กุหลาบซ่อนกลิ่น (จบแล้ว)
นางเอกโตมาในไซด์งานก่อสร้าง ที่นั่นทำให้เธอรู้ว่า การแสดงตัวว่าเป็นหญิงเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้นนางเอกจึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง จนใคร ๆ มองว่าเป็นทอม แต่แท้จริงแล้ว เธอก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีรัก..และรักของเธอก็เป็นรักที่มีเวลามาเป็นตัวกำหนด....


Tags: โรแมนติก..

ตอน: 5.งานเข้า..

5.กุหลาบซ่อนกลิ่น



5.
“อะไรนะ มึงเสียบอล จะยืมตังค์กู ห้าหมื่น!!”

“เอ่อ หูมึงไม่ฝาดหรอก”

“กูไม่มีหรอก มึงก็รู้..แล้วมึงจะทำอย่างไง”

“ไม่รู้เหมือนกัน..”

“กูบอกมึงแล้วว่าอย่าริ อย่าคิดรวยทางลัด แล้วเป็นไง ..มึงนะมึง ทีนี้จะทำอย่างไงละเนี่ย โต๊ะบอลมันเอามึงตายซะมั้ง”

“กูว่าจะหนีกลับบ้านสักพัก..เรียนจบพอดี”

“ไอ้บ้า อนาคตของมึงนะโว้ย มึงไปทำงาน มึงก็เก็บเงินใช้หนี้เขาได้นะ ผลัด ๆ ไปก่อน”

“ผลัดได้ แต่มันมีดอกเบี้ย ต้นทบดอก ดอกทบต้น กูจะเอาอะไรกิน”

“แล้วมึงกลับไปบ้าน พ่อแม่มึงคงจะดีใจหรอก ไหนมึงบอกกับกูไม่ใช่เหรอว่า พ่อแม่มึง จะไม่ส่งมึงแล้ว เพราะมีน้องต้องส่งอีกสองคน”

“นั่นแหละ กูกลุ้มนี่ไง กูสับสน มึงมีทางไหนช่วยกูได้บ้างวะ”

“มึงก็หางานทำเร็ว ๆ ช่วงนี้ก็หลบ พวกมันไปก่อน”

“มึงมีสักห้าพันไหมขอกูเอาไปตึ้งให้มันก่อน ไม่งั้นมันมาอัดกูแน่ ๆ”

“ไม่มี กูไม่มีเงินเก็บเลย กูเพิ่งซื้อโทรศัพท์มาใหม่ด้วย”

“เอานั่นแหละไปจำนำ มึงต้องช่วยกูนะไอ้ม่า”

“ไอ้ห่าแล้วกูจะใช้อะไร..เพื่อนคนอื่น ๆ ละ”

“มึงไม่มีแล้วใครมันจะมี พวกมันก็เหลือขอกันทั้งนั้นมึงก็รู้”

“เครียดกับมึงว่ะ” กุสมาที่เลี่ยงจากงานออกมารับโทรศัพท์ชักสีหน้าหนักใจกับปัญหาของเพื่อนรักร่วมชั้นเรียนกันมาถึงห้าปี

“ไอ้ม่า” วิชาญเดินออกมาตามเพราะกฎระเบียบของที่ร้าน คือไม่ให้พนักงานเสิร์ฟทิ้งโต๊ะออกมาคุยโทรศัพท์ และถึงจะคุยได้ ก็ไม่ควรนานขนาดนี้

“เออ เดี๋ยวค่อยว่ากัน กูทำงานอยู่ ..”

“คุณสูรย์ออกมาจากห้อง กลับไปประจำตำแหน่งตัวเองเร็ว” วิชาญรีบบอก

“มีเรื่องกลุ้มใจว่ะวิชาญ จำไอ้ถมยาได้ไหม คนตัวสูง ๆ เรียนเก่งสุดในห้องข้าน่ะ”

“จำได้ทำไมรึ”

“มันติดหนี้โต๊ะบอลมายืมตังค์..”

