กุหลาบซ่อนกลิ่น (จบแล้ว)
นางเอกโตมาในไซด์งานก่อสร้าง ที่นั่นทำให้เธอรู้ว่า การแสดงตัวว่าเป็นหญิงเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้นนางเอกจึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง จนใคร ๆ มองว่าเป็นทอม แต่แท้จริงแล้ว เธอก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีรัก..และรักของเธอก็เป็นรักที่มีเวลามาเป็นตัวกำหนด....


Tags: โรแมนติก..

ตอน: 4.เด็กฝาก

4.

พอเห็นในจอว่ากุสุมาถูกผู้ชายหนึ่งในสี่ใช้มือลูบในที่หวงห้าม แล้วกุสุมาก็เทเหล้าในแก้วที่กำลังจะส่งให้ไปที่ยอดอกของคนที่มืออยู่ไม่สุข หลังจากนั้นไอ้หมอนั่นก็ลุกขึ้นมาผลักอก กุสุมาก็ใช่ย่อยพอตั้งหลักได้ก็ผลักอกคนเมาคืน จนกระทั่งร่างสูงใหญ่ล้มไปหาเพื่อนที่ลุกขึ้นมาพอดี..
ทรงฤทธิ์นั้นยังตกตลึง แต่สูรย์ลุกจากโต๊ะแล้วรีบเปิดประตูออกไปยังที่เกิดเหตุ..

พอไปถึงพนักงานคนอื่น ๆ ก็กรูเข้ามาล้อมดูเหตุการณ์ ส่วนวิชาญก็แยกตัวกุสุมาออกจากการประจันหน้า แต่ว่ากุสุมาก็ยังฮึดฮัดปึงปังตามนิสัยไม่ยอมคน

“ผมไม่ยอมนะ เด็กเสิร์ฟของคุณนิสัยทรามมาก ทำกับแขกในร้านแบบนี้ได้อย่างไง”

“ค่อย ๆ ค่ะ ค่อย ๆ พูดกัน” พี่ไก่พยายามไกล่เกลี่ย แต่ว่าคนทำผิดซึ่งพยายามจะเบี่ยงประเด็นหาได้หยุด

“ไม่ค่อยหรอก พวกคุณต้องรับผิดชอบ ทำกับผมแบบนี้ได้อย่างไง”

“ก็มัน จับตูดม่านี่ ใครจะทนได้ ไอ้แก่ตัณหากลับ”

“กุสุมา” สูรย์ปรามคนของร้าน เพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลาย

“ผมเป็นเจ้าของร้านครับ..ใจเย็น ๆ ครับพี่ อย่าเสียงดังครับ”

“เอ้อ เหรอ มาก็ดีแล้ว เด็กของคุณทำกับผมแบบนี้ ด่าผมแบบนี้ คุณจะรับผิดชอบอย่างไง”

“แล้วพี่ต้องการให้ผมรับผิดชอบอย่างไงละครับ” สูรย์ที่ใจร้อนเป็นไฟพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ

“มันผิดนะโว้ยสูรย์” ทรงฤทธิ์ที่วิ่งตามมากระซิบเบา ๆ

“ผมไม่ผิด คนผิดคือเด็กของคุณ”

“พี่น่าจะรู้ตัวดีว่าพี่ทำอะไรลงไป” สูรย์เสียงเย็นจ้องตานายคนนั้นอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน

“ผมทำอะไร คุณก็เห็นว่าผมเปียกปอนซะขนาดนี้ แถมมันยังด่าประจานผมอีก ให้อีน้องนี่มาขอโทษผมเสียดีกว่า”

สูรย์หันไปหาลูกน้องที่ยืนออดูเหตุการณ์

“อย่ามุง ไปทำงานกันตามหน้าที่”

พอได้ยินคำสั่งคนอื่น ๆ ต่างแยกย้าย แต่พี่ไก่ ทรงฤทธิ์ และวิชาญที่เป็นคนดึงกุสุมาไว้ยังยืนอยู่พร้อมกับตั้งท่าจะปกป้องเพื่อนร่วมสถาบันอย่างเต็มที่

