รอยร่างรางรัก
หญิงสาวคนหนึ่งกลายเป็นวิญญาณไร้ร่าง ส่วนอีกคนต้องติดอยู่ในร่างที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง โดยมีเบื้องหลังอยู่ที่ความปรารถนาอันแรงกล้าของหญิงสาวอีกคนหนึ่ง

รอยร่างแห่งรักจะนำพาเธอทั้งหมดไปลงเอยที่ใด

ตีพิมพ์ในชื่อ "ลิขิตร่างพรางรัก"
Tags: วิญญาณ ดวงจิต สลับร่าง

ตอน: ตอนที่ 3

วงศ์วรัณซึ่งได้รู้ข่าวว่าสลิลาฟื้นแล้วจากพารินธร รีบรุดมาเยี่ยมที่โรงพยาบาลทันที เดินอ้าวมาถึงหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยก็เคาะก่อนเปิดเข้าไปช้า ๆ กระพุ่มมือที่หิ้วถุงผลไม้พะรุงพะรังขึ้นไหว้ฐิติและวิจิตรพ่อแม่ของสลิลานั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขกในห้อง

“ฝนเป็นยังไงบ้างครับ คุณลุง คุณป้า”

“เข้ามาคุยกันเองดีกว่าจ๊ะ นั่งตาแป๊วมองป้ากับลุงอยู่นานสองนานแล้ว”

ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในห้องจนถึงมุมที่มองไปเห็นเตียงคนไข้แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นสลิลา...เธอไม่ได้นั่งตาแป๊วอยู่อย่างที่วิจิตรกล่าว แต่ยืนอยู่ที่ปลายเตียงคนไข้ในเสื้อผ้าชุดเดียวกับที่เขาเห็นเธอสวมในวันเกิดอุบัติเหตุ

สลิลาอีกคนสวมชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลนั่งพิงหลังมองไปทางชุดเก้าอี้นวมรับแขก ชายหนุ่มหลับตาสะบัดหน้าไปมาเบา ๆ อย่างจะไล่ภาพอันเหลือเชื่อที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นก็ยังคงเห็นว่ามีสลิลาสองคน และตอนนี้คนที่สวมชุดลำลองเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนก็กำลังเดินมายืนข้างเขา

ชายหนุ่มเบือนหน้าไปทางคนที่นอนอยู่บนเตียงหลับตาลงอีกครั้งก่อนเอ่ยถาม

“เป็นยังไงบ้างฝน เจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่า”

“ไม่เจ็บแล้วล่ะ สบายดี”

“เหรอ ไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ”

แม้เขาจะสนทนาอยู่กับสลิลาบนเตียงแต่ก็ไม่อาจจะกลบเสียงของสลิลาอีกคนที่ดังอยู่ข้างหูได้

“นายว่าน...นี่นายเห็นฉันใช่ไหม”

“ฝนฟื้นก็ดีแล้ว รู้ไหมว่าเราเป็นห่วงแทบแย่ มาเยี่ยมตั้งแต่วันที่เกิดอุบัติเหตุ ใจจริงอยากมาเยี่ยมทุกวันแต่คุณลุงคุณป้าบอกว่าฝนยังไม่ได้สติ ไม่มีประโยชน์ แล้วจะติดต่อไปแจ้งข่าว นี่พอได้รับโทรศัพท์จากคุณป้าปุ๊บ ก็รีบมาเยี่ยมเลย”

“ขอบใจนะ”

วงศ์วรัณพยักหน้าเบา ๆ หันขวับทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตา ลืมตามองฐิติและวิจิตรก่อนสาวเท้าเดินเข้าไปหา

“คุณลุงคุณป้าสบายดีนะครับ”

“สบายดีจ๊ะ” วิจิตรตอบยิ้มแย้ม “ว่าแต่เราเถอะ ไม่สบายรึเปล่าจ๊ะ ทำหน้าเหมือนเห็นผี”

คำพูดของแม่เพื่อนเหมือนมีแรงดึงให้วงศ์วรัณหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้เดี่ยวซึ่งหันข้างให้กับเตียงคนไข้ สิ่งยิ้มให้พ่อแม่ของสลิลาที่นั่งคู่กันบนเก้าอี้ตัวยาวซึ่งหันหน้าไปทางเตียงคนไข้ เขาตั้งสติก่อนเหลือบไปมองทางเตียงอีกครั้งก็พบว่าเขากำลังเป็นเป้าสายตาของสลิลาทั้งสองคน

