กลรัก สลับหัวใจ
เมื่อเพื่อนสาวจอมยุ่ง จับผลัดจับพลูให้เธอนัดไปดูตัวกับคาสโนว่าหนุ่มแลกกับค่าจ้างหนึ่งหมื่น ม่านนทีจึงยอมเซย์เยส แปลงร่างเป็นนางซินวางแผนตัดสัมพันธ์แทนเพื่อนสาวเสียดิบดี แต่ที่ไหนได้เขาทั้งหล่อ เท่ แถมยังมีรอยยิ้มบาดใจ ทำเอาเธอชักหวั่นไหวซะแล้วสิ
Tags: รักโรแมนติก,รักหวานๆ,รักใส ๆ
ตอน: ตอนที่ 28 เดิมพันหัวใจ
บทที่ 28
เดิมพันหัวใจ
หากมีใครบอกกับปิ่นแก้วว่านี่คือความฝัน เธอก็ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้ตื่นขึ้นมาอีกเลย
“ราเมศ” ปิ่นแก้วใจเต้นตึกตัก คิดไม่ถึงว่าเขาจะรวบรัดขอเธอแต่งงานด้วยระยะเวลาอันรวดเร็วแบบนี้
แม้แต่ตัวเธอเอง ก็ยังเพิ่งรู้ได้ไม่กี่วันนี้เองว่าหลงรักเขา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับราเมศเกิดขึ้นเร็วมาก จนเผลอคิดไปว่ามันคือความสับสนด้วยซ้ำไป อีกทั้งบุคลิกนิสัยของราเมศที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นผู้ชายที่รักอิสสระและหวงชีวิตโสดมากที่สุดคนหนึ่ง แล้วจู่ ๆ ทำไมถึง...
“คุณโอเคหรือเปล่า คุณปิ่น” ราเมศกระซิบถามเบา ๆ หลังจากที่เห็นอีกฝ่ายนิ่งอึ้งไปนาน
“ฉัน...เอ่อ คือมันกะทันหันไปหน่อย” ปิ่นแก้วอึกอัก หน้าแดงจนไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี “ทำไมจู่ ๆ นายถึงพูดเรื่องแบบนี้กับฉันล่ะ”
ราเมศเปิดรอยยิ้มทรงเสน่ห์ให้ปิ่นแก้ว จนหญิงสาวแทบใจละลาย
“คุณไม่ดีใจหรอกเหรอ”
“เปล่า เอ้ย...คือฉันแค่” ปิ่นแก้วอึกอัก หน้าร้อนวูบวาบยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ยิ่งอีกฝ่ายดึงมือบางขึ้นไปจรดริมฝีปากแผ่วเบา หัวใจเจ้ากรรมก็ทำท่าว่าจะหยุดเต้นเอาดื้อ ๆ
เส้นขนานระหว่างเธอและเขาควรจะบรรจบกันท่ามกลางความเข้าใจที่รอคอยมาเนิ่นนาน และคำตอบหนึ่งเดียวที่ราเมศคอยฟังก็คงจะบรรลุผล
หากไม่ใช่เพราะว่า
“ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากแต่งงานกับคุณโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” คำขอแต่งงานของราเมศ ทำให้ปิ่นแก้วกระพริบตาถี่
“ทำไมต้องเร็วขนาดนั้นด้วยล่ะ”
“นั่นเพราะ” เขาถอนหายใจยาว “ผมมีบางอย่างที่จะต้องเข้าพิธีแต่งงานภายในวันอาทิตย์หน้า”
“อะไรนะ” หญิงสาวทวนคำ ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่นิดเดียว “ฉันไม่เข้าใจ...”
ด้วยเจตนาที่ชายหนุ่มไม่ต้องการปิดบังเธอ บวกกับการใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ทำให้ราเมศเผลอทำผิดพลาดครั้งร้ายแรงที่สุดในชีวิต
“ญาติผู้ใหญ่ต้องการให้ผมแต่งงาน จึงพยายามหาทางจับคู่ดูตัวให้ผมแต่งงานโดยเร็วที่สุด แต่ผมไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น จึงได้มาหาคุณ”
ราวกับมีเข็มนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทงหัวใจที่เคยพองโตของปิ่นแก้ว ให้หดเหลือเพียงเศษซากของความเจ็บปวด ปิ่นแก้วจ้องหน้าคนพูดราวกับไม่อยากเชื่อหู ใบหน้าหวานซีดขาวราวกับกระดาษ ภาวนาร้องขอให้สิ่งที่เพิ่งได้ยินเป็นเพียงคำโกหกหรือมุขตลกเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
“...นายพูดเล่นใช่ไหม”
“ผมพูดความจริง”
วินาทีนั้นปิ่นแก้วรู้สึกคล้ายกับมีก้อนแข็ง ๆ วิ่งแล่นขึ้นมาจุกบริเวณลำคอ ทำให้พูดอะไรไม่ออก ขอบตาร้อนผ่าวด้วยหยาดน้ำใส ๆ ที่เอ่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...นี่น่ะเหรอเหตุผลที่ผู้ชายคนนี้เอ่ยปากขอแต่งงานกับเธอ เพียงเพราะยังรักอิสสระ และไม่ต้องการแต่งงานกับผู้หญิงที่ญาติผู้ใหญ่หาให้ ก็เลยบากหน้ามาขอร้องให้เธอช่วยสวมบทเจ้าสาวกำมะลอให้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่า ‘รัก’ เลยสักนิด
หากว่าราเมศพูดว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอสักนิด จะเพียงแค่ความรู้สึกชอบ...หรือมีความผูกพันอะไรก็แล้วแต่ ปิ่นแก้วก็คงจะยอมลดความปากแข็งใจอ่อนยอมรับคำขอแต่งงานจากปากเขาได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่สำหรับเหตุผลแย่ ๆ ที่ชายหนุ่มยกขึ้นมาอ้างนั้นมันเกินกว่าที่เธอจะรับได้จริง ๆ
“เพราะงั้น ก็เลยมาขอร้องให้ฉันช่วยสินะ” ปิ่นแก้วเค้นเสียงออกมาจากลำคอที่ตีบตัน จ้องหน้าราเมศด้วยแววตาผิดหวัง
“คุณปิ่น”
แต่ทุกอย่างมันสายเกินไปที่จะอธิบายอีกแล้ว
“ที่นายต้องการแต่งงานกับฉัน มันก็แค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการที่จะแต่งงานกับฉันจริง ๆ สักหน่อย นายทำแบบนี้ทำไมนายราเมศ” ปิ่นแก้วผลักอกหนาออกห่าง
ราเมศเบิกตากว้าง เมื่อแลเห็นหยาดน้ำใส ๆ ปริ่มดวงตาคู่งาม ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นสีหน้าแววตาในลักษณะแบบนี้ของปิ่นแก้วมาก่อน มันเต็มไปด้วยความโกรธ...ผิดหวัง และหลากหลายอารมณ์ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแยกแยะไม่ถูก ชายหนุ่มรีบเอื้อมมือไปจับไหล่มน หวังดึงเธอเข้ามากอดปลอบประโลม แต่ปิ่นแก้วยกมือขึ้นปัดออกโดยแรง
“อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ ไปให้พ้น” เธอตะโกนทั้งน้ำตา
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ ฟังผมอธิบายก่อน” ราเมศรีบแย้ง
“พอแล้ว ฉันไม่อยากฟัง ถ้านายต้องการแค่เจ้าสาวบังหน้าล่ะก็ เชิญไปขอร้องคนอื่นเถอะ คุณแววดาวนั่นก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
ขาดคำร่างบางก็ทำท่าจะเปิดประตูรถวิ่งออกไป แต่ราเมศไม่ยอมให้เธอไปง่าย ๆ โดยที่ยังไม่ทันแก้ไขความเข้าใจผิด ลำแขนแข็งแรงโอบกระหวัดรอบเอวบางพร้อมทั้งออกแรงดึงเธอเข้าไปหา หญิงสาวจึงทั้งหยิกทั้งข่วนจนเขารวบจับเอาไว้ไม่อยู่
“ปล่อยฉัน”
“ผมไม่ปล่อย จนกว่าเราสองคนจะคุยกันรู้เรื่อง”
“บอกให้ปล่อย”
