ม่านธาราเร้นดาว {ชุดมนตราอัญมณี} สนพ.อรุณ วางแผงแล้ว
เรื่องชุดมนตราอัญมณี : พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน

มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ

สำหรับชลธิศแล้ว มาริณเปรียบเสมือนดวงดาวที่เร้นอยู่ภายใต้ม่านธาราอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นดาวดวงน้อยที่งดงามและมีค่า ใช่จะหาพบได้ง่ายๆ แต่โชคชะตาก็นำพาให้เขามาเจอกับดาวดวงนี้…เขาสัญญาว่าจะโอบกอดดาวไว้ ไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาแย่งชิงดวงดาวอันล้ำค่าไปจากหัวใจได้โดยเด็ดขาด
Tags: มาริณ, ชลธิศ, ไตร, ชลันธร, มัชฌิตา, มุกดา, มายาไฟในดวงตา, มนตรามุกจันทรา, นิยาย, บุลินทร

ตอน: ตอนที่ 2 บังเอิญหรือตั้งใจ

ตอนที่ 2 มาแล้วครับ หวังว่าอ่านแล้วจะชัดเจนมากขึ้นกว่าตอนที่แล้วนะ ^^






บังเอิญหรือตั้งใจ

เมื่อสองสาวในกลุ่มเห็นสายตาของมาริณจึงหันไปมองตาม ก่อนอุทานออกมาพร้อมกัน

“ว้าว…ใครน่ะแก หล่อเข้มมากๆ สเป็คฉันเลย” เก๋เอ่ยอย่างตื่นเต้น

“เห็นแล้วนึกถึงพระเอกละครแนวตบจูบเลยแก ไม่รู้เขาสนใจจับฉันไปขังเกาะหรือเปล่า” เพื่อนสาวอีกคนเอ่ยอย่างเพ้อฝัน

คล้ายชลธิศรู้ว่าพวกหล่อนกำลังคุยเกี่ยวกับเขา ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ดวงตาคมกริบมองมาริณเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งหญิงสาวก็เดาไม่ออกเหมือนกัน

“หล่อตรงไหน หนวดครึ้มขนาดนั้น แถมตัวใหญ่ยังกะหมีป่า” มาริณตั้งใจพูดให้อีกฝ่ายได้ยิน หล่อนมองเขากลับด้วยสายตาสะใจ

“นี่แหละแมนสุดๆ หรือแกชอบพวกหน้าขาวๆหุ่นอ้อนแอ้น แบบนั้นฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ ไม่รู้ว่าแต่งงานกันไป ใครจะปกป้องใครกันแน่” เก๋แย้ง ก่อนเอ่ยเสียงกระตือรือร้น “นั่งร้านนี้ต่อเถอะนะ จะได้มีอะไรดูแก้เครียดตอนทำงาน” พูดจบก็ได้เสียงสนับสนุนจากอีกสองสาวทันที สุดท้ายมาริณจึงจำใจนั่งร้านเดิมต่อ

ระหว่างทำงานหล่อนพยายามไม่หันไปมองชลธิศ ทว่าสุดท้ายก็อดไม่ได้ เพราะอยากรู้ว่าเขาจะมองหล่อนอยู่หรือเปล่าและมีปฏิกิริยาอย่างไร

แต่ช้าก่อน ปฏิกิริยาที่ว่าไม่ได้หมายถึงเรื่องหัวใจใดๆทั้งนั้น ตอนนี้หล่อนกำลังสงสัยอยู่อย่างเดียวว่าเขาเป็นใคร เข้ามาที่บ้านคุปตะจินดาทำไม และการที่หล่อนเจอเขาในร้านกาแฟอีกครั้งเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจกันแน่

ชลธิศนั่งอยู่ในร้านกาแฟอีกพักหนึ่งจึงลุกออกไป ก่อนพ้นประตู ชายหนุ่มหันกลับมามองหล่อนพร้อมยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ดูมีลับลมคมใน หล่อนไม่ชอบเลยให้ตายเถอะ แถมความรู้สึกยังบอกว่าจะต้องพบเขาอีกแน่ๆ