คนที่นั่งพิงหลังอยู่บนเตียงดูเหมือนกับจะครุ่นคิดอะไรอยู่ ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้นั้นตอนนี้กอดอกจ้องเขาอย่างเอาเรื่อง

“สงสัยเมื่อคืน ผมจะนอนดึกไปหน่อยครับคุณป้าเลยรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”

วงศ์วรัณพูดกับวิจิตรและฐิติแต่หางตายังคงเหลือบไปอีกทางจึงเห็นว่าตอนนี้สลิลาในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนกำลังสาวเท้าเดินมาทางชุดเก้าอี้รับแขก

“งั้นผมขอตัวออกไปนั่งสูดอากาศข้างนอกสักครู่นะครับคุณลุงคุณป้า”

เอ่ยจบเขาก็รีบลุกขึ้นเดินลิ่วออกจากห้องพักผู้ป่วยทันที



“เดี๋ยวสิว่าน นายเห็นฉันใช่ไหม ได้ยินที่ฉันพูดด้วยใช่ไหม”

เสียงของสลิลายังคงดังตามหลังมาเหมือนกับเธอกำลังเดินไล่ตามเขามาติด ๆ มีแต่เสียงพูด ไร้เสียงฝีเท้า และนั่นยิ่งทำให้วงศ์วรัณสาวเท้าเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงประตูกระจกที่นำไปสู่ทางเดินขึ้นลงด้วยบันได ซึ่งไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ แต่มีหน้าต่างซึ่งเปิดบานกระจกระบายอากาศเอาไว้ มีเก้าอี้ไฟเบอร์กลาสแบบแถวสี่ตัววางติดผนังเอาไว้ให้นั่งพักมีกระถางไม้ใบวางประดับไว้ดูเย็นตา

ชายหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวติดกับกระถางไม้ประดับ หลับตา ไม่สนใจเสียงเรียกชื่อเขาที่ยังคงดังตามออกมาจากบริเวณโถงทางเดิน

“ไม่จริง หูฝาด ตาฝาด หูฝาด ตาฝาด”

“นายไม่ได้หูฝาด” เสียงนั้นดังอยู่ข้างหู “ไม่ได้ตาฝาดด้วย ถ้านายเห็นฉัน ได้ยินฉัน ก็ช่วยตอบฉันมาที”

วงศ์วรัณอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยิน ถ้าเขามั่นใจในประสาทรับรู้ของตัวเองว่าไม่ได้เพี้ยน หูแว่วประสาทหลอนไปเอง ก็แสดงว่า...

“ฝน ฝนจริง ๆ เหรอ” เขาเอ่ยแผ่วเบา เสียงแหบแห้งอย่างยังทำใจเชื่อไม่ได้

“ก็จริงน่ะสิ ยังจะสงสัยอีก แล้วก็ลืมตามองฉันได้แล้ว ทำเหมือนฉันเป็นผีไปได้”

หนุ่มผิวเข้มค่อย ๆ เผยอเปลือกตาขึ้นพลางหันไปมอง ร่างของสลิลาที่พ่อแม่ของเธอไม่มีท่าทีว่ามองเห็น เหมือนไม่มีใครรับรู้การมีตัวตนของสลิลาคนนี้

คน...จริง ๆ เหรอ

ความคิดที่เกิดขึ้นพร้อมกับการที่หันไปมองเห็นว่าเธอนั่งอยู่ใกล้เขาเพียงใด ทั้งยังชะโงกหน้าเข้าหาอีกทำเอาชายหนุ่มร้องออกมาอย่างตกใจ

“เฮ้ย!”