“ใจอ่อนละซิ..ปัญหาใครปัญหามัน” วิชาญว่าให้

“แต่ถ้ามันเป็นอะไรไป” ว่าแล้วกุสุมาที่เป็นคนรักเพื่อนฝูงก็ถอนหายใจออกมาแต่ว่าปัญหาเฉพาะหน้าของตนตรงนี้ ก็ทำให้ไม่มีเวลาคิดช่วยเหลือเพื่อน เพราะสูรย์นั้น เดินเตร่มาทางนี้เสียแล้ว และวิชาญก็รีบเลี่ยงออกไปอย่างรู้หน้าที่ของตัวเอง แต่กุสุมายังคงชักหน้าหนักใจอย่างยากสลัดทิ้ง

“เป็นอะไรอีก” เขาถามด้วยเสียงห้วน ๆ

“มีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย ขอตัวก่อนนะ ไม่มีอารมณ์ต่อปากด้วย” ว่าแล้วกุสุมาในชุดพนักงานก็เดินเฉี่ยวแขนเจ้าของร้านไปอย่างได้หาแคร์กับอนาคตการทำงานของตัวเอง สูรย์เองก็คาดไม่ถึงแต่เขาก็ต้องแอบขำเบา ๆ เพราะเกิดมาก็ไม่เคยเจอใคร ปฏิบัติตรงต่ออารมณ์ตัวเองได้เท่ากุสุมาคนนี้



ด้วยไม่เคยเดินและยืนนาน ๆ แบบนี้ กุสุมาจึงรู้สึกเมื่อยขาเป็นอย่างมาก จนกระทั่งได้เวลาพัก กุสุมาจึงเดินเตร็ดเตร่ออกไปนั่งที่ชิงช้าเหล็กใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ถูกล้อมมาปลูกจนกระทั่งแตกกิ่งก้านสีขาให้ร่มเงาสมใจเจ้าของ วิชาญเองก็พักพร้อมกุสุมาจึงเดินตามไปคุยด้วย

“ม่าไม่ไปไหนเหรอ”

“ว่าจะกลับบ้าน แต่ขี้เกียจกลับมาอีก เหนื่อยเหมือนกันเนอะ นึกว่างานมันจะสบาย ๆ”

“ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ หรอก”

“แกยังไมได้เล่าเลยว่าทำไมมาทำงานที่นี่ ทำมานานหรือยัง”

“ทำตั้งแต่ปวช.1 อันที่จริงมาทำตั้งแต่ช่วงปิดเทอมแรกตอนอยู่ ม.3 ตอนนั้นเป็นสาขาใหญ่นะ เราเป็นหลานป้าส้มลิ้ม อยากมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ แต่ไม่มีทุนเพราะที่บ้านยากจน ก็เลยต้องทำงานด้วยเรียนด้วย เราเรียนกะเช้า ข้าก็เข้ากะบ่าย พักอยู่กับป้า จนกระทั่งมามีสาขาที่นี่ เราก็เลยได้ห้องพักกับเขาด้วย คุณสูรย์เขาจัดให้ เขาว่าเราเป็นหนุ่มแล้ว ควรมีห้องส่วนตัว”

“อย่างนี้นี่เอง ถึงว่าไม่เห็นได้ข่าวว่าแกไปเที่ยวไหน ๆ กับใครเลย”

“เที่ยวได้ที่ไหน มีงานทำ ต้องรับผิดชอบตัวอง เขาดีกับเรา เราก็ต้องรู้จักบุญคุณของเขา”

“คุณสูรย์อ่ะเหรอ”

“อืม คุณสูรย์ใจดีนะ อย่างช่วงเบรกแบบนี้ จะมากกว่าสองชั่วโมงก็ได้ ถ้าเราตกลงกันได้ แกบอกว่าแกบริหารงานไปตามเนื้อผ้าน่ะ ถ้าแขกเต็มร้านแล้วเราช่วยกันเต็มที่ ตอนแขกไม่มี แกก็ไม่ได้ว่าอะไรหากเรานอนพักกันบ้าง ข้างครัวก็มีห้องนอน อยากไปนอนไหมละ อาบน้ำได้ด้วย”

“ไม่เอาหรอก เป็นสาวเป็นแส้นอนไม่เลือกที่ได้ไง”

“เป็นสาว”

“ไอ้บ้า อย่างไง ข้าก็ผู้หญิงนะ”

“เขามีห้องแยกหญิงชาย ไปไหมละ มีตู้ล็อกเกอร์ให้ด้วย พี่ไก่ไม่ได้บอกเหรอ”

“คงคิดว่าข้าทำงานไม่กี่วันมั้ง ชั่งมันเหอะ แล้วนี่แกไม่กลับไป
พักที่ห้องเหรอ”

