต้น ฉัน...จูบกับใครง่ายๆ อย่างนี้แหละ”





ศวิตาจากไปแล้ว จากไปพร้อมคำพูดที่เฉือนหัวใจของเขาไม่เหลือชิ้นดี ต้นน้ำควานหาแว่นก่อนจะเจอว่ามันวางอยู่บนกล่องข้าวที่ยังไม่ถูกเปิดออก

ริมฝีปากหนาเม้มแน่น สายตายังอาลัยอาวรณ์ประตูห้องทำงานคล้ายกับว่าใครบางคนเพิ่งก้าวออกไป ทั้งที่เธอจากไปนานแล้ว เป็นเขาเองที่นั่งนิ่งราวกับถูกสาป ไม่ไยดีต่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นเพราะรู้ว่ามันไม่ใช่เสียงที่ตั้งไว้สำหรับศวิตา

ต้นน้ำไม่ใช่เจ้าชายกบที่ถูกแม่มดร้ายสาป เพราะศวิตาไม่ใช่แม่มดใจร้าย

หล่อนเป็นดั่งเจ้าหญิง แต่เขาคงเป็นได้เพียงยาจก

เขาอยากหาเหตุผลของการกระทำเมื่อครู่ของเธอ แต่ก็กลัวเกินกว่าจะรับได้ถ้าหากความจริงก็คือศวิตาทำไปเพราะความพลั้งเผลอ เขาไม่ต้องการเป็นหนึ่งในผู้ชายของหล่อน เพราะรู้ว่าการเป็น ‘หนึ่งเดียว’ ในใจของคนอย่างศวิตาเป็นเรื่องยากเหลือเกิน ทำให้เขาเต็มใจที่จะอยู่ในฐานะเพื่อนที่พร้อมจะดูแลและมีข้ออ้างให้ได้พบเธอเสมอๆ ได้ห่วงใยโดยที่อีกฝ่ายไม่ระแคะระคายหรือถอยห่างไป

ทั้งที่เคยคิดว่าพอใจกับคำว่าเพื่อนที่มอบให้กัน แต่เมื่อครู่เพียงแค่หล่อน ‘รุก’ เขาก็ยากจะต้านทาน ความปรารถนากลบเจตนารมณ์เสียหมดสิ้น

‘ฉันขอโทษที่เริ่มก่อน แต่จะไม่โทษว่าตัวเองผิด เพราะฉันเป็นอย่างนี้แหละต้น ฉัน...จูบกับใครง่ายๆ อย่างนี้แหละ’

ถ้าศวิตาไม่โทษว่าตัวเองผิด เขาก็คงไม่โทษตัวเองเช่นกัน เพราะหากหล่อนจูบกับใครง่ายๆ จริง หากมันเป็นความพลั้งเผลอของคนๆ หนึ่ง คนที่เฝ้ารักและภักดีกับหล่อนมาตลอดคงไม่ผิดหรอกกระมัง

ใช่...เขาไม่ผิด แต่ทำไมถึงเจ็บปวดได้ขนาดนี้





ไม่รู้เข็มนาฬิกาเดินไปไกลแค่ไหน แต่ชายหนุ่มยังนั่งหมดอาลัยอยู่ที่เดิม อยู่ข้างไออุ่นและกลิ่นหอมจางๆ ของคนที่จากไปนานแล้ว

“ไอ้ต้น!” ภัทรนรินทร์โผล่พรวดเข้ามา ทำให้คนที่นั่งเหม่อมองประตูเบือนสายตามายังผู้มาใหม่ “แกเป็นอะไรวะ! ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

เธอถามก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง และมองกล่องข้าวที่ตกเกลื่อนอยู่อย่างสงสัย เมื่อครู่ตอนที่เธอกำลังรอทานข้าว จู่ๆ ก็มีข้อความจากศวิตา ส่งมาบอกแค่ว่า

‘รีบไปหาต้นที่บริษัท’

จากนั้นแม้เพียรโทรหาทั้งตัวคนส่งข้อความหรือต้นน้ำเองต่างไม่มีใครรับสายเธอสักคน จนสุดท้ายถึงต้องรีบบึ่งมาที่บริษัทของต้นน้ำ และมาเจอเพื่อนรักอยู่ในสภาพเหม่อลอยเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้ หญิงสาวปราดเข้าไปนั่งข้างๆ แล้วแตะใบหน้าเพื่อนเบาๆ เรียกสติ “ไอ้ต้น...เป็นอะไรวะบอกฉันสิ”

“วีต้า...”

