พื้นที่ชุ่มรัก
เมื่อได้รับคำขาดจากเหล่าคุณปู่คุณตาว่าต้องการเห็นหน้าหลานเขยหลานสะใภ้ก่อนวันเริ่มศักราชใหม่ซึ่งเหลือเวลาอีกครึ่งปี บรรดาหลานๆจึงปวดหัวหนักเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มตามหาหลานเขยหลานสะใภ้ที่จุดไหนของประเทศ และที่สำคัญกว่านั้น...ถ้าหลานคนใดคนหนึ่งทำตามความต้องการของท่านไม่ได้ ทุกคนจะต้องชดใช้ที่ทำให้คุณปู่คุณตาผิดหวังด้วยเงินและทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลที่พอจะทำให้หลานๆสุดที่รักของพวกท่านล้มละลายกันได้ทีเดียว!!
แล้วจะให้บรรดาหลานสุดที่รักทั้ง 5 คนยอมขัดใจคุณปู่คุณตาได้อย่างไร นอกจากต้องก้มหน้ารับคำสั่งอาญาสิทธิ์แต่โดยดี และคงต้องเริ่มปฏิบัติภารกิจอย่างจริงจัง เวลาที่เหลืออยู่คงต้องงัดทุกกลยุทธทุกอย่างขึ้นมาใช้เพราะหลานๆได้ลงมติอย่าง (เกือบ) เป็นเอกฉันท์กันมาแล้วว่างานนี้...แพ้ไม่ได้!
แล้วจะให้บรรดาหลานสุดที่รักทั้ง 5 คนยอมขัดใจคุณปู่คุณตาได้อย่างไร นอกจากต้องก้มหน้ารับคำสั่งอาญาสิทธิ์แต่โดยดี และคงต้องเริ่มปฏิบัติภารกิจอย่างจริงจัง เวลาที่เหลืออยู่คงต้องงัดทุกกลยุทธทุกอย่างขึ้นมาใช้เพราะหลานๆได้ลงมติอย่าง (เกือบ) เป็นเอกฉันท์กันมาแล้วว่างานนี้...แพ้ไม่ได้!
Tags: แผนการ คุณปู่ คุณตา หลาน ความรัก พื้นที่ชุ่มรัก ผลิดอกออกรัก
ตอน: เขตพื้นที่ที่ 1 : ผลิดอก...ออกรัก : ตอนที่ 9
งึมงำๆ ตอนใหม่มาแล้วค่ะ อาทิตย์นี้ลงสองตอนแบบมาเร็วกว่าวันศุกร์ด้วย เย้ๆ
ชอบไม่ชอบยังไงบอกกันได้เสมอนะคะ
ขอบคุณทุกไลค์ ทุกคนที่เข้ามาอ่านและทิ้งคอมเมนท์ไว้เป็นกำลังใจนะคะ (ใครไม่รู้จะเมนท์อะไรก็กดไลค์เป็นกำลังใจได้นะเออ อิอิ)
เจอกันตอนหน้าค่ะ (อาทิตย์หน้าเลยนะคะ แหะๆ) :)
-----------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 9 : เมื่อมีข้อห้ามก็ต้องมีข้อยกเว้น
อาคารเรียนรวมสูงสิบชั้นซึ่งเป็นตึกที่ใช้สำหรับการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนิสิตส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัย ใต้ตึกเป็นลานโล่งมีทั้งโต๊ะ เก้าอี้ที่ถูกทำขึ้นโดยฝีมือของคณะสถาปัตยกรรมที่ทำจากเศษวัสดุเหลือใช้ และด้วยเป็นอาคารเรียนที่มีลมพัดเย็นตลอดทั้งวัน นิสิตหลายคนจึงมักจะใช้เวลาว่างระหว่างรอเรียนหรือหลังเลิกเรียนจับจองโต๊ะที่มีอยู่เต็มใต้อาคาร บ้างก็นั่งเล่นอินเทอร์เน็ต บ้างก็อ่านหนังสือ ช่วยกันติวหนังสือเพื่อเตรียมสอบหรือนั่งปั่นงานที่คั่งค้าง แต่ก็คนมีบุคคลหนึ่งซึ่งแตกต่างออกไป ดวงตาชั้นเดียวจ้องมองไปยังหน้าลิฟต์ของตัวอาคารเมื่อเข็มนาฬิกาบนข้อมือบ่งบอกถึงเวลาเลิกงานของคนที่รอคอย อารัทธ์มักมานั่งรอนิชิตาที่นี่ในวันที่การงานไม่รุมเร้า ซึ่งพักหลังๆแม้งานทั้งที่ร้านทองของครอบครัวและร้านเพชรที่มีหุ้นร่วมกับชิษวัศจะมีงานเข้ามาเยอะ แต่ชายหนุ่มก็มักชิ่งหนีกันเสียดื้อๆ เพราะหัวใจมันร่ำร้องว่าถ้าไม่ได้เห็นหน้าตาโหดๆของ ‘อาจารย์นิชิตา’ ชีวิตมันแลดูจะห่อเหี่ยวพิกล
ทันทีที่ดวงตาชั้นเดียวมองเห็นเหยื่อ อารัทธ์ก็จัดการล็อคเป้าหมาย ร่างสูงขยับตัวลุกขึ้นก้าวยาวๆไปยังหน้าลิฟต์แต่ดูเหมือนว่าคนที่กลายเป็น ‘เหยื่อ’ เองก็เห็น ‘ผู้ล่า’ เช่นกัน นิชิตาอาศัยจังหวะที่มีนิสิตออกันอยู่เต็มทางเข้าลิฟต์แทรกตัวออกมาอย่างรวดเร็วโดยใช้เหล่ากองทัพนิสิตเป็นกำบังพรางตัว อาจารย์สาวก้าวเท้าอย่างรวดเร็วเพื่อกลับไปยังตึกของคณะที่เธอทำงานเป็นอาจารย์ประจำ หญิงสาวต้องทำตัวเป็นนินจาฮาโตริรีบเดินอย่างรวดเร็วและคอยระวังตัวอย่างนี้เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนตั้งแต่ชีวิตมีผู้ชายที่ชื่ออารัทธ์เข้ามาวุ่นวาย ผู้ชายบ้าคนนั้นไม่รู้ว่าวันๆมีเวลามากหรืออย่างไรถึงคอยนั่งเฝ้าเธออยู่ได้ทุกวัน หลบก็หลบแล้ว หนีก็หนีแล้วแต่ตานั่นก็ยังตามจนเจออยู่ดี ไม่รู้ว่าเลนส์ตาติดเรดาร์อะไรเสริมหรือเปล่าถึงได้หาพิกัดของเธอเก่งนักแถมยังแม่นยำทุกครั้งไป ภาวนาก็แต่ว่าครั้งนี้ขออย่าให้เจอะเจอกันเลย
“คุณอาจารย์” แต่คำภาวนาของนิชิตาก็ไม่ได้ดังหวังเมื่อร่างของอารัทธ์เดินมาดักตรงหน้า หญิงสาวแอบบ่นเบาๆอย่างหัวเสีย ขนาดเธอเลือกที่จะใช้เส้นทางที่อ้อมกว่าปกติเพื่อจะสลัดคนที่เกาะแน่นไม่ยอมปล่อยแล้วเชียวนะ แต่หมอนี่ก็ยังรู้ทันความคิดแถมดักทางเธอถูกเสียอีก
...ใครก็ได้ช่วยที เธออยากจะบ้า!!...
“นี่คุณอารัทธ์ คุณเลิกทำตัวเป็นสโตกเกอร์สักทีจะได้ไหม ฉันจะบ้าตายแล้วนะ!” นิชิตาหันมาแว้ดใส่เสียงสูง ดวงตาเรียวเล็กได้กรอบแว่นสายตาจ้องมองชายหนุ่มที่ริอาจขโมยจูบแรกของเธออย่างโกรธเกรี้ยว ถึงกระนั้นอารัทธ์ก็ยังยิ้มได้ ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย กลับชอบเสียอีกต่างหากที่ถูกอีกฝ่ายมองด้วยสายตาอาฆาตกันอย่างนี้
“ผมเป็นสโตกเกอร์ที่ไหน ก็รอคุณให้เห็นกันจะๆนี่ล่ะ คุณต่างหากที่เดินหนี ผมก็ต้องตามสิ”
“แล้วจะมารอฉันทำไมมิทราบ มันรำคาญนะรู้ไหม!”
“ก็ผมจะจีบคุณ ไม่ให้มารอคุณแล้วจะให้รอใคร” อารัทธ์พูดคำว่า ‘จีบ’ ราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ชายหนุ่มไม่มีอาการเก้อเขินที่ต้องแสดงความในใจออกมา ผิดกับฝ่ายของคนที่กำลัง ‘ถูกจีบ’ ที่หน้าแดงหูแดงไปหมดด้วยไม่รู้ว่าเพราะอารมณ์ใดระหว่างโมโหกับอาย
“ก็ไปรอสาวๆของคุณสิ เลิกยุ่งกับฉัน ฉันไม่สนใจคุณ ไม่ว่าจะเมื่อวานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ หรือตลอดไป!” นิชิตาหมุนตัวกลับเดินต่อ แม้จะรู้สึกหน้าร้อนผ่าว หัวใจก็เต้นผิดปกติที่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของอารัทธ์แต่ก็รีบที่จะปฏิเสธว่าเธอไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวกับคำพูดพวกนั้น อาการทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ก็เพราะว่าเธอโมโห แค่โมโห...ไม่มีความรู้สึกอื่นใดมาเจือปน
“แต่ผมจูบคุณไปแล้วนี่นา” ประโยคนี้ทำให้คนที่หันหลังเดินหนีหยุดอยู่กับที่ อารัทธ์จึงอาศัยจังหวะนั้นเดินอ้อมไปดักหน้านิชิตาอีกครั้งแต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ Text Book ภาษาอังกฤษนับพันหน้าก็ถูกเหวี่ยงมาโดนท่อนแขนแข็งแกร่งอย่างแรงจนอารัทธ์ต้องร้องโอย
“ถ้าคุณกล้าพูดถึงเหตุการณ์วันนั้นอีก ต่อไปมันจะไม่ใช่แขนแต่เป็นปากของคุณ!”
“ถ้าคุณตบปากผมด้วย Text ผมตบปากคุณกลับด้วยจูบนะ”
“ไอ้บ้า!!” หนังสือเล่มหนาเล่มเดิมถูกเหวี่ยงอีกครั้งแต่ครั้งนี้อารัทธ์รู้ทันจึงเบี่ยงตัวหลบ ใช้ความเร็วจับข้อมือข้างที่ถือหนังสือของนิชิตาไว้มั่น ไม่ยอมปล่อยให้เธอมาทำร้ายกันได้อีกเป็นครั้งที่สอง
“เป็นครูบาอาจารย์พูดจาหยาบคายอย่างนี้ถ้าลูกศิษย์เห็นเข้าจะไม่ดีนะครับ” อารัทธ์ดึงร่างที่ดิ้นสุดแรงเกิดให้ชิดเข้าหาตัว จนนิชิตาต้องเบือนหน้าหนีเมื่อระยะห่างระหว่างเธอและเขาเริ่มที่จะล่นระยะเข้ามา พยายามดันตัวให้ออกห่างเพราะที่นี่คือมหาวิทยาลัย แม้จะเป็นทางเดินที่อยู่ข้างตึกซึ่งมีคนเดินไม่พลุกพล่านแต่อารัทธ์ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาแสดงกิริยาอย่างนี้กับเธอ
“โอเค...ฉันยอมคุณแล้ว เพราะงั้นปล่อยได้หรือยัง”
อารัทธ์ยิ้มอย่างพอใจ ยอมคลายมือออกจากข้อมือเล็กแต่ก็ยังริบหนังสือเล่มหน้าไว้ มั่นใจว่านิชิตาจะไม่เดินหนีไปอีกครั้งแน่ ผู้หญิงคนนี้ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเวลาเพลี่ยงพล้ำสมควรที่จะต้องถอย เวลาได้เปรียบสมควรที่จะต้องบุก และเวลานี้เธอกำลังเพลี่ยงพล้ำเพราะฉะนั้น...เธอต้องยอมถอย ถึงจะถอยแบบไม่ค่อยจะเต็มใจก็เถอะ
“ว่าง่ายๆอย่างนี้ค่อยน่ารักหน่อย” ไม่ชมเปล่าเพราะอารัทธ์หาจังหวะที่นิชิตาเผลอไปชั่ววินาทีกดจมูกลงบนแก้มนวลอย่างรวดเร็ว แถมยังมีแก่ใจมาทำหน้าแป้นแล้นใส่นิชิตาเสียอีกต่างหาก เพราะไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่ฉลาด ชายหนุ่มเองก็ฉลาดเช่นกัน เพราะรู้ว่าเวลานี้ตนเองกำลังได้เปรียบ...จึงต้องรีบบุก
ส่วนอีกคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบแทบอยากจะกระโดดเตะก้านคอผู้ชายที่ริอาจหอมแก้มเธอนัก ถ้าไม่ติดว่าเธอกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบล่ะก็ ไม่มีทางที่เธอจะปล่อยให้อีตาบ้านี่ทำอะไรตามใจตัวเองได้ขนาดนี้แน่ แต่เพราะอาวุธเพียงอย่างเดียวของเธอถูกเขายึดไปแล้วถ้าจะใช้ท่าเดิมที่เคยใช้ ‘เตะ’ ไปเมื่อคราวนั้น ผู้ชายคนนี้ก็คงจะหลบได้อีก ไม่มีทางจะเสียเหลี่ยมเธอเป็นครั้งที่สองแน่
...แต่เอ๊ะ! บางทีอาจจะพลาดก็ได้นะ ถ้าสงสัยก็ต้องพิสูจน์...
