พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว # จุฬามณี (ลิขสิทธิ์ สนพ.มายดรีม)
เรื่องย่อ พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว

เป็นเรื่องราว ของ มาลี สาวน้อยวัย 20 ปี ลูกกำพร้าพ่อซึ่งเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง มาลี กับแม่และน้องชาย มารุต อาศัอยู่กับญาติห่าง ๆ ข้างพ่อ ซึ่งทำรีสอร์ตและการท่องเที่ยงท้องถิ่นอยู่ที่อุ้มผาง..

วันหนึ่ง กลยุทธและคณะไปเที่ยวล่องแก่งน้ำตกทีลอซู แล้ว เขาชอบมาลีจึงสานความสัมพันธ์ ส่วนมาลีนั้น เจอลูกทัวร์จีบจนชาชิน แต่กลยุทธก็ทำให้มาลีหวั่นใจอยู่ไม่น้อย..

หลังจากคณะของกลยุทธกลับไป..ทางป้า ก็บีบบังคับให้มาลีไปเรียนต่อกรุงเทพฯ พักอยู่กับนันทาลูกสาว เพราะว่าต้องการให้อนันต์ลูกชายของตัวเองแต่งงานกับคนที่รวยกว่า..

มาลีมาอยู่กรุงเทพฯ โดยที่ชัชชัย เพื่อนของนันทา ซึ่งเคยไปหาข้อมูลเขียนหนังสือมารับที่แม่สอด(ชัชชัยอ้างว่ามาธุระแถวนั้นพอดี)..มาลีกับชัชชัยนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมา เพราะตอนที่ชัชชัยมาอยู่อุ้มผางเพื่อหาข้อมูลเขียนสารคดี ตามคำแนะนำของ นันทา (ชัชชัยเป็นเพื่อนกับนันทา) มาลีแกล้งชัชชัยเพราะว่าไม่ชอบผู้ชายไว้ผมยาวกับปากไม่ค่อยดี..

ที่บ้านทาวเฮ้าส์ของนันทานั้นอยู่หมู่บ้านเดียวกับกลยุทธที่มีน้องสาวชื่อกุลกัญญา และช่วงที่ยังไม่ได้เข้าเรียน ต่อที่รามคำแหงมาลีก็ได้คำแนะนำจากศรีวรรณเพื่อนข้างบ้านของนันทาให้ให้ไปทำงานฆ่าเวลาเป็นแม่บ้านบนตึกสูงกลางเมือง มาลีที่อยู่กับนันทาแบบคนใช้ (นันทากดไว้เพราะมาลีมาด้วยทุนของแม่) ที่คิดเบื่อบ้านจึงไปทำงานตามคำแนะนำของศรีวรรณ

และบนตึกสูงนั้น มาลีก็ได้รู้ว่าเธอทำงานในตำแหน่งแม่บ้านซึ่งมีกลยุทธทำงานที่นั่นด้วย และมาลีก็ได้รู้จักสังคมรอบ ๆ ตัวของกลยุทธมากขึ้น มาลีรู้ว่ากลยุทธเป็นที่หมายปรองของรมมณีย์ลูกสาวของเจ้าของประธาน
บริษัทฯ

กลยุทธนั้นอึดอัดกับความรักที่รมณีย์มีให้ เพราะเขาทนกับปากของเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เขาสานความสัมพันธ์กับมาลีมากขึ้น จนกระทั่งรมณีย์ที่เป็นเพื่อนกับชัชชัย ต้องดึงชัชชัยมาช่วยทำให้มาลีกับกลยุทธเข้าใจผิดกัน...

ชัชชัยนั้นชอบมาลีเป็นอย่างมาก เขาพยายามเอาอกเอาใจมาลีสารพัด แต่มาลีคิดว่า ชัชชัยนั้นเป็นคู่รักของนันทา ทำให้มาลีไม่เปิดใจให้ชัยชัย..

และมาลีจะเลือกใครระหว่างกลยุทธกับชัชชัย..

Tags: รักสามเส้า เราสามคน

ตอน: 12."หนูขาไม่สวย"

12.