“ทำไม? วีต้าทำไม วีต้าเป็นอะไรไอ้ต้น”

“ภัทร...” ต้นน้ำเอ่ยแค่นั้นก่อนที่จะยืมไหล่เพื่อนเป็นที่พึ่งพิง “...วีต้าใจร้าย”
ภัทรนรินทร์ขมวดคิ้ว บอกตามตรงว่ายังประติดประต่อเรื่องไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่าทั้งสองคนต้องทะเลาะกันมาแน่ๆ หรือว่าต้นน้ำจะสารภาพรักกับศวิตาแล้วถูกสาวเจ้าปฏิเสธ?

เฮ้อ...ความรักๆๆ

“ใจเย็นๆ นะไอ้ต้น แกเล่าให้ฉันฟังซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้ววีต้าไปไหน”

“ไปแล้ว”

เพื่อนสนิทพึมพำกับไหล่ของเธอ มือใหญ่กำแน่นจนภัทรนรินทร์ต้องกุมไว้แล้วตบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ และรู้ว่าไม่ควรคาดคั้นอีกต่อไป เพราะถ้าคนอย่างต้นน้ำจะพูดก็คงพูดเอง และถ้ามันไม่คิดจะพูดง้างปากอย่างไรก็ไม่มีวันได้ยิน

“เอาเถอะๆ ถ้ามันอึดอัดจนทนไม่ไหวค่อยบอกฉันก็แล้วกัน”





สะพานพระรามแปดในช่วงสามสี่ทุ่มยังคงมีรถพลุกพล่าน ร่างสูงใหญ่ของวินธัยเดินเอื่อยๆ โต้ลมดูสายน้ำสีดำและการจราจรขวักไขว่ที่เต็มไปด้วยแสงไฟ พาลนึกถึงใครบางคนที่บอกว่าชอบภาพความวุ่นวายของเมืองกรุงนักหนา

หลังจากที่เขารีบตาลีตาเหลือกออกจากบริษัทแล้วขับรถฝ่าความวุ่นวายลัดเลาะมาตามเส้นทางลัดเพื่อให้มาถึงบ้านของภัทรนรินทร์โดยเร็วที่สุด แต่สุดท้ายก็พบเพียงความว่างเปล่า ไร้เงาของคนที่โทรมาชวนไปกินข้าว

คุณรินฤดีบอกเขาว่าจู่ๆ ภัทรนรินทร์ก็พรวดพราดออกไปจากบ้านบอกสั้นๆ แค่ว่าต้นน้ำกำลังมีปัญหา จะรีบไปดูเพื่อน

วินธัยยิ้มเหยียดให้ตัวเอง ตอนนี้เขากำลังทำตัวร้ายกาจที่อิจฉาได้แม้กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างต้นน้ำ เขาอิจฉาที่ต้นน้ำรู้จักกับภัทรนรินทร์มานานกว่า สนิทมากกว่า และรู้ใจเธอมากกว่า

หรืออาจจะคุ้นใจมากกว่า

ความคิดชั่วร้ายสะดุดลงเมื่อเขาเดินมาถึงกึ่งกลางสะพานและพบว่ามีร่างคุ้นตาของเพื่อนสนิทยืนอยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายยืนเท้าแขนตรงขอบสะพาน ผมยาวสลวยสยายไปตามแรงลมเป็นภาพที่สวยงามในยามค่ำคืนแต่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงคนเดียวแม้แต่น้อย

“วีต้า”

ศวิตาสะดุ้งแล้วหันขวับมามองเจ้าของเสียง ก่อนจะยิ้มขื่นๆ ให้วินธัยแล้วเอ่ยทักด้วยประโยคที่ว่า “บังเอิญจัง”

ชายหนุ่มพยักหน้า แต่ถ้าให้เขาเดามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ทั้งสองคนมาที่เดียวกัน แต่คงบังเอิญที่คนสองคนกำลังมีความทุกข์จากใครบางคนที่เคยมีประสบการณ์ดีๆ ณ ที่แห่งนี้ร่วมกันต่างหาก

สะพานพระรามแปด...สถานที่ที่พวกเขาทั้งสี่คนเคยให้สัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป

ผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินถูกยื่นมาตรงหน้า ศวิตาหลุบตามองอย่างชั่งใจก่อนจะรับมันมาแล้วหัวเราะเบาๆ พลางซับน้ำตาตัวเอง

น้ำตา...ที่ไม่รู้จะมาจากความเสียใจของตัวเองหรือความรู้สึกผิดต่อต้นน้ำ ภัทรนรินทร์ และแม้กระทั่งคนที่ยืนตรงหน้าเธออยู่ตอนนี้

วินธัยยืนหันหลังพิงราวสะพาน รอจนกระทั่งศวิตาหยุดร้องไห้ แล้วถามเบาๆ
“ทะเลาะกับไอ้ต้นมาหรือไง”

“แล้ววินมีปัญหาอะไรกับภัทรล่ะ”

ไม่มีคำตอบจากทั้งสองคน มีเพียงความเงียบเป็นเพื่อน ทิ้งให้สองหนุ่มสาวจมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเอง ก่อนที่จะเป็นหญิงสาวที่เอ่ยถาม “วิน...ถามจริงๆ เถอะ วินชอบภัทรมานานเท่าไหร่แล้ว”

ชายหนุ่มสะอึก แล้วรีบตีสีหน้าเรียบ “ทำไมไม่ถามว่าชอบหรือเปล่า?”

