จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๓๔

--- แวะคุยกันก่อน ---
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ
พอดีมีภารกิจมากมายต้อง
จัดการเลยทำให้เขียนช้ามาก
แต่ก็เอามาลงแล้วนะ
จากที่บอกไปในบทก่อนว่า
จะมีอีกสองบท คงจะต้องเพิ่มเป็น
สามบทแทนเสียแล้วล่ะคะ
ยังไงก็จะเอาบท35 กับ 36
ลงให้ได้ภายในวันที่ 1 จะได้เริ่ม
เรื่องใหม่กับปีใหม่เสียที
ยังไงก็อย่าเพิ่งหายนะคะ
ติดตามกันไปให้จบนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
----------------

บทที่ 34

กอมะลิที่ปลูกรายตลอดแนวรั้วด้านนอกชูช่อออกดอกสีขาวสะพรั่งโรยกลิ่นหอมชวนให้คนที่กำลังขับจักรยานยนต์เลียบเข้ามาจอดใกล้เพราะถูกรถยนต์ยุโรปสีดำคันใหญ่สวนทางมาเต็มเลนรู้สึกสดชื่นจนต้องขยับเข้าไปสูดกลิ่นเสียเต็มปอดจึงค่อยขึ้นคร่อมขับรถต่อมายังหน้าประตูรั้วของบ้านบรมพิศาลกุล

นับจากวันที่ไปส่งเพื่อนยังกรมการกงสุลแล้วถูกบอกให้กลับแทนที่จะอยู่รอเหมือนทุกที รสาก็รู้สึกได้ถึงความแปลกในเรื่องนี้หากที่มิได้ติดตามความผิดปกตินี้ต่อเพราะยุ่งอยู่กับการดูแลร้านในช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ทำให้มีลูกค้ามาก พอมีเวลาเล็กน้อยหล่อนก็ต้องแวะไปโรงพยาบาลเพื่อดูแลบิดาจนปลีกตัวทำอะไรลำบาก แต่วันนี้มีเวลามากกว่าทุกวันจึงแวะมาหาเพื่อถามไถ่เพื่อนรักถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่

สาวถอดหมวกกันน็อกแขวนไว้กับแฮนด์รถแล้วมองผ่านรั้วเข้าไปก็เห็นเหล่าบรรดาคนใช้เก่าแก่กำลังรวมตัวสนทนากันอยู่หน้าคฤหาสน์บรมพิศาลกุลก็นึกแปลกใจก่อนจะกดนิ้วลงบนกริ่งเรียกให้ทุกคนที่ได้ยินเสียงหันกลับมามองทางหล่อนแทบจะเป็นตาเดียว

ยามวัยกลางคนที่ยืนอยู่รวมกับกลุ่มคนใช้รีบวิ่งกลับมากดปุ่มเปิดประตูรั้วพร้อมกับยายช้อยที่เพียงเห็นหน้าว่าใครมาก็เดินดุ่มมาหาแทบจะในทันที

“ สวัสดีค่ะยายช้อย ” หล่อนยกมือไหว้ทักทายตามประสาผู้อ่อนวัยกว่า แม่นมสูงวัยยกมือรับไหว้แล้วรีบเข้ามาจับไม้จับมืออีกฝ่ายด้วยสีหน้าประหลาดใจและเคร่งเครียดในเวลาเดียวกัน

“ คุณสามาทำอะไรที่นี่ค่ะ ”

“ ก็มาหาเล็กนะสิคะ ”

“ อ้าว คุณสาไม่รู้หรอกเหรอคะว่าวันนี้คุณเล็กเธอต้องขึ้นเครื่องบินไปสหรัฐวันนี้ ”

“ ว่าอะไรนะคะ เล็กบินไปเมืองนอก...อะไรกัน วันก่อนสาเพิ่งโทรมาหาเล็กเขา ก็ไม่เห็นได้ยินเขาบอกเลยว่าจะไปเมืองนอก แล้วนี่คุณภาคไปด้วยใช่ไหมคะ ”

“ เปล่าค่ะ คุณเล็กเธอไปคนเดียว ”

“ ไปคนเดียว...ไปคนเดียวได้ยังไงคะ แล้วคุณภาคล่ะไปไหนล่ะคะ ทำไมถึงยอมให้เล็กขึ้นเครื่องบินไปไหนมาไหนคนเดียว ” ผู้มาเยือนร้องเสียงหลงด้วยอารามตกใจแทบจะในทันทีที่รู้จากหญิงชราว่าเพื่อนออกเดินทางไกลไปเพียงลำพัง

“ คุณภาคนะไม่อยู่บ้านมาตั้งอาทิตย์กว่าแล้วล่ะคะ ออกไปตอนไหนยังไงก็ไม่มีใครรู้ พอถามคุณเล็กเธอก็บอกว่าคุณภาครีบไปทำธุระสำคัญก็เลยไม่ได้มาลานะคะ ”

“ แสดงว่าที่เล็กไปเมืองนอกคราวนี้คงไปหาคุณภาคใช่ไหมคะ ”

“ ใช่ค่ะ เห็นคุณเล็กบอกว่าจะไปพาคุณภาคกลับบ้านนะคะ คุณสาไม่ทราบเรื่องนี้เลยเหรอคะ ”

“ ไม่เลยคะ ปกติเล็กเขามีอะไรจะบอกสาทุกเรื่อง แต่ตอนที่สาโทรมาเมื่อสองสามวันก่อนก็ไม่เห็นเล็กจะบอกเลยว่าคุณภาคไม่อยู่บ้าน ถ้าวันนี้สาไม่มาสาก็คงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเล็กเขาจะบินไปเมืองนอก ”

“ ช่วงนี้คุณเล็กเธอแปลกไปตั้งแต่วันที่คุณภาคไม่อยู่นั้นแหละคะ ยายเห็นเธอออกไปข้างนอกบ่อยขึ้นแถมมีรถเก๋งคันใหญ่มาคอยรับคอยส่งด้วย นี่เมื่อเช้าพอมีพัสดุมาส่ง พอคุณเล็กเธอได้พัสดุปุ๊บเธอก็เก็บกระเป๋าแล้วลงมาบอกพวกยายว่าจะบินไปพาคุณภาคกลับบ้าน สักพักก็เห็นรถคันเดิมมาจอดรอรับ ตอนแรกพวกยายก็ไม่ยอมให้เธอไป แต่เธอเสียงแข็งยืนกรานจะไปให้ได้ คุณเล็กเธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ยายก็ไม่รู้จะรั้งเธอยังไงก็เลยต้องยอมให้ไป ”

