เพื่อนกันวันสุดท้าย
เธอ...สาวทอมมาดหลุดผู้สับสนทางเพศ
เขา...คนที่เป็นเพศอะไรก็ได้เพื่อเธอ
และ
เธอ...เพื่อนสนิทคิด(ไม่)ซื่อ
เขา...เพื่อนชายนายแสนซื่อ(บื้อ)
Tags: เพื่อนกันวันสุดท้าย เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ เพื่อนสนิท รักเพื่อน เพื่อนรัก วินธัย ภัทรนรินทร์ ต้นน้ำ ศวิตา

ตอน: 4. หว่านเสน่ห์ และ หวั่นไหว

สวัสดีค่ะ กลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง
ลงตอนใหม่เพิ่ม 1 ตอน ฉลองย้ายบ้านใหม่ค่ะ

ไม่ใช่ว่ามีเวลาค่ะ แต่มันอยากมีเวลาซะมากกว่า
ยุ่งวุ่นวายที่สุดในสามโลกค่ะ

ปริ๊นซ์ไม่ได้แต่งอะไรเพิ่มเลย
แต่เรื่องนี้พอมีอยู่ก้นถุงบ้าง พอเอามาปัดฝุ่นก็น่าจะดี

session ต่อไปใครสงสัยว่าเจ้าชายน้อยหายศีรษะไปไหนช่วงเกืบเดือนนี้ มีคำตอบค่ะ
แต่ถ้าไม่สงสัยก็ข้ามไปส่วนตอบเม้นต์ หรือ อ่านตอนต่อไปได้เลยจ๊ะ

-----------------------------------------------
หายไปไหนมา?

ไม่หายไปไนหรอกค่ะ เพียงแค่ช่วงเวลาที่อยู่ห้องน้อยลง
เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้ไม่สบายนะคะ
เรียน แล้วก็ราวน์ อยู่ห้องคลอด ห้องผ่าตัด คลินิกผู้ป่วยนอก คลินิกฝากครรภ์ แล้วก็อยู่เวร

เป็นช่วงชีวิตที่เหนื่อยมาก และ วุ่นวาย แต่ก็มีความสุขค่ะ
แม้จะเครียดบ้างในบางครั้ง และในขณะนี้ก็ยังเครียดบ้าง
แต่ชีวิตก็คงต้องเดินต่อไป คงไม่ได้มีแค่ปริ๊นซ์ที่เหนื่อยอยู่คนเดียว
เรียกได้ว่าชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป...

มีอีกเรื่องที่อยากปรึกษาค่ะ
เผื่่อว่าพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ชาวเว็บเลิฟจะพอมีข้อมูล
คือปริ๊นซ์จะต้องไปฝึกงาน เลยกะว่าจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ
เป็นการฝึกงานตามภาควิชาที่ตัวเองเลือกค่ะ เท่าที่คิดตอนนี้น่าจะเป็นสูตินรีเวช
ปัญหาอยู่ที่ว่าปริ๊นซ์ไม่รู้ว่าภาคสูตินรีเวชที่โรงเรียนแพทย์ที่ไหนได้ทำเองเยอะ หรืออาจารย์หมอสอนดี หรือในช่วงนั้นมีนศพ.ไปวนวอร์ดน้อย
ถ้าใครพอมีคนรู้จักก็ฝากๆ ถามหน่อยนะคะ

ขอบคุณมาล่วงหน้าค่ะ

----------------------------------------------------

ตอบเม้นต์

คุณใจใส --- ตอนนี้ขอกุ๊กกิ๊กของอีกคู่ไปก่อนได้ไหมคะ ^^

คุณincanto --- บทต่อไปก็แล้วนายวินเขาจะครีเอทล่ะค้า คิดเหมือนกันไหมว่า...ร้ายจังผู้ชายคนนี้ 555

คุณsai --- ภัทรของเราจะรู้ตัวไหมเนี่ย ก็เขาชอบผู้หญิงมาตั้งนานแล้วนี่นะ อย่างงี้ต้องลุ้น

คุณnapt --- ที่ว่าน่ารักเนี่ยคนเขียนใช่ป่าวค้า (ต๊าย! ไม่สำเหนียกตัวเองนะหล่อน) ดีใจค่ะที่มีคนชอบ และก็หวังว่าจะมีความสุขในการอ่านและติดตามกันนะคะ

คุณMy sister --- ขนลุกอะไรอ่ะจ๊ะ คนเขียนพาลคนลุกมั่งเลย บรื๋ออออ...

คุณan-o --- เดี๋ยวเอาความคิดนี้ไปเสนอนายวินอีกทีนะคะ แต่ผู้ชายคนนี้เขายังมีอีกมากค่ะ 55

คุณroseolar --- ปริ๊นซ์เปิดเทอมมาได้ 1 เดือนแล้ว ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ เปิดกันบ้างหรือยัง ง่ะ...อย่างอนกันน้า พลีสสสส

คุณbb --- นายวินร้ายหรือเปล่าไม่รู้ คงต้องติดตามแผนการของคุณพี่เขาไปเรื่อยๆ อย่าได้กะพริบตาเลยเชียว (ระวังตาแห้ง) แป่ววววว ^^"

คุณdaa --- ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีให้กันเสมอค่ะ ก็หวังว่านิยายเรื่องนี้จะพอทำให้คุณ daa และผู้อ่านคนอื่นมีความสุขนะคะ

คุณปูสีน้ำเงิน --- นายวินเขาฝากมาบอกว่าจะเปลี่ยนภัทรให้ได้ แม้ต้องปล้ำก็ยอม เอ๊ย!!! ประโยคหลังนี้ไม่มีจ้าาา 555 (เป็นความหื่นส่วนตัวของคนเขียนนะเนี่ย คิกคัก)

----------------------------------------------------------


4.

ร่างสูงใหญ่ที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่วางหนังสือในมือลง เมื่อรู้ว่าเขาไม่มีสมาธิเพียงนิดที่จะอ่านมันต่อไป ตัวหนังสือที่เคลื่อนผ่านสายตาเขาไปไม่สามารถเข้าไปแทนภาพใครบางคนในความคิดได้เลย

วินธัยหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะกดเบอร์ที่จำได้ขึ้นใจ แล้วตัดใจวางมันลงที่เดิม

เขาพยายามหาอะไรทำเพื่อจะได้ไม่หมกมุ่นกับใบหน้าเรียวสวยกับดวงตาเป็นประกายที่เจ้าตัวไม่เคยรับว่ามัน ‘สวย’ เพียงใด มิหนำซ้ำยังพอใจที่ตัวเองเป็น ‘หนุ่มน้อยหน้าหวาน’ วันยังค่ำ

กลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่ปลายจมูกเขายังจำได้ เพราะมันไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของเธอ กลิ่นที่เขาว่ามันไม่สมควรอยู่บนเรือนร่างของผู้หญิง แต่วันนี้กลับปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากสูดเข้าเต็มๆ ปอดอีกสักครั้ง