“จะบ้าเหรอว่าน ฉันไม่ใช่ผีนะ”

“ไม่ใช่ผี” เขาทวนคำ กลืนน้ำลายลงคอก่อนเอ่ยถาม “แล้วทำไมคุณลุงคุณป้าถึงมองไม่เห็นล่ะ แล้วฝนคนที่อยู่บนเตียงคนไข้ล่ะเป็นใคร เป็นผีหรือเป็นคน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เรางงไปหมดแล้ว”

“ฉันก็งงเหมือนกัน อย่าว่าแต่นายเลยว่าน”

“แล้วเป็นยังไงมายังไง ฝนถึงมาอยู่ตรงนี้ แล้วอีกฝนนึงก็ฟื้นขึ้นมาในร่างฝนได้ล่ะ”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะว่าไปแล้วเรื่องมันก็คงเกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุวันนั้นนั่นแหละ”

สลิลาคนที่มีเพียงวงศ์วรัณที่มองเห็นทำท่าเหมือนคนถอนใจหนักหน่วง หากในความรู้สึกของเขาไม่ได้มีลมใดผ่านพ้นออกมาที่ปลายจมูกของหญิงสาว

เธอไม่มีลมหายใจ!



สลิลาคงจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียง ถ้าไม่คิดว่าตอนนี้มีคนที่จะได้ยินเสียงของเธอแล้วหนึ่งคน หญิงสาวเพียรติดตามพ่อแม่และพี่ชายมาหลายวัน พยายามพูดคุยกับทั้งสามคนแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นหรือได้ยิน เมื่อทดลองพูดคุยกับหมอและพยาบาลที่เดินผ่านกันก็ได้ผลเช่นเดียวกัน

หญิงสาวตระหนักดีว่าตอนนี้มีเพียง ดวงจิต ดวงวิญญาณ หรืออะไรก็สุดแล้วแต่ที่ตัวเองก็ยังเรียกไม่ถูกว่าเป็นอะไรกันแน่ หรือบางทีเธออาจจะเป็น ‘ผี’ อย่างที่วงศ์วรัณนึกกลัวก็เป็นได้

“ไม่ว่าฉันจะเป็นอะไรแต่ไหน ๆ นายก็เห็นฉัน ได้ยินเสียงฉันแล้วช่วยฟังฉันระบายหน่อยนะ”

วงศ์วรัณตอบคำถามด้วยการพยักหน้าเบา ๆ ก่อนถอนใจหนักหน่วง สลิลานึกทบทวนเหตุการณ์ก่อนเอ่ยปากเล่า

“วันนั้นฉันก็กำลังจะขับรถกลับบ้านปกติ แต่จู่ ๆ รถที่วิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็หักหลบอะไรก็ไม่รู้ พุ่งข้ามเกาะมาชนอย่างแรง ตอนนั้นทุกอย่างมันดับวูบไปเลย ฉันเหมือนเดินอยู่ในความมืดอยู่นาน มองอะไรก็ไม่เห็น กระทั่งจู่ ๆ ก็มีแสงเล็ก ๆ มองเห็นไกล ๆ” เธอยังคงจดจำแสงสว่างจ้าในความมืดนั้นได้ดี แสงเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ขยายตัวขึ้นจนมีขนาดเท่ากับประตูบานหนึ่ง “ฉันเดินออกมาจากความมืดผ่านแสงนั่น แล้วก็มองเห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียงคนไข้ พ่อ แม่กับพี่เมฆยืนมองฉันอยู่ พอลองพยายามที่จะนอนทับลงไปบนร่างตัวเองแบบที่เคยเห็นในหนังในละคร ก็เหมือนมีแรงบางอย่างผลักออกมา”

“เพราะร่างของฝนมีวิญญาณของคนอื่นอยู่ล่ะมั้ง”

“นี่นายเชื่อเรื่องที่ฉันเล่าด้วยเหรอ”

“ถ้าลองได้เห็น ได้ยิน ได้พูดกับฝนแบบนี้แล้ว ยังมีอะไรที่เชื่อไม่ได้อีกล่ะ”

“จริงสินะ” สลิลาพยักหน้ากับตัวเอง “ฉันเองตอนแรกก็ยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ ตอนนั้นก็คิดว่าเพราะร่างกายยังไม่พร้อมที่จะฟื้น คิดว่าถ้าเกิดฟื้นขึ้นมาคงมีแรงอะไรบางอย่างที่ดึงฉันกลับเข้าร่าง แต่แล้วก็กลับเป็นว่ามีใครก็ไม่รู้อยู่ในร่างฉัน เขาตื่นขึ้นมาในร่างฉัน แล้วฉันก็ไม่มีร่างอีกต่อไปแล้ว”

