ม่านธาราเร้นดาว {ชุดมนตราอัญมณี} สนพ.อรุณ วางแผงแล้ว
เรื่องชุดมนตราอัญมณี : พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน

มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ

สำหรับชลธิศแล้ว มาริณเปรียบเสมือนดวงดาวที่เร้นอยู่ภายใต้ม่านธาราอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นดาวดวงน้อยที่งดงามและมีค่า ใช่จะหาพบได้ง่ายๆ แต่โชคชะตาก็นำพาให้เขามาเจอกับดาวดวงนี้…เขาสัญญาว่าจะโอบกอดดาวไว้ ไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาแย่งชิงดวงดาวอันล้ำค่าไปจากหัวใจได้โดยเด็ดขาด
Tags: มาริณ, ชลธิศ, ไตร, ชลันธร, มัชฌิตา, มุกดา, มายาไฟในดวงตา, มนตรามุกจันทรา, นิยาย, บุลินทร

ตอน: ตอนที่ 3 เหตุผลที่แท้จริง



เหตุผลที่แท้จริง

มาริณรอให้ฝนหยุดตกจึงออกจากห้องพักมุกดาตอนเกือบสี่ทุ่ม นั่งรถไฟฟ้ามายังห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองซึ่งจอดรถเก๋งไว้ ก่อนมุ่งหน้ากลับบ้านคุปตะจินดา

ท้องถนนในเวลานี้โล่งกว่าตอนเย็นมาก ไม่ถึงสองชั่วโมงก็ขับรถมาถึงบ้านสีเบจหลังใหญ่

หญิงสาวก้าวลงจากรถ แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดำสนิท กลุ่มดาวน้อยใหญ่กำลังแข่งกันส่งแสงระยิบระยับงดงาม คล้ายต้องการช่วยขับไล่บรรยากาศอึมครึมของบ้าน

ตั้งแต่ย่าอมินตาจากไป มาริณมีภาระหลายอย่างมากขึ้น เพราะพี่สาวทั้งสองไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันเหมือนเคย ต่างจากเมื่อก่อนที่ไม่ว่ามีเรื่องอะไร ย่าและพี่ๆก็จัดการให้เสมอ

ถ้าคิดในแง่ดี หญิงสาวยอมรับว่ามันช่วยให้หล่อนเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ถ้ามองในแง่ร้าย มาริณต้องยอมรับอีกเช่นกันว่าเหนื่อยและเหงาจนอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

“คุณมีนจะดื่มอะไรไหมคะ” ป่านที่รอรับอยู่ถามอย่างห่วงใย

“ขอเป็นชาร้อนซักถ้วยก็ดีจ้ะ แต่ตอนนี้ขอขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะ” เมื่อสาวใช้รับคำ มาริณก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้าน

ห้องนอนของหล่อนเป็นโทนสีฟ้าจางสบายตา เตียงนอนสีขาวแบบวินเทจตั้งอยู่ชิดผนังตรงกลางห้อง ตรงมุมหนึ่งจัดเป็นโต๊ะทำงาน มีโคมไฟเล็กๆแบบโบราณบนผนังส่องแสงสลัว

หญิงสาวถอนหายใจออกมาเองโดยไม่รู้ตัว นอกจากเรื่องชลธิศแล้ว หล่อนยังครุ่นคิดเรื่องพี่สาวคนโตไม่หาย อยากรู้จริงๆว่าทำไมฝ่ายนั้นถึงนำแหวนอความารีนไปโดยไม่บอก เพราะถ้าเอ่ยปากขอ มาริณก็ยินดีจะมอบให้ ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกระลอก

มาริณตัดสินใจโทร.หามัชฌิตา แม้รู้ดีว่าการติดต่อฝ่ายนั้นยากเพียงใด แต่เอาเถอะ ยังไงก็ลองดูก่อน ไม่มีอะไรเสียหาย

และแล้วก็เหมือนฟ้าจะเป็นใจ หลังจากกดโทร.ออกไปไม่นานก็มีสัญญาณตอบรับจากปลายทาง มาริณร้องเฮอย่างยินดี

“ในที่สุดพี่มิ้งค์ก็รับสาย”

