ม่านธาราเร้นดาว {ชุดมนตราอัญมณี} สนพ.อรุณ วางแผงแล้ว
เรื่องชุดมนตราอัญมณี : พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน

มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ

สำหรับชลธิศแล้ว มาริณเปรียบเสมือนดวงดาวที่เร้นอยู่ภายใต้ม่านธาราอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นดาวดวงน้อยที่งดงามและมีค่า ใช่จะหาพบได้ง่ายๆ แต่โชคชะตาก็นำพาให้เขามาเจอกับดาวดวงนี้…เขาสัญญาว่าจะโอบกอดดาวไว้ ไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาแย่งชิงดวงดาวอันล้ำค่าไปจากหัวใจได้โดยเด็ดขาด
Tags: มาริณ, ชลธิศ, ไตร, ชลันธร, มัชฌิตา, มุกดา, มายาไฟในดวงตา, มนตรามุกจันทรา, นิยาย, บุลินทร

ตอน: ตอนที่ 1 คนแปลกหน้า

ขออนุญาตแนะนำนิยายคร่าวๆนะครับ "ม่านธาราเร้นดาว" เป็นเรื่องที่สามของนิยายชุด "มนตราอัญมณี" ซึ่งนิยายชุดนี้ผู้เขียนได้ร่วมสร้างสรรค์งานกับนักเขียนอีกสองท่านคือ

เรื่องที่ 1 มายาไฟในดวงตา โดย อสิตา
เรื่องที่ 2 มนตรามุกจันทรา โดย ริญจน์ธร

เรื่องนี้จะเกี่ยวกับอัญมณีชิ้นไหน ลองอ่านกันดูนะครับ หวังว่าจะได้รับคำแนะนำและคำติชมจากผู้อ่าน ทั้งท่านที่เคยติดตามกันมาและผู้อ่านท่านใหม่ๆด้วย ขอบคุณล่วงหน้าครับ

เรื่องนี้เขียนจบเรียบร้อยแล้ว จะทยอยลงอาทิตย์ละสองครั้งนะครับ หวังว่าอ่านแล้วจะชอบครับ









คนแปลกหน้า

เสียงเคาะประตูห้องทำให้มาริณสะดุ้งตื่นขึ้น หล่อนหายใจหอบถี่ เม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าใสทั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง แต่เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน หญิงสาวก็ผ่อนลมหายใจออกช้าๆอย่างโล่งอก

อีกแล้วหรือ ทำไมช่วงนี้ถึงฝันว่าตัวเองจมน้ำบ่อยเหลือเกิน

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆอีกครั้ง เรียกสติที่ล่องลอยกลับมา มาริณโยนผ้าห่มออกจากตัว ก่อนลุกขึ้นเดินไปยังประตูห้องนอน

เมื่อเปิดออกก็พบป่าน สาวใช้วัยยี่สิบปลาย ซึ่งหล่อนเพิ่งจ้างเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนหลังจากย่าอมินตาเสียชีวิต เพราะมุกดาผู้เป็นพี่สาวย้ายออกจากบ้านไปอยู่คอนโดฯส่วนตัวเนื่องจากยังทำใจไม่ได้และไม่อยากเห็นบรรยากาศเก่าๆเมื่อครั้งผู้อาวุโสยังอยู่ ส่วนพี่สาวคนโตอย่างมัชฌิตาไม่ค่อยอยู่ติดบ้านนัก ดังนั้นการมีป่านอยู่ด้วยจึงไม่ทำให้บรรยากาศในบ้านหลังใหญ่ดูเงียบเหงาเกินไป

จริงๆตั้งแต่ย่าเสีย มาริณพยายามทำให้ส่วนที่ตนเองอยู่สว่างขึ้น ด้วยการหาเครื่องใช้แบบร่วมสมัยมาไว้ในห้องต่างๆ ส่วนผนังห้องเน้นสีโทนอ่อน เพราะไม่พิสมัยกับบรรยากาศมืดทึบของบ้านนัก

เว้นแต่ตึกอีกด้านซึ่งเป็นห้องนอนของย่าอมินตา หญิงสาวคงสภาพดั้งเดิมไว้เหมือนครั้งผู้อาวุโสยังอยู่ ทางเดินนั้นทั้งเล็กและแคบ กำแพงคดเคี้ยวมีไม้เลื้อยปกคลุมค่อนข้างหนา บรรยากาศเงียบทึบทึมราวกับปราสาทต้องคำสาปในเทพนิยายที่เคยอ่านสมัยเด็กๆ เรียกว่าถ้าใครไม่คุ้นทางต้องได้เดินหลงเป็นแน่

