กุหลาบซ่อนกลิ่น (จบแล้ว)
นางเอกโตมาในไซด์งานก่อสร้าง ที่นั่นทำให้เธอรู้ว่า การแสดงตัวว่าเป็นหญิงเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้นนางเอกจึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง จนใคร ๆ มองว่าเป็นทอม แต่แท้จริงแล้ว เธอก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีรัก..และรักของเธอก็เป็นรักที่มีเวลามาเป็นตัวกำหนด....


Tags: โรแมนติก..

ตอน: 3.วันแรก(ก็โดนซะแล้ว)

3.

เสียงเคาะประตูปัง ๆ ทำให้กุสุมาต้องกระเด้งตัวขึ้นนั่ง ผ้าห่มกับตุ๊กตาหมีตัวโปรดกระเด็นไปติดข้างฝา แต่ใช่ว่าเจ้าตัวหาได้ตกใจกับเสียงของแม่ที่ดังอยู่ข้างนอก แต่ภวังค์นั้นกุสุมานึกถึงงานที่จะต้องเริ่มต้นในวันนี้ และเวลานี้สายตาของเธอก็เห็นว่านาฬิกาที่หัวเตียงมันบอกเวลาว่าเกือบจะเที่ยงวันเสียแล้ว..

“ไอ้ม่า ไอ้ม่า ตื่น ๆ จะเที่ยงแล้ว”

“เที่ยงแล้วแม่”

“ยังมีหน้ามาเถียง ลุกเร็ว ๆ คุณสูรย์อะไรที่ไหนเขาโทรมาตาม เขาว่าเอ็งนัดไปทำงาน แล้วทำไม”

“โอ้ย แม่ ๆ อย่าเพิ่งบ่น ม่ารับทราบแล้ว และกำลังจะแต่งตัว..ถ้าเขาโทรมาบอกบอกเขาเลยว่า เดี๋ยวเจอกัน” เจ้าตัวว่าพลางกระโดดไปคว้าชุดทำงานในถุงพลาสติกมาปูผ้าห่มนั่งรีด และนึกโมโหตัวเองไม่น้อยที่กลับมาถึงบ้าน ก็ยังมานั่งเล่นเกมส์ออนไลน์จนกระทั่งตีห้ากว่า ๆ และที่ตั้งใจว่าจะตื่นสักสามโมงเช้า โทรศัพท์มือถือเจ้ากรรม ดันไม่ยอมส่งเสียง
พอนึกได้ว่า ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่โทรศัพท์ กุสุมาก็ละมือจากเตารีดไปที่โทรศัพท์ พอเห็นว่าหน้าจอนั้นมืดดำ ด้วยแบตเตอร์รี่หมด กุสุมาก็รีบไปหยิบสายไฟฟ้ามาชาร์ต พอเสียบปลั๊กเสร็จ จมูกก็ได้กลิ่นผ้าไหม้..

“ตาย ๆ ตายแล้ว”

กุสุมาทิ้งโทรศัพท์ลงที่โต๊ะข้างเตียงก่อนจะมาพลิกเตารีดดูผลงานสะเพร่าของตัวเอง....

“แค่เป็นรอย ไม่เป็นไร ผ้าอะไรหว่า ไหม้ง่ายจัง..”



“อ้าวไอ้ม่า เอ็งจะไปไหน ใส่ชุดอะไรวะนั่น” ชุดที่ป้าพรรณ คนข้างบ้านซึ่งชอบมานั่งนินทาชาวบ้านที่ร้านขายของชำของแม่บังเอิญ เป็นชุดเสื้อยืดคอปกสีเขียวที่หน้าอกมีกระเป๋าสองใบและถ้าใส่กับกระโปรงสีน้ำตาลอ่อนตัวที่มีรอยไหม้ก็จะต้องสวมรองเท้าหุ้มส้น ถ้าจะให้เข้าชุดกัน ก็ต้องเป็นรองเท้าคัชชูสีดำ หรือไม่ก็เป็นผ้าใบแบบสวม..แต่สำหรับกุสุมา เมื่อลองใส่กระโปรงตัวนั้น ทำให้รู้สึกว่า ขาที่ก้าวไปไหนมาได้อย่างว่องไว กลับก้าวย่างไม่ออก เพราะเขินที่ตัวเองจะต้องมานุ่งกระโปรง