หลังจากทำงานเสร็จตอนเย็น มาริณเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีใกล้ห้างสรรพสินค้า ระหว่างทางหล่อนหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาโทร.หามุกดา เมื่อพี่สาวคนกลางรับสายจึงกรอกเสียงใสลงไป

“พี่มูน อยู่ไหนแล้ว”

“อยู่โรงแรม ยังคุยกับลูกค้าอยู่เลย” เสียงเพลงคลาสสิกเบาๆดังมาตามสาย

“โห งั้นกว่าจะออกมารถติดแน่ๆ ช่วงนี้คนเลิกงานพอดี” มาริณกังวลแทนพี่สาวเมื่อนึกถึงสภาพการจราจรของกรุงเทพฯในตอนเย็น แถมวันนี้ฝนยังตกลงมาปรอยๆ รถคงติดมากกว่าเดิมหลายเท่าโดยไม่ต้องเดา โชคดีที่หล่อนพกร่มมาด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้เปียกมะล่อกมะแล่กเป็นลูกแมวตกน้ำ

“ว่างั้นแหละ” มุกดาแสดงความเห็นด้วยกับน้องสาว ก่อนจะถามต่อ “แล้วโทร.มามีอะไรหรือเปล่า”

“อ๋อ…มีนว่าจะไปทานอาหารเย็นกับพี่มูนที่ห้องน่ะค่ะ แต่ไม่รู้พี่มูนจะว่างหรือเปล่า”

“ว่างสิ วันนี้ไม่มีนัดแล้ว มีนก็รู้ สำหรับมีนพี่ว่างเสมอ”

“ทำเป็นพูดดี อีกหน่อยมีหนุ่มมาจีบก็คงลืมน้องแน่ๆ” หล่อนหัวเราะหึ ทำทีน้อยใจ

“โอ๊ย หนุ่มที่ไหน ไม่มีหรอก ยังไงเข้ามาได้เลย แต่แวะซื้อกับข้าวมาด้วยนะ ขืนรอพี่ เธอได้หิวตาลายพอดี” พี่สาวหล่อนว่า เพราะเจ้าตัวแทบทำอาหารไม่เป็นเลย สามมื้อส่วนใหญ่จึงมักฝากท้องไว้กับบรรดาร้านอาหารตามสั่งหรือร้านข้าวแกง “แล้วนี่ที่บ้านเป็นไงบ้าง”

เมื่อได้ยินคำถาม มาริณก็ถอนหายใจเบาๆก่อนตอบ

“เงียบเหมือนเดิม นี่มีนยังติดต่อพี่มิ้งค์ไม่ได้ด้วย ชอบทำให้เป็นห่วงจริงๆ”

“รายนั้นไม่ต้องห่วงเขาหรอก ชอบหายไปอยู่แล้วนี่นา เดี๋ยวคงกลับมาเอง” มุกดาพูดให้ทั้งตัวเองและน้องสาวสบายใจ

“มีนรู้ แต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี พี่มิ้งค์เป็นผู้หญิง ถ้าเป็นผู้ชายก็ว่าไปอย่าง”

“ก็จริง แต่พี่ว่าพี่มิ้งค์เขาเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงกับอันตรายหรอก เชื่อพี่เถอะ เพียงแต่ว่าก่อนจะหายไปคราวนี้เขาดูแปลกๆ”

“รายนั้นก็ชอบทำตัวเข้าใจยากเป็นธรรมดาอยู่แล้วนี่ พี่มูนยังทำใจไม่ได้อีกเหรอ ทางที่ดีที่สุดเราคงต้องรอให้เขากลับมาเอง” มาริณเอ่ยอย่างปลดปลง

พูดจบสองพี่น้องก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนที่มุกดาจะถามต่อ

“แล้วอยู่ไหนเนี่ย”

“กำลังจะถึงคอนโดฯพี่มูนค่ะ พอดีมีนจอดรถไว้ที่ห้างแล้วขึ้นรถไฟฟ้ามาแทน”