“ว่าไงจ๊ะป่าน”

“คุณมีนไม่สบายหรือเปล่าคะ ดูหน้าซีดๆจังเลย” สาวใช้ถามพลางมองสีหน้าเจ้านายด้วยความห่วงใย

“เปล่าจ้ะ” เจ้าของร่างบางปฏิเสธพลางยิ้มละไม ก่อนเอ่ย “บอกธุระของป่านมาดีกว่า”
สาวใช้เอามือมาประสานเบื้องหน้าและรายงานด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“พอดีมีแขกมาพบน่ะค่ะ”

“ใครเหรอ” มาริณเลิกคิ้วเรียวขึ้น ปกติถ้าเป็นคนรู้จัก ป่านจะบอกเลยว่าเป็นใคร แต่คราวนี้คงไม่ใช่ทั้งเพื่อนของหล่อนหรือของพี่ๆแน่

“ป่านก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เขาบอกว่าอยากพบคนในบ้าน”

“ไม่บอกเลยเหรอว่าชื่ออะไร”

“ไม่ค่ะ ป่านถามแล้ว เขาบอกแค่จะคุยกับเจ้าของบ้าน”

“งั้นฉันขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึง ป่านไปบอกเขารอก่อน” หญิงสาวไหว้วาน
สาวใช้พยักหน้ารับรู้ แต่ในขณะกำลังจะหันหลังเดินลงบันไดไปนั้น มาริณก็เรียกขึ้นเสียก่อน

“เดี๋ยว”

“คะ”

“อย่าเพิ่งให้เขาเข้ามาในบ้านนะ ให้รอข้างนอก” หญิงสาวบอกอย่างนึกขึ้นได้ การให้คนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครเข้ามาคงไม่ปลอดภัยแน่

สิบนาทีต่อมา มาริณเดินลงมาข้างล่างในชุดลำลอง ผมสีน้ำตาลมัดรวบแบบง่ายๆ เนื่องจากกลัวว่าคนข้างนอกจะรอนาน แต่เมื่อออกมาหน้าบ้านกลับไม่พบคนคนนั้นเสียแล้ว

“ไปไหนแล้วเนี่ย” หล่อนมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นวี่แววของผู้มาเยือนจึงกลับเข้าบ้านและขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวบนห้อง เพราะช่วงสายต้องออกไปทำรายงานกับเพื่อนในกลุ่ม ซึ่งเป็นงานชิ้นสุดท้าย ก่อนที่จะสอบและเรียนจบปริญญาตรีทางด้านสื่อสารมวลชนในปลายเดือนนี้






เกือบชั่วโมง มาริณจึงลงมาทานอาหารเช้าที่ป่านเตรียมไว้ให้

ตอนนี้หญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อชีฟองคอวีแขนสี่ส่วนสีครีมและกางเกงขายาวเอวสูงสีเทาแบบวินเทจ ลำคอระหงมีสร้อยทองคำขาวและจี้เงินรูปตัว M ประดับทับทิม สลักลวดลายอ่อนช้อยส่งแสงวิบวับ

ผมยาวสลวยสีน้ำตาลถูกม้วนไว้กลางหัวแบบง่ายๆและปักปิ่นไม้ไว้อย่างเคย ดวงตาเรียวรีสีดำขลับล้อมรอบด้วยแพขนตาหนา ปากนิด จมูกหน่อย ประกอบกับคางเชิดรั้นน้อยๆบอกนิสัยเจ้าหล่อนได้เป็นอย่างดี

ขณะกำลังทานอาหารนั้นเอง เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น หญิงสาวยกมือเมื่อเห็นป่านจะเดินออกไป

“เดี๋ยวฉันไปเอง คงเป็นคนเมื่อเช้านั่นแหละ”

“ค่ะคุณมีน”

มาริณเดินออกมายังหน้าบ้าน สายตามองผ่านช่องฉลุลวดลายงดงามของประตูอัลลอยเนื้อดีออกไปภายนอกด้วยความไม่ไว้ใจ

คนแปลกหน้าที่ยืนอยู่หน้าบ้านคุปตะจินดาเป็นผู้ชายตัวโต ท่าทางนิ่งๆ ดวงตาเขาเป็นประกายพราวขึ้นเมื่อเห็นหล่อน