วินาทีที่เธอเป็นอิสสระ คนตัวเล็กก็ฟาดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าหล่อเหลาเต็มแรงจนชายหนุ่มถึงกับหน้าหัน ก่อนที่ปิ่นแก้วจะฉวยโอกาสตอนที่เขากำลังชะงัก ควานหาที่ล็อกกลอนเปิดประตูวิ่งลงไปจากรถทันที ราเมศทำเสียงหงุดหงิดในลำคอ ก่อนเอี้ยวตัวหันไปเปิดประตูรถวิ่งตามเธอไปโดยไม่รอช้า
“หยุดก่อน คุณปิ่น” ราเมศร้องตะโกน
โชคไม่เข้าข้างชายหนุ่ม เพราะทันทีที่ปิ่นแก้ววิ่งห่างออกไป ก็มีรถแท็กซีวิ่งแล่นสวนทางผ่านมา หญิงสาวจึงยกมือโบกเรียกให้จอดและรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่ผู้โดยสารร้องสั่งให้คนขับพาเธอกลับไปส่งที่บ้านทันที
“ช่วยออกรถเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” เธอตะโกน
รถโดยสารเคลื่อนออกสู่ท้องถนนตามคำบัญชา ราเมศวิ่งไล่ตามมาติด ๆ เขาพยายามใช้ฝ่ามือเคาะกระจกพร้อมทั้งตะโกนเรียกให้จอดรถ
“คุณปิ่น ฟังผมอธิบายก่อน”
“เอายังไงดีครับคุณผู้หญิง” คนขับรถแท็กซีเหลียวกลับมาถาม แต่ปิ่นแก้วใจแข็งเกินกว่าจะสั่งให้หยุดรถ
“ไม่ต้องสนใจ ไปต่อได้เลยค่ะ”
วินาทีต่อมารถโดยสารก็พุ่งทะยานออกสู่เส้นทางเบื้องหน้า เหลือทิ้งไว้เพียงควันขาวกับเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มกลบเสียงร้องตะโกนของราเมศจนสิ้น ชายหนุ่มหอบหายใจหนักด้วยความเหนื่อย ยกมือขึ้นท้าวเอวมองตามท้ายรถยนต์ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ภายในใจนึกสบถด่าตัวเองหลายครั้งที่ไม่รู้จักเลือกคำพูดดี ๆ จนนำไปสู่ความเข้าใจผิดจนเลยเถิด
“ให้ตายสิราเมศ...นายมันโง่ชะมัด” ชายหนุ่มดันลิ้นในปากอย่างหงุดหงิด นึกสมน้ำหน้าตัวเองจนไม่รู้จะอธิบายยังไง
หลังจากทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต...ราเมศก็พยายามหาทางปรับความเข้าใจกับปิ่นแก้วทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์หาวันละหลายสิบครั้ง การส่งข้อความ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ หนักเข้าชายหนุ่มจึงขับรถไปหาเธอที่บ้าน แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นประตูรั้วก็เข้าไป ก็ถูกคนรับใช้ไล่ตะเพิดออกมาชนิดไม่เหลือเยื่อใยให้อาลัยอาวรณ์
ชายหนุ่มจึงได้แต่นั่งซังกะตายอยู่บนเก้าอี้โซฟาภายในบ้าน ยกมือขึ้นกุมขมับเนื่องจากไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหายังไงดี สำหรับเขาในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานวิวาห์หรือฤกษ์มงคลใด ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสสำหรับหนุ่มโสดรักอิสระอย่างเขาอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรื่องของความผิดพลาดที่เขาทำให้ปิ่นแก้วเสียใจและเจ็บปวดมากกว่า
ใบหน้าคมคายแฝงแววเคร่งเครียด ไม่หัวเราะหรือมีรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย ร่างสูงสมส่วนสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มพับแขนจรดข้อศอกไม่ติดกระดุมแถวบน เผยให้เห็นช่วงอกกว้างและสร้อยเลสสีเงิน ผสมกลิ่นแอลกอฮอล์ที่เจ้าตัวยกแก้วสีอำพันขึ้นจรดริมฝีปากเป็นระยะ
…ไม่กี่นาทีต่อมา ชายหนุ่มสวมสูทหน้าดีอีกคน ก็ก้าวเดินเข้าภายในห้องโถงคฤหาสน์สิริโสภาวัฒนะ ใบหน้าคมคายโดดเด่นด้วยชุดสูทสีเข้มรองเท้าหนัง ตัดกับเน็คไทสีขาวแลดูเป็นสุภาพบุรุษทุกระเบียดนิ้ว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนชำเลืองมองไปยังขวดบรั่นดีสีเข้มและแก้วหลายใบบนโต๊ะ ด้วยสีหน้าแววตากึ่งยิ้มกึ่งระอาใจ
“จวนจะเข้าพิธีแต่งงานอยู่แล้ว ยังไม่เลิกทำตัวขี้เมาอีกหรือราเมศ”
ชายหนุ่มยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นดื่มแทนคำตอบ
“ขอบใจที่เตือน”
“ดื่มหนักแบบนี้ แปลว่ายังปลงเรื่องที่ถูกคุณปิ่นแก้วทิ้งไม่ได้ล่ะสิ” เตชิตแสร้งถาม
ราเมศกระแทกแก้วน้ำลงบนโต๊ะพร้อมกับตวัดสายตาคม ๆ ขึ้นมอง นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังเมาอยู่คงได้ลุกขึ้นเตะก้านคอเพื่อนรักปากเจ็บเข้าให้สักที
“เลิกซ้ำเติมฉันได้แล้วไอ้เพื่อนทรยศ...ให้ตายสิ นายโผล่หน้ามาทำอะไรที่นี่ มาหัวเราะเยาะฉันหรือยังไง” เขาตวัดเสียงห้วน
เตชิตยักไหล่ยิ้มรับบาง ๆ ก้มลงมองดูชุดสูทราคาแพงที่อุตส่าห์ลงทุนตัดมาเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ ใบหน้าคมคายเจือริ้วรอยเห็นใจ หากแต่ในขณะเดียวกันก็อดสมน้ำหน้าตามที่อีกฝ่ายพูดมาไม่ได้
“ฉันมาที่นี่ก็เพราะมีข่าวร้ายบางอย่าง อยากให้นายรู้ไว้ต่างหาก”
“ข่าวร้าย” อีกฝ่ายทวนเสียงสูง “เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“นาย...ยังจำคุณทรงศักดิ์ ทายาทเจ้าสัวใหญ่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่เคยไปร่วมงานเลี้ยงคราวที่แล้วได้หรือเปล่า”
ราเมศหวนนึกไปถึงหน้าชายศีรษะเกือบล้านและชอบคุยอวดเบ่งขึ้นมาทันที
“จำได้สิ จู่ ๆ พูดถึงหมอนั่นขึ้นมาทำไม”
เตชิตทำหน้าตาหนักใจ ยกปลายนิ้วขึ้นลูบคางอย่างใช้ความคิด
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านี่เรียกว่าความบังเอิญหรือเปล่า แต่หลังจากที่วันนี้ฉันเข้าไปพบลูกค้าที่โรงแรมแห่งหนึ่งมา จนได้ทราบข่าวมาว่าคุณทรงศักดิ์กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานคืนนี้ แถมยังเป็นฤกษ์เดียวกับของนายซะด้วย ช่างเหมาะเจาะอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้สิ”
“แล้วยังไง” ราเมศตวัดเสียงขุ่น
“นายไม่อยากรู้หรอกหรือ ว่าเขากำลังจะแต่งงานกับใคร”
“ทำไมฉันต้องอยากรู้ด้วยล่ะ หมอนั่นจะแต่งงานกับใครที่ไหนก็ช่างสิ เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องเอามาโฆษณาด้วยหรือไง ถ้าเป็นเรื่องของคุณปิ่นล่ะก็ว่าไปอย่าง”
“เก่งนี่ เดาถูกซะอีกแน่ะ” เตชิตยักไหล่ หันไปสบตาเพื่อนรักเป็นประกาย
ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดลงถนัดตา เมื่อได้ยินประโยคนั้น
“ว่ายังไงนะ”
“เจ้าสาวของคุณทรงศักดิ์ก็คือคุณปิ่นแก้ว หวานใจของนายยังไงล่ะ”
“!!?”