เมื่อไม่ได้ไปทำงาน กลยุทธจึงพาน้องสาวออกจากบ้านไปยังร้านอาหารทะเลแถวๆ ท่าข้ามบางขุนเทียน กุลกัญญาอยากกินปูผัดผงกะหรี่ และต้องการดูฉากป่าชายเลน วัดหัวกระบือ และศาลพันท้ายนรสิงห์สำหรับเขียนงานในชิ้นต่อไป

ขณะนั่งรถยนต์คันเก่าของพ่อที่นานๆ จะขับใช้งาน เรื่องที่คุยกันระหว่างพี่น้องนั้น กลยุทธจะเลี่ยงในเรื่องของความตาย แต่กลยุทธหารู้ไม่ว่า แม้กุลกัญญาจะกลัวตาย แต่เธอก็เตรียมตัวพร้อมตายอยู่เสมอ

เมื่อเธอชอบอ่านหนังสือ เมื่อต้องเจ็บป่วยจนไม่สามารถเรียนในภาคปกติได้ มีบ้างที่กุลกัญญาจะหยิบงานพวก ‘ตายแล้วไปไหน’ มาอ่าน ถ้าจิตไม่ตกจมดิ่งไปกับอารมณ์อาลัยอาวรณ์ยามที่ต้องเดินทางจากพี่ชายไปไกล เมื่อพี่ชายออกจากบ้านไปแล้ว กุลกัญญาก็จะเข้าห้องพระสวดมนต์

ความปรารถนาของเธอในวันนี้ ขอเพียงมีงานเขียนสักเล่มทิ้งไว้ให้นักอ่านได้นึกถึง เธอไม่อยากเกิดมาเปล่าและตายไปเปล่า โดยที่คนบนโลกไม่มีใครรู้จัก

เมื่อรถถึงร้านอาหารริมถนนกลางบริเวณป่าชายเลน กลยุทธต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่า ท่านประธานกับลูกสาวซึ่งนั่งอยู่ก่อนหันมามองเขากับน้องสาว ความรู้สึกว่าตัวเองผิดต่อหน้าที่การงานแล่นเข้า เกรงว่าจะถูกเจ้านายตำหนิ

เขาเป็นถึงระดับหัวหน้างานแต่แกล้งลาป่วยเพื่อมาหาอาหารอร่อยกิน จะพูดว่าอย่างไรดี จะเข้าไปทักอย่างไรดี เมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องกล้าหาญ เขาตัดสินใจเดินนำน้องสาวเข้าไปในร้านเพื่อจะไปทักทาย กับระลึกว่า ความจริงคือสิ่งไม่ตาย

ท่านประธานที่อยู่ในชุดลำลองสบายๆ ผิดกับตอนอยู่ในบริษัทหัวเราะร่า เมื่อเขายกมือไหว้พร้อมกับน้องสาวที่ปฏิบัติตามโดยอัตโนมัติ

“น้องสาวผมครับ”

กลยุทธรีบอธิบาย แล้วในสายตาของเขาก็เห็นว่า คุณรมณีย์ที่แต่งตัวสบายๆ หน้าตาไร้เครื่องสำอาง สำรวจรูปร่างของน้องสาวเขาในทันที

“นั่งกันก่อน นั่งด้วยกันนะคะ” รมณีย์กุลีกุจอลุกขึ้น ขยับที่ให้เขาและน้องสาวให้นั่งข้างกัน

“คือ” กลยุทธอึกอัก แต่ก็รู้ว่าเขาขยับไปตรงอื่นไม่ได้เช่นกัน

“นั่งซิคะ กินเป็นเพื่อนกัน คุณพ่อสั่งไปเยอะแยะเลย ทั้งปูทั้งกุ้ง หอยหลอดผัดฉ่า แมงดาไข่”

รมณีย์ร่ายรายการอาหารพลางยิ้มกับน้องสาว และผู้เป็นพ่อของตนซึ่งนั่งยิ้มๆ คล้ายไม่คิดอะไรเลย หากลูกสาวจะคบหาผู้ชายคนนี้ต่อไป

“ทำตัวตามสบายคุณ ผมไม่ถามเรื่องงานนะ ระเบียบก็คือระเบียบไม่ต้องเกร็งผมกับรมมี่ อยากพักก็พัก บอกตรงๆ นะ ถ้าไม่รู้จักหยุด งานมันก็ไม่มีวันหมดหรอก ปูนนี้แล้วหากำไรใส่ตัวบ้าง เอ้า สบายๆ ยายหนูนี่น้องคุณใช่ไหม เป็นอะไรหรือเปล่า”

คนผ่านโลกมาเยอะไม่อ้อมค้อม กุลกัญญาสลดวูบ เธอไม่ต้องการให้คนนอกมาแสดงความเห็นใจ

“ครับน้องสาวผม”