“มีเพื่อนคุยก็ไม่ไปหรอก อยากรู้เหมือนกันว่าแกนะ ทำไมมาทำ
งานที่นี่ เมื่อวานยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”

กุสุมาตัดสินใจเล่าเรื่องของตนเองให้วิชาญฟังอีกรอบ

“เป็นอย่างนี้นี่เอง..แกโชคดีนะจะได้ไปเมืองนอก”

“ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเองเลย เรื่องจะผ่านหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่มันก็ดีนะ มาหาประสบการณ์ไว้ ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอน ว่าแต่ว่า แกไม่สนใจงานในครัวบ้างเหรอ เชฟเงินดีนะ”

“ไม่เอาหรอก ไม่ชอบ ชอบงานบริการมากกว่าได้ทิปด้วย อีกอย่าง เราทน ๆ อีกสองปี เราก็ได้ปริญญาแล้ว รู้ไหมม่า เราดีใจมากเลยนะที่มีปัญญาเข้าเรียนที่ใหม่ โดยไม่ต้องพึ่งพ่อแม่ แต่ว่าเราก็ยังต้องกู้กองทุนเพื่อการศึกษา เพราะกะจะเก็บเงินไว้กินดอกเบี้ยสักหน่อย แล้วค่อยผ่อนคืนรัฐทีหลังตามสิทธิ์”

“ทำไมแกฉลาดอย่างนี้”

“มีเงินเอาไว้ก่อน แม้จะติดหนี้หลวงก็ตามที แกไม่คิดเปลี่ยนใจเรียนต่อที่เมืองไทยนี่เหรอ”

“หัวขี้เลื่อยจะตาย ที่เรียน ๆ ไป ก็จะตกไม่ตกแหล่ แล้วอีกอย่าง อย่าลืมว่าฉันเป็นผู้หญิง เรียนก่อสร้างไป ไปแหกปากคุมผู้ชาย มันคงจะเชื่อกันหรอก”

“พูดเหมือนแกเป็นผู้หญิงซะเต็มตัว”

“เหอะ อย่างไงฉันก็ผู้หญิง..” จริง ๆ แล้วกุสุมาไม่ได้อยากเรียนช่างก่อสร้าง แต่ว่า เมื่อพ่อเลี้ยงต้องการเพราะเห็นว่าจะได้ช่วยงานได้ กุสุมาจึงต้องเรียน และตอนนั้นอาจจะเป็นเพราะบุคลิกภาพ พ่อบุญโชคจึงเสนอสาขานี้มาให้ และด้วยอยากให้ทุกคนเชื่อว่า เธอเป็นผู้ชายในคราบผู้หญิงกุสุมาจึงตัดสินใจลงเรียน และมันก็เพิ่มความหนักใจ เมื่อต้องออกไปลุยงาน เพราะคนงานมีแต่ผู้ชาย ส่วนใหญ่ก็จะลามกหยาบคาย มึงมาพาโวย บ้างก็มอมแมม หาผู้ชายที่ดูเจริญหูเจริญตาแทบไม่ได้ แม้แต่เพื่อนที่เรียนด้วยกัน น้อยคนนักที่จะมีความคิดแบบวิชาญ ส่วนใหญ่ก็มาเรียนเหมือนมาสังสรรค์ ซิ่งรถบ้าง เที่ยวเตร่จีบหญิงอีกโรงเรียนบ้าง การพนันขันต่อขี้เหล้าเมายา จึงทำให้เธอไม่กล้าฝากหัวใจไว้กับใคร จนกระทั่ง มาเจอ คุณสูรย์ ผู้ชายที่ดูอบอุ่นทำให้ใจเธอหวั่นไหว แต่ว่ากุสุมาก็คิดว่า คงไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเขาคงไม่ชายตาแลมองเธอ ส่วนเธอเองให้ปรับตัวเพื่อให้เขามอง เห็นจะไม่มีทางเช่นกัน

“งานส่วนอื่นในไซด์งานมันก็มี งานจัดซื้อ งานเอกสาร งานอะไรอีกเยอะแยะเขาก็ใช้ผู้หญิง”

“บางทีข้าก็อยากค้นหาตัวเองเหมือนกันแหละว่าต้องการอะไร ไปเมืองนอกก่อน ให้ได้ภาษาสักหน่อย เดี๋ยวมันคงมีหนทางอะไรตามมา” กุสุมาตัดบทง่าย ๆ โดยหารู้ไมว่า ภาพที่กุสุมานั่งแล้ววิชาญยืนพิงต้นไม้อยู่นั้น สร้างความรู้สึกขุ่นใจให้กับสูรย์ที่แง้มม่านแอบมองอยู่