“ถามก็ไม่ตอบ” ป้าพรรณหงุดหงิด

“มันจะไปทำงาน”

“งานอะไร”

“แม่ กุญแจมอไซค์อ่ะ” กุสุมาทำเป็นไม่ได้ยินว่าแม่บังเอิญกับป้าพรรณคุยอะไรกัน

“อ้าว..เมื่อวานเอ็งเอาไว้ไหน”

“ก็..” ว่าแล้วกุสุมาก็หันหลังวิ่งขึ้นบันไดไปเอาคว้ากุญแจที่ตัวเองยัดไว้ในลิ้นชักก่อนจะออกจากบ้านไปนั่งแท็กซี่ไปงานวันเกิดเพื่อน

พอลงมาแล้วกุสุมาที่อยู่ในชุดกางเกงยีนก็คว้ารองเท้าผ้าใบคู่เก่งมาสวม ลุกขึ้นแล้วกอดแม่ก่อนจะหอมแรง ๆ หนึ่งที..

“แม่ ม่าไปแล้วนะ ..”

“ไปไหน ไปทำอะไร”

“อ้าว...”

“นั่นนะสิ ถามก็ไม่ตอบ” ป้าพรรณคนว่างงานยังคงต้องการมีส่วนร่วมกับครอบครัวเพื่อนบ้าน

“ม่าจะไปฝึกงานเป็นแม่ครัว”

“แม่ครัว” แม่บังเอิญกับป้าพรรณอุทานขึ้นพร้อมกัน..

“แม่อ่ะ ..ก็น้าอ้อยเขาอยากให้พรรณมีความรู้ทางครัวติดตัว ม่าก็เลยให้พี่ซ้งฝากงานให้ ครัวอิ่มสุขตรงกันข้ามเยื้อง ๆ กับซอยบ้านเราไง ที่มีรถจอดเยอะ ๆ ไฟสวย ๆ อ่ะ นึกออกไหม..นั่นแหละเขารับม่าเข้าทำงาน”

“แล้วเอ็งจะไปทำอะไรให้เขา” ป้าพรรณสอดเข้ามา กุสุมาตอบคำถามนั้นแต่ว่าสายตานั้นอยู่กับดวงตาของแม่..

“เขายอมให้ม่าฝึกงาน แล้วก็ให้เงินกินด้วยนะ วันละสองร้อยบาทแนะ”

“สองร้อย” ป้าพรรณทำตาโตรู้สึกตื่นเต้นกับ ทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ ซึ่งในย่านนี้บ้านของ..จัดว่ามีฐานะกว่าบ้านคนอื่น ๆ เพราะสามีขยัน บังเอิญก็ค้าขายได้เงินเข้าบ้านทุกวัน

“ม่าไปแล้วแม่ สายแล้ว” ว่าแล้วกุสุมาก็รีบไปยังรถมอเตอร์ไซค์คันเก่งที่จอดแอบไว้ข้างรั้วบ้านหลังกะทัดรัดนี้ ซึ่งด้านหน้านั้นนอกจากมีโรงจอดรถยนต์ซึ่งรวมกับโรงเก็บเครื่องมือทำงานของพ่อ ก็ยังมีร้านค้าเล็ก ๆ ของแม่ตั้งขวางหน้าบ้านอยู่ด้วย ดังนั้นบริเวณบ้านจึงไม่มีที่ปลูกต้นไม้ แต่ถึงกระนั้น กุสุมาคนชอบดอกไม้ก็หาไม้กระถางไปแขวนไว้ที่ระเบียงนอกบ้านจนได้..