“มีอะไร โทร.มาดึกๆ” น้ำเสียงฝ่ายนั้นเหมือนจะไม่ค่อยสะดวกคุยนัก แต่มาริณไม่สนใจ

“อ้าว แทนที่จะดีใจที่น้องโทร.มา” หญิงสาวทำเสียงงอนๆ

“ฉันบอกเหรอว่าไม่ดีใจ”

“ก็เสียงพี่มิ้งค์ไม่เห็นดีใจเลยนี่นา”

“ฉันทำกระดี๊กระด๊าไม่เป็นหรอกนะ ตกลงโทร.มามีธุระอะไรหรือเปล่า รีบๆพูดมา แถวนี้ไม่ค่อยมีคลื่น”

“ค่ะๆ พี่มิ้งค์สบายดีไหม แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน เมื่อไหร่จะกลับบ้านสักที มีนมีเรื่องอยากคุยด้วย” ผู้เป็นน้องสาวรัวคำถาม

“สบายดี ไม่ต้องห่วง ส่วนตอนนี้ฉันอยู่ไหน เธอไม่ต้องรู้หรอก ถ้าถึงเวลาฉันจะกลับบ้านเอง” น้ำเสียงของมัชฌิตาบอกปัด

“เชอะ ชอบมีความลับชะมัด”

“อ้าว ถึงเป็นพี่น้องกัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องรายงานความเคลื่อนไหวว่าจะทำอะไรหรือจะไปไหนให้น้องๆรู้สักหน่อย รู้จักคำว่าความเป็นส่วนตัวไหม” พี่สาวหล่อนก็เป็นแบบนี้เสมอ

“บอกคร่าวๆก็ได้นี่นา เผื่อมีอะไรเกิดขึ้น มีนจะได้แจ้งตำรวจทัน”

“เอ๊ะ นี่เธอแช่งฉันเหรอ”

“เปล่าแช่ง ที่ถามๆไปเนี่ยไม่รู้เลยเหรอว่าเป็นห่วง”

“รู้แล้ว แต่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง ฉันว่าเธอที่อยู่บ้านยังน่าห่วงกว่าฉันที่อยู่ป่าอีกนะ”

“อะไรนะคะ อยู่ป่าเหรอ ป่าที่ไหน” มาริณรัวคำถามอย่างใคร่รู้

“สงสัยอะไร ฉันก็แค่เปรียบเปรยไปอย่างนั้น แล้วก็ไม่ต้องถามอีกนะ” มัชฌิตาเอ่ยเสียงเรียบ ดูเหมือนผู้เป็นน้องสาวจะไม่ได้นำพานักเมื่อถามขึ้น

“แล้วตกลงพี่มิ้งค์ไปทำอะไรอยู่ไหน บอกไม่ได้เลยเหรอ” น้ำเสียงของมาริณเต็มไปด้วยความสงสัย

“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าถาม รู้ไว้แค่ว่าฉัน…” พูดยังไม่ทันจบสายก็หลุดไปเสียดื้อๆ

“อ้าว แล้วกัน”

มาริณพยายามติดต่อกลับไปอีกครั้ง แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ คล้ายคลื่นขาดหายไปแล้ว

หล่อนถอนหายใจพรืด ก่อนยกมือขึ้นมาขยี้ผมสีน้ำตาลจนยุ่งไปหมด ไหนจะเรื่องพี่สาว ไหนจะเรื่องนายชลธิศ

ชีวิตจะวุ่นวายได้มากกว่านี้อีกไหมนะ






เช้าวันรุ่งขึ้น มาริณขับรถออกจากบ้านคุปตะจินดาตั้งแต่เก้าโมงเช้า มุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยเพื่อสอบวิชาสุดท้ายในช่วงบ่ายพร้อมกับส่งรายงาน

เมื่อคืนหญิงสาวแทบไม่ได้อ่านหนังสือสอบเลย แต่โชคดีที่ก่อนหน้านั้นเตรียมตัวมาเรื่อยๆจึงไม่เป็นปัญหานัก นี่หล่อนกะว่าจะไปถึงมหาวิทยาลัยก่อนเวลาเข้าสอบสักสองชั่วโมง เพื่อจะได้ทานข้าวและนั่งทบทวนเนื้อหาวิชากับเพื่อนในกลุ่มอีกครั้งก่อนเข้าห้องสอบ

ตามหาอความารีนให้พบ มันจะแก้ไขความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจากอดีตได้