“แม่ แม่ แม่ ..วันนี้มาได้ทิปมาตั้งเกือบสองร้อยแนะ” หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเสื้อยืดคอกลมสีดำ กางเกงลายพรางแบบทหารขาสามส่วนแล้วกุสุมาก็ลงจากห้องนอนมาหาพ่อกับแม่ที่นั่งดูโทรทัศน์กันอยู่ในห้องกลางบ้าน

“โอ้โฮ เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” แม่นั่งนับเงินที่ขายของพลางคุยไปด้วย

“หารกับพนักงานเสิร์ฟเป็นสิบ ๆ คนแล้วนะแม่ ร้านคุณสูรย์น่ะ คนมากินมีเงินทั้งนั้น ราคาอาหารไม่แพงด้วย พนักงานบริการกันดี ก็เลยได้ทิปกันเยอะ เอาไว้ม่าเงินเดือนออก จะพาพ่อกับแม่ไปกินนะ”

“แล้วก็ให้พ่อจ่าย” นายบุญโชคที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่บนเก้าอี้ไม้ปรับเอนได้แทรกเข้ามา

“พ่อนี่ รู้ทันอีกแล้ว ว่าไปม่าก็อยากกินอาหารที่เสิร์ฟให้ลูกค้านะแม่ เห็นแล้วน้ำลายไหล”

“อ้าว แล้วเขาให้พนักงานกินอะไรละ”

“ก็แกงจืด แกงเผ็ด ผัดกะเพรา ไข่เจียว หมูทอด อาหารพื้น ๆ นะแม่ ม่าอยากกินปูผัดผงกะหรี่บ้าง”

“ก็สั่งกินซิวะ”

“น่าเกลียด เขาเลี้ยงอีกอย่าง สั่งอีกอย่างมากิน คนอื่นจะได้มองหน้าเอา”

“งั้น พรุ่งนี้สั่งใส่ถุงมากินที่บ้าน เอาเงินไป” นายบุญโชคไม่ใช่คนประหยัด และอะไรที่เป็นความสุขของเมียและลูกเลี้ยงที่เขารักเหมือนลูกตัว เขาก็พร้อมจ่าย จนกระทั่งคนอื่นมองว่า หว่านพืชก็เพื่อหวังผล แต่กุสุมานั้นรู้ว่า พ่อบุญโชคนั้นรักเธอเหมือนลูกสาวแท้ ๆ เพราะไม่มีสักครั้งที่พ่อจะแสดงอาการใส่ใจเธอมากกว่าลูกสักนิด แต่ว่าเธอก็ไม่คิดจะเปลี่ยนกิริยาท่าทางให้เป็นหญิง ด้วยติดท่าทางแบบนี้ของตัวเองไปแล้วด้วย

“ไม่เอาหรอกพ่อ แพง เกือบสองร้อย ค่าแรงม่าทั้งวันเลยนะ เสียดายตัง กินของเขาแหละ อิ่มเหมือนกัน”

“แล้วจะมัวน้ำลายไหลอยู่ทำไม”

“มันก็ทำให้ม่าได้คิดอะไรเยอะเลย..มีเงินก็ดีนะ ได้กินอะไรดี ๆ แพง ๆ มีคนบริการด้วย ต่อไปม่าจะตั้งใจเก็บเงินสร้างฐานะ”

แม่บังเอิญมองหน้าลูกสาวก่อนจะพูดว่า

“หยุดเที่ยวเตร่ หยุดซื้อเสื้อผ้า หยุดใจดีกับเพื่อน ๆ” กุสุมาได้รับเงินจากแม่เป็นรายเดือน แต่ว่าบางครั้งไม่ถึงเดือนเงินก็หมด จึงต้องมาอ้อนขอพ่อบ้าง เปิดลิ้นชักเอาไปใช้โดยใช้คำว่า ‘ขอลืม’ บ้าง แต่ไม่บ่อยครั้งที่กุสุมาจะทำอย่างนั้น เพราะถือว่า แค่บริหารจัดการตัวเองได้ เรียนให้จบ พ่อกับแม่ก็พอใจแล้ว..