“ผมไม่พลาดให้คุณเตะน้องชายรอบสองหรอกนะ เลิกคิดไปได้เลย” อารัทธ์หรี่ตามอง รู้ทันในความคิดของอาจารย์สาว นิชิตาส่งค้อนให้คนที่ริอาจฉลาดเป็นกรดรู้ทันว่าเธอกำลังคิดอะไร
“แล้วคุณมีอะไร คงไม่ใช่แค่มากวนประสาทฉันเหมือนทุกๆวันหรอกนะ” นิชิตาถาม ปกติอารัทธ์จะมากวนประสาทเธออย่างนี้ในทุกๆวันแต่จะมาแค่เดี๋ยวเดียวแล้วก็ไป หากวันนี้เขากลับอยู่ต่อล้อต่อเถียงกับเธอตั้งนาน มาอีหรอบนี้แสดงว่าคงมีเรื่องอะไรมาพูดกับเธอ
“คุณอาจารย์ของผมฉลาดจริง”
นิชิตาส่งสายตาอาฆาตไปให้หนุ่มตี๋หน้าขาวเมื่อคำว่า ‘ของผม’ หลุดออกจากปากของเขา เป็นตายร้ายดีอย่างไรเธอก็จะไม่มีวันเป็นหนึ่งในคอนเลคชั่นผู้หญิงของอารัทธ์เป็นแน่ ผู้ชายที่เธอเกลียดยิ่งกว่าเวลาแมลงสาบบินไม่มีทางเสียหรอกที่จะเปลี่ยนเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวในการ์ตูนของวอลดีสนีย์ในแบบที่เธอชอบ...ไม่มีทาง!
“คุณอารัทธ์...ขอประเด็นเลย ไม่ต้องอ้อมดาวพลูโตแล้วค่อยวกกลับมาดาวโลก” คำเหน็บแนมของนิชิตาสร้างรอยยิ้มให้กับอารัทธ์ได้เหมือนอย่างเคย รู้สึกว่าถูกใจเธอก็เพราะอย่างนี้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนเลยที่คอยแต่วิ่งหนีผู้ชายอย่างเขา เธอเป็นคนแรกที่ทำอย่างนี้และเป็นผู้หญิงคนแรกเช่นกันที่ผู้ชายอย่างนายอารัทธ์...วิ่งไล่ตาม
“เสาร์อาทิตย์นี้ว่างไหม ไปหัวหินกัน”
“ว่าง แต่ไม่ไป” นิชิตาปฏิเสธคำชวนนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องไปไกลถึงหัวหินหรอกแค่หัวมุมตึกตรงโน้นถ้าเขาชวนเธอก็ไม่ไปแล้ว
“แต่น้องมุกไปหัวหินกับไอ้อาร์มนะ สองต่อสองด้วย คุณไม่เป็นห่วงเหรอ” นิชิตาชะงักไปเมื่อได้ฟังข่าวจากอารัทธ์ ปกติมุกตาภาจะโทรบอกเธอเสมอถ้าจะไปทำงานนอกสถานที่ แต่ทำไมคราวนี้เพื่อนสาวถึงไม่ยอมบอก แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าชิษวัศคงเป็นสุภาพบุรุษกว่าอารัทธ์ แต่นิชิตาก็ไม่มั่นใจเต็มร้อย ชิษวัศและอารัทธ์นั้นเป็นเพื่อนสนิทกันที่ทนคบกันได้นับสิบปี ถ้านิสัยไม่ใกล้เคียงกันคงไม่คบกันนานขนาดนี้ เป็นห่วงก็แต่มุกตาภา ไม่รู้ว่าจะโดนชิษวัศคิดเอาคืนหรือเปล่าที่ดันริอาจไป ‘ขโมยจูบ’ ไว้ ถ้าเป็นอย่างนั้นความปลอดภัยของเพื่อนเธอก็น่าห่วงอย่างที่อารัทธ์พูดจริงๆ
“ห่วง แต่ถ้าไปกับคุณฉันก็ห่วงความปลอดภัยของตัวเองเหมือนกัน” ใจหนึ่งก็ห่วงความปลอดภัยของมุกตาภา แต่อีกใจหนึ่งก็ห่วงความปลอดภัยของตัวเองเช่นกันถ้าจะต้องร่วมเดินทางกับปลาไหลใส่สเก็ตอย่างอารัทธ์ มีหวังเธอได้บ้าก่อนถึงหัวหินกันพอดี
“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า หรือคุณกลัวว่าถ้าไปหัวหินพอเจอบรรยากาศโรแมนติกของทะเลเข้าแล้วเกิดจะหลงรักผมขึ้นมา”
“ฉันไม่ได้กลัว! พรุ่งนี้กี่โมงว่ามาเลย”
...ติดกับ!!...
อารัทธ์กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ กะไว้ไม่ผิดว่าถ้าใช้แผนนี้แล้วจะได้ผล ผู้หญิงอย่างอาจารย์นิชิตา เธอยอมตายเสียดีกว่าที่จะยอมถูกผู้ชายอย่างเขากล่าวหาว่า ‘กลัว’ แล้วก็เห็นผลอย่างรวดเร็วดังคาด เธอตอบตกลงอย่างฉับไว
“เจ็ดโมงเช้าแล้วกันครับ ไอ้อาร์มมันก็ไปรับน้องมุกเวลาประมาณนั้นเหมือนกัน” อารัทธ์จัดการนัดเวลา นิชิตาพยักหน้ารับรู้แต่ก็ยังไม่วายส่งสายตาดุๆไปให้อีกฝ่าย
“ถ้าคุณเล่นตุกติกกับฉันล่ะก็...อย่าว่าแต่น้องชายเลย ไอ้คนเป็นพี่ชายฉันก็ไม่เว้น!” น้ำเสียงและแววตาที่จริงจังคือสิ่งที่อารัทธ์ได้เห็น นิชิตาคว้าหนังสือของตัวเองที่อยู่ในการครอบครองของอารัทธ์กลับคืนมาอย่างว่องไว หันตัวหันหลังกลับรีบเดินออกจากจุดๆนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงกวนประสาทตะโกนดังไล่หลังมา
“พรุ่งนี้เจอกันนะครับคุณอาจารย์ที่รัก!!!”
...ไอ้คนกวนประสาท!!...
ร่างที่เดินห่างออกไปไกลแต่ก็ยังได้ยินเสียงที่ตะโกนมา นิชิตาต่อว่าคนต้นเสียงในใจ ทำไมยิ่งเกลียดถึงยิ่งเจอก็ไม่รู้ผู้ชายอย่างนี้ แถมยังเกาะแน่นยิ่งกว่าปลิงเสียอีก จะดึงออก สลัดออก แงะออก ทึ้งออกแล้วเหวี่ยงให้ไปไกลแค่ไหนก็ยังกลับมาเกาะเธอเหมือนเดิม เกาะแน่นอย่างเดียวไม่เท่าไหร่แต่ชอบล่อลวงด้วยคำพูดแปลกๆนี่สิที่เธอรับไม่ได้ หญิงสาวรู้สึกว่าคำหวานเหล่านั้นมันอันตราย ถ้าเธอพลั้งเผลอไปลองลิ้มชิมรสมีหวังได้ตกอยู่ในบ่วงที่นายอารัทธ์ดักไว้จนไปไหนไม่รอดเป็นแน่ แต่ไม่มีวันเสียหรอก ไม่มีวันที่นิชิตาคนนี้จะเดินซ้ำรอยของนิษศินี เธอเห็นรอยเท้าของลูกพี่ลูกน้องสาวที่ก้าวพลาดในชีวิตรักมาด้วยตาคู่นี้ของตัวเอง เพราะฉะนั้น...เธอจะไม่มีวันก้าวซ้ำรอยเท้านั้นเด็ดขาด!
หลังจากผ่านคืนวันเหตุการณ์ ‘พิสูจน์ความเป็นเด็ก’ วันรุ่งขึ้นมุกตาภาออกจากบ้านไปทำงานด้วยความกลัวๆกล้าๆ ไม่รู้จะปั้นหน้าทักทายชิษวัศว่าอย่างไร ความบ้าระห่ำของเมื่อวานไม่รู้ว่าร่วงหายไปตามทางแล้วหรือย่างไรจึงทำให้เธอละล้าละลังไม่เข้าภายไปในห้องทำงานอย่างนี้ สุดท้ายหญิงสาวก็รวบรวมแรงกายแรงใจเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับทักทายผู้ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานอยู่ก่อนแล้วด้วยน้ำเสียงสดใสกับรอยยิ้มกว้างที่แลดูจะเกินกว่าปกติที่เธอจะทำ แต่ชิษวัศก็ไม่ได้ว่าอะไร ชายหนุ่มทำเพียงแค่ยิ้มรับแล้วต่างคนก็ต่างทำงานกันตามปกติ ปกติเสียจนมุกตาภาคิดว่า ‘จูบ’ ของเธอเมื่อคืนวานมันไม่ได้ไปกระตุ้นอะไรเขาเลยหรือ ชิษวัศยังคงมีท่าทางเหมือนเดิม แม้คำสรรพนามที่ใช้แทนตัวเองกับที่ใช้เรียกเธอจะเปลี่ยนไปเป็น ‘พี่’ กับ ‘หนูมุก’ แต่อย่างอื่นก็ยังเหมือนเดิม รอยจูบของเธอไม่สามารถทลายข้อห้ามของเขาได้เลยหรือ
หลังเลิกงานเมื่อต่างฝ่ายต่างจัดการงานในรับผิดชอบของตัวเองเสร็จเรียบแล้วก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน เป็นครั้งแรกที่ชิษวัศเดินมาส่งเธอที่อาคารจอดรถ พร้อมทั้งกำชับให้ขับรถกลับบ้านอย่างระมัดระวัง ถึงบ้านเมื่อไหร่ให้โทรรายงานเขาทันที คราวนี้มุกตาภาไม่เอ่ยปากบ่นสักคำว่าเธอไม่ใช่เด็กแล้ว หญิงสาวยิ้มให้กับความห่วงใยนั้น อย่างน้อย...ตอนนี้เธอก็สัมผัสความห่วงใยจากชิษวัศได้มากกว่าเดิม ความอบอุ่นและน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของ ‘พี่อาร์ม’
ทันทีที่ถึงจุดหมายปลายทางมุกตาภาจัดการกดโทรศัพท์โทรออกหาชิษวัศก่อนเป็นอันดับแรกตามใบสั่งที่ได้มาเพื่อบอกว่าเธอถึงบ้านเรียบร้อยครบสามสิบสองไม่ต้องเป็นห่วงแต่เมื่อจะวางสายหญิงสาวก็ได้รับงานด่วนพิเศษกลางอากาศอีกครั้งด้วยคำสั่งที่ว่าพรุ่งนี้ตอนเจ็ดโมงเช้าชิษวัศจะมารับเธอที่บ้านเพื่อไปคุยงานกับหุ้นส่วนรายใหม่ที่หัวหินด้วยกันเป็นเวลาสองวันให้เธอเตรียมตัวไว้ด้วย พอจะถามรายละเอียดที่มากกว่านี้ก็ถูกตัดบทมาง่ายๆว่าจะอธิบายให้ฟังทีหลังก่อนที่จะสัญญาณจะถูกตัดไป พอหญิงสาวโทรกลับก็ดันติดต่อไม่ได้คล้ายอีกฝั่งจงใจปิดเครื่องเพื่อที่จะแกล้งกัน!