และเมื่อลูกสาวเหินรถออกจากบ้านไปแล้ว คนเป็นแม่ก็ชะเง้อมองตามหลังไปด้วยสีหน้าหนักใจเช่นทุก ๆ ครั้งและก็ภาวนาในใจว่า และงานนี้ลูกสาวคนเดียวคงจะทนทำได้สักห้าวันเจ็ดวัน..



สูรย์ที่นั่งมองจอโทรทัศน์วงจรปิดถึงกับยิ้มกริ่มเมื่อเห็นท่าขับมอเตอร์ไซด์ไซ้โค้งของกุสุมาไปยังส่วนที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ และอึดใจ เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดึงขึ้น เขารีบปั้นหน้าบึ้งตึงก่อนจะเอ่ยเสียงดุไปว่า

“เชิญ”

ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่มีรอยยิ้มแหย ๆ เยี่ยมหน้าเข้ามา..พอตัวพ้นประตูมาได้ ร่างสูงเพรียวก็แกว่งมือไม้ดูเกะกะลูกตาเป็นอย่างมาก

“เอ่อ..คือ”

“กี่โมงแล้ว”

“เพิ่งจะเที่ยง..”

“เที่ยงสี่สิบหกนาทีแล้ว”

“คือว่า..เอ่อ...” ใจจริงกุสุมาอยากจะบอกกับเขาว่าเป็นเพราะเขานั่นแหละที่ทำให้เธอต้องตื่นสาย ถ้าเมื่อคืนเขาไม่ไปส่งพี่ซ้งก่อน เธอคงไม่ต้องนอนดึก เขานั่นแหละเป็นคนทำให้เธอนอนดึก

“เมื่อคืนนอนดึกนี่ เจ้านายก็รู้..” กุสุมายืดตัวทำใจดีสู้เสื้อยิ้มยาก

“เป็นความผิดของฉันละซิ”

“ด้วยกัน..ม่าตื่นสายด้วย เพลีย ๆ เมื่อคืนท้องเสีย ก็เห็นนี่ว่าม่าสวาปามเข้าไปซะขนาดนั้น”

“อืม เหตุผลเข้าที..แล้วทำไมไม่ใส่กระโปรง”

กุสุมาก้มลงดูสภาพตัวเองที่ทำผิดกฎระเบียบของร้าน

“เตารีดไฟมันแรงไป ผ้าไหม้เป็นรอยเลยไม่ได้ใส่”

“ให้ไปสองตัวไม่ใช่รึ..”

“แล้วม่าไม่สะดวกที่จะใส่ คือ มัน มัน ไม่มั่นใจในตัวเองอ่ะ ไม่ใส่ได้ไหม” ท้ายเสียงมีลูกออดอ้อน ส่วนดวงตานั้นหาได้หวาดกลัวต่อคนตรงหน้าสักนิด

“งั้นก็ทำงานที่นี่ไม่ได้..”

“เจ้านาย...” แต่พอเห็นแววตาวาว ๆ ของเขากุสุมาก็ต้องรีบเปลี่ยนสรรพนามของเขา

“คุณสูรย์”

“กฎต้องเป็นกฎ..วันนี้ถ้าไม่พร้อม พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่..” แม้จะออกปากไล่แต่เขาก็รั้งไว้ด้วย

“เฮี้ยบชะมัด”

“แต่ถ้าอยากทำ ก็กลับไปเปลี่ยน หรือจะเอาตัวใหม่เปลี่ยนตรงนี้ก็ได้ ฉันจะบอกคุณนกให้ เอาไหม”

กุสุมาจำใจพยักหน้า เขาเพ่งมองใบหน้าของหญิงสาวที่ยืนจังก้าอยู่กลางห้อง พยายามไม่ยิ้มแต่ก็ปั้นหน้าให้ดุดันได้ยากเต็มที ดังนั้นสูรย์จึงต้องรีบเอ่ยปากบอกคนดวงตากลมโตมีขนตางอนจมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากสีชมพูระเรื่ออย่างไร้สีสันปรุงแต่งว่า

“งั้นรีบออกไปทำงาน ตอนนี้คนกำลังเยอะเลย”

“ม่าหิวข้าว”

“อ้าว..”