คำว่าฟ้าถล่มดินทลายยังนับว่าน้อยเกินไป สำหรับสิ่งที่ราเมศกำลังเผชิญอยู่ ร่างสูงรู้สึกคล้ายกับมีสายฟ้าฟาดกระหน่ำลงมากลางใจจนแทบตั้งตัวไม่ทัน ทันทีที่ตั้งสติได้ชายหนุ่มก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้โซฟา มือแทบปัดไปโดนขวดบรั่นดีราคาแพงลิ่วร่วงหล่นลงจากโต๊ะ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อคนพูด พร้อมกับตะโกนถามเสียงดังลั่น
“นายว่ายังไงนะเตชิต คุณปิ่นเนี่ยนะกำลังจะแต่งงาน”
“ใช่”
“บ้าเอ้ย แล้วทำไมเพิ่งจะมาบอก” ราเมศร่ำ ๆ จะบีบคอเพื่อนรักให้ได้ แต่เตชิตเพียงแต่เหยียดยิ้มมุมปากพลางยักไหล่
“บอกนายไปก็ใช่ว่ากำหนดการมันจะเปลี่ยนแปลงได้นี่นา นายเองก็รู้นี่ว่าโอกาสที่นายจะขอเธอแต่งงานครั้งก่อนมันหมดลงไปแล้ว แล้วจะมาโวยวายให้มันได้อะไรขึ้นมา”
“พูดบ้า ๆ ฉันไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรอก บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้เพื่อนตัวดี ว่าโรงแรมที่คุณปิ่นกับไอ้หมอนั่นกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ชื่ออะไรอยู่แถวไหน”
สีหน้าแววตาของราเมศจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าช่วงระยะเวลาที่เขาเอาแต่นั่งหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เจ้าผู้ชายเฮงซวยคนนั้นก็กำลังจะแย่งเธอไปจากเขาเช่นกัน
“รู้แล้วนายจะทำอะไรได้” เตชิตเลิกคิ้วสูง ท่าทางใจเย็นผิดกับเขา “ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาที่คุณหญิงวิมลชื่อจะส่งคนมารับนายแล้วนะ คิดจะบุกเข้าชิงตัวเจ้าสาวตอนนี้มันไม่สายเกินไปหน่อยรึ”
“เรื่องนั้นฉันคิดหาทางเองได้ นายไม่ต้องมายุ่ง”
“โอเค...ถ้านายอยากรู้นักจะบอกให้ก็ได้” เตชิตระบายลมหายใจออกมาช้า ๆ อย่างหนักอกหนักใจ
ไม่กี่วินาทีต่อมาราเมศก็คว้ากุญแจรถ วิ่งตรงดิ่งออกไปยังประตูหน้าคฤหาสน์ศิริโสภาวัฒนะท่ามกลางหัวใจอันร้อนรุ่ม และไม่สนใจกับเสียงร้องตะโกนของคนรับใช้ ที่พากันวิ่งกรูออกมาห้ามด้วยความตกอกตกใจ บรรยากาศภายนอกเกือบจะมืดสนิท เหลือเวลาอีกเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น ก็จะได้เวลามงคลฤกษ์ที่คุณหญิงวิมลศิริจัดเตรียมเอาไว้สำหรับงานวิวาห์ หากแต่ราเมศไม่คิดที่จะสนใจอีกแล้ว
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณราเมศ คุณจะไปไหนคะ”
“หลีกไป ฉันมีธุระต้องรีบออกไปทำ”
“ไม่ได้นะคะ อีกเดี๋ยวคุณหญิงวิมลชื่นก็จะส่งรถมารับแล้ว” หญิงรับใช้ร่างเล็กพยายามยกเหตุผลขึ้นมาอ้าง
“ช่างสิ ฉันไม่เห็นจะสนใจเลย” ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง ดวงตาสีดำเป็นประกายกรุ่นโกรธ
เวลานี้ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ไม่มีทางห้ามเขาได้อีกแล้ว ราเมศใช้มือผลักคนอื่นให้พ้นทาง ก่อนเดินตรงดิ่งลงบันไดไปยังรถยนต์สีดำยี่ห้อหรูที่จอดรออยู่บริเวณทางเข้าอย่างรวดเร็ว ทว่ายังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเปิดประตูก้าวเข้าไปในรถ รถยนต์อีกคันก็แล่นเข้ามาจอดเทียบก่อนที่สาวสวยกระโปรงรัดรูปสีแดง จะเปิดประตูเดินตรงรี่เข้ามาหาทันที
“คุณราเมศ เดี๋ยวสิคะ หยุดคุยกับแววดาวก่อน”
“ขอโทษทีคุณแววดาว แต่ผมไม่มีเวลาอธิบาย” ชายหนุ่มยกมือขึ้นแกะปลายนิ้วเรียวออก โดยไม่ยอมมองหน้าเธอ
“คุณจะรีบไปไหนคะ ที่แววดาวมาวันนี้ก็เพราะได้ยินข่าวมาว่าคุณกำลังแต่งงาน บอกดาวมาสิคะว่ามันเป็นเรื่องโกหก จริง ๆ แล้วคุณไม่ได้คิดจะแต่งงานกับใครนอกจากดาวใช่ไหม” นางแบบสาวร้องถามเสียงสั่น ครั้งแรกที่เธอได้ยินข่าวว่าเขากำลังจะแต่งงาน หัวใจของเธอแทบแตกสลาย พร้อมทั้งรีบบึ่งรถมาหาเขาเพื่อเค้นถามให้รู้เรื่อง
“คุณแววดาว”
“บอกดาวมาสิคะราเมศ”
“ใช่แล้วครับคุณดาว ราเมศกำลังจะแต่งงานในคืนนี้แล้วจริง ๆ”
เตชิตเดินล้วงกระเป๋าเสื้อสูทเข้ามาใกล้ และเป็นฝ่ายชิงตอบคำถามเสียเอง ชายหนุ่มเปิดรอยยิ้มชวนมองให้แก่เธอ ทว่าดวงตาสีน้ำตาลไม่ได้บ่งบอกสักนิดว่ายินดีต้อนรับแขกผู้มาใหม่ ใบหน้าคมคายตวัดสายตามองไปยังเพื่อนรักอย่างไม่วายนึกสงสาร
นี่แหละนะ ที่เขาเรียกว่ามีกรรมเพราะผู้หญิง
“คุณเป็นใครไม่ทราบ เกี่ยวกับอะไรกับเรื่องนี้ด้วย” แววดาวแหวเข้าใส่
“ผมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวของเตชิตครับ แถมยังเป็นคนที่รู้จักนิสัยหมอนี่ดีที่สุด้วย” เตชิตยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก “อย่าให้ต้องพูดซ้ำสองเลยนะครับคุณแววดาว แต่ราเมศไม่ใช่ผู้ชายที่ผู้หญิงแบบคุณจะจ้องจับเอาได้ง่าย ๆ ถ้าขืนคุณยังดันทุรังไม่เลิกตอแยเขาอีกล่ะก็ ระวังจะเสียใจไม่รู้ตัว”
“ไอ้บ้า กล้าดียังไงถึงพูดกับฉันแบบนี้” หญิงสาวเต้นเร่า ๆ “ราเมศ ดูเพื่อนคุณทำกับดาวสิคะ”