เมื่อทำอะไรไม่ได้ผลสรุปที่ต้องออกมาก็คือการมายืนรอชิษวัศหน้าบ้านพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบย่อมอีกหนึ่งใบ แม้จะสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าเขารู้จักทางมาบ้านเธอได้อย่างไร แต่พอมานึกๆดูอีกทีเรื่องแค่นี้ก็ไม่น่ายากเกินความสามารถของผู้ชายอย่างชิษวัศอยู่ดีแถมยังเป็นคนตรงเวลามากเสียด้วยเมื่อเข็มนาฬิกาข้อมือของมุกตาภาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้าพอดิบพอดีไม่มีขาดเกิน BMW X5 สีดำปราบก็จอดเทียบหน้ารั้วบ้าน ชิษวัศในชุดเสื้อสีขาวแขนยาวที่ถูกพับร่นไปถึงข้อศอกสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำกับกางเกงขาสี่ส่วนสีเบจทำให้ดูแปลกตากว่าเดิม เพราะปกติมุกตาภามักเห็นเขาในมาดของคุณชายใส่สูทผูกไทด์ทั้งวันนั่งทำหน้าเครียดอยู่กับงานไม่ใช่ผู้ชายที่มีท่วงท่าสบายๆอย่างนี้
“ไม่ลืมอะไรนะหนูมุก” ชิษวัศถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยแต่มุกตาภากลับทำหน้านิ่วแถมยังย่นจมูกใส่อีกฝ่ายด้วยต่างหาก
“ตั้งแต่เมื่อคืนพี่อาร์มส่งข้อความมาเตือนมุกเป็นสิบข้อความแล้วนะคะ”
“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” คนถูกทักถามหน้าเจื่อน ไม่คิดว่าข้อความที่ส่งไปมันจะเยอะขนาดนี้ เขาเองก็ไม่ได้นับด้วยว่าส่งไปแล้วกี่ข้อความรู้แค่ว่านึกอะไรออกก็พิมพ์ข้อความส่งไป
“ก็ใช่น่ะสิคะ มัวแต่มาเตือนมุก พี่อาร์มล่ะลืมเอายาแก้แพ้มาหรือเปล่า ไปทะเลเจออากาศเปลี่ยนเดี๋ยวก็ไม่สบายอีกหรอก” มุกตาภาถามกลับ เมื่อคืนเธอได้รับข้อความเตือนไม่ให้ลืมของใช้ส่วนตัวกระหน่ำจากชิษวัศแทบจะทุกๆห้านาที หญิงสาวจึงส่งกลับไปบอกเขาบ้างว่าอย่าลืมพกยาแก้แพ้มาด้วย เพราะรู้ดีว่าถ้าเจออากาศที่เปลี่ยนแปลงหรือฝุ่นจากที่พักโรคภูมิแพ้ซึ่งเป็นโรคประจำตัวของชิษวัศก็จะกำเริบทันที แต่ดูจากรอยยิ้มแห้งๆที่ส่งมาให้มุกตาภาก็พอรู้ว่าคำตอบที่เธอจะได้รับจากเขาจะเป็นอย่างไร
“ลืม”
“ว่าแล้วเชียว” หญิงสาวเอ่อยออกมาเมื่อการคาดคะเนของตัวเองถูกต้อง “มัวแต่มาเตือนมุก ข้อความที่มุกส่งไปได้อ่านบ้างหรือเปล่า ดีนะที่มุกเตรียมมาด้วย”
“ก็พี่มัวแต่กลัวว่าหนูมุกจะลืมของเลยลืมหยิบยาใส่กระเป๋ามา” ชิษวัศบอกเสียงอ่อย ข้อความที่มุกตาภาส่งมาน่ะชายหนุ่มก็เปิดอ่านอยู่หรอก แต่สมองมันมัวพะวงอยู่แต่กับเรื่องของเธอก็เลยลืมเรื่องของตัวเองไปเสียสนิท
“แล้วยาพ่นเอามาหรือเปล่าคะ” มุกตาภาถามต่อ หญิงสาวรู้อาการของชิษวัศเป็นอย่างดี ถ้าเมื่อใดอาการกำเริบชายหนุ่มจะรู้สึกหายใจไม่ออกแถมยังปวดหัวอย่างหนัก ในทุกๆวันจึงต้องใช้ยาพ่นและกินยาแก้แพ้อย่างนี้เสมอมาตั้งแต่เด็กๆ
“พี่...ไม่ได้พกยามาเลย”
“พี่อาร์ม!” มุกตาภาเรียวชื่ออีกคนเสียงสูง ชิษวัศส่งข้อความมาเตือนเธอไม่ให้ลืมของแต่เขากลับลืมของสำคัญอย่างยาประจำตัวมาทั้งหมดนี่นะ! เห็นแล้วมันน่าโมโหเสียจริง พี่อาร์มจะรู้ไหมว่ากำลังทำให้เธอห่วงมากแค่ไหนกันที่เขาปล่อยปะละเลยกับสุขภาพของตัวเองอย่างนี้
“ถ้าอย่างนั้นพี่อาร์มกลับไปเอายาที่บ้านก่อนแล้วค่อยไปหัวหินกัน” มุกตาภาบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“แต่บ้านหนูมุกกับบ้านพี่มันไกลนะครับ ย้อนไปย้อนมาเสียเวลาตายเลย”
“งั้นไปร้านขายยา” หญิงสาวยื่นข้อเสนอใหม่ ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมไปหัวหินถ้ายังไม่ได้ยาประจำตัวของชิษวัศ
“เช้าอย่างนี้ร้านขายยายังไม่เปิดหรอกหนูมุก เราไปกันเลยดีกว่า พี่ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
“ไม่ได้ค่ะ!” หากผู้ช่วยสาวที่ควบตำแหน่งน้องสาวหรืออะไรก็ตามที่ชิษวัศอยากให้มุกตาภาเป็นปฏิเสธออกมาเสียงแข็ง “มันต้องมีสักร้านที่เปิดแน่ค่ะ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ไปโรงพยาบาล ให้คุณลุงพี่อาร์มจ่ายยาให้” หญิงสาวเพิ่มตัวเลือกมาอีกข้อหนึ่งซึ่งก็คือโรงพยาบาลที่มีลุงของชิษวัศเป็นแพทย์ประจำอยู่
“งั้นไปโรงพยาบาลเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวพี่โทรบอกให้ลุงเรศจ่ายยาไว้ให้เลย” ชิษวัศเลือกหนึ่งในข้อเสนอของมุกตาภาซึ่งก็คือไปโรงพยาบาลโดยอาศัย ‘นพ. รณเรศ’ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงและเป็นหมอด้านหู คอ จมูก ประจำตัวตนเองช่วยจ่ายยาให้ ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ได้ออกเดินทางไปหัวหินกันเสียทีเพราะดูจากท่าทีมุกตาภาคงไม่ยอมแน่ถ้าจะไปหัวหินโดยปราศจากยาประจำตัวของเขา
ถ้าเป็นเมื่อก่อนชิษวัศคงโวยและสั่งอย่างเด็ดขาดตามความต้องการของตัวเองไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ชายหนุ่มถึงยอมโอนอ่อนให้กับความต้องการของใครอีกคน ผู้หญิงที่เขาพร่ำบอกว่าอย่าให้เธอมีอิทธิพลต่อหัวใจมากไปกว่านี้ แต่ก็เป็นชายหนุ่มเองที่เปิดโอกาสให้มุกตาภาเช้ามามีบทบาทกับชีวิต ชิษวัศยอมรับว่ารู้สึกดีไม่น้อยที่เห็นว่าเธอเป็นห่วงกัน นอกจากมารดาของเขา...มุกตาภาเป็นผู้หญิงคนแรกที่คอยเตือนเรื่องยาและไม่ยอมให้เขามองผ่านเรื่องนี้ไป
...ทำอย่างนี้พี่อาร์มก็แย่สิหนูมุก มาทำให้ไหวหวั่นกันอย่างนี้ เดี๋ยวพี่ก็ตบะแตกกันพอดี...
BMW X5 เดินทางมาถึงจุดหมายแม้จะเสียเวลาไปบ้างแต่ก็ยังพอมีเวลาเหลือก่อนจะเข้าประชุมกับผู้ร่วมทุนชาวต่างชาติ ชิษวัศเดินเข้าไปจัดการเช็คอินห้องพักที่จองไว้แม้อันที่จริงหน้าที่นี้ต้องเป็นหน้าที่ของมุกตาภาแต่ชายหนุ่มกลับปฏิเสธที่จะให้เธอทำก่อนที่ร่างสูงจะเดินกลับมาพร้อมกับกุญแจและคีย์การ์ดห้องพักเพียงชุดเดียวร้อนถึงผู้ร่วมเดินทางอย่าง มุกตาภาที่รีบถามขึ้นมาอย่างละล่ำละลักเมื่อเห็นสัญญาณอันตรายตั้งเค้า
“ทำไมมีชุดเดียวล่ะคะพี่อาร์ม แล้วกุญแจห้องมุกล่ะ”
“ก็นี่ไง” ชิษวัศยิ้มเจ้าเล่ห์ ชูกุญแจและคีย์การ์ดซึ่งห้อยมาด้วยกันให้หญิงสาวดู
“ไม่ตลกนะคะ มุกจะนอนห้องเดียวกับพี่อาร์มได้ยังไง” มุกตาภาเอ่ยคำปฏิเสธแต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าหน้ามันร้อนอย่างไรชอบกล
“แล้วทีเมื่อก่อนทำไมถึงนอนได้”
“เมื่อก่อน?” หญิงสาวย้อนถามเสียงสูง ไอ้เมื่อก่อนของเขานี่มันตอนไหนอย่าบอกนะว่า...
“ก็ตอนเด็กๆ หนูมุกชอบมาขอนอนห้องพี่ประจำ”
...นั่นไง! เธอกะแล้ว...
มุกตาภาตะโกนลั่นในใจเมื่อคำตอบของชิษวัศตรงกับสิ่งที่คิด ริมฝีปากบางเบ้เล็กน้อยอย่างนึกหมั่นไส้ว่าทีแต่ก่อนขนาดชื่อเธอยังจำไม่ได้แต่ตอนนี้กลับจำได้จำดีแถมยังขี้โกงเอามาเป็นข้ออ้างให้เธอนอนห้องเดียวกับเขาอีกต่างหาก อย่างนี้มันน่านักเชียว!
“ไม่คิดว่าพี่อาร์มจะจำได้” ประโยคนี้หญิงสาวแกล้งประชด ชิษวัศก็คงพอเดาน้ำเสียงนั้นได้จึงหัวเราะกลบเกลื่อนเบาๆ
“พี่ลองไปรื้ออัลบั้มรูปสมัยเด็กๆมา มันก็เลยพอจำได้บ้างแล้วคุณแม่ก็เล่าเพิ่มด้วย”
มุกตาภาแกล้งร้อง ‘อ๋อ’ เสียงยาวเพื่อเป็นประชดเสียอีกดอกหนึ่ง พอรู้ความจริงก็คงเพิ่งจะนึกได้ว่าเคยมีรูปถ่ายร่วมกันกับเธอและที่บอกว่ามารดาของเขาเล่าให้ฟังเธอมั่นใจว่าความจริงไม่ใช่อย่างนั้นแน่ ชิษวัศต่างหากที่ขอให้คุณอัญชิสาเล่าเรื่องระหว่างเขาและเธอเมื่อครั้งยังเด็กให้ฟังเพราะป้าอัญโทรมาบอกเธอหมดแล้วว่าลูกชายคะยั่นคะยอให้ท่านเล่าเรื่องในสมัยก่อนให้ฟังเสียตั้งค่อนคืน
‘หนูมุกไปทำอะไรพี่เขาไว้หรือเปล่าลูก ตาอาร์มเป็นอะไรไม่รู้ จู่ๆก็มาขอให้ป้าเล่าเรื่องหนูกับเขาตอนเด็กให้ฟังแถมยังถามจู้จี้เสียยกใหญ่’
เมื่อคืนมุกตาภาตอบคุณอัญชิสาไปว่าเธอไม่ได้ทำอะไรชิษวัศ แม้จะรู้สึกที่ต้องโกหกผู้ใหญ่แต่จะให้บอกไปว่า ‘หนูมุกจูบพี่อาร์ม’ ก็ทำไม่ได้อีกที่ทำได้คงมีเพียงแค่ปฏิเสธออกไปว่าระหว่างเธอและชิษวัศไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“ตอนนั้นมุกยังเด็กแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” เธอเถียง เหตุการณ์ในสมัยเด็กมันจะมาเหมือนกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นตอนนี้ได้อย่างไร
“แล้วตอนนั้นหนูมุกกับพี่อายุห่างกันกี่ปี”
“หกปีค่ะ”
“แล้วตอนนี้หนูมุกกับพี่อายุห่างกันกี่ปี”
“ก็ต้องหกปีเหมือนเดิมสิคะ จะเปลี่ยนได้ยังไง”
“ก็นั่นไง...ตอนนั้นกับตอนนี้อายุมุกกับพี่ก็ต่างกันหกปีเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นมุกจะนอนห้องเดียวกับพี่มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยจริงไหมล่ะ”
เหตุผลของชิษวัศเล่นเอามุกตาภาอึ้งไปพักใหญ่ กระเป๋าเสื้อผ้าในมือถูกคนตัวโตฉวยไปไว้ในมือก่อนจะลากมันเดินไปยังห้องพักเฉยไม่สนใจเจ้าของกระเป๋าที่กำลังยืนประมวลผลทางความคิดเลยแม้แต่น้อย มุกตาภามองชิษวัศที่เดินห่างออกไปไกลก่อนจะตัดสินใจถามพนักงานที่เคาท์เตอร์ว่ายังพอมีห้องพักเหลือหรือไม่เพื่อหาทางออกให้ตัวเองแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพนักงานสาวคนนั้นบอกว่า ‘ห้องพักทั้งหมดเต็มแล้วค่ะ’
เมื่อหนทางแก้ไขไม่มีให้มุกตาภาเลือกเดินหญิงสาวจึงจำใจต้องเร่งฝีเท้าให้ทันคนที่เดินไปก่อนหน้า จะมากลัวเอาตอนนี้คงสายไปเสียแล้ว ทำได้อย่างเดียวคงต้องเผชิญหน้าเต็มกำลัง พิสูจน์ให้รู้กันไปเลยว่าความมุ่งมั่นและความจริงใจของเธอจะเอาชนะ ‘ข้อต้องห้ามของชิษวัศ’ ไม่ได้
กระเป๋าเดินทางใบย่อมของเธอถูกว่างไว้มุมหนึ่งของห้องที่ถูกจัดไว้สำหรับเป็นห้องนั่งเล่น ด้านหน้าที่เห็นคือชายหาดและทะเลหัวหินที่มองได้หนึ่งร้อยแปดสิบองศาผ่านทางผนังห้องที่เป็นกระจกมีประตูเลื่อนสำหรับออกไปชมวิวพร้อมสูดอากาศด้านนอก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าห้องที่ชิษวัศเลือกมันเป็นห้องของคู่รักที่จะมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันชัดๆ ยิ่งเตียงขนาดคิงไซส์ที่ตั้งเด่นเป็นตระหง่านหลังฉากไม้กั้นแยกเป็นสัดส่วนให้รู้ว่าเป็นห้องนอนยิ่งตอกย้ำความมั่นใจว่าชิษวัศจงใจจะจองห้องอย่างนี้เพื่อที่จะเอาคืน ‘เรื่องจูบ’ เมื่อคราวก่อนกับเธอแน่แท้
“ทำไมมองพี่อย่างนั้น” ชิษวัศถามยิ้มๆเมื่อเห็นสายตาไม่ไว้วางใจของอีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องเดียวกัน
“พี่อาร์มวางแผนไว้ใช่ไหม” มุกตาภาถามเสียงแข็งหากชิษวัศเลิกคิ้วสูงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องในสิ่งที่หญิงสาวกำลังพูด
“วางแผนอะไร”
“พี่อาร์มจงใจจองห้องพักห้องเดียวแถมยังเป็นเตียงเดียวอีกใช่ไหม”
“จงใจที่ไหน อาทิตย์นี้ที่นี่มีบริษัทพาพนักงานมาพักผ่อนพอดี ห้องพักมันก็เลยเต็มที่สำคัญหุ้นส่วนที่เราจะมาคุยงานเขาก็ระบุว่าอยากพักที่นี่ พี่จองห้องได้ก็เก่งแล้วนะ ไม่เชื่อหนูมุกลองถามพนักงานที่รีสอร์ทก็ได้”
ชิษวัศปฏิเสธข้อกล่าวหาแถมยังมีข้อแก้ต่างให้ตัวเองด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือแถมยังกล้าท้าให้มุกตาภาไปพิสูจน์ความจริงเสียด้วยเพราะมั่นใจว่าเธอต้องไปถามมาแล้วว่ายังพอมีห้องพักเหลือหรือไม่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่โต้กลับชิษวัศก็แน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้เป็นไปตามความคาดการณ์
“งั้นพี่อาร์มต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ” สมองประมวลผลอย่างรวดเร็วพร้อมคิดวิธีใหม่ที่ทำให้เธอไม่ต้องนอนเตียงเดียวกับชิษวัศออกมา
“ความบริสุทธิ์ใจ?” ชิษวัศย้อนถามเสียงสูง เตรียมตั้งรับเต็มที่
“พี่อาร์มต้องนอนที่โซฟาห้ามนอนบนเตียงเด็ด...”