ศวิตายิ้มบางๆ พยายามทำสถานการณ์ตึงเครียดให้เบาบางลงด้วยการกระเซ้าว่า “ก็คำตอบนั้นรู้แล้วนี่หน่า”

“แล้วเธอล่ะ...ชอบไอ้ต้นตั้งแต่เมื่อไหร่”

คราวนี้เป็นเธอเองที่ผงะ หล่อนไม่คิดว่าจะมีใครรู้ว่าเธอแอบชอบต้นน้ำ เพราะไม่มีใครเคยระแคะระคายเรื่องนี้สักคน อาจเพราะทั้งคู่เดินบนคำว่าเพื่อนมาไกลเกินกว่าจะมองกลับไปอีกสถานะ และเพราะเธอเองก็มีใครหลายคน

ศวิตายิ้มขื่น...ไม่มีใครแทนที่ต้นน้ำได้สักคน ไม่มีใครลบเลือนรอยยิ้มของเขาไปได้ ไม่มีใครที่ทำให้หล่อนอบอุ่นจนอยากจะฝากชีวิตไว้ด้วยตลอดไป

แต่จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเธอดูไม่ออกสักนิดว่าต้นน้ำรู้สึกอย่างไรกับเธอ ชายหนุ่มมีเพียงความปรารถนาดีมอบให้อย่างจริงใจตลอดมา และเธอก็ไม่กล้าจะเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะสุดท้ายกลัวว่าผลลัพธ์อาจเป็นความว่างเปล่า

ภัทรนรินทร์เสียอีกที่สนิทสนมกับต้นน้ำมากกว่าใคร และถ้าจะเปรียบ เธอก็ไม่เห็นว่าต้นน้ำจะดูแลภัทรนรินทร์กับเธอต่างกันตรงไหน

“ตลกจัง...เพิ่งรู้ว่าวินเป็นพวกชอบเดา” ศวิตาเอ่ยเสียงร่าเริง กลบความเศร้าในดวงตาจนหมดสิ้น “แต่การคาดเดาก็คือการคาดเดาวันยังค่ำ โอกาสถูกมันก็น้อยเสมอแหละนะ”

“...”

“อย่ามาเฉไฉหน่อยเลย คิดว่าวีต้าไม่รู้หรือว่าวินชอบภัทรมานานแล้ว หรือวีต้าเดาผิด”

“การคาดเดาก็คือการคาดเดา” ชายหนุ่มย้อน ศวิตาหัวเราะเบาๆ อย่างสบายใจขึ้นก่อนจะต่อปากต่อคำ

“แต่การคาดเดาที่มีมูลเหตุก็ย่อมมีนัยสำคัญจริงไหม?”

“ไม่แน่เสมอไป”

“เอาเถอะๆ” หญิงสาวโบกมือเป็นเชิงไม่เป็นไร เพราะรู้ดีว่าต้อนคนพูดน้อยยังไงก็คงหาทางหลบหลีกจนได้ อย่างน้อยวินธัยก็คงลืมๆ เรื่องเธอกับต้นน้ำไปบ้างแล้ว

“...วีต้าก็อาจจะเดาผิดจริงๆ เพราะมูลเหตุก็เป็นแค่ความรู้สึกเอามากะเกณฑ์คงไม่ได้”
“...”
“วินจะไปทะเลกับพวกก้องมั้ย?”

“ดูก่อน พักนี้งานยุ่งๆ”

ศวิตาอมยิ้ม ขนาดวินธัยงานยุ่งยังมีเวลาอยู่กับภัทรนรินทร์ คนบ้างานยอมทำขนาดนี้ คงไม่ใช่แค่เพื่อนแน่ๆ “...ยังไงก็โทรมาบอกก่อนสักสองสามวันนะ”

“อืม”

“แล้วนี่วินจะไปไหนต่อ กลับบ้านหรือเปล่า?”