“มีข้าวให้กินไหมละ”

“ออกไปเดี๋ยวคุณนกเขาจะจัดการให้เอง..”

กุสุมาก้มหัวคำนับเหมือนนกแก้วแล้วหมุนตัวแต่พอจะจับลูกบิดประตูเธอก็นึกได้ว่า ได้เอารูปสองนิ้วที่เขาอยากได้ติดกระเป๋าสตางค์ไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น..

“เอ่อ คุณสูรย์ รูปสองนิ้ว” บอกแล้วกุสุมาก็เดินนำถุงรูปมาวางไว้บนโต๊ะ ชายตามองเจ้านายตรงหน้าเพียงนิดแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง พอปิดประตูลงแล้วกุสุมาก็ยกมือกอดอกยักคิ้วเผยดวงตาเจ้าเล่ห์

ส่วนคนในห้อง หยิบรูปขึ้นมา จึงได้เห็นว่า รูปถ่ายสองนิ้วของกุสุมานั้น เป็นรูปที่เจ้าหล่อนไปเที่ยวที่ไหนสักที่กับเพื่อนแล้วชูสองนิ้วบังหน้าตาเองไว้..ดวงตาที่ลอดนิ้วเรียว ๆ มานั้นเจ้าเล่ห์ทีเดียว

ริมฝีปากของสูรย์คลี่ยิ้ม ผู้หญิงเจ้าเล่ห์ ๆ แบบนี้ เขาจะหาทางรับมืออย่างไรถึงจะเหมาะสมกัน..


เมื่อวานก่อนจะกลับบ้าน กุสุมาไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ซึ่งเป็นห้องครึ่งไม้ครึ่งกระจกตั้งอยู่ตรงกลางร้านเรือนไม้ยกสูงแวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใบเขียวขจี เพื่อรับชุดอย่างที่สูรย์สั่งไว้ และพอเข้าในข้างในกุสุมาก็เห็นว่า ในห้องนั้นสามารถมองเห็น โต๊ะแทบจะหมดทั้งร้าน นอกจากนั้นในนั้นยังมีจอมอนิเตอร์ ดูกล้องวงจรปิดของร้านอีกด้วย และวันนี้ เมื่อมาทำงานสายกุสุมาจึงรู้สึกหน้าชาเมื่อจะต้องเดินไปตรงนั้นเพื่อขอบัตรมาลงเวลาทำงาน

“ม่า ทำไมเพิ่งมา”

“ตื่นสายฮะ”

“เอ้านี่ กระโปรง คุณสูรย์โทรมาสั่งให้หาไว้ให้” พอพี่ผู้หญิงหนึ่งในสามคนยื่นกระโปรงมาให้กุสุมาก็เหลือบตาไปยังห้องที่พ้นมา แล้วรู้สึกว่า เขาพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอเสียเหลือเกิน แต่คนอย่างเธอไม่มีวันจะให้ใครมาเปลี่ยนอะไรง่าย ๆ หรอก

“วันนี้ม่าไม่ใส่ได้ไหม” กุสุมาบ่ายเบี่ยง

“แต่ทุกคนเขาใส่นะ”

“พี่ชื่ออะไรกันบ้าง ม่ายังไม่รู้จักเลย” กุสุมาที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ประวิงเวลา จนกระทั่งได้รู้ว่า พี่แคชเชียร์ที่อยู่ในห้องนั้นมีชื่อว่า

นก ไก่ ปลา

“ชื่อตั้งใหม่หรือเปล่า ทำไมบังเอิญได้ฮาดี”

“บังเอิญจริง ๆ ม่า พี่นกอยู่ร้อยเอ็ด มาทำงานในร้านอิ่มสุขตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว พี่ไก่อยู่เมืองกาญจน์ ทำงานได้สามปีแล้ว ส่วนปลา คนมีนบุรีนี่เอง”

“เอ้า ไก่เธอให้ม่าไปเปลี่ยนชุดสิ แล้วรีบออกไปสอนงาน คุยกันนาน ๆ เดี๋ยวคุณสูรย์ก็โทรมาถามหรอกว่าคุยอะไรกัน”