“ขอปฏิเสธ” คำปฏิเสธของชิษวัศที่สวนขึ้นมาทั้งที่มุกตาภายังพูดไม่จบทำเอาหญิงสาวอ้าปากค้างก่อนจะหุบฉับงับอากาศและยืนอึ้งไปเสียพักใหญ่ คำพูดที่เตรียมไว้ไม่รู้ว่าร่วงหายไปไหนหมดทำได้เพียงแค่ยืนมองคนที่อายุมากกว่าตามปริบๆ
“พี่บริสุทธิ์ใจทำไมต้องระเห็จตัวเองไปตอนที่โซฟา หนูมุกนั่นแหละ...คิดอะไรอยู่” ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเจอย้อนศรเข้าอย่างนี้ ทั้งที่ตอนแรกมุกตาภากะจะใช้วิธีนี้ต้อนชิษวัศให้จนมุมแท้ๆแต่ทำไปทำมากลับเป็นเธอเสียเองที่โดนพลิกเกมเสียจนทำท่าว่าจะแพ้ยกกระดาน
“มุก มุกคิดอะไร มุกไม่ได้คิดอะไรซะหน่อย” คำปฏิเสธที่ตะกุกตะกักกับใบหน้าที่แดงก่ำของหญิงสาวทำให้ชิษวัศนึกขำในใจ
“ไม่คิดอะไรแน่นะ เห็นทำท่ากลัวที่จะนอนเตียงเดียวกับพี่เสียขนาดนั้น พี่น่ะ...ไม่คิดจะทำอะไรหนูมุกหรอก แต่ดูจากท่าทางหนูมุก...” ชิษวัศไล่สายตามองมุกตาภาตั้งแต่หัวจรดเท้า “...สงสัยพี่ต้องระวังตัวเองซะแล้วล่ะมั้ง”
“พี่อาร์ม!!” มุกตาภาเรียกอีกฝ่ายเสียงสูง ทั้งโกรธทั้งอาย ทุกอย่างที่คิดไว้กลับตาลปัตรไปทั้งหมด ไม่ใช่ชิษวัศหรอกที่ถูกต้อน แต่เป็นเธอต่างหากที่กำลังถูกเขาต้อนจนจนมุม!
“ไม่ต้องคิดมากหรอกนะหนูมุก พี่ไม่ทำอะไรหรอกครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอื้อนเอ่ยหนักแน่นราวกับต้องการให้สัญญา แต่มุกตาภาคงไม่รู้ว่าชิษวัศได้แอบไพล่มือข้างหนึ่งไว้ด้านหลังที่สำคัญนิ้วชี้กับนิ้วกลางยังเกี่ยวไขว้กันไว้อย่างแน่นหนา!
...ก็เธออยากจะราดน้ำมันลงในไฟที่กำลังมอดเองนี่นะ ถึงจะเขาจะบอกว่าไม่นิยม ‘กินเด็ก’ แต่ผู้ชายอย่างชิษวัศก็ไม่ชอบให้ใครมาลูบคมเหมือนกัน เพราะฉะนั้น...งานนี้ต้องมีเอาคืน...
มุกตาภามองคนที่คล้ายว่าจะให้คำสัญญาอย่างพิจารณา ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเสียเท่าไหร่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญไม่ใช่เรื่องที่ชิษวัศจงใจให้มันเป็น แต่ดวงตาสีนิลที่มองสบมากลับแน่วแน่ อีกครั้ง...ที่หญิงสาวต้องยอมแพ้ให้กับสายตาแบบนี้ของเขา
“มุกจะเชื่อพี่อาร์มก็ได้ค่ะ” หญิงสาวยอมรับปาก แว่บหนึ่งเธอแอบเห็นว่าชิษวัศลอบยิ้มแบบแปลกๆแต่ก็คิดว่าตาคงฝาดไป ก่อนจะพูดคำพูดที่เปรียบเสมือนไม้หน้าสามฟาดเสียชิษวัศแทบน็อคคาที่
“ที่เชื่อ...เพราะรู้ดีว่าพี่อาร์มไม่ชอบ ‘กินเด็ก’ หรอกนะคะ ถึงมุกจะยืนยันว่ามุกไม่ใช่เด็กแล้วแต่พี่อาร์มก็ยังคิดว่ามุกเป็นแค่ ‘เด็ก’ อยู่ดีใช่ไหมคะ” มุกตาภาเหยียดยิ้มขึ้นเมื่อตนเองกลับมาเป็นต่ออีกครั้ง อาการตะลึงงันของชิษวัศบ่งบอกได้อย่างดีว่าเขาคงตกใจไม่น้อยที่เธอรู้เรื่อง ‘ข้อต้องห้ามของชิษวัศ’
“ถ้าเป็นอย่างนั้น...” มุกตาภาทอดเสียงอ่อนสบดวงตาสีนิลนั้นแน่นิ่ง “มุกก็คงจะเบาใจเพราะพี่อาร์มไม่มีวันที่จะผิดคำพูดของตัวเองแน่...มุกรู้ดี” รอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้งถูกส่งให้ชิษวัศ มั่นใจว่าภายใต้สีหน้าเรียบเฉยที่แสดงออกให้เธอได้เห็นชิษวัศคงกำลังโมโหอยู่แน่ที่ถูกข้อห้ามของตัวเองย้อนเข้าให้ ทิ้งท้ายไว้เพียงแค่รอยยิ้มก่อนที่หญิงสาวจะเดินออกไปนอกระเบียงเพื่อชมวิวของทะเลหัวหินโดยทิ้งให้ชิษวัศยืนนิ่งอยู่ภายในห้องเพียงคนเดียว
ดวงตาสีนิลคู่คมเลื่อนมองร่างที่กำลังยืดแขนบิดขี้เกียจอยู่ริมระเบียงห้อง รอยยิ้มเยาะเย้ยกับเสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นอย่างสมเพชตัวเองที่ถูกมุกตาภาย้อนศรได้เจ็บแสบไม่เบาเมื่อ ‘ข้อต้องห้ามของชิษวัศ’ ถูกยกขึ้นมาเป็นกำแพงกั้นกลางระหว่างเขาและเธอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนชิษวัศคงรู้สึกคลายความกังวลไปไม่น้อยถ้าเธอจะถอยห่างไปอย่างนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว...ถึงเธอจะหาข้ออ้างที่เขาเองก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้แต่เธอคงไม่รู้ว่า ‘ข้อห้าม’ มันมักมาคู่กับ ‘ข้อยกเว้น’ เสมอ ซึ่งจริงอยู่ว่าแต่ก่อนชายหนุ่มมักไม่มีข้อยกเว้นให้กับข้อห้ามของตัวเองแต่มันก็เป็นเรื่องของเมื่อก่อน...เพราะตอนนี้ เวลานี้ ‘ข้อยกเว้น’ ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว!
...แต่มันก็เป็นเพียงข้อยกเว้นที่เกิดขึ้นเพื่ออยากเอาคืนเธอที่หาญกล้าเป็นโจรขโมยจูบเท่านั้น ไม่ได้มีขึ้น...เพื่อให้หัวใจดวงนี้ได้รักเธอ ไม่ใช่เลย...
---------------------------------------------------------------------------------------------------
เอาแล้วค่ะ...ข้อยกเว้นถือกำเนิดแล้ว แม้เจ้าตัวจะยังคงปฏิเสธความรู้สึกตัวเองก็ตาม แต่การกระทำนี่มันไม่ได้ไปทางเดียวกับความคิดเลยว่าไหมคะ??
แล้วแบบนี้จะไหวเร้อ...พี่อาร์มมมมมม ฮ่าๆๆๆ คอยดูต่อไปค่ะ
ตอนหน้ามาดูอีกคู่หนึ่งที่กำลังตามมาค่่ะ ว่าจะแสบกันขนาดไหน
ตอบเมนท์กันค่ะ...
violette : เรื่องเฟลอร์พี่อาร์มคงไม่หวั่นไหวหรอกค่ะ แต่หนูมุกนี่สิจะหวั่นไหวจนเข้าใจผิดพี่อาร์มหรือเปล่า เฮ้ออออออ
anOO : ตัดสินใจง่ายกว่าเดิมเลยค่ะ แต่ก็ยังมีความคิดที่ค้านความต้องการอยู่ พี่อาร์มนี่ยังไงกันนะ!