“เอารถมาหรือเปล่า” เขาไม่ตอบแต่ถามกลับ

“เอามา ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าจะกลับก็ตามสบายเลย วีต้าก็กำลังจะกลับอยู่พอดี”
แทนคำตอบ วินธัยเดินตามสาวสวยไป จุดประสงค์เพียงเพื่อจะเดินไปส่งอีกฝ่ายขึ้นรถ ส่วนตัวเขา...นี่เป็นครั้งแรกที่ยังไม่อยากกลับบ้าน แต่ก็ไม่อยากไปบริษัท ความจริงก็คือเขาอยากคุยกับใครบางคน อยากเอาความบ้าเข้าสู้แล้วถามหาความจริงในใจเธอเหลือเกิน

แต่ทุกอย่างก็เป็นเพียงความคิด





หลังจากส่งศวิตาที่รถแล้ว วินธัยก็ยังหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ร่างสูงใหญ่ เดินกลับไปที่เดิมอีกครั้ง การจราจรเบาบางลงตรงข้ามกับสายลมที่รุนแรงขึ้นพัดจนสายน้ำเกิดคลื่นสีดำเป็นลอนเล็กๆ เสียงบ่นดังขึ้นในความคิด

“โทรหาไม่รับ มีมือถือไว้ตำน้ำพริกหรือไง”

วินธัยหลับตาลง เขาไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะเพ้อจนถึงขั้นหลอนได้ยินเสียงภัทรนรินทร์ชัดเจนขนาดนี้ จนเสียงใสแหวอีกทีนั่นแหละชายหนุ่มถึงหันขวับกลับไป

“รู้มั้ยผู้ชายงอนมันน่าเกลียด”

“ฉันเปล่า” เขาตอบ ก่อนจะหันไปสบดวงตาเรียวของคนตรงหน้า ผมซอยสั้นที่เริ่มยาวไม่ได้ทรงเพราะแรงลม แต่เจ้าตัวไม่ยักสนใจ ร่างสูงโปร่งยืนจังก้ากอดอกมองเขาด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ “มาทำไม”

“เป็นเจ้าของหรือไงล่ะ ถึงแปะป้ายห้ามคนอื่นเข้ามาน่ะ”

ภัทรนรินทร์ลอยหน้าลอยตาตอบ แต่ก็ต้องใจแป้วเมื่อคนพูดน้อยหันหลังให้เหมือนเดิม จนเธอต้องพาตัวเองโต้ลมไปยืนเท้าขอบสะพานข้างๆ คนตัวใหญ่

เมื่อครู่กว่าต้นน้ำจะกลับสู่สภาพปกติก็ทำเอาไหล่แทบทรุด มิหนำซ้ำพอดีขึ้นก็ไล่เธอกลับบ้าน ไม่ยอมปริปากเล่าอะไรให้ฟังสักนิดผิดวิสัยต้นน้ำคนเดิม

เธอโทรเข้ามือถือของวินธัยเป็นสิบสาย แต่ไม่มีใครรับ โทรไปที่บ้าน มารดาก็บอกว่าวินธัยไม่ได้อยู่ทานข้าวด้วย เธอไม่รู้หรอกว่าเขากลับบ้านไปแล้วหรืออยู่บริษัทหรือที่ไหนก็ตาม ความคิดแรกคือสะพานแห่งนี้ ทำให้ดั้นด้นขับรถมาทั้งที่อาศัยเพียงความรู้สึกเป็นตัวนำทาง

“ขอโทษ” ภัทรนรินทร์เอ่ยออกมา ถึงเธอจะไม่ใช่คนผิดโดยตรง แต่ก็ถือว่านัดไม่เป็นนัดอยู่ดี

วินธัยเหยีดยิ้ม ภัทรนรินทร์ผิดตรงไหนและต้นน้ำผิดตรงไหน เรื่องความรักไม่มีใครกะเกณฑ์ได้ และเขาก็เป็นเพียงคนมาทีหลัง ไม่อาจแทรกกลางระหว่างมิตรภาพที่งอกเงยและยั่งยืนของคนทั้งคู่ได้ และไม่มีวันที่จะปริปากบอกความในใจออกไป เขายอมให้ตัวเองต้องเจ็บคนเดียวดีกว่าจะต้องมีคนเจ็บถึงสามหรืออาจจะสี่คน

เขาไม่ใช่คนดี ไม่ได้ห่วงจิตใจของต้นน้ำหรือศวิตามากนัก หากแต่เป็นร่างบางข้างๆ ที่เขาแคร์มาตลอดต่างหาก

“ไม่จำเป็น” เสียงทุ้มเอ่ย ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะค่อยๆ หันหลังแล้วเดินจากไป ไม่แม้แต่จะหันกลับมาเอ่ยคำลา ทำให้คนที่ตั้งใจจะมาขอโทษได้แต่มองตามด้วยความสับสนและหวั่นไหวในใจอย่างบอกไม่ถูก

เธอเกลียดการมองแผ่นหลังของคนที่จากไปเหลือเกิน

มือเรียวกำราวสะพานแน่น พยายามหาความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ หาว่าทำไมต้องรู้สึกหวิวๆ เมื่อวินธัยเดินจากไป ทั้งที่เวลาเรียนก็ต้องแยกย้ายกันเป็นปกติ แต่ไม่มีครั้งไหนที่รู้สึกได้ว่าจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว

หล่อนเม้มปากแน่น รู้สึกคล้ายเกิดการบีบรัดในทรวงอก เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้เจอวินธัยอีกแล้ว ไม่ได้พูดไม่ได้คุย หรือทุกอย่างอาจเปลี่ยนไปจากนี้...และตลอดกาล

เธอควรทำอย่างไร ระหว่างการยืน ณ จุดเดิมแล้วมองเพื่อนเดินจากไปหรือเลือกที่จะวิ่งไปข้างหน้าทั้งที่ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าหัวใจกำลังเรียกร้องหาสิ่งใด และไม่รู้ว่าสุดท้ายความโดดเดี่ยวจะเป็นจุดจบของการเดินทางหรือเปล่า

จะเห็นแก่ตัวมากไปไหม หากเลือกวิ่งไปข้างหน้าแล้วคว้ามือใครบางคนที่คุ้นเคยไว้ ยึดมันไว้กับตัวทั้งที่ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง

ความคิดสะเปะสะปะของเธออบอวลไปด้วยกลิ่นอายความหวาดหวั่นและไม่แน่ใจ

และมันก็ทำให้คิดอะไรไม่ออก จนกระทั่ง...

อะไรหนักๆ ทิ้งตัวลงบนไหล่บอบบาง หญิงสาวตั้งสติก่อนจะเห็นว่าเป็นเสื้อสูทที่คลุมลงมากันลมหนาว เสียงนุ่มเอ่ยเบาๆ แต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่าสูทตัวแพง

“ยืนตากลม เดี๋ยวก็เป็นหวัด”

ภัทรนรินทร์หันกลับมามองให้รู้ว่าตัวเองไม่ได้ตาฟาดไป วินธัยคนเดิมยังอยู่ตรงหน้าเธอ ไม่ได้ทิ้งกันไปไหน รู้เพียงแค่นั้นร่างบางก็โถมเข้ากอดคนตัวโตอย่างไม่อายใคร

วินธัยผงะ ไม่ใช่เพราะน้ำหนักของคนที่โถมใส่แบบไม่ทันตั้งตัว แต่เขาแค่อยากคิดเข้าบ้างตัวเองบ้างสักครั้ง อยากอวดต้นน้ำสักครั้งว่าครั้งหนึ่งภัทรนรินทร์เคยอยู่ในอ้อมกอดของเขา แม้ว่ามันอาจเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

“ภัทร...”

“ขอโทษ...ฉันขอโทษ” ภัทรนรินทร์พูดเสียงอู้อี้ “อย่าโกรธได้มั้ย อย่าเดินหนีไปแบบนี้อีก”

ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม แล้วถาม “ทำไมล่ะ”

“ฉัน...ใจหาย” เธอตอบ พลางเร่งเร้า “สัญญาสิว่าจะไม่ทิ้งกันไปไหนอีก”

วินธัยหัวเราะเด็กน้อยที่ยืนกอดเขาแล้วขอสัญญาที่ไม่จำเป็นต้องขอเขาก็ให้หล่อนได้อยู่แล้ว ชายหนุ่มยืนเก้ๆ กังๆ อยากเอื้อมมือออกไปโอบเธอให้ซบลงบนไออุ่นของตัวเอง แต่อีกใจก็ยังไม่กล้า “ทำไมต้องสัญญาล่ะ”

“ก็ฉันไม่อยากเสียเพื่อนไป ไม่เห็นต้องถามเลย สัญญากับฉันสิ”

“เพื่อนเธอมีตั้งเยอะแยะ”

“มันไม่เหมือนกัน”

“ยังไงหรือภัทร” เขากระซิบถามข้างกระหม่อมบางที่เจ้าตัวยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “บอกหน่อยได้มั้ยว่าไม่เหมือนยังไง”

“ไม่รู้” เสียงใสเบาหวิว จนเขาต้องก้มลงไปฟังใกล้ๆ “...เหมือนพ่อมั้ง รู้แต่ว่าอยู่ด้วยแล้วสบายใจ แต่อยู่กับต้นกับวีต้าก็สบายใจนะ แต่มัน...ไม่รู้สิ”

หัวใจชายหนุ่มพองโต ถึงภัทรนรินทร์ไม่รู้ว่าความรู้สึกอย่างว่ามันเรียกว่าอะไร แต่มีหรือที่เขาซึ่งรู้สึกอย่างนี้มาก่อนหน้าหล่อนตั้งนานแล้วจะไม่รู้

ความรู้สึกของเขาที่เหมือนกับภัทรนรินทร์ในตอนนี้

ความรู้สึกที่ตรงกัน...