กลยุทธปรายตามามองเห็นสีหน้าน้องสาวแล้วอึกอัก พอดีกับที่เด็กเสิร์ฟยกอาหารเข้ามา

“เอ้าๆ กินๆ กัน อย่าเสียเวลาคุย คุณดื่มสักหน่อยไหม จะได้ช่วยย่อย” นายณรงค์เดชก็ไวต่อความรู้สึกของคู่สนทนาเหมือนกัน

“เพิ่งเที่ยงนะคะคุณพ่อ เย็นๆ ดีกว่ามั้ง แต่ถ้าคุณยุทธจะดื่มเป็นเพื่อนรมมี่ก็ไม่ว่านะคะ เอาสักหน่อยไหม”

กลยุทธปฏิเสธ

“แล้วน้องคุณชื่อไรนะคะ”

“กุลค่ะ”

เจ้าตัวตอบเสียเอง รมณีย์สังเกตดูผิวพรรณนาจึงเห็นถึงความผิดปกติ แต่ถึงกระนั้นใบหน้านั้นก็ยังอ่อนหวานสมเป็นสาวน้อยที่อ่อนต่อโลก

“น้องกุลรับน้ำอะไร น้ำผลไม้ไหม น้ำส้มคั้นหรือปั่นดี”

กลยุทธจับน้ำเสียงเอาใจของรมณีย์ที่มีต่อกุลกัญญาแล้วรู้สึกประหลาดใจ ไม่ถือตัวว่าสูงกว่า แต่กลับทำตัวคล้ายพี่สาวที่แสนดี เมื่อกุลกัญญาเห็นว่าอีกคนเป็นมิตรและไม่ถามเรื่องปมด้อยของตนเอง เธอจึงยิ้มรับไมตรี

เมื่อจัดการกับอาหารมื้อกลางวันแล้ว กุลกัญญากับรมณีย์ก็เริ่มสนิทสนมกัน แล้วในที่สุดกุลกัญญาก็เป็นฝ่ายบอกเล่าเสียเองว่าเธอเป็นโรคอะไร มีชีวิตอยู่อย่างไร และกำลังมุ่งหวังที่จะทำอะไรต่อไปกับชีวิตของตัวเอง กลยุทธรู้สึกแปลกๆ เพราะแววตาของคุณรมณีย์ที่มองมายังเขานั้นเปลี่ยนไป



แล้วในเวลาค่ำ ในขณะที่เขากำลังนอนดูรายการข่าว คุณรมณีย์ก็โทรเข้ามาหา

“นับถือคุณจังเลย รู้สึกดีๆ กับคุณยิ่งขึ้นนะคะ”

“ครับ”

“กลัวอะไรรมมี่คะ” หญิงสาวถามเขาตรงๆ

กลยุทธอึกอัก จริงๆ เขาคงกลัวที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายรุกเร้านี่แหละ แล้วอีกอย่าง สถานะที่เขาดำรงอยู่นั้น ต่ำต้อยกว่าด้วย

“เวลาที่คุณอยู่กับคนอื่นรมมี่เห็นคุณยิ้มอยู่เรื่อยๆ แต่พออยู่กับรมคุณกับนั่งตีหน้าตาคล้ายคนไร้ความรู้สึก”

“ครับ” เขาพูดได้แค่นั้น

“วันนี้คุณหัวเราะกับคุณพ่อ ตอนที่ท่านเล่าประสบการณ์ตอนเป็นหนุ่มๆ ให้คุณฟัง”

“ท่านคุยสนุกดีนะครับ ผมเพิ่งเห็นท่านในมุมสบายๆ ก็วันนี้เอง”

“คุณพ่อใจดีจะตายค่ะ คุยกันง่ายๆ อยู่ที่ทำงานอาจจะปั้นหน้าเคร่งขรึมบ้าง แต่จริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ท่านเมตตาคุณนะคะ ท่านว่าคุณขยันขันแข็ง แม้วันนี้จะอู้งานไปบ้าง แต่มันก็เป็นเพราะลูกสาวของท่านเอง รมมี่บอกท่านแล้วว่าวันนี้คุณลางาน เพราะว่าไปงานเลี้ยงกับรมมี่มาเมื่อคืนแล้วยังไปฟังเพลงกันต่ออีก”

“ครับ” แม้จะลิงโลดใจแต่เขาก็ยังเกรงอยู่นั่นเอง

“ครับ เป็นอย่างเดียวหรือคะ”

“ครับ ขอโทษครับ”

“ถ้ารมมี่จะขอพาน้องกุลออกเที่ยวบ้างคุณจะว่าอะไรไหม”