roseolar : ถึงจะระวังแต่พี่อาร์มก็จะเอาคืนจ้า...ดีใจที่คุณ roseolar ดีใจนะคะ อิอิ (ปล. ปอแก้วรอนิยายของคุณ roseolar อยู่น้า แอบทวง...เบาๆ ><)
nunoi : เล่นเอาพี่อาร์มคิดไม่ถึงเลยล่ะค่ะ ฮ่าาาาาา
WallyValent : เป็นวิธีพิสูจน์ที่เห็นผลเร็วกว่าการทดลองใดๆ ทำปุ๊บเห็นผลปั๊บ ดีจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆ
ชอบไม่ชอบยังไงบอกกันได้เสมอนะคะ
ขอบคุณทุกไลค์ ทุกคนที่เข้ามาอ่านและทิ้งคอมเมนท์ไว้เป็นกำลังใจนะคะ (ใครไม่รู้จะเมนท์อะไรก็กดไลค์เป็นกำลังใจได้นะเออ อิอิ)
เจอกันตอนหน้าค่ะ (อาทิตย์หน้าเลยนะคะ แหะๆ) :)
-----------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 9 : เมื่อมีข้อห้ามก็ต้องมีข้อยกเว้น
อาคารเรียนรวมสูงสิบชั้นซึ่งเป็นตึกที่ใช้สำหรับการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนิสิตส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัย ใต้ตึกเป็นลานโล่งมีทั้งโต๊ะ เก้าอี้ที่ถูกทำขึ้นโดยฝีมือของคณะสถาปัตยกรรมที่ทำจากเศษวัสดุเหลือใช้ และด้วยเป็นอาคารเรียนที่มีลมพัดเย็นตลอดทั้งวัน นิสิตหลายคนจึงมักจะใช้เวลาว่างระหว่างรอเรียนหรือหลังเลิกเรียนจับจองโต๊ะที่มีอยู่เต็มใต้อาคาร บ้างก็นั่งเล่นอินเทอร์เน็ต บ้างก็อ่านหนังสือ ช่วยกันติวหนังสือเพื่อเตรียมสอบหรือนั่งปั่นงานที่คั่งค้าง แต่ก็คนมีบุคคลหนึ่งซึ่งแตกต่างออกไป ดวงตาชั้นเดียวจ้องมองไปยังหน้าลิฟต์ของตัวอาคารเมื่อเข็มนาฬิกาบนข้อมือบ่งบอกถึงเวลาเลิกงานของคนที่รอคอย อารัทธ์มักมานั่งรอนิชิตาที่นี่ในวันที่การงานไม่รุมเร้า ซึ่งพักหลังๆแม้งานทั้งที่ร้านทองของครอบครัวและร้านเพชรที่มีหุ้นร่วมกับชิษวัศจะมีงานเข้ามาเยอะ แต่ชายหนุ่มก็มักชิ่งหนีกันเสียดื้อๆ เพราะหัวใจมันร่ำร้องว่าถ้าไม่ได้เห็นหน้าตาโหดๆของ ‘อาจารย์นิชิตา’ ชีวิตมันแลดูจะห่อเหี่ยวพิกล
ทันทีที่ดวงตาชั้นเดียวมองเห็นเหยื่อ อารัทธ์ก็จัดการล็อคเป้าหมาย ร่างสูงขยับตัวลุกขึ้นก้าวยาวๆไปยังหน้าลิฟต์แต่ดูเหมือนว่าคนที่กลายเป็น ‘เหยื่อ’ เองก็เห็น ‘ผู้ล่า’ เช่นกัน นิชิตาอาศัยจังหวะที่มีนิสิตออกันอยู่เต็มทางเข้าลิฟต์แทรกตัวออกมาอย่างรวดเร็วโดยใช้เหล่ากองทัพนิสิตเป็นกำบังพรางตัว อาจารย์สาวก้าวเท้าอย่างรวดเร็วเพื่อกลับไปยังตึกของคณะที่เธอทำงานเป็นอาจารย์ประจำ หญิงสาวต้องทำตัวเป็นนินจาฮาโตริรีบเดินอย่างรวดเร็วและคอยระวังตัวอย่างนี้เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนตั้งแต่ชีวิตมีผู้ชายที่ชื่ออารัทธ์เข้ามาวุ่นวาย ผู้ชายบ้าคนนั้นไม่รู้ว่าวันๆมีเวลามากหรืออย่างไรถึงคอยนั่งเฝ้าเธออยู่ได้ทุกวัน หลบก็หลบแล้ว หนีก็หนีแล้วแต่ตานั่นก็ยังตามจนเจออยู่ดี ไม่รู้ว่าเลนส์ตาติดเรดาร์อะไรเสริมหรือเปล่าถึงได้หาพิกัดของเธอเก่งนักแถมยังแม่นยำทุกครั้งไป ภาวนาก็แต่ว่าครั้งนี้ขออย่าให้เจอะเจอกันเลย
“คุณอาจารย์” แต่คำภาวนาของนิชิตาก็ไม่ได้ดังหวังเมื่อร่างของอารัทธ์เดินมาดักตรงหน้า หญิงสาวแอบบ่นเบาๆอย่างหัวเสีย ขนาดเธอเลือกที่จะใช้เส้นทางที่อ้อมกว่าปกติเพื่อจะสลัดคนที่เกาะแน่นไม่ยอมปล่อยแล้วเชียวนะ แต่หมอนี่ก็ยังรู้ทันความคิดแถมดักทางเธอถูกเสียอีก
...ใครก็ได้ช่วยที เธออยากจะบ้า!!...
“นี่คุณอารัทธ์ คุณเลิกทำตัวเป็นสโตกเกอร์สักทีจะได้ไหม ฉันจะบ้าตายแล้วนะ!” นิชิตาหันมาแว้ดใส่เสียงสูง ดวงตาเรียวเล็กได้กรอบแว่นสายตาจ้องมองชายหนุ่มที่ริอาจขโมยจูบแรกของเธออย่างโกรธเกรี้ยว ถึงกระนั้นอารัทธ์ก็ยังยิ้มได้ ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย กลับชอบเสียอีกต่างหากที่ถูกอีกฝ่ายมองด้วยสายตาอาฆาตกันอย่างนี้
“ผมเป็นสโตกเกอร์ที่ไหน ก็รอคุณให้เห็นกันจะๆนี่ล่ะ คุณต่างหากที่เดินหนี ผมก็ต้องตามสิ”
“แล้วจะมารอฉันทำไมมิทราบ มันรำคาญนะรู้ไหม!”
“ก็ผมจะจีบคุณ ไม่ให้มารอคุณแล้วจะให้รอใคร” อารัทธ์พูดคำว่า ‘จีบ’ ราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ชายหนุ่มไม่มีอาการเก้อเขินที่ต้องแสดงความในใจออกมา ผิดกับฝ่ายของคนที่กำลัง ‘ถูกจีบ’ ที่หน้าแดงหูแดงไปหมดด้วยไม่รู้ว่าเพราะอารมณ์ใดระหว่างโมโหกับอาย
“ก็ไปรอสาวๆของคุณสิ เลิกยุ่งกับฉัน ฉันไม่สนใจคุณ ไม่ว่าจะเมื่อวานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ หรือตลอดไป!” นิชิตาหมุนตัวกลับเดินต่อ แม้จะรู้สึกหน้าร้อนผ่าว หัวใจก็เต้นผิดปกติที่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของอารัทธ์แต่ก็รีบที่จะปฏิเสธว่าเธอไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวกับคำพูดพวกนั้น อาการทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ก็เพราะว่าเธอโมโห แค่โมโห...ไม่มีความรู้สึกอื่นใดมาเจือปน
“แต่ผมจูบคุณไปแล้วนี่นา” ประโยคนี้ทำให้คนที่หันหลังเดินหนีหยุดอยู่กับที่ อารัทธ์จึงอาศัยจังหวะนั้นเดินอ้อมไปดักหน้านิชิตาอีกครั้งแต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ Text Book ภาษาอังกฤษนับพันหน้าก็ถูกเหวี่ยงมาโดนท่อนแขนแข็งแกร่งอย่างแรงจนอารัทธ์ต้องร้องโอย
“ถ้าคุณกล้าพูดถึงเหตุการณ์วันนั้นอีก ต่อไปมันจะไม่ใช่แขนแต่เป็นปากของคุณ!”
“ถ้าคุณตบปากผมด้วย Text ผมตบปากคุณกลับด้วยจูบนะ”
“ไอ้บ้า!!” หนังสือเล่มหนาเล่มเดิมถูกเหวี่ยงอีกครั้งแต่ครั้งนี้อารัทธ์รู้ทันจึงเบี่ยงตัวหลบ ใช้ความเร็วจับข้อมือข้างที่ถือหนังสือของนิชิตาไว้มั่น ไม่ยอมปล่อยให้เธอมาทำร้ายกันได้อีกเป็นครั้งที่สอง
“เป็นครูบาอาจารย์พูดจาหยาบคายอย่างนี้ถ้าลูกศิษย์เห็นเข้าจะไม่ดีนะครับ” อารัทธ์ดึงร่างที่ดิ้นสุดแรงเกิดให้ชิดเข้าหาตัว จนนิชิตาต้องเบือนหน้าหนีเมื่อระยะห่างระหว่างเธอและเขาเริ่มที่จะล่นระยะเข้ามา พยายามดันตัวให้ออกห่างเพราะที่นี่คือมหาวิทยาลัย แม้จะเป็นทางเดินที่อยู่ข้างตึกซึ่งมีคนเดินไม่พลุกพล่านแต่อารัทธ์ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาแสดงกิริยาอย่างนี้กับเธอ
“โอเค...ฉันยอมคุณแล้ว เพราะงั้นปล่อยได้หรือยัง”
อารัทธ์ยิ้มอย่างพอใจ ยอมคลายมือออกจากข้อมือเล็กแต่ก็ยังริบหนังสือเล่มหน้าไว้ มั่นใจว่านิชิตาจะไม่เดินหนีไปอีกครั้งแน่ ผู้หญิงคนนี้ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเวลาเพลี่ยงพล้ำสมควรที่จะต้องถอย เวลาได้เปรียบสมควรที่จะต้องบุก และเวลานี้เธอกำลังเพลี่ยงพล้ำเพราะฉะนั้น...เธอต้องยอมถอย ถึงจะถอยแบบไม่ค่อยจะเต็มใจก็เถอะ
“ว่าง่ายๆอย่างนี้ค่อยน่ารักหน่อย” ไม่ชมเปล่าเพราะอารัทธ์หาจังหวะที่นิชิตาเผลอไปชั่ววินาทีกดจมูกลงบนแก้มนวลอย่างรวดเร็ว แถมยังมีแก่ใจมาทำหน้าแป้นแล้นใส่นิชิตาเสียอีกต่างหาก เพราะไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่ฉลาด ชายหนุ่มเองก็ฉลาดเช่นกัน เพราะรู้ว่าเวลานี้ตนเองกำลังได้เปรียบ...จึงต้องรีบบุก
ส่วนอีกคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบแทบอยากจะกระโดดเตะก้านคอผู้ชายที่ริอาจหอมแก้มเธอนัก ถ้าไม่ติดว่าเธอกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบล่ะก็ ไม่มีทางที่เธอจะปล่อยให้อีตาบ้านี่ทำอะไรตามใจตัวเองได้ขนาดนี้แน่ แต่เพราะอาวุธเพียงอย่างเดียวของเธอถูกเขายึดไปแล้วถ้าจะใช้ท่าเดิมที่เคยใช้ ‘เตะ’ ไปเมื่อคราวนั้น ผู้ชายคนนี้ก็คงจะหลบได้อีก ไม่มีทางจะเสียเหลี่ยมเธอเป็นครั้งที่สองแน่
...แต่เอ๊ะ! บางทีอาจจะพลาดก็ได้นะ ถ้าสงสัยก็ต้องพิสูจน์...
“ผมไม่พลาดให้คุณเตะน้องชายรอบสองหรอกนะ เลิกคิดไปได้เลย” อารัทธ์หรี่ตามอง รู้ทันในความคิดของอาจารย์สาว นิชิตาส่งค้อนให้คนที่ริอาจฉลาดเป็นกรดรู้ทันว่าเธอกำลังคิดอะไร
“แล้วคุณมีอะไร คงไม่ใช่แค่มากวนประสาทฉันเหมือนทุกๆวันหรอกนะ” นิชิตาถาม ปกติอารัทธ์จะมากวนประสาทเธออย่างนี้ในทุกๆวันแต่จะมาแค่เดี๋ยวเดียวแล้วก็ไป หากวันนี้เขากลับอยู่ต่อล้อต่อเถียงกับเธอตั้งนาน มาอีหรอบนี้แสดงว่าคงมีเรื่องอะไรมาพูดกับเธอ
“คุณอาจารย์ของผมฉลาดจริง”
นิชิตาส่งสายตาอาฆาตไปให้หนุ่มตี๋หน้าขาวเมื่อคำว่า ‘ของผม’ หลุดออกจากปากของเขา เป็นตายร้ายดีอย่างไรเธอก็จะไม่มีวันเป็นหนึ่งในคอนเลคชั่นผู้หญิงของอารัทธ์เป็นแน่ ผู้ชายที่เธอเกลียดยิ่งกว่าเวลาแมลงสาบบินไม่มีทางเสียหรอกที่จะเปลี่ยนเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวในการ์ตูนของวอลดีสนีย์ในแบบที่เธอชอบ...ไม่มีทาง!