พอพี่นกพูดมาอย่างนี้ กุสุมาจึงพยายามเหลือบตามองหากล้องวงจรปิด และพอเห็นแล้ว กุสุมาก็ขมุบขมิบปากทำตาปะหลับปะเหลือกให้กับเจ้านายที่กุสุมาเดาว่า คงจะนั่งมองจอมอนิเตอร์อยู่แน่ ๆ


แม้ไม่อยากนุ่งกระโปรงทรงเอ แต่กุสุมาหนีไม่พ้น แต่ถึงกระนั้นกว่าจะออกจากห้องน้ำได้ พี่ไก่ที่เป็นคนพาไปเปลี่ยนก็ถึงกับมาเคาะเรียกที่หน้าประตู

“ม่าเสร็จหรือยัง พี่ตักข้าวไว้ให้แล้วนะ รีบออกมากิน”

กุสุมาออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าไม่มั่นใจในตัวเองสักนิด แต่พี่ไก่พอเห็นเรียวขาของกุสุมาก็ถึงกับยิ้มกริ่มอย่างพอใจ

“ขาสวยนะเรา ขาวจั๊วเลย”

“พี่อ่ะ ม่าไม่เคยโชว์ขาแบบนี้นานแล้วนะ” กุสุมาพยายามดึงชายกระโปรงมาปิดขาตัวเองแต่ว่าก็ถูกมือของพี่ไก่มาตีเบา ๆ

“แหม เป็นผู้หญิง มีอะไรดี ๆ ก็ต้องโชว์ ดูขาพี่สิ อย่างกับขาโต๊ะสนุกเกอร์”

“ม่าไม่อยากใส่กระโปรง ม่า..โอ้ย ม่า ม่า ..” กุสุมาอิดออดทำหน้างอแงแบบเด็ก ๆ ไก่จึงนึกเอ็นดูเด็กสาวขึ้นมา แต่ว่าก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะ ถ้าสูรย์กำชับมา พวกเธอก็ต้องปฏิบัติตามให้สุดความสามารถ



“ทางนี้ ๆ” พี่ไก่ปรบมือเรียกร้องความสนใจ ทำให้พ่อครัวที่อยู่หน้าเตาหันมามอง

“เด็กใหม่ค่ะ น้องคุณซ้ง คุณสูรย์ฝากไก่ให้มาแนะนำตัวกับในครัวไว้ วันนี้มาทำงานวันแรก”

พอทุกคนหันมามอง กุสุมาจึงยกมือพนมแล้วหมุนไปครึ่งรอบอย่างแข็ง ๆ แต่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกับท่าทางกระโดกกระเดกทุกคนจึงยิ้มตอบ บ้างก็สั่นหัวสบประมาทว่าจะอยู่ได้สักกี่วัน

“ป้าส้มลิ้มไปไหนเนี่ย”

“เหนื่อย เมื่อย ขอกลับไปพัก” มีเสียงตอบคำถามของพี่ไก่จากพ่อครัวที่หันกลับไปทำงานของตนต่อ

“โอเค ม่ากินข้าว พี่ให้เวลาสิบนาทีพอไหม”

กุสุมาพยักหน้า พี่ไก่จึงดึงแขนให้ไปทรุดนั่งลงตรงโต๊ะชิดผนังด้านหนึ่ง โต๊ะตัวนั้นมีเก้าอี้สี่ตัว บนโต๊ะมีจานข้าวผัด มีถ้วยน้ำปลา มีน้ำหนึ่งแก้ว กุสุมาทรุดตัวลงนั่ง พี่ไก่ขอตัวออกไปทำงาน ระหว่างละเลียดข้าวผัดเข้าปาก สายตาของกุสุมาก็กวาดไปยังในครัวซึ่ง คนข้างในที่นับได้เกือบสิบคนกำลังขมักเขม้นทำงานของตน โดยมีเด็กเสิร์ฟมารอยกอาหารกันหน้าสลอน