รสารับฟังคำพูดของยายช้อย ดวงตาเบิกกว้างปากก็อ้าค้างกับเรื่องไม่ชอบมาพากลนี้ ก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์หยิบเอาโทรศัพท์มือถือมากดโทรหาเพื่อนอยู่หลายครั้ง แต่ปลายสายกลับปิดเครื่องจึงเปลี่ยนเป้าหมายโทรไปหาคนที่คาดว่าอาจจะรู้เรื่องก็ไม่ยอมรับสาย ก็เหมือนถูกใครเอาไฟมาลนจนทนอยู่เฉยไม่ได้ในที่สุดก็ตัดสินใจยกมือไหว้ลาหญิงชรา ตะโกนบอกยามให้เปิดประตูแล้วรีบกระโดดขึ้นรถขับทะยานออกไปยังท้องถนนอย่างรวดเร็วเป็นเวลาเดียวกันกับที่ผู้บริหารใหญ่ของอังคพิมานโฮเต็ลเพิ่งเสร็จสิ้นจากการเดินตรวจความเรียบร้อยของห้องแกรนด์บอลรูมที่ใช้จัดงานวิวาห์ระหว่างนักธุรกิจกับดาราสาวซึ่งต้องรองรับแขกเป็นจำนวนหลายพันคนเป็นรอบสุดท้ายพอดี

ศิระเปิดประตูเข้าไปในห้องที่ใช้ทั้งทำงานและพักอาศัย เดินโซซัดโซเซมาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หนังแท้ที่อยู่หลังโต๊ะทำงานอย่างอ่อนระโหยโรยแรงซึ่งมิได้เกิดจากการโหมทำงานหนัก แต่เป็นเพราะการติดต่อกับทางครอมเวลไม่ได้ต่างหากที่ทำให้เขามีสภาพเช่นนี้

ความเคร่งเครียดที่ตัดสินใจไม่ได้เสียทีว่าจะทำอย่างไรกับวิกฤตการณ์ครั้งนี้ของอังคพิมาน แต่เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะเดินหน้าทำตามความปรารถนาของมลธิกาจึงติดต่อกลับไปหา เขากลับไม่สามารถติดต่อกับนายใหญ่ของครอมเวลได้เลย แม้จะพยายามติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ของครอมเวลที่เคยรับเรื่องไว้ทางนั้นกลับทำเหมือนไม่เคยได้ยินชื่อของอังคพิมานโฮเต็ลมาก่อนเสียอย่างนั้น

ด้วยรู้ว่าครอมเวลมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวการจะทำอะไรสักอย่างย่อมมีผลประโยชน์แอบแฝง ดังนั้นเมื่อฝ่ายนั้นเลือกทำเช่นนี้ย่อมต้องคิดทำอะไรอยู่ที่เขาคาดไม่ถึงอยู่ เพราะเหตุนั้นเองทำให้ทุกวันนี้เขาตกอยู่ในสภาพของฝ่ายตั้งรับที่ทำอะไรไม่ได้มากกว่าไปรอดูว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นจนไม่อาจข่มตาหลับลงได้เต็มที่สักวัน

ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเอนหลังพิงกับเบาะก่อนจะเปิดเปลือกตาที่หลับลงอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อครู่ ไล้สายตาดูแฟ้มเอกสารที่วางกองอยู่บนโต๊ะระหว่างนั้นเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นซองเอกสารไร้จ่าหน้าถูกวางทับอยู่ด้านล่างสุดจึงนึกขึ้นได้ว่า มีคนฝากเอกสารชุดนี้มาตั้งอาทิตย์กว่าแล้วแต่เขายังไม่ได้เปิดดูเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น

มือเรียวยื่นออกไปดึงซองเอกสารออกมาจากกองแฟ้มก็มีจดหมายฉบับหนึ่งหลุดติดมาด้วย ผู้บริหารหนุ่มเลื่อนจดหมายออกไปด้านข้างแล้วหยิบเอาเอกสารที่สอดอยู่ภายในซองออกมาอ่าน เพียงได้เห็นเนื้อหาของเอกสารฉบับนี้ก็ถึงกับผงะกระเด้งหลังที่เอนพิงเบาะมาเหยียดตรงดึงเอกสารเข้ามาอ่านในระยะประชิดจนแน่ใจว่าดูไม่ผิดก็หลุดสบถออกมา

“ นี่อะไรวะเนี่ย ” เขาร้องพร้อมยกมือข้างหนึ่งลูบหน้ามาจับอยู่ตรงปาก คิ้วเรียวขมวดเข้าหาราวกับจะผูกกันเป็นปมเมื่อรู้ว่าทางครอมเวลส่งสัญญายกกรรมสิทธิ์หุ้นของอังคพิมานโฮเต็ลที่ถือครองไว้ถือให้แก่เขาทั้งหมด

...เกิดอะไรขึ้น...เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองก่อนที่ศิระจะพยายามคิดใคร่ครวญถึงสาเหตุของเรื่องนี้ เพราะรู้ดีว่าเมื่อมีการยกหุ้นคืนมาเช่นนี้ย่อมต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลัง ระหว่างที่ยังคิดไม่ตกตาก็เหลือบไปเห็นจดหมายที่ภาควัฒน์ฝากให้เขาซึ่งเป็นวันเดียวกับที่มีคนฝากเอกสารให้เขาที่ล็อบบี้

ชายหนุ่มหวนคิดถึงสีหน้าท่าทางของอดีตศัตรูที่นำจดหมายฉบับนี้มาให้นั้นคล้ายคนมีความทุกข์หนักเกาะกุมในใจก็เกิดสะกิดใจให้รีบฉีกซองอ่านข้อความในจดหมายที่บอกถึงการตัดสินใจของตนเองและฝากฝังผู้เป็นที่รักให้ช่วยดูแลและคอยสนับสนุนให้ทำหน้าที่ผู้บริหารแทน

ข้อความเรียบง่ายหากแฝงความรันทดทำให้ศิระเบิกตากว้าง หากไม่ทันจะได้ทำอันใดต่อเสียงอินเตอร์คอมที่อยู่ตรงหัวโต๊ะก็ดังขึ้นก่อนจะมีเสียงของเลขานุการสาวรายงานให้ทราบว่ามีผู้หญิงชื่อรสามาขอเข้าพบก็พอดีกับที่ประตูห้องของเขาถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงสาวมัดผมหางม้าสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงยีนส์ที่เขาคุ้นตา

“ คุณทำบ้าอะไรอยู่ ทำไมไม่รับโทรศัพท์ฉัน...คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้คุณภาคไม่อยู่บ้านเป็นอาทิตย์แล้ว แถมวันนี้เล็กเขาก็ขึ้นเครื่องบินไปหาคุณภาคที่เมืองนอกคนเดียวอีกต่างหาก ตอนไปเห็นยายช้อยบอกว่ามีคนมารับเล็กไปสนามบินด้วย นี่คุณฟังฉันอยู่หรือเปล่า ” หล่อนกระหนำถาม หากคนตัวใหญ่กว่าเพียงกระพริบตายื่นเอกสารและจดหมายที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆส่งให้ เพียงรับมาพิจารณาดูก็เข้าใจในทุกเรื่องราว