“คุณอารัทธ์...ขอประเด็นเลย ไม่ต้องอ้อมดาวพลูโตแล้วค่อยวกกลับมาดาวโลก” คำเหน็บแนมของนิชิตาสร้างรอยยิ้มให้กับอารัทธ์ได้เหมือนอย่างเคย รู้สึกว่าถูกใจเธอก็เพราะอย่างนี้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนเลยที่คอยแต่วิ่งหนีผู้ชายอย่างเขา เธอเป็นคนแรกที่ทำอย่างนี้และเป็นผู้หญิงคนแรกเช่นกันที่ผู้ชายอย่างนายอารัทธ์...วิ่งไล่ตาม
“เสาร์อาทิตย์นี้ว่างไหม ไปหัวหินกัน”
“ว่าง แต่ไม่ไป” นิชิตาปฏิเสธคำชวนนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องไปไกลถึงหัวหินหรอกแค่หัวมุมตึกตรงโน้นถ้าเขาชวนเธอก็ไม่ไปแล้ว
“แต่น้องมุกไปหัวหินกับไอ้อาร์มนะ สองต่อสองด้วย คุณไม่เป็นห่วงเหรอ” นิชิตาชะงักไปเมื่อได้ฟังข่าวจากอารัทธ์ ปกติมุกตาภาจะโทรบอกเธอเสมอถ้าจะไปทำงานนอกสถานที่ แต่ทำไมคราวนี้เพื่อนสาวถึงไม่ยอมบอก แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าชิษวัศคงเป็นสุภาพบุรุษกว่าอารัทธ์ แต่นิชิตาก็ไม่มั่นใจเต็มร้อย ชิษวัศและอารัทธ์นั้นเป็นเพื่อนสนิทกันที่ทนคบกันได้นับสิบปี ถ้านิสัยไม่ใกล้เคียงกันคงไม่คบกันนานขนาดนี้ เป็นห่วงก็แต่มุกตาภา ไม่รู้ว่าจะโดนชิษวัศคิดเอาคืนหรือเปล่าที่ดันริอาจไป ‘ขโมยจูบ’ ไว้ ถ้าเป็นอย่างนั้นความปลอดภัยของเพื่อนเธอก็น่าห่วงอย่างที่อารัทธ์พูดจริงๆ
“ห่วง แต่ถ้าไปกับคุณฉันก็ห่วงความปลอดภัยของตัวเองเหมือนกัน” ใจหนึ่งก็ห่วงความปลอดภัยของมุกตาภา แต่อีกใจหนึ่งก็ห่วงความปลอดภัยของตัวเองเช่นกันถ้าจะต้องร่วมเดินทางกับปลาไหลใส่สเก็ตอย่างอารัทธ์ มีหวังเธอได้บ้าก่อนถึงหัวหินกันพอดี
“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า หรือคุณกลัวว่าถ้าไปหัวหินพอเจอบรรยากาศโรแมนติกของทะเลเข้าแล้วเกิดจะหลงรักผมขึ้นมา”
“ฉันไม่ได้กลัว! พรุ่งนี้กี่โมงว่ามาเลย”
...ติดกับ!!...
อารัทธ์กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ กะไว้ไม่ผิดว่าถ้าใช้แผนนี้แล้วจะได้ผล ผู้หญิงอย่างอาจารย์นิชิตา เธอยอมตายเสียดีกว่าที่จะยอมถูกผู้ชายอย่างเขากล่าวหาว่า ‘กลัว’ แล้วก็เห็นผลอย่างรวดเร็วดังคาด เธอตอบตกลงอย่างฉับไว
“เจ็ดโมงเช้าแล้วกันครับ ไอ้อาร์มมันก็ไปรับน้องมุกเวลาประมาณนั้นเหมือนกัน” อารัทธ์จัดการนัดเวลา นิชิตาพยักหน้ารับรู้แต่ก็ยังไม่วายส่งสายตาดุๆไปให้อีกฝ่าย
“ถ้าคุณเล่นตุกติกกับฉันล่ะก็...อย่าว่าแต่น้องชายเลย ไอ้คนเป็นพี่ชายฉันก็ไม่เว้น!” น้ำเสียงและแววตาที่จริงจังคือสิ่งที่อารัทธ์ได้เห็น นิชิตาคว้าหนังสือของตัวเองที่อยู่ในการครอบครองของอารัทธ์กลับคืนมาอย่างว่องไว หันตัวหันหลังกลับรีบเดินออกจากจุดๆนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงกวนประสาทตะโกนดังไล่หลังมา
“พรุ่งนี้เจอกันนะครับคุณอาจารย์ที่รัก!!!”
...ไอ้คนกวนประสาท!!...
ร่างที่เดินห่างออกไปไกลแต่ก็ยังได้ยินเสียงที่ตะโกนมา นิชิตาต่อว่าคนต้นเสียงในใจ ทำไมยิ่งเกลียดถึงยิ่งเจอก็ไม่รู้ผู้ชายอย่างนี้ แถมยังเกาะแน่นยิ่งกว่าปลิงเสียอีก จะดึงออก สลัดออก แงะออก ทึ้งออกแล้วเหวี่ยงให้ไปไกลแค่ไหนก็ยังกลับมาเกาะเธอเหมือนเดิม เกาะแน่นอย่างเดียวไม่เท่าไหร่แต่ชอบล่อลวงด้วยคำพูดแปลกๆนี่สิที่เธอรับไม่ได้ หญิงสาวรู้สึกว่าคำหวานเหล่านั้นมันอันตราย ถ้าเธอพลั้งเผลอไปลองลิ้มชิมรสมีหวังได้ตกอยู่ในบ่วงที่นายอารัทธ์ดักไว้จนไปไหนไม่รอดเป็นแน่ แต่ไม่มีวันเสียหรอก ไม่มีวันที่นิชิตาคนนี้จะเดินซ้ำรอยของนิษศินี เธอเห็นรอยเท้าของลูกพี่ลูกน้องสาวที่ก้าวพลาดในชีวิตรักมาด้วยตาคู่นี้ของตัวเอง เพราะฉะนั้น...เธอจะไม่มีวันก้าวซ้ำรอยเท้านั้นเด็ดขาด!
หลังจากผ่านคืนวันเหตุการณ์ ‘พิสูจน์ความเป็นเด็ก’ วันรุ่งขึ้นมุกตาภาออกจากบ้านไปทำงานด้วยความกลัวๆกล้าๆ ไม่รู้จะปั้นหน้าทักทายชิษวัศว่าอย่างไร ความบ้าระห่ำของเมื่อวานไม่รู้ว่าร่วงหายไปตามทางแล้วหรือย่างไรจึงทำให้เธอละล้าละลังไม่เข้าภายไปในห้องทำงานอย่างนี้ สุดท้ายหญิงสาวก็รวบรวมแรงกายแรงใจเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับทักทายผู้ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานอยู่ก่อนแล้วด้วยน้ำเสียงสดใสกับรอยยิ้มกว้างที่แลดูจะเกินกว่าปกติที่เธอจะทำ แต่ชิษวัศก็ไม่ได้ว่าอะไร ชายหนุ่มทำเพียงแค่ยิ้มรับแล้วต่างคนก็ต่างทำงานกันตามปกติ ปกติเสียจนมุกตาภาคิดว่า ‘จูบ’ ของเธอเมื่อคืนวานมันไม่ได้ไปกระตุ้นอะไรเขาเลยหรือ ชิษวัศยังคงมีท่าทางเหมือนเดิม แม้คำสรรพนามที่ใช้แทนตัวเองกับที่ใช้เรียกเธอจะเปลี่ยนไปเป็น ‘พี่’ กับ ‘หนูมุก’ แต่อย่างอื่นก็ยังเหมือนเดิม รอยจูบของเธอไม่สามารถทลายข้อห้ามของเขาได้เลยหรือ
หลังเลิกงานเมื่อต่างฝ่ายต่างจัดการงานในรับผิดชอบของตัวเองเสร็จเรียบแล้วก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน เป็นครั้งแรกที่ชิษวัศเดินมาส่งเธอที่อาคารจอดรถ พร้อมทั้งกำชับให้ขับรถกลับบ้านอย่างระมัดระวัง ถึงบ้านเมื่อไหร่ให้โทรรายงานเขาทันที คราวนี้มุกตาภาไม่เอ่ยปากบ่นสักคำว่าเธอไม่ใช่เด็กแล้ว หญิงสาวยิ้มให้กับความห่วงใยนั้น อย่างน้อย...ตอนนี้เธอก็สัมผัสความห่วงใยจากชิษวัศได้มากกว่าเดิม ความอบอุ่นและน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของ ‘พี่อาร์ม’
ทันทีที่ถึงจุดหมายปลายทางมุกตาภาจัดการกดโทรศัพท์โทรออกหาชิษวัศก่อนเป็นอันดับแรกตามใบสั่งที่ได้มาเพื่อบอกว่าเธอถึงบ้านเรียบร้อยครบสามสิบสองไม่ต้องเป็นห่วงแต่เมื่อจะวางสายหญิงสาวก็ได้รับงานด่วนพิเศษกลางอากาศอีกครั้งด้วยคำสั่งที่ว่าพรุ่งนี้ตอนเจ็ดโมงเช้าชิษวัศจะมารับเธอที่บ้านเพื่อไปคุยงานกับหุ้นส่วนรายใหม่ที่หัวหินด้วยกันเป็นเวลาสองวันให้เธอเตรียมตัวไว้ด้วย พอจะถามรายละเอียดที่มากกว่านี้ก็ถูกตัดบทมาง่ายๆว่าจะอธิบายให้ฟังทีหลังก่อนที่จะสัญญาณจะถูกตัดไป พอหญิงสาวโทรกลับก็ดันติดต่อไม่ได้คล้ายอีกฝั่งจงใจปิดเครื่องเพื่อที่จะแกล้งกัน!
เมื่อทำอะไรไม่ได้ผลสรุปที่ต้องออกมาก็คือการมายืนรอชิษวัศหน้าบ้านพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบย่อมอีกหนึ่งใบ แม้จะสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าเขารู้จักทางมาบ้านเธอได้อย่างไร แต่พอมานึกๆดูอีกทีเรื่องแค่นี้ก็ไม่น่ายากเกินความสามารถของผู้ชายอย่างชิษวัศอยู่ดีแถมยังเป็นคนตรงเวลามากเสียด้วยเมื่อเข็มนาฬิกาข้อมือของมุกตาภาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้าพอดิบพอดีไม่มีขาดเกิน BMW X5 สีดำปราบก็จอดเทียบหน้ารั้วบ้าน ชิษวัศในชุดเสื้อสีขาวแขนยาวที่ถูกพับร่นไปถึงข้อศอกสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำกับกางเกงขาสี่ส่วนสีเบจทำให้ดูแปลกตากว่าเดิม เพราะปกติมุกตาภามักเห็นเขาในมาดของคุณชายใส่สูทผูกไทด์ทั้งวันนั่งทำหน้าเครียดอยู่กับงานไม่ใช่ผู้ชายที่มีท่วงท่าสบายๆอย่างนี้
“ไม่ลืมอะไรนะหนูมุก” ชิษวัศถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยแต่มุกตาภากลับทำหน้านิ่วแถมยังย่นจมูกใส่อีกฝ่ายด้วยต่างหาก
“ตั้งแต่เมื่อคืนพี่อาร์มส่งข้อความมาเตือนมุกเป็นสิบข้อความแล้วนะคะ”
“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” คนถูกทักถามหน้าเจื่อน ไม่คิดว่าข้อความที่ส่งไปมันจะเยอะขนาดนี้ เขาเองก็ไม่ได้นับด้วยว่าส่งไปแล้วกี่ข้อความรู้แค่ว่านึกอะไรออกก็พิมพ์ข้อความส่งไป
“ก็ใช่น่ะสิคะ มัวแต่มาเตือนมุก พี่อาร์มล่ะลืมเอายาแก้แพ้มาหรือเปล่า ไปทะเลเจออากาศเปลี่ยนเดี๋ยวก็ไม่สบายอีกหรอก” มุกตาภาถามกลับ เมื่อคืนเธอได้รับข้อความเตือนไม่ให้ลืมของใช้ส่วนตัวกระหน่ำจากชิษวัศแทบจะทุกๆห้านาที หญิงสาวจึงส่งกลับไปบอกเขาบ้างว่าอย่าลืมพกยาแก้แพ้มาด้วย เพราะรู้ดีว่าถ้าเจออากาศที่เปลี่ยนแปลงหรือฝุ่นจากที่พักโรคภูมิแพ้ซึ่งเป็นโรคประจำตัวของชิษวัศก็จะกำเริบทันที แต่ดูจากรอยยิ้มแห้งๆที่ส่งมาให้มุกตาภาก็พอรู้ว่าคำตอบที่เธอจะได้รับจากเขาจะเป็นอย่างไร
“ลืม”
“ว่าแล้วเชียว” หญิงสาวเอ่อยออกมาเมื่อการคาดคะเนของตัวเองถูกต้อง “มัวแต่มาเตือนมุก ข้อความที่มุกส่งไปได้อ่านบ้างหรือเปล่า ดีนะที่มุกเตรียมมาด้วย”
“ก็พี่มัวแต่กลัวว่าหนูมุกจะลืมของเลยลืมหยิบยาใส่กระเป๋ามา” ชิษวัศบอกเสียงอ่อย ข้อความที่มุกตาภาส่งมาน่ะชายหนุ่มก็เปิดอ่านอยู่หรอก แต่สมองมันมัวพะวงอยู่แต่กับเรื่องของเธอก็เลยลืมเรื่องของตัวเองไปเสียสนิท
“แล้วยาพ่นเอามาหรือเปล่าคะ” มุกตาภาถามต่อ หญิงสาวรู้อาการของชิษวัศเป็นอย่างดี ถ้าเมื่อใดอาการกำเริบชายหนุ่มจะรู้สึกหายใจไม่ออกแถมยังปวดหัวอย่างหนัก ในทุกๆวันจึงต้องใช้ยาพ่นและกินยาแก้แพ้อย่างนี้เสมอมาตั้งแต่เด็กๆ
“พี่...ไม่ได้พกยามาเลย”
“พี่อาร์ม!” มุกตาภาเรียวชื่ออีกคนเสียงสูง ชิษวัศส่งข้อความมาเตือนเธอไม่ให้ลืมของแต่เขากลับลืมของสำคัญอย่างยาประจำตัวมาทั้งหมดนี่นะ! เห็นแล้วมันน่าโมโหเสียจริง พี่อาร์มจะรู้ไหมว่ากำลังทำให้เธอห่วงมากแค่ไหนกันที่เขาปล่อยปะละเลยกับสุขภาพของตัวเองอย่างนี้
“ถ้าอย่างนั้นพี่อาร์มกลับไปเอายาที่บ้านก่อนแล้วค่อยไปหัวหินกัน” มุกตาภาบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“แต่บ้านหนูมุกกับบ้านพี่มันไกลนะครับ ย้อนไปย้อนมาเสียเวลาตายเลย”
“งั้นไปร้านขายยา” หญิงสาวยื่นข้อเสนอใหม่ ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมไปหัวหินถ้ายังไม่ได้ยาประจำตัวของชิษวัศ
“เช้าอย่างนี้ร้านขายยายังไม่เปิดหรอกหนูมุก เราไปกันเลยดีกว่า พี่ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
“ไม่ได้ค่ะ!” หากผู้ช่วยสาวที่ควบตำแหน่งน้องสาวหรืออะไรก็ตามที่ชิษวัศอยากให้มุกตาภาเป็นปฏิเสธออกมาเสียงแข็ง “มันต้องมีสักร้านที่เปิดแน่ค่ะ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ไปโรงพยาบาล ให้คุณลุงพี่อาร์มจ่ายยาให้” หญิงสาวเพิ่มตัวเลือกมาอีกข้อหนึ่งซึ่งก็คือโรงพยาบาลที่มีลุงของชิษวัศเป็นแพทย์ประจำอยู่
“งั้นไปโรงพยาบาลเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวพี่โทรบอกให้ลุงเรศจ่ายยาไว้ให้เลย” ชิษวัศเลือกหนึ่งในข้อเสนอของมุกตาภาซึ่งก็คือไปโรงพยาบาลโดยอาศัย ‘นพ. รณเรศ’ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงและเป็นหมอด้านหู คอ จมูก ประจำตัวตนเองช่วยจ่ายยาให้ ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ได้ออกเดินทางไปหัวหินกันเสียทีเพราะดูจากท่าทีมุกตาภาคงไม่ยอมแน่ถ้าจะไปหัวหินโดยปราศจากยาประจำตัวของเขา
ถ้าเป็นเมื่อก่อนชิษวัศคงโวยและสั่งอย่างเด็ดขาดตามความต้องการของตัวเองไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ชายหนุ่มถึงยอมโอนอ่อนให้กับความต้องการของใครอีกคน ผู้หญิงที่เขาพร่ำบอกว่าอย่าให้เธอมีอิทธิพลต่อหัวใจมากไปกว่านี้ แต่ก็เป็นชายหนุ่มเองที่เปิดโอกาสให้มุกตาภาเช้ามามีบทบาทกับชีวิต ชิษวัศยอมรับว่ารู้สึกดีไม่น้อยที่เห็นว่าเธอเป็นห่วงกัน นอกจากมารดาของเขา...มุกตาภาเป็นผู้หญิงคนแรกที่คอยเตือนเรื่องยาและไม่ยอมให้เขามองผ่านเรื่องนี้ไป
...ทำอย่างนี้พี่อาร์มก็แย่สิหนูมุก มาทำให้ไหวหวั่นกันอย่างนี้ เดี๋ยวพี่ก็ตบะแตกกันพอดี...