“อ้าว เอ้ย..” กุสุมาต้องละช้อนข้าว เมื่อเห็นว่า เพื่อนร่วมรุ่นแต่อยู่คนละห้องเรียน แต่งตัวเป็นพนักงานเสิร์ฟของร้านอย่างเต็มยศทีเดียว และเขาที่กำลังจะยกอาหารก็กรากเข้ามาหาเช่นกัน

“ไอ้ม่า”

“วิชาญ”

“มานั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างไง” วิชาญคนหน้าตาดีหน่วยกร้านดีเอ่ยถาม แต่เมื่อเห็นชุดพนักงานเสิร์ฟแล้ว วิชาญก็ต้องตั้งคำถามใหม่ “มาทำงานที่นี่เหรอม่า”

“วันแรกอ่ะ”

“แล้ว ทำไมมาทำงานที่นี่ละ เรียนจบแล้ว ทำไมไม่ไปหางานอื่นทำ”

“เรื่องยาว เดี๋ยวค่อยเล่า ไปทำงานก่อนเถอะไป เดี๋ยวลูกค้ารอ”

“ค่อยคุยกัน” ว่าแล้ววิชาญก็ผละไปยกอาหารที่ปรุงเสร็จแล้วออกไปด้านนอก กุสุมามองตามวิชาญไป อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมวิชาญถึงได้ทำงานอยู่ที่นี่ และท่าคล่องแคล่วขนาดนี้ เธอดูออกว่า เขาคงทำมานานแล้วอย่างแน่นอน




“เฮ้ย ไอ้ม่าจริง ๆ หรือวะ นุ่งกระโปรงแล้วสวยเหมือนกันนี่หว่า ขามันเรียวดีนะ ขาวด้วยใช่ไหม” ทรงฤทธิ์ที่นั่งจ้องมอนิเตอร์กล้องวงจรปิดในห้องของสูรย์ทำตาโต เมื่อเห็นกุสุมาเดินเสิร์ฟอาหารอย่างคล่องแคล่วในชุดกระโปรงที่เขารู้สึกว่ามันแปลกตา

สูรย์หยิบรีโมทกดปิดภาพหน้าจอทันที..

“เฮ้ย ไอ้สูรย์ ไอ้บ้า เอ็ง...เอ็งอย่าบอกนะว่า”

“ไอ้โรคจิต” สูรย์ว่าให้

“หวงหรือวะ ซ่อนรูป ซ่อนกลิ่นโว้ย ไอ้ม่าของกู ดอกไม้ซ่อนกลิ่น ...สรุปว่ามึงสนใจไอ้ม่าใช่ป่ะ”

“ไอ้บ้า อย่างนั้นเหรอจะสเป็คกู” สูรย์พยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติ

“แหม ของอย่างนี้มันเปลี่ยนแปลงกันได้ บางคนมันยังเปลี่ยนรสนิยมจากหญิงเป็นชายได้เลย” ทรงฤทธิ์หมายถึงเพื่อนชายสมัยเรียนมาด้วยกันบางคน ที่เคยเจ้าชู้ไก่แจ้จีบหญิงไม่เลือกหน้า แต่พอมาถึงวันนี้ เพื่อนมากระซิบว่าไอ้หมอนั่นดันมีรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกันไปเสียแล้ว เรื่องนี้ สร้างความครื้นเครงให้กลุ่ม เพื่อน ๆ ไม่น้อย แต่ทุกคนก็ยอมรับว่า เรื่องรสนิยมของแต่ละคนนั้นเป็นเรื่องไม่ผิด และสังคมสมัยนี้ก็เปิดกว้างให้กับคนรักเพศเดียวกันอยู่ไม่น้อย

“แล้วทำไมคนอย่างสูรย์จะเปลี่ยนรสนิยมผู้หญิงของตัวเองบ้างไม่ได้”

“ถามจริง ๆ เหอะ เอ็งนึกอย่างไงถึงจะเชียร์ไอ้ม่าให้กับข้า เอ็งมั่นใจได้ไงว่า ข้าจะใจอ่อนไปชอบยัยนั่นได้”