“ เฮ้ย นี่หมายความว่าคุณภาคเขาเอาตัวเองแลกเพื่อให้อังคพิมานโฮเต็ลปลอดภัยอย่างนั้นเหรอ...แล้วเล็กเขาไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน ถึงได้บอกยายช้อยว่าจะไปพาคุณภาคกลับบ้าน หรือว่าจะเป็นวันที่ฉันแวะไปโรงพยาบาล สงสัยเล็กอาจจะรู้มาจากแม่ใหญ่ของคุณ ก็เลยไปทำข้อตกลงกับทางนั้น แต่คนอย่างเล็กมีอะไรที่ฝ่ายนั้นต้องการถึงขนาดคอยจัดรถมารับมาส่ง โอ๊ยปวดกบาล ว่าแต่คุณรู้เรื่องนี้แล้วทำไมไม่บอกฉันบ้างล่ะ ” หญิงสาวว่าพลางเขย่าแขนเจ้าของห้องอย่างแรงด้วยความตกใจแต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบคล้ายกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดได้ไม่ถึงนาทีก็เขาก็ลุกพรวดจากเก้าอี้กำหมัดทุบบนโต๊ะอย่างแรงแล้วกวาดเอาทุกสิ่งที่อยู่บนโต๊ะร่วงลงพื้น

“ บ้าเอ๊ย ” เขาสบถกำหมัดแน่นชกลงบนไม้เนื้อแข็งบนโต๊ะซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนคนเสียสติ แล้วลุกจากเก้าอี้ตรงไปชกกำแพงทำเอาหญิงสาวต้องกระโจนไปคว้าแขนเพื่อให้เขาหยุดสิ่งที่กำลังทำ

“ คุณจะบ้าหรือไง ชกโต๊ะให้เจ็บตัวทำไมเนี่ย ”

“ ก็สมควรแล้ว แค่นี้มันยังไม่พอหรอก ผมควรจะทำให้ตัวเองเจ็บมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ” เขาเอ่ยนัยน์ตาคมสีน้ำตาลคู่สวยที่หันมามองกันนั้นสั่นระริก แม้นไม่มีน้ำตาหากคนฟังกลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่

“ มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องเจ็บตัวด้วย ”

“ เพราะผมมันโง่ไง โง่ที่จัดการปัญหาครอบครัวตัวเองไม่ได้ ทำให้คนอื่นต้องมารับผิดชอบปัญหานี้แทนผม ผมทำให้คนที่น้องรักต้องเดือดร้อน ผมพรากเขาไปจากน้องผม ผมทำให้น้องผมเสียใจ มันก็สมควรใช่ไหมที่ผมจะเจ็บตัว ” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาทั้งที่ยังทุบกำแพงรุนแรงทำให้ภาพวาดสีน้ำมันที่ใส่ในกรอบหลุดจากตะขอแขวนหล่นกระแทกพื้นส่งผลให้แผ่นกระจกแตกเป็นเสี่ยง เฟรมผ้าใบหลุดกระเด็นกระดอน

“มันไม่เกี่ยวกับโง่ไม่โง่หรอก ตอนนี้แทนที่จะมานั่งโทษตัวเอง เราสองคนน่าจะไปหาแม่ใหญ่ของคุณมากกว่า ฉันคิดว่าเล็กอาจจะได้ยินเรื่องคุณภาคมาจากแม่ใหญ่ถึงได้ตัดสินใจทำอะไรแบบนั้น มันน่าจะเป็นประโยชน์... ” หญิงสาวหยุดพูดทั้งที่ยังไม่จบประโยคแล้วก้มลงไปหยิบภาพวาดดอกทิวลิปสีเหลืองที่นอนคว่ำหน้าอยู่ขึ้นมาดู

“ คุณใหญ่ ดูใต้ภาพวาดนี้สิ ” หล่อนร้องบอกแล้วยื่นส่งไปให้ คนที่ยังขุ่นหมองกับความไม่ได้เรื่องของตนเองเม้มริมฝีปากก้มลงมามองก็เห็นซองสีน้ำเงินขนาดเล็กกว่าภาพวาดเพียงเล็กน้อยติดแนบสนิทแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับผืนผ้าใบ

ผู้บริหารหนุ่มสงบสติอารมณ์ดึงภาพวาดนั้นมาถือไว้เอง พิงขอบด้านหนึ่งเข้ากับเอวใช้มือดึงของที่อยู่ข้างในซองสีน้ำเงินสวยนั้นออกมาปรากฏให้เห็นพินัยกรรมสองฉบับกับจดหมายในซองสีครีมที่เขียนจ่าหน้าถึงมลธิกาเป็นภาษาอังกฤษด้วยลายมือเป็นระเบียบแต่ลงน้ำหนักแน่นราวกับผู้เขียนประสงค์ให้ผู้รับทราบถึงความตั้งใจที่มี

ศิระกวาดสายตายังพินัยกรรมสองฉบับนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นจึงถือวิสาสะหยิบจดหมายของอดีตผู้บริหารฉีกแล้วเทของที่สอดอยู่ข้างใต้มาดูก็เห็นมีกระดาษจำนวนหลายหน้าพับซ้อนกันหลายทบจนเป็นปึกหนาก็รีบคลี่ออกมาอ่านโดยเร็ว

รสาเฝ้ามองคนที่ยืนอ่านจดหมายที่ติดมาหลังเฟรมผ้าใบด้วยความสงสัยก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอันอุ่นร้อนจากฝ่ามือของอีกฝ่ายที่คว้าเข้าตรงข้อมือ

“ เฮ้ย มาจับแขนฉันทำไม ” คนตัวเล็กกว่าอุทานถาม แปลกที่ฝ่ายถูกถามกลับไม่ตอบเพียงแต่ลากหล่อนพาออกจากห้องไปท่ามกลางสายตาของเลขานุการและคณะผู้บริหารหลายคนที่เตรียมตัวจะเข้าห้องประชุมตามที่ประธานกรรมการบริหารนัดหมายไว้

ชายหนุ่มดันหญิงสาวเข้าไปในรถตามด้วยการโยนข้าวของที่ได้มาจากหลังภาพวาดไว้ให้ จากนั้นจึงสตาร์ทเครื่องแล้วขับออกจากลานจอดรถออกไปสู่ถนนใหญ่โดยไม่ยอมพูดจาเลยแม้แต่คำเดียว ฝ่ายผู้โดยสารที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเกิดอะไรขึ้นเลยหยิบของบนตักมาอ่านดูก็ถึงกับยกมือปิดปากพูดไม่ออกตามไปด้วย

รถยนต์คันหรูแล่นเข้าไปจอดในอาคารจอดรถของโรงพยาบาล....คนตัวสูงลงจากรถได้ก็คว้าแขนคนที่มาด้วยกันเดินผ่านทางเชื่อมมุ่งหน้าไปยังห้องพักที่นายหญิงแห่งอังคพิมานพักรักษาตัวอยู่