“ดีซิครับ แกไม่ค่อยมีเพื่อน ว่าแต่คุณจะรำคาญแกเอาได้นะครับ คนป่วยอารมณ์ไม่ค่อยปกติ”

“รมมี่สงสารแกค่ะ ไม่ใช่ซิ นึกเอ็นดูแกนะคะ คงกลัวว่าจะมีใครมาแย่งพี่ชายสุดหล่อไปแน่ๆ เลย ใช่ไหม”

“ไม่รู้ซิครับ แล้วทำไมคุณถึงคิดว่ากุลเขาคิดอย่างนั้น”

“ก็คุณถึงไม่กล้ามีใคร คุณไม่เปิดหัวใจให้รมมี่”

เมื่อฝ่ายหญิงรุกคืบ เขาจึงเงียบเสียงลงครุ่นคิดถ้อยคำตอบ

“ไม่เป็นไรค่ะ รมมี่รอได้ แค่นี้นะคะ คืนนี้หลับฝันดี”

น้ำเสียงนั้นคล้ายน้อยใจ รมณีย์คงถามกุลกัญญาว่าเขามีคนรักหรือเปล่า หรือไม่ก็คงถามใครๆ ในที่ทำงาน เมื่อประวัติในเรื่องหัวใจไม่มีก็ดีไปอย่าง กลยุทธลุกจากเตียงนอนไปที่กระจกเงา หน้าตาอย่างเขานี่หรือคือ ว่าที่ลูกเขยท่านประธานบริษัท


เมื่อกลับถึงบ้านแล้วมาลีก็อาบน้ำชำระร่างกาย เธอครุ่นคิดถึงอนาคตของตัวเองตามที่ได้พูดคุยกับชัชชัยว่าจะเอาอย่างไรดีกับการเรียน เขาอยากให้เธอชัดเจนกับความฝันเสียก่อน

“เธออยากเป็นอะไร เป็นครู หรือเป็นลีดเดอร์ทัวร์ ก็เห็นนี่ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยววัดพระแก้ว มีไกด์ไทยพูดฝรั่ง จีน เกาหลีคอยให้บริการ พวกนี้ต้องเรียนภาษากันเป็นไฟ ไหนจะต้องเข้าอบรมกับการท่องเที่ยวอีก หรืออยากเป็นสาวออฟฟิศ เห็นไหมล่ะแต่งตัวสวยๆ นุ่งกระโปรงสั้นหิ้วกระเป๋าใบเล็กๆ รีบเร่งขึ้นรถเมล์บ้าง รถไฟฟ้าบ้าง งานในร่มเงินดีนะ แต่ก็ต้องมีความรู้เหมือนกัน”

“เรียนไปก่อนไม่ได้เหรอ อะไรค่อยว่ากันข้างหน้า”

ที่ตอบอย่างนั้นเพราะเธอรู้สึกว่าเธอคงอยู่ที่กรุงเทพฯ นานกว่าสี่ปีไม่ได้แน่ หากพี่อนันต์แต่งงานกันเรียบร้อยแล้ว บางทีเธออาจจะขอกลับไปอยู่บ้าน ถ้าไม่ให้ทำงานที่สายน้ำใสรีสอร์ต เธอก็จะไปหางานที่อื่นทำ

แต่เธอจะยอมจำนนกับชีวิตหรือ ใครๆ ก็มุ่งเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อหาโอกาสที่ไม่มีวันมีในบ้านนอกอย่างแน่นอน มาลีนอนไม่หลับ อนาคตมันมืดมน

“เรียนรามมันก็ดี มีเวลาหาเงินได้ แต่เรียนไม่จบกันก็เยอะแยะนะ เพราะทำงานจริงๆ เหนื่อยจนไม่มีเวลาอ่านหนังสือ หรือบางวิชามันยากไป ไม่มีคะแนนเก็บ สอบปลายภาคอย่างเดียวก็ผ่านไม่ได้อีก แล้วช่วงนี้มหาวิทยาลัยก็ยังไม่เปิดจะอยู่บ้านเฉยๆ ได้หรือ คนเคยทำงานเบื่อตายชัก”

น้ำเสียงที่เตือนนั้นคล้ายพร้อมร่วมให้คำปรึกษา

“เบื่อแล้วจะให้ทำไง”

“ออกไปทำงานกับผมไหม”

“งานไร” คำตอบนั้นคือไม่ไปอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นคนรักของพี่สาว เธอจะตะลอนไปด้วยกันได้อย่างไร

“ถือกระเป๋ากล้องให้ผม”