ขณะนั่งดูโทรทัศน์กับพ่อและแม่ โทรศัพท์ที่วางไว้ในห้องนอนก็ดังขึ้น กุสุมารีบวิ่งย่ำบันไดขึ้นไป พอรับโทรศัพท์ และรับฟังเรื่องจากปลายสายกุสุมาก็ถึงกับเดินไปเดินมา รู้สึกโมโหตัวเองที่ไม่ช่วยเพื่อนจนกระทั่งเกิดเรื่องแบบนี้

“เออ พวกมึงดูพามันไปโรงพยาบาลก่อน เดี๋ยวกูตามไป..”

กุสุมาลงจากชั้นบนด้วยใบหน้าตื่นตระหนกในมือนั้นมีเสื้อคลุมแขนยาวเวลาขี่รถมอเตอร์ไซค์ติดมือมาด้วย

“พ่อ แม่ ม่าจะไปโรงพยาบาลหน่อยนะ เพื่อนมันรถคว่ำ” อันที่จริง ถมยา ไม่ได้รถคว่ำ แต่ว่าถูกเจ้าหนี้โต๊ะบอลสั่งให้คนมาทำร้าย เพราะดันมาพบว่าถมยากำลังจะย้ายของหนีจากหอพัก แต่ถ้าพูดความจริงออกไป พ่อกับแม่จะต้องไม่ให้ออกไปข้างนอกในยามวิกาลอย่างแน่นอน

“ขับรถระวัง ๆ หน่อยละ เป็นอะไรมากไหม” นายบุญโชคนั้นห่วง แต่ว่าก็รู้ว่าห้ามปรามไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะกุสุมาก็ดื้อรั้นพอตัวเหมือนกัน

“ก็..เอ่อ ไปดูอาการมันหน่อย เพื่อน ๆ โทรมา ม่าไปแล้วนะ” ว่าแล้วกุสุมาก็เปิดประตูบ้านออกไป



ณ สี่แยกไฟแดง สูรย์ที่จะกลับไปบ้านในเมือง เลื่อนกระจกรถยนต์สี่ประตูลง เมื่อรู้สึกว่ารถมอเตอร์ไซค์ที่มาจอดอยู่ข้าง ๆ คนขับคือกุสุมา

“กุสุมา กุสุมา กุสุมา” เขาตะโกนเสียงดัง กระทั่งคนใส่หมวกกันน็อคปิดหน้ามิดชิดจะหันมาแล้วเปิดหน้ากากจ้องมองเขา

“คุณสูรย์”

“เราจะไปไหน ดึกป่านนี้จะออกไปไหนอีก” ใจของสูรย์นั้นคิดว่า กุสุมาคงจะกลับไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปเที่ยวกับเพื่อนเป็นแน่

“ไปโรงพยาบาล เพื่อนม่า ...เอ่อ ไปโรงพยาบาล” กุสุมา ขี้เกียจอธิบายยืดยาว เพราะไม่คิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะรู้ แต่หูของกุสุมาก็ไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามของเขาที่ว่า

“โรงบาลไหน”

ด้วยต้องการตัดบท และเห็นว่าไฟกำลังจะเปลี่ยนสี กุสุมาจึงเอ่ยชื่อโรงพยาบาลก่อนออกรถเมื่อไฟเขียว โดยไม่คิดว่า เขาจะขับตามไป..

เมื่อจอดรถมอเตอร์ไซด์แล้วกุสุมาก็รีบวิ่งไปยังห้องฉุกเฉินโดยไม่ได้สนใจเหลียวหลังไปดูว่าสูรย์ลงจากรถและกำลังสาวเท้ายาว ๆ ตาม

“เป็นไงมั่งแก” กุสุมาทักเพื่อนชายสองคนที่ยืนรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน

“เข้าไปแล้ว หนักเหมือนกัน สะบักสบอมเลย ไม่รู้แข้งขาหักหรือเปล่า”

“แล้วมันนึกอย่างไงจะหนี”

“มันจะไปทำงานที่ระยอง มีคนส่งข่าวว่าที่นั่นมีงาน มันก็เลยเก็บของ”

“แล้วตอนนั้น พวกเอ็งไม่ได้อยู่ที่หอพักกันเหรอ”