“บอกตรง ๆ เลยก็ได้ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ไอ้ม่ามันเมา แล้วข้าก็ถามมันว่า มันน่ะมีใจเป็นหญิงหรือชายกันแน่ มันก็บอกกับข้าว่า มันเป็นหญิงร้อยเปอร์เซ็นต์”

“หญิงที่ไหนแต่งตัวอย่างนี้” ผู้หญิงคนเก่าของสูรย์นั้น แม้จะดูเรียบร้อยนุ่มนวลอ่อนหวานแต่ว่าก็แอบซ่อนเปรี้ยวไว้มากมาย โดยเริ่มต้นที่ใบหน้า จะต้องมีสีสันบาง ๆ ตลอดเวลา ขนตานั้นก็หนาเป็นแพ เส้นผมสีน้ำตาลของเจ้าหล่อนรึก็เป็นเกลียวใหญ่ ๆ เงางาม เสื้อผ้าก็เป็นผ้าดอกบางเบานุ่งกระโปรงเผยให้เห็นเนื้อหนังและรูปร่างอยู่เป็นประจำ ผิดกับกุสุมาผู้หญิงที่ทรงฤทธิ์กำลังเชียร์อย่างออกหน้าออกตาอย่างสิ้นเชิง

“ฟังข้าก่อน...แหม เอ็งนี่ รู้จักไหม ผู้หญิงที่มันซ่อนความงามไว้นะ ก็เหมือนดอกไม้ซ่อนกลิ่น เปรียบผู้หญิงกับดอกไม้ ก็เป็นดอกกุหลาบ ไอ้ม่ามันก็เหมือนกุหลาบซ่อนกลิ่น”

สูรย์เบ้หน้าเมื่อฟังอารัมภบทยืดยาวของเพื่อนรัก

“และนิยามของผู้หญิงก็ใช่ว่าจะต้องมีอะไรเหมือน ๆ กันหมดเสียเมื่อไหร่..”

สูรย์แสร้งพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งที่ในใจก็งง ๆ ว่าทรงฤทธิ์กำลังพูดเรื่องอะไร

“ข้าจะบอกกับเอ็งว่า ไอ้ม่าน่ะ ชอบผู้ชายมีอายุ แล้วก็ชอบผู้ชายใส่แว่นตาด้วย”

สูรย์เลิกเปลือกตาขึ้นเพราะรู้สึกดีใจที่วันนี้ไม่ได้ใช้แว่นตาเหมือนที่เคยใช้เป็นประจำ..

“แล้วไง”

“ก็เอ็งนี่ไง”

“ไอ้บ้า แค่นี้เหรอวะ”

“เหอะน่า ข้ามาคิด ๆ ดูแล้วนะ เหตุผลคนเราจะเจอกันมีตั้งเป็นพัน ๆ ข้อ แล้วจู่ ๆ เอ็งคิดดู มันจะมีใครที่ไหนเข้ามาหาเอ็งด้วยเหตุผลแบบนี้บ้าง ข้าว่า ฟ้าเขาลิขิตให้เอ็งต้องคู่กับไอ้ม่า” ทรงฤทธิ์สรุปเอาง่าย ๆ ซึ่งคนอย่างสูรย์มีหรือที่จะยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

“เว่อร์ไปแล้วไอ้ซ้ง”

“ตามใจเอ็งแล้วกัน ข้าน่ะมีเซ้นต์เอ็งก็รู้ คราววรรณพรเป็นไง ข้าอยากจะบอกเอ็งตั้งแต่แรก ๆ แล้วว่า เขามีคนอื่นอยู่ในใจ แต่ข้าก็พูดไม่ออกเพราะเห็นเอ็งรักเขามาก แล้วสุดท้ายเป็นไง ไปเสียฉิบ”

พอเห็นว่าสูรย์หน้าตาเจื่อนลง ทรงฤทธิ์จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