“เมื่อก่อนก็ถือเองได้ แล้วทำไมจะถือต่อไปเองไม่ได้” เธอย้อนกลับ

“ก็” เขาชักสีหน้าครุ่นคิด มาลีรู้แล้วว่าเขาจีบเธอ แต่ผู้ชายเจ้าชู้เชื่อได้ที่ไหน มาลีถอนหายใจออกมา เธอจะทำอย่างไรดีนะ นามบัตรของลูกทัวร์ที่เคยใช้บริการมีอยู่เต็มไปหมด เธอจะเลือกโทรหาใคร คุยเรื่องอะไร บอกว่าเธอเหงาอย่างนั้นหรือ


แล้วเช้าวันรุ่งขึ้น มาลีก็พบว่าเจ้าของบ้านขับรถมาจอดแล้วเปิดประตูลากกระเป๋าใบใหญ่กลับเข้ามาในบ้าน มาลีแทบตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าพี่นันทาผู้หญิงบ้านป่าเช่นเธอจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปได้มากถึงเพียงนี้ เสื้อผ้าชุดเดรสตัวเดียวพ้นเข่ามาหลายคืบ หน้าตาขาววอกแต่งแต้มสีสันฉูดฉาด ผมเป็นลอนเงางามติดกิ๊บมีพลอยสีแพรวพราว รองเท้าสีสะดุดตา รวมถึงกิริยาท่าทางที่ดูคล่องแคล่วมากจริต

“อ้าย มาลี มาเร็ว มาช่วยพี่ลากกระเป๋าเข้าบ้านหน่อย”

มาลียกมือไหว้แต่นันทาพยักหน้ารับ แล้วก็ทำวุ่นกับเรื่องของตน

“เป็นไง แฟนพี่ดูแลเธอดีไหม เขาพาเธอไปเที่ยวไหนบ้าง พี่อนุญาตเองแหละ น่ารักไหมแฟนพี่”

“ค่ะ”

“อย่าเผลอใจรักเขานะ เอ้อ ยกขึ้นไปไว้ชั้นบนให้ด้วยนะ เปิดประตูเลย อุ๊ย ลืมกุญแจห้องไว้ในรถ ในเก๊ะนะเธอ เอากุญแจไปไขออกมาด่วนเลย” พูดจบนันทาก็นั่งที่โซฟาทำท่าหอบแฮกๆ


เมื่อมาลีไปเอากุญแจห้องในรถแล้วลากกระเป๋าขึ้นไปเก็บไว้ ยังไม่ทันจะสำรวจห้องที่หรูหรากว่าห้องของเธอ นันทาก็ส่งเสียงเรียกอีกแล้ว

“ลงมาเร็วๆ เลยมาลี มาคุยกันซิ คิดอะไรไว้บ้างหรือยังจะเรียนที่ไหน แม่ให้งบประมาณเธอเท่าไหร่เนี่ย”

“ก็ให้มาปรึกษาพี่”

“โอ๊ย บอกตามตรงนะ เดือนละแค่สี่พันมันจะพอกินอะไร ถ้าให้แค่นั้นคงต้องเรียนรามละ ค่าเรียนถูก แล้วทำงานพอมีเงินเก็บบ้างไหม”

“พอมีค่ะ”

“เท่าไหร่”

มาลีอึกอักที่จะตอบ

“มีเท่าไหร่”

“สองหมื่น” มาลีตอบไม่ตรงความจริง อันที่จริงเธอมีถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ

“สองหมื่นเลยเหรอ เออ เก็บไว้ก่อนนะ ไม่พอใช้จะขอยืม”

“อ้าว” มาลีทำท่าตกใจ

“ล้อเล่นนะ เมื่อยจังเลย”

นันทาทำท่าเหยียดแข้งขาคล้ายจะหาคนอาสานวดให้ แต่มาลีก็ชิงรีบลุกไปรินน้ำเย็นใส่แก้วมาส่งให้

“งานฉันนะต้องไปต่างประเทศเป็นว่าเล่น”

“ทำอะไรหรือคะ”

“ก็มาเก็ตติ้ง แพลนเนอร์”

อันที่จริงนั้นนันทาโกหก ที่เธอไปนั้นก็เพียงลาพักร้อนแล้วตีตั๋วเครื่องบินเที่ยวกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานในบริษัทแต่อย่างใด

“น่าอิจฉาจังเลย” มาลีรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

“ต้องเก่งภาษา และคอมพิวเตอร์ แล้วก็ต้องกล้านำเสนออะไรใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ เธอคงทำไม่ได้หรอก”