“ตกลงฝน...” วงศ์วรัณเว้นช่วงเหมือนไม่อยากเอ่ยสิ่งที่คิดเท่าใดนัก “ตายไปแล้วเหรอ ร่างของฝนมีวิญญาณของคนอื่นอยู่ แล้วร่างของเขาล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน” หญิงสาวนิ่งคิด “ฉันยังไม่หมดหวัง ฉันไม่เชื่อว่าตัวเองตายแล้วหรอกนะว่าน แต่ตอนนี้นายต้องช่วยฉัน”

“ช่วย...ฝนจะให้เราช่วยยังไงล่ะ”

“เอาเถอะแล้วจะบอกให้ ตอนนี้กลับเข้าไปก่อนดีไหม เดี๋ยวแม่จะสงสัย”

วงศ์วรัณพยักหน้าเบา ๆ เดินกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยที่มีสลิลาอีกคนหนึ่งนอนรักษาตัวอยู่



อวิกานอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ ผ่อนลมหายใจเบา ๆ เมื่อวิจิตรและฐิติกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ปล่อยให้เธอได้อยู่เพียงลำพัง เธอรอคอยเวลานี้มานานและพยายามทำใจให้พร้อมรับความจริงที่อาจจะได้ฟังจากปากพยาบาล

สองวันนับตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมานั้น แม่ของเจ้าของร่างไม่ยอมไปไหนคอยดูแลเธออยู่ตลอดเวลาทำให้ไม่มีโอกาสที่จะได้ถามความจริงจากพยาบาล หญิงสาวรู้ว่าเจ้าของร่างชื่อสลิลาเพราะเห็นจากที่เขียนไว้ที่ถาดอาหารและจากที่ต้องอ้าปากให้วิจิตรป้อนข้าวป้อนน้ำอยู่หลายมื้อเธอยังรับรู้อีกว่าหญิงวัยกลางคนช่างสงสัยอยู่มาก หากเธอซักไซ้พยาบาลมากเกินไปอาจถูกสงสัยเอาได้

ความจริงที่ว่าตอนนี้ร่างของอวิกาเป็นอย่างไร ปลอดภัยดีโดยมีวิญญาณของเจ้าของร่างนี้อยู่ หรือว่า...บางทีร่างของเธออาจจะถูกเผาไปแล้ว เพราะไม่มีวิญญาณดวงใดเข้าไปใช้ร่าง

การนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องราวเหนือธรรมชาตินี้ดูเหมือนจะวนเวียนไปมาไม่สิ้นสุด หญิงสาวเคยได้ยิน ได้ฟังเรื่องของการถอดวิญญาณ การสิงร่าง สลับวิญญาณมาบ้างและเคยเห็นในหนังในละคร ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยสักนิดว่าจะต้องมาเจอเข้ากับตัว

หญิงสาวตั้งสติพลิกตัวหมายเอื้อมไปคว้าปุ่มกดเรียกพยาบาลแต่ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตูเบา ๆ ผู้ที่ก้าวเข้ามาคือชายหนุ่มคนเดียวกับที่มาเยี่ยมเธอเมื่อวันก่อน อวิกาใช้เวลาไม่นานก็นึกชื่อเล่นของเขาออก

“ว่าน”

ผู้ชายคนนี้แปลก วันก่อนที่มาเยี่ยมเขาทำท่าทางแปลก ๆ ก่อนที่จะขอตัวออกไปสูดอากาศนอกห้อง แต่เมื่อกลับมาดูเขาจะยิ่งมีอาการผิดปกติมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อมองมาทางเธอ ดวงตาของหนุ่มผิวเข้มดูมีแววของความไม่เข้าใจและความหวาดกลัวระคนกัน

วงศ์วรัณลากเก้าอี้จากมานั่งข้างเตียง มองสบตาเธอนิ่ง จนอวิกาต้องขมวดคิ้วสงสัยในอาการของเขา

“มีอะไรเหรอ...ทำไมมองแปลก ๆ อย่างนั้นล่ะ”

ไหล่ของชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขาสูดลมหายใจเข้าราวกับว่ากำลังรวบรวมกำลังเพื่อพูดออกมา