“มาซะดี ๆ” คนเมาออกคำสั่งอย่างหาได้สำนึกกับความผิดของตน

“ไม่..ฝันไปเถอะ” กุสุมาเลือดขึ้นหน้า จึงยังได้ ช้างตัวเท่ามด

“แล้วน้องจะเสียใจนะ พี่เตือนน้องแล้วนะ”

ถ้อยคำนั้นทำให้สูรย์เสียวสันหลังวาบ เพราะลอบมองคนสี่คนนี้ การแต่งเนื้อแต่งตัวกิริยาท่าทาง รวมถึงใบหน้ากับแววตาเหี้ยมเกรียม หาได้ควรไว้วางใจไม่ และทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการณ์นี้เห็นจะเป็นให้กุสุมาขอโทษ ทั้งที่เขาก็มีหลักฐาน ว่าใครเป็นคนผิด..

“กุสุมา ขอโทษแขกซะ”

“ไม่ ม่าไม่ผิด เขานั่นแหละต้องขอโทษม่า”

“อ้าว อีนี่ กูทำอะไรมึง มึงนั่นแหละทำกูก่อน”

เพื่อนของคู่กรณีทั้งสามคนนั่งลงกินเหล้าต่ออย่างใจเย็น..ซึ่งมันสร้างความแปลกใจให้กับสูรย์อยู่ไม่น้อย

“ลุงก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรลงไป”

“กูไม่สน ผู้หญิงอย่างมึงหรอก อีทอม อีวิปริต”

“คุณครับ กรุณาสุภาพนะครับ” สูรย์เหลืออด เพราะถ้าเขาไม่ช่วย กุสุมาคงไม่เลิกออกงิ้วแน่ ๆ

“นั่งลง ๆ” หนึ่งในสามปรามเพื่อน คู่กรณีจึงนั่งลงได้ แต่ถึงกระนั้นแววตาอาฆาตใช่ว่าจะหายไปจากวงหน้า

“ขอโทษคุณเขาซะ”

“ไม่..ไม่มีทาง” ว่าแล้วกุสุมาก็สลัดตัวหลุดแล้วเดินออกไปทางหลังร้าน
โดยมีวิชาญเดินตามไปด้วย


พอเดินลงมาทางหลังร้านกุสุมาก็ระบายอารมณ์กับต้นเข็มที่ปลูกเรียงเป็นระเบียบ

“ใจเย็น ๆ ม่า ต้นไม้หักหมด”

“หนอย เจ็บใจนัก ไอ้แก่ ไอ้เฒ่าหัวงู ไอ้สารเลว” นอกจากนึกขยะแขยงฝ่ามือหยาบ ๆ ที่มาขย้ำตรงแก้มก้นของตนเอง ภาพในอดีตก็ทำให้กุสุมาถึงกับอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมา

ในตอนนั้นเธออายุเพียงแปดขวบ การแต่งเนื้อแต่งตัวของเธอยังเป็นเด็กหญิงทุกอย่าง แม่ให้เธอนุ่งกระโปรงบานเข้าชุดกับเสื้อ เพราะหลังจากที่พ่อตายเนื่องจากตกตึกมาคอหัก แปดเดือนถัดมา แม่ก็อยู่กินกับลุงบุญโชคหนุ่มใหญ่ผู้รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งค่อนข้างมีฐานะดีกว่าคนอื่น ๆ ที่มาติดพันแม่ที่ยังสาวสวย อานิสงส์จึงตกมาถึงเธอในรูปแบบของเสื้อผ้ากับขนมนมเนย แต่ถึงอย่างไร กุสุมาก็ยังวิ่งเล่นอยู่กับเด็ก ๆ ชายหญิงลูกของคนงานก่อสร้าง

จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอถูกอาบังขายถั่วล่วงเกินทางเพศ ความไร้เดียงสาทำให้มันใช้มือหยาบ ๆ ล่วงเกินบริเวณเดียวกับไอ้แก่ตัณหากลับคนเมื่อกี้ ตอนนั้นเธอได้แต่ปัดมือมันออกแล้วก็วิ่งหนีไปร้องไห้ ถัดมาอีกไม่กี่วัน เพื่อนผู้หญิงวัยแปดขวบ ก็ถูกลูกชายวัยสิบห้าปีของคนงานก่อสร้างคนหนึ่งกระทำการข่มขืน เป็นเรื่องเป็นราวกัน นอกจากนั้น สองหูของเธอก็ยินคนรอบ ๆ ตัว รวมถึงยายที่อยู่บ้านนอก ให้ระวังพ่อเลี้ยง เพราะในข่าวที่ได้ยินอยู่บ่อย ๆ นั้น พ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยงสาวมักจะเป็นของคู่กัน เธอจึงต้องเปลี่ยนแปลงการแต่งกายและเริ่มฝึกตัวเองให้ก๋ากั่น ไม่เกรงกลัวผู้ชาย ไม่เช่นนั้นเธอก็จะอยู่ในบริเวณไซด์งานก่อสร้างลูกกวางน้อยที่มีแต่ความหวาดระแวงภัยรอบ ๆ ตัว

“ใจเย็น ๆ ใจเย็น ๆ”วิชาญพยายามไกลเกลี่ย

“ไม่เย็นหรอก อยากตั้นหน้ามันจริง ๆ ..คุณสูรย์นั่นแหละที่ทำให้ฉันต้องเจอเรื่องแบบนี้..”

“อ้าว ไปว่าคุณสูรย์ได้ไง”

“เขานั่นแหละ...”

ว่าแล้วกุสุมาก็ระบายกับต้นไม้ซึ่งเป็นสมบัติของสูรย์..จนกระทั่งไฟโทสะเริ่มคลาย

“เย็นลงหรือยัง..กลับเข้าไปข้างในเถอะ คุณสูรย์คงอยากจะพบแกแล้วหละ”
“ฉันไม่อยากเจอหน้าไอ้แก่นั่น”

“มันเช็คบิล ขับรถออกไปกันแล้ว” พูดจบแล้ววิชาญก็ถอนหายใจออกเมาเบา ๆ ก่อนจะเตือนสติกุสุมาว่า “พวกมันดูไม่น่าไว้ใจเลยนะม่า อย่างไรก็ระวัง ๆ ตัวบ้างแล้วกัน”

“ไม่กลัวมันหรอก มาอีก ฉันจะเอามีดจิ้มพุงให้”



กุสุมาผลักประตูเข้าไป แปลกใจที่ไม่พบทรงฤทธิ์อยู่ในห้องทำงานของสูรย์ แต่ว่ากุสุมาก็ไม่พูดอะไรก่อนเพราะยังรู้สึกตึง ๆ กับเรื่องที่เธอไม่รู้ว่าสูรย์จะจัดการกับเธออย่างไร

“นั่งลงสิ”

พอนั่งลงแล้วกุสุมาก็ก้มหน้าไม่ยอมเผยความรู้สึกทางดวงตาให้เขาเห็น

“เงยหน้า”
กุสุมาเงยหน้าตามคำสั่งของคนที่ได้ชื่อว่านายจ้าง แต่ว่ายังเมินหน้าไปมองข้างฝาห้องอย่างถือดี

“มองหน้าฉัน”

พอเขาเอ่ยแบบนี้กุสุมาก็กลั้นขำไว้ไม่ไหว แต่ว่าเขาก็ยังปั้นหน้านิ่งได้อย่างเดิม กุสุมาจึงตีหน้าตายบ้าง

“มีอะไรหรือฮะ”

“คะสิ”

“ก็ม่าเป็นทอม ก็ต้องพูดฮะ”

“อย่ากวนประสาท”

“ไม่ได้กวน พูดความจริงฮะ”

“เรื่องเมื่อกี้นี้”

“จะทำโทษม่าอย่างไง จะให้ออกจากงานเหรอ ได้..”

