มนตรามุกจันทรา {ชุดมนตราอัญมณี}สนพ.อรุณ
พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน
มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ

ชีวิตของมุกดาแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเธอได้รับมรดกชิ้นสุดท้ายจากผู้เป็นย่า เป็นแหวนมูนสโตน...อัญมณีแห่งดวงจันทร์ซึ่งนำพาวิญญาณของเด็กหญิงดวงหนึ่งมา
หญิงสาวจะทำเช่นไร กับการต้องอยู่ร่วมกับวิญญาณดวงน้อย ในเมื่อเธอนั้นแสนจะกลัวผี!

ชีวิตของวาริทมีเพียงภาระและความเศร้าเป็นเพื่อนมานานแรมปี การได้พบกับเธอ...มุกดา หญิงสาวผู้เปลี่ยนโลกทั้งใบของเขาให้พลันสดใสขึ้น ทว่า เขาจะจัดการอย่างไรกับหญิงสาวในดวงใจดี เมื่อเธอนั้นแสนดี ช่วยเหลือคนไปทั่ว ทั้งสัตว์ คน ... รวมไปถึงกระทั่ง...เอ่อ...ผี! โดยไม่คิดสงสารหัวใจคนเป็นอย่างเขาบ้างเลย (ให้ตายเถอะ)

...มนุษย์ทุกคนย่อมมีเหตุผลแห่งการมีตัวตน
เธอ อาจคือหนึ่งเหตุผลของตัวตนในวันนี้...

Tags: เหนือธรรมชาติ ชุดอัญมณี มาริณ มุกดา วาริท มัชฌิตา อมินตา มายาไฟในดวงตา ม่านธาราเร้นดาว

ตอน: บทที่ 1/1 ความตาย...สิ้นสุดหรือเริ่มต้น

สำหรับเรื่องนี้ ขออนุญาตแบ่งบทนึงสองตอนนะคะ เพราะเรื่องนี้ตอนนึงค่อนข้างยาวมากกกค่ะ
และคนเขียนจะพยายามเข้ามาลงอาทิตย์ละสองครั้ง (ถ้ามิมีธุระอื่น) คาดว่าน่าจะลงได้ทุกวันอังคารและวันศุกร์ค่ะ
ปล. Merry Christmas นักอ่านทุกท่านนะคะ

***********

บทที่ 1 ความตาย...สิ้นสุดหรือเริ่มต้น

เสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาบนฝาผนังห้องยังคงเดินต่อไปราวไม่มีวันสิ้นสุด ผิดไปจากลมหายใจของใครบางคนบนเตียงนอนกำลังแผ่วลงทุกขณะ
“คุณย่า...” มุกดาพยายามกลั้นก้อนสะอื้นในลำคอ
หยาดน้ำเอ่อล้นอยู่เต็มสองนัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตคู่สวย ร่างแบบบางของหญิงสาวนั่งอยู่ข้างเตียงนอนของผู้เป็นย่า สองมือน้อยเกาะกุมมืออันเหี่ยวย่นของหญิงชราซึ่งวางซ้อนทับกันอยู่บริเวณหน้าท้อง นัยน์ตาทั้งสองของท่านปิดสนิท เส้นผมหยิกลอนขาวโพลนไปทั้งศีรษะแผ่อยู่เต็มปลอกหมอน
ภาพนี้เป็นภาพที่มุกดาคุ้นชินในทุกค่ำคืนยามลอบเปิดประตูห้องนอนเข้ามาดูแลความเรียบร้อย แต่ในค่ำวันนี้กลับต่างออกไป แรงกระเพื่อมน้อยๆบริเวณทรวงอกของผู้เป็นย่าทิ้งห่างลงเรื่อยๆจนกระทั่งเมื่อเข็มนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน ลมหายใจอันแสนแผ่วเบาก็หยุดชะงักลง

“ไม่นะ! คุณย่า...” หญิงสาวครางออกมาแทบไม่อยากเชื่อสายตากับภาพตรงหน้า
มุกดาซบหน้าลงบนหลังมือซึ่งยังไม่คลายจากการเกาะกุมมือของผู้เป็นย่าไว้
“ท่านสิ้นลมแล้วครับ” เสียงของนายแพทย์ซึ่งถูกตามตัวมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ เรียบสนิท
หลังจากทำการตรวจอีกเล็กน้อย นายแพทย์ก็หันไปถอดหน้ากากออกซิเจนซึ่งครอบอยู่บริเวณปากและจมูกออก ย่าอมินตาจึงดูไม่ต่างจากคนกำลังนอนหลับ หากลึกลงไปมุกดากลับรู้ดีว่าย่าผู้เป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของเธอได้จากโลกนี้ไปแล้ว

แม้จะเริ่มทำใจมาได้เกือบอาทิตย์ แต่หญิงสาวก็ยังอดน้ำตาไหลออกมาด้วยความโศกเศร้าไม่ได้ เมื่อย่าอมินตาของเธอต้องเข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แรกทีเดียวมุกดาคิดว่าการไปโรงพยาบาลครั้งนี้ก็เหมือนการไปโรงพยาบาลโดยทั่วไปของคนแก่ แม้ปรกติย่าอมินตาจะแทบไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลย แต่ในความเป็นจริงท่านก็แก่มากแล้ว ท่านอายุเท่าไรมุกดาก็สุดรู้ รู้แต่เพียงว่าหญิงสาวเห็นท่านเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่จำความได้

พี่มิ้งค์เคยบอกว่าย่าอายุเกินร้อยปีแล้ว...มุกดาจำได้ถึงคำพูดของมัชฌิตาผู้เป็นพี่สาวเมื่อครั้งยังเด็ก แต่เธอเองก็ไม่ใคร่เชื่อถือนัก เพราะไม่คิดว่าคนยังมีร่างกายแข็งแรง เดินเหินด้วยตนเองได้อย่างผู้เป็นย่าจะมีอายุถึงเลขสามหลัก
แต่ไม่ว่าย่าอมินตาจะอายุเท่าไร แข็งแรงมากแค่ไหน ท้ายสุดแล้วมนุษย์ทุกคนก็หนีไม่พ้นความตาย ในช่วงสองอาทิตย์ก่อนหน้านี้ จู่ๆย่าอมินตาก็มีอาการคล้ายคนหายใจไม่ออก ท่านไม่ยอมนอนหลับเลย จนมุกดาเริ่มเป็นกังวล แม้ท่านจะพร่ำบอกว่าไม่เป็นไร แต่ด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวจึงเป็นคนจัดการธุระทุกอย่าง พาท่านส่งโรงพยาบาล อาการของย่าอมินตาดูไม่ดีขึ้นเลยจนท่านต้องถูกนำตัวเข้าห้องผู้ป่วยวิกฤต (ไอซียู) มุกดาแทบจะหยุดทำงานเพื่อนำเวลาทั้งหมดมาคอยดูแลท่าน ทั้งๆที่ทางโรงพยาบาลเองก็ใช่ว่าจะยอมให้ญาติผู้ป่วยนอนพักอยู่ในห้องไอซียู แต่หญิงสาวก็ยังคงเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาล จนกระทั่งวันที่เธอตัดสินใจนำตัวท่านกลับบ้าน มันเป็นการตัดสินใจแสนยาก

‘ย่าอยากกลับบ้าน ถ้าจะตายก็ขอตายที่บ้าน’ คำพูดอันเต็มไปด้วยอาการเหนื่อยหอบของย่า ทำให้มุกดาตัดสินใจทำตามคำขอร้องของท่าน

ช่วงเวลาสองสามวันก่อนหน้านี้ ย่าอมินตาจึงได้กลับมาอยู่บ้านโดยมีเธอและนางพยาบาลพิเศษคอยดูแล มีนายแพทย์ที่เธอจ้างพิเศษให้มาตรวจอาการของท่านทุกวัน อาการของย่าอมินตาไม่ได้ดีขึ้น ท่านไม่รู้สึกตัวอีกเลยนับตั้งแต่หลับไป หลังจากถูกนำตัวเข้าห้องไอซียู แต่หญิงสาวก็ยังคงดึงดันพาท่านกลับบ้านตามคำสั่งสุดท้ายก่อนย่าจะหลับไป หญิงชราต้องใส่หน้ากากออกซิเจนเพื่อช่วยหายใจ ทานอาหารผ่านทางสายยาง แต่สีหน้าของท่านยามหลับก็แลดูสดใสขึ้นกว่าตอนอยู่โรงพยาบาล กระทั่งบ่ายวันนี้อาการของท่านทรุดหนักลงอย่างน่ากลัว ย่าอมินตาหายใจช้าลงจนเธอเริ่มเกิดอาการหวาดกลัว มุกดาตัดสินใจโทรศัพท์หามัชฌิตาผู้เป็นพี่สาวเพื่อให้มาดูใจผู้เป็นย่าในครั้งสุดท้าย ทว่าสิ่งที่เธอได้รับกลับเป็นการบอกปัด มัชฌิตายังคงเป็นพี่สาวหัวแข็งคนเดิมที่เธอรู้จัก ทว่าเธอก็ยังหวังลึกๆว่าพี่สาวคนโตจะยอมลดทิฐิตัวเองลงกลับมาดูใจผู้เป็นย่าสักครั้ง ส่วนมาริณผู้เป็นน้องสาวคนเล็ก มุกดาไม่ได้โทรศัพท์ไปหาเธอด้วยเกรงว่าข่าวเรื่องอาการป่วยหนักของย่าอมินตาจะมีผลต่อการทำงานครั้งสำคัญของน้องสาว

ดังนั้นในยามย่าอมินตาจากไปอย่างสงบ เธอจึงเป็นทั้งญาติและหลานสาวเพียงคนเดียวที่อยู่กับท่านในช่วงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

มุกดามองสภาพห้องพักแบบหนึ่งห้องนอนของตัวเองด้วยรอยยิ้มเหนื่อยๆ หลังการจากไปของย่าอมินตา หญิงสาวตัดสินใจออกจากบ้านคุปตะจินดาของผู้เป็นย่า เพราะไม่อาจทนอาศัยอยู่ในบ้านตามลำพังได้ เนื่องจากตอนนั้นทั้งพี่สาวและน้องสาวของเธอต่างยังไม่มีใครกลับบ้าน เธอจึงตัดสินใจมาอาศัยอยู่ในห้องพักของคอนโดมิเนียมซึ่งเคยดาวน์ไว้เมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน หญิงสาวมักใช้เป็นสถานที่แห่งนี้เป็นห้องนอนเมื่อครั้งทำงานประจำ เพราะไม่อยากขับรถกลับไปไกลถึงบ้านย่า แต่พอเลิกทำงานประจำ เธอก็พยายามหาเวลากลับไปอยู่กับย่าให้มากขึ้น เพราะในบรรดาหลานสาวทั้งสาม มัชฌิตาและมาริณก็ต่างยกให้เธอเป็นหลานรักของย่า
ทว่า เวลานี้เธอไม่อาจทำใจอยู่บ้านหลังเดิมได้อีกแล้ว แม้มาริณจะกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่ทุกอย่างก็ยังไม่เหมือนเดิม เมื่อไม่มีย่าอมิตา บ้านคุปตะจินดาก็แลดูเป็นสถานที่แห่งความหลังอันเศร้าสลด

นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาเกือบเก้าโมงเช้าทำให้คนยืนเหม่อลอยอยู่เริ่มรู้สึกตัว เธอหันไปคว้ากุญแจรถและเครื่องถวายสังฆทานซึ่งตนเองได้ตระเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานเพื่อเดินออกจากห้องพัก หญิงสาวชะงักปลายเท้าไปเล็กน้อยขณะสายตามองเห็นกล่องกำมะหยี่สีแดงถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะรับประทานอาหาร เธอตัดสินใจสาวเท้าเข้าไปใกล้ เปิดกล่องกำมะหยี่ขึ้น หยิบเอาแหวนเงินฝังมูนสโตนสีชมพูขึ้นมาสวมใส่ยังนิ้วกลางของตัวเอง
แหวนมูนสโตน...สมบัติชิ้นสุดท้ายที่ย่าได้มอบให้เธอไว้ก่อนจากไป

หลังย่าอมินตาเสียชีวิตลง ความวุ่นวายทั้งหลายล้วนตกมาอยู่ในมือของมุกดาผู้เป็นหลานสาวใกล้ชิดท่านมากที่สุด เนื่องจากเธอยังคงไม่ได้บอกเรื่องการตายของผู้เป็นย่าให้กับมาริณ น้องสาวคนสุดท้องได้รับรู้จนกระทั่งมาริณเดินทางกลับมาจากเชียงใหม่หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น มุกดาก็จัดการเรื่องราวหลายอย่างไปจนเกือบเสร็จหมดแล้ว
แต่เรื่องน่าน้อยใจที่สุดในการจากไปของย่ากลับกลายเป็นเรื่องของมัชฌิตา...พี่สาวผู้ที่เธอหวังพึ่งพิง แม้จะเพียรโทร.ไปบอกเรื่องอาการป่วยของย่ารวมถึงตอนย่าเสีย พี่สาวเธอก็กลับไม่ยอมมาดูใจหรือแม้แต่เคารพศพผู้เป็นย่าเลยจนกระทั่งสามวันให้หลัง เธอจึงได้เห็นหน้าพี่สาวเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน แต่กระนั้นการพบกันในวันอันแสนเศร้าก็กลับไม่ได้ช่วยปลอบหัวใจดวงน้อยเลยสักนิด เพราะเธอกับมัชฌิตากลับมีปากเสียงกันเรื่องสมบัติที่ย่าอมินตาทิ้งไว้

เฮ้อ พี่มิ้งค์ก็ยังเป็นพี่สาวปากแข็ง ยากจะเข้าใจคนเดิม...ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่พวกเธอย้ายมาอยู่กับย่าอมิตาในบ้านคุปตะจินดาหรือบ้านสีเบจ ตามคำเรียกขานซึ่งตั้งขึ้นตามสีของตัวบ้าน เธอไม่เคยเข้าใจมัชฌิตาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเรื่องพี่สาวมักไม่ค่อยกินเส้นกับย่า แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามให้ความเคารพย่าอมินตาอย่างเด็กพึงกระทำต่อผู้ใหญ่ แต่ลึกลงไปกว่านั้น มุกดาก็ยังมองเห็นแววตาแข็งกร้าวของพี่สาวยามทอดมองผู้เป็นย่า เธอแทบไม่เคยเข้าใจเลยว่าพี่สาวคนโตคิดอะไรอยู่ในใจ แม้กระทั่งวันที่มัชฌิตากลับมาเพื่อทวงมรดกที่ย่าทิ้งไว้ให้พร้อมกับหยิบสมบัติซึ่งควรเป็นของมาริณติดมือไป

‘นี่ไม่เชื่อใจกันหรือไงมูน’ น้ำเสียงดุของมัชฌิตายังดังก้องอยู่ในความรู้สึกของเธอ พี่มิ้งค์ใช้สิทธิ์ความเป็นพี่สาวคนโต ยื้อแย่งสมบัติชิ้นสำคัญซึ่งควรเป็นของน้องสาวคนเล็กไป
หญิงสาวถอนหายใจออกมาด้วยความไม่เข้าใจ อยากพยายามทำใจให้เชื่อว่ามัชฌิตาจะนำมรดกชิ้นสุดท้ายของย่าไปมอบให้มาริณจริงตามคำสัญญา หากท่าทีของพี่สาวในวันนั้นก็ทำให้เธอเชื่อได้ยากเต็มที แต่มุกดาก็ยังคงเป็นน้องสาวคนเดิมที่ยังคงรักและเคารพมัชฌิตาเช่นเคย จึงไม่กล้าท้วงติงอะไรรุนแรงออกไป หนำซ้ำเธอยังอดเป็นห่วงพี่สาวไม่ได้ เมื่อไม่สามารถติดต่อมัชฌิตาได้อีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ภาระทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องศพของย่าอมินตาจึงตกอยู่ในความดูแลของมุกดาแต่เพียงลำพัง หญิงสาวตัดสินใจทำตามคำสั่งเสียชวนฉงนของย่าอมินตาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ไม่มีการจัดงานศพ ไม่มีการทำพิธีกรรมทางศาสนาใดๆเลยแม้แต่น้อย รุ่งเช้าของวันนั้น สิ่งเดียวที่มุกดาทำก็คือการขับรถออกไปแจ้งความยังสถานีตำรวจ เนื่องจากผู้เป็นย่าเธอได้มาเสียชีวิตลงภายในบ้านของตนเอง หลังจากมีการตรวจชันสูตรศพและออกใบมรณบัตร ทุกอย่างก็กลับสงบนิ่ง ไม่มีการทำสิ่งใดต่อ มุกดาตัดสินใจไม่ให้แพทย์ชันสูตรฉีดฟอร์มาลีนเข้าไปในร่างกายของผู้เป็นย่า ไม่ได้หาซื้อโลงศพ และ...ไม่ได้ให้ผู้ใดเคลื่อนย้ายศพของย่าออกจากห้องนอนท่านเลย ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งเสียสุดท้ายของย่าอมินตาท่ามกลางความฉงนภายในใจของตัวมุกดาเอง หากลึกๆแล้วหญิงสาวก็ยังตัดสินใจเชื่อและทำตามคำสั่งสุดท้ายของย่าอมินตา แม้ว่าใจเธอจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

เป็นที่รู้อยู่แก่ใจว่าย่าอมินตาของเธอเป็นคนแปลก เธอรู้มาว่าย่าอมินตาไม่ใช่คนไทยแต่เป็นพวกยิปซีเร่ร่อน เข้ามาพำนักและตั้งถิ่นฐานในเมืองไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน ในสมัยเด็ก บิดาของมุกดาจากบ้านตั้งแต่เธอยังเป็นเพียงเด็กหญิง เธอจำภาพบิดาได้เพียงเลือนราง รู้แต่เพียงเขาเป็นชายผู้มีผมสีเทา เนื่องจากบิดาเธออายุห่างจากมารดากว่ายี่สิบปี ตอนนั้นการจากไปของบิดาไม่ได้ทำให้ชีวิตในวัยเด็กเศร้ามากนัก เพราะเธอแทบไม่สนิทสนมกับคนเป็นพ่อเลย รู้แค่เพียงว่าเขาย้ายกลับไปอยู่กับย่าหลังจากมาริณเกิดได้เพียงสามปี จากนั้นเธอจึงมารู้ข่าวการเสียชีวิตของบิดาในอีกหลายปีให้หลัง ช่วงนั้นมุกดามีชีวิตอยู่อย่างค่อนข้างแร้นแค้น เนื่องจากเธอเหลือแค่เพียงมารดา ต้องทำงานเพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูบุตรสาวทั้งสาม

จนกระทั่งมารดาของเธอจากโลกนี้ไปอีกคน มุกดาและพี่น้องทั้งสามจึงได้ย้ายมาอยู่กับ ย่าอมินตา คุปตะจินดา แม้ว่าเธอกับผู้เป็นย่าจะไม่ได้สนิทสนมกันมากในช่วงแรก แต่มุกดาก็ยังให้ความเคารพท่านเฉกเช่นเด็กคนหนึ่งพึงมี ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีภายใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรของผู้เป็นย่า มุกดาจึงได้เติบโตมาและมีทุกอย่างเพียบพร้อมอย่างที่หญิงสาวผู้หนึ่งพึงมี ระยะเวลาหลายปีในบ้านสีเบจ ทำให้เธอได้รับรู้เรื่องราวต่างๆมากมาย เธอรู้จากย่าในภายหลังว่าบิดาของเธอมีเหตุผลของการจากไปในครั้งนั้น และรู้ดีว่าผู้เป็นย่ารักหลานทั้งสามมากเพียงใด

แต่วันนี้ย่าอมินตาไม่ได้อยู่กับเธอแล้ว สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่คือร่างกายซึ่งยังคงไม่เน่าเปื่อยของผู้เป็นย่าในห้องนอน แม้จะฉงนแต่ก็ไม่เกินความคาดหมายใด หญิงสาวรู้ดีว่าย่าอมินตามี ‘บางสิ่ง’ พิเศษเกินกว่าคนทั่วไป ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจทำทุกอย่างตามคำสั่งเสียสุดท้ายของย่าอย่างเคร่งครัด
‘ย่าจะกลับบ้าน กลับไปนอนตายที่บ้าน ไม่ไปไหน ห้ามใครเคลื่อนย้าย ทำอะไรกับศพย่า จนกว่าเรื่องราวทุกอย่างจะจบลง...’ นั่นคือคำพูดสุดท้ายของผู้เป็นย่าเมื่อครั้งยังอยู่ในโรงพยาบาล และมันคือสิ่งสุดท้ายที่เธอตั้งใจทำให้ย่าผู้เป็นที่รัก แม้ว่าตนเองจะไม่เข้าใจนักว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นและจบลงต่อจากนี้
นัยน์ตาสีน้ำตาลหวานก้มลงมองแหวนในกล่องกำมะหยี่อีกครั้ง อาจเป็นเพราะความคิดถึงหรืออะไรก็สุดรู้ มือบางเอื้อมไปลงไปหยิบแหวนเงินขึ้นมาจากกล่อง วูบหนึ่งความเย็นเยียบจากผิวสีเงินก็ไหลผ่านจากปลายนิ้วเข้ามา มันวาบลึก พุ่งเข้าใส่กลางอกของเธอโดยไม่ทันตั้งตัว

มุกดาสะบัดแหวนในมือออกทันทีด้วยความตกใจ เสียงแหวนตกลงบนพื้นกระเบื้องดึงสติของหญิงสาวให้ก้มลงไปมอง เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งหากสุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบแหวนของผู้เป็นย่าขึ้นมาสวมลงบนนิ้วกลางข้างซ้าย ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพัก เธอจึงไม่ทันได้สัมผัสกับสายลมที่จู่ๆก็พัดผ่านเข้ามาในห้องทั้งๆหน้าต่างและบานประตูทุกบานยังคงปิดสนิทอยู่


รถยนต์คันเล็กขนาดกะทัดรัดสีชมพูด้านสลับขาวขับเข้ามาจอดยังบริเวณลานจอดรถของวัดแห่งหนึ่ง ไม่นานร่างแบบบางของหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็กสีดำก็เดินลงมาจากรถพร้อมกับหอบหิ้วของที่เธอตั้งใจนำมาถวายสังฆทานขึ้นไปบนศาลาวัด สายวันนี้มุกดาตั้งใจนำสังฆทานมาถวายพระในวันครบรอบวันตายหนึ่งเดือนของย่าอมินตา เพราะเหลือเธออยู่กรุงเทพฯ แต่เพียงลำพัง มุกดาจึงตัดสินใจทำทุกอย่างอย่างง่ายๆเธอออกไปซื้อของเพื่อจัดสังฆทานด้วยตนเองตั้งแต่เย็นวาน แล้วจึงนำมาถวายพระยังวัดห่างออกไปไม่ไกลจากคอนโดมิเนียมของตนเองนัก
หลังจากถวายสังฆทานและกรวดน้ำได้เพียงครู่เดียว หญิงสาวก็นำน้ำออกมาเทยังบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ห่างจากศาลาวัดไปไม่ไกลนัก นัยน์ตาสีน้ำตาลหวานมองสายน้ำไหลรินลงกระทบผืนดินพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนๆและรอยรื้นบริเวณหัวตา
“คุณย่าคะ หนูขอให้บุญกุศลเหล่านี้ส่งไปถึงคุณย่า ขอให้คุณย่าของหนูมีแต่ความสุขตลอดไปนะคะ” เสียงหวานพึมพำกับตัวเองพร้อมกับน้ำหยดสุดท้ายหยดลงกระทบดินก่อนซึมหายไป เช่นเดียวกับรอยรื้นบนหัวตา หญิงสาวพยายามเงยหน้าขึ้น หวังให้มันไหลย้อนกลับเข้าไป

มุกดาไม่รู้หรอกว่าชีวิตหลังความตายเป็นเช่นไร หญิงสาวไม่รู้ว่าผลบุญที่ตนเองทำจะสามารถส่งไปถึงผู้เป็นย่าได้หรือไม่ เพราะแท้จริงแล้วย่าอมินตาก็ไม่ใคร่เชื่อถือในเรื่องราวเหล่านี้นัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะย่าของเธอเป็นยิปซี ผิดกับเธอที่แม้จะมีเลือดเสี้ยวหนึ่งของผู้เป็นย่าติดมา แต่เธอก็เกิดและเติบโตขึ้นภายใต้ร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา ยามนี้เธอจึงปรารถนาจะทำอะไรสักอย่างเพื่อบุคคลที่เธอรัก

หญิงสาวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ก้มหน้าลงยิ้มให้กับตัวเอง หวังเหลือเกินว่าผลบุญในวันนี้จะส่งไปถึงย่าอมินตา หลังจากนำที่กรวดน้ำกลับไปคืนยังศาลาวัดแล้ว มุกดายังคงเดินเตร่ไปรอบๆลานวัด เธอเดินเลยลึกเข้ามายังบริเวณด้านใน เลยออกไปไม่ไกลจากบริเวณทางเดินคือสถูปและกำแพงแก้วตั้งสลับไปกับต้นไม้ใหญ่ เพราะยังเป็นเวลากลางวัน ประกอบกับเธอยังมองเห็นเด็กวัดหลายคนวิ่งเล่นห่างออกไปไม่ไกล หญิงสาวจึงยังคงก้าวเดินตรงไปตามทางเดินเรื่อยๆโดยไม่คิดอะไร วูบหนึ่งเธอรู้สึกเย็นวูบขึ้นมาบริเวณหลังต้นคอ พร้อมกับความเย็นเยียบก็บังเกิดขึ้นบนมือซ้าย หญิงสาวก้มลงมองมือตัวเองด้วยความประหลาดใจ มือซ้ายของเธอมีเพียงแหวนเงินฝังมูนสโตนหรือมุกดาหารสีชมพูน้ำนม

“พี่คะ...พี่สาว...”
ท่ามกลางสายลมเย็นที่จู่ๆก็พัดผ่านเข้ามา มุกดาได้ยินเสียงเล็กๆดังแว่วเข้ามาในหู เธอเหลียวมองไปรอบกาย เห็นเด็กชายผมเกรียนคนหนึ่งกำลังเดินตามหลังเธอมา
“เมื่อกี้หนูเรียกพี่เหรอ” มุกดาถามด้วยความประหลาดใจ
“เปล่านี่ครับ” เสียงของเด็กชายแตกต่างจากเสียงที่เธอได้ยินเมื่อสักครู่ไม่น้อย
หญิงสาวโคลงศีรษะด้วยความสงสัย แต่เมื่อไม่อาจหาคำตอบได้ เธอจึงก้าวตามร่างเล็กๆของเด็กชาย ตรงไปยังบริเวณลานโล่งด้านหลังวัด บริเวณแถวนั้นมีเด็กชายหญิงหลายคนกำลังจับกลุ่มเล่นกันด้วยความสนุกสนาน เนื่องจากถัดออกไปไม่ไกลคือบานประตูเหล็ก เชื่อมต่อไปยังโรงเรียนวัดตั้งห่างออกไปเพียงแค่กำแพงกั้น ในเวลาพักเที่ยงลานกว้างในโรงเรียนแน่นขนัด เด็กๆหลายกลุ่มเลยถือโอกาสวิ่งลอดบานประตูเหล็กมาวิ่งเล่นในลานวัดติดศาลาริมน้ำแทน

“บอลลูน-น-น...โป้ง!” เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆดังขึ้นก่อนตามมาด้วยเสียงหัวเราะและเสียงกรี๊ดกร๊าดของเด็กวิ่งไล่จับกัน
มุกดามองสีหน้าสดใสของบรรดาเด็กชายหญิงบนลานกว้างด้วยรอยยิ้ม การละเล่นของเด็กเหล่านี้ทำให้เธอหวนนึกไปถึงชีวิตในวัยเด็ก ช่วงเวลาพักเที่ยงของโรงเรียนคือช่วงเวลาที่เธอมีความสุขมากที่สุด เพราะหลังทานข้าวเสร็จเธอก็มักจับกลุ่มวิ่งเล่นกับเพื่อนๆวัยเดียวกันไปทั่วลานกว้าง
หญิงสาวยืนมองบรรดาเด็กๆวิ่งเล่นอยู่กว่าครู่ใหญ่ ก่อนจะหันปลายเท้ามุ่งหน้าไปยังศาลาริมน้ำ สร้างยื่นออกไปยังคลองด้านหลังของวัด ร่างบางกลับชะงักปลายเท้าเมื่อสายตาเธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าบริเวณศาลาริมน้ำไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่เข้าใจแต่แรก หญิงสาวทอดฝีเท้าให้ช้าลง สายตาเธอพุ่งตรงดิ่งไปยังบุรุษเบื้องหน้า ผู้ชายคนนี้มีเรือนกายสูงใหญ่และเสี้ยวหน้าด้านข้างก็ช่างชวนมองไม่น้อยเลยทีเดียว อันที่จริงเธอต้องบอกว่าเขาเป็นคนน่ามองและหล่อเหลาเอามากๆต่างหาก นั่นเลยทำให้เธอไม่อาจละสายตาจากคนตรงหน้าได้เลย มุกดาแทบไม่รู้ตัวว่าตัวเองหยุดสาวเท้า แอบยืนมองผู้ชายตรงหน้าซึ่งยืนห่างออกไปเกือบสิบเมตรนานเท่าไร

หล่อชะมัด...นั่นคือคำจำกัดความเดียวที่เธอนึกได้ในยามนี้ เพราะเครื่องหน้าคมเข้มไม่ได้ออกไปทางหนุ่มตี๋ผิวขาวเหลืองทั่วไป ผิวของเขาไม่ได้คล้ำเหมือนผิวคนไทย แต่ก็ไม่ได้ขาวแบบคนจีน น่าจะเรียกได้ว่าเป็นผิวสีก้ำกึ่ง ไม่คล้ำและไม่ขาวจนเกินไป สายตาของหญิงสาวแอบไล่สำรวจต่อขึ้นไปตั้งแต่ริมฝีปากเรียบสนิท มีอาการเม้มนิดๆคล้ายคนกำลังหมกมุ่นอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ใบหน้าคมคายไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม หากก็ยังสามารถตรึงสายตาของคนแอบมองได้

ยิ่งสาวเท้าเข้าไปใกล้ มุกดาก็ยิ่งเห็นว่านัยน์ตาสีดำสนิทของคนเหม่อลอยออกไปไกล มองนิ่งอยู่เพียงสายน้ำในลำคลอง หากในความดำสนิทเธอกลับสัมผัสได้ถึงความเศร้าสร้อยเจือปนมาในแววตา แล้วจู่ๆคนกำลังถูกสงสัยว่าเป็นแค่เพียงภาพวาดในจินตนาการหรือพระเอกในนิยายที่เธอชอบหลงเพ้อถึงรึเปล่าก็หันมาทางเธอ นัยน์ตาคมสบเข้ากับแววตาของเธออย่างจัง วินาทีถัดมาแววโศกในดวงตาของชายหนุ่มก็เลือนหายไป เหลือเพียงความคมเข้มและลึกล้ำเสียจนเธอจำต้องเสหลบตา พลันความร้อนที่ไม่เคยมีอยู่ก็แผ่ซ่านขึ้นเต็มดวงหน้า

ซวยแล้วไหมล่ะ เขาเห็นจนได้ว่าแอบมอง...มุกดาแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น ใบหน้าของเธอร้อนวาบราวคนจับไข้ และไม่ต้องคิดซ้ำสอง ร่างบางก็ตัดสินใจหันหลังกลับรีบสาวเท้าจนเกือบเป็นวิ่ง ดิ่งตรงไปยังรถยนต์ของเธอทันที
********

โปรดติดตามตอนต่อไป



ริญจน์ธร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ธ.ค. 2554, 19:01:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ธ.ค. 2554, 20:57:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 2391





<< บทนำ - เธอคือใคร...ใครคือเธอ   บทที่ 1/2 ความตาย...สิ้นสุดหรือเริ่มต้น >>
Zephyr 23 ธ.ค. 2554, 19:24:00 น.
อ่าว พี่มูน แอบมองแล้ววิ่งหนีเลยเหรอ ผู้ชายคนนี้พระเอกป่ะคะ ชื่อวาริทรึป่าว แอบเห็นใน tags หึหึ


ริญจน์ธร 23 ธ.ค. 2554, 19:41:25 น.
ให้เดาเล่นค่ะ แต่แหม ลืมตัว tag ไป สงสัยจะเดาได้ไม่ยาก55


จ๊ะจ่า 23 ธ.ค. 2554, 20:20:19 น.
คุณริญจน์ธร บอกมุกดาปิดบ้านย้ายไปคอนโด แต่ทำไมคุณบุรินทรบอกมาริณอยู่บ้านแล้วจ้างสาวใช้มาอยู่ด้วยคะ ช่วงเวลาเดียวกันด้วยคือหนึ่งเดือนหลังย่าตาย


goldensun 23 ธ.ค. 2554, 20:49:29 น.
ติดจุดนึงค่ะ ย่าตาย น่าจะไม่ให้ฉีดฟอร์มาลีนนะคะ ไม่น่าใช่มอร์ฟีน


ริญจน์ธร 23 ธ.ค. 2554, 20:59:07 น.
คุณ จ๊ะจ่า และ คุณ goldensun ขอบคุณนะคะสำหรับคอมเม้น หลุดไปจริงๆ ค่ะ


บุลินทร 23 ธ.ค. 2554, 23:31:56 น.
แวะมาเยี่ยมพี่มูน ฮ่าๆ


หมูอ้วน 24 ธ.ค. 2554, 06:45:21 น.
รอตอนต่อไปค่ะ


อสิตา 24 ธ.ค. 2554, 18:53:11 น.
หนูมูนขี้เขิน น่ารักจริงๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account