“ผมรู้ว่าคุณ...” ความมั่นใจจากลมหายใจเฮือกใหญ่นั้นดูจะหมดเร็วกว่าที่คิด เพราะเขาอ้ำอึ้งอยู่สักพักก่อนจะโพล่งออกมาได้อีกครั้ง “ผมรู้ว่าคุณไม่ใช่ฝน”

หญิงสาวในชุดผู้ป่วยนิ่งงันไป เขารู้ได้อย่างไรกันว่าที่อยู่ในร่างของเพื่อนนั้นเป็นคนอื่น ไม่ใช่เจ้าของร่างที่แท้จริง ขนาดพ่อแม่และพี่ชายแท้ ๆ ยังไม่เอะใจด้วยซ้ำ

“คุณคงสงสัยว่าทำไมผมรู้” ชายหนุ่มเอ่ยราวกับอ่านความคิดของเธอออก “ที่ผมรู้ว่าคุณไม่ใช่ฝน ก็เพราะฝน...เจ้าของร่างที่แท้จริงเขาก็อยู่ในห้องนี้ด้วย เขากำลังยืนมองคุณอยู่ที่ฝั่งโน้นของเตียง”

“อะไรนะคะ” อวิกาถามย้ำ ความหวังลึก ๆ ที่ว่าร่างของเธอจะถูกครอบครองโดยวิญญาณของเจ้าของร่างนี้พังทลายลง กระนั้นเธอก็ยังอดเปรยความคิดให้วงศ์วรัณฟังไม่ได้ “ฉันคิดว่าคุณฝนคงจะอยู่ในร่างฉันเสียอีก ฉันกำลังคิดหาทางจะติดต่อกับเธอเพื่อหาทางให้เรากลับคืนร่างเดิม”

“แสดงว่าคุณยอมรับใช่ไหมครับว่าคุณไม่ใช่ฝน”

“ถ้าคุณเห็น...เอ่อ...ดวงจิตของคุณฝนจริง ๆ คงไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันจะปฏิเสธว่าฉันไม่ใช่คุณฝน”

“ดูคุณไม่ตกใจเท่าไหร่ที่...เรื่องมันเป็นแบบนี้”

อวิกาส่ายหน้าเบา ๆ “ใครบอกคุณคะว่าฉันไม่ตกใจ”

“คุณดูนิ่งมาก ผมคิดว่าคุณจะโวยวายที่อยู่ ๆ ก็ตื่นขึ้นมาในร่างของใครก็ไม่รู้”

คนบนเตียงเพียงแต่ยิ้มอ่อน วงศ์วรัณอดคิดไม่ได้ว่าหากกลับกัน เป็นสลิลาที่ตื่นขึ้นมาในร่างของคนอื่น ป่านนี้คงจะอาละวาดบอกใครต่อใครว่าเธอไม่ใช่เจ้าของร่างไปแล้ว

“ฉันถามคุณจริง ๆ นะคะคุณว่าน ถ้าเกิดว่าคุณไม่เห็นคุณฝน คุณจะคิดไหมคะ ว่าที่อยู่ในร่างคุณฝนเป็นคนอื่น”

“ถามเขา” สลิลาที่นิ่งฟังอยู่นานเริ่มอดรนทนไม่ได้ “ถามเขาสิว่าทำไมเขาถึงได้ยึดร่างฉันไป ทำไมไม่กลับเข้าร่างตัวเอง”

“คุณคนนี้เขาคงไม่ได้ตั้งใจจะยึดร่างฝนหรอก ไม่อย่างนั้นเขาไม่ยอมรับก็ได้”

“ทำไมนายพูดแบบนี้ล่ะ นี่เข้าข้างคนอื่นเหรอ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” วงศ์วรัณเอ่ยอย่างใจเย็น “เรื่องจิตวิญญาณมันเป็นเรื่องพิสูจน์ไม่ได้นะฝน ถ้าเกิดว่าคุณคนนี้...เอ่อ...”