มือใหญ่ค่อยๆ กอดร่างบางอย่างสุขใจ แล้วเอ่ยว่า “แล้วถ้าไม่อยากเป็นพ่อล่ะ”

คนในอ้อมกอดเริ่มขัดขืน แต่มีหรือที่เขาจะปล่อยโอกาสดีๆ อย่างนี้ไป หญิงสาวจึงได้แต่ฮึดฮัดอยู่กับอกกว้าง แล้วแสร้งทำเป็นบ่น “เรื่องมาก...ได้คืบจะเอาศอก”

“ไม่อยากได้คืบ ไม่อยากได้ศอก ไม่อยากเป็นพ่อ แล้วก็ไม่ชอบเป็นแค่เพื่อน” เขาแก้ด้วยประโยคยาวๆ อย่างที่นานๆ จะได้ยิน

ร่างบางหยุดการดิ้นรน แต่ยิ่งซุกใบหน้าเข้าหาอกกว้างมากขึ้น รู้สึกถึงความร้อนเห่อขึ้นมาตามลำคอและใบหน้า แม้ความรู้สึกประหลาดแบบนี้ไม่ค่อยมาเยือนเธอนัก แต่เธอไม่ได้โง่ถึงขั้นแปลความหมายนั้นไม่ออก และแน่ใจมากขึ้นเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย

“แต่อยากได้หัวใจของคนแถวนี้”

ไม่เพียงคนที่ฟังที่ใบหน้าซับสี คนพูดเองก็ยังทึ่งที่ตัวเองพูดประโยคนั้นออกไปได้ ประโยคที่เขาว่ามันเป็นสุดยอดของความน้ำเน่าชนิดที่คลองแสนแสบไม่สามารถสู้ได้

ภัทรนรินทร์ดิ้นหยุกหยิก จนกระทั่งใบหน้าที่เริ่มเห่อค่อยๆ บรรเทาลง จนผลักอกแกร่งเบาๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ดวงตาสีรัตติกาลคมกล้าทอดมองอย่างรอคอยคำตอบ แต่คนที่มีคำตอบในใจกลับเบือนหน้าหนีคล้ายกับว่าแสงไฟสวยๆ นั่นน่าสนใจเสียเต็มประดา

“ไฟสวยเนอะ”

“ภัทร...”

“หิวข้าวด้วย เมื่อกี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย ขับตรงมาไม่ได้แวะสักนิด ท้องร้องจะแย่แล้ว”

คราวนี้เขาไม่สามารถปฏิเสธ เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าปวดท้องหิวข้าว คำตอบของเขาสำคัญก็จริง แต่สุขภาพของคนตรงหน้าก็สำคัญกว่า วินธัยถือวิสาสะกุมมือเรียวไว้โดยที่อีกฝ่ายไม่ขัดขืน ก่อนจะออกเดินโต้ลม เป้าหมายคือร้านข้าวต้มกุ๊ยใต้สะพาน

“วิน...” ภัทรนรินทร์เรียกเจ้าของเสื้อสูทบนตัวเธอเบาๆ แล้วถามคำถามที่ต้องสบตาเพื่อเค้นหาความจริงในดวงตาคู่นั้น แม้เมื่อครู่จะเป็นเธอเองที่ไม่กล้าจะพูดมัน “อยากได้จริงๆ หรือ...หัวใจที่ไม่รู้จะเป็นหญิงหรือชายน่ะ”

ชายหนุ่มยิ้ม เอามือไพล่ไปข้างหลังเพราะกลัวจะอดใจไม่ไหว รั้งร่างโปร่งเข้าสู่อ้อมกอดของเขาและ ‘ตอบ’ คำถามของแม่หนูจำไมให้หวานๆ สักที ติดอยู่ที่รถราที่วิ่งขวักไขว่บนสะพานพระรามแปดแห่งนี้ไม่ใช่ที่ๆ ควรจะทำอะไรตามใจสักนิด เขายิ้มบางๆ แล้วจับจูงมือนุ่มเดินต่อไปพลางสัญญากับตัวเองในใจว่าอีกไม่นานภัทรนรินทร์จะได้รับคำตอบที่ต้องการอย่างแน่นอน

แต่ภัทรนรินทร์ก็ยังเป็นคนที่ไม่ชอบการรอคอย หญิงสาวไม่ก้าวขาและยุดมือตัวเองไว้อย่างรอคอยคำตอบ จนเขาต้องส่ายหน้าแล้วไหวไหล่ตอบว่า

“ถ้าเธอเป็นผู้หญิง ฉันจะเป็นผู้ชายสำหรับเธอ” เขาเอ่ย “...แต่ถ้าเธอยังอยากเป็นผู้ชาย ฉันก็พร้อมจะเป็นอะไรก็ได้ขอแค่ได้อยู่กับเธออย่างนี้ตลอดไป”