ศิระผลักประตูเข้าไปในห้องโดยไม่แม้แต่จะหยุดเคาะเช่นทุกทีทำเอาสมพรที่กำลังเก็บของลงในกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงถึงกับสะดุ้งโหย่งหลุดอุทานเป็นประโยคยาว ชวนให้คนที่กำลังกลัดกระดุมเสื้อผ้าด้วยตัวเองต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“ ผมมีเรื่องต้องคุยกับแม่ใหญ่...พี่สมช่วยออกไปรอข้างนอกก่อนได้ไหมครับ ” เสียงเข้มจริงจังเอ่ยขึ้นแทนคำทักทาย ฝ่ายพี่เลี้ยงสาวทำหน้าเหลอหลาสักพักก็พยักหน้ารีบไปทิ้งให้นายผู้หญิงของตนเองเผชิญหน้ากับทายาทคนเดียวของอังคพิมานและหญิงสาวที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณหนูที่ตนดูแล

มลธิกาแลดวงหน้าของลูกชายที่คล้ายมีเรื่องสงสัยคั่งค้างในใจด้วยแววตานิ่งสงบ นิ้วเรียวยังคงกลัดกระดุมเสื้อที่วานให้คนใช้เตรียมมาเพื่อไว้ใส่ในวันที่ต้องออกจากโรงพยาบาล

“ มีอะไรก็ว่ามาเถอะ ” นางเอ่ยด้วยเสียงนุ่มเย็นไร้ความเจ็บปวดทรมานเหมือนทุกคราก่อนจะก้มลงมองกระดาษหลายฉบับที่ถูกมือใหญ่วางไว้ให้บนหน้าตัก กวาดสายตาพินิจสิ่งที่ได้รับมานางก็ถึงกับยกมือทาบอกด้วยความตกใจที่เห็นพินัยกรรมของผู้เป็นบิดาที่เฝ้าตามหามานานได้มาอยู่ตรงหน้า

มือของนางยื่นไปสัมผัสพินัยกรรมทั้งสองฉบับแผ่วเบาราวกับได้สัมผัสทรัพย์สินอันล้ำค่าที่ง่ายต่อการแตกสลาย จากนั้นนางถึงหยิบจดหมายภาษาอังกฤษที่เขียนด้วยลายมืออันคุ้นตาขึ้นอ่านอย่างตั้งใจทีละบรรทัด


...หากวันไหนที่คุณได้รับจดหมายฉบับนี้ นั้นหมายความว่าคุณได้อ่านข้อความในการ์ดวันเกิด
ที่ผมส่งมาให้คุณแล้ว คุณคงจะไม่พอใจที่เห็นผมยังไม่ยอมเลิกราจากคุณเสียที แต่ก่อนที่คุณจะฉีกหรือ
เผาจดหมายฉบับนี้ทิ้ง ได้โปรดอ่านสิ่งที่ผมต้องการพูดกับคุณให้จบสักครั้ง หลังจากนั้นคุณจะทำกับมัน
อย่างไรก็สุดแท้แต่คุณเถอะ

หลังจากวันนั้นที่ผมยืนกรานกับคุณว่าลูกในท้องคุณเป็นลูกของผม แต่คุณไม่เชื่อและหนีหายไป ตั้ง
แต่วันนั้นผมก็พยายามจะตามหาตัวคุณ ถึงได้รู้ว่าคุณยกลูกให้กับน้องสาวเป็นคนเลี้ยงดู ผมมีโอกาสได้นำเส้นผมของเขาไปตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ และผลของมันคงยืนยันได้แล้วว่าสิ่งที่ผมพูดกับคุณนั้นเป็นความจริง

เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งทราบเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างคุณกับน้องสาวของคุณ รวมทั้งข้อตกลงที่คุณทำไว้
กับน้องชายของผม เรื่องพินัยกรรมที่พ่อของคุณแก้ไขใหม่นั้นน้องชายของผมได้เป็นคนเก็บรักษาพินัยกรรมทั้งสองฉบับนั้นไว้เพื่อแก้แค้นคุณและครอบครัวอังคพิมาน

แต่ก็อย่างที่บอก ผมเคยสัญญากับคุณไว้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคุณและลูก ผมจึงขอส่งคืน
พินัยกรรมที่มีผลต่อชื่อเสียงของคุณและวงศ์ตระกูลคืนให้ และหวังว่าเมื่อคืนให้แล้วคุณจะยอมสารภาพความ
จริงเรื่องมินดาราให้คอยด์รู้ เพราะผมไม่อยากให้คุณถูกใครตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดี

ผมรู้ดีว่าคุณรักคอยด์มากขนาดไหนและรู้ด้วยว่าคุณไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใครเพียงแต่หัวใจของคุณยึด
มั่นอยู่กับความรักความอิจฉาจนมันมีอำนาจบังคับให้คุณทำในสิ่งที่ไม่สมควร สิ่งที่คุณทำลงไปคงสร้างรอยแผลในใจให้คุณเจ็บปวด แต่ผมเชื่อว่าหากคุณพูดความจริงออกไปทุกอย่างจะจบลงด้วยดี

ในท้ายที่สุดนี้ผมอยากบอกให้คุณรู้ว่า ผมรู้ดีมาตลอดว่าความรักของผมสร้างความอึดอัดกับคุณมาก
ขนาดไหน นับจากนี้ไปผมจะพยายามไม่ไล่ตามหรืออ้างสิทธิ์ความเป็นสามีและพ่อของลูกชายเราให้คุณรำคาญอีก ผมขอเพียงแค่มีโอกาสได้ดูแลคุณกับลูกบ้างไม่ว่าจะในฐานะอะไรหรือจะต้องคอยมองอยู่ห่างๆ ผมก็ถือว่ามันเป็นความกรุณาสูงสุดที่คุณมีให้ผมแล้ว

รักและห่วงใยเสมอ
จากผู้ชายคนหนึ่งที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป


ถ้อยความในจดหมายที่ผู้เขียนกลั่นกรองเรียงร้อยจากหัวใจเป็นตัวอักษรเล่าขานถึงความรู้สึกที่มีให้อย่างไม่เคยเสื่อมคลายพาลให้เข้าของจดหมายหวนรำลึกถึงคืนวันที่ผันผ่าน...ไม่ว่าจะถูกผลักไสเช่นไร โครว์ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป เขายังคงเป็นผู้ชายคนเดียวที่นางรู้ว่า ต่อให้คนทั้งโลกก่นประณามเขาก็พร้อมจะอยู่เคียงข้างนางอย่างไม่มีเงื่อนไข

“ ใหญ่ ใหญ่ได้ของพวกนี้มาจากไหน ” นางเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ หยาดน้ำตาจากความห่วงหาอาวรณ์ในความรักอันบริสุทธิ์ที่ไม่มีวันหวนกลับหลั่งรินท่วมใบหน้า