“อ้าว จริงเหรอ งั้นไปรอในห้องได้เลยนะ จะเปิดทีวีดูหรือฟังเพลงก็ตามใจ เดี๋ยวพี่ตามไป” มุกดาให้กุญแจห้องสำรองไว้กับน้องสาว เผื่อเวลาที่ไม่อยู่ห้องแล้วมาริณมาหาจะได้ไม่ต้องรอนาน

“ได้ค่ะ ค่อยมาคุยกันที่ห้องอีกที มีนมีเรื่องจะเล่าให้พี่มูนฟังเยอะแยะเลย” มาริณบอกเมื่อถึงสถานีที่ต้องลง

“จ้ะๆ เจอกัน”

เมื่อพี่สาววางสายไปแล้ว มาริณก็เดินลงมายังประตูทางออกของรถไฟฟ้า ระหว่างทางหล่อนแวะซื้อกับข้าวจากร้านอาหารสามสี่อย่าง ใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีจึงมาถึงที่พักของพี่สาวซึ่งตั้งอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าพอสมควร แต่เมื่อเทียบกับราคาที่ถูกกว่าก็ถือว่าคุ้ม แถมบรรยากาศยังเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนกว่าคอนโดฯใจกลางเมือง

ขึ้นมาถึงห้องพักของพี่สาวได้ มาริณก็โยนกระเป๋าสะพายไปที่โซฟา คว้ารีโมตมาเปิดเครื่องปรับอากาศ ก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเพื่อพักเหนื่อย แต่นั่งนิ่งได้ไม่ถึงห้านาที ดวงตาเรียวรีสีดำขลับก็ค่อยๆปิดลงอย่างห้ามไม่อยู่

ตอนแรกเจ้าตัวคิดว่าแค่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่สุดท้ายก็จมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราโดยไม่รู้ตัว อาจเป็นเพราะความอ่อนล้าจากการใช้ความคิดทำรายงานหลายชั่วโมงด้วยที่ทำให้หลับง่ายแบบนี้

สำนึกสุดท้ายก่อนหลับสนิท มาริณจำได้ว่าในห้องมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศ ทว่าจู่ๆหล่อนก็ได้ยินเสียงของย่าอมินตาดังขึ้นที่ข้างหู

ตามหาอความารีนให้พบ มันจะแก้ไขความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจากอดีตได้

ท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ท่วมท้นไปด้วยความกังวล แต่ทันใดนั้นเองมาริณก็สะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง หล่อนหันซ้ายหันขวามองหาย่าอมินตา ความสับสนงุนงงฉายชัดในดวงตาเรียวรี คำถามมากมายประดังประเดเข้ามาในหัว

หากเมื่อครู่นี้เป็นความฝัน ทำไมมันถึงเหมือนจริงเหลือเกินนะ หรือว่าย่าอมินตาจะมาหาหล่อนจริงๆ แม้อยากเชื่อว่าอย่างนั้น หากอีกความคิดหนึ่งก็แย้งว่าจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อย่าเสียชีวิตไปแล้วเกือบหนึ่งเดือน

หญิงสาวพยายามขบคิด ทว่าไม่มีเวลานึกมากกว่านั้น เพราะเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอีกรอบ หล่อนรีบลุกจากโซฟา เดินไปที่ประตูบานใหญ่ ก่อนก้มส่องช่องตาแมว เมื่อเห็นเจ้าของร่างแบบบางยืนอยู่ก็หมุนลูกบิดเปิดประตู แต่ไม่สามารถทำได้

ก้มลงไปดูถึงเพิ่งรู้ตัวว่าคล้องโซ่นิรภัยเอาไว้ด้วยความเคยชิน แบบนี้นี่เอง พี่มูนถึงเคาะประตูเรียกแทนที่จะเปิดเข้ามาเลย

“ทำไรอยู่ยายมีน พี่เคาะตั้งนาน” มุกดาทำท่าโวยวายอย่างไม่จริงจังนักเมื่อเข้ามาในห้องได้ หล่อนเดินเอาร่มไปตากไว้ที่ระเบียงหลังห้อง ก่อนกลับมายังโซฟาและทิ้งตัวนั่งลง