“มาหาใครคะ”

“คุณเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ใช่ไหม” เขาถามเสียงเรียบ ก่อนจะมองเลยไปยังตัวบ้านสีเบจ ซึ่งโดดเด่นด้วยประตูและหน้าต่างลักษณะเป็นซุ้มโค้ง

ถึงแม้ตอนนี้แสงแดดจะสว่างจ้า หากบรรยากาศของบ้านกลับดูทึบทึมอย่างประหลาด คงเป็นเพราะว่ามันมีหน้าต่างน้อยเมื่อเทียบกับความใหญ่โต

“ใช่ค่ะ มีธุระอะไรหรือเปล่า” สายตาจับจ้องด้วยความระแวดระวัง

“มี” ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ

“ว่ามาเลยค่ะ” มาริณเอ่ยพลางลอบสำรวจใบหน้าคมคายของผู้มาเยือน

คิ้วหนา จมูกโด่ง ดวงตาคมกริบ ประกอบกับผิวสีแทนของเขาก็ดูคมเข้มดีอยู่หรอก แต่คงดีกว่านี้ ถ้าตัดผมหยักศกสีดำขลับให้สั้นอีกหน่อย จัดทรงเนี้ยบๆ โกนหนวดเคราเขียวครึ้มออก เอาเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนที่ใส่อยู่ไปทิ้ง และเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้ายี่ห้อดีๆ เพราะตอนนี้มันดูไม่ต่างจากหมีป่าเลย

“ถ้าเดาไม่ผิด คุณคงเป็นมาริณ คุปตะจินดา น้องสาวของมัชฌิตากับมุกดา” ริมฝีปากรูปกระจับของชายแปลกหน้าแย้มออกน้อยๆทำให้ใบหน้าดูอ่อนโยนขึ้น

“คุณรู้จักชื่อฉันได้ไง” ดวงตาของหล่อนเต็มไปด้วยความสงสัย

“ไม่เห็นยาก” เขาเหยียดยิ้มอย่างโอหัง

มาริณเห็นดังนั้นก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ดูเหมือนเขาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวหล่อนมาอย่างดี หล่อนถามขึ้นทันที

“คุณเป็นใคร ต้องการอะไร” น้ำเสียงของหญิงสาวเริ่มห้วน เพราะไม่ค่อยชอบใจรอยยิ้มของอีกฝ่ายเท่าไหร่

“เอาคำถามไหนก่อนดี”

“ก็ทั้งสองคำถามนั่นแหละ”

“ผมชื่อชลธิศ อิสระธารา” ริมฝีปากของชายหนุ่มบิดโค้งขึ้นน้อยๆ

“แล้วคุณมีธุระกับใคร เจ้าของบ้านมีหลายคน” มาริณมองด้วยสายตาระแวดระวัง บอกตรงๆว่าไม่ไว้ใจเขาเลยสักกระผีก

“ไหนๆเจอคุณแล้ว ผมคุยเลยก็ได้ ว่าแต่พอจะรู้เรื่องอัญมณีหรือเปล่า”

“อัญมณี?”

เมื่อเห็นมาริณทำหน้างง ชลธิศจึงขยายความ

“ผมรู้มาว่าครอบครัวคุณมีอัญมณีหายากหลายชิ้น เลยอยากแลกเปลี่ยนความรู้ด้วย”
มาริณหรี่ตาลงอย่างพิจารณา พอจะเดาอะไรออกเลาๆ

“แล้วคุณอยากรู้เรื่องอัญมณีชิ้นไหนเป็นพิเศษ” ตัดสินใจถามออกไปเพื่อดูเชิงอีกฝ่าย ซึ่งก็ได้ผลเมื่อดวงตาเขาเป็นประกายจัดจ้าขึ้น

“หินแห่งธารดาว”

หญิงสาวเขม้นมองอย่างจับผิดเมื่อได้ยินชลธิศเอ่ยถึงฉายาอความารีนซึ่งย่าของหล่อนเป็นเจ้าของ

“แล้วไม่สนใจชิ้นอื่นอีกเหรอ”

“ไม่”

มาริณพยักหน้ารับรู้ ตอบด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเป็นทางการ