“ ผมเจอมันอยู่ใต้ภาพดอกทิวลิปสีเหลืองที่แขวนอยู่ในห้องทำงาน สรุปแล้วเรื่องนี้มันเป็นยังไงกันแน่ ผมกับเล็กไม่ได้มีพ่อคนเดียวกันใช่ไหม คุณบอกผมความจริงผมได้ไหมว่าผมเป็นใครกันแน่ คุณรู้ไหมว่าผลของการกระทำของคนรุ่นคุณมันส่งผลกับผม กับภาค กับน้องมากขนาดไหน ถ้าคุณรู้อะไรกรุณาบอกผมให้หมด บอกผมในเวลาที่มันยังแก้ไขได้ ” ความคับข้องใจทำให้ผู้เป็นลูกกระชากเสียงถามจนหญิงสาวที่มาด้วยกันต้องจับแขนรั้งให้เขาลดแรงอารมณ์ลงมาบ้าง

คนป่วยเม้มริมฝีปากปิดเปลือกตาทั้งสองข้างหลังดังกับคนที่ไม่อยากมองเห็นสิ่งใดพร้อมยกจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาวางไว้แทบอกหวังจะซับเอาไอละมุนจากผู้ที่ล่วงลับลาไกลเหลือทิ้งไว้ให้สลักลงตรงกลางดวงใจ แล้วจึงค่อยๆลืมตามองใบหน้าทายาททางสายเลือดเพียงคนเดียวของตนทั้งน้ำตา

“ นั่งลงสิ แล้วแม่จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ” น้ำเสียงอันอ่อนแรงหลุดจากริมฝีปากของหญิงวัยกลางที่เรียนรู้จะอยู่กับความผิดพลาดในอดีตของตนเองมากกว่าจะขออภัยจากใครอื่นทำให้คนที่ฉุนเฉียวเมื่อครู่คลายอารมณ์นั้นลงพลางลากเก้าอี้ที่วางอยู่ไม่ไกลมาทรุดลงนั่งเพื่อรับฟังความจริงทุกอย่างจากปากของผู้กระทำโดยไม่จำเป็นต้องอ่านผ่านบันทึกเล่มใดอีก

มลธิกาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกล้ำ ใช้ชายผ้าห่มสีขาวซับน้ำตาที่หยาดนองหน้าทิ้งก่อนจะเปิดปากเล่ายาวถึงเรื่องราวในความทรงจำที่ยังแจ่มชัดแม้จะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานด้วยสีหน้าสงบ อาจมีหลายคราวที่บางเรื่องทำให้คนเล่าต้องชะงักกลืนก้อนขื่นที่แล่นมาจุกลำคอหากก็ยังฝืนพูดทุกสิ่งในใจจนหมดสิ้น

ตลอดเวลาที่ศิระนั่งฟังความลับที่ผู้ให้กำเนิดซ่อนอยู่บางครั้งคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน หากบางครานัยน์ตาก็ปรากฏร่องรอยแห่งความหม่นหมองพาให้คนฟังที่ยืนอยู่ใกล้กันสะท้อนใจจนเผลอเอื้อมมือไปกุมมือไว้ก่อนที่สุดท้ายจะกลายเป็นจับมือประสานกันแน่นหนา

“ เมื่ออาทิตย์ก่อนผู้ชายคนนั้นเขามาหาแม่ เขามาบอกความจริงทุกอย่างให้แม่ฟัง แม่ถึงได้รู้ว่า ความจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าให้ภาคกลับไปเป็นทายาททางธุรกิจของเขา เขาทำกระทั่งบอกภาคว่าจะทำร้ายเล็ก ภาคเขากลัวเล็กจะเป็นอันตรายถึงยอมรับข้อเสนอที่ทางนั้นให้มา ”

“ แล้ววันที่ผู้ชายคนนั้นมาหาคุณป้า...เล็กเขาอยู่ในห้องกับคุณป้าด้วยหรือเปล่าคะ ” รสาถามขึ้นมาทำให้คนบนเตียงหันมาหาและเพิ่งรู้ว่านอกจากลูกชายแล้วยังมีเพื่อนของหลานตามมาด้วย

“ วันนั้นเล็กเขาออกไปรอข้างนอก แล้วก็หายไปไม่กลับเข้ามาอีกเลย วันรุ่งขึ้นเล็กเขาก็มาเฝ้าป้าปกติ ว่าแต่สาถามป้าแบบนี้มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ”

“ ป้ามลคงไม่รู้ใช่ไหมค่ะว่าวันนี้ที่เล็กหายไป เขาไปกับสา ท่าทางของเล็กเขาเหมือนช็อกกับอะไรบางอย่างแล้วก็บอกให้สาพาไปหาคุณภาคที่ทำงาน แล้วเล็กก็บอกให้สาไปส่งที่กรมการกงสุลพอถึงก็รีบไล่สากลับ วันนั้นสาไม่รู้ว่าเล็กไปทำอะไรที่นั่น เพิ่งมารู้วันนี้แหละคะว่าวันนั้นเล็กเขาไปทำพาสปอร์ต แล้วก็เพิ่งรู้ว่าเล็กเขาไปทำวีซ่าเพื่อไปหาคุณภาคที่ต่างประเทศด้วย สาคิดว่าป้าคงรู้นะคะว่าทำไมเล็กเขาถึงทำแบบนั้น ”

นายหญิงแห่งอังคพิมานสบสายตากับคนอ่อนวัยกว่าและในวินาทีนั้นเองทุกอย่างที่เคลือบในดวงตาก็กระจ่างแจ้ง

“ นี่คุณรู้เรื่องนี้แล้วทำไมไม่บอกผมตั้งแต่วันนั้น ” ชายหนุ่มหันไปถามบ้างอย่างร้อนใจ

“ ฉันก็อยากจะบอกคุณ แต่พอดีที่ร้านมีงานยุ่งมาก ฉันปลีกตัวไปทำอะไรไม่ได้เลย กว่าจะว่างก็เพิ่งวันนี้เอง ” หล่อนตอบกลับแล้วหันกลับมาหาคู่สนทนาเดิม “ สาคิดว่าเล็กเขาคงจะแอบได้ยินเรื่องที่ป้าพูดถึงได้แปลกไป อีกอย่างสาก็ได้ยินยายช้อยบอกว่าว่าพักหลังเล็กมีรถคอยรับคอยส่ง ปกติป้ามลกับสาก็รู้ว่าเล็กนะไม่เคยยอมไปไหนกับคนแปลกหน้า สาเลยสงสัยว่าบางทีเล็กเขาอาจไปทำข้อตกลงอะไรบางอย่างกับทางครอมเวลเพื่อช่วยพี่ภาค ”

“ เล็กเขาจะมีอะไรไปต่อรองกับทางนั้น ” นางว่าแล้วหยุดพูดไปกะทันหันราวกับเพิ่งคำนึงถึงบางสิ่งได้ก็หลุดรำพึงออกมา “ หรือว่าความจริงแล้วเขาวางแผนให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ”

“ มีอะไรหรือเปล่าคะ ” คนที่เฝ้าสังเกตอาการอีกฝ่ายถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

“ ถ้าดูจากตัวเล็กเอง เล็กเขาไม่มีอะไรไปต่อรองได้ ป้าเลยคิดว่าบางทีคอยด์อาจไม่ได้ต้องการตัวภาคกลับไปอย่างที่พูด แต่เขาอาจจงใจใช้ภาคเป็นตัวล่อให้เล็กไปหาเขา”