วินธัยลุกขึ้นแล้วก้าวเข้าห้องน้ำ หยุดความคิดฟุ้งซ่านที่เขาไม่คิดจะโทษภัทรนรินทร์แม้แต่น้อย

สายน้ำที่รินรดเรือนร่างแข็งแกร่งทำให้เขาเย็นขึ้น แต่กระนั้นภาพริมฝีปากเรียวสวยที่เผยอน้อยๆ อย่างที่เจ้าตัวคงไม่รู้ยังคงปั่นป่วนหัวใจเขาอย่างประหลาด ไหนจะดวงตาช่างสงสัยที่ค่อยๆ หลับพริ้มเหมือนต้องมนต์จนเขาแทบควบคุมตัวเองไม่ได้นั่นอีก

ชายหนุ่มหลับตาลง เรื่องราวเก่าๆ ไหลย้อนเข้ามาในความคิด





การรับน้องเป็นไปอย่างสนุกสนานสำหรับคนอื่น แต่ไม่ใช่กับเขา วินธัยในชุดนักศึกษายิ้มบางๆ ทำตามที่รุ่นพี่สั่ง แม้ไม่ได้เห็นสนุก แต่ก็ไม่ขวางโลกลุกหนีไปเสียก่อน

เขาผ่านช่วงเวลานี้มาแล้ว หลังจากที่เคยเป็นน้องใหม่อยู่ปีหนึ่งก่อนจะสอบใหม่เพื่อมาเรียนที่นี่ตามความต้องการของบิดา

เสียงหัวเราะเฮฮากับเสียงเป่าปากของใครบางคนเรียกเขากลับมายังภาพตรงหน้าที่มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยยืนกระมิดกระเมี้ยนอยู่ตรงกลางวง ข้างๆ มีร่างสูงโปร่งของคนที่เขาไม่รู้จักยืนอยู่ด้วย

‘อ้าว! เขินไปเลยน้องมิ้นต์ น้องภัทรนี่ก็ผู้หญิงเหมือนกันนะครับ’ เสียงรุ่นพี่คนหนึ่งตะโกนแซว

วินธัยไม่ได้สนใจผู้หญิงหน้าตาราวตุ๊กตาที่ชื่อน้องมิ้นต์เท่าไหร่นัก ชายหนุ่มเบนสายตาไปยัง ‘น้องภัทร’ ที่ยืนยิ้มเผล่ให้เพื่อนๆ แซวเล่น เพราะเกมส์เมื่อครู่คือเกมส์วัดดวงยอดนิยมที่บทลงโทษคือการหอมแก้มฝ่ายตรงข้าม ไม่ไยว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศ

‘นี่ถ้าไม่บอกกูยังนึกว่าตุ๊ด’ เสียงเพื่อนร่วมคณะดังมาจากข้างหลัง ‘หน้าแม่งโคตรหวาน’

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไม่เคยพินิจพิจารณา ‘น้องภัทร’ ขวัญใจของพี่ๆ คนนี้สักเท่าไหร่ว่าหน้าหวานจริงอย่างที่คนข้างหลังว่าหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย

หลังเปิดภาคเรียนไม่นานเขาก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่ชื่อต้นน้ำ เพราะอีกฝ่ายเรียนวิชาที่คล้ายๆ กันทำให้ได้เจอกันบ่อยๆ และท่าทางเฮฮาเข้าหาคนง่ายของต้นน้ำก็ทำให้คนไม่ค่อยพูดอย่างเขาสบายใจเวลาคุยด้วย

จนกระทั่งวันนั้นที่เขาออกจากห้องน้ำแล้วเจอต้นน้ำยืนคุยกับเธอนั่นแหละ ถึงรู้ว่า ‘น้องภัทร’ ของพี่ๆ ชื่อ ‘ภัทรนรินทร์’

ต้นน้ำและภัทรนรินทร์เป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกันสมัยมัธยมปลาย แต่ลงวิชาเลือกต่างกัน เลยไม่ค่อยเจอกันในคาบเรียนเท่าไหร่นัก รวมถึงเขาก็ไม่เคยเจอเธอด้วยเช่นกัน

‘ได้ข่าวว่าซิ่วมา’ นั่นเป็นประโยคแรกๆ ที่ภัทรนรินทร์คุยกับเขา ประโยคที่ใครหลายคนคงอยากรู้และชอบแย็บถาม แต่ไม่มีใครให้ความจริงใจเท่าคนตรงหน้า ‘มาจากคณะอะไรอ่ะ’

‘ทันตะ’

‘โอ้โหหรูจัง...แล้วนี่จะให้เรียกพี่หรือเปล่าล่ะ’

‘ตามใจ’ เขาบอกคนที่ชอบทำตาเป็นประกาย

‘งั้นไม่เรียกนะ จะได้ไม่ห่างเหิน’ เจ้าหล่อนสรุป

จากนั้นเป็นต้นมา ภัทรนรินทร์ก็เรียกเขาว่าวิน ร้ายหน่อยก็เรียกนาย โมโหสุดๆ ก็เรียกแก แต่ไม่เคยขึ้นว่า ‘ไอ้’ อย่างที่คุ้นปากกับต้นน้ำสักที เขาไม่ได้เจอเธอบ่อยนัก อย่างมากก็แค่เดินสวน แต่ดูเหมือนคนมนุษยสัมพันธ์ดีอย่างภัทรนรินทร์จะเป็นที่รู้จักไปทั่ว โดยเฉพาะในหมู่สาวๆ และเจ้าตัวก็ตามตัวง่ายเหมือนมีอยู่หลายก๊อปปี้ตามจุดต่างๆ ของคณะ

เรียกได้ว่าเจอจนชิน จนคุ้นตา จนคุ้น...ใจ

จนสุดท้าย...กว่าจะรู้ตัวสายตาเขาก็มีแต่ภัทรนรินทร์อยู่ตลอดมา





วินธัยถอนหายใจพลางหยิบผ้ามาซับผมเปียกให้แห้ง แล้วกะจะเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมแทนชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม แต่เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้เขาเดินไปเปิดเพราะคิดว่าเป็นบิดาที่บอกว่าจะกลับมาคุยเรื่องงานด้วย

บานประตูเปิดออก อนุสรา...ลูกติดของแม่เลี้ยงเขายืนตรงหน้าประตู ด้วยชุดคลุมสีเลื่อมที่ดูไม่เรียบร้อยนัก วินธัยเตรียมปิดประตูลง แต่อีกฝ่ายไวกว่า

“เดี๋ยวสิคะ...นุชอุตส่าห์เอานมร้อนๆ ขึ้นมาให้พี่วินนะคะ”

“ผมไม่หิว ขอบคุณ”