“พี่นันทาเก่งจังเลย”

มาลียังคงนั่งมองปากได้รูปที่แต่งแต้มสีจนอวบอิ่ม เปลือกตาพวงแก้มก็มีสีสัน

“ก็เพราะเข้ากรุงเทพฯ มาตั้งแต่เด็กๆ ไง ได้เรียนในที่ดีๆ ก็เลยได้สังคมเพื่อนฝูง คนเราลำพังเก่งอย่างเดียวมันไม่ได้หรอก มันต้องมีเฮงด้วย และที่สำคัญต้องรู้จักฉกฉวยโอกาส รู้ไหม คุณชัชเขาเป็นใคร”

มาลีโคลงศีรษะ รู้แต่ว่ามีอันจะกิน และคงมีความสำคัญอะไรสักอย่าง แม้ไม่ใช่ดาราแต่นิตยสารก็ยังสนใจสัมภาษณ์ช่วงไลฟ์สไตล์ได้

“ลูกชายเจ้าของโรงแรมห้าดาวเลยนะจ๊ะ แม่เขาก็เจ้าของนิตยสารชื่อดัง จะว่าไปเขาก็ติดทำเนียบลูกไฮโซเหมือนกัน แต่มักน้อยไปนิด ไม่อยากเป็นข่าวมาก ไม่ชอบงานสังคม ออกต่างจังหวัดบ่อยก็เลยทำตัวติดดิน”

มาลีอยากจะถามว่ารู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอดีกับที่นันทาคุยโอ่เสียเอง

“สมัยเรียนก็เรียนเอกเดียวกัน คบหากันมากี่ปีแล้วนิ” นันทานับนิ้ว

“7 ปี เหมือนเพิ่งรู้จักเมื่อวานนี้เอง”

“คือมาลีเข้าไปอยู่ในห้องเล็กแล้วนะคะ” มาลีเปลี่ยนเรื่อง

“ต๊าย ลืมถามไปเลย ใช่ๆ เธอต้องอยู่ห้องนั้นนี่ แล้วเสื้อผ้าข้าวของที่อยู่ในนั้นละ”

มาลีอยากจะถามว่าของใคร

“ให้ย้ายมาไว้ห้องใหญ่ไหมคะ”

“เอาไงดี เดี๋ยวพี่จะถามเจ้าตัวเขาก่อนแล้วกัน”

“ของใครหรือ”

“ก็ชัชเขานั่นแหละ มาค้างที่นี่บ่อยๆ”

นันทาพูดแค่นั้นก่อนจะหาว เหมือนคนง่วงนอน แต่หญิงสาวก็ไม่เอนตัวลงไปยังโซฟาอย่างที่มาลีคิด แล้วนันทาก็ทะลึ่งพรวดพราดขึ้น

“ตายแล้วต้องเข้าบริษัทนี่หว่า เอ้อมาลี วันนี้ว่างใช่ไหม เดี๋ยวพี่จะรื้อกระเป๋าออกแล้วช่วยซักผ้าให้ด้วย”

มาลีทำหน้าฉงน ก็ตอนเธอไม่อยู่ ใครทำงานพวกนี้ให้ นันทาพูดพลางเดินไปเดินมาแล้วก็เลยไปในครัว เปิดตู้เย็น

“ต้าย นี่ใครซื้อพวกนี้มายัดตู้ เธอเหรอ” มาลียังไม่ทันปฏิเสธนันทาก็พูดต่อทันที

“นี่มันครัวฝรั่งนะ จะมาผัดกลิ่นแกงโขมงไม่ได้นะ แล้วไมโครเวฟใช้เป็นหรือเปล่า หาอะไรง่ายๆ ทำนะ ฉันไม่อยากให้กลิ่นเครื่องพริกเครื่องแกงติดผ้าม่าน”

มาลีได้แต่นิ่งฟัง แม้แต่ลอบถอนหายใจเธอก็ยังไม่กล้า จนกระทั่งนันทาเดินขึ้นใช้บนไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังพลิกตัวกลับมาหามาลีอีกครั้ง

“เธอใช้ห้องน้ำข้างล่างนะ พี่ไม่ชอบใช้ของรวมกับใคร พี่ไม่อยู่ บ้านช่องไม่ต้องเกรงใจนะกวาดถูได้เลย เต็มที่เลย เอ๊ย เธอก็มัวแต่ชวนพี่คุย สายแล้วไม่ห้ามกันบ้างเลย”

นันทาเงียบเสียงไปแล้ว แต่มาลียังงุนงงกับทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้น