“ ล่อไปหา ” สองหนุ่มสาวประสานเสียงพร้อมกัน

“ ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกว่าจะเอาตัวเล็กกับใหญ่กลับไปอยู่กับเขา แต่พักหลังที่เขาคอยบีบอังคพิมานและใช้ความปลอดภัยของเล็กมาบังคับภาคให้ทำตามที่เขาต้องการ อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาไม่ได้ต้องการทำร้ายเล็กแต่แค่อยากให้เล็กกลับไปอยู่กับเขาเท่านั้นเอง ”

“ ถ้าเขาแค่อยากเล็กกลับไปอยู่กลับเขา เขาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีทำร้ายจิตใจเล็กขนาดนี้หรอกคะ ”

รสายังคงซักไซ้ด้วยไม่เข้าใจว่า การที่พ่อคนหนึ่งต้องการให้ลูกสาวไปอยู่ด้วยมีเหตุผลอะไรที่ต้องสรรหาวิธีทำร้ายคนรอบข้างได้ถึงเพียงนั้น ฝ่ายคนที่เพิ่งเปิดปากพูดหลังจากที่นิ่งเงียบมานานถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเครียดก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาต่อสายหาเลขานุการให้ช่วยจองเที่ยวบินไปสหรัฐท่ามกลางความไม่เข้าใจของคนที่นั่งอยู่รอบข้าง

“ นี่คุณจะจองตั๋วไปสหรัฐทำไม ”

“ ผมก็แค่ไปช่วยน้องสาวตัวเองและทวงคืนสิ่งที่ผมควรได้นะสิ ”

“ เรายังไม่รู้เลยว่าความจริงแล้วผู้ชายคนนั้นต้องการอะไร การที่คุณจะตามไปมันจะมีความหมายอะไร ”

“ เมื่อกี้คุณบอกผมว่า พ่อของผมยกตำแหน่งนายใหญ่ของครอมเวลให้ผู้ชายคนนั้นไปใช่ไหม ” เขาละสายตาจากหญิงสาวที่นั่งข้างกายหันมามองผู้ให้กำเนิดที่พยักหน้ารับคำจึงกล่าวต่อ “ เพราะฉะนั้นผมก็มีสิทธิ์กลับไปทวงสิ่งที่เคยเป็นของพ่อคืนไม่ใช่เหรอ ”

“ กลับไปทวงตำแหน่งนายใหญ่ที่คอยควบคุมธุรกิจทุกอย่างของครอมเวลเนี่ยนะ...คุณจะทำไปเพื่ออะไร ”

“ วิธีที่จะช่วยภาคกับเล็กให้เป็นอิสระได้มีแค่ผมต้องเป็นคนที่สามารถตัดสินใจทุกอย่างในครอมเวลได้ เพราะฉะนั้นถ้าใช้เรื่องนั้นไม่ได้ ผมก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้เป็นนายใหญ่ของครอมเวลให้ได้ ” เขาประกาศเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของตนเองออกมา

“ แล้วถ้าคุณเป็นคนของครอมเวล แล้วใครจะดูแลอังคพิมานโฮเต็ล ”

“ ผมจะยกให้เล็ก หรือไม่อย่างนั้นในเมื่อครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นของพวกเขา ผมก็จะร่วมกิจการเข้าไปพวกเขาไปเลย ”

“ แต่มันเป็นกิจการของตระกูลอังคพิมานนะ ไหนคุณบอกว่าคุณต้องการรักษาธุรกิจครอบครัวไว้แล้วอยู่ๆก็จะเอากิจการไปควบร่วมกับพวกเขาเฉยเลยเนี่ยนะ ” รสายังไม่ลดละความพยายามพูดเตือนสติ ทว่าเมื่อแลไปทางนายหญิงของอังคพิมานแทนที่จะได้เห็นสีหน้าวิตกกังวลกับการต้องสูญเสียธุรกิจที่นางเคยทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาและเป็นเจ้าของกลับพบเพียงรอยยิ้มบางระบายอยู่

“ ถ้าตัดสินใจแบบนั้นก็ทำเถอะ ” แทนที่จะทัดทานอดีตผู้บริหารกลับสนับสนุนผู้บริหารคนปัจจุบันอย่างไม่มีอิดออด

หลังจากนางได้ใช้เวลาทบทวนตัวเองอยู่นานก็ค้นพบว่า ความยึดมั่นถือมั่นในอำนาจ ทรัพย์สินรั้งแต่จะบั่นทอนความสุขสงบในชีวิต แม้นว่าอังคพิมานโฮเต็ลจะเป็นธุรกิจของครอบครัวมายาวนาน แต่ในวันนี้นางไม่ต้องการยึดติดกับลาภ ยศ สรรเสริญ แม้จะเจ็บปวดที่รู้ว่าสายเลือดของตนไม่มีวันอภัยให้ นางก็จะไม่ขอเรียกร้องอันใด ขอเพียงได้พักพิงอยู่ในโลกอันสุขสงบที่ปราศจากมลทินใดกล้ำกรายก็เพียงพอ

“ ถ้าคุณจะไปที่นั่นจริงๆ ฉันก็จะไปกับคุณด้วย มีอะไรจะได้ช่วยกันได้ ” พอเห็นว่าคงไม่มีใครทัดทานความตั้งใจของเขาแน่แล้วก็เสนอตัวจะไปเพื่อนคอยช่วยเหลือแทน

“ ไม่ต้องหรอก...เรื่องนี้เป็นปัญหาของผม ผมจะจัดการด้วยตัวเอง อีกอย่างคุณก็ไม่มีวีซ่าเข้าสหรัฐเหมือนผมด้วย เพราะฉะนั้นคุณอยู่ที่นี่ ทำหน้าที่ของคุณ ดูแลพ่อของคุณแล้วคอยฟังข่าวที่ผมส่งมาให้ก็พอ ”

หญิงสาวขยับริมฝีปากตั้งท่าจะค้านเพราะห่วงกังวลสวัสดิภาพของทั้งเขาและเพื่อนแต่เพียงเห็นรอยยิ้มกว้างที่คล้ายจะประกาศว่าไม่มีเรื่องใดให้เป็นห่วงหล่อนก็เม้มริมฝีปากยอมจำนนทำตามที่เขาบอกแต่โดยดี ก่อนที่เสียงโทรศัพท์มือถือของศิระจะดังขึ้นแล้วเลขานุการสาวก็รายงานให้ทราบถึงการจองเที่ยวบินที่เร็วทุกสุดที่พอหาได้มาให้

“ สรุปแล้วคุณจะได้บินไปตอนไหนเหรอ ” คนตัวเล็กกว่าหยั่งเชิงถามทันทีที่เขาวางสาย

“ สามทุ่มวันนี้...ยังไงผมคงต้องเคลียร์งานที่ค้างอยู่ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเก็บกระเป๋าเตรียมขึ้นเครื่อง ถ้าคุณไม่มีอะไรทำ คุณไปส่งผมที่สนามบินก็ได้นะ ”