ดูเหมือนหญิงสาวจะชินกับท่าทางของเขาเสียแล้ว อนุสรายิ้มหวานแล้วจงใจขยับเข้าไปใกล้พี่ชายร่วมบ้านที่เธอไม่ปรารถนาให้เขาเป็นเพียงพี่ชายเท่าไหร่นัก “อย่าเพิ่งปฏิเสธเลยค่ะ นุชว่าบางทีพี่วินอาจจะหิว”

หล่อนเอ่ยเสียงเบาและไม่เจาะจงว่า ‘หิว’ ที่ว่ามีนัยว่าอย่างไร ดวงหน้าที่มีเค้าความสวยแต่ถูกบดบังด้วยเครื่องสำอางราคาแพงเคลื่อนเข้ามาใกล้ มือเรียวแตะมือที่จับขอบประตูกั้นเธอไม่ให้เข้าไปเบาๆ

วินธัยมองคนตรงหน้าด้วยสายตาอ่านไม่ออก แต่อนุสราไม่ใส่ใจ ตราบใดที่เธออยากได้ ไม่ว่าอะไรใครก็ขวางไม่ได้ทั้งนั้นรู้เพียงว่าเธออยากได้ผู้ชายคนนี้!

นิ้วเรียวแตะที่ริมฝีปากแดงของตัวเอง ก่อนจะประทับไปที่แผงอกแกร่งตรงสาบเสื้อ เรือนร่างอวบอิ่มขยับคล้ายเย้ายวน นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดมองชวนให้ลุ่มหลง

หากแต่ไม่ใช่กับเขา

“อ้าวยัยนุช ยังไม่นอนหรอลูก”

เสียงพ่อเลี้ยงดังมาทำให้อนุสราเม้มปากอย่างขัดใจ กิริยานั้นไม่รอดพ้นสายตาของวินธัยไปได้ หญิงสาวปรับอารมณ์ก่อนจะรวบเสื้อคลุมให้เรียบร้อยแล้วหันไปยิ้มหวานให้บิดาเขา

“กำลังจะไปนอนค่ะคุณพ่อ แต่พอดีเห็นพี่วินยังไม่นอนเลยเอานมร้อนขึ้นมาให้”

“แล้ววินทำไมไม่รับล่ะลูก” คุณจักรถาม

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณพ่อ” อนุสราตอบแทน หันมาส่งสายตาให้เขา “ครั้งนี้ไม่ ก็ใช่ว่าครั้งต่อไปพี่วินจะปฏิเสธนี่คะ...งั้นเดี๋ยวนุชไปนอนก่อนนะคะราตรีสวัสดิ์ค่ะคุณพ่อ”

“จ๊ะลูก” คุณจักรตอบลูกเลี้ยง แล้วหันมาทางลูกแท้ๆ “เป็นไงบ้างวิน วันนี้กลับบ้านเร็วดีนี่”

“ครับ”

“อย่าโหมงานให้หนักมากล่ะ พักผ่อนบ้าง”

“ครับ”

“เจ้าวิน...” คุณจักรวางมือบนไหล่ลูกชาย “พ่อภูมิใจนะที่มีแกเป็นลูก และก็เชื่อว่าแม่คงไม่ต่างกัน ยังไงก็ดูแลตัวเองอย่าให้แม่มาว่าพ่อได้รู้มั้ย”

“ครับ”

“งั้นพ่อไปนอนล่ะ เราเองก็อย่านอนดึกนักล่ะ”

“ครับ” วินธัยรับคำ “ผมรักพ่อ”

คุณจักรหันกลับมายิ้มให้บางๆ แต่หัวใจเปี่ยมด้วยความสุขล้นปรี่ วินธัยเป็นสิ่งล้ำค่าที่ภรรยาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า และลูกชายคนนี้ก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง “พ่อก็รักลูกเสมอ”

บานประตูปิดลงพร้อมเสียงถอนหายใจ ห้าปีที่มารดาจากไปพร้อมโรคร้าย ทิ้งให้บิดาต้องอยู่เพียงลำพัง จนกระทั่งผู้หญิงที่ชื่อ ‘อภัสสรา’ ก้าวเข้ามาในฐานะแม่เลี้ยงของเขา
ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งป้อมรังเกียจแม่เลี้ยงตัวเอง เพราะอีกฝ่ายก็ไม่เคยมาข้องเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขาและไม่เคยยุ่งเกี่ยวเรื่องของบริษัท มีเพียงปัญหาเดียวสำหรับเขาคือลูกติดของเธอ...อนุสสรา

ตั้งแต่ครั้งแรกที่สบตา เขาเห็นแววตามาดหมายในดวงตาคู่นั้น แต่ไม่เคยคิดจะใยดีอะไร คิดแค่ว่าถ้าเขาไม่สานต่อเรื่องทุกอย่างจะต้องจบ

แต่ดูเหมือนหล่อนจะไม่ยอมถอยไปง่ายๆ

หรืออาจจะค่อยๆ ‘รุก’ เข้ามามากขึ้นเสียด้วยซ้ำ

เสียงมือถือที่ดังขึ้นขัดจังหวะความคิด วินธัยกดรับสายต้นน้ำทันที

“ว่าไง? มีธุระอะไรหรือเปล่า” วินธัยถามเพราะปกติต้นน้ำไม่ค่อยโทรมายามวิกาลเท่าไรนัก

“ไม่มีธุระโทรมาไม่ได้หรอวะ ใช่สิฉันมันไม่ใช่ไอ้ภัทรนี่” คนปลายสายแกล้งแซว ก่อนจะเอ่ยต่อเมื่อเขาเงียบไป “อ้าว...เงียบ ล้อเล่นน่า ก็แค่จะโทรมาถามว่าเป็นไงมาไงทำไมแกถึงโชคร้ายถูกไอ้ภัทรเก็บเข้าคอลเลคชั่นได้”

วินธัยส่ายหัวให้กับคำว่า ‘คอลเลคชั่น’ ที่ชวนให้นึกภาพว่าเขาเป็นบาร์บี้ตัวหนึ่ง

“ก็ใครล่ะที่ไปท้าอย่างนั้น”

“ก็ฉันนี่แหละ” ต้นน้ำบอกโอ่ๆ

“แล้วจะแปลกใจทำไม”

“วะ! ก็ใครจะคิดว่ามันจะบ้าจี้ตามล่ะ” เพื่อนเอ่ย “...เป็นเพื่อนกันมาเคยเห็นมันคบกับผู้ชายที่ไหนกัน ฉันก็นึกว่ามันเป็นพวกตายด้านกับผู้ชายไปแล้ว”

“ยังไงก็เป็นผู้หญิง”

“ผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงน่ะสิ” ต้นน้ำสวน ก่อนบ่นอุบ “เสียดายประชากรหญิงจริงๆ”

“เสียดายภัทรหรือผู้หญิงของเขากันแน่”