“นี่ เราพูดเอง เออเองนะ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย” สูรย์ขึ้นเสียง

“ก็ม่าไม่เชื่อฟังคำสั่งเจ้านายนี่”

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าที่นี่ไม่มีเจ้านาย”

“ม่าจะเรียก มีอะไร อยากเรียกแบบนี้ เรียกแล้วมันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เจ้านาย ๆ”

“เรานี่มัน เด็กเกเร เด็กดื้อด้าน” สูรย์ชักสีหน้าเหลืออด แต่ถึงกระนั้นกุสุมาก็เห็นว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงของเขา

“ไม่เด็กแล้วนะ ยี่สิบแล้ว”

“บรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ทำตัว..”

พอเขาว่าอย่างนี้ กุสุมาจึงยกมือขึ้นกอดอกแล้วเบ้หน้าให้

“ม่าบอกแล้วว่ามา จะมาฝึกงานในครัว เจ้านายก็ให้ม่าออกไปต้อนรับลูกค้าเอง แล้วผลเป็นอย่างไงละ”

“คนอื่นไม่เห็นมีใครเขาเป็นอะไรกันเลย ร้านเปิดมาหลายปี ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้ ฉันนะควรถามเรามากกว่า ไปทำอย่างไร มันถึงได้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา”

“แล้วใครใช้ให้ม่าใส่กระโปรง”

“ใส่แล้วเป็นไง”

“ก็..อย่างที่เห็น”ว่าแล้วกุสุมาก็นึกได้ว่า นุ่งกระโปรงอยู่จึงรีบหนีบขาเข้าหากัน..

“เป็นความผิดฉันละซิ”

“ไม่รู้..แต่ที่ม่าไม่ชอบนุ่งกระโปรงก็เพราะม่าไม่อยากเจอผู้ชายอย่างไอ้..พวกนั้น ไอ้พวกหน้ามืด ชอบเห็นผู้หญิงเป็นเหยื่อ”

“มันคงหน้ามืดจริง ๆ แหละ..ไอ้พวกชอบของแปลก”

“แปลกอะไร”

“อ้าว พวกนั้นมันเป็นเกย์แหง ๆ เด็กเสิร์ฟสาว ๆ มีเต็มร้าน มันไม่สน มาสนทอม”

“ม่าไม่ใช่ทอมนะ”

“อ้าว แล้วเมื่อกี้ ใครพูดว่าตัวเองเป็นทอม”

“ชิ”

“ไอ้ซ้งมันคุยหนักคุยหนาว่าเด็กของมันดีอย่างนั้นอย่างนี้ อยากให้มันเห็นจริง ๆ ว่า เด็กมันน่ะอวดดื้อถือดีขนาดไหน หาสัมมาคารวะก็ไม่ได้ คุยกับผู้ใหญ่ คุยกับนายจ้าง ทำท่ากระฟัดกระเฟียดแบบนี้ ถ้าเป็นที่อื่นนะ เขาไล่กลับบ้านไปแล้ว”

“นายจ้าง” กุสุมายังไม่ยอมละพยศ

“เหนื่อยใจจริง ๆ”

“งั้นม่าลาออก”

“ไม่ได้”

“ทำไมละ”

“เราสัญญาแล้วไม่ใช่รึจะอดทนให้ถึงที่สุด มีปัญหาแค่นี้ลาออกได้ไง ที่เรียกมานี่ ไม่ใช่เรียกมาให้ลา ออกแต่เรียกมาให้รู้ว่า เรานะไม่ใช่เด็ก หัดยับยั้งชั่งใจบ้าง ไม่ใช่เอาแต่อารมณ์นำหน้าสติแบบนี้”

“ลองถูกลูบตูดบ้างสิจะได้รู้ว่า ชั่งใจไหวไหม หรือว่าชอบ”

“ไอ้ม่า!!!”