จู่ๆมาริณก็นึกถึงประโยคนั้นขึ้นมาระหว่างทาง หล่อนยอมรับว่านอนคิดเรื่องนี้เกือบทั้งคืน ทว่าไม่เข้าใจปริศนาที่ซ่อนไว้ในคำพูดเลย

ตอนนี้อความารีนอยู่กับมัชฌิตา หมายความว่าหล่อนต้องตามหาพี่สาวให้พบใช่ไหม แล้วความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจากอดีตคืออะไร เกี่ยวกับใคร อความารีนจะแก้ไขความเข้าใจผิดนั้นได้ยังไง หรือว่ามันจะเกี่ยวโยงกับเรื่องที่อยู่ดีๆนายชลธิศมาหาหล่อนที่บ้าน บอกว่าสนใจอัญมณีชิ้นนั้นเป็นพิเศษ

มาริณเดาไปเรื่อยเปื่อยพลางทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคออย่างกลัดกลุ้ม ในชีวิตยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาหล่อนไม่เคยมีเรื่องให้คิดมากขนาดนี้

แต่เอาเถอะ ไม่ช้าก็เร็ว หล่อนต้องหาคำตอบให้ได้






มาริณเดินออกจากห้องสอบวิชาสุดท้ายอย่างเบาใจ แต่แม้เรื่องเรียนจะผ่านพ้นไปก็ยังมีเรื่องอื่นให้คิดอยู่ดี

หลังจากนี้หญิงสาวตั้งใจจะพักผ่อนสักสองสามเดือน จากนั้นจึงจะเริ่มสมัครงาน ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่อยากทำก็หนีไม่พ้นอาชีพนักข่าวตามสายที่จบมา

เมื่อเห็นมาริณออกมาจากห้องสอบ เพื่อนๆซึ่งนั่งรออยู่ที่ม้าหินอ่อนก็โบกมือให้ หญิงสาวเดินยิ้มร่าตรงไปทันที

“มีน ไปหาไรกินกันเถอะ” เก๋ เพื่อนสาวในกลุ่มชวน

“ไปไหนดี” คนถูกชวนบอกอย่างพร้อมเสมอ ไหนๆกลับบ้านไปก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว สู้ไปฉลองกับเพื่อนดีกว่า

“เอาร้านสเต๊กแถวหน้ามหา’ลัยแล้วกัน” เก๋ออกความคิด ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าอย่างเห็นตรงกัน

ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถเก๋งซีดานสีน้ำเงินของมาริณก็มาจอดเทียบหน้าร้านสเต๊กที่ตกแต่งโทนสีน้ำตาลในแบบคาวบอย มีทั้งอานม้า ล้อเกวียน หมวกคาวบอย และตะเกียงโบราณ ภายในร้านมีเสียงเพลงคันทรีเปิดคลอตลอดการรับประทานอาหาร ซึ่งเหตุผลที่มาริณและเพื่อนเลือกร้านนี้นอกจากเป็นเพราะบรรยากาศแล้ว เมนูสเต๊กในร้านยังหลากหลายและอร่อยทุกอย่างด้วย

“เอาอะไรดีนะ” มาริณว่าพลางเปิดดูเมนูกับเพื่อนๆ ใช้เวลาประมาณห้านาทีก็ตัดสินใจได้ หล่อนสั่งสเต๊กหมูพริกไทยดำหนึ่งชิ้นพร้อมมันบด จากนั้นเพื่อนๆชายหญิงอีกสามคนในกลุ่มจึงทยอยสั่งบ้าง

ขณะนั้น มาริณรู้สึกเหมือนมีใครคนหนึ่งจ้องมองอยู่ หญิงสาวชำเลืองมองทางขวา พบร่างใหญ่คุ้นตานั่งอยู่ตรงนั้น

อย่าบอกนะว่าเป็น…ตาหมีป่าจอมยโส

ด้วยความที่ไม่อยากคิดไปเอง หล่อนตัดสินใจค่อยๆหันหน้าไปมองโดยไม่ให้ฝ่ายนั้นผิดสังเกต และก็ใช่เขาจริงๆ