--------------------------------------------------------------------
ถึงแม้จะหมดเทศกาลป้ายไฟ แต่คนเขียนก็ยังคงชอบอย่างบ้าคลั่งไม่เสื่อมคลาย 555

ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้นะคะ ไม่ว่าจะเม้นต์หรือแค่แวะมาเยี่ยมเฉยๆ ก็ดีใจและเป็นกำลังใจที่ดีมากๆ เลยค่ะ ขอบคุณค้าบบบ

เจอกันเมื่อชาติต้องการอีกครั้งจ๊ะ
รักคนอ่านเสมอจ้า



เจ้าชายน้อย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ค. 2554, 23:13:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ค. 2554, 23:25:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 2144





<< 5. ก็ผู้ชายเหมือนกัน   7. เคือง หรือ...แคร์? >>
mottanoy 7 พ.ค. 2554, 00:41:39 น.
ขอบคุณค่ะ สำหรับคำตอบ ปกติไม่ค่อยได้เม้นท์ค่ะเพราะไม่รู้จะเมนท์อะไร เคยเมนท์แล้วนักเขียนไม่ค่อยพอใจที่เมนท์เลยคิดว่าอ่านอย่างเดียวดีกว่า แต่เราติเพื่อก่อจริงๆนะ ไม่ก็สงสัยจริงๆ อ่ะ
อีกนิดนะ เราสั้น 1000แต่ยังเดินได้ในห้องโดยไม่มีแว่นอ่ะ แต่เดี๋ยวคืนนี้จะลองถอดแว่นแล้วเดินดูอีกทีดีกว่า มันคงๆม่ถึงกะเดินไม่ได้ แต่คงจะดีใจที่มีคนมาจูงอ่ะเนอะ


เจ้าชายน้อย 7 พ.ค. 2554, 00:59:49 น.
ขอบคุณที่สุดเลยค่ะ ติเพื่อก่อจริงๆ โดยส่วนตัวคิดว่าคงยากอ่ะที่จะเห็นความผิดพลาดของตัวเอง ไม่ใช่ว่าอีโก้นะคะ แต่แค่คิดว่าถ้ารู้ว่ามันผิดก็คงไม่มีใครอยากจะทำ ก็เลยคิดว่าดีมากๆ เลยที่มีคนช่วยอ่านนิยายของเรา แถมยังช่วยทำให้มันสมบูรณ์มากขึ้นอีกด้วยค่ะ ^^
อันนี้พูดจากใจจริง ขอบคุณมากๆๆๆ เลยค่าคุณมดตะนอย

ปล. เรื่องสายตาเนี่ยถามรูมเมทค่ะ มันบอกว่าสั้น 800 ถ้าถอดแว่นก็จะมองไม่รู้ว่ารูมเมทมันเป็นใคร เออ พอมาลงคิดๆ อีกทีความจริงที่คิดจะสื่อเนี่ยอาจหมายถึงต้นน้ำไม่สามารถเห็นสายตาของวีต้าได้อย่างถ่องแท้ แต่ในเรื่องการเดินเหินในห้องที่คุ้นเคยที่ใช้แค่คุ้นโครงคร่าวๆ ก็เดินปร๋อเนี่ย เดี๋ยวขอตัวไปถามรูมเมทอีกที ถ้ามีอะไรปรับเปลี่ยนคงต้องแก้ไขกัน อิอิ

ขอบคุณนะค้าบบบบบ


ใจใส 7 พ.ค. 2554, 01:29:07 น.
เส้นผมบังภูเขาจริงๆน้า วีต้า กับ ต้นน้ำนี่ แอบนักกันแท้ๆดันเข้า่ใจผิด แต่แอบสงสารต้นน้ำมากกว่า
คนเขียนทำเราหวั่นไหวกับคุณวิน เวลาคนไม่ค่อยพูดมาพูดเนี่ยฟังแล้วเขินนน


หมู้หมู 7 พ.ค. 2554, 07:14:17 น.
กรีดดดดด ถึงจะหมดเทศกาลป้ายไฟแล้ว ก็ยังยกตามมาให้กำลังใจอีกเป็นสิบบบบบ ....

(อ่านมาได้ครึ่งเรื่อง)... ไรเตอร์จะใจร้ายจริงเหรอ.. จริงทิ้งตอนนี้ให้เศร้าจริงเหรอ... ((อยากจะเอาป้ายไฟคืน) )..