“อ้าว ไอ้ม่า ทำไมกลับบ้านแต่วัน เอ็งเพิ่งไปทำงานไม่ใช่เหรอ”

คนเป็นแม่ร้องทักเมื่อเห็นลูกสาวลงจากรถมอเตอร์ไซด์ถอดหมวกกันน็อคออกมาเผยให้เห็นสีหน้าเคร่งเครียด

“วันนี้เขาให้กลับมาพักก่อน พรุ่งนี้ไปทำใหม่”

“ไปก่อเรื่องอะไรละซิ” ป้าพรรณที่ยังนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อตั้งแต่เช้าสอดเข้ามาตามเคย

“แม่ ป้าพรรณเขากลับบ้านบ้างไหมเนี่ย”

“ไอ้ม่า” คนเป็นแม่ปรามเพราะไม่อยากให้ลูกสาวเป็นเด็กก้าวร้าว

“ม่าขอตัวขึ้นข้างบนก่อนนะ เย็นนี้ม่าไม่กินข้าวนะแม่ อิ่มจากร้านมาแล้ว” ว่าแล้วลูกสาวก็สลัดรองเท้าผ้าใบไปข้างละทิศละทางก่อนจะเดินย่ำเท้าขึ้นบันไดบ้านไป..

ส่วนป้าพรรณเมื่อกุสุมาลับตาไปแล้วก็หันไปหาแม่บังเอิญที่ยืนเรียงน้ำอัดลมเข้าตู้เย็น

“บังเอิญเรามาพนันกันไหมว่าไอ้ม่ามันจะไปทำงานที่ร้านนั้นครบอาทิตย์หรือเปล่า”



ช่วงบ่ายสองโมง ถึงห้าโมงเย็นเป็นช่วงที่ทางร้านปลอดลูกค้า สูรย์จึงให้พนักงานแบ่งกันพัก วันละสองชั่วโมง โดยจะใช้เวลาพักเหลื่อม ๆ กัน เพื่อให้มีคนสแตนบายอยู่ในร้าน และช่วงเวลานี้ มันก็สามารถทำให้พนักงานที่มีบ้านพักอยู่ใกล้ ๆ กลับไปบ้าน ไปทำงานบ้าน ไปทำธุระเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงิน ไปซื้อของใช้ในบ้าน ไปเรื่องของลูก เช่น รับกลับจากโรงเรียน หรือไปนอนพักผ่อนเอาแรง เพื่อที่จะสู้งานในคาบเวลาถัดไป และนโยบายนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่รั้งคนไว้กับงานที่ไม่มีความมั่นคงและเงินสวัสดิการน้อยนิดได้..

ส่วนตัวเขาเอง ช่วงเวลาบ่าย เขาก็มีห้องส่วนตัว สำหรับอาบน้ำ งีบหลับอยู่หลังห้องทำงาน ซึ่งบางครั้งเขาก็อาศัยนอนที่นี่แทนการกลับไปนอนที่บ้าน ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่มีพ่อแม่ พี่สาวพี่เขยและหลานชายหญิงอีกสองคน
อย่างเมื่อคืน หลังจากที่ส่งกุสุมาที่หน้าบ้านแล้ว เขาก็ขับรถของทรงฤทธิ์มาที่ร้าน เดินดูความเรียบร้อยรอบ ๆ ร้านอีกครั้ง ทั้งที่ร้านก็มียามรักษาความปลอดภัยและหลังร้านส่วนที่เลยสวนไม้ริมสระนี้มีบ้านพักคนงานซึ่งอยู่กับทางร้านมานาน จนมาเปิดร้านสาขาสวนอาหาร แม่ก็ให้มีสวัสดิการบ้านพักและจะได้อาศัยเป็นหูเป็นตาให้กับร้านด้วย แต่ว่าสูรย์ก็ยังไม่ไว้วางใจใครทั้งหมด เพราะเรื่องขโมยก็ดีเรื่อง ไฟฟ้าก็ดี เป็นเรื่องที่เขาต้องป้องกันมากกว่าจะเป็นเรื่องที่ต้องมาตามแก้ไข