เมื่อเจ้าของบ้านสั่งไว้อย่างนั้น วันนั้นทั้งวันมาลีจึงต้องพยายามทำให้บ้านหลังนั้นไม่เหมือนเดิม มาลีกวาดและถูทุกซอกทุกมุม ในระหว่างวันนันทาโทรศัพท์กลับมาสั่งให้เช็ดราวบันได ไหนจะเรื่องซักผ้าในเครื่อง กับบางชิ้นนันทาก็สั่งไว้ว่าให้ซักมือเท่านั้นและห้ามขยี้หรือลงแปรงอย่างเด็ดขาด ในเวลาบ่ายเมื่อผ้าแห้งแล้ว นันทาก็โทรมาสั่งให้รีดไว้ได้เลย

มาลีทำงานทั้งหมดจนกระทั่งพระอาทิตย์ลาลับฟ้า ใจนั้นร้อนจนเย็นลงด้วยไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่าน มาลีออกมาเดินนอกบ้าน พบพี่ศรีวรรณนั่งอยู่กับคนที่น่าจะได้ชื่อว่าเป็นสามี

“มาลี มาทำความรู้จักกับพี่เเป๊ะหน่อย”

มาลียิ้มเข้าไปหาแล้วก็ยกมือไหว้

“พี่แกเป็นยามจ้ะ” มาลีรู้สึกดีขึ้นที่พี่ศรีวรรณบอกตามตรง

“เป็นหัวหน้ายามจ้ะที่รัก ไม่ใช่แค่ยามธรรมดา แล้วบอกน้องเขาไปหรือยังว่าเธอเป็นแม่บ้าน คนกวาดถูพื้น” อีตาผัวซึ่งมีหนวดอยู่เหนือริมฝีปากเริ่มปล่อยมุก

“พ่อนี่ แม่ได้เลื่อนเป็นโฟร์เกิร์ลแล้วนะจ๊ะ หัวหน้างานหญิงจ้ะ มาลีเข้าใจไหม” พี่ศรีวรรณคุยข่มผัวบ้าง มาลียิ้ม

“เป็นไง หนักไหมงานในบ้าน” พี่ศรีวรรณมีสีหน้าเห็นใจ

“พี่แล้วมันคืออะไร หนูงงไปหมดแล้ว”

“ก็พี่สาวเธอเขาโทรทางไกลมาบอกว่า งานที่พี่เคยทำเขายกเลิกหมด ทั้งกวาดพื้น เก็บห้อง เอาผ้าไปส่งร้านซักรีด เขาบอกว่าเขามีคนใช้แล้ว”

“คนใช้ หมายถึงหนู”

มาลีเริ่มเห็นเล่ห์เหลี่ยมของพี่สาวตัวเอง หมายความเธอจะต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้ ในฐานะคนใช้ ทำทุกๆ อย่าง ซักผ้า รีดผ้า เธอไม่ถนัด ไม่ชอบด้วยซ้ำ แถมผ้าที่รีดมีอยู่ตัวที่เธอใช้ไฟแรงจนผ้าย่นไปแล้ว มาลีนึกถึงแม่ขึ้นมาทันที แต่เธอจะโทรไปฟ้องได้เสียที่ไหน สุขเท่านั้นที่แม่จะรู้ ส่วนเรื่องทุกข์เธอต้องหาวิธีช่วยตัวเอง

พี่แป๊ะขอตัวเข้าไปดูข่าว มาลีจึงนั่งอยู่กับพี่ศรีวรรณตามลำพัง แล้วพี่ศรีวรรณก็ได้เล่าถึงชีวิตตัวเองว่าเป็นมาอย่างไร

หนุ่มกับสาวจากภาคอีสานพบเจอกันในโรงงานผลิตสีทาบ้าน แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจอยู่ด้วยกันเป็นผัวเมียโดยไม่มีพิธีรีตอง ตอนหลังพี่แป๊ะหางานใหม่ ด้วยงานในโรงงานต้องใช้กำลังเยอะ และต้องเสี่ยงกับการติดสารระเหย แล้วในที่สุดพี่แป๊ะก็มาเป็นยาม และเลื่อนขึ้นไปจนถึงระดับหัวหน้า