ถามออกไปวินธัยก็ได้แต่กลั้นใจรอคำตอบ ทั้งที่เขาเองควรจะรู้คำตอบนั้นดีกว่าใคร ต้นน้ำเองยังคงเงียบงันชวนให้เขาหวั่นใจ

“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”

วินธัยไม่รู้ว่าตัวเองเผลอกำมือถือแน่นขนาดไหน จนกระทั่งปลายสายเอ่ยประโยคถัดมา มือนั้นจึงคลายลง

“...ไอ้ภัทรมันเป็นเพื่อน ฉันก็อยากให้มันได้เจอคนดีๆ ที่จะดูแลมัน ยังไงผู้หญิงก็แต่งงานกับผู้หญิงไม่ได้จริงไหม” ต้นน้ำอธิบาย “...แต่ที่ไม่คิดเนี่ยก็คือผู้ชายโชคร้ายคนนั้นจะเป็นนายน่ะสิ สรุปว่ามันคงไม่ได้ไปบีบคอแกให้รับมันเป็นแฟนใช่มั้ย”

“นายไปสัญญากับภัทรไว้นานเท่าไหร่” วินธัยเลี่ยง

“เดือนนึง...แต่ก็จริงๆ ล่ะน้า ใครมันจะทนไหววะ อย่างไอ้ภัทรเห็นสาวๆ ทีตามันก็วาวยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก” ต้นน้ำบ่น แล้วถาม “...เออแล้วเมื่อกี้ทำไร ไม่รับสาย”

“หืม?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ “...คุยกับพ่อน่ะ”

“ทำเสียงเบื่อโลกขนาดนี้ แน่ใจหรอว่าแค่พ่อน่ะ” ต้นน้ำกระเซ้าอย่างคนรู้ดี “บอกมาซะดีๆ อย่าปล่อยให้ความอยากรู้มันจุกอกฉัน”

วินธัยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบอกเพื่อนสั้นๆ “ง่วง”

“เฮ้ย! เดี๋ยวได้อกแตกตายกันพอดี” ปลายสายโวยวาย “ใช่เรื่องยัยน้องนอกไส้ของแกหรือเปล่า?”

“แค่นี้นะ”

“ได้...ถ้าแกไม่บอกฉันจะหาผู้ช่วยแกเองไอ้วิน”

“อะไร?” วินธัยรีบถาม รับรู้ได้ว่าเรื่องวุ่นวายกำลังย่างกรายเข้ามาชีวิต


“อ้าว! ง่วงไม่ใช่หรอ ไปๆ ไปนอนซะ”

“ไอ้ต้น...”

“ห๊าววว ง่วงจริงๆ ว่ะ แค่นี้นะ เตรียมตัวรับผู้ช่วยของแกได้เลยไอ้คุณชาย”
วินธัยมองมือถือราวกับไม่เคยเห็นมันมาก่อน เขาล่ะกลัวใจเพื่อนคนนี้จริงๆ

หวังว่า ‘ผู้ช่วย’ คงจะเป็นใครที่ไม่ใช่ ‘ภัทรนรินทร์’ หรอกนะ

ชายหนุ่มวาดหวัง แม้ว่าความหวังนั้นจะแสนริบหรี่ก็ตาม...





ในขณะที่ ‘ผู้ช่วย’ กำลังเดินวนไปมาในห้องตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ มือเรียวทึ้งหัวตัวเองอย่างขัดใจ ตอนนี้สมองที่เคยมั่นใจว่าฉลาดกลับทึบตื้อไปหมด

“โอ๊ย!” ภัทรนรินทร์ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนแล้วมีหมอนดังพลั่ก “เป็นบ้าอะไรของแกวะภัทร!”

ไม่มีคำตอบคำถาม ภาพเมื่อตอนหัวค่ำยังคงฉายชัด ราวจะตอกย้ำความบ้าของตัวเอง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไรทำให้เผลอได้ถึงขนาดนั้น และไม่กล้าพอที่จะฟังเสียงกระซิบจากหัวใจว่ามันหวังจะได้ยินอะไรบางอย่างจากปากของชายหนุ่ม

‘เผลอ’ ทั้งที่คนตรงหน้าเป็นผู้ชาย แถมยังเป็น ‘เพื่อนสนิท’ อีกต่างหาก
อยากจะบ้าตาย!!!

“เพราะน้ำหอมๆ กลิ่นที่หมอนั่นใช้คือCKรุ่นใหม่ที่ฉันอยากได้ ท่องไว้ซิไอ้ภัทรน้ำหอมๆๆ”
แล้วทำไมต้องหลับตา...

“ก็...มันเคลิ้มไง หอมมาก น้ำหอมหอมมากๆ”

หล่อนตอบความคิดตัวเองดังๆ ราวกับจะย้ำให้ขึ้นใจ เสียงเคาะประตูขัดจังหวะคนใกล้บ้า “ภัทรลูก...หลับหรือยังจ๊ะ”

“ยังค่ะหม่าม้า”

สิ้นเสียง มารดาเปิดประตูเข้ามา “ว๊าย! อะไรกันลูก” คุณรินฤดีถามลูกสาวที่โผเข้ากอดท่านแน่นเหมือนโคอาล่าไม่ผิดเพี้ยน

“หม่าม้า...” แก้วตาดวงใจของท่านทำเสียงกระหนุงกระหนิง

“จ๋า...เป็นอะไรคนเก่งของหม่าม้า มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า เล่าให้หม่าม้าฟังซิ” นางประคองลูกสาวนั่งลงบนเตียง “...หรือว่าป๋าใช้งานหนักใช่มั้ย เดี๋ยวหม่าม้าจะไปเฉ่งให้เอง”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ” ลูกสาวแก้ “ภัทร...ก็ไม่รู้เหมือนกัน แบบว่ามันยุ่งเหยิงในหัวไปหมด”

“เรื่องหนุ่มผู้โชคดีของหม่าม้าหรือเปล่าน้า...” คนผ่านประสบการณ์มามากกว่าทัก แล้วก็ต้องหัวเราะเมื่อลูกสาวทำตาโต “หม่าม้าเดาถูกใช่ม้า...”