ราเมศได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับทำอะไรไม่ถูก เนื่องจากตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำอะไรก่อน ระหว่างการออกปากไล่นางแบบสาวกับการไล่เตะเพื่อนรักผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้าย
“ขอร้องล่ะคุณแววดาว ช่วยกลับไปก่อนจะได้ไหม” ราเมศออกปากกึ่งขอร้อง
“ไม่ค่ะ ดาวจะอยู่กับคุณ” แววดาวทำท่าจะปรี่เข้ามาเกาะแขนและใช้มารยาหญิงเข้าออดอ้อน แต่เตชิตไม่เพียงแต่เข้ามาขวางไว้แต่ยังออกแรงยึดตัวเธอเอาไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้เพื่อนรักหลีกหนีจากสถานการณ์ชวนปวดหัวทั้งหลายแหล่
“เอาเป็นว่า แม่คนนี้ฉันจะรับฝากแทนนายให้ก็แล้วกัน”
“ขอบใจมากเพื่อน” ราเมศหันไปยิ้มขอบคุณ ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งประจำที่ฝั่งคนขับ รู้ดีว่าต่อให้แววดาวฤทธิ์มากขนาดไหน แต่ถ้าลองถึงมือเตชิตแล้วล่ะก็ไม่มีอะไรต้องห่วง ชายหนุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์เสียงดังพุ่งทะยานออกสู่ท้องถนนโดยไม่รอช้า ทิ้งปัญหาภาระหนักอึ้งไว้ให้เตชิตจัดการเก็บกวาดภายหลัง
“ปล่อยนะ ไอ้บ้า ปล่อยฉัน” แววดาวทั้งดิ้นทั้งร้องตะโกนด้วยความโกรธ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมทำตาม จนกระทั่งท้ายรถแล่นไปไกลลับตา ร่างสูงจึงแกล้งปล่อยมือดื้อ ๆ จนนางแบบสาวเกือบล้มก้นกระแทกกับพื้น “โอ้ย ทำบ้าอะไรของแก”
“คุณบอกให้ปล่อยเองนะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง
“ไอ้คนหยาบคาย ต่ำช้าที่สุด บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าคุณราเมศกำลังจะไปไหน”
“ขออภัยด้วย แต่ผมคงให้คำตอบคุณไม่ได้หรอก” เตชิตยกมือขึ้นล้วงกระเป๋าอย่างใจเย็น “เอาล่ะ ฟังนะคุณแววดาว ดูท่าว่าคุณคงไม่ชอบพูดคุยกับผมนาน ๆ สักเท่าไหร่ส่วนผมเองก็ต้องรีบไปธุระเหมือนกัน เอาเป็นว่า...เราสองคนมาทำข้อตกลงกันดีกว่า”
“ข้อตกลงอะไรของแก” แววดาวตวาดแหว แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรูปถ่ายสองสามใบที่เตชิตล้วงหยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ดวงหน้างามต้องหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ “บ้าน่า รูปพวกนั้นมัน...”
“จำได้แล้วสินะ แน่ล่ะ...ในเมื่อรูปพวกนี้พรรคพวกของคุณเป็นคนถ่ายเอาไว้เองนี่นา” เตชิตกล่าวยิ้ม ตรงกันข้ามกับแววตา
แววดาวรีบฉวยรูปถ่ายสองสามใบที่เตชิตยื่นส่งมาให้ เบิกตากว้างมองดูมันด้วยสีหน้าท่าทางคล้ายกับคนจะเป็นลม เรียวปากเม้มเข้าหากันเพื่อไม่ให้มันสั่นระริก บ้าที่สุด ทำไมรูปพวกนี้ถึงมาอยู่ในมือของเขาได้ ทั้งที่งานปาร์ตี้ครั้งนั้นมันน่าจะมีแต่เฉพาะกลุ่มเพื่อนที่เธอไว้ใจที่สุดเลยนี่นา นางแบบสาวใจหายวาบเมื่อหนึ่งในสองรูปนั้นปรากฏภาพของเธอกำลังนัวเนียจูบปากอยู่กับอเล็กนายแบบสัญชาติอเมริกัน สีหน้าเมามายไม่ได้สติด้วยฤทธิ์ยา
“ไม่จริง นี่มันเรื่องบ้าชัด ๆ” แววดาวเงยหน้าขึ้นถลึงตามอง “แกไปเอารูปพวกนี้มาจากไหน”
“ไม่เห็นแปลก ในเมื่อวงการเซเล็บมีคนต้องการขายรูปพวกนี้เยอะแยะไป” เตชิตตอบ“ยังดีนะที่ผมไปเจอเข้าเสียก่อน ไม่อย่างนั้นป่านนี้รูปพวกนี้คงได้ลงข่าวหน้าหนังสือพิมพ์เป็นข่าวดังไปแล้ว”
คำตอบของชายหนุ่ม ทำให้คนฟังหน้าซีดเผือดลงกว่าเดิม
“เท่าไหร่” แววดาวกลั้นใจถามออกไป ภาวนาขออย่าให้อีกฝ่ายคิดราคาแพงนัก “ฉันถามว่าแกคิดค่ารูปถ่ายพวกนี้เท่าไหร่”
เตชิตกระตุกยิ้มนิดหนึ่ง
“ผมไม่ต้องการเงิน”
“ว่ายังไงนะ”
“อย่าเพิ่งร้อนใจไป รูปถ่ายพวกนี้เป็นแค่หลักฐานเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าคุณคิดว่ามันน้อยไปละก็วันหลังผมจะรูปถ่ายใบอื่น ๆ พร้อมกับเศษยาที่พวกคุณเคยใช้มันเล่นสนุกกันก็ยังได้”
แววดาวหน้าซีดเผือด มือไม้สั่นระริก “นี่แก..กล้าขู่ฉันเหรอ”
“ผมไม่ได้ขู่ แต่จะทำจริง ๆ”
“คุณต้องการอะไรกันแน่” เมื่อถูกต้อนหนัก ๆ เข้าคำสรรพนามที่หญิงสาวใช้เรียก ก็พลอยสุภาพขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ใบหน้าคมคายยิ้มรับ
“ถ้าคุณยอมปล่อยมือจากราเมศ รูปพวกนี้ผมก็จะถือซะว่าไม่เคยเห็นก็แล้วกัน”
หญิงสาวทำท่าคิดหนัก ทีแรกตั้งใจไว้ว่าจะไม่ยอมถอย แต่เมื่อเห็นรูปภาพพวกนี้บวกกับคำขู่ของเขา บางทีเธออาจคิดผิดก็ได้
“ฉันจะเชื่อไว้ใจได้ยังไง ว่าจะไม่โดนคุณหักหลังเอาทีหลัง” เธอถามไม่เต็มเสียงนัก
“นั่นแล้วแต่คุณว่าจะเชื่อหรือไม่...แต่ที่แน่ ๆ ผมเองก็ไม่ชอบถูกเอาเปรียบเหมือนกัน”
นางแบบสาวจ้องหน้าคนพูดไม่วางตา บอกตามตรงถ้าเพียงแต่ต้องรับมือกับราเมศ เธอไม่ค่อยหวั่นใจเท่าไหร่หรอก แต่กับผู้ชายท่าทางนิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูดจาแต่กัดเจ็บคนนี้ ถ้าขืนยังดันทุรังมาก ๆ เข้า เห็นทีคงไม่มีทางเอาชนะได้แน่
...งานนี้ไม่คุ้มเสี่ยงเลยจริง ๆ
“ตกลง...งานนี้นอกจากรูปถ่ายแล้ว ช่วยเจียดค่าเสียเวลาให้ฉันด้วยล่ะ”
******************
ร้ายกาจจริง ๆ ค่ะ คุณเตชิต...