“มีนขอโทษนะ พอดีเผลอหลับไปนิดหน่อย” ผู้เป็นน้องสาวเอ่ยเสียงอ่อน

“ขี้เซาจริงๆเลยเรา ฝนตกพี่ยิ่งหนาวๆอยู่ด้วย” เจ้าของผมยาวหยักศกสีดำดัดเป็นลอนถึงกลางหลังส่ายหน้า

พี่สาวคนกลางของหล่อนมีเครื่องหน้าคมเหมือนย่า แต่ดูอ่อนหวานเพราะลักยิ้มบนแก้มทั้งสองข้าง จุดเด่นอีกอย่างของมุกดาคือดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลมโตสดใสราวกับลูกแก้ว

ในบรรดาพี่น้องทั้งสามคน มาริณคิดว่าหน้าตาของตัวเองดูจะกระเดียดมาทางผู้เป็นปู่ที่มีเชื้อสายไทยแบบเต็มตัวมากกว่าใคร สิ่งที่หล่อนได้มาจากย่าอมินตาเห็นจะเป็นผมสีน้ำตาลแบบธรรมชาตินี่ละ แต่ย่าก็บอกว่าผมของหล่อนออกจะเข้มและตรงกว่าของท่านเมื่อตอนสาวๆนิดหนึ่ง ซึ่งมาริณเคยเห็นในภาพถ่ายเหมือนกันว่าผมของผู้อาวุโสเป็นสีน้ำตาลหยักศก หนาสลวยราวกับแพร

“ขี้เซาที่ไหน หลับไปแป๊บ-บ-บเดียวเอง” มาริณลากเสียงยาวเพื่อยืนยัน แต่ทำเอาพี่สาวหลุดหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าใสๆของน้องสาวดูจริงจังเหลือเกิน

“แล้วนี่ซื้ออะไรมาบ้าง ของโปรดพี่หรือเปล่า” มุกดาว่าพลางเหลือบมองเข้าไปในพื้นที่มุมหนึ่งของคอนโดฯซึ่งแบ่งเป็นห้องครัว แม้ไม่ใหญ่มาก หากก็สามารถประกอบอาหารเล็กๆน้อยๆได้

“แน่นอนค่ะ ไก่ทอดหนึ่งห่อใหญ่ สำหรับพี่มูนโดยเฉพาะ ที่สำคัญน่องล้วนๆ”

“พูดแล้วหิว” มุกดารู้สึกเหมือนท้องร้องดังขึ้นกว่าระหว่างทางขับรถกลับมาคอนโดฯเสียอีก “งั้นพี่ขอไปล้างเครื่องสำอางแป๊บนึงนะ” แม้จะหิวแค่ไหน แต่เรื่องการทำความสะอาดใบหน้าก็ต้องมาก่อนเสมอสำหรับมุกดา

พูดจบเจ้าตัวก็หายเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานจึงกลับออกมาพร้อมชุดลำลองสบายๆ ผมหยักศกสีดำขลับถูกรวบมัดเป็นหางม้าแบบง่ายๆ

“นั่งเลยค่ะ มีนเอาอาหารใส่จานไว้แล้ว” มาริณเลื่อนเก้าอี้ให้พี่สาว

มุกดานั่งลง ไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้ส้อมเสียบน่องไก่มาใส่จานตัวเองทันที

“มีนมีอะไรจะคุยเหรอ พูดมาได้เลยนะ”

ผู้เป็นน้องสาวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้าม เริ่มเปิดประเด็นด้วยเรื่องทั่วไป ถามไถ่ถึงงานของพี่สาวตามประสาพี่น้อง ระหว่างนั้นก็ตักผัดเปรี้ยวหวานทะเลของโปรดมาใส่ปากบ้าง

ด้านมุกดาก็ถามถึงเรื่องเรียนและวิจัยตัวสุดท้ายของน้องสาวอย่างสนใจเช่นกัน พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปได้สักพัก มาริณจึงเข้าเรื่องที่ต้องการพูดจริงๆ