“ก็...ภัทรไม่รู้อ่ะ ไม่เข้าใจตัวเองด้วย”

คุณรินฤดียิ้มบางๆ ให้ลูกสาว เออหนอ...เพิ่งจะเห็นภัทรนรินทร์คล้ายผู้หญิงก็วันนี้ น่าปลาบปลื้มจริงๆ

แม้ลูกสาวจะไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง แต่มีหรือที่คนเป็นแม่จะเดาไม่ได้ ท่าทางอาการสับสนจะขวาก็ไม่ใช่จะซ้ายก็ไม่เชิง คงไม่แคล้วเรื่องชายหนุ่มผู้โชคดีคนนั้นของนางแน่ๆ

เพราะเลี้ยงภัทรนรินทร์มากับมือ รู้ดีว่าลูกสาวของนางคงไม่ชินที่ตัวเองจะต้องเปลี่ยนบทจากชายเป็นหญิง ไม่ถนัดแน่ๆ ถ้าจะโดนรุก

“ภัทร...ฟังหม่าม้านะ” มือนิ่มของมารดาตบหลังมือเธอเบาๆ “คนเรามักจะมีความเคยชินของตัวเอง ไม่แปลกเลยที่คนเราทำอะไรซ้ำๆ เป็นกิจวัตรจนคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นปกติ”

“แต่ชีวิตของคนเรามันไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่นะลูก ทุกชีวิตต้องมีการเปลี่ยนแปลง และไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย เราก็ต้องยอมรับ ปรับตัว และผ่านมันไปให้ได้” คนเป็นแม่สอน “อย่าไปคิดว่ามันผิดเพราะมันไม่ใช่ปกติของเรา คิดเสียว่ามันเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่คอยให้เราค้นหาและก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน”

ภัทรนรินทร์มองท่าน ดวงตาฉายแววฉงน “แต่ภัทรสับสนนี่คะ เพราะมันไม่ใช่ปกติของภัทรจริงๆ”

“ค่อยๆ เรียนรู้มันไปสิลูก...ภัทรของหม่าม้าเก่งจะตาย รับรองอีกไม่นานก็จะชิน หม่าม้าเชื่ออย่างนั้นจ๊ะ” นางบอก ก่อนจะหันไปมองรอบๆ “ไหนล่ะ เห็นเด็กบอกว่าภัทรซื้อของกลับมาเยอะแยะ ไปไหนมาลูก”

“ไปห้างมาค่ะ”

“ภัทรของหม่าม้าเดินห้าง!” มารดาร้องเสียงหลง “ไปกับชายหนุ่มผู้โชคดีของหม่าม้ามาใช่มั้ย แล้วได้อะไรมาบ้างลูก”

คนอ่อนวัยกว่าหัวเราะให้กับคำเรียกขาน ก่อนจะคิดได้ว่าควรจะบอกมารดาได้แล้ว ก่อนที่ท่านจะเผลอไปเรียกวินธัยต่อหน้าให้เธอได้อับอาย

“เขาชื่อวินค่ะหม่าม้า วินธัย พิพัฒน์กำธร เพื่อนกลุ่มเดียวกับต้นน้ำกับวีต้าน่ะค่ะ”

“อ่า...คนที่พูดน้อยๆ แต่หล่อๆ ใช่มั้ยลูก”

ภัทรนรินทร์หัวเราะ พร้อมแซว “ภัทรจะฟ้องป๋าจริงๆ ด้วย”

มารดาค้อน ก่อนจะบีบแก้มของบุตรสาวอย่างหมั่นเขี้ยว “ให้มันจริงเถอะแม่คนเก่ง...เอ้า! ไหนไปหยิบของให้หม่าม้าดูหน่อยซิ อยากเห็นจริงๆ ว่าการช้อปปิ้งครั้งแรกของลูกสาวหม่าม้าจะได้อะไรมาบ้าง”

ร่างโปร่งลุกขึ้นไปหยิบสารพัดถุงมาให้มารดา แล้วเอนตัวลงนอนหนุนตักนุ่มนิ่ม โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกผู้มากประสบการณ์เบี่ยงเบนความสนใจจนสิ่งที่กังวลก่อนหน้านี้เริ่มจางหายไปทีละนิดๆ





หลังจากที่ได้คุยกับวินธัยวันนั้น ต้นน้ำก็แทบไม่ได้คุยกับเพื่อนทั้งสองเลย เพราะงานที่ประดังประเดเข้ามาจนตัวเป็นเกลียวเนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวนั่นเอง

ประตูเปิดออกโดยปราศจากเสียงเคาะหรืออินเตอร์คอมจากเลขาหน้าห้อง ต้นน้ำเบนสายตาจากคอมพิวเตอร์เตรียมจะต่อว่าแขกผู้ไม่รู้จักกาลเทศะ

“วีต้า...”

สาวสวยเจ้าของชื่อเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาโตเป็นประกายมองมาที่เขา ริมฝีปากอวบอิ่มที่ถูกแต่งแต้มสีคลี่ยิ้มหวานให้ จนคนมองเริ่มรู้สึกตาพร่า

ร่างอวบอิ่มในชุดแซคสั้นเหนือเข่าสีหวานอวดต้นขาขาวนวลเนียนค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาเขาช้าๆ ตาจ้องตา จนต้นน้ำแทบลืมหายใจ

“ค่อยยังชั่ว”

เสียงถอนหายใจของศวิตาเรียกสติที่เริ่มหลุดลอยของต้นน้ำกลับมา ชายหนุ่มก่นด่าตัวเองที่ไม่ต่างไปจากคนอื่น หลงเพ้อในรูปลักษณ์สวยงามของเพื่อนสนิทจนเกินพอดี แล้วก็แทบจะหล่นจากเก่าอี้เมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากเพื่อน

“แสดงว่าฉันยังมีเสน่ห์อยู่นะเนี่ย ยังกลัวอยู่เลยว่ามัวแต่ทำงานงกๆ แล้วจะโทรมหรือเปล่า”

“วีต้า” เจ้าของห้องเรียกอย่างเข่นเขี้ยว

“หืม?”

“เธอถ่อมาหาฉันแค่จะทดสอบเสน่ห์ตัวเองหรือยังไงฮะ”

“บ้าสิ” ศวิตาว่า “ถ้าแค่นั้น ฉันเดินทอดน่องไปก็มีผู้ชายมากองแทบเท้าเป็นเบือ ไม่เห็นต้องถ่อมาอ่อยแกถึงที่นี่เลยไอ้บื้อ”

‘ไอ้บื้อ’ นั่งสงบสติอารมณ์นับหนึ่งถึงสิบ ท่องไว้ว่าศวิตาก็คือศวิตา วาจาเราะร้ายไม่ต่างจากภัทรนรินทร์สักนิด “แล้วมาถึงนี่มีอะไรไม่ทราบ”

“ไม่มีอ่ะ แค่เบื่อๆ” หญิงสาวว่า พลางนั่งบนขอบโต๊ะ ไม่ไยว่าแซคตัวสวยจะร่นขึ้นไปอีกเท่าไหร่ มือเรียวหยิบของบนโต๊ะมาดูอย่างสนใจ “อ่านย้อนหลังไปได้ยังไงตั้งเยอะ ของฉันแค่เท่าที่ปัจจุบันมียังเยอะจนไม่รู้จะว่ายังไง”

“บริษัทเธอมันใหญ่”

“แล้วของแกมันเล็ก?”