BMW X5 เดินทางมาถึงจุดหมายแม้จะเสียเวลาไปบ้างแต่ก็ยังพอมีเวลาเหลือก่อนจะเข้าประชุมกับผู้ร่วมทุนชาวต่างชาติ ชิษวัศเดินเข้าไปจัดการเช็คอินห้องพักที่จองไว้แม้อันที่จริงหน้าที่นี้ต้องเป็นหน้าที่ของมุกตาภาแต่ชายหนุ่มกลับปฏิเสธที่จะให้เธอทำก่อนที่ร่างสูงจะเดินกลับมาพร้อมกับกุญแจและคีย์การ์ดห้องพักเพียงชุดเดียวร้อนถึงผู้ร่วมเดินทางอย่าง มุกตาภาที่รีบถามขึ้นมาอย่างละล่ำละลักเมื่อเห็นสัญญาณอันตรายตั้งเค้า
“ทำไมมีชุดเดียวล่ะคะพี่อาร์ม แล้วกุญแจห้องมุกล่ะ”
“ก็นี่ไง” ชิษวัศยิ้มเจ้าเล่ห์ ชูกุญแจและคีย์การ์ดซึ่งห้อยมาด้วยกันให้หญิงสาวดู
“ไม่ตลกนะคะ มุกจะนอนห้องเดียวกับพี่อาร์มได้ยังไง” มุกตาภาเอ่ยคำปฏิเสธแต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าหน้ามันร้อนอย่างไรชอบกล
“แล้วทีเมื่อก่อนทำไมถึงนอนได้”
“เมื่อก่อน?” หญิงสาวย้อนถามเสียงสูง ไอ้เมื่อก่อนของเขานี่มันตอนไหนอย่าบอกนะว่า...
“ก็ตอนเด็กๆ หนูมุกชอบมาขอนอนห้องพี่ประจำ”
...นั่นไง! เธอกะแล้ว...
มุกตาภาตะโกนลั่นในใจเมื่อคำตอบของชิษวัศตรงกับสิ่งที่คิด ริมฝีปากบางเบ้เล็กน้อยอย่างนึกหมั่นไส้ว่าทีแต่ก่อนขนาดชื่อเธอยังจำไม่ได้แต่ตอนนี้กลับจำได้จำดีแถมยังขี้โกงเอามาเป็นข้ออ้างให้เธอนอนห้องเดียวกับเขาอีกต่างหาก อย่างนี้มันน่านักเชียว!
“ไม่คิดว่าพี่อาร์มจะจำได้” ประโยคนี้หญิงสาวแกล้งประชด ชิษวัศก็คงพอเดาน้ำเสียงนั้นได้จึงหัวเราะกลบเกลื่อนเบาๆ
“พี่ลองไปรื้ออัลบั้มรูปสมัยเด็กๆมา มันก็เลยพอจำได้บ้างแล้วคุณแม่ก็เล่าเพิ่มด้วย”
มุกตาภาแกล้งร้อง ‘อ๋อ’ เสียงยาวเพื่อเป็นประชดเสียอีกดอกหนึ่ง พอรู้ความจริงก็คงเพิ่งจะนึกได้ว่าเคยมีรูปถ่ายร่วมกันกับเธอและที่บอกว่ามารดาของเขาเล่าให้ฟังเธอมั่นใจว่าความจริงไม่ใช่อย่างนั้นแน่ ชิษวัศต่างหากที่ขอให้คุณอัญชิสาเล่าเรื่องระหว่างเขาและเธอเมื่อครั้งยังเด็กให้ฟังเพราะป้าอัญโทรมาบอกเธอหมดแล้วว่าลูกชายคะยั่นคะยอให้ท่านเล่าเรื่องในสมัยก่อนให้ฟังเสียตั้งค่อนคืน
‘หนูมุกไปทำอะไรพี่เขาไว้หรือเปล่าลูก ตาอาร์มเป็นอะไรไม่รู้ จู่ๆก็มาขอให้ป้าเล่าเรื่องหนูกับเขาตอนเด็กให้ฟังแถมยังถามจู้จี้เสียยกใหญ่’
เมื่อคืนมุกตาภาตอบคุณอัญชิสาไปว่าเธอไม่ได้ทำอะไรชิษวัศ แม้จะรู้สึกที่ต้องโกหกผู้ใหญ่แต่จะให้บอกไปว่า ‘หนูมุกจูบพี่อาร์ม’ ก็ทำไม่ได้อีกที่ทำได้คงมีเพียงแค่ปฏิเสธออกไปว่าระหว่างเธอและชิษวัศไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“ตอนนั้นมุกยังเด็กแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” เธอเถียง เหตุการณ์ในสมัยเด็กมันจะมาเหมือนกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นตอนนี้ได้อย่างไร
“แล้วตอนนั้นหนูมุกกับพี่อายุห่างกันกี่ปี”
“หกปีค่ะ”
“แล้วตอนนี้หนูมุกกับพี่อายุห่างกันกี่ปี”
“ก็ต้องหกปีเหมือนเดิมสิคะ จะเปลี่ยนได้ยังไง”
“ก็นั่นไง...ตอนนั้นกับตอนนี้อายุมุกกับพี่ก็ต่างกันหกปีเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นมุกจะนอนห้องเดียวกับพี่มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยจริงไหมล่ะ”
เหตุผลของชิษวัศเล่นเอามุกตาภาอึ้งไปพักใหญ่ กระเป๋าเสื้อผ้าในมือถูกคนตัวโตฉวยไปไว้ในมือก่อนจะลากมันเดินไปยังห้องพักเฉยไม่สนใจเจ้าของกระเป๋าที่กำลังยืนประมวลผลทางความคิดเลยแม้แต่น้อย มุกตาภามองชิษวัศที่เดินห่างออกไปไกลก่อนจะตัดสินใจถามพนักงานที่เคาท์เตอร์ว่ายังพอมีห้องพักเหลือหรือไม่เพื่อหาทางออกให้ตัวเองแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพนักงานสาวคนนั้นบอกว่า ‘ห้องพักทั้งหมดเต็มแล้วค่ะ’
เมื่อหนทางแก้ไขไม่มีให้มุกตาภาเลือกเดินหญิงสาวจึงจำใจต้องเร่งฝีเท้าให้ทันคนที่เดินไปก่อนหน้า จะมากลัวเอาตอนนี้คงสายไปเสียแล้ว ทำได้อย่างเดียวคงต้องเผชิญหน้าเต็มกำลัง พิสูจน์ให้รู้กันไปเลยว่าความมุ่งมั่นและความจริงใจของเธอจะเอาชนะ ‘ข้อต้องห้ามของชิษวัศ’ ไม่ได้
กระเป๋าเดินทางใบย่อมของเธอถูกว่างไว้มุมหนึ่งของห้องที่ถูกจัดไว้สำหรับเป็นห้องนั่งเล่น ด้านหน้าที่เห็นคือชายหาดและทะเลหัวหินที่มองได้หนึ่งร้อยแปดสิบองศาผ่านทางผนังห้องที่เป็นกระจกมีประตูเลื่อนสำหรับออกไปชมวิวพร้อมสูดอากาศด้านนอก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าห้องที่ชิษวัศเลือกมันเป็นห้องของคู่รักที่จะมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันชัดๆ ยิ่งเตียงขนาดคิงไซส์ที่ตั้งเด่นเป็นตระหง่านหลังฉากไม้กั้นแยกเป็นสัดส่วนให้รู้ว่าเป็นห้องนอนยิ่งตอกย้ำความมั่นใจว่าชิษวัศจงใจจะจองห้องอย่างนี้เพื่อที่จะเอาคืน ‘เรื่องจูบ’ เมื่อคราวก่อนกับเธอแน่แท้
“ทำไมมองพี่อย่างนั้น” ชิษวัศถามยิ้มๆเมื่อเห็นสายตาไม่ไว้วางใจของอีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องเดียวกัน
“พี่อาร์มวางแผนไว้ใช่ไหม” มุกตาภาถามเสียงแข็งหากชิษวัศเลิกคิ้วสูงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องในสิ่งที่หญิงสาวกำลังพูด
“วางแผนอะไร”
“พี่อาร์มจงใจจองห้องพักห้องเดียวแถมยังเป็นเตียงเดียวอีกใช่ไหม”
“จงใจที่ไหน อาทิตย์นี้ที่นี่มีบริษัทพาพนักงานมาพักผ่อนพอดี ห้องพักมันก็เลยเต็มที่สำคัญหุ้นส่วนที่เราจะมาคุยงานเขาก็ระบุว่าอยากพักที่นี่ พี่จองห้องได้ก็เก่งแล้วนะ ไม่เชื่อหนูมุกลองถามพนักงานที่รีสอร์ทก็ได้”
ชิษวัศปฏิเสธข้อกล่าวหาแถมยังมีข้อแก้ต่างให้ตัวเองด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือแถมยังกล้าท้าให้มุกตาภาไปพิสูจน์ความจริงเสียด้วยเพราะมั่นใจว่าเธอต้องไปถามมาแล้วว่ายังพอมีห้องพักเหลือหรือไม่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่โต้กลับชิษวัศก็แน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้เป็นไปตามความคาดการณ์
“งั้นพี่อาร์มต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ” สมองประมวลผลอย่างรวดเร็วพร้อมคิดวิธีใหม่ที่ทำให้เธอไม่ต้องนอนเตียงเดียวกับชิษวัศออกมา
“ความบริสุทธิ์ใจ?” ชิษวัศย้อนถามเสียงสูง เตรียมตั้งรับเต็มที่
“พี่อาร์มต้องนอนที่โซฟาห้ามนอนบนเตียงเด็ด...”