“มีนเจอเรื่องแปลกๆมา”

“เรื่องอะไร” ประโยคเมื่อครู่ทำให้มุกดาเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างสงสัย

“จะว่ายังไงดีล่ะ จู่ๆวันนี้ก็มีผู้ชายคนนึงมาที่บ้านเรา บอกว่าอยากคุยเรื่องอัญมณีเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กัน”

“ยังไงเหรอ”

“มีนก็งงเหมือนกันค่ะ แถมตอนไปทำงานกับเพื่อน มีนยังเจอเขาที่ร้านกาแฟอีก ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า แต่ยังไงผู้ชายคนนี้ก็ไม่น่าไว้ใจ” หล่อนเอ่ยอย่างเชื่อมั่น “ที่ผ่านมามีคนสนใจอัญมณีของคุณย่ามากมาย แต่ละคนพยายามมาขอซื้อ แต่คุณย่าไม่ยอมขาย จนหลังๆเริ่มใช้วิธีใหม่เข้ามา รายล่าสุดนี่ลงทุนมาก ถึงขนาดค้นข้อมูลครอบครัวเราเพื่อเข้ามาตีสนิทเลย เขารู้ชื่อจริงของพี่มิ้งค์กับพี่มูนด้วยนะคะ ทั้งๆที่เราก็ไม่ใช่คนในวงสังคมสักหน่อย แบบนี้ไม่ธรรมดาแล้วละ”

มุกดาฟังและคิดตาม ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย

“แปลกจริงๆด้วย แล้วเขามีท่าทีคุกคามอะไรหรือเปล่า”

“ตอนนี้ยังค่ะ แต่มีนไม่กลัวหรอก บ้านเมืองมีขื่อมีแป เขาคงไม่กล้าทำอะไรอุกอาจ” อีกอย่างหล่อนไม่ใช่คนชอบไปที่เปลี่ยวคนเดียวอยู่แล้ว อย่าหวังเลยว่าจะได้อาศัยโอกาสนั้นทำอะไรหล่อน

“แล้วนี่จะทำยังไงต่อไป”

“ยังไม่ทำอะไรหรอกค่ะ แค่รอดูต่อไปเรื่อยๆ เพราะเป้าหมายของเขาจริงๆคงไม่ใช่มีนหรอก”

“มีนคิดว่าเขาต้องการอัญมณีมากกว่า?”

“ใช่ค่ะ” มาริณพยักหน้าช้าๆ ก่อนเล่าต่อ “เขาบอกว่าสนใจอความารีน ท่าทางอยากได้มากเลยนะคะ” มาริณเล่าพลางนึกถึงหน้าตาท่าทางของชลธิศ

“อความารีนเหรอ” มุกดาถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเล็กๆ คิ้วเรียวโก่งขมวดเข้าหากัน “งั้นเขาคงรู้แน่ๆว่ามันอยู่กับมีน ถึงเข้ามาถามถูกคนแบบนี้”

“อความารีนอยู่กับมีน?”

“ใช่ ก็อความารีนเม็ดนั้นที่ย่าเคยใส่”

“พี่มูนหมายความว่ายังไง”

คำพูดของมาริณทำให้อีกฝ่ายยิ่งงุนงงมากขึ้นอีก

“อย่าบอกนะว่าพี่มิ้งค์ยังไม่ได้ให้มีน”

“เดี๋ยวนะคะ เรื่องมันเป็นยังไง พี่มูนเล่าได้ไหม ตอนนี้มีนงงไปหมดแล้ว” หญิงสาวพยายามจับต้นชนปลายแต่ก็ยังสับสน

เมื่อได้ยินดังนั้น มุกดาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกอะไรในใจออกเลาๆ หล่อนวางช้อนส้อมลงในจานและหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดมือ ก่อนเล่าด้วยท่าทีเป็นทางการขึ้น