(เกือบจะจบตอน) ^^ ไรเตอร์น่ารักที่สู้ดดดดเลย ^^

แต่..."เจอกันเมื่อชาติต้องการ" .. นี่มันทรมานใจกว่า "อีก3อาทิตย์เจอกัน" อีกนะจ๊ะ ไรเตอร์จ๋าาาา 5555


chat 7 พ.ค. 2554, 08:06:44 น.
ชอบมากค่ะ น่ารักมากๆเลย


roseolar 7 พ.ค. 2554, 09:23:49 น.
กรี๊ดดดด~
เขินมากมาย ราวกับว่าตัวเองเป็นภัทรเสียเอง อิอิ
พี่วินน่ารักมากมาย แล้วไม่ว่าพี่วินจะเป็นหญิงหรือชาย จะชอบภัทรหรือใคร ฝ้ายก็จะแย่งมาให้ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า หัวเราะชั่วร้ายมาก
คู่ต้นน้ำดราม่ามาก แต่ชอบมว๊ากกก วีต้านะวีต้า มาทำยังงี้กะต้นได้ไง หลอกให้หวั่นไหวแล้วจากไป แต่ก็แอบสงสารวีต้านะ ทำไงได้ หลงคิดว่าต้นรักภัทร เฮ้อ ความรักนี่มันประหลาดดีแท้ เปิดใจคุยกันไปเหอะ ได้แต่หวังว่าสักวันทั้งสองจะรู้ความจริงว่าต่างก็รักกัน ลุ้นๆ
ป้ายไฟแอบถ่านหมด ขอเติมถ่านก่อนนะคะ โอเค เปล่งแสงแพรวพราวเหมือนเดิมแล้ว เจ้าชายน้อยสู้ๆเน้อ โอ๊ะ!!ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะคะ ฝ้ายยังอยู่สูติอีกเดือน ยังไม่ลงกอง พี่ปริ๊นท์ไปเด็กแล้วอิจฉาจังเลย แอบรู้สึกว่าวนวอร์ดคล้ายๆกัน จากสูติไปเด็ก อยู่กับเด็กคงมีความสุข ไม่เหมือนฝ้าย อยู่กับแม่ที่เอาแต่ดิ้นโวยวาย หดหู่ใจจัง T T
ปล.ตกลงพี่ปริ๊นท์ได้ที่เรียนยังเอ่ย


pattisa 7 พ.ค. 2554, 09:32:31 น.
ชอบคู่ต้นน้ำจัง :)


Pat 7 พ.ค. 2554, 16:23:34 น.
ไม่อยากเป็นพ่อ แล้วก็ไม่ชอบเป็นแค่เพื่อน ... ถ้าเธออยากเป็นผู้ชาย ฉันก็พร้อมจะเป็นอะไรก็ได้ขอแค่ได้อยู่กับเธออย่างนี้ตลอดไป... อิอิ อยากให้วินสิบlike เลย น่่ารักจริงๆคนไม่ค่อยพูดเนี่ย พูดที คนอ่านเขินแทน 555 จะบอกว่าชาติยังต้องการอยู่นะจ๊ะอย่าลืมมาต่อน้า


anOO 7 พ.ค. 2554, 17:36:05 น.
นายวินพูดมาแบบนี้ รับรองภัทรไม่ไปไหนแน่เลย
ต้นน้ำกับวีต้า เค้าเล่นอะไรกันอยู่เนี้ย คนลุ้น ก็ลุ้นกันต่อไป
แอบนึกว่าจะสารภาพรักกันเลยซะอีก

ปล. บ้านพี่ไม่มีป้ายไฟอ่ะ เอาคบเพลิงแทนได้ไหมจ๊ะ


ตุ๊งแช่ 7 พ.ค. 2554, 20:41:16 น.
น่ารักดี นางเอกเขิลลลล


หมู้หมู 7 พ.ค. 2554, 21:11:55 น.
กรี้ดดด มาอ่านซ้ำอีก.. รอบที่เท่าไหร่ ไม่ได้นับ ทั้งตอนเก่า +ตอนใหม่.. อ่าน อ่าน อ่าน อ่าน รอนะจ๊ะ^^


sai 7 พ.ค. 2554, 23:28:49 น.
น่ารักจริงเลยอย่างน้อยตอนนี้คู่ของวินกับภัทรก็โอเคกันไปแล้วว รอลุ้นคู่ต้นน้ำกะวีต้าต่อดีกว่า "ต้นน้ำสู้ๆนะคร้าบ" "วีต้าจ้าเปิดทางให้หนุ่มต้นเดินหน่อยเร็ว"

ปล.ต้องรออีกสามอาทิตย์ป่าวเนี่ย เดี๋ยวจะชูป้ายไฟกดดัน "เจ้าชายน้อย"


Jelly 11 พ.ค. 2554, 21:23:36 น.
พี่ค๊ะ (โคตะระ) ชอบเลยค่ะพี่ เพิ่งได้อ่านตอนเดือนเมษา ติดใจสุดๆๆ จะรออ่านนะค่ะพี่ อ่านไปเขินไป อายเเทน -/////-


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account