“ฉันชื่อเพชรค่ะ” หญิงสาวบนเตียงหันไปทางที่ได้รับคำบอกว่าดวงจิตของหญิงสาวเจ้าของร่างยืนอยู่ “ถ้าคุณได้ยินฉัน ฉันขอยืนยันจากปากของตัวเองเลยนะคะ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง”

น้ำเสียงของสลิลาคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นสั่นเครือ จนวงศ์วรัณเห็นว่าสลิลาตัวจริงมีท่าทางอ่อนลง

“ตอนแรกที่ฉันนึกว่าคุณฝนอยู่ในร่างฉัน ก็เพราะฉันหวังว่าเราจะแค่สลับร่างกัน แล้วต้องมีสักทางที่ทำให้เราสามารถกลับคืนร่างเดิมของเราได้ แต่ถ้าคุณฝนไม่ได้อยู่ในร่างของฉันก็แสดงว่า...ฉันอาจจะตายไปแล้วก็ได้” สลิลาคนที่อยู่ในชุดผู้ป่วยน้ำตาคลอ เอ่ยเสียงสั่น “พ่อ แม่และน้องชายฉันต้องเสียใจมากแน่ ๆ”

ถ้าดวงจิตหรือดวงวิญญาณของคนจะมีอารมณ์ความรู้สึก ชายหนุ่มเพียงคนเดียวในที่นั้นก็คงจะได้เห็นเอาตอนนี้ เพราะคนที่เต้นจะเอาร่างตนคืนอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้กลับแสดงความเห็นใจแถมเหมือนจะร้องไห้ตามอีกด้วย คงมีเขาเพียงคนเดียวที่มองเห็นความจริงบางอย่าง

“คุณเพชรครับ ฝนด้วยนะ”

แม้จะยอมรับเรื่องประหลาดนี้ได้ก็จริงแต่เมื่อมีสายตาของสลิลา สองคนมองมาทางเขาพร้อมกันเช่นนี้ วงศ์วรัณก็ชะงัก

“ว่าไงล่ะนายว่าน มีอะไรก็พูดมาสิ”

“ถ้าว่ากันตามจริงตอนนี้ คนที่ไม่มีร่างอยู่ก็คือเธอนะฝน ส่วนคุณเพชรถึงร่างเขาจะเป็นยังไงไปแล้วตอนนี้ เขาก็มีร่าง...พูดให้ถูกคนที่เรียกได้ว่าตายไปแล้ว ควรจะเป็น...”

วงศ์วรัณยังไม่ทันพูดจบก็ต้องยกมือขึ้นอุดหู เมื่อสลิลาตัวจริงเสียงจริงร้องโวยวายขึ้น

“ไม่จริง นายว่าน ฉันยังไม่ตาย ไม่จริง นายถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ”

“อย่าโวยวายสิฝน เราแค่พูดตามความคิดเท่านั้นเอง”

“เดี๋ยวนะคะคุณว่าน คุณฝน” อวิกาในร่างของสลิลาใคร่ครวญถึงความน่าจะเป็นอื่น ๆ หลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว “ถ้าเกิดว่าเพชรยังไม่ตายล่ะคะ ถ้าเกิดว่าร่างของเพชรอาจจะแค่โคม่าอยู่ มันจะเป็นยังไง”

ห้องทั้งห้องเงียบสนิท เพราะสองคนหนึ่งดวงจิตต่างก็นิ่งไป ราวกับกำลังจะหาคำตอบให้คำถามนั้น

“ฝนอาจจะใช้ร่างของคุณเพชรได้...แล้วเรื่องสลับร่างคืน ค่อยว่ากันอีกทีตอนนี้ขอแค่ไม่ให้มีสภาพเหมือนเป็นวิญญาณเร่ร่อนก็พอ”

“ขอร้องละนายว่าน อย่าใช้คำพูดเหมือนกับว่าฉันตายแล้วได้ไหม มันฟังไม่ดีเลย เรียกดวงจิต อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ผี ไม่ใช่วิญญาณ ตกลงไหม”

ชายหนุ่มพยักหน้าแทนตำตอบก่อนส่ายหน้าเมื่อสลิลาที่นั่งพิงหมอนอยู่บนเตียงมองมาอย่างสงสัย ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรออกมาอีกพยาบาลก็เคาะประตูและเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเครื่องมือตรวจร่างกาย

ร่างของสลิลาพยักหน้าให้วงศ์วรัณเบา ๆ ส่งสัญญาณให้รู้ว่าเธอสามารถจัดการเรื่องนี้ได้