และเมื่อคืนหลังจากงีบไปเพียงชั่วโมง เขาก็เอารถกระบะออกไปตลาดเพื่อเลือกซื้อวัตถุดิบจำพวกผักสดที่ต้องซื้อสามวันครั้งและจะต้องไปถึงตลาดค้าส่งที่อยู่นอกเมือง กว่าจะกลับมาถึงร้านและจอดรถทิ้งไว้รอให้คนงานมาขนลงในตอนเช้า ก็กินเวลาเกือบตีห้า เขาใช้ช่วงเวลานั้นนอนอีกรอบ จนกระทั่งถึงเวลาสิบโมงเช้า เป็นเวลาที่พนักงานจะต้องมาทำงาน แต่ก็หาได้มีวี่แววเด็กฝากของทรงฤทธิ์ที่คุยโวว่าจะตื่นมาทำงานทันอย่างแน่นอน

นึกถึง ‘ไอ้ม่า’ แล้วสูรย์ก็นั่งอมยิ้ม เพราะหลังจากที่ทะเลาะกันจนลงตัวแล้ว เขาก็อนุญาตให้กุสุมา

กลับบ้านไปพักผ่อน เพราะถ้าให้ออกไปรับหน้าลูกค้าในช่วงเย็น ดีไม่ดีร้านเขาอาจจะลุกเป็นไฟขึ้นอีกก็ได้

เพราะช่วงค่ำ ๆ นั้น ขี้เมาจะมากขึ้นอีกเท่าตัว..,และไอ้ม่าเองก็ดีใจจนกระโดดตัวปลิว แต่เขาก็มีข้อแม้ว่า พรุ่งนี้มันต้องกลับมาทำงานในตำแหน่งเดิม และจะต้องนุ่งกระโปรงอย่างวันนี้ด้วย แม้มันจะพยายามต่อรอง แต่ว่าเขาก็หาได้ยอมแพ้ เพราะกฎอย่างไรก็ต้องเป็นกฎ..
และมันก็ยังไม่ถึงเวลาที่คนอย่างกุสุมาจะเข้าไปอยู่ในครัวที่น่าจะมีปัญหากว่าข้างนอกนั่นด้วย..


“น้านั่งก่อนครับ” สูรย์ลุกขึ้นเมื่อน้าส้มลิ้มเคาะประตูแล้วเดินอุ้ยอ้ายเข้ามาในห้อง เขารีบลุกไปประคองให้แม่ครัวใหญ่ของร้านนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม

“มีอะไรกับน้าหรือสูรย์” ด้วยสนิทกัน ด้วยเปรียบเสมือนญาติ และด้วยลำบากมาด้วยกัน แม่จึงให้หุ้นน้าส้มลิ้มจำนวนหนึ่ง ร้านนี้ น้าส้มลิ้นจึงเหมือนเป็นเจ้าของด้วย

“พอดีไอ้ซ้งมันฝากเด็กคนหนึ่งให้มาฝึกงานในร้านเราครับ ..งานในครัว”

“ใครเหรอ”

“กุสุมา”

“ไอ้เด็กผู้หญิงห้าว ๆ นั่นเหรอ”

“เห็นแล้วเหรอครับ”

“เห็นแล้ว..มันคล่องดีนี่ ยิ้มแย้ม สนุกกับงานน่าดู เห็นว่าเป็นเพื่อนกับวิชาญมันด้วย แล้วอย่างไง ฝากอย่างไงไม่เข้าใจ”

“จริง ๆ เขาจะมาฝึกงานครัวเพื่อจะไปเมืองนอกครับ แต่ผมให้เขาอยู่หน้าร้านไปก่อน จะได้รู้จักร้านอาหารให้มากที่สุด”

“แล้วจะให้ไปในครัวเมื่อไหร่”

“สักสองสัปดาห์ค่อยเอาเข้าไปครับ แต่ว่าผมอยากให้น้าเพลา ๆ ฝีปากหน่อยครับ”

“ฮึ เพลาได้ไง อยากได้วิชาก็ต้องอดทน..”