“จริงๆฉันไม่ได้รู้เรื่องอัญมณีมากหรอกนะ ที่พอจะบอกได้ก็แค่อันนี้เรียกอะไร อันนั้นเรียกอะไรเท่านั้น แล้วถ้าจะมาขอซื้อก็บอกตรงๆเลยว่าไม่ขาย เพราะงั้นกลับไปเถอะ อย่าเสียเวลาเลย” หล่อนตัดบท เพราะรู้จุดมุ่งหมายของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินหนีเข้าไปในบ้านและไม่เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนเอ่ยอะไรอีกเลย






พอกลับเข้ามาแล้วจึงแง้มผ้าม่านลูกไม้สีครีมของห้องรับแขกสีเบจซึ่งตกแต่งใหม่ให้โปร่งขึ้น มองออกไปยังหน้าประตูรั้ว

เมื่อไม่เห็นเงาของตาหมีป่าจอมโอหังก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หันไปเอ่ยกับสาวใช้

“กลับไปแล้วละ” มาริณว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสีแดงเลือดนก

“เขาทำท่าเหมือนรู้จักทุกคนในบ้านดีมากนะคะ”

“ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าหมอนั่นเป็นใครกันแน่” หญิงสาวส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ก่อนหันไปบอกสาวใช้ “ป่านไปทำงานบ้านต่อเถอะจ้ะ”

“ค่ะคุณมีน”

เมื่อป่านออกไปจากห้องรับแขกแล้ว มาริณอดคิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของชลธิศไม่ได้ เขาอยากแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องอความารีนงั้นเหรอ

อัญมณีชิ้นที่ชายหนุ่มว่านั้น หล่อนเห็นอยู่กับย่าอมินตามาตั้งแต่ลืมตาดูโลกแล้ว

อความารีนสีฟ้าเข้มขนาดราวหนึ่งนิ้ว เจียระไนผสมผสานระหว่างแบบเหลี่ยมเกสรและขั้นบันได เม็ดเป็นทรงหยดน้ำ เนื้อกระจ่างใสแวววาวสะอาด ไม่มีตำหนิเมื่อมองด้วยตาเปล่า ยามต้องแสงไฟจะส่องประกายเรืองรองสีฟ้านวลตาเป็นห้าแฉกดุจรูปดวงดาว เป็นที่มาของฉายาหินแห่งธารดาว จัดว่าหายากที่สุดและมีราคาสูงจนประเมินค่ามิได้

เมื่อพูดถึงประวัติของย่าอมินตา หลานทั้งสามรู้ดีว่าท่านสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่ายิปซี

หลังจากย่าแต่งงานกับปู่แล้ว ท่านเลือกใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยพร้อมกับเริ่มต้นทำอาชีพหมอดู ซึ่งความแม่นยำในการทำนายทำให้มีผู้นับหน้าถือตากว้างขวางในวงสังคม ลูกค้าส่วนมากเป็นคนในแวดวงไฮโซ ดังนั้นการดูดวงจึงสนนราคาตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้าน ทว่ามีบ้างเหมือนกันที่ผู้อาวุโสไม่เรียกเก็บค่าทำนายแม้แต่บาทเดียว

สำหรับเหตุผลมาริณไม่ทราบ เพราะหลานๆรู้กันดีว่าย่าอมินตายากที่จะเข้าใจ บางครั้งสิ่งที่ท่านทำไป พวกหล่อนคิดว่าไม่มีเหตุผล แต่จริงๆย่าอมินตามักมีเหตุผลของตัวเองเสมอ

นอกจากชื่อเสียงด้านความแม่นยำในการทำนาย สิ่งที่ทุกคนสนใจอีกอย่างคือเครื่องประดับอัญมณีของท่านที่สวมใส่ในการดูดวงแต่ละครั้ง เพราะมันล้วนงดงามแปลกตา

จริงๆแล้วผู้อาวุโสยืนยันมาตลอดว่าจะไม่ขายอัญมณีทั้งหมดที่ครอบครองอยู่ แม้จะมีใครให้ราคาสูงเพียงใด

บางทีชลธิศอาจต้องการอัญมณีเหล่านี้จึงค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวหล่อนและหาทางเข้ามาตีสนิทโดยอ้างว่าอยากปรึกษาเรื่องอัญมณีเพื่อจะหาทางขอซื้อทีหลัง หรือร้ายที่สุดอาจขโมยไปเลยก็ได้ หล่อนเจอพวกที่ใช้อุบายแบบนี้เยอะแล้ว เมื่อครู่จึงแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเสีย

ขณะกำลังนึกถึงบทสนทนากับคนแปลกหน้า จู่ๆภาพความฝันตอนไปทำสารคดีชีวิตชาวเขาที่เชียงใหม่กับเพื่อนๆคณะเดียวกันเมื่อเดือนก่อนก็ลอยเข้ามาในหัวหญิงสาว







หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ มาริณและเพื่อนชายหญิงในกลุ่มอีกสามคนฉลองกันต่อเล็กน้อย ก่อนแยกย้ายกันเข้านอนตอนเที่ยงคืน เพราะต้องเดินทางกลับแต่เช้า

แล้วคืนนั้นเอง หล่อนฝันถึงย่าอมินตา ท่านมาหาในห้องนอนและนั่งลงบนขอบเตียง มือเหี่ยวย่นลูบเรือนผมสีน้ำตาลยาวสลวยแผ่วเบา หากกระนั้นมาริณก็ยังรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน เอื้อเอ็นดู และอบอุ่นจากสัมผัสของท่าน

หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้น ใบหน้าระบายไปด้วยความยินดีเมื่อเห็นผู้อาวุโสนั่งอยู่ใกล้ๆ แต่พลันก็เปลี่ยนเป็นความสงสัยเมื่อพบว่าแววตาของผู้มาเยือนเต็มไปด้วยความกังวล
พี่สาวคนโตเคยบอกหล่อนว่าย่าอมินตามีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว แต่หล่อนก็ไม่ค่อยอยากเชื่อนัก บางทีมัชฌิตาอาจแค่ล้อเล่นก็ได้ เพราะใบหน้าของผู้อาวุโสยังคงมีเค้าของความงดงามหมดจด เรียกว่างามกว่าคนวัยเดียวกันหลายเท่านัก อีกอย่างท่านยังเดินเหินคล่องแคล่ว ผิดวิสัยของคนอายุสามหลัก

‘คุณย่า คุณย่ามาที่นี่ได้ไงคะ’ มาริณถามอย่างแปลกใจ คิ้วเรียวโก่งขมวดเข้าหากันน้อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเร็ว

‘ย่ามีเรื่องอยากขอร้อง เจ้าช่วยย่าได้ไหม’ เสียงของผู้อาวุโสเปี่ยมไปด้วยอำนาจ

‘คุณย่าอยากให้มีนช่วยอะไรบอกมาเลยค่ะ’ หล่อนยินดีทำทั้งนั้น เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่

ทว่ายังไม่ทันได้คำตอบ หญิงสาวก็สะดุ้งตื่นขึ้น ก่อนพบว่าเพื่อนร่วมกลุ่มยืนอยู่ข้างเตียง ฝ่ายนั้นดึงแขนปลุกหล่อนหลังจากเรียกอยู่นานแล้วไม่ได้ผล

ตลอดหกวันที่ทำงานอยู่เชียงใหม่ มาริณรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก หล่อนบอกไม่ถูก รู้แต่ว่ามันโหวงๆหวิวๆในใจ นึกเป็นห่วงย่าขึ้นมาครามครัน ทว่าเมื่อโทร.ถามกับมุกดาหรือมูน ผู้เป็นพี่สาวคนกลางทีไร ฝ่ายนั้นก็บอกว่าที่บ้านไม่มีอะไรน่าห่วง

ไม่มีอะไรน่าห่วงงั้นเหรอ พี่มูนคิดว่าหล่อนจะจับความรู้สึกจากน้ำเสียงไม่ได้หรือไงนะ ปกติเวลามีเรื่องอะไรพี่มูนไม่เคยปิดได้อยู่แล้ว ถ้าคุยต่อหน้า ต้องได้เห็นแววตาล่อกแล่กและลุกลี้ลุกลนของพี่สาวเป็นแน่ คนที่โกหกหล่อนได้ก็มีเพียงมัชฌิตา ผู้เป็นพี่สาวคนโตนั่นละ

เมื่อรถโดยสารเข้าจอดเทียบที่ชานชาลาของสถานีขนส่งหมอชิต มาริณและผู้โดยสารคนอื่นๆทยอยกันลงจากรถ หญิงสาวโบกมือลาเพื่อนร่วมงานอีกสามคน แยกย้ายกันขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านพักผ่อนเพื่อเตรียมลุยงานต่อไป