“เราออกไปรอข้างนอกนะ” วงศ์วรัณเอ่ยกับคนที่นอนบนเตียงแต่สายตามองไปทางร่างที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียงคนไข้ “จะได้ไม่เกะกะคุณพยาบาลเขา”

คนไข้พยักหน้าเบา ๆ รอกระทั่งได้ยินเสียงประตูปิดจึงเอ่ยถามพยาบาล

“คุณพยาบาลคะ”

นางฟ้าชุดขาวรับคำทั้งที่มือยังคงทำงานง่วน

“คือฉันอยากรู้ว่า...คนที่เขาขับรถพุ่งมาชนรถของฉันน่ะคะ” อวิกานึกหาคำที่เหมาะสม ไม่กล้าเอ่ยถามตรง ๆ ว่าร่างของเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ “อาการเขาเป็นยังไงคะ คุณพยาบาลพอทราบไหมคะ”

“อ๋อ...”

เสียงรับคำของพยาบาลสาวทำให้อวิกายิ้มออกมาได้เล็กน้อยอย่างน้อย เธอคงได้รู้ข่าวคราวอะไรบ้างไม่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายก็ตาม

“คุณเพชร เธอยังไม่ได้สติเลยค่ะ”

“เหรอคะ” หญิงสาวพยักหน้ากับตัวเองแล้วซักต่อ “อาการของเธอหนักมากเลยเหรอคะ”

“จะว่าหนักก็คงไม่นะคะ อาการของคุณเพชรก็คล้าย ๆ กับคุณ ร่างกายภายนอกไม่มีบาดแผลอะไรเลย คุณหมอตรวจก็ไม่พบอะไรผิดปกติแต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้สติเลย”

“โชคร้ายจังนะคะ”

พยาบาลสาวยิ้มกว้างก่อนเอ่ยรายงานการตรวจร่างกายว่าไม่มีอะไรผิดปกติ และคงจะกลับบ้านได้ในเร็ววันนี้ อวิกาเอ่ยคำขอบคุณแล้วถอนใจเมื่อสตรีในชุดขาวเอ่ยลาและเดินออกจากห้องไป



“เป็นยังไงบ้างครับคุณเพชร ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง”

วงศ์วรัณที่เดินกลับเข้ามารีบถามทันทีและคนที่ตอบคำถามของเขาก็คือสลิลาที่ยังยืนอยู่ข้างเตียง

“ร่างของคุณเพชรยังอยู่ อยู่ในโรงพยาบาลนี้ด้วย”

“จริงเหรอครับคุณเพชร” ชายหนุ่มหันไปทางคนบนเตียงแล้วนึกได้ว่ามีตนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เห็นและได้ยินสลิลา “ฝนบอกว่าร่างของคุณเพชรยังอยู่”

“จริงค่ะ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้สติ หรือจะเป็นเพราะว่าไม่มีวิญญาณอยู่ในร่าง”

“เรื่องนี้ผมคงตอบให้แน่ใจไม่ได้หรอกครับ เรื่องมันแปลกมากจนผมไม่รู้จะคิดหาเหตุผลไหนมาอธิบายดี”

“ถ้าจะรู้แน่ก็ต้องลอง”

“อะไรนะฝน ลอง...หมายความว่าไง”

“คุณฝนว่ายังไงคะ” อวิกาเอ่ยถาม

“ถ้าอยากรู้ว่าเพราะอะไรร่างของคุณเพชรถึงยังไม่ฟื้นก็ต้องลอง”

“ฝนเขาคงอยากจะลองดูว่าเขาจะเข้าไปอยู่ในร่างคุณเพชรได้รึเปล่าน่ะครับ” วงศ์วรัณพยายามอ่านความคิดของสลิลา “ถ้าจะรู้ให้แน่ก็คงต้องลองอย่างที่ฝนว่า”

“อย่างนั้นฉันกับคุณฝนก็สลับร่างกันอย่างสมบูรณ์น่ะสิคะ”

“ถึงยังไง คุณเพชรก็คงไม่รู้วิธีที่จะออกจากร่างของฝนใช่ไหมล่ะครับ”