“ขอปฏิเสธ” คำปฏิเสธของชิษวัศที่สวนขึ้นมาทั้งที่มุกตาภายังพูดไม่จบทำเอาหญิงสาวอ้าปากค้างก่อนจะหุบฉับงับอากาศและยืนอึ้งไปเสียพักใหญ่ คำพูดที่เตรียมไว้ไม่รู้ว่าร่วงหายไปไหนหมดทำได้เพียงแค่ยืนมองคนที่อายุมากกว่าตามปริบๆ
“พี่บริสุทธิ์ใจทำไมต้องระเห็จตัวเองไปตอนที่โซฟา หนูมุกนั่นแหละ...คิดอะไรอยู่” ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเจอย้อนศรเข้าอย่างนี้ ทั้งที่ตอนแรกมุกตาภากะจะใช้วิธีนี้ต้อนชิษวัศให้จนมุมแท้ๆแต่ทำไปทำมากลับเป็นเธอเสียเองที่โดนพลิกเกมเสียจนทำท่าว่าจะแพ้ยกกระดาน
“มุก มุกคิดอะไร มุกไม่ได้คิดอะไรซะหน่อย” คำปฏิเสธที่ตะกุกตะกักกับใบหน้าที่แดงก่ำของหญิงสาวทำให้ชิษวัศนึกขำในใจ
“ไม่คิดอะไรแน่นะ เห็นทำท่ากลัวที่จะนอนเตียงเดียวกับพี่เสียขนาดนั้น พี่น่ะ...ไม่คิดจะทำอะไรหนูมุกหรอก แต่ดูจากท่าทางหนูมุก...” ชิษวัศไล่สายตามองมุกตาภาตั้งแต่หัวจรดเท้า “...สงสัยพี่ต้องระวังตัวเองซะแล้วล่ะมั้ง”
“พี่อาร์ม!!” มุกตาภาเรียกอีกฝ่ายเสียงสูง ทั้งโกรธทั้งอาย ทุกอย่างที่คิดไว้กลับตาลปัตรไปทั้งหมด ไม่ใช่ชิษวัศหรอกที่ถูกต้อน แต่เป็นเธอต่างหากที่กำลังถูกเขาต้อนจนจนมุม!
“ไม่ต้องคิดมากหรอกนะหนูมุก พี่ไม่ทำอะไรหรอกครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอื้อนเอ่ยหนักแน่นราวกับต้องการให้สัญญา แต่มุกตาภาคงไม่รู้ว่าชิษวัศได้แอบไพล่มือข้างหนึ่งไว้ด้านหลังที่สำคัญนิ้วชี้กับนิ้วกลางยังเกี่ยวไขว้กันไว้อย่างแน่นหนา!
...ก็เธออยากจะราดน้ำมันลงในไฟที่กำลังมอดเองนี่นะ ถึงจะเขาจะบอกว่าไม่นิยม ‘กินเด็ก’ แต่ผู้ชายอย่างชิษวัศก็ไม่ชอบให้ใครมาลูบคมเหมือนกัน เพราะฉะนั้น...งานนี้ต้องมีเอาคืน...
มุกตาภามองคนที่คล้ายว่าจะให้คำสัญญาอย่างพิจารณา ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเสียเท่าไหร่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญไม่ใช่เรื่องที่ชิษวัศจงใจให้มันเป็น แต่ดวงตาสีนิลที่มองสบมากลับแน่วแน่ อีกครั้ง...ที่หญิงสาวต้องยอมแพ้ให้กับสายตาแบบนี้ของเขา
“มุกจะเชื่อพี่อาร์มก็ได้ค่ะ” หญิงสาวยอมรับปาก แว่บหนึ่งเธอแอบเห็นว่าชิษวัศลอบยิ้มแบบแปลกๆแต่ก็คิดว่าตาคงฝาดไป ก่อนจะพูดคำพูดที่เปรียบเสมือนไม้หน้าสามฟาดเสียชิษวัศแทบน็อคคาที่
“ที่เชื่อ...เพราะรู้ดีว่าพี่อาร์มไม่ชอบ ‘กินเด็ก’ หรอกนะคะ ถึงมุกจะยืนยันว่ามุกไม่ใช่เด็กแล้วแต่พี่อาร์มก็ยังคิดว่ามุกเป็นแค่ ‘เด็ก’ อยู่ดีใช่ไหมคะ” มุกตาภาเหยียดยิ้มขึ้นเมื่อตนเองกลับมาเป็นต่ออีกครั้ง อาการตะลึงงันของชิษวัศบ่งบอกได้อย่างดีว่าเขาคงตกใจไม่น้อยที่เธอรู้เรื่อง ‘ข้อต้องห้ามของชิษวัศ’
“ถ้าเป็นอย่างนั้น...” มุกตาภาทอดเสียงอ่อนสบดวงตาสีนิลนั้นแน่นิ่ง “มุกก็คงจะเบาใจเพราะพี่อาร์มไม่มีวันที่จะผิดคำพูดของตัวเองแน่...มุกรู้ดี” รอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้งถูกส่งให้ชิษวัศ มั่นใจว่าภายใต้สีหน้าเรียบเฉยที่แสดงออกให้เธอได้เห็นชิษวัศคงกำลังโมโหอยู่แน่ที่ถูกข้อห้ามของตัวเองย้อนเข้าให้ ทิ้งท้ายไว้เพียงแค่รอยยิ้มก่อนที่หญิงสาวจะเดินออกไปนอกระเบียงเพื่อชมวิวของทะเลหัวหินโดยทิ้งให้ชิษวัศยืนนิ่งอยู่ภายในห้องเพียงคนเดียว
ดวงตาสีนิลคู่คมเลื่อนมองร่างที่กำลังยืดแขนบิดขี้เกียจอยู่ริมระเบียงห้อง รอยยิ้มเยาะเย้ยกับเสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นอย่างสมเพชตัวเองที่ถูกมุกตาภาย้อนศรได้เจ็บแสบไม่เบาเมื่อ ‘ข้อต้องห้ามของชิษวัศ’ ถูกยกขึ้นมาเป็นกำแพงกั้นกลางระหว่างเขาและเธอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนชิษวัศคงรู้สึกคลายความกังวลไปไม่น้อยถ้าเธอจะถอยห่างไปอย่างนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว...ถึงเธอจะหาข้ออ้างที่เขาเองก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้แต่เธอคงไม่รู้ว่า ‘ข้อห้าม’ มันมักมาคู่กับ ‘ข้อยกเว้น’ เสมอ ซึ่งจริงอยู่ว่าแต่ก่อนชายหนุ่มมักไม่มีข้อยกเว้นให้กับข้อห้ามของตัวเองแต่มันก็เป็นเรื่องของเมื่อก่อน...เพราะตอนนี้ เวลานี้ ‘ข้อยกเว้น’ ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว!
...แต่มันก็เป็นเพียงข้อยกเว้นที่เกิดขึ้นเพื่ออยากเอาคืนเธอที่หาญกล้าเป็นโจรขโมยจูบเท่านั้น ไม่ได้มีขึ้น...เพื่อให้หัวใจดวงนี้ได้รักเธอ ไม่ใช่เลย...
---------------------------------------------------------------------------------------------------
เอาแล้วค่ะ...ข้อยกเว้นถือกำเนิดแล้ว แม้เจ้าตัวจะยังคงปฏิเสธความรู้สึกตัวเองก็ตาม แต่การกระทำนี่มันไม่ได้ไปทางเดียวกับความคิดเลยว่าไหมคะ??
แล้วแบบนี้จะไหวเร้อ...พี่อาร์มมมมมม ฮ่าๆๆๆ คอยดูต่อไปค่ะ
ตอนหน้ามาดูอีกคู่หนึ่งที่กำลังตามมาค่่ะ ว่าจะแสบกันขนาดไหน
ตอบเมนท์กันค่ะ...
violette : เรื่องเฟลอร์พี่อาร์มคงไม่หวั่นไหวหรอกค่ะ แต่หนูมุกนี่สิจะหวั่นไหวจนเข้าใจผิดพี่อาร์มหรือเปล่า เฮ้ออออออ
anOO : ตัดสินใจง่ายกว่าเดิมเลยค่ะ แต่ก็ยังมีความคิดที่ค้านความต้องการอยู่ พี่อาร์มนี่ยังไงกันนะ!
roseolar : ถึงจะระวังแต่พี่อาร์มก็จะเอาคืนจ้า...ดีใจที่คุณ roseolar ดีใจนะคะ อิอิ (ปล. ปอแก้วรอนิยายของคุณ roseolar อยู่น้า แอบทวง...เบาๆ ><)
nunoi : เล่นเอาพี่อาร์มคิดไม่ถึงเลยล่ะค่ะ ฮ่าาาาาา
WallyValent : เป็นวิธีพิสูจน์ที่เห็นผลเร็วกว่าการทดลองใดๆ ทำปุ๊บเห็นผลปั๊บ ดีจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ม.ค. 2555, 12:00:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ม.ค. 2555, 23:22:20 น.
จำนวนการเข้าชม : 1892
<< เขตพื้นที่ที่ 1 : ผลิดอก...ออกรัก : ตอนที่ 8 | เขตพื้นที่ที่ 1 : ผลิดอก...ออกรัก : ตอนที่ 10 >> |

ปรางขวัญ 5 ม.ค. 2555, 13:20:17 น.
ตรรกะของพี่อาร์มนี่สุดยอดจริงๆ แล้วแบบนี้หนูมุกจะรอดมั้ยเนี่ย
ตรรกะของพี่อาร์มนี่สุดยอดจริงๆ แล้วแบบนี้หนูมุกจะรอดมั้ยเนี่ย


nunoi 5 ม.ค. 2555, 13:56:04 น.
เห็นด้วยกับคุณปรางขวัญ ค่ะ พี่อาร์มนี่สุดยอดจริงๆ
เห็นด้วยกับคุณปรางขวัญ ค่ะ พี่อาร์มนี่สุดยอดจริงๆ

anOO 5 ม.ค. 2555, 14:35:26 น.
อ้าวห้องพักเต็ม แล้วนายอาทกับคุณอาจารย์จะพักที่ไหน
สงสัยไม่พ้นจะเหมือนที่พี่อาร์มจองหใ้หนูมุกแหงๆ
อ้าวห้องพักเต็ม แล้วนายอาทกับคุณอาจารย์จะพักที่ไหน
สงสัยไม่พ้นจะเหมือนที่พี่อาร์มจองหใ้หนูมุกแหงๆ

roseolar 5 ม.ค. 2555, 16:42:45 น.
พรุ่งนี้สอบค่า วันนี้เลยต้องรีบดอดมาอ่านนิยายของคุณปอแก้วเพิ่มพลังใจซะหน่อย ตอนนี้พี่อาร์มน่าร้ากและเจ้าเล่ห์มั่กมาก สงสัยตอนหน้าหนูมุกมีหวังกลายเป็นอ้อยควั่นเข้าปากช้างแน่เลย ก็อยากไปราดน้ำมันลงบนกองไฟที่กำลังจะมอดด้วยจูบร้อนแรงเองนี่นา อิอิ
อีกคู่ก็ดูท่าว่าจะน่ารักไม่แพ้กัน เร่งทำคะแนนมาสูสีคู่หนูมุกกับพี่อาร์มเห็นๆ กัดกันเล็กๆน้อยๆ แต่อ่านแล้วยิ้มไม่หุบ ใจเต้นแรงทุกทีเลย ^ ^
พรุ่งนี้สอบค่า วันนี้เลยต้องรีบดอดมาอ่านนิยายของคุณปอแก้วเพิ่มพลังใจซะหน่อย ตอนนี้พี่อาร์มน่าร้ากและเจ้าเล่ห์มั่กมาก สงสัยตอนหน้าหนูมุกมีหวังกลายเป็นอ้อยควั่นเข้าปากช้างแน่เลย ก็อยากไปราดน้ำมันลงบนกองไฟที่กำลังจะมอดด้วยจูบร้อนแรงเองนี่นา อิอิ
อีกคู่ก็ดูท่าว่าจะน่ารักไม่แพ้กัน เร่งทำคะแนนมาสูสีคู่หนูมุกกับพี่อาร์มเห็นๆ กัดกันเล็กๆน้อยๆ แต่อ่านแล้วยิ้มไม่หุบ ใจเต้นแรงทุกทีเลย ^ ^

Amata 5 ม.ค. 2555, 21:50:01 น.
ชื่อตอนว่า ผลิดอก...ออกรัก = ผลิดอกรัก อืมๆ ช่าย...ดูเหมือนจะทั้งสองคู่เลยนะคะ ^^
ชื่อตอนว่า ผลิดอก...ออกรัก = ผลิดอกรัก อืมๆ ช่าย...ดูเหมือนจะทั้งสองคู่เลยนะคะ ^^

pattisa 5 ม.ค. 2555, 23:08:27 น.
แหมพี่อาร์มชักจะเริ่มเอาเปรียบหนูมุก
ปล เราว่า bmw X6 สวยกว่านะ อิอิ :D
แหมพี่อาร์มชักจะเริ่มเอาเปรียบหนูมุก
ปล เราว่า bmw X6 สวยกว่านะ อิอิ :D