ส่วนพี่ศรีวรรณก็ออกจากโรงงาน มาทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาดสำนักงานบนตึกสูง เวลาสิบกว่าปีทำให้พี่ศรีวรรณขยับขึ้นมาเป็นหัวหน้างานเช่นกัน ส่วนลูกสาวกับลูกชายนั้น ตั้งแต่เกิดพี่ศรีวรรณก็ส่งไปให้แม่ของตนเองเลี้ยง เดือนหนึ่งถึงจะได้กลับไปหา เมื่อเก็บหอมรอมริบได้แล้วส่วนหนึ่ง ความฝันของคนทั้งคู่คือ ต้องการบ้านไว้สักหลัง ด้วยฐานเงินเดือนน้อย พี่ศรีวรรณจึงตัดสินใจกลับไปขายนาในส่วนที่แม่ยกให้มาดาวน์บ้าน เพราะหวังว่าเมื่อลูกชายกับลูกสาวเรียนจบชั้นมัธยมปลายก็จะมาอยู่กรุงเทพฯ เรียนหนังสือสูงๆ ให้พ้นจากความเป็นคนบ้านนอกต่อไป

เมื่อได้ฟังเรื่องของพี่ศรีวรรณจบ มาลีมองอนาคตตัวเอง ชีวิตของเธอจะยอมรับกรุงเทพฯ ได้ไหมนะ

“ตกลงจะเรียนราม” พี่ศรีวรรณถามเจตจำนงซ้ำ

“คงเป็นที่นั่นทีเดียวแหละพี่ แต่ได้ข่าวว่า เรียนที่นั่นสามารถทำงานไปด้วยได้ บอกตามตรงนะพี่ หนูไม่อยากทำงานบ้านให้พี่นันทาสักเท่าไหร่หรอก ชีวิตหนูไม่น่าจมอยู่แค่นี้”

“ยังเด็ก แล้วก็พอมีทุนอย่างนี้ จะทำงานประจำเลยมันก็จะทำให้เสียการเรียนได้นะมาลี เอางี้ไหม ช่วงนี้มาลีก็หางานพาร์ทไทม์ทำไปก่อน เซเว่นไง รับมอหก แต่ว่าไปนะ มันก็ทำงานวันละหลายชั่วโมงเหมือนกัน หรือจะทำงานเป็นพนักงานเก็บกวาดเช็ดโต๊ะร้านฟาสต์ฟู้ดดีล่ะ ลูกสาวพี่ก็เคยมาทำตอนปิดเทอมนะได้เงินดี แจกใบปลิว แจกของ แนะนำสินค้า หรือจะเป็นพวก อย่าเลย พี่ว่าไม่ดีหรอก”

“อะไรหรือพี่” มาลีงุนงง

“พวกเชียร์เบียร์กลางคืน โคโยตี้ นุ่งน้อยห่มน้อย ที่ผู้ชายมันชอบๆ กัน”

“คงไม่หรอกพี่ หนูเต้นไม่เก่ง”

“เขาฝึกกันได้”

“หนูขาไม่สวย” มาลีพอรู้อยู่บ้างว่าเส้นทางของเด็กสาวเหล่านี้ล่อแหลมแค่ไหน

“ใครว่าหนูไม่สวย สวยนะ สวยกว่านันทาอีก สวยแบบธรรมชาติ หวานๆ พี่ว่าคุณชัชชัยชอบหนูนะ”

มาลีพ่นลมหายใจออกมาพร้อมยิ้มเยาะที่มุมปาก

“พูดไปหนูจะได้ถูกไล่ออกจากบ้านนะซิ”

“ระวังตัวไว้ก็ดี ลูกมหาเศรษฐี เรามันคนธรรมดา บางทีก็อาจจะเป็นของเล่นเขาทั้งพี่และน้องก็ได้นะ”

มาลียกมือไหว้ขอบคุณ

“ฝากตัวเป็นน้องสาวพี่ด้วยนะคะ หนูเหมือนหัวเดียวกระเทียมโทนอย่างไรก็ไม่รู้พี่ หนูเหงา หนูคิดถึงบ้าน”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ธ.ค. 2554, 17:44:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ธ.ค. 2554, 17:44:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1931





<< 11."รวยแล้วดีอย่างไร"   13."ไว้ใจได้เหรอ" >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 15 ธ.ค. 2554, 17:45:35 น.
ขอบคุณจากทุก ๆ ำลังใจนะครับ


แว่นใส 15 ธ.ค. 2554, 18:12:38 น.
น่าลุ้นนะ


คิมหันตุ์ 15 ธ.ค. 2554, 19:50:33 น.
ถ้ารมมี่น่ารักแบบนี้ ยกคุณ ยุทธ์ให้เลยค่ะ


minafiba 15 ธ.ค. 2554, 20:40:20 น.
^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account