“เอ่อ ขอโทษ ๆ เปิดจอดีกว่า ดูสิ ร้านเอ็งเป็นไงมั่ง”

สูรย์กดปุ่มเปิดจอภาพ แล้ว ในจอนั้นมีภาพตามมุมต่าง ๆ ของสวนอาหารครัวอิ่มสุข เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยได้ออกไปดูแลลูกค้า นอกจากนั่งดูระบบบัญชีรายรับรายจ่ายอยู่ตรงนี้กับคอยดูสถานที่ให้มันสะอาดเรียบร้อย ในส่วนครัวนั้นก็ป้าส้มลิ้มช่วยดูแล ระบบต่าง ๆ ในร้านก็ใช้ระบบเดียวกับสาขาแรกที่อยู่ในเมือง ซึ่งมันก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาในการทำงานสักเท่าไหร่

การนั่งมองจอก็เหมือนคอยดูความปลอดภัยของร้าน กับคอยดูแลว่าพนักงานทำงานบริการขาดตกบกพร่องหรือเปล่า ซึ่งถ้ามิเขาก็จะรีบแก้สถานการณ์โดยโทรศัพท์ออกไปสั่งที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ ซึ่งส่วนนั้นจะเป็นเหมือนเลขาของเขา ให้รีบไปดำเนินการเคลียร์ปัญหาให้หมดสิ้นไป เพราะงานบริการหากทำให้ลูกค้าเสียอารมณ์เพียงเล็กน้อยหรือเพียงครั้งเดียว มันก็อาจจะถูกเอาไปพูดปากต่อปากจนกระทั่งเสียหายเป็นวงกว้างได้.. แต่ถึงกระนั้น ในทุก ๆ วัน ช่วงเวลาเร่งรีบ เขาก็ต้องออกไปอยู่นอกห้องเพื่อเป็นหูเป็นตา และออกไปเพื่อกระตุ้นให้พนักงานทำงานกันด้วย..

แต่ว่าในช่วงบ่ายของวันนี้ ก่อนที่ทรงฤทธิ์จะเข้ามาเขาก็เพลินอยู่กับหน้าจอเพราะอยากเห็นเหมือนกันว่าไอ้ม่ามันจะทำงานเสิร์ฟได้หรือไม่ ..

และมันก็ยิ้มแย้มต้อนรับขับสู้ลูกค้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นเขายังเห็นอีกว่า เสน่ห์ของมัน ทำให้ลูกค้าสาว ๆ หลายคน ส่งสายตาส่อไมตรีให้ แล้วก็ใช่ว่ามันจะปฏิเสธไมตรีนั้นเสีย มันยิ้มแย้มเอาใจจนกระทั่งกลุ่มล่าสุด เขาเห็นว่ามันได้ทิปใส่ถาดมาเป็นแบงก์ร้อยเสียด้วย..

“สูรย์ เอ็งเห็นเหมือนกับที่ข้าเห็นไหมวะ”

“ตรงไหน”

“นั่นไง ..โต๊ะที่ไอ้ม่าบริการอยู่ มันกรุ้มกริ่มกับไอ้ม่าวะ”

สูรย์เพ่งมองไปยังโต๊ะที่มีผู้ชายวัยกลางคนเป็นลูกค้า ซึ่งโต๊ะนี้มาตั้งแต่ก่อนเที่ยงและก็มีเหล้าติดมาด้วย จากภาพในจอนั้น รอยยิ้มอย่างหมาหยอกไก่ของคนเหล่านั้น กับสีหน้าอิหลักอิเหลื่อของกุสุมา ทำให้เขาพอเดาออกว่า เด็กเสิร์ฟของเขาคงจะถูกล่วงเกินแน่ ๆ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งและเขาก็แก้ปัญหาได้ไม่ยาก..สูรย์ยกโทรศัพท์ภายใน แต่ยังไม่ทันกดหมายเลข ภาพในจอที่เขาเห็นก็ทำให้เขาถึงกับเบิกตากว้าง



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 11:39:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 11:39:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 3023





<< 2.พรหมลิขต   4.เด็กฝาก >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account