มาริณไม่ได้บอกทางบ้านเรื่องการกลับมาก่อนกำหนดหนึ่งวัน หญิงสาวอยากรู้ว่าพวกพี่ๆกำลังมีความลับอะไรหรือเปล่าและคิดว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆโดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับย่า เพราะความรู้สึกลึกๆบอกอย่างนั้น

เป็นดังคาด ทันทีที่กลับมาบ้านก็พบว่าย่าอมินตาเสียชีวิตแล้ว โดยมุกดาปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เพราะไม่อยากให้หล่อนที่กำลังจะเรียนจบเสียงาน ส่วนพี่สาวคนโตอย่างมัชฌิตาติดธุระ ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าสำคัญมากจึงไม่สามารถกลับบ้านได้

แต่น่าแปลกนักที่ร่างของย่าอมินตาเหมือนคนนอนหลับไปเท่านั้นและไม่มีการเน่าเปื่อยใดๆ นอกจากนั้นผู้อาวุโสยังเขียนสั่งเสียไว้ว่าห้ามเคลื่อนย้ายร่างท่านออกจากบ้านหรือนำไปทำพิธีใดๆโดยเด็ดขาด

แม้เหตุผลฟังดูประหลาดและเสี่ยงกับการนินทาของผู้คน หากหลานๆก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง เพราะเชื่อว่าทุกอย่างที่ท่านทำมีเหตุผล







เมื่อถึงเวลาออกจากบ้าน มาริณสะพายกระเป๋าหนังสีน้ำตาลใบเล็กๆเข้ากับชุดที่ใส่เดินลงบันไดมาจากห้องนอนชั้นสอง

“ป่าน ถ้าพี่มูนแวะเข้ามาบอกว่าฉันออกไปทำรายงานกับเพื่อนนะ” หล่อนหันไปฝากความสาวใช้ซึ่งกำลังเช็ดทำความสะอาดแจกันหินอ่อนสีขาวมีราคาในตู้ไม้สักอย่างแข็งขัน พี่มูนที่หญิงสาวว่าก็คือมุกดา พี่สาวคนกลางผู้อ่อนหวาน ซึ่งกำลังทำธุรกิจเล็กๆเกี่ยวกับการให้เช่าของตกแต่งงานแต่งงานร่วมกับเพื่อนสนิท แม้จะทำธุรกิจด้านนี้ แต่เจ้าตัวกลับยุ่งมากจนไม่มีเวลาคิดเรื่องคู่ชีวิตเลย

ไม่ต่างจากพี่มิ้งค์หรือมัชฌิตา พี่สาวคนโตของหล่อน รายนั้นมีนิสัยลุยๆ ชอบเดินทางไปยังที่ต่างๆเพื่อแสวงหาสิ่งแปลกใหม่เสมอ พูดง่ายๆคือไม่เคยอยู่บ้านเกินหนึ่งเดือน แต่ดูเหมือนจะไม่ได้กระทบงานส่วนตัวเท่าไหร่ เพราะมัชฌิตารับจ้างทำงานออกแบบกราฟฟิกทั่วไป ซึ่งสมัยนี้รับส่งงานทางอีเมลได้อย่างสะดวกสบาย แต่ส่วนใหญ่เจ้าตัวจะนอนที่ออฟฟิศเพื่อนมากกว่า วันดีคืนดีถึงจะกลับมาบ้าน แม้แต่น้องๆเองก็เดาไม่ถูกเหมือนกันว่ามัชฌิตาจะกลับมาตอนไหน

‘วันนี้นึกครึ้มอะไรถึงกลับบ้านได้คะ’ มาริณเคยถาม หลังจากมัชฌิตาซึ่งหายไปเกือบเดือนโผล่หน้ามาให้เห็น

‘อ้าว เธอนี่ ถามยังกับไม่อยากให้ฉันกลับมา’ ใบหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้ม บูดบึ้งขึ้นทันควัน

‘มีนแปลกใจจริงๆนี่นา’ เจ้าตัวทำหน้าปั้นยากเมื่อได้รับเสียงดุๆ

‘อารมณ์ดีเลยกลับ’ มัชฌิตาตอบห้วนสั้น ซึ่งมักเป็นอย่างนี้เสมอ เพราะเจ้าตัวไม่ชอบพูดยืดยาวเสียเวลา

ตั้งแต่นั้นมาริณจึงสรุปได้ว่ามัชฌิตาจะกลับบ้านแค่ตอนอารมณ์ดีจริงๆ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหนจะดีหรือร้าย เพราะแปรปรวนเสียอย่างนี้ พี่สาวหล่อนเลยเป็นโสดมาจนถึงปัจจุบัน