มาริณอุทานในใจ นายชลธิศจะตามหลอกหลอนหล่อนไปทุกที่เลยใช่ไหม อยากคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่คนคนหนึ่งจะบังเอิญเจอกันได้บ่อยขนาดนี้เชียวหรือ แถมตรงใกล้ๆ ที่เขานั่งอยู่ยังมีเขาโง้งคู่หนึ่งของวัวประดับผนังเอาไว้ ช่างดูถึกเหมาะสมกันดีอย่างประหลาด

“ยายมีน เป็นอะไร” เสียงของเพื่อนสาวในกลุ่มทักขึ้นทำให้มาริณหลุดจากความคิด

หล่อนทำหน้าเหลอหลา รีบรวมรวมสติก่อนถาม

“คุยกันถึงไหนแล้ว”

“ว่าแล้ว” ชายหนุ่มหนึ่งเดียวในกลุ่มส่ายหน้าขำๆ

“ว่าอะไร”

“ก็เห็นนั่งใจลอย แสดงว่าไม่ได้ยินที่พวกเราถามแน่ๆ” เพื่อนหนุ่มคนเดิมเอ่ย ก่อนจะหันไปยิ้มกับอีกสองสาว

“เมื่อกี้ฉันถามว่าเรียนจบแล้วแกจะไปสมัครงานไหน” เก๋เป็นคนทวนคำถามให้

“อ๋อ” มาริณลากเสียงยาว “ฉันว่าจะพักก่อนสักสองสามเดือน ระหว่างนั้นก็อาจจะดูประกาศรับสมัครงานไปเรื่อยๆ”

“ก็ดีนะ ฉันนี่สิไม่ได้พักเลย พอเรียนจบแม่ก็เร่งๆๆให้หางาน บ่นอยู่นั่นแหละว่าลูกคนอื่นเขามีงานรอก่อนจบกันหมดแล้ว ไม่รู้จะรีบไปไหนของเขา สงสัยอยากไล่ออกจากบ้านเต็มที” เก๋ทำท่าบ่นอย่างไม่จริงจังนัก

“แกยังดีนะ ฉันไม่มีใครมาคอยบ่นเหมือนเมื่อตอนเด็กๆอีกแล้ว” ประกายในดวงตาเรียวรีทอแสงอ่อนลงเล็กน้อย เพื่อนๆจึงพากันปลอบใจ ก่อนชวนคุยเรื่องอื่นที่ครื้นเครงกว่าเพื่อไม่ให้มาริณคิดมาก

ระหว่างทานอาหาร มาริณเหลือบมองชลธิศเป็นระยะ ซึ่งเขาก็มองหล่อนอยู่เช่นกัน ชายหนุ่มยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นเป็นเชิงทักทายพร้อมรอยยิ้มเรียบๆท่าทางจองหอง

มาริณเบ้ปากใส่ ก่อนสะบัดหน้ากลับมาคุยกับเพื่อนๆต่อ ทานสเต๊กไปได้สักพัก หล่อนจึงลุกไปเข้าห้องน้ำด้านหลังร้านเนื่องจากดื่มน้ำอัดลมมาก

ทำธุระส่วนตัวเสร็จ หญิงสาวออกมาล้างมือหน้ากระจก เสียงเพลงคันทรีจากด้านนอกยังดังแว่วๆเข้ามาถึงตรงนี้

หลังจากล้างมือจนสะอาด มาริณเดินออกมาจากห้องน้ำ ด้วยความที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอชลธิศ หล่อนจึงอ้าปากหวอเมื่อพบคนตัวโตยืนอยู่บริเวณโถงทางเดินซึ่งบนกำแพงประดับด้วยตะเกียงโบราณ แสงของมันออกจะริบหรี่ไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้มืดจนเกินไป

“สวัสดีครับ” เขาเอ่ยทักทายขึ้นเป็นคนแรก

“นี่…คุณมาได้ไง” หญิงสาวเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก

ชลธิศหัวเราะในลำคอก่อนตอบ

“คุณคงไม่คิดว่าเราจะบังเอิญเจอกันบ่อยขนาดนี้ใช่ไหม”

เมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดอย่างนั้น สมองของหล่อนก็ประมวลผลได้ทันที

“งั้นก็แสดงว่าคุณตั้งใจตามฉันมา ทั้งที่ร้านกาแฟ…แล้วก็ที่นี่ด้วย” หญิงสาวรู้สึกตงิดๆมานานแล้ว แต่เพิ่งชัดเจนในตอนนี้เอง