หุหุหุ
เบลินญา
เดิมพันหัวใจ
หากมีใครบอกกับปิ่นแก้วว่านี่คือความฝัน เธอก็ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้ตื่นขึ้นมาอีกเลย
“ราเมศ” ปิ่นแก้วใจเต้นตึกตัก คิดไม่ถึงว่าเขาจะรวบรัดขอเธอแต่งงานด้วยระยะเวลาอันรวดเร็วแบบนี้
แม้แต่ตัวเธอเอง ก็ยังเพิ่งรู้ได้ไม่กี่วันนี้เองว่าหลงรักเขา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับราเมศเกิดขึ้นเร็วมาก จนเผลอคิดไปว่ามันคือความสับสนด้วยซ้ำไป อีกทั้งบุคลิกนิสัยของราเมศที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นผู้ชายที่รักอิสสระและหวงชีวิตโสดมากที่สุดคนหนึ่ง แล้วจู่ ๆ ทำไมถึง...
“คุณโอเคหรือเปล่า คุณปิ่น” ราเมศกระซิบถามเบา ๆ หลังจากที่เห็นอีกฝ่ายนิ่งอึ้งไปนาน
“ฉัน...เอ่อ คือมันกะทันหันไปหน่อย” ปิ่นแก้วอึกอัก หน้าแดงจนไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี “ทำไมจู่ ๆ นายถึงพูดเรื่องแบบนี้กับฉันล่ะ”
ราเมศเปิดรอยยิ้มทรงเสน่ห์ให้ปิ่นแก้ว จนหญิงสาวแทบใจละลาย
“คุณไม่ดีใจหรอกเหรอ”
“เปล่า เอ้ย...คือฉันแค่” ปิ่นแก้วอึกอัก หน้าร้อนวูบวาบยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ยิ่งอีกฝ่ายดึงมือบางขึ้นไปจรดริมฝีปากแผ่วเบา หัวใจเจ้ากรรมก็ทำท่าว่าจะหยุดเต้นเอาดื้อ ๆ
เส้นขนานระหว่างเธอและเขาควรจะบรรจบกันท่ามกลางความเข้าใจที่รอคอยมาเนิ่นนาน และคำตอบหนึ่งเดียวที่ราเมศคอยฟังก็คงจะบรรลุผล
หากไม่ใช่เพราะว่า
“ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากแต่งงานกับคุณโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” คำขอแต่งงานของราเมศ ทำให้ปิ่นแก้วกระพริบตาถี่
“ทำไมต้องเร็วขนาดนั้นด้วยล่ะ”
“นั่นเพราะ” เขาถอนหายใจยาว “ผมมีบางอย่างที่จะต้องเข้าพิธีแต่งงานภายในวันอาทิตย์หน้า”
“อะไรนะ” หญิงสาวทวนคำ ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่นิดเดียว “ฉันไม่เข้าใจ...”
ด้วยเจตนาที่ชายหนุ่มไม่ต้องการปิดบังเธอ บวกกับการใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ทำให้ราเมศเผลอทำผิดพลาดครั้งร้ายแรงที่สุดในชีวิต
“ญาติผู้ใหญ่ต้องการให้ผมแต่งงาน จึงพยายามหาทางจับคู่ดูตัวให้ผมแต่งงานโดยเร็วที่สุด แต่ผมไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น จึงได้มาหาคุณ”
ราวกับมีเข็มนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทงหัวใจที่เคยพองโตของปิ่นแก้ว ให้หดเหลือเพียงเศษซากของความเจ็บปวด ปิ่นแก้วจ้องหน้าคนพูดราวกับไม่อยากเชื่อหู ใบหน้าหวานซีดขาวราวกับกระดาษ ภาวนาร้องขอให้สิ่งที่เพิ่งได้ยินเป็นเพียงคำโกหกหรือมุขตลกเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
“...นายพูดเล่นใช่ไหม”
“ผมพูดความจริง”
วินาทีนั้นปิ่นแก้วรู้สึกคล้ายกับมีก้อนแข็ง ๆ วิ่งแล่นขึ้นมาจุกบริเวณลำคอ ทำให้พูดอะไรไม่ออก ขอบตาร้อนผ่าวด้วยหยาดน้ำใส ๆ ที่เอ่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...นี่น่ะเหรอเหตุผลที่ผู้ชายคนนี้เอ่ยปากขอแต่งงานกับเธอ เพียงเพราะยังรักอิสสระ และไม่ต้องการแต่งงานกับผู้หญิงที่ญาติผู้ใหญ่หาให้ ก็เลยบากหน้ามาขอร้องให้เธอช่วยสวมบทเจ้าสาวกำมะลอให้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่า ‘รัก’ เลยสักนิด
หากว่าราเมศพูดว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอสักนิด จะเพียงแค่ความรู้สึกชอบ...หรือมีความผูกพันอะไรก็แล้วแต่ ปิ่นแก้วก็คงจะยอมลดความปากแข็งใจอ่อนยอมรับคำขอแต่งงานจากปากเขาได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่สำหรับเหตุผลแย่ ๆ ที่ชายหนุ่มยกขึ้นมาอ้างนั้นมันเกินกว่าที่เธอจะรับได้จริง ๆ
“เพราะงั้น ก็เลยมาขอร้องให้ฉันช่วยสินะ” ปิ่นแก้วเค้นเสียงออกมาจากลำคอที่ตีบตัน จ้องหน้าราเมศด้วยแววตาผิดหวัง
“คุณปิ่น”
แต่ทุกอย่างมันสายเกินไปที่จะอธิบายอีกแล้ว
“ที่นายต้องการแต่งงานกับฉัน มันก็แค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการที่จะแต่งงานกับฉันจริง ๆ สักหน่อย นายทำแบบนี้ทำไมนายราเมศ” ปิ่นแก้วผลักอกหนาออกห่าง
ราเมศเบิกตากว้าง เมื่อแลเห็นหยาดน้ำใส ๆ ปริ่มดวงตาคู่งาม ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นสีหน้าแววตาในลักษณะแบบนี้ของปิ่นแก้วมาก่อน มันเต็มไปด้วยความโกรธ...ผิดหวัง และหลากหลายอารมณ์ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแยกแยะไม่ถูก ชายหนุ่มรีบเอื้อมมือไปจับไหล่มน หวังดึงเธอเข้ามากอดปลอบประโลม แต่ปิ่นแก้วยกมือขึ้นปัดออกโดยแรง
“อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ ไปให้พ้น” เธอตะโกนทั้งน้ำตา
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ ฟังผมอธิบายก่อน” ราเมศรีบแย้ง
“พอแล้ว ฉันไม่อยากฟัง ถ้านายต้องการแค่เจ้าสาวบังหน้าล่ะก็ เชิญไปขอร้องคนอื่นเถอะ คุณแววดาวนั่นก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
ขาดคำร่างบางก็ทำท่าจะเปิดประตูรถวิ่งออกไป แต่ราเมศไม่ยอมให้เธอไปง่าย ๆ โดยที่ยังไม่ทันแก้ไขความเข้าใจผิด ลำแขนแข็งแรงโอบกระหวัดรอบเอวบางพร้อมทั้งออกแรงดึงเธอเข้าไปหา หญิงสาวจึงทั้งหยิกทั้งข่วนจนเขารวบจับเอาไว้ไม่อยู่
“ปล่อยฉัน”
“ผมไม่ปล่อย จนกว่าเราสองคนจะคุยกันรู้เรื่อง”
“บอกให้ปล่อย”
วินาทีที่เธอเป็นอิสสระ คนตัวเล็กก็ฟาดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าหล่อเหลาเต็มแรงจนชายหนุ่มถึงกับหน้าหัน ก่อนที่ปิ่นแก้วจะฉวยโอกาสตอนที่เขากำลังชะงัก ควานหาที่ล็อกกลอนเปิดประตูวิ่งลงไปจากรถทันที ราเมศทำเสียงหงุดหงิดในลำคอ ก่อนเอี้ยวตัวหันไปเปิดประตูรถวิ่งตามเธอไปโดยไม่รอช้า