“ครับ แต่ผมเกรงว่าเขาจะทนปากน้าไม่ไหวซะก่อนละซิ”

“ทำไมละ ไม่ทนก็ไม่ต้องเอาวิชา ให้ไปหาเรียนจากโรงเรียนข้างนอกโน่น ไปเสียเงินเสียทอง แล้วก็ได้สูตรแปลก ๆ รสชาติเพี้ยน ๆ ไป”

“แต่น้าไม่มีลูกศิษย์มานานแล้วนะครับ..แล้วอีกอย่างนะน้า เขากำลังไปเมืองนอก หากเขาไปแล้วได้ดี น้าว่า ประโยชน์มันจะตกที่ใคร”

“น้าไปมาจนเบื่อแล้ว” แม่ทองสุขของสูรย์นั้นใจดีกับน้าส้มลิ้มเป็นอย่างมาก เพราะถือว่าเป็นคนเก่าคนแก่ เมื่อมีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ก็จะพ่วงน้าส้มลิ้มไปด้วยเพราะถือว่าสร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยกัน

“เขาเป็นเพื่อนกับวิชาญนะครับ ..”

“แล้วไง ..”

“ถ้าเขาไปได้ดี น้าว่า วิชาญมันมีโอกาสจะเกาะเพื่อนมันได้ไหม โลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอนครับ ช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป..”

“ก็ช่วยทุกคน เพียงแต่ทนปากน้าหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ได้อยากให้อาหารไทยมันสูญพันธุ์อยู่แล้ว”

อันที่จริงความคิดแบบนี้ของนางส้มลิ้มนั้นเพิ่งจะมี ก่อนหน้านั้น วิชาที่นางได้มาจากแม่ของสูรย์นั้น นางหวงนักหนาเพราะคิดว่า ถ้าคนอื่นทำเป็น ก็จะมาแย่งหน้าที่สำคัญไป แต่เมื่ออายุมากขึ้นกอรปกับไม่มีครอบครัว นางส้มลิ้มจึงได้รู้จักปล่อยวาง และเมื่อเห็นว่า ธุรกิจร้านอาหารจากต่างประเทศเข้ามาเมืองไทยมากมายหลายประเทศ อารมณ์อยากให้อาหารไทยไม่สูญหายไป จึงทำให้นางส้มลิ้มพร้อมจะถ่ายทอดวิชา หากแต่ว่า คนงานในครัวที่เข้ามาอยู่ในร้านส่วนหนึ่ง ต่างก็แน่ใจในรสมือของตน เพราะเคยผ่านงานในครัวกันมาแล้ว และอาหารไทยรสชาติดั้งเดิมแท้ ๆ ก็มีน้อยคนนักที่จะเคยได้ลิ้มรสชาติอย่างแท้จริง คนงานที่อยู่ในครัวส่วนหนึ่งจึงอวดดื้อถือดีไม่สนใจสูตรเดิม ๆ ของเจ้าของร้าน และทางร้านเองก็ต้องจ้าง เพราะถือว่ารสชาติไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมมากนัก และตัวเองก็ใช่ว่าจะลงมือทำเองได้ทุกอย่าง ดังนั้นอะไรที่ปล่อยวางไปได้ก็ต้องปล่อย แต่อาหารหลายรายการที่ทำให้ร้านมีชื่อขึ้นมาได้ ก็จะต้องคงมาตรฐานรสชาตินั้นไว้..
และถ้ายังจะมีใครมาสานต่อรสชาติไว้ได้และทำให้มันขจรไปไกล มันก็เป็นเรื่องน่ายินดี

“สรุปว่า”

“ก็ได้ น้าจะรับเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายแล้วกัน..”










จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 11:41:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 11:41:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 2947





<< 3.วันแรก(ก็โดนซะแล้ว)   5.งานเข้า.. >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account