“ใครจะไปขวางทางไอ้พวกนั้นได้ละม่า มันมาก็สี่คน ตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้น มีปืนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วมันก็ไม่กลัวเจ้าของหอด้วยนะ มันขู่ว่า ถ้าเรื่องถึงตำรวจ ที่นั่นก็พัง แล้วมันก็ลากถมยาขึ้นไปอัดอย่างที่เห็น”

“แจ้งความ”

“มันขู่ไว้ว่าถ้าแจ้งความ ไอ้ถมยาตาย”

“แล้วพวกเอ็งบอกกับทางโรงพยาบาลว่าไง”

“บอกว่ามันถูกนักเลงหน้าปากซอยซ้อม ไม่รู้ว่าเป็นใคร” คนรายงานทรุดตัวลงนั่งสีหน้าอมทุกข์กับเพื่อนร่วมชั้นเรียนไปด้วย กุสุมารู้สึกใจของตัวเองเดือดพลัก ๆ แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นจะโทษ โต๊ะบอลก็ไม่ได้ ถ้าถมยาไม่หวังรวยเรื่องนี้ก็คงไม่เกิด..และถ้าเธอแบ่งเบาทุกข์ของเพื่อนโดยการให้ยืมเงิน ถมยาก็คงไม่คิดจะหนี กุสุมาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ว่าก็รู้สึกว่ามีคนมองตนเองอยู่ กุสุมาจึงหันหลังกลับไป

“คุณสูรย์” กุสุมาไม่คิดว่าจะเห็นเจ้านายของเธอยืนพิงผนังตึกฟังเธอกับเพื่อนคุยกัน

“มานี่สิ”

กุสุมาเดินหน้าม่อยเข้าไปหา ใจก็หวั่น ๆ ว่าเขาจะพูดว่าอย่างไร

“เล่ามาซะดี ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“ทำไมต้องเล่า”

“ฉันเชื่อว่าเราไม่ได้บอกกับพ่อกับแม่หรอกว่า มาดูเพื่อนเข้าโรงพยาบาลเพราะถูกถูกพวกโต๊ะบอลซ้อม”

“ฉลาดจริง ๆ” กุสุมาว่าให้

“แล้วจะแก้ไขปัญหากันอย่างไง อาการหนักไหม”

“ยังไม่เห็นเลย ..แต่คงหนักแหละ รอสักพักเดี๋ยวก็รู้..อยากลุ้นผลด้วยกันไหมละ..ไหน ๆ ก็..เอ๊ะแล้วตามม่ามาทำไมเนี่ย”

“ก็อยากรู้ว่าเรามาทำอะไรที่นี่นะสิ”

กุสุมาเหลือบตาดูนาฬิกาที่ผนังเห็นว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนก็รู้สึกว่ามันดึกมากสำหรับเขา

“กลับไปนอนเหอะ มาดูเพื่อน เพื่อนจริง ๆ เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ปวช. 1 มันมาจากต่างจังหวัดน่ะ อยู่หอพัก มันเรียนเก่งด้วย ช่วยเหลือม่าเรื่องเรียนไว้เยอะ ดูอาการมันสักหน่อย เดี๋ยวม่าก็กลับบ้านแล้ว”

“แล้วถ้าอาการเขาหนักละ เราจะทำอย่างไง มีเบอร์โทรศัพท์พ่อแม่เขาไหม”

กุสุมาส่ายหน้า พอดีกับเพื่อนตะโกนเรียกว่าหมอถามหาญาติของคนไข้ กุสุมาจึงผละจากสูรย์วิ่งตามเพื่อนชายทั้งสองไป โดยไม่ได้หันมามองว่า สูรย์เดินไปทรุดตัวนั่งคอย


“อ้าว คุณสูรย์ยังไม่กลับอีกเหรอ”

“เพื่อนเราเป็นอย่างไงมั่ง”

พอเห็นว่ากุสุมามีคนอยู่เป็นเพื่อน สองหนุ่มจึงเลี่ยงหลบออกไป

“ก็มีเย็บหนังหน้าไปสองเข็ม ฟันหักไปหนึ่งซี่ เบ้าตาเขียว ปากเจ่อ แขนขาไม่หักแต่ระบมไปทั้งตัว” พูดแล้วน้ำตาก็คลอหน่วยตาของกุสุมา แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความเจ็บใจ นึกโมโหไอ้คนที่มันใช้กฏหมู่อาญาเถื่อนเข้าเล่นงานเพื่อนของตน

“มันคงแค่ต้องการสั่งสอนน่ะ ถ้าตายเงินมันก็สูญ”