“หยุดก่อน คุณปิ่น” ราเมศร้องตะโกน
โชคไม่เข้าข้างชายหนุ่ม เพราะทันทีที่ปิ่นแก้ววิ่งห่างออกไป ก็มีรถแท็กซีวิ่งแล่นสวนทางผ่านมา หญิงสาวจึงยกมือโบกเรียกให้จอดและรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่ผู้โดยสารร้องสั่งให้คนขับพาเธอกลับไปส่งที่บ้านทันที
“ช่วยออกรถเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” เธอตะโกน
รถโดยสารเคลื่อนออกสู่ท้องถนนตามคำบัญชา ราเมศวิ่งไล่ตามมาติด ๆ เขาพยายามใช้ฝ่ามือเคาะกระจกพร้อมทั้งตะโกนเรียกให้จอดรถ
“คุณปิ่น ฟังผมอธิบายก่อน”
“เอายังไงดีครับคุณผู้หญิง” คนขับรถแท็กซีเหลียวกลับมาถาม แต่ปิ่นแก้วใจแข็งเกินกว่าจะสั่งให้หยุดรถ
“ไม่ต้องสนใจ ไปต่อได้เลยค่ะ”
วินาทีต่อมารถโดยสารก็พุ่งทะยานออกสู่เส้นทางเบื้องหน้า เหลือทิ้งไว้เพียงควันขาวกับเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มกลบเสียงร้องตะโกนของราเมศจนสิ้น ชายหนุ่มหอบหายใจหนักด้วยความเหนื่อย ยกมือขึ้นท้าวเอวมองตามท้ายรถยนต์ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ภายในใจนึกสบถด่าตัวเองหลายครั้งที่ไม่รู้จักเลือกคำพูดดี ๆ จนนำไปสู่ความเข้าใจผิดจนเลยเถิด
“ให้ตายสิราเมศ...นายมันโง่ชะมัด” ชายหนุ่มดันลิ้นในปากอย่างหงุดหงิด นึกสมน้ำหน้าตัวเองจนไม่รู้จะอธิบายยังไง
หลังจากทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต...ราเมศก็พยายามหาทางปรับความเข้าใจกับปิ่นแก้วทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์หาวันละหลายสิบครั้ง การส่งข้อความ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ หนักเข้าชายหนุ่มจึงขับรถไปหาเธอที่บ้าน แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นประตูรั้วก็เข้าไป ก็ถูกคนรับใช้ไล่ตะเพิดออกมาชนิดไม่เหลือเยื่อใยให้อาลัยอาวรณ์
ชายหนุ่มจึงได้แต่นั่งซังกะตายอยู่บนเก้าอี้โซฟาภายในบ้าน ยกมือขึ้นกุมขมับเนื่องจากไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหายังไงดี สำหรับเขาในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานวิวาห์หรือฤกษ์มงคลใด ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสสำหรับหนุ่มโสดรักอิสระอย่างเขาอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรื่องของความผิดพลาดที่เขาทำให้ปิ่นแก้วเสียใจและเจ็บปวดมากกว่า
ใบหน้าคมคายแฝงแววเคร่งเครียด ไม่หัวเราะหรือมีรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย ร่างสูงสมส่วนสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มพับแขนจรดข้อศอกไม่ติดกระดุมแถวบน เผยให้เห็นช่วงอกกว้างและสร้อยเลสสีเงิน ผสมกลิ่นแอลกอฮอล์ที่เจ้าตัวยกแก้วสีอำพันขึ้นจรดริมฝีปากเป็นระยะ
…ไม่กี่นาทีต่อมา ชายหนุ่มสวมสูทหน้าดีอีกคน ก็ก้าวเดินเข้าภายในห้องโถงคฤหาสน์สิริโสภาวัฒนะ ใบหน้าคมคายโดดเด่นด้วยชุดสูทสีเข้มรองเท้าหนัง ตัดกับเน็คไทสีขาวแลดูเป็นสุภาพบุรุษทุกระเบียดนิ้ว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนชำเลืองมองไปยังขวดบรั่นดีสีเข้มและแก้วหลายใบบนโต๊ะ ด้วยสีหน้าแววตากึ่งยิ้มกึ่งระอาใจ
“จวนจะเข้าพิธีแต่งงานอยู่แล้ว ยังไม่เลิกทำตัวขี้เมาอีกหรือราเมศ”
ชายหนุ่มยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นดื่มแทนคำตอบ
“ขอบใจที่เตือน”
“ดื่มหนักแบบนี้ แปลว่ายังปลงเรื่องที่ถูกคุณปิ่นแก้วทิ้งไม่ได้ล่ะสิ” เตชิตแสร้งถาม
ราเมศกระแทกแก้วน้ำลงบนโต๊ะพร้อมกับตวัดสายตาคม ๆ ขึ้นมอง นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังเมาอยู่คงได้ลุกขึ้นเตะก้านคอเพื่อนรักปากเจ็บเข้าให้สักที
“เลิกซ้ำเติมฉันได้แล้วไอ้เพื่อนทรยศ...ให้ตายสิ นายโผล่หน้ามาทำอะไรที่นี่ มาหัวเราะเยาะฉันหรือยังไง” เขาตวัดเสียงห้วน
เตชิตยักไหล่ยิ้มรับบาง ๆ ก้มลงมองดูชุดสูทราคาแพงที่อุตส่าห์ลงทุนตัดมาเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ ใบหน้าคมคายเจือริ้วรอยเห็นใจ หากแต่ในขณะเดียวกันก็อดสมน้ำหน้าตามที่อีกฝ่ายพูดมาไม่ได้
“ฉันมาที่นี่ก็เพราะมีข่าวร้ายบางอย่าง อยากให้นายรู้ไว้ต่างหาก”
“ข่าวร้าย” อีกฝ่ายทวนเสียงสูง “เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“นาย...ยังจำคุณทรงศักดิ์ ทายาทเจ้าสัวใหญ่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่เคยไปร่วมงานเลี้ยงคราวที่แล้วได้หรือเปล่า”
ราเมศหวนนึกไปถึงหน้าชายศีรษะเกือบล้านและชอบคุยอวดเบ่งขึ้นมาทันที
“จำได้สิ จู่ ๆ พูดถึงหมอนั่นขึ้นมาทำไม”
เตชิตทำหน้าตาหนักใจ ยกปลายนิ้วขึ้นลูบคางอย่างใช้ความคิด
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านี่เรียกว่าความบังเอิญหรือเปล่า แต่หลังจากที่วันนี้ฉันเข้าไปพบลูกค้าที่โรงแรมแห่งหนึ่งมา จนได้ทราบข่าวมาว่าคุณทรงศักดิ์กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานคืนนี้ แถมยังเป็นฤกษ์เดียวกับของนายซะด้วย ช่างเหมาะเจาะอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้สิ”
“แล้วยังไง” ราเมศตวัดเสียงขุ่น
“นายไม่อยากรู้หรอกหรือ ว่าเขากำลังจะแต่งงานกับใคร”
“ทำไมฉันต้องอยากรู้ด้วยล่ะ หมอนั่นจะแต่งงานกับใครที่ไหนก็ช่างสิ เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องเอามาโฆษณาด้วยหรือไง ถ้าเป็นเรื่องของคุณปิ่นล่ะก็ว่าไปอย่าง”
“เก่งนี่ เดาถูกซะอีกแน่ะ” เตชิตยักไหล่ หันไปสบตาเพื่อนรักเป็นประกาย
ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดลงถนัดตา เมื่อได้ยินประโยคนั้น
“ว่ายังไงนะ”
“เจ้าสาวของคุณทรงศักดิ์ก็คือคุณปิ่นแก้ว หวานใจของนายยังไงล่ะ”
“!!?”