พูดถึงเรื่องแฟน จริงๆมาริณเองก็ยังไม่มีเหมือนกัน แม้ตอนเรียนอยู่ชั้นปีสองจะเคยคบกับรุ่นพี่คนหนึ่งเกือบหกเดือน ทว่าสุดท้ายก็ต้องเลิกราด้วยเหตุผลว่าฝ่ายชายไม่ชอบนิสัยดื้อรั้นของหญิงสาวและที่สำคัญ…หล่อนไม่ยอมนอนกับเขา

สมัยยังเด็กนั้น สามพี่น้องมัชฌิตา มุกดา และมาริณอาศัยอยู่กับแม่เพียงลำพังด้วยความเป็นอยู่ที่ไม่สบายนัก เพราะแม่เป็นเพียงพนักงานออฟฟิศ ทำงานเกี่ยวกับการเงินในบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งมีรายได้พออยู่รอดไปแต่ละเดือนเท่านั้น ส่วนเรื่องเกี่ยวกับพ่อ มาริณไม่รู้มากนัก เพราะเวลานั้นเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไร

แม่เล่าเพียงว่าพ่อแต่งงานกับท่านตอนอายุล่วงเข้าวัยกลางคนแล้ว ในขณะที่แม่อายุเพียงยี่สิบสี่ปี เรียกว่าห่างกันเกือบสองรอบ เช่นเดียวกับปู่ซึ่งมีอายุมากกว่าย่าอมินตานับสิบปี ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าพ่อกับปู่จะเสียชีวิตไปก่อน ขณะแม่และย่าอยู่ในช่วงเวลาที่ยังแข็งแรงดีทั้งคู่

แม้เมื่อก่อนย่าอมินตาจะไม่เคยสนใจหลานสาว แต่เมื่อพ่อของมาริณเสียชีวิต ท่านกลับต้องการรับหลานๆทั้งสามไปอยู่ด้วย แต่แม่ไม่ยินยอม

ทว่าไม่นานต่อจากนั้นมัชฌิตา มุกดา และมาริณก็ต้องตกอยู่ในอุปการะของผู้อาวุโสอย่างไม่มีทางเลือก เนื่องจากแม่เสียชีวิตอย่างไม่คาดคิด

แม้จะไม่มีพ่อแม่แล้ว ย่าอมินตาก็เลี้ยงดูหลานๆทั้งสามเป็นอย่างดี มอบความรักอย่างเท่าเทียมกัน หากดูเหมือนว่าท่านกับพี่สาวคนโตของหล่อนจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก แต่ด้วยความที่มาริณเองยังเด็กจึงไม่อยากยุ่งเรื่องนี้มาก ได้แต่เอาใจช่วยทั้งสองอยู่ห่างๆ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่ได้จบลงด้วยดี เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมาย่าป่วยและเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน ทั้งที่ยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกับมัชฌิตาเลย

มาริณถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มเมื่อนึกถึงพี่สาวคนโต หลายวันมานี้หล่อนพยายามโทร.ติดต่อมัชฌิตา แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะไปทำอะไรอยู่ที่ไหนแล้วจะรับรู้ถึงความห่วงใยของน้องๆทั้งสองบ้างไหม






เวลาต่อมา มาริณขับรถเก๋งซีดานสีน้ำเงินมาถึงห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองแห่งหนึ่งและขึ้นไปยังร้านกาแฟชื่อดังซึ่งนัดหมายไว้กับเพื่อนในกลุ่ม

เนื่องจากมาถึงเป็นคนแรก ระหว่างนั่งรอจึงสั่งกาแฟมอคค่ามาดื่มพร้อมกับอ่านทวนรายงานที่เขียนมาไปพลาง

บรรยากาศช่วงบ่ายวันธรรมดาเงียบสงบเพราะมีลูกค้าประปราย มาริณจดจ่อกับงานอยู่นาน ก่อนจะสะดุ้งและอุทานออกมาเบาๆเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นตรงหน้า

“บังเอิญจังเลยนะครับ”

เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง หญิงสาวต้องถอนหายใจแทบไม่ทัน

“คุณอีกแล้วเหรอ”