“ไอ้ถมมันบอกว่า ถ้าไม่มีเงินไปตัดต้นตัดดอก มันจะตัดนิ้วทีละนิ้ว ทีละนิ้ว”

พอนึกถึงนิ้วของเพื่อน กุสุมาก็นึกขึ้นได้ว่า จะช่วยเพื่อนได้อย่างไง

“คุณสูรย์..” น้ำเสียงของกุสุมาอ่อนหวานผิดที่เคยได้ยิน

“มีอะไร”

“ถ้าม่าจะเอารถม่าจำนำจะได้สักเท่าไหร่”

สูรย์พอเดาออกว่ากุสุมาจะช่วยเพื่อนอย่างไร และถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรง เขาก็ยินดีช่วย แต่ว่า กุสุมาจะช่วยเพื่อนแล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ช่วยไปแล้วตัวเองจะไม่ลำบาก

“คิดดีแล้วเหรอ มันเป็นทางออกทางเดียวรึ”

“ก็ดีกว่าไม่คิดทำอะไรเลย”

“แล้วเพื่อนคนอื่นๆ ”

“ไอ้สองตัวนั่น คงช่วยแค่นอนเฝ้าดูอาการที่โรงพยาบาลนี่แหละ นอกนั้นมันก็คงไม่ไหวกันหรอก เด็กจากต่างจังหวัดน่ะ แค่พอมีพอกินกัน”

“เราจะทำอย่างไง”

“รถม่าซื้อมาหกหมื่นกว่า ม่าขอหกหมื่นได้ไหม”

“พ่อแม่เราละ บอกท่านหรือยัง”

“ถ้าบอกก็คงไม่ได้”

“แล้วเราจะเอาเงินจากไหนมาใช้ เงินต้องมีดอกเบี้ยนะ”

“ไม่มีดอกเบี้ยได้ไหม ..ช่วย ๆ กันหน่อย”

“อยากช่วยนะ แต่ไม่อยากให้เราต้องมาเดือดร้อนภายหลัง แล้วอีกอย่างแค่เพื่อนนะไม่ใช่พี่น้อง หรือว่าเป็นแฟนกัน”

“ไม่ใช่แฟน ม่ายังไม่มีแฟน”

“แล้วทำไมต้องทุ่มเทขนาดนี้”

“ก็ เพื่อน เคยมีเพื่อนไหมละ ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้วเราจะมีเพื่อนไว้ทำไม” พอรู้ตัวว่าขึ้นเสียงกับเขา กุสุมาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแหย ๆ ก่อนจะบอกว่า “โทษที ม่าลืมตัว”

“เคยได้ยินสุภาษิตไทยไหม ที่เขาบอกว่าอยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้าอยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน”

“เคย”

“ทางช่วยก็อย่างที่รู้ ๆ กัน คือตอนนี้เราทำงานอยู่กับฉัน ทำได้สักปีคงรายได้เท่านั้น แต่เราก็ไม่ได้จะอยู่กับฉันเป็นปี ๆ แค่สามสี่เดือนก็จะไปแล้ว”

“เดี๋ยวพอมันออกจากโรงพยาบาล มันก็ไปทำงานมาผ่อนส่ง อีกอย่าง ม่าไม่ได้กู้ปากเปล่านะมีรถค้ำประกัน รถนั่นนะชื่อม่านะ พ่อใส่ชื่อม่า”

“ฉันคงเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ดีแน่ ๆ หากปิดเรื่องนี้ไม่ให้พ่อแม่เรารู้..และอีกอย่างไว้ใจมันได้เหรอ พวกผีพนันเข้าสิง มันสำนึกได้ยากนะ บอกตรง ๆ นะกุสุมา อย่าหาว่าฉันใจดำเลย เพื่อนแบบนี้ตัดทิ้งไปเหอะ”

“ไม่ช่วยก็ไม่ต้องสอน” ว่าแล้วกุสุมาก็ที่มีสีหน้าบึ้งตึงก็สะบัดหน้าไปทรุดตัวลงนั่ง






จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 11:43:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 11:43:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 2802





<< 4.เด็กฝาก   6.เรียนรู้ ดูใจกัน >>
ปิลันธน์ 18 มี.ค. 2555, 15:01:28 น.
เอ็นดูเขา เอ็นเราขาดนะ ม่าเอ๊ย...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account