คำว่าฟ้าถล่มดินทลายยังนับว่าน้อยเกินไป สำหรับสิ่งที่ราเมศกำลังเผชิญอยู่ ร่างสูงรู้สึกคล้ายกับมีสายฟ้าฟาดกระหน่ำลงมากลางใจจนแทบตั้งตัวไม่ทัน ทันทีที่ตั้งสติได้ชายหนุ่มก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้โซฟา มือแทบปัดไปโดนขวดบรั่นดีราคาแพงลิ่วร่วงหล่นลงจากโต๊ะ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อคนพูด พร้อมกับตะโกนถามเสียงดังลั่น
“นายว่ายังไงนะเตชิต คุณปิ่นเนี่ยนะกำลังจะแต่งงาน”
“ใช่”
“บ้าเอ้ย แล้วทำไมเพิ่งจะมาบอก” ราเมศร่ำ ๆ จะบีบคอเพื่อนรักให้ได้ แต่เตชิตเพียงแต่เหยียดยิ้มมุมปากพลางยักไหล่
“บอกนายไปก็ใช่ว่ากำหนดการมันจะเปลี่ยนแปลงได้นี่นา นายเองก็รู้นี่ว่าโอกาสที่นายจะขอเธอแต่งงานครั้งก่อนมันหมดลงไปแล้ว แล้วจะมาโวยวายให้มันได้อะไรขึ้นมา”
“พูดบ้า ๆ ฉันไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรอก บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้เพื่อนตัวดี ว่าโรงแรมที่คุณปิ่นกับไอ้หมอนั่นกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ชื่ออะไรอยู่แถวไหน”
สีหน้าแววตาของราเมศจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าช่วงระยะเวลาที่เขาเอาแต่นั่งหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เจ้าผู้ชายเฮงซวยคนนั้นก็กำลังจะแย่งเธอไปจากเขาเช่นกัน
“รู้แล้วนายจะทำอะไรได้” เตชิตเลิกคิ้วสูง ท่าทางใจเย็นผิดกับเขา “ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาที่คุณหญิงวิมลชื่อจะส่งคนมารับนายแล้วนะ คิดจะบุกเข้าชิงตัวเจ้าสาวตอนนี้มันไม่สายเกินไปหน่อยรึ”
“เรื่องนั้นฉันคิดหาทางเองได้ นายไม่ต้องมายุ่ง”
“โอเค...ถ้านายอยากรู้นักจะบอกให้ก็ได้” เตชิตระบายลมหายใจออกมาช้า ๆ อย่างหนักอกหนักใจ
ไม่กี่วินาทีต่อมาราเมศก็คว้ากุญแจรถ วิ่งตรงดิ่งออกไปยังประตูหน้าคฤหาสน์ศิริโสภาวัฒนะท่ามกลางหัวใจอันร้อนรุ่ม และไม่สนใจกับเสียงร้องตะโกนของคนรับใช้ ที่พากันวิ่งกรูออกมาห้ามด้วยความตกอกตกใจ บรรยากาศภายนอกเกือบจะมืดสนิท เหลือเวลาอีกเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น ก็จะได้เวลามงคลฤกษ์ที่คุณหญิงวิมลศิริจัดเตรียมเอาไว้สำหรับงานวิวาห์ หากแต่ราเมศไม่คิดที่จะสนใจอีกแล้ว
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณราเมศ คุณจะไปไหนคะ”
“หลีกไป ฉันมีธุระต้องรีบออกไปทำ”
“ไม่ได้นะคะ อีกเดี๋ยวคุณหญิงวิมลชื่นก็จะส่งรถมารับแล้ว” หญิงรับใช้ร่างเล็กพยายามยกเหตุผลขึ้นมาอ้าง
“ช่างสิ ฉันไม่เห็นจะสนใจเลย” ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง ดวงตาสีดำเป็นประกายกรุ่นโกรธ
เวลานี้ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ไม่มีทางห้ามเขาได้อีกแล้ว ราเมศใช้มือผลักคนอื่นให้พ้นทาง ก่อนเดินตรงดิ่งลงบันไดไปยังรถยนต์สีดำยี่ห้อหรูที่จอดรออยู่บริเวณทางเข้าอย่างรวดเร็ว ทว่ายังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเปิดประตูก้าวเข้าไปในรถ รถยนต์อีกคันก็แล่นเข้ามาจอดเทียบก่อนที่สาวสวยกระโปรงรัดรูปสีแดง จะเปิดประตูเดินตรงรี่เข้ามาหาทันที
“คุณราเมศ เดี๋ยวสิคะ หยุดคุยกับแววดาวก่อน”
“ขอโทษทีคุณแววดาว แต่ผมไม่มีเวลาอธิบาย” ชายหนุ่มยกมือขึ้นแกะปลายนิ้วเรียวออก โดยไม่ยอมมองหน้าเธอ
“คุณจะรีบไปไหนคะ ที่แววดาวมาวันนี้ก็เพราะได้ยินข่าวมาว่าคุณกำลังแต่งงาน บอกดาวมาสิคะว่ามันเป็นเรื่องโกหก จริง ๆ แล้วคุณไม่ได้คิดจะแต่งงานกับใครนอกจากดาวใช่ไหม” นางแบบสาวร้องถามเสียงสั่น ครั้งแรกที่เธอได้ยินข่าวว่าเขากำลังจะแต่งงาน หัวใจของเธอแทบแตกสลาย พร้อมทั้งรีบบึ่งรถมาหาเขาเพื่อเค้นถามให้รู้เรื่อง
“คุณแววดาว”
“บอกดาวมาสิคะราเมศ”
“ใช่แล้วครับคุณดาว ราเมศกำลังจะแต่งงานในคืนนี้แล้วจริง ๆ”
เตชิตเดินล้วงกระเป๋าเสื้อสูทเข้ามาใกล้ และเป็นฝ่ายชิงตอบคำถามเสียเอง ชายหนุ่มเปิดรอยยิ้มชวนมองให้แก่เธอ ทว่าดวงตาสีน้ำตาลไม่ได้บ่งบอกสักนิดว่ายินดีต้อนรับแขกผู้มาใหม่ ใบหน้าคมคายตวัดสายตามองไปยังเพื่อนรักอย่างไม่วายนึกสงสาร
นี่แหละนะ ที่เขาเรียกว่ามีกรรมเพราะผู้หญิง
“คุณเป็นใครไม่ทราบ เกี่ยวกับอะไรกับเรื่องนี้ด้วย” แววดาวแหวเข้าใส่
“ผมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวของเตชิตครับ แถมยังเป็นคนที่รู้จักนิสัยหมอนี่ดีที่สุด้วย” เตชิตยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก “อย่าให้ต้องพูดซ้ำสองเลยนะครับคุณแววดาว แต่ราเมศไม่ใช่ผู้ชายที่ผู้หญิงแบบคุณจะจ้องจับเอาได้ง่าย ๆ ถ้าขืนคุณยังดันทุรังไม่เลิกตอแยเขาอีกล่ะก็ ระวังจะเสียใจไม่รู้ตัว”
“ไอ้บ้า กล้าดียังไงถึงพูดกับฉันแบบนี้” หญิงสาวเต้นเร่า ๆ “ราเมศ ดูเพื่อนคุณทำกับดาวสิคะ”
ราเมศได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับทำอะไรไม่ถูก เนื่องจากตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำอะไรก่อน ระหว่างการออกปากไล่นางแบบสาวกับการไล่เตะเพื่อนรักผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้าย
“ขอร้องล่ะคุณแววดาว ช่วยกลับไปก่อนจะได้ไหม” ราเมศออกปากกึ่งขอร้อง
“ไม่ค่ะ ดาวจะอยู่กับคุณ” แววดาวทำท่าจะปรี่เข้ามาเกาะแขนและใช้มารยาหญิงเข้าออดอ้อน แต่เตชิตไม่เพียงแต่เข้ามาขวางไว้แต่ยังออกแรงยึดตัวเธอเอาไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้เพื่อนรักหลีกหนีจากสถานการณ์ชวนปวดหัวทั้งหลายแหล่
“เอาเป็นว่า แม่คนนี้ฉันจะรับฝากแทนนายให้ก็แล้วกัน”
“ขอบใจมากเพื่อน” ราเมศหันไปยิ้มขอบคุณ ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งประจำที่ฝั่งคนขับ รู้ดีว่าต่อให้แววดาวฤทธิ์มากขนาดไหน แต่ถ้าลองถึงมือเตชิตแล้วล่ะก็ไม่มีอะไรต้องห่วง ชายหนุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์เสียงดังพุ่งทะยานออกสู่ท้องถนนโดยไม่รอช้า ทิ้งปัญหาภาระหนักอึ้งไว้ให้เตชิตจัดการเก็บกวาดภายหลัง
“ปล่อยนะ ไอ้บ้า ปล่อยฉัน” แววดาวทั้งดิ้นทั้งร้องตะโกนด้วยความโกรธ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมทำตาม จนกระทั่งท้ายรถแล่นไปไกลลับตา ร่างสูงจึงแกล้งปล่อยมือดื้อ ๆ จนนางแบบสาวเกือบล้มก้นกระแทกกับพื้น “โอ้ย ทำบ้าอะไรของแก”
“คุณบอกให้ปล่อยเองนะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง
“ไอ้คนหยาบคาย ต่ำช้าที่สุด บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าคุณราเมศกำลังจะไปไหน”
“ขออภัยด้วย แต่ผมคงให้คำตอบคุณไม่ได้หรอก” เตชิตยกมือขึ้นล้วงกระเป๋าอย่างใจเย็น “เอาล่ะ ฟังนะคุณแววดาว ดูท่าว่าคุณคงไม่ชอบพูดคุยกับผมนาน ๆ สักเท่าไหร่ส่วนผมเองก็ต้องรีบไปธุระเหมือนกัน เอาเป็นว่า...เราสองคนมาทำข้อตกลงกันดีกว่า”
“ข้อตกลงอะไรของแก” แววดาวตวาดแหว แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรูปถ่ายสองสามใบที่เตชิตล้วงหยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ดวงหน้างามต้องหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ “บ้าน่า รูปพวกนั้นมัน...”