“ฉันก็ต้องอ่านไว้เยอะๆ ไม่งั้นพ่อคงไม่วางใจให้ดูแลต่อเหมือนอย่างเธอนี่” ต้นน้ำบอกเสียงเรียบ ศวิตาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

เธอรู้ดีว่าหลังเรียนจบคนเก่งๆ อย่างต้นน้ำไม่จำเป็นจะต้องมานั่งเป็นผู้จัดการที่สาขาเล็กๆ นี่เสียด้วยซ้ำ เขาสามารถเป็นเหมือนเธอเหมือนวินธัยได้เพราะทางบ้านก็มีธุรกิจเป็นของตัวเอง แม้จะไม่ใช่บริษัทใหญ่โตของประเทศ แต่ก็ถือได้ว่ามีชื่อของทางเหนือทีเดียว

แต่ต้นน้ำกลับพอใจที่จะทดลองงานที่สาขาเล็กๆ ที่กรุงเทพฯไปก่อน คล้ายๆ กับภัทรนรินทร์ แต่ต่างที่รายนั้นดูจะมีความสุขกับการได้ตะลอนๆ ไปไหนมาไหนเวลางานมากกว่าจะนั่งอยู่กับที่นิ่งๆ จนถึงดึกๆ ดื่นๆ

“อิจฉาจัง” หญิงสาวบ่นพึมพำ

“อิจฉาใคร เรื่องอะไร?”

“ก็อิจฉาแกกับภัทรไง” ศวิตาตอบ “ฉันก็อยากทำแบบนี้บ้าง เบื่อที่สุดเลยวันๆ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน อ่านๆๆ จนตาลาย เย็นๆ ยังมีประชุมอีก” ที่สำคัญเธอเกลียดสายตาของผู้ถือหุ้นคนอื่นที่ชอบมองเธอเหมือนเด็กไร้ประสบการณ์ แล้วก็สายตาที่จ้องจะงาบของเฒ่าหัวงูหลายคน

“แต่ฉันมันต๊อกต๋อย”

ศวิตามองคนต๊อกต๋อยแล้วเบ้ปาก “อืม...คุณต้นน้ำผู้ต๊อกต๋อย ไม่ทราบว่าพอจะมีเวลาว่างไปช้อปปิ้งกับฉันมั้ยยะ”

“แล้วบรรดากิ๊กๆ ของเธอไปไหนหมดวีต้า”

“ก็อยู่ในที่ๆ ควรอยู่น่ะสิ”

“แล้วทำไมไม่ไปชวน มาลากฉันไปทรมานสังขาร เดินลากเท้าตามถือของให้เธอทำไม”

“ก็ฉันเหนื่อยนี่” หญิงสาวตอบ แล้วให้เหตุผล “ขี้เกียจไปนั่งปั้นหน้าสวยคุยกับใคร แล้วก็ขี้เกียจเลือกด้วยว่าจะไปกับคนไหนดี”

“ผู้หญิง...” เจ้าของห้องบ่น แต่การกระทำกลับตรงข้าม เมื่อต้นน้ำเอื้อมมือไปปิดคอมพิวเตอร์และบอกเลขาว่าช่วงบ่ายอาจไม่เข้าบริษัท

ศวิตายิ้มกริ่มให้เพื่อนที่ยอมตามใจเธอเสมอเหมือนภัทรนรินทร์ ก่อนจะแกล้งถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “หวังว่าฉันคงไม่ได้มากวนแกนะต้น”

ต้นน้ำหันมาพยักหน้าให้หนึ่งที เรียกรอยยิ้มของสาวสวยได้ แต่รอยยิ้มเป็นอันต้องเปลี่ยนเป็นค้อนขวับ เมื่อเขาเอ่ยประโยคต่อมา

“ไม่เป็นไร แต่ก็ยังดีใจที่เธอรู้ตัวนะยัยวีต้า”





“คุณต้น! ดีใจจังค่ะที่ได้เจอ บังเอิญจริงๆ”

เสียงร้องทักที่ไม่เบานัก ทำให้ศวิตาที่กำลังจะเข้าไปลองชุดต้องหันกลับมา แล้วพบว่าข้างกายต้นน้ำมีหญิงสาวรูปร่างอรชรคนหนึ่งที่ดูไปดูมาแล้วคุ้นอย่างบอกไม่ถูก

“สวัสดีครับคุณพีช” ต้นน้ำทักเสียงสุภาพ แล้วพยายามแกะมือของสุภาพสตรีตรงหน้าออกด้วยความละมุนละม่อม

“แหม เรียกซะห่างเหินเชียว เราคนกันเองแท้ๆ” ณพิชาบอกชายหนุ่มที่เธอถูกใจเขาเป็นอย่างมาก หญิงสาวเจอต้นน้ำเมื่อตอนไปงานเลี้ยงกับบิดา และอยากจะสานต่อความสัมพันธ์กับหนุ่มขี้อายคนนี้เหลือเกิน

“คุณพีชมาคนเดียวหรอครับ”

“ค่ะ...แต่จะไม่ใช่คนเดียว ถ้าคุณต้นยอมไปทานข้าวกับพีช”
ต้นน้ำอยากเหลือกตาและหาข้อแก้ตัวที่ดีที่สุด แต่สัมผัสที่ต้นแขนทำให้เขารู้ว่ากำลังจะได้ตัวช่วยชั้นดี

“งั้นคงเป็นสามคนแล้วล่ะค่ะ ถ้าคุณอยากไปทานข้าวกับเรา”

“เอ๊ะ!” ณพิชาร้อง แล้วมองหญิงสาวที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างเธอกับต้นน้ำด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะจำได้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคือลูกสาวบริษัทที่พ่อของเธอถือหุ้นอยู่ และเธอก็เคยเจอเพราะวันนั้นถูกพ่อลากไปประชุมด้วย

ศวิตามองอีกฝ่ายอย่างประเมิน เธอจำผู้หญิงคนนี้ได้แล้ว เพราะรู้สึกไม่ถูกชะตาตั้งแต่ที่บริษัท หญิงสาวกอดต้นแขนเพื่อนสนิทแน่นก่อนจะเอ่ยเสียงฉอเลาะ

“ต้นคะ มาทำอะไรตรงนี้เอ่ย วีต้ารอนานแล้วนะ”

“วีต้าจะให้ผมทำอะไรให้ครับ” หนุ่มแว่นรับบทต่อทันที

“ก็วีต้าอยากลองชุดตัวนี้น่ะค่ะ แต่คงจะรูดซิปไม่ถึง ก็เลยอยากให้ต้นช่วย”

ต้นน้ำขนลุกกับน้ำเสียงของเพื่อนสนิท และเสียงกรี๊ดเบาๆ ของณพิชา

“ต้นคะ ไปรอวีต้าตรงนู้นก่อนดีกว่า เดี๋ยววีต้าตามไปนะคะที่รัก” สาวสวยบอกก่อนจะเขย่งขึ้นจุมพิตปลายคางเพื่อนสนิทอย่างยั่วผู้หญิงอีกคน ที่แทบจะฉีกเนื้อเธอหลังจากที่ต้นน้ำขอตัวเดินออกจากลานสงครามย่อมๆ ตรงนี้