เจ้าของร่างสูงใหญ่ยิ้มเรียบๆ แววตาคล้ายกำลังหมายมาดอะไรบางอย่าง ก่อนเดินไปนั่งที่โต๊ะมุมในสุดของร้านโดยไม่เอ่ยอะไรต่อ

มาริณมองตามอย่างงงงวย ก่อนจะพ่นลมหายใจพรืด

“นายชลธิศ นายต้องการอะไรกันแน่นะ”

เมื่อชายหนุ่มเดินผ่านไปแล้ว เพื่อนร่วมกลุ่มสามคนของหญิงสาวก็เดินเข้ามาในร้านพอดีราวกับรู้จังหวะ เมื่อเห็นใบหน้าของมาริณคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เก๋ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มก็ถามขึ้น

“เป็นอะไรเหรอยายมีน”

คนถูกถามหลุดจากความคิด ก่อนส่ายหน้าไหวๆ

“เปล่า”

“พวกฉันขอโทษนะที่มาช้า พอดีรถไฟฟ้าเสียเลยต้องลงมาโบกแท็กซี่ แทนที่จะมาเร็วเลยช้ากว่าเดิม” เพื่อนสาวคนเดิมว่าด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไร จริงๆฉันเพิ่งมาไม่นานเหมือนกัน”

เพื่อนชายหญิงสามคนโล่งอกที่อีกฝ่ายไม่ถือโทษ ปลดกระเป๋าสะพายเตรียมจะนั่งลง ทว่าในจังหวะนั้นมาริณเอ่ยขึ้นเสียก่อน

“เดี๋ยว ฉันว่าเปลี่ยนร้านดีกว่า ดูท่าทางร้านนี้จะบรรยากาศไม่ดีแล้ว”

“อ้าว ทำไมล่ะ ปกติแกชอบร้านนี้มากไม่ใช่เหรอ เวลาทำงานทีไรก็นัดมาประจำ แล้วไหงวันนี้บอกว่าบรรยากาศไม่ดีซะงั้น” เพื่อนผู้ชายคนเดียวในกลุ่มเกาหัวแกรกๆ

“ก็เฉพาะวันนี้เท่านั้นแหละ” หล่อนว่าพลางปรายตามองคนตัวโต ซึ่งนั่งจิบกาแฟพลางอ่านแมกกาซีนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอยู่มุมด้านในสุดของร้านด้วยท่าทีหยิ่งยโส

โปรดติดตาม...



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ธ.ค. 2554, 17:23:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ธ.ค. 2554, 17:30:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 2989





<< บทนำ   ตอนที่ 2 บังเอิญหรือตั้งใจ >>
lovemuay 21 ธ.ค. 2554, 19:27:43 น.
ตาหมีป่าคนนี้ใช่พระเอกของเรารึป่าวน้อ? อิอิ


บุลินทร 21 ธ.ค. 2554, 19:33:00 น.
จะใช่หรือเปล่า ต้องติดตามตอนต่อไปครับ ^^


Zephyr 21 ธ.ค. 2554, 19:40:31 น.
อืม อ่านแล้วยังเดาทางเรื่องไม่ถูกแฮะ งงๆ แต่ก็น่าติดตามดีค่ะ
เรื่องชุดนี้เชื่อมกันที่สามพี่น้องใช่มั้ยคะ มีอัญมณีเป็นสื่อกลาง?


บุลินทร 21 ธ.ค. 2554, 19:51:08 น.
มีเชื่อมบ้างครับ แต่สามพี่น้องก็จะมีอัญมณีในเรื่องของตัวเอง (เดี๋ยวบทที่สองหวังว่าคงจะหายงงนะ ^^)


Auuuu 21 ธ.ค. 2554, 20:16:13 น.
อยากอ่านตอนต่อไปแว้วว เดาเรื่องไม่ถูกเลย ^^


บุลินทร 21 ธ.ค. 2554, 20:19:50 น.
เดี๋ยวตอนที่สองจะรีบตามมาครับ


ริญจน์ธร 21 ธ.ค. 2554, 23:09:18 น.
รวดเร็วกันจัง พี่สาวคนนี้ยังไม่ได้แปะเลยจ้า


บุลินทร 21 ธ.ค. 2554, 23:17:11 น.
รีบมาลงเลย พี่มูน ฮ่าๆ


หมูอ้วน 23 ธ.ค. 2554, 00:18:39 น.
รอตอนต่อไปค่ะ


บุลินทร 23 ธ.ค. 2554, 10:28:15 น.
ตอนใหม่มาแล้วครับ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account