“ก่อนคุณย่าจะเสีย ท่านมอบแหวนให้พวกเราคนละวง บอกว่าพลอยพวกนี้จะนำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่พวกเรา คุณย่าว่าอย่างนั้น” ระหว่างที่พูดสายตาของมุกดามองเลยไปยังด้านหลังของน้องสาวและทำปากมุบมิบๆราวกำลังพูดกับใครอีกคนในห้อง

“ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คืออะไร”

“พี่ก็ไม่รู้ แค่รับไว้ความต้องการของท่าน เพราะคุณย่าบอกเท่านี้จริงๆ” มุกดาพูดพลางลูบมือตัวเองป้อยๆ

“นั่นแหวนมูนสโตนที่คุณย่าเคยใส่นี่นา” มาริณเพิ่งสังเกตนิ้วกลางข้างซ้ายของอีกฝ่าย

“ใช่ ท่านมอบแหวนมูนสโตนให้พี่ ของพี่มิ้งค์เป็นแหวนพลอยตาเสือ ส่วนของมีนคุณย่าท่านมอบแหวนอความารีนให้ แต่ตอนนั้นมีนยังอยู่เชียงใหม่ พี่มิ้งค์เลยอาสาจะเอาไปให้ เพราะจะไปงานแต่งเพื่อนที่นั่นพอดี พี่นึกว่าเขาให้แหวนมีนแล้วเลยไม่ได้ถามอะไรอีก ไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้”

มุกดาไม่ค่อยเชื่อเหมือนกัน ตอนที่มัชฌิตาบอกว่าจะเอาแหวนอความารีนไปให้มาริณที่เชียงใหม่ แต่ก็ได้แค่แอบคิดอย่างเกรงใจ ไม่กล้าแย้งว่ากลัวมัชฌิตาโกหก เพราะอีกฝ่ายเป็นพี่คนโต ไม่นึกเลยว่าสุดท้ายเรื่องราวจะลงเอยอย่างที่คิดจริงๆ

“แบบนี้นี่เอง” มาริณพยักหน้าเบาๆอย่างเข้าใจทั้งหมด

“คุณย่ายังสั่งเสียไว้อีกนะว่าให้มีนเก็บแหวนอความารีนไว้ เพราะมันจะแก้ไขความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจากอดีตได้” ทันทีที่มุกดาพูดจบ เสียงฟ้าก็ร้องกังวานขึ้น

“อความารีนจะแก้ไขความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจากอดีตได้งั้นเหรอ” มาริณพึมพำกับตัวเองเบาๆ ประโยคนี้เหมือนในความฝันของหล่อนไม่มีผิด แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าชื่ออัญมณีทั้งสามชิ้นมีความหมายเหมือนชื่อของหล่อนและพวกพี่ๆราวกับว่าถูกเลือกมาแล้วว่าพลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีนต้องเป็นของใคร

คุณย่ารู้และต้องการให้พวกหล่อนทำอะไรกันแน่

“มีนว่าไงนะ” มุกดาถามเมื่อได้ยินอะไรบางอย่างไม่ถนัดนัก

มาริณขยับตัวเล็กน้อยด้วยความไม่แน่ใจ แต่ก็ตัดสินใจเล่าให้พี่สาวฟังในที่สุด

“คือ…มีนก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เมื่อกี้ตอนที่เผลอหลับไป มีนรู้สึกเหมือนคุณย่าอยู่ใกล้ๆ แล้วท่านก็บอกว่าให้ตามหาอความารีนให้พบ เพราะมันสามารถแก้ไขความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจากอดีตได้ เหมือนที่พี่มูนเล่าเลยค่ะ”

“เป็นไปได้ไงเนี่ย!” แม้ไม่อยากเชื่อนัก หากมันเป็นจริงไปแล้ว หล่อนมั่นใจว่าน้องสาวไม่ได้กุเรื่องความฝันขึ้นมาแน่นอน เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่มาริณจะทำอย่างนั้น

“แล้วแหวนพวกนี้มันจะมีผลอะไรกับพวกเราหรือเปล่านะ” มาริณบ่นลอยๆมากกว่าต้องการคำตอบจริงจัง สิ่งที่ย่าอมินตาพูดดูเป็นปริศนาเสียจริง

ทันใดนั้นหญิงสาวก็อุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อรู้สึกเหมือนมีใครมาสะกิดแขน หล่อนหันไปมองด้านหลัง แต่พบเพียงความว่างเปล่า

“เป็นอะไรเหรอมีน” สายตาของมุกดาดูล่อกแล่กระคนกังวล

“ไม่มีอะไรค่ะ” มาริณตอบยิ้มๆ ปกติหล่อนมีสัมผัสที่หกอยู่แล้ว บ่อยครั้งจึงรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่รอบตัว แต่นานๆครั้งจะมองเห็น ไม่เหมือนมุกดาซึ่งมีสัมผัสแรงกล้ากว่า บางทีตอนนี้พี่สาวหล่อนอาจรู้ว่ามีใครอื่นอยู่ในห้องด้วย เพียงแต่ไม่บอกเท่านั้น

เมื่อน้องสาวว่าอย่างนั้น มุกดาจึงไม่เซ้าซี้ สองพี่น้องทานข้าวต่อ ขณะที่ในใจครุ่นคิดว่ามัชฌิตามีเหตุผลอะไรถึงนำแหวนอความารีนไปโดยไม่มอบให้น้องสาวคนสุดท้องตามสัญญา

“พี่มิ้งค์อาจจะลืมหรือเปล่า”

“พี่ว่าไม่ เขาไม่ใช่คนขี้ลืมนะ”

“แล้วจะเอาไปทำไมล่ะคะ”

“นั่นสิ ที่แน่ๆเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอก แต่เหตุผลคืออะไรนี่เดายากชะมัด” มุกดาส่ายหน้าอย่างอ่อนระอา

“ว่าไปแล้วพี่มิ้งค์กับคุณย่านี่เหมือนกันมากที่สุดเลยนะคะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมสองคนนี้ถึงไม่เคยเข้าใจกันสักที”

“เพราะเข้าใจยากเหมือนกันทั้งคู่น่ะสิ”

“ท่าจะจริง” มาริณฝืนยิ้ม ความกลัดกลุ้มถูกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าแจ่มใส แววตาของหล่อนสับสนและหม่นหมองนัก

ดูเหมือนว่าชีวิตช่วงนี้จะยุ่งยากขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า มีแต่เรื่องให้ขบคิดเต็มไปหมด คำถามหลายอย่างยังคงค้างคาในใจ ไม่อาจหาคำตอบได้เลยสักข้อ

โปรดติดตาม...



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ธ.ค. 2554, 23:30:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ธ.ค. 2554, 23:30:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 2310





<< ตอนที่ 1 คนแปลกหน้า   ตอนที่ 3 เหตุผลที่แท้จริง >>
lovemuay 23 ธ.ค. 2554, 06:19:11 น.
เนื้อหาเริ่มซับซ้อนขึ้นแระ อิอิ


หมูอ้วน 23 ธ.ค. 2554, 06:37:56 น.
ใครอยู่ในน้องด้วยเอ๋ย


ameerahTaec 23 ธ.ค. 2554, 09:15:54 น.
ใช่วิญญาณเด็กน้อยที่ร้านบะหมี่หรือป่าวหนอ


Zephyr 23 ธ.ค. 2554, 10:59:05 น.
เริ่มซ่อนเงื่อน และเราก็เริ่มมึนขึ้นเรื่อยๆ ฮ่าๆๆ ล้อเล่นค่ะ อ่านรู้เรื่องนะ แต่ว่าการตายของย่านี่ต้องมีปริศนาแน่ๆเลย จากการประมวลผลของเรื่องทั้งสามเรื่องเนี่ย แต่ยังเดาไม่ออก ก็นะ ตามต่อไป ใครในห้องน้า ใครที่สะกิดหนอ หนูน้อยวิญญาณคนนั้นรึป่าว


ริญจน์ธร 23 ธ.ค. 2554, 16:15:47 น.
แวะเข้ามาเป็นกำลังใจ ^^


อสิตา 24 ธ.ค. 2554, 18:59:25 น.
ตาหมีป่าน่าสงสัย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account