“ใช่” ชลธิศพยักหน้ายอมรับ ดวงตาคมกริบเป็นประกายพราว “แล้วนี่ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณพอดี”

“ฉันนึกว่าคุณจะเข้าใจตั้งแต่วันนั้นแล้วซะอีก บอกแล้วไงว่าถ้าจะคุยเรื่องอัญมณี ฉันไม่คุย โปรดฟังอีกครั้งว่า…ไม่คุย” มาริณเอ่ยช้าชัดพร้อมส่ายหน้าประกอบคำพูด

“ใจคอจะปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่ได้ฟังข้อเสนอเลยเหรอ”

“ข้อเสนอ” มาริณหัวเราะหึ “ในที่สุดคุณก็ยอมรับว่ามีจุดมุ่งหมาย ที่จริงคงไม่ได้อยากคุยเรื่องอัญมณีอย่างเดียว แต่อยากซื้อมันด้วยสินะ”

“คุณถามตรงๆ ผมก็ตอบตรงๆว่าใช่ ผมอยากได้อความารีน”

“งั้นเสียเวลาเปล่า ถึงคุณจะพูดอะไร ฉันก็ไม่ฟังอยู่แล้ว เพราะงั้นอย่าดีกว่า ขอตัวนะ” มาริณเดินเลี่ยงออกมาอีกทาง แต่ชลธิศยังตามมาขวางไว้ ด้วยความที่อีกฝ่ายมีรูปร่างสูงหนาเอาการ มาริณจึงต้องหยุด เพราะถ้าเดินต่ออาจจะชนหมีป่าจนหล่อนกระเด็นได้

“คุณยังยืนยันว่าจะไม่คุยและไม่ฟังข้อเสนอของผมเลยใช่ไหม” เจ้าของใบหน้าที่มีหนวดเคราเขียวครึ้มถามอีกครั้ง

“ใช่”

“แต่ผมให้ราคาสูง”

“สูงแค่ไหน? บอกไว้เลยนะว่าต่อให้ร้อยล้านหรือพันล้าน ฉันก็ไม่เอา ฉันไม่มีทางขายของของตระกูลให้ใคร” หล่อนบอกอย่างฉะฉาน ทะนงตน

“แน่ใจเหรอ” ชลธิศเลิกคิ้วหนาขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยรอยขัน ส่วนมาริณก็ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นเดียวกัน

“แน่ใจ”

“เปล่า ที่ผมจะพูดคือ…แน่ใจเหรอว่าหินแห่งธารดาวเป็นของของตระกูลคุณจริงๆ” คำถามของเขาทำให้หญิงสาวนิ่งอึ้งไปเกือบสิบวินาที กว่าจะหาลิ้นตัวเองเจอ

“นี่คุณหมายความว่าไง” มาริณยกมือขึ้นมาเท้าสะเอว ถามเสียงเข้ม

“ก็หมายความว่า…มันอาจจะไม่ใช่ของของตระกูลคุปตะจินดาอย่างที่คุณเข้าใจ” ชลธิศตอบเสียงเรียบ ทว่าคนฟังเริ่มมีน้ำโห

“จะไม่ใช่ได้ไง ในเมื่อฉันเห็นอความารีนอยู่กับคุณย่ามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว”

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นของของย่าคุณเอง” คำพูดยียวนและวกวนของชลธิศทำให้มาริณเริ่มโมโหมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเห็นหน้าตาและท่าทางโอหังของเขาที่แฝงไว้ด้วยความหยิ่งทะนงเล็กๆ หล่อนยิ่งหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก

“คุณจะพูดอะไรรีบว่ามาเลยดีกว่า อ้อมค้อมเสียเวลา”

“แน่ใจเหรอว่าอยากฟัง มันอาจจะทำให้คุณเต้นเร่าๆเลยนะ” ชลธิศถามคล้ายอยากลองเชิง เขายกมือขึ้นมากอดอกหลวมๆรอฟังคำตอบ

“แน่ใจ มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันอยากรู้เหมือนกันว่าคุณจะพูดอะไร” หล่อนจ้องมองชายหนุ่มด้วยแววตาไม่ไหวหวั่นเลยสักนิด แม้อีกฝ่ายตัวโตมากกว่าเพียงใด