“ ไหนๆฉันก็ไปช่วยเล็กกับคุณไม่ได้ ฉันจะไปคุณที่สนามบินแทนแล้วกันนะ ”

หล่อนยอมตกลงตามนั้นแล้วจึงหันมาไหว้ลาคนป่วยที่นั่งอยู่บนเตียงเพื่อจะขอตัวกลับ ฝ่ายผู้เป็นลูกได้แต่ยืนนิ่งอยู่สักพักหากก็ยอมยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพ เตรียมตัวจะกลับไปหน้าที่ของตัวเอง

“ โชคดีนะ ดูแลตัวเองด้วย ” ผู้เป็นมารดาอวยพรทั้งที่มองเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างของลูกชาย

“ คุณเองก็ต้องดูแลตัวเองด้วยเหมือนกันนะ ” เขาทิ้งท้าย แม้จะไม่มีการหันกลับมาล่ำลาโดยดีเช่นสมัยก่อน ทว่าด้วยสุ้มเสียงทุ้มนุ่มที่เขาเลือกใช้เหมือนในวันเก่าก่อนที่ยังไม่มีเรื่องบาดหมางใจก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ความเกลียดชังในใจของอีกฝ่ายน่าจะลดน้อยถอยลงบ้าง ถึงจะไม่อาจกลับคืนดังวันวานแต่ก็ทำให้คนฟังใจชื้น

รสาเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างอันเรียบเฉยของศิระสลับกับใบหน้าอิ่มเอิบของมลธิการู้สึกได้เช่นเดียวกันว่าในใจของชายหนุ่มที่เคยยึดมั่นรุนแรงคงอ่อนลงบ้างแล้วก็หลุดยิ้มกว้างออกมา ทั้งที่รู้ดีว่าวิกฤตการณ์ของอังคพิมานยังไม่คลี่คลายไปในทางที่ดี

...หล่อนเชื่อว่าวันหนึ่งเมื่อเหตุการณ์เลวร้ายที่เป็นดังพายุผ่านไป แม้ทุกอย่างจะประสานกลับคืนมาไม่ได้ดังเก่าแต่อย่างน้อยขอเพียงให้ยังมอบความปรารถนาดีให้กันได้บ้างก็ยังดีกว่าที่ต้องจมอยู่กับความเกลียดชังมิใช่หรือ
*************************************

เกล็ดหิมะบริสุทธิ์โปรยปรายจากฟากฟ้าลงสู่ทุกสิ่งในมหานครนิวยอร์กนานหลายวันส่งผลให้มองไปทางใดก็เห็นเพียงสีขาวโพลน ผู้คนเดินขวักไขว่เร่งรีบตามประสาเมืองใหญ่ที่มีการแข่งขันสูงแลไร้ชีวิตชีวา แตกต่างกับยามค่ำคืนที่ผู้คนมักออกมาชื่นชมความสวยงามของแสงไฟที่ประดับประดาตามอาคารคึกคักชวนให้บรรยากาศอลอวลไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะสดใส

เหนือขึ้นไปยังอาคารสูงในห้องพักอาศัยขนาดใหญ่ที่ตบแต่งอย่างมีสไตล์ครบครันด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกอันทันสมัยตรงหน้าต่างกลับมีชายหนุ่มชาวเอเชียร่างสูงใหญ่สวมเสื้อสเวตเตอร์สีดำทับด้วยแจ็กแก็ตหนังแขนยาวสีน้ำตาลกับกางเกงยีนส์สีเดียวกับเสื้อตัวในยืนกอดทอดสายตาออกไปยังสายไฟหลากสีที่พันรอบต้นคริสต์มาสจำลองที่ตั้งอยู่บนดาดฟ้าของตึกฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาเรียบเฉย

ชายหนุ่มชาวตะวันตกเรือนผมสีทองสวยถือวอดก้าสองแก้วออกจากห้องครัวอันคับแคบเดินมาหยุดยืนมองแผ่นหลังของคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าต่างโดยไม่ขยับไปไหนเป็นเวลานับชั่วโมง

นับตั้งแต่พอลกลับมาจากประเทศไทยถึงบุคลิกลักษณะอันเยือกเย็นจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่สำหรับคนที่ใกล้ชิดกันมาอย่างโคลินกลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ทำให้ญาติหนุ่มของเขาแปลกไปจากคนเดิม สังเกตได้จากการที่เห็นอีกฝ่ายยืนทอดอารมณ์อยู่ตรงหน้าต่างเป็นเวลานาน

ชายหนุ่มจำได้ว่า พอลชอบเตือนให้ไม่ให้เขายืนตรงหน้าต่าง หากจะยืนก็ควรจะอยู่หลังม่าน และไม่ควรหยุดยืนตรงจุดไหนเป็นเวลานานๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเป้านิ่งของพวกมือสังหารที่อาจถูกจ้างวานมาเก็บทายาทของครอมเวล แต่คนที่เคยเคร่งครัดปฏิบัติตามกฎของปู่ทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องกลับทำสิ่งที่เตือนคนอื่นประจำเสียเอง

“ จะไปสนามบินกี่โมง ” บทสนทนานั้นดังขึ้นทำลายความเงียบที่ครอบคลุมภายในห้อง

“ สี่ทุ่ม ” คนถูกถามตอบกลับอย่างเย็นชายังคงไม่ละสายตาจากภาพด้านนอกหน้าต่าง ปล่อยให้คนที่อยู่ร่วมห้องหันไปมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาแขวนผนังที่บอกให้รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะได้เวลาเดินทาง

“ นายรู้แล้วใช่ไหมว่าวันนี้ปู่บอกให้ฉันเป็นคนไปส่งนายที่สนามบินนะ ”

“ รู้แล้ว ” เขาหยุดพูดรับแก้ววอดก้าจากมือของอีกฝ่ายมากระดกลงคอหมดแก้วในคราวเดียวก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าเป้สัมภาระใบใหญ่สะพายหลัง คว้าเอกสารประวัติของตระกูลโคมานอฟมาม้วนเสียบไว้ตรงตาข่ายข้างกระเป๋าเตรียมตัวพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งใหม่ด้วยหัวใจที่แห้งแล้งเหลือกำลัง

ฝ่ายคนต้องไปส่งกระดกวอดก้าแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะที่อยู่ใกล้มือ จากนั้นก็หยิบกุญแจรถเปิดประตูออกไปรอให้เจ้าของห้องล็อกประตูให้เรียบร้อยก็พากันลงลิฟต์เดินไปยังลานจอดรถใต้ดินของอพาร์ทเม้นต์สุดหรูแห่งนี้

“ ไปทำงานครั้งนี้จะกลับมาตอนไหน ” คนขับเอ่ยถามกับผู้โดยสารที่มาด้วยกัน

“ ถ้าปู่พอใจในข้อมูลที่หามาให้เมื่อไหร่ ก็ได้กลับตอนนั้นแหละ ”