“จำได้แล้วสินะ แน่ล่ะ...ในเมื่อรูปพวกนี้พรรคพวกของคุณเป็นคนถ่ายเอาไว้เองนี่นา” เตชิตกล่าวยิ้ม ตรงกันข้ามกับแววตา
แววดาวรีบฉวยรูปถ่ายสองสามใบที่เตชิตยื่นส่งมาให้ เบิกตากว้างมองดูมันด้วยสีหน้าท่าทางคล้ายกับคนจะเป็นลม เรียวปากเม้มเข้าหากันเพื่อไม่ให้มันสั่นระริก บ้าที่สุด ทำไมรูปพวกนี้ถึงมาอยู่ในมือของเขาได้ ทั้งที่งานปาร์ตี้ครั้งนั้นมันน่าจะมีแต่เฉพาะกลุ่มเพื่อนที่เธอไว้ใจที่สุดเลยนี่นา นางแบบสาวใจหายวาบเมื่อหนึ่งในสองรูปนั้นปรากฏภาพของเธอกำลังนัวเนียจูบปากอยู่กับอเล็กนายแบบสัญชาติอเมริกัน สีหน้าเมามายไม่ได้สติด้วยฤทธิ์ยา
“ไม่จริง นี่มันเรื่องบ้าชัด ๆ” แววดาวเงยหน้าขึ้นถลึงตามอง “แกไปเอารูปพวกนี้มาจากไหน”
“ไม่เห็นแปลก ในเมื่อวงการเซเล็บมีคนต้องการขายรูปพวกนี้เยอะแยะไป” เตชิตตอบ“ยังดีนะที่ผมไปเจอเข้าเสียก่อน ไม่อย่างนั้นป่านนี้รูปพวกนี้คงได้ลงข่าวหน้าหนังสือพิมพ์เป็นข่าวดังไปแล้ว”
คำตอบของชายหนุ่ม ทำให้คนฟังหน้าซีดเผือดลงกว่าเดิม
“เท่าไหร่” แววดาวกลั้นใจถามออกไป ภาวนาขออย่าให้อีกฝ่ายคิดราคาแพงนัก “ฉันถามว่าแกคิดค่ารูปถ่ายพวกนี้เท่าไหร่”
เตชิตกระตุกยิ้มนิดหนึ่ง
“ผมไม่ต้องการเงิน”
“ว่ายังไงนะ”
“อย่าเพิ่งร้อนใจไป รูปถ่ายพวกนี้เป็นแค่หลักฐานเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าคุณคิดว่ามันน้อยไปละก็วันหลังผมจะรูปถ่ายใบอื่น ๆ พร้อมกับเศษยาที่พวกคุณเคยใช้มันเล่นสนุกกันก็ยังได้”
แววดาวหน้าซีดเผือด มือไม้สั่นระริก “นี่แก..กล้าขู่ฉันเหรอ”
“ผมไม่ได้ขู่ แต่จะทำจริง ๆ”
“คุณต้องการอะไรกันแน่” เมื่อถูกต้อนหนัก ๆ เข้าคำสรรพนามที่หญิงสาวใช้เรียก ก็พลอยสุภาพขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ใบหน้าคมคายยิ้มรับ
“ถ้าคุณยอมปล่อยมือจากราเมศ รูปพวกนี้ผมก็จะถือซะว่าไม่เคยเห็นก็แล้วกัน”
หญิงสาวทำท่าคิดหนัก ทีแรกตั้งใจไว้ว่าจะไม่ยอมถอย แต่เมื่อเห็นรูปภาพพวกนี้บวกกับคำขู่ของเขา บางทีเธออาจคิดผิดก็ได้
“ฉันจะเชื่อไว้ใจได้ยังไง ว่าจะไม่โดนคุณหักหลังเอาทีหลัง” เธอถามไม่เต็มเสียงนัก
“นั่นแล้วแต่คุณว่าจะเชื่อหรือไม่...แต่ที่แน่ ๆ ผมเองก็ไม่ชอบถูกเอาเปรียบเหมือนกัน”
นางแบบสาวจ้องหน้าคนพูดไม่วางตา บอกตามตรงถ้าเพียงแต่ต้องรับมือกับราเมศ เธอไม่ค่อยหวั่นใจเท่าไหร่หรอก แต่กับผู้ชายท่าทางนิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูดจาแต่กัดเจ็บคนนี้ ถ้าขืนยังดันทุรังมาก ๆ เข้า เห็นทีคงไม่มีทางเอาชนะได้แน่
...งานนี้ไม่คุ้มเสี่ยงเลยจริง ๆ
“ตกลง...งานนี้นอกจากรูปถ่ายแล้ว ช่วยเจียดค่าเสียเวลาให้ฉันด้วยล่ะ”
******************
ร้ายกาจจริง ๆ ค่ะ คุณเตชิต...
หุหุหุ
เบลินญา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ธ.ค. 2554, 09:06:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ธ.ค. 2554, 09:06:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 2293
<< ตอนที่ 27 หัวใจซ่อนกล | ตอนที่ 29 วิวาห์อลเวง >> |

ameerahTaec 9 ธ.ค. 2554, 10:40:30 น.
ชอบคุณเตชิตเวอร์ชั่นร้ายมากๆๆเลยคะ อิอิ
ชอบคุณเตชิตเวอร์ชั่นร้ายมากๆๆเลยคะ อิอิ

Zephyr 9 ธ.ค. 2554, 13:23:47 น.
เดวิลเตชิต เอาคะแนนเต็มไปเลยค่าาา กดไลค์ให้เยอะๆๆๆเลย
เดวิลเตชิต เอาคะแนนเต็มไปเลยค่าาา กดไลค์ให้เยอะๆๆๆเลย

violette 11 ธ.ค. 2554, 01:14:28 น.
ชอบคุณเตชิตเวลาร้ายมากๆค่ะสุดยอดไปเล้ยย
ชอบคุณเตชิตเวลาร้ายมากๆค่ะสุดยอดไปเล้ยย