“ได้” เจ้าของเสียงทุ้มยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย ก่อนบอกเสียงเรียบ “จริงๆแล้วที่ผมมาที่นี่…”

“ยายมีน” ยังไม่ทันที่ชลธิศจะได้พูดจบก็มีเสียงของบุคคลที่สามแทรกขึ้นมาเสียก่อน ทั้งสองหันไปยังต้นทางของเสียงอย่างพร้อมเพรียง

คนมาใหม่ทำหน้าเหลอหลา ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อย

“นี่ฉันมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าหรอกเก๋ ฉันกำลังจะกลับไปที่โต๊ะพอดี แกมาเข้าห้องน้ำเหรอ”

“ใช่ๆ แกมีอะไรก็คุยต่อเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว” พูดจบเจ้าหล่อนก็เดินหายแวบเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ทว่าก่อนไปแอบขยิบตาให้เพื่อนสาวอย่างรู้ทัน

“ไอ้เก๋บ้า มันไม่ใช่อย่างที่แกคิดสักหน่อย” มาริณพึมพำกับตัวเอง นี่เก๋คงเข้าใจว่าหล่อนแอบมายืนจู๋จี๋กับนายชลธิศแน่ๆ หารู้ไม่ว่าเข้าใจผิดถนัด แต่ถ้าเป็นจู่โจมว่าไปอย่าง เพราะหล่อนอยากจะบีบคอเขาแรงๆสักทีให้หายหมั่นไส้ “อ้าว…ไปไหนแล้ว”

หญิงสาวอุทานอย่างประหลาดใจ เมื่อหันกลับมาแล้วพบว่าชลธิศไม่ได้อยู่ตรงนั้น คนอะไร ตัวก็ไม่ใช่เล็กๆ แต่บทจะหายตัวก็ไวชะมัด


โปรดติดตาม...



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ธ.ค. 2554, 13:24:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ธ.ค. 2554, 19:49:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 2273





<< ตอนที่ 2 บังเอิญหรือตั้งใจ   ตอนที่ 4 มาไม้ไหน >>
บุลินทร 26 ธ.ค. 2554, 13:39:12 น.
คุณ lovemuay
ตอนนี้ซับซ้อนขึ้นกว่าเดิมครับ ลองเดาดูนะว่าจะเป็นยังไงต่อ ^^

คุณ หมูอ้วน
ต้องลองติดตามจากเรื่องมนตรามุกจันทราครับ มีคำตอบอยู่ในนั้น ^^

คุณ ameerahTaec
จะบอกดีมั้ยเนี่ยว่าถูกหรือเปล่า เอาเป็นว่าต้องรอติดตามจากเรื่องพี่มูนนะครับ ^^

คุณ Neferretti
ใช่แล้ว การตายของย่ามีเงื่อนงำครับ ขอบคุณที่ติดตามทั้งสามเรื่องเลยครับ ^^

พี่มูนและพี่มิ้งค์
ขอบคุณที่แวะมาเป็นกำลังใจจ้า ^^


หมูอ้วน 26 ธ.ค. 2554, 15:20:00 น.
ตามอ่านทั้ง 3 เรื่องเลยค่ะ
สับสนเล็กน้อย หุหุห


ameerahTaec 26 ธ.ค. 2554, 15:46:09 น.
คริคริ น่าติดตามมาก อยากอ่านต่อแล้วค่า


Zephyr 26 ธ.ค. 2554, 17:24:03 น.
ชลทิศนี่คนจริงป่ะคะ เริ่มสงสัย ฮ่าๆๆ หายตัวได้เร็ว แถมยังกับมีการหยั่งรู้แน่ะว่ายายมีนจะไปไหน (ถึงตอนนี้แอบคิดว่าท่าทางคุณย่าจะหาเรื่องปวดหัวมาให้หลานสาวทั้งสามแล้วนะ รึว่าย่าอยากหาคู่ให้หลาน แต่วิธีดูตัวของคุณย่ายิปซีนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ เฮ้ย ชักเพ้อแล้ววววว)


lovemuay 26 ธ.ค. 2554, 19:24:55 น.
แอบคิดว่าชลทิศไม่ใช่คนเหมือนกันค่ะ อะไรจะหายแวบไปมาได้เร็วซะขนาดนั้น ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account