“ ไปรัสเซียคราวนี้ก็เพื่อล้วงข้อมูลอย่างนั้นสินะ...ได้ยินว่างานนี้อันตรายมาก นายมั่นใจหรือเปล่าว่าจะทำสำเร็จ ”

“ นายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า หน้าที่ของฉันคือทำงานให้บรรลุเป้าหมาย ”

“ รู้ ว่าแต่คราวนี้ฉันถามได้หรือเปล่าว่าคนที่นายต้องไปล้วงความลับเป็นใคร ”

พอลเหลือบมองชายหนุ่มผู้รับหน้าที่สารถีโดยไม่ปริปากอันใดปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวสื่อสารทำให้บรรยากาศภายในรถตลอดการเดินทางจากที่พักถึงสนามบินเป็นไปด้วยความอึดอัดแต่สำหรับคนที่คุ้นชินกับการถูกกดดันด้วยความเงียบกลับยิ้มกว้างได้เหมือนไม่รู้สึกอะไร

รถยนต์สปอร์ตคันงามฝ่าการจราจรอันติดขัดในยามค่ำคืนที่ใกล้เทศกาลเฉลิมฉลองจนมาถึงสนามบินเจเอฟเคก็จอดส่งให้คนที่มาด้วยกันลงจากรถ...พอลหิ้วกระเป๋าอันหนักอึ้งออกจากเบาะข้างคนขับด้วยมือข้างเดียวแล้วสะพายขึ้นบ่า เอื้อมมือไปหยิบเอกสารที่วางตรงเบาะแต่พอดีเหลือบเห็นเชือกรองเท้าของตนเองหลุดจึงก้มลงไปผูกมันเสียก่อน

เวลานั้นเองที่เอกสารประวัติของเป้าหมายถูกวางให้เจ้าของรถเห็นเต็มตา...ชื่อและนามสกุลที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้โคลินอดไม่ได้ที่จะย่นหน้าผาก

“ เป้าหมายครั้งนี้ของนายคือ โคมานอฟ เรเยสเหรอ ” เขาร้องถามในทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเงยหน้าจากการผูกเชือกรองเท้ามาหยิบเอกสารที่วางไว้

“ ฉันเคยบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่า อย่าถือวิสาสะอ่านหรือทำอะไรที่คนอื่นไม่อยากให้รู้หรือทำ แล้วทำไมทำอีก ” ทายาทอันดับหนึ่งของครอมเวลตำหนิการกระทำนั้น

“ โอเค ฉันขอโทษที่อ่านเอกสารขอองนาย แต่เรื่องนั้นนะช่างมันเถอะ ตกลงแล้วงานที่รัสเซียคราวนี้ของนายคือการไปล้วงความลับพวกโคมานอฟเนี่ยเหรอ...ปู่เขาคิดอะไรอยู่ถึงได้ส่งนายไปทำงานพวกนี้ คิดจะล้อเล่นรับปีใหม่หรือยังไง ”

“ นายพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง ปู่ส่งฉันไปหาข้อมูลจากพวกโคมานอฟแล้วมันแปลกอะไรหนักหนางั้นเหรอ ”

“ จะไม่แปลกได้ยังไง พวกโคมานอฟกับเรานะเป็นพันธมิตรกัน แม่ฉันพอหย่ากับพ่อก็แต่งงานใหม่กับคนในตระกูลโคมานอฟ ส่วนเรเยฟกับปู่นะก็เป็นเพื่อนสนิทกัน มีข่าวสารความคืบหน้าหรือโครงการอะไรที่จะทำเขาก็ส่งข่าวให้ปู่อยู่ตลอดเวลา แล้วจะส่งไปนายไปล้วงความลับอะไรอีกล่ะ ”

พอได้ยินข้อมูลใหม่คนที่ออกจากรถแล้วก็ปีนกลับเข้าไปนั่งตรงเบาะข้างคนขับพร้อมกระแทกประตูรถปิด ปลดเป้ที่สะพายบนหลังวางบนตัก เพราะอยากรู้เรื่องนี้ให้กระจ่างจึงยอมคลายข้อมูลความลับที่ปู่ส่งให้ไปทำให้ฟัง

“ เรื่องค้าอาวุธที่นายว่าปู่นะรู้เรื่องนี้ดีที่สุดเลย ส่วนที่นายถามฉันว่าทำไมวันนั้นนายเจออเล็กซิส แต่หมอนั้นไม่ได้บอกให้รู้ว่าโคมานอฟใกล้ชิดกับครอมเวลก็เพราะเรื่องนี้มีแค่ฉันกับปู่เท่านั้นแหละที่รู้...ปู่นี้ก็แปลกคนปกติไม่เคยเห็นอำหลานคนไหน แต่นายกลับโดนอำเนี่ยนะ ”

พอลขมวดคิ้วหยุดคิดตรึกตรองเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับตัวเองและหญิงสาวที่เขารัก สักพักเขาก็เบิกตากว้างเหมือนกับฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้จึงบอกให้โคลินออกรถ

“ นายจะให้ฉันพากลับบ้านใช่ไหม ”

“ ช่วยพาฉันไปที่บ้านปู่ที ”

“ โดนอำเลยจะไปเอาคืนกับปู่เหรอ ” โคลินหยั่งเชิงพลางหัวเราะขณะออกรถจึงไม่ทันสังเกตเห็นนัยน์ตาสีนิลคมกล้าที่ฉายแววดุดันเย็นเยียบคล้ายกับคนที่ไม่ได้ไปในฐานะหลาน หากแต่ไปในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่จำเป็นต้องสลัดบุญคุณเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

...ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร วันนี้เขาต้องรู้ให้ได้ว่า สิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจเป็นสิ่งเดียวกับนายใหญ่แห่งครอมเวลคิดหรือไม่...



ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ธ.ค. 2554, 05:59:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ธ.ค. 2554, 05:59:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 2303





<< บทที่ ๓๓   บทที่ ๓๕ >>
anOO 31 ธ.ค. 2554, 12:21:04 น.
หวังว่าพี่ภาคคงจะได้เจอเล็กที่บ้านปู่นะ
ไม่รู้จะคิดเรื่องราวให้มันปวดหัวทำไม อยากจะแกล้งพี่ภาคหรอ


คิมหันตุ์ 31 ธ.ค. 2554, 14:39:07 น.
มาเมกากันหมดเลย


violette 2 ม.ค. 2555, 20:25:05 น.
โอ้...รออ่านต่อค่า ชอบเล็กมากเข้มแข็งจริงๆ
รสาด้วย เชียร์ให้คู่กับพี่ใหญ่สุดๆเลยค่า
พี่ภาคสู้ๆ (เชียร์หมดทั้งสองคู่สรุป


konhin 3 ม.ค. 2555, 02:11:29 น.
ปูตั้งใจให้นายนี่ไปส่งเพื่อบอกความลับป่ะเนี่ย แสบสุดๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account