“หน้าไม่อาย” ณพิชาเริ่มก่อน “กลางวันแสกๆ ยังยั่วผู้ชายได้ขนาดนี้ ไม่แปลกที่พ่อฉันหลงแกจนตัวสั่น”

“งั้นก็ต้องขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้ครอบครัวเธออาจจะต้องแตกแยกเพราะพ่อเธอทำตัวเป็นโคแก่”

“นี่แกด่าพ่อฉันหรอ”

“จำได้ว่าฉันไม่ได้พูดก่อนนะ” ศวิตาย้อน “แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เธอเห็นภาพบาดใจเมื่อครู่ แต่ก็อย่างว่าแหละ ตอนกลางวันฉันก็คงทำได้แค่นี้ แต่ถ้ากลางคืน...” หญิงสาวจงใจเว้นวรรคไว้ แล้วหัวเราะในใจเมื่อณพิชากระทืบเท้าเร่าๆ

“แก...หน้าด้าน”

“จุ๊ๆ ผู้ดีเขาไม่ชี้หน้าด่าคนอื่นอย่างนี้หรอกนะจ๊ะ” สาวสวยยั่ว “แล้วที่สำคัญคนหน้าบางเขาไม่มายืนเกาะแขนแฟนคนอื่นอย่างเมื่อครู่หรอกนะรู้ไว้ซะด้วย”

ศวิตาบอกทิ้งท้าย ก่อนจะเดินนวยนาถจากไปด้วยความสะใจ หล่อนเดินมาหาเพื่อนสนิทแล้วเกาะแขนเขาไว้ก่อนจะลากเข้าห้องลองเสื้อผ้า ไม่วายหันมาส่งสายตาผู้เหนือกว่าให้

“รู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร”

“แล้วเธอเป็นใครล่ะวีต้า ถึงได้ไม่ชอบคุณพีชเขาซะขนาดนั้น” ต้นน้ำถามคนที่ยืนอยู่ในห้องลองเสื้อที่ถึงแม้จะไม่ได้เบียดอะไร แต่ก็ไม่โอ่โถ่งพอที่คนตัวโตอย่างเขาจะยืนได้อย่างสบายๆ “...อย่าบอกนะว่าคุณพีชเขาเคยเป็นกิ๊กเก่าไอ้ภัทรเธอถึงไม่ชอบหน้าเขาอย่างนั้นน่ะ”

“ไม่มีทาง ภัทรไม่มีวันคว้ายัยนั่นมาเป็นกิ๊กหรอก ไร้สกุลรุณชาติ”

“วีต้า...”

“ก็คนมันไม่ชอบนี่” ศวิตาเถียงหน้างอง้ำ “ลูกก็แย่ พ่อก็หัวงู สาธุ...ขอให้พ่อมีเมียใหม่ให้บ้านแตก”

ต้นน้ำถอนหายใจกับคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ศวิตาเป็นพวกเวลาดีก็ดีใจหาย แต่อย่าให้ร้ายขึ้มาก็แล้วกัน...ใครก็เข้าหน้าไม่ติด

“หมดเรื่องแล้วงั้นฉันไปรอข้างนอกนะ”

“เดี๋ยว” ศวิตาเรียก “อยู่ข้างในนี่แหละ ออกไปตอนนี้เกิดยัยนั่นยังไม่ไปก็ความแตกน่ะสิ”

“แล้วจะให้ฉันทำไง”

“หันหลังไป ฉันจะเปลี่ยนชุด”

“แต่...”

“บอกให้หันก็หันเถอะน่า” คนเอาแต่ใจสั่ง ก่อนจะค่อยๆ ปลดกระดุมต่อหน้าคนที่ยังไม่ยอมหัน จนต้นน้ำรีบหันหนีแทบไม่ทัน

“ต้น...” เสียงหวานเรียกเพื่อนสนิทหลังจากสวมชุดใหม่แล้ว “...ซิปมันกินผมฉันอ่ะ จับออกให้หน่อย เร็วๆ สิ”

ปลายประโยคที่เร่งมา ทำให้ชายหนุ่มค่อยๆ หันมาอย่างไม่เต็มใจนัก แผ่นหลังเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าจนทำให้เขาต้องหลับตาสะกดอารมณ์พลุ่งพล่าน แล้วท่องว่าเธอคือเพื่อน...ศวิตาคือคนที่เกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนรักของเขาเท่านั้น

มือใหญ่ค่อยๆ เอาลูกผมออกให้อย่างเบามือ พยายามไม่สัมผัสโดนแผ่นหลังของเธอ ดวงตาหลังเลนส์แว่นสบดวงตาอีกคู่ผ่านบานกระจก ก่อนจะเสหลบแล้วรีบจัดการรูดซิปให้อย่างเบามือ แล้วทำท่าจะหนีออกไปทันที ติดที่มือเรียวคว้าข้อมือเขาไว้เสียก่อน

ศวิตารั้งเขาให้หันมาสบตา แล้วถามว่า “จะไปไหน ยังไม่ได้บอกเลยว่าสวยหรือเปล่า”

“ไม่” นั่นเป็นคำที่เขาเฝ้าย้ำกับตัวเองเสมอมา การมองไม่เห็นความสวยของศวิตาเป็นเรื่องที่โง่เง่าที่สุดเท่าที่เขาพยายามจะทำ

“โกหก” คนไม่ยอมไม่สวยบอก “บอกมาตามตรง อย่าให้ต้องใช้กำลัง”

ไม่ว่า ‘กำลัง’ ของเจ้าหล่อนจะเป็นแบบไหน แต่เขากลับกลัวขึ้นมาลึกๆ เมื่อร่างอวบอิ่มก้าวเข้ามาชิด ในขณะที่หลังของเขาชนประตู มือเรียววางบนอกแกร่งใต้เสื้อเชิ้ต “ตอบมาซะดีๆ”

“ถ้าดาวคณะอย่างเธอไม่สวยแล้วใครจะสวย” ต้นน้ำรีบตอบจนลิ้นแทบพันกัน “ฉันไปได้หรือยัง”

“ชิ! ทำอย่างกับว่าฉันเป็นเสือที่คอยจะขย้ำแกอย่างนั้นแหละ” ศวิตาว่าอย่างไม่สบอารมณ์ “...ปลดซิปให้ด้วยแล้วก็ออกไปรอข้างนอกห้ามหนีไปไหนนะ ฉันขี้เกียจตาม”

ต้นน้ำทำตามอย่างว่าง่ายและด้วยความเร็วสูง ก่อนจะวิ่งออกไปรอข้างนอก ทิ้งให้ศวิตายืนอมยิ้มกับตัวเองในกระจก

ตาทึ่มเอ๊ย!





“นี่...แล้วเรื่องภัทรกับวินน่ะไปถึงไหนแล้ว” ศวิตาถามคนตรงข้ามที่กำลังคีบบะหมี่เย็นของตัวเองเข้าปาก

“มันก็ทำตัวเป็นแฟนกันหลอกพวกเราอยู่ไง” ต้นน้ำตอบ “แผนของเธอก็ได้ผลดีนะ”

“แต่ฉันว่าไม่” หล่อนว่า แล้วตอบคำถามของคนที่เลิกคิ้วขึ้น แต่ปากยังเคี้ยวตุ้ยๆ “สองวันนี้ภัทรไม่ได้ไปหาวินที่บริษัท”

“รู้ได้ไง” เขาสวน

“รู้ก็แล้วกัน” สาวสวยบอก “ทำอะไรสักอย่างสิ เดี๋ยวก็กลายเป็นว่าเข้าหน้ากันไม่ติดทั้งภัทรทั้งวิน ตอนแรกก็เห็นว่าดีๆ แล้วเชียว มีไปช้อปปิ้งกันด้วย”

“แล้วจะให้ทำไง รู้ๆ กันอยู่ อย่างไอ้ภัทรเปลี่ยนง่ายซะที่ไหน”

“ฉันจะพยายาม”

ต้นน้ำเงยหน้าขึ้นจากชามบะหมี่ เมื่อได้ยินคำประกาศเจตนารมณ์ของเพื่อนสาว “...แน่ใจแล้วหรอวีต้าที่พูดมาน่ะ”

“แน่สิ...ทำไม?”

“เปล่า กินเถอะ เดี๋ยวจะหายร้อน”

ว่าแล้วก็ตั้งท่าจะกินต่อไป ถ้าไม่ติดว่าตะเกียบอีกคู่จะเข้ามาขวาง ต้นน้ำขมวดคิ้วมองเจ้าของตะเกียบที่พูดว่า

“รับปากก่อนว่าจะช่วย”

ชายหนุ่มสบดวงตาที่ควรจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนแต่วันนี้กลับเป็นสีฟ้าเพราะคอนแทคเลนส์ อยากถามศวิตาสักคำว่ามีสักครั้งไหมที่เขาปฏิเสธคำขอร้องของเธอ

แต่ก็นั่นแหละ เหมือนเคย เขาทำได้แค่ส่งเสียงอืมเบาๆ แล้วก้มหน้าก้มตากินต่อไปเท่านั้นเอง





----------------------------------------------------------------------------

อย่าลืมมาเม้าท์กันประเดิมบ้านใหม่เน้อ
ขอบคุณทุกการติดตามอีกครั้งนะคะ

อยากบอกว่าทุกกำลังใจ ทุกคอมเม้นต์ เป็นพลังในแต่ละวันของคนเขียนจริงๆ
บางทีที่เหนื่อย ปริ๊นซ์แอบมาเปิดอ่านเม้นต์เก่าๆ ทำให้รู้สึกว่าเรายังมีอีกสังคมที่มีความสุขรออยู่จริงๆ ค่ะ

ติชม รุมด่า ทึ้งหัว เขวี้ยงขวด เต็มที่เลยจ๊ะ

ปล. แต่อย่าลืมป้ายไฟ (The Star มาก 555)

แล้วเจอกันเมื่อชาติต้องการค่ะ
เจ้าชายน้อย

ปอดลิง 2 อากาศเปลี่ยนแปลงแบบวิปริตสุดยอด คนอ่านที่น่ารักของเจ้าชายน้อยก็อย่าลืมพกร่ม พกพัด พกเสื้อหนาว กันให้ครบนะจ๊ะ อิอิ



เจ้าชายน้อย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2554, 11:13:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2554, 22:33:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1994





<< 3. บทเรียนแรก   5. ก็ผู้ชายเหมือนกัน >>
anOO 3 เม.ย. 2554, 16:32:31 น.
an-o ตามมาเป็นกำลังใจในบ้านใหม่
ปล. นายต้นน้ำเนี้ยทื่มจริงๆ ด้วย


ชลวารี 3 เม.ย. 2554, 22:25:49 น.
สนุกมากค่ะ ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆๆ มาต่อเร็วนะคะ


songsee 4 เม.ย. 2554, 00:22:53 น.
มาเป็นกำลังใจค่ะ


mottanoy 4 เม.ย. 2554, 03:27:47 น.
น่ารักจังทั้งสองคู่เลย


roseolar 4 เม.ย. 2554, 19:34:28 น.
ชัดเลย~
ตอนนี้กำลังตกระกำลำบากในสถานะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก
วนเวียนเวียนวนอยู่ในห้องคลอดกับผองเพื่อนเก้าชีวิตแล้วก็ยังทำอะไรไม่เข้าท่า โดนด่าเป็นอาจิณ
ถ้าอยากมาลำบากด้วยกันก็มาหากันได้นะคะ อาจารย์สูติที่วชิระน่ารักทุกคน แต่พี่เดนซ์กับพยาบาลบางคนโหดใช่ย่อย ฮ่าฮ่า
ส่วนความรู้นี่..พอดีอยู่ปีสี่เลยได้รับการสอนแบบเต็มๆ แต่ถ้าเป็นเดนซ์เดินราวด์ตามอาจารย์ ก็มีอาจารย์บางคนอธิบายยืดยาวเหมือนกันค่ะ แต่บางคนภาระกิจรัดตัวก็ต้องรีบไป แต่ส่วนใหญ่ถ้าอาจารย์เห็นปีสี่อยู่ด้วยก็จะสอนนะ
ตอนนี้มีพี่เดนซ์สามคน พี่ปีหกอีกสี่คน และปีสี่อีกเก้าคน แต่พี่ปีหกกับพี่เดนซ์บางคนก็ไม่ค่อยอยู่ค่ะ เพราะต้องแบ่งไป c/sส่วนนึงด้วย ซึ่ง case c/s จะมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่หลังๆรู้สึกว่าคุณแม่ทั้งหลายช่างมีปัญหารุมเร้า จะคลอดกับเขาทั้งที ขอแบบ normal labor ก็ไม่ได้
ได้ทำเยอะมั้ย ก็น่าจะเยอะนะคะ เพราะบางทีเห็นพยาบาลทำคลอดก็มี ก็บอกแล้วว่า case c/s มันเยอะ พี่เดนซ์เค้าเลยไม่ค่อยว่าง อาจารย์ก็ทำคลอดเฉพาะเคสตัวเอง แล้วก็เดินราวด์เช้าเย็นแค่นั้น ก็น่าจะได้ทำนะคะ
ถ้าสนใจก็มาร่วมชะตากรรมเดียวกันได้นะคะ T T
ปอดลิง....ชูป้ายไฟ แสงแพรวพราว เจ้าชายน้อยสู้ๆ เจ้าชายน้อยสู้ตาย โว้โว้


หมู้หมู 5 เม.ย. 2554, 10:44:02 น.
มาชูป้ายไฟ ให้กำลัง และรอด้วยอีกคน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account