“ฉัน....” หญิงสาวอ้ำอึ้ง เธอเข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้อย่างไรเธอยังไม่รู้ แล้วจะทำอย่างไรให้กลับเข้าไปอยู่ในร่างเดิมได้กัน “แล้วจะมีวิธีที่ทำให้เราคืนร่างเดิมกันเหรอคะ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ไม่รู้อะไรเลย แต่อย่างน้อยฝนก็ไม่ต้องเป็น...เอ่อ...ดวงจิตเร่ร่อน แล้วถ้าร่างของคุณเพชรไม่มีวิญญาณอยู่ มันจะมีผลอะไรสืบเนื่องรึเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปดูเอง ถามคุณเพชรสิว่าเขาชื่อจริงชื่ออะไร”

“ฝนอยากทราบชื่อจริงคุณเพชรน่ะครับ”

คนที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้พยักหน้าเหมือนจะยอมจำนนกับทางเลือกนั้นก่อนบอกชื่อจริงของเธอ วงศ์วรัณไม่ทันจะเอ่ยอะไร สลิลาที่ได้ยินก็หายวับไปทันที

“เดี๋ยวสิฝน” อวิกามองวงศ์วรัณอย่างสงสัย ชายหนุ่มเพียงแต่ยกไหล่ขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ย “ไม่ทันแล้วล่ะครับ แต่เดี๋ยวผมจะลองไปถามกับพยาบาลดู ถ้าฝนเข้าไปอยู่ในร่างของคุณเพชรได้แล้ว เราจะได้รู้กัน”

วงศ์วรัณเอ่ยโดยไม่คิดว่าทั้งเขา สลิลาและอวิกาจะต้องเจอกับเรื่องแปลกประหลาดใดอีก ไม่นานเลยที่ชายหนุ่มจะได้รู้ว่าอะไร ๆ มักไม่เป็นไปอย่างที่คิด



กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ธ.ค. 2554, 12:53:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ธ.ค. 2554, 12:53:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 2216





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
กมลภัทร 24 ธ.ค. 2554, 12:58:17 น.
วันอาทิตย์ก่อนไปตจว.มาเลยไม่ได้อัพนิยายเลย ขอเลื่อนนิดหน่อยนะครับ เอาเป็นว่าจะพยายามมาทุกสัปดาห์ อาจจะเป็นเสาร์หรืออาทิตย์

ระหว่างนี้กำลังรีไรท์ไปด้วยเพราะแต่งใกล้จบ ผิดพลาดประการใดขออภัย ไก่กระต๊าก ๆ รอท่านอยู่ ^^


lovemuay 24 ธ.ค. 2554, 20:10:15 น.
เรื่องชักเริ่มวุ่นแระ อิอิ
จะฝนจะเข้าร่างเพชรได้มั๊ยน้อ? หรือจะมีคัยมาเข้าร่างแทน +55


ของขวัญ 24 ธ.ค. 2554, 23:36:22 น.
ทิ้งท้ายแบบนี้ ท่าทางฝนจะเข้าร่างเพชรไม่ได้แหงๆเลย


น้องอุด้ง 26 ธ.ค. 2554, 08:36:22 น.
งุงิๆทิ้งท้ายไว้แบบนี้ มาต่อไวๆนะคร่า อิอิ


fubuki 26 ธ.ค. 2554, 16:35:54 น.
ยังดีน้าที่ร่างของเพชรยังอยู่ แต่ว่านเห็นวิญญาณฝนได้ไงล่ะเนี่ย


เพียงพลอย 26 ธ.ค. 2554, 19:18:40 น.
น้องฝนมาล่องลอยอยู่แถวๆ นี้เอง ยังคงสงสัยอยู่ว่า ใครหว่าไปยืนขวางรถ


กมลภัทร 26 ธ.ค. 2554, 20:48:39 น.
รอตามต่อนะครับ เรื่องนี้ถ้าจบและปรับอะไรแล้ว อาจจะโพสต์ได้เร็วขึ้น


XaWarZd 27 ธ.ค. 2554, 12:53:57 น.
โอ๊ะ จะเป็นอย่างไรต่อไปเนี่ย ลุ้นๆ


panon 27 ธ.ค. 2554, 14:16:26 น.
ลุ้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


นกอุมาพร 30 ธ.ค. 2554, 17:54:09 น.
วุ่